Summoner Master Forum
May 06, 2024, 05:02:47 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 52 มุ่งสู่แอนดิซอง @@  (Read 9235 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: January 29, 2007, 06:22:47 AM »

Chapter 52 มุ่งสู่แอนดิซอง


                         เสียงประชาชนไชโยโห่ร้องไปตลอดทางที่ขบวนแห่ของกษัตริย์ซิกมันด์และกองทหารเคลื่อนผ่าน   แม้จะอยู่ในช่วงภาวะสงครามแต่ทั้งเมืองอาวีเลียก็ยังเฉลิมฉลองอย่างเต็มที่และยิ่งใหญ่ให้แก่ชัยชนะของซิกมันด์ที่มีเหนือเทพเจ้าโบราณและสามารถนำพญาวิหคธันเดอริกกลับมาได้
                         กษัตริย์ซิกมันด์ที่แทบจะไม่เหลือร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าให้เห็นอีกแล้วทรงนั่งหน้าเชิดบนม้าสีขาวปรอดขนาดใหญ่   โดยมีนกธันเดอริกเกาะอยู่บนแขนขวาพร้อมกับกางปีกสยายอวดความองอาจไม่ต่างจากผู้ที่นำมันมา
                         สูงขึ้นไปบนยอดกำแพงวิหารแห่งอาวีเลีย   ฮารีซัน บันดาราและเจ้าหญิงเรจิน่าประทับยืนดูขบวนแห่อันเอิกเกริกของซิกมันด์อยู่   ทว่าเจ้าหญิงนั้นมีท่าทีกระสับกระส่ายคล้ายตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไร
                         “เจ้าหญิงอยากจะพูดอะไร?” ฮารีซันซึ่งรู้สึกได้ถึงความกังวลของเจ้าหญิงจึงกล่าวขึ้นก่อนพลางยิ้มให้กำลังใจ
                         “ข้า...เออ...ข้าอยากจะขอโทษท่านแทนซิกมันด์   ท่านจะอภัยให้เขาได้ไหม?” เจ้าหญิงทรงมองฮารีซันด้วยความคาดหวัง
                         “ถ้าข้าจะบอกว่าไม่ได้ติดใจถือโทษเขาเลย   ก็คงจะเป็นเรื่องโกหก   แต่สิ่งที่ติดใจข้ามากกว่าคืออะไรหล่อหลอมเขาให้เป็นคนเช่นนั้น?” ฮารีซันทอดสายตามองขบวนแห่ที่กำลังเคลื่อนไปยังกำแพงเมืองอีกด้านหนึ่งซึ่งเจ้าหญิงก็ทรงปรายตามองตามไปด้วยเช่นกัน
                         “อะไรที่หล่อหลอมเขาอย่างนั้นหรือ? ก็คงจะเป็นเสด็จพ่อของข้ากระมัง” เจ้าหญิงตรัสด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยจนฮารีซันอดหันกลับมามองไม่ได้   ทว่าเจ้าหญิงมิได้ทรงละสายตาไปจากขบวนแห่เลย
                         “ท่านไม่อาจจินตนาการได้หรอกว่าเด็กที่เกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์ของชาตินักรบนั้นต้องผ่านการฝึกฝนอย่างไรมาบ้าง  เด็กที่ถูกคาดหวังจากทุกคนอย่างมากมายตั้งแต่วินาทีแรกที่เกิด  ซิกมันด์นั้นถูกเสด็จพ่อนำตัวไปจากเสด็จแม่เพื่อไปฝึกฝนการเป็นกษัตริย์ตั้งแต่อายุเพียงสามขวบเท่านั้น   ถ้าเขาทำตัวอ้อนเสด็จแม่เหมือนเด็กอื่น ๆ หรือทำตัวไม่เหมาะสมก็จะถูกตำหนิอย่างเข้มงวดจากเสด็จพ่อทันที ทั้งวันเขาจะอยู่กับเสด็จพ่อ จะได้มาพบข้าหรือเสด็จแม่ก็ตอนเย็นแล้ว ตกกลางคืนก็แยกไปนอนที่ห้องบรรทมส่วนพระองค์   ที่จริงจะว่าไปทุกอย่างสำหรับเขาล้วนถูกจัดให้เป็นพิเศษ   เขาคือคนที่รู้ว่าตัวเองต้องเป็นอะไรในอนาคตตั้งแต่จำความได้”
                         “มารดาของท่านยินยอมหรือ?”  ฮารีซันอดถามด้วยความประหลาดใจไม่ได้
                         “ท่านต้องยอม   เพราะนั่นเป็นราชประเพณีของอาณาจักรเรา   บรรพกษัตริย์ทุกพระองค์ล้วนต้องถูกฝึกเช่นนี้...”   เจ้าหญิงเรจิน่าทรงนิ่งเงียบเป็นครู่ใหญ่เหมือนจะหวนรำลึกถึงช่วงเวลาแห่งวัยเยาว์ของน้องชาย “พวกทหารองครักษ์เล่าว่า   ตอนที่ซิกมันด์ถูกพรากไปจากเสด็จแม่ใหม่ ๆ ตอนกลางวันต้องเรียนรู้ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการปกครอง   ต้องถูกฝึกให้วางตัวเหมาะสมในแบบอย่างของกษัตริย์และอัศวิน   ตอนกลางคืนเขาถูกจับให้นอนเพียงลำพังคนเดียว   หลายคืนที่เขาต้องนอนร้องไห้จนหลับไป”
                         เจ้าหญิงเรจิน่ายังคงจมอยู่ในความนึกคิดเมื่อครั้งสมัยยังเยาว์ “ตอนที่เขาอายุได้ประมาณเก้าขวบ   เขามีม้าที่รักมากอยู่ตัวหนึ่ง   เขาเอาแต่ขี่ม้าตัวนั้นจนไม่ยอมฝึกขี่ม้าตัวอื่นเลยหรือแม้แต่เปกาซัส   และเมื่อเสด็จพ่อทรงทราบ...”
                         ภาพความทรงจำนั้นยิ่งเด่นชัดขึ้นราวกับพระองค์ได้ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นอีกครั้งหนึ่ง   ที่กลางลานฝึกขี่ม้านั้น   เหล่าทหารนับสิบต่างยืนเรียงรายเป็นแถวขนาบทั้งสองด้านดูน่าเกรงขาม   ม้าที่รักของเจ้าชายซิกมันด์กำลังสะบัดหัวไปมาเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ   ราวกับว่ามันล่วงรู้ชะตากรรมของตน   เจ้าชายน้อยที่ถูกชาร์ล คลาแรนซ์ จับข้อมือไว้แน่นพยายามดิ้นรนให้ตัวเองเป็นอิสระไม่ต่างจากม้าของตน
                         “เสด็จพ่อ! ข้าจะไม่ขี่มันอีกแล้วข้าจะขี่ม้าตัวอื่น   ได้โปรดเถิดเสด็จพ่อ   อย่าส่งมันไปชายแดนเลย” เจ้าชายน้อยเริ่มน้ำตาร่วงพรู “ชาร์ล   ปล่อยข้านะ   ข้าสั่งให้เจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้” ซิกมันด์พยายามแกะมือที่กุมแน่นของชาร์ลอย่างสุดความสามารถ   ทั้งทุบ ทั้งกัด ทั้งหยิกข่วนเป็นพัลวัน   แต่ชาร์ลก็ยังคงยืนนิ่งเหมือนไม่มีความรู้สึกเจ็บ
                         “ข้าเป็นอัศวินมีหน้าที่ปฏิบัติตามบัญชาของฝ่าบาทอย่างเคร่งครัด” ชาร์ลกล่าวพลางยืดอกขึ้นอย่างผึ่งผายเมื่อเห็นว่ากษัตริย์ซิกมันด์ที่สองทรงเหลือบมองมายังตน   ชาร์ลที่ถูกบิดาฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดจึงตะหนักถึงหน้าที่ของตนที่ได้รับมอบหมายจากองค์กษัตริย์ว่าต้องปฏิบัติให้ลุล่วงอย่างเคร่งครัด     
                         “แต่นั่นเป็นม้าของข้านะ   เสด็จพ่อกำลังจะส่งม้าของข้าไปไหนก็ไม่รู้   ข้าจะไม่ได้เจอมันอีก” เจ้าชายน้อยสะอื้นรั่วทุบมือที่แข็งปานคีมเหล็กของชาร์ลไม่ยั้ง   เมื่อเห็นว่าชาร์ลไม่มีทีท่าว่าจะปฏิบัติตามที่พระองค์ต้องการ   จึงหันไปทางพี่สาวของตน “เสด็จพี่   บอกเสด็จพ่อไปสิว่าม้าไม่ใช่ของข้าแล้ว   ข้ายกให้เสด็จพี่ไปแล้ว”     
                         เจ้าหญิงเรจิน่าน้อยตกตะลึงกับเหตุการณ์จนทำอะไรไม่ถูกได้แต่มองกลับไปกลับมาจากม้าที เสด็จพ่อที แล้วก็วกกลับไปยังน้องชายอีก
                         “เสด็จพี่   เร็วเข้าสิ!” ซิกมันด์ตะโกนสุดเสียงน้ำตายังนองหน้า
                         “สะ...เสด็จพ่อ” เจ้าหญิงมองเสด็จพ่อด้วยแววตาตื่น ๆ
                         “เจ้าเป็นถึงขัตติยะนารี   อย่าบังอาจพูดจาปั้นเรื่องให้เสื่อมเกียรติของเจ้า” กษัตริย์ซิกมันด์ที่ 2 ตรัสเสียงเฉียบ   พลางยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ ประตูเมืองเปิดออก และทหารม้าสองนาย ก็ขึ้นขี่ม้าของตนพร้อมลากม้าสีขาวงดงามออกจากวังไป และไม่มีใครได้เห็นมันอีก
                         “ไม่มมมมมมมม ฮือ....” เจ้าชายซิกมันด์ร้องอย่างสุดเสียงทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นร้องไห้โฮโดยที่แขนข้างที่ถูกชาร์ลจับไว้ยังคงไม่เป็นอิสระ
« Last Edit: January 29, 2007, 06:24:43 AM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: January 29, 2007, 06:24:17 AM »

                            “เรจิน่า   เจ้าไปหาเสด็จแม่เสีย” กษัตริย์ซิกมันด์ที่ 2 ตรัสแล้วจึงให้สัญญาณมหาดเล็กและนางกำนัลพาเจ้าหญิงน้อยไปส่งผู้เป็นมารดาที่อุทยานชั้นใน
                            ขณะที่เจ้าหญิงเดินจากบริเวณนั้นไป   เสียงเสด็จพ่อก็ดังขึ้นด้วยความเด็ดขาดจนกลบเสียงร้องไห้ของซิกมันต์“หยุดแสดงความอ่อนแอของเจ้าแล้วลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!!!”
                            เจ้าหญิงน้อยอุทานอย่างตกใจรีบหันกลับไปมองกลุ่มคนเบื้องหลัง  ทว่านางกำนัลก็รีบดึงพระองค์ออกจากลานขี่ม้าทำให้ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีก   

                            “ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น?” ฮารีซันอุทานแทบไม่เชื่อหู   ทำให้เจ้าหญิงรู้สึกพระองค์และหันมามองเขา
                            “เพื่อสอนให้เขารู้ว่าเขาไม่มีสมบัติใด ๆ ทั้งสิ้นให้รัก   นอกจากอาณาจักรฟีเลเซียและเกียรติยศศักดิ์ศรีของเขาเท่านั้น   และเพื่อสอนให้รู้ว่าการแสดงออกว่ารักหรือสนใจสิ่งใดเป็นพิเศษ   เป็นการเปิดจุดอ่อนให้ศัตรูสามารถนำมาเป็นข้อได้เปรียบ”
                            ฮารีซันนั้นไม่เข้าใจวิธีการฝึกฝนของชาวฟีเลเซียสักนิด   ทำไมจึงต้องเข้มงวดกับเด็กตัวเล็ก ๆ ถึงเพียงนี้ “แล้วท่านล่ะ   ท่านถูกฝึกฝนเช่นเขาหรือไม่?”
                            “ไม่เลย ข้าไม่ได้รับการใกล้ชิดหรือใส่ใจจากเสด็จพ่อมากนัก  ข้าถูกเสด็จแม่เลี้ยงดูมาตลอด   เสด็จแม่ให้อิสระกับข้าอย่างเต็มที่   ข้าสามารถทำสิ่งใดก็ได้ถ้าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรืออันตราย   เมื่อตอนเป็นเด็ก   ข้าเคยอิจฉาน้องที่ได้อยู่ใกล้ชิดเสด็จพ่อที่สง่างาม เข้มแข็ง และ มีเกียรติ อยู่ตลอดเวลา บางครั้งข้ารู้สึกอิจฉาเขาที่เสด็จพ่อให้ความสนใจแต่เขา โดยไม่ได้สนใจข้าเท่าไหร่เลย   แต่เมื่อข้าโตขึ้น   ข้าจึงตระหนักว่าซิกมันด์ต้องถูกฝึกอย่างเข้มงวดและยากลำบากเพียงใด ในเวลาที่ข้าอาจเล่นสนุก หรือหัวเราะร่าเริง   เขากลับต้องแสดงออกอย่างเป็นผู้ใหญ่เกินอายุมาก และถูกจับจ้องการกระทำจากทุกคนที่คาดหวังความเป็นกษัตริย์ที่เยี่ยมยอดจากตัวเขา   ทำให้ข้าเลิกอิจฉาน้องและเริ่มเปลี่ยนเป็นความสงสารเขาแทน….   แต่สิ่งที่เป็นอิทธิพลต่อเขามากที่สุด   ก็คงจะเป็นชีวิตของเสด็จพ่อเองที่สอนให้ซิกมันด์ได้รู้ว่าเกียรติยศ ศักดิ์ศรีและการปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จลุล่วงของผู้เป็นกษัตริย์นั่นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด   ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา   ซิกมันด์ได้ติดตามเสด็จพ่อไปปราบเหล่ามังกรและสัตว์ประหลาดทุกครั้ง   เสด็จพ่อทรงนำทัพต่อสู้อย่างกล้าหาญเป็นที่เลื่องลือไปทั่วอาณาจักรถึงความเก่งกล้าสามารถของพระองค์   แม้แต่ข้าเองซึ่งได้มีโอกาสตามเสด็จบ้างในบางครั้งยังอดที่จะชื่นชมพระองค์ไม่ได้นับประสาอะไรกับซิกมันด์ที่ตามเสด็จทุกครั้งจะไม่ปลาบปลื้มและยึดพระองค์เป็นจุดหมาย   แม้กระทั่งการศึกครั้งสุดท้ายของพระองค์   ตอนที่เสด็จพ่อยกทัพไปปราบมังกรไฮดร้าที่เกาะวาร๊อค   แม้เสด็จพ่อจะถูกพิษจากไฮดร้าเพราะการต่อสู้กับมัน   แต่เสด็จพ่อก็ไม่ทรงยอมรับการรักษาใด ๆ จนกว่าจะปราบเจ้ามังกรแห่งวาร๊อคสำเร็จ   จนเมื่อปราบเจ้ามังกรไฮดร้าลงได้ก็สายเกินไปที่จะเยียวยาพระองค์   พระองค์ทรงใช้ชีวิตของพระองค์เองเพื่อสอนซิกมันด์” เจ้าหญิงทรงถอนหายใจเมื่อหวนคิดถึงอดีตที่ผ่านมา “บ่อยครั้งเหลือเกินที่ข้าอดรู้สึกผิดในใจไม่ได้   ข้ารู้สึกว่าตัวเองก็เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่กดดันให้ซิกมันด์กลายเป็นคนที่มีนิสัยเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน   เพราะข้าก็เคยคาดหวังว่าเขาจะยิ่งใหญ่และปรีชาเยี่ยงเสด็จพ่อ   เหมือนที่ทุกคนคาดหวังจากเขา   และถ้าหาก...ถ้าหากข้าเกิดมาเป็นชาย   ภาระหน้าที่ต่าง ๆ ก็คงจะไม่ตกไปที่เขาแต่เพียงผู้เดียวเช่นนี้   เมื่อข้าเริ่มตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้   ข้าจึงตกลงใจว่าข้าจะเลิกเป็นหนึ่งในผู้ที่กดดันเขา   และเปลี่ยนมาทำตัวให้สนุกสนาน   เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้เขาได้พักหายใจบ้าง   แต่ดูเหมือนข้าจะต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติเป็นสามเท่าเสมอ   เพื่อที่จะทำให้เขายิ้มสักครั้งหนึ่ง”
                            “น่าสงสาร” ฮารีซันเปรยออกมาเบา ๆ
                            “ท่านไม่โกรธเขาแล้วหรือ?” เจ้าหญิงทรงถามอย่างคาดหวัง
                            “ข้ายอมรับว่ามีความรู้สึกโกรธเขาอยู่บ้าง   แต่เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว   ข้ารู้สึกสงสารเขามากกว่า” ฮารีซันหันกลับไปมองขบวนแห่ที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ตัววิหาร
                            “ขอบคุณมาก” เจ้าหญิงตรัสพลางยิ้มอย่างมีความสุขหันกลับมามองฮารีซันด้วยความซาบซึ้งใจ
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: January 29, 2007, 06:25:51 AM »

                          หลังจากที่กษัตริย์ซิกมันด์เดินทางกลับมาได้แค่เพียงสัปดาห์เดียว   กองทัพซาโลมก็ยกทัพมาประชิดเมืองอาวีเลียอีกครั้ง   ดูเหมือนว่ากองทัพเพลิงอยากจะเห็นความสามารถของนกธันเดอริก อาวุธใหม่ของอาณาจักรฟีเลเซีย   ซึ่งก็คงเพราะการแห่แหนอย่างเอิกเกริกเมื่อสัปดาห์ก่อนนั่นเอง  ที่ทำให้พวกซาโลมไม่อาจอดใจอยู่เฉยได้   เสียงกลองศึกและเสียงโห่ร้องจนนอกกำแพงดังสนั่นเหมือนจะโห่ร้องให้กำแพงพังลงไปต่อหน้า   
                          ภายในเมืองอาวีเลียนั้น   เหล่าทหารทั้งฝ่ายฟีเลเซีย และ ฝ่ายฟูดินันต่างก็เร่งจัดเตรียมทัพเป็นการใหญ่   พลธนูต่างเร่งเข้าประจำที่ซ้อนกันถึงสามแถวตลอดแนวกำแพงเมือง   ธนูที่ถูกพัฒนาจากนักประดิษฐ์ทิโมธีถูกแจกจ่ายให้แก่พลธนูได้ใช้จริงในศึกครั้งนี้   จากปลายลูกดอกที่แหลมคมกลับถูกเปลี่ยนเป็นกระเปาะแก้วที่บรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่เต็ม   ซึ่งหากกระเปาะแก้วถูกปล่อยออกไปโดนทหารผี   มันจะแตกออกทำให้น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในกระจายออกราดรดตัวทหารปีศาจทันที   ซึ่งทุกคนต่างก็เชื่อว่าธนูรุ่นใหม่นี้จะสามารถจัดการกับทหารปีศาจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในขณะที่ในวันนี้กองทัพของทั้งฟีเลเซียและฟูดินันดูจะเน้นไปที่กองทัพสัตว์มากกว่ากองทัพมนุษย์   ทั้งบรรดากองทัพนก กองทัพกริฟฟิน กองทัพสัตว์ป่าของฟูดินัน กองทัพเปกาซัส รวมไปถึงเหล่าม้าศึกดูจะฮึกเหิมเป็นพิเศษ   เสียงร้องขู่คำรามได้ระงมไปทั่วเมือง
                          ที่บนป้อมกำแพงเมือง   เจ้าหญิงเรจิน่า จอมทัพชาร์ล และกษัตริย์ซิกมันด์ยืนตระหง่านอย่างองอาจ   ที่แขนซ้ายของพระองค์มีนกธันเดอริกเกาะอยู่   เจ้านกสายฟ้าสอดส่ายสายตาเหลือบมองกองทัพเพลิงเบื้องล่างด้วยความสนใจ
                          “หึ   เจ้าพวกคนเถื่อนมันอยากจะลองดีกับโรดเดอริก (Roderick) ของข้าสินะ   ถึงได้รีบเสนอหน้ายกทัพมาเร็วขนาดนี้” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเค้นเสียงหัวเราะมองนกสายฟ้าอย่างภาคภูมิใจ   ซึ่งพระองค์ทรงตั้งชื่อให้ว่า โรดเดอริก อันนี้ความหมายว่าพลังแห่งเกียรติยศนั่นเอง
                          “วันนี้ดูท่าทางว่าพวกมันจะยกทัพมาหยั่งเชิงโรดเดอริกมากกว่านะพ่ะย่ะค่ะ   เพราะแม้จำนวนทหารจะมากอยู่   แต่ก็ไม่เท่ากับการรบในครั้งก่อน ๆ “ จอมทัพฟีเลเซียตั้งข้อสังเกต
                          “ข้าเองก็อยากจะเห็นความสามารถที่แท้จริงของโรดเดอริกเหมือนกัน   ให้กองทัพเถื่อนนี่เป็นคู่ซ้อมมือก็ดี” กษัตริย์ซิกมันต์ตรัสอย่างหยามใจ   ในขณะที่โรดเดอริกกางปีกออกเหมือนจะเป็นการประกาศพลังของตน   ซึ่งก็ทำให้เหล่ากองสัตว์เบื้องล่างร้องคำรามขานรับอย่างฮึกเหิมทันทีเช่นกัน
                          “โรดเดอริกมีพลังมากจริง ๆ   ข้าไม่เคยเห็นกองทัพสัตว์ฮึกเหิมถึงเพียงนี้มาก่อนเลย   เหมือนกับว่านกสายฟ้าตัวนี้เพิ่งพลังทั้งความฮึกเหิมและความแข็งแกร่งให้พวกมันอย่างนั้นแหละ” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัส
                          “ใช่แล้ว   นี่แหละความสามารถของมัน” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงกระหยิ่มยิ้มย่อง “ชาร์ล เตรียมให้สัญญาณโจมตีได้   สั่งสอนให้พวกมันรู้สำนึกว่าโทษของผู้ที่บังอาจมารุกรานฟีเลเซียนั่นจะเป็นเช่นไร”         
                          “ใครเป็นผู้ยกทัพมากัน?   ข้าไม่เห็นตัวแม่ทัพเลย” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสตั้งข้อสังเกตบ้าง
                          “กระหม่อมก็ไม่เห็นเหมือนกัน” ชาร์ลกวาดตามองดูผู้ที่น่าจะเป็นผู้นำทัพ
                          “หึ มันคงจะเกรงกลัวโรดเดอริกของข้าจนไม่กล้าโผล่หัวขึ้นมาละสิ” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงยิ้มเยาะพลางหันมามองนกธันเดอริก   แต่แล้วพระองค์ก็สังเกตเห็นว่าเจ้านกสายฟ้าเหลือบมองจ้องบางสิ่งบางอย่างบนฟ้าอย่างไม่วางตา   เมื่อพระองค์หันไปมองตาม   จึงได้เห็นว่ามีนกปีศาจตัวหนึ่งบินวนอยู่เหนือกองทัพเพลิงมันบินอยู่สูงจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็น   พระองค์รีบยกกล้องขึ้นส่องดูทันที
                          “นั้นมันตัวอะไรกัน?!”
                          ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมองตาม   แต่ไม่มีใครสามารถตอบได้เพราะต่างก็ไม่เคยเห็นนกปีศาจของแบล็ค ไวเซอร์มาก่อน   นกปีศาจที่มีตาขวาถึงสองดวงและตาซ้ายเพียงดวงเดียว   ซ้ำในอุ้งเท้าของมันยังถือลูกแก้วไว้ลูกหนึ่งด้วย   ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าลูกแก้วนั้นมีความสำคัญอย่างไร
                          “มันบินวนอยู่บนนั้นมานานเท่าไหร่แล้วนะ?” ชาร์ลเริ่มมีความกังวล
                          ทันใดนั้นเองเจ้านกปีศาจก็แผดเสียงร้องแหลมดังจนก้องไปทั่วสนามรบ   พร้อม ๆ กับที่กองทัพซาโลมที่เริ่มเฮโลเข้าโจมตีกำแพงเมืองอาวีเลีย
                          “โจมตี !!” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสทันทีไม่รอช้า   กระเปาะน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกดีดออกจากคันธนูพุ่งเข้าใส่กองทัพปีศาจเบื้องล่างราวกับเม็ดฝนยักษ์   เสียงกรีดร้องและเสียงเนื้อปีศาจที่เดือดพล่านดังไปทั่ว   กระนั้นก็ดีเครื่องดีดหินและเครื่องยิงธนูยักษ์ของทางฝ่ายซาโลมก็พุ่งเข้าโจมตีเมืองอาวีเลียได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน   
                          เมื่อพลธนูสามารถกำจัดทหารปีศาจไปได้พอสมควรแล้ว   กษัตริย์ซิกมันด์จึงทรงให้สัญญาณกับชาร์ลอีกครั้ง   เสียงแตรบุกของกองทัพสัตว์ก็ดังขึ้นทันที   ในทันใดนั้นเจ้านกธันเดอริกก็กางปีกสีทองอร่ามจนสุดก่อนจะทะยานขึ้นท้องฟ้าบินอ้อมโฉบลงไปยังกองทัพสัตว์ของฟีเลเซีย   เสียงร้องของมันดังเหนือกองทัพสัตว์เมื่อใด   เสียงร้องขู่คำรามอย่างฮึกเหิมก็ดังกระหึ่มเมื่อนั้น   กองทัพสัตว์บ้างก็ใช้สองขาหน้าตะกุยพื้นในฝุ่นตลบ บ้างก็กางปีกออกกระพืออย่างแรงจนเกิดลมพัดวูบไหวไปทั่ว   บ้างก็ส่งเสียงร้องจนเหล่าทหารที่อยู่ใกล้ต้องยกมือขึ้นปิดหู   เหมือนกับว่ากองทัพสัตว์เหล่านี้มีพลังกำลังเพิ่มขึ้นจนล้นปรี่
                          ทันทีที่นกธันเดอริกโผไปเกาะที่ยอดกำแพงพร้อม ๆ กับเสียงร้องอันแผดดังดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย   ฝูงกองทัพนก และ กริฟฟินก็ทะยานพุ่งข้ามกำแพงไปด้วยความเร็วปานพายุหมุน   ต่างพุ่งตัวโฉบเข้าโจมตีกองทัพตอนกลางและตอนหลังของซาโลมอย่างดุเดือด   เกิดการชุลมุนกันที่กองทัพเบื้องหลังของซาโลมจนดูยุ่งเหยิงไม่เป็นขบวน   และเพียงชั่วอึดใจเดียวนั้นเอง   ประตูเหนืออาวีเลียก็เปิดออกพร้อม ๆ กับกองทัพสัตว์นานาชนิดก็กระโจนพรวดออกมาราวกับสายฟ้าฟาด   ต่างพุ่งเข้าหาทหารซาโลมอย่างไม่กลัวตายด้วยความเหี้ยมหาญ   กงเล็บและคมเขี้ยวจมลึกฝังเข้าไปในเนื้อจนแทบหักกระดูก   เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังผสมปนเปไปกับเสียงร้องคำรามจนลั่นสนามรบ   จากนั้นไม่นานกองทัพอัศวินก็ควบทะยานม้าศึกที่คึกคะนองกระโจนออกจากประตูเมืองตรงเข้าห่ำหันทัพซาโลมพร้อม ๆ กับกองทัพชาวป่าของฟูดินันก็เฮโลกันออกมาจู่โจมต่ออย่างต่อเนื่องทันทีเช่นกัน   
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: January 29, 2007, 06:28:03 AM »

                       ทั้งบรรดาแม่ทัพฝ่ายฟีเลเซียและฟูดินันต่างก็อึ้งตะลึงลานกับภาพเบื้องหน้า   ไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้านกสายฟ้าสัตว์กึ่งเทพของเทพเจ้าธอร์จะสามารถทำได้ถึงเพียงนี้   แม้แต่ผู้ที่นำมันมาอย่างกษัตริย์ซิกมันด์ก็ยังอดตื่นตะลึงไม่ได้   พระองค์หันไปมองโรดเดอริก   ซึ่งบัดนี้บินกลับมาเกาะที่ไหล่พระองค์ด้วยสายตาที่แสดงถึงการยอมรับในความสามารถอย่างแท้จริง   ซึ่งมันก็จ้องกลับพร้อมกับผงกหัวคล้ายกับแสดงท่ายอมรับอย่างยินดี       
                       ในขณะที่กองทัพฟีเลเซียกำลังได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด   จู่ ๆ เจ้านกปีศาจก็ร้องเสียงดังขึ้นเหนือกองทัพซาโลม   เพียงไม่นานฝูงมังกรไฟก็โผบินขึ้นเต็มน่านฟ้า   ก่อนจะบินข้ามกำแพงเมืองตรงเข้าเผาบ้านเรือนหลังกำแพงเมืองทันที   กองทัพฟีเลเซียจึงส่งกองทัพมังกรเข้าต่อกรทันทีเช่นกัน   ทำให้เวลานี้มีการสู้รบทั้งบนบกและบนอากาศจนชุลมุนไปหมด       
                       “ไอ้นกนั้นต้องคอยส่งข่าวและรับคำสั่งจากใครสักคนแน่” ชาร์ลกล่าวอย่างขุ่นเคือง
กษัตริย์ซิกมันด์ทรงกัดกรามกรอดเหลือบไปมองเพลิงไหม้ที่กำลังแผ่ขยายไปทั่วภายในเมืองอาวีเลีย “จัดการมัน โรดเดอริก”   
                       สิ้นเสียงกษัตริย์ซิกมันด์   เจ้านกธันเดอริกก็พุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปในทันที   เจ้านกปีศาจเห็นดังนั้นก็พุ่งเข้าใส่ธันเดอริกด้วยเช่นกัน   ทว่านกธันเดอริกนั้นตัวใหญ่ตัว   ทั้งยังมีความเร็วกว่าหลายขุมนัก   ทันทีที่ปะทะกันเจ้านกปีศาจที่เปลี่ยนใจเบี่ยงหลบก็เสียหลักร่วงลงจากฟ้าอย่างไม่เป็นท่า   เมื่อมันพยายามกระพือปีกทรงตัวอีกครั้ง   เจ้านกสายฟ้าก็พุ่งโฉบเข้าซ้ำ   ลูกแก้วที่อยู่ในอุ้งเท้าของมันก็ร่วงหลุดหายเข้าไปในคลื่นสงครามเบื้องล่าง   เจ้านกปีศาจดูเหมือนจะฉุนโกรธและตรงเข้าโจมตีใส่ด้วยอารมณ์โกรธแค้น   นกทั้งสองพุ่งเข้าจิกตีกันเป็นพัลวัน   แต่ก็เห็นได้ชัดว่าใครที่เป็นต่อ   เพียงพริบตาเดียวเจ้านกสายฟ้าก็จิกตาบนซ้ายของนกปีศาจจนทะลุ   เสียงร้องแผดแหลมอย่างเจ็บปวดก็ดังขึ้นทันที   เจ้านกปีศาจหุบปีกดิ้นสะบัดจนตัวหงิกงออยู่กลางอากาศก่อนจะค่อย ๆ หมุนคว้างและร่วงลงมาอย่างเร็ว   ทว่าก่อนที่เจ้านกปีศาจจะตกลงถึงพื้น   จู่ ๆ ก็มีปีศาจรูปร่างคล้ายค้างคาวบินโฉบมาอย่างรวดเร็วและคว้าตัวนกปีศาจบินหายไป
                       หลังจากที่นกปีศาจจากไปแล้วทัพซาโลมที่ไม่มีใครคอยสั่งการก็ค่อย ๆ ล่าถอยกลับไปในที่สุด   เสียงไชโยโห่ร้องของบรรดาทหารฟีเลเซียและฟูดินันก็ดังขึ้นเพื่อประกาศชัยชนะเหนือกองทัพเถื่อนของซาโลมอีกครั้ง   ทว่ายังไม่มีใครล่วงรู้เลยว่ากองทัพซาโลมได้สร้างความเสียหายให้ฟีเลเซียมากกว่าที่ทุกคนคาดคิด   


s

                       “อะไรนะ?!” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างเดือดดาล
                       “ทูลฝ่าบาท   ตอนที่พวกมังกรไฟของซาโลมบินข้ามกำแพงมาโจมตีเมืองชั้นใน   พวกมันได้เผาทำลายคลังเสบียงและคลังแสงของพวกเราจนเสียหายอย่างหนัก” นายทัพฝ่ายคลังเสบียงทูล
                       “มันคงมีแผนจะทำลายคลังเสบียงและคลังอาวุธของเราตั้งแต่แรกแล้ว   คงเพราะมันเคยยึดเมืองนี้ไว้   มันจึงรู้ว่าคลังเสบียงและคลังแสงของเราอยู่ที่ไหน   มันถึงได้โจมตีได้ถูกจุด” ชาร์ลกล่าวเสริมด้วยความหงุดหงิด
                       “เสียหายมากขนาดไหน?” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสถาม
                       “เราอาจจะไม่มีเสบียงพอเลี้ยงทหารทั้งฟีเลเซียและฟูดินันได้ถึงสองเดือน” นายทัพฝ่ายคลังเสบียงกล่าว “การศึกครั้งนี้ยืดเยื้อมาก   ซ้ำนี่ก็ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาวทำให้พืชผลยังไม่ออกรวง   อีกทั้งพื้นที่การเกษตรในแถบนี้ส่วนใหญ่ก็โดนกองทัพเพลิงเผาทำลายไปมาก   การจะเร่งหาเสบียงมาทดแทนนั้นลำบากเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ”
                       “แล้วฝ่ายคลังแสงล่ะ?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามเสียงเครียด
                       “คลังแสงก็เสียหายหนักเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ   อาวุธที่มีส่วนประกอบของไม้   ส่วนใหญ่ก็ไหม้ไฟจนชำรุดเสียหาย   ส่วนพวกที่เป็นโลหะก็โดนความร้อนจนบิดเบี้ยวผิดรูปร่างไปก็มาก   ถ้าจะซ่อมแซมก็คงต้องใช้เวลาอยู่ไม่น้อย   อาวุธประเภท   ใช้แล้วหมดไปอย่างพวกลูกธนูก็มีความจำเป็นมากที่จะต้องเร่งผลิตอย่างรีบด่วน   คงต้องใช้งบประมาณในการเร่งซ่อมแซมมากโขเชียวพ่ะย่ะค่ะ”
                       ที่ประชุมต่างเงียบเสียงลง   พยายามคิดหาทางออกกันจ้าละหวั่น   ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งเสบียงอาหารที่ต้องเลี้ยงดูทหารนับแสน   ทั้งงบประมาณจำนวนมหาศาลที่จะต้องเร่งหามาฟื้นฟูทุกส่วนโดยด่วน
                       “เราคงจำเป็นต้องตัดงบประมาณหลายส่วนมาเร่งฟื้นฟูคลังแสงและคลังเสบียงก่อน” ชาร์ลกล่าวเสียงเครียด
                       “ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องตัดเสบียงของฟูดินัน” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัส   ทั้งที่ประชุมต่างเงียบเสียงลง   เจ้าหญิงเรจิน่าทรงมองกษัตริย์น้องชายด้วยความวิตกในการตัดสินใจครั้งนี้   กษัตริย์ซิกมันด์มองตอบด้วยสีหน้าตึงเครียดพลางส่ายหน้า “ข้าไม่มีทางเลือก”   
                       “ตั้งแต่แรกเริ่มสงคราม   พวกเราก็เตรียมเสบียงไว้ให้เพียงพอต่อกองทัพของเราเท่านั้น   การที่กองทัพของฟูดินันยกทัพมาช่วยเรา   แม้แต่เดิมพวกชาวป่าจะมีเสบียงมาด้วยแต่เมื่อนานวันเข้าเสบียงก็หมด   เราเองจึงต้องแบ่งเสบียงให้   การที่เสบียงที่เตรียมไว้สำหรับหนึ่งกองทัพ   ต้องมาแบ่งให้ถึงสองกองทัพ   มันก็ไม่น่าจะพอเพียงไปตลอดการรบตั้งแต่แรกอยู่แล้ว   นี่ยังมาถูกทำลายจนเสียหายขนาดนี้อีก” ชาร์ลเอ่ยขึ้นด้วยความหนักใจ
                       “ข้าเข้าใจ” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสอย่างเข้าใจสถานการณ์   แต่ก็ยังอดหนักใจไม่ได้ “ข้ากังวลว่าพวกเขาจะอยู่รอดได้อย่างไรถ้าไม่มีเสบียงช่วยจากเรา”
                       “หรือเราจะให้พวกเขาเดินทางกลับไปก่อน” นายทัพนายหนึ่งกล่าวขึ้น
                       “เป็นไปไม่ได้   พวกซาโลมมันจมูกไวจะตาย   พวกมันคงรีบยกทัพมาประชิดเมืองทันทีแน่” นายทัพอีกนายกล่าว
                       ทุกคนในที่ประชุมต่างก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสถานการณ์ยากลำบากที่กำลังเผชิญอยู่   กษัตริย์ซิกมันด์ทรงยืนขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหลังจากที่ทรงนิ่งเงียบอยู่นานพลางหันไปทางเจ้าหญิงเรจิน่า
                       “บอกตรง ๆ ข้ามองไม่เห็นทางอื่นจริง ๆ “   
 
   
s
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: January 29, 2007, 06:29:26 AM »

                        เจ้าหญิงเรจิน่าทรงเดินตรงไปยังกลุ่มผู้นำชาวป่าที่กำลังนั่งชุมนุมกันอยู่รอบกองทัพด้วยความรู้สึกวิตกกังวลและไม่สบายใจอย่างที่สุด   พระองค์ไม่รู้จริงๆ ว่าจะอธิบายให้พวกชาวป่าเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร   ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้   ฮารีซันซึ่งสังเกตเห็นสีหน้าของเจ้าหญิงอยู่ก่อนแล้วจึงพูดขึ้นทันที
                        “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
                        เหล่าขุนพลชาวฟูดินันต่างหันหน้ามามองเป็นตาเดียวด้วยความสงสัย   เจ้าหญิงยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึมและแววตาวิตกกังวล   พระองค์กวาดตาไปรอบ ๆ กองไฟจึงเห็นว่าข้าง ๆ ฮารีซันยังมีที่ว่างอยู่จึงเดินเข้าไปและหย่อนองค์ลงนั่งบนขอนไม้นั้น 
                        “ข้ามีข่าวไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นักมาแจ้งให้ทราบ” เจ้าหญิงเริ่มเกริ่นก่อนจะค่อย ๆ เล่าสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้พวกชาวป่าฟังถึงความจำเป็นของกองทัพที่จะต้องตัดเสบียงช่วยเหลือชาวฟูดินัน   ทุกคนต่างฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างจากผู้เล่า   แต่ทว่าสิ่งที่ผิดคาดจากความคิดของเจ้าหญิงและเหล่าขุนพลชาวฟีเลเซียก็คือ   ทุกคนต่างคิดว่าคงจะเป็นเรื่องยากลำบากที่ชาวฟูดินันจะยอมรับการถูกตัดความช่วยเหลือแต่โดยดี   เนื่องจากทหารร่วมแสนจะไม่มีอาหารไว้หล่อเลี้ยงกองทัพทันทีหลังจากเดือนนี้ไป   ทว่าเหล่าขุนพลชาวป่ากลับยอมรับอย่างเข้าใจแม้จะยังมีความวิตกต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น   ต่างมองหน้ากันไปมาเพื่อหวังว่าจะมีใครคิดหาทางออกให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ 
                        “ข้าเสียใจ   ที่เรื่องออกมาเป็นเช่นนี้” เจ้าหญิงตรัส
                        “พวกเราเข้าใจ   อย่างคิดมากเลย” ฮารีซันกล่าวให้กำลังใจ  ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าสนับสนุนคำพูดของเขา “เสบียงที่จะเอาไว้ใช้ในกองทัพของพวกเราต้องนี้ก็ยังมีพอเลี้ยงทั้งกองทัพได้อีกระยะหนึ่ง   เวลานี้พวกเราคงต้องช่วยกันคิดหาวิธีที่จะแก้ไขสถานการณ์   มีใครมีความคิดดี ๆ บ้าง”
                        “ส่งข่าวกลับไปที่เผ่าของพวกเรา  ให้พวกเขาส่งเสบียงมาให้เพิ่มดีไหม?” นายพลทราเฮิร์นเสนอ
                        “เกรงว่าคงได้จากแต่ละเผ่าไม่มากเท่าไหร่   เพราะส่วนใหญ่ก็เพิ่งฟื้นตัวจากการปล้นสะดมของไอ้พวกซาโลม   และโดยเฉพาะเผ่าของข้าคงไม่มีผลผลิตใด ๆ ส่งมาให้   เพราะจนบัดนี้พิษจากเพลิงเวทย์ก็ยังไม่เสื่อม   พืชผลใด ๆ ก็คงยังกินไม่ได้” ดามิก้าพูดแล้วก็หงุดหงิดเมื่อคิดถึงความพินาศย่อยยับของเผ่าตน
                        “แล้วท่านฮารีซันล่ะ?   ท่านคิดว่าอย่างไร?” คาร์นเอ่ยถาม
                        “ข้ากำลังคิดเถอะเรื่องที่ข้าเพิ่งได้ยินมาวันนี้”
                        “เรื่องอะไรรึ?” ทุกคนถามอย่างสนอกสนใจ
                        “วันนี้มีพี่น้องของเผ่าเล็ก ๆ เผ่าหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเผ่าฟูดินัน   ตอนที่เกิดไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่เพราะการทำลายล้างของราชินีของซาโลม   เขาได้อพยพครอบครัวหนีข้ามทะเลไปยังเกาะทางใต้   แต่เมื่อเขาได้ข่าวว่าเราสามารถพลักดันกองทัพเพลิงกลับออกไปได้แล้ว   เขาจึงได้อพยพกลับมา   แต่ได้เดินทางมาช่วยรบกับกองทัพเสริมของพวกเราที่เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน”
                        “อาณาจักรทางใต้...อาณาจักรแอนดิซองที่ว่ากันว่ามั่งคั่งจนเอาเพชรนิลจินดามาประดับตามผนังบ้านน่ะรึ?” ดามิก้าถามต่ออย่างสนใจ
                        “เจ้าเชื่อเรื่องที่พวกพ่อค้าคุยเร่โม้ให้ฟังด้วยรึ?” คาร์นถามด้วยความประหลาดใจ   ไม่คิดว่าดามิก้าจะเชื่อคำพูดคุยโม้ของพวกพ่อค้าเร่
                        “ข้าก็ไม่ได้เชื่อขนาดนั้นหรอกน่า” ดามิก้าหน้าแดงหัวเราะกลบเกลื่อน “ข้าแค่คิดว่ามันน่าจะมีเคล้าความจริงอยู่บ้าง   ไม่งั้นพวกพ่อค้าคงเอามาเล่าไม่ได้   เอาเถอะ...ว่าแต่ท่านคิดว่ามันมีอะไรน่าสนใจรึ?”   
                        “ที่น่าสนใจก็คือ เขาได้พูดถึงความโอบอ้อมอารีของเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรแอนดิซอง”
                        “เจ้าหญิงอลาน่า มารี ชาริเต้ แห่งแอนดิซองสินะ” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสขึ้น “ข้าก็เคยได้ยินชื่อเสียงของพระองค์มาเหมือนกัน   ว่ากันว่าพระองค์เป็นเจ้าหญิงที่อุทิศตนช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก”
                        “ใช่แล้ว   ที่ข้าได้ยินมา   เจ้าหญิงพระองค์นี้อุทิศตนเผื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง   ทั้งยังให้ความช่วยเหลือบรรดาชาวฟีเลเซียและฟูดินันที่อพยพหนีภัยสงครามไปที่อาณาจักรแอนดิซองอย่างเต็มที่และเท่าเทียม   เหมือนเป็นประชาชนของแอนดิซองเช่นกัน”
                        “ดังนั้น   ความคิดของท่านคือ....” ทราเฮิร์น นายทัพเซนทอร์ลากเสียงถามหยั่งความคิดของฮารีซัน
                        “ข้าคิดว่าเราควรจะเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหญิงอลาน่า” ฮารีซันประกาศ


s
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: January 29, 2007, 06:31:59 AM »

                       หลังจากที่ได้ปรึกษาหารือกับทุกฝ่ายแล้ว   ที่สุดด้วยความช่วยเหลือของเจ้าหญิงเรจิน่า   ฟีเลเซียก็ยินยอมให้ฮารีซัน หัวหน้าของกองทัพชาวป่ายืมเรือรบแห่งฟีเลเซีย (FELASIA BATTLE SHIP) เพื่อออกเดินทางสู่อาณาจักรแอนดิซอง   ฮารีซันพร้อมด้วยทราเฮิร์นและทหารฟูดินันอีกจำนวนหนึ่งจึงออกเดินทางลงใต้มุ่งสู่ฐานทัพเรือของฟีเลเซีย   โดยมอบหมายให้คาร์นและดามิก้าอยู่ควบคุมดูแลกองทัพที่เมืองอาวีเลียแทน
                       ทันทีที่มาถึงฐานทัพเรือของฟีเลเซีย   ทุกคนต่างก็ต้องตื่นตะลึงกับแสนยานุภาพของกองทัพเรือแห่งฟีเลเซียซึ่งก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าทัพบกและทัพอากาศเลย   เรือรบขนาดต่าง ๆ ถูกนำมาจอดเทียบท่าเรียงรายอยู่เต็มท่าเรือ   เรือรบที่ฟีเลเซียให้ชาวป่าหยิบยืมนั้น   เป็นเรือรบที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนักแต่ก็ดูมีความแข็งแกร่งพอที่จะแล่นข้ามทะเลที่เชี่ยวกราดได้ดี   ฮารีซันและทราเฮิร์นเดินสำรวจรอบเรือรบระหว่างที่ลูกเรือชาวป่าคนอื่น ๆ ทยอยขนเสบียงอาหารลงเรือ   
                       “นี่เป็นการเดินทางออกทะเลครั้งแรกของข้าเลยนะเนี่ย” ทราเฮิร์นกล่าวพลางสูดกลิ่นไอทะเลเข้าเต็มปอด
                       “ข้าก็ไม่ต่างจากท่านเท่าไหร่หรอก” ฮารีซันกล่าวยิ้ม ๆ กวาดตามองผืนน้ำสีฟ้าอมเขียวและอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นกับการออกทะเลครั้งแรกไม่ได้เช่นกัน “ดีที่เรามีพี่น้องจากเผ่าที่อยู่ติดชายทะเลมาด้วย   จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการแล่นเรือมากนัก”
                       แม่ทัพเซนทอร์ยิ้มพยักหน้ารับคำก่อนที่รอยยิ้มจะค่อย ๆ เลือนหายไปจากใบหน้า   แววตาเริ่มฉายแวววิตกกังวล เมื่อคิดถึงหนทางเบื้องหน้าและภารกิจที่ต้องกระทำ “ท่านคิดว่าเราจะทำสำเร็จไหม?”
                       ฮารีซันมองตอบก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่นายทัพเซนทอร์อย่างให้กำลังใจ “เราต้องทำสำเร็จ”
                       “ถูกของท่าน   เราต้องทำสำเร็จ” ทราเฮิร์นยิ้มอย่างมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง   เพื่อพี่น้องทั้งกองทัพ   เขาจะรีบถอดใจก่อนไม่ได้   
                       เสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้ทราบว่าทุกฝ่ายพร้อมออกเดินทางแล้ว   ทั้งสองตบบ่าให้กำลังใจกันอีกครั้งก่อนจะเดินไปสมทบกับคนอื่น ๆ


s
   

                       หลังจากที่คณะของฮารีซันออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองท่าไปได้หนึ่งสัปดาห์   แม่ทัพชาร์ลก็ถูกเชิญตัวเข้าพบเจ้าหญิงเรจิน่า ณ จวนที่ประทับเป็นการส่วนพระองค์   
                       แม่ทัพชาร์ลในชุดเกราะเต็มยศเดินทางมาถึงจวนที่พักตรงเวลาเหมือนเคย   ในเวลาเที่ยงตรงอย่างวันนี้   แม้จะอยู่ปลายฤดูหนาวแล้วแต่ในชุดเกราะเต็มยศเช่นเขาก็เรียกเหงื่อให้ไหลเป็นทางได้   ชาร์ลรับผ้าฝ้ายเนื้อนุ่มจากเด็กรับใช้ที่นำมาให้ขึ้นซับหน้าระหว่างรออยู่ในห้องรับรองที่มีอากาศเย็นสบาย   ซึ่งก็คลายความร้อนลงได้มากทีเดียว   เพียงครู่หนึ่งเจ้าหญิงก็เสด็จออกมาพบพร้อมแนนเนตนางกำนัลคนสนิท   เจ้าหญิงทรงเดินเข้ามาหาในขณะที่แนนเนตหยุดยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าอย่างรู้หน้าที่
                       “ท่านมาถึงตรงเวลาเหมือนเคยนะ” เจ้าหญิงตรัสพร้อมกับประทับนั่งที่เก้าอี้ตัวโปรด   ในขณะที่ชาร์ลก้มศีรษะน้อย ๆ รับคำ
                       “ฝ่าบาททรงเรียกพบ   มีเรื่องด่วนรึพ่ะย่ะค่ะ?” ชาร์ลถามนำ
                       “จะว่าด่วนก็ไม่เชิงหรอก  แต่เรียกว่าเป็นเรื่องที่ข้ายังกังวลอยู่น่าจะเหมาะกว่า” เจ้าหญิงตรัส “ท่านคิดว่าตอนนี้ซิกมันด์เป็นอย่างไรบ้าง?   ข้าเป็นพี่ของเขา และ รู้จักเขาดีกว่าใคร ๆ   เวลานี้เขาดูเคร่งเครียดตลอดเวลา...จนข้าอดเป็นห่วงไม่ได้”
                       “ในด้านไหนล่ะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท?” ชาร์ลทูลตอบ “หากเป็นในแง่ความเป็นกษัตริย์แล้ว   ถือว่าพระองค์ทำได้ดีมาก ๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ด้วยวัยเพียงเท่านี้   พระองค์อาจจะดูเคร่งเครียด และ แข็งกร้าว   แต่ก็เผื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่เหล่าอัศวินโดยแท้จริง  ยิ่งท่าทีที่พระองค์มีต่อกองทัพชาวป่านั้นก็ยิ่งสะท้อนถึงความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมของพระองค์ได้อย่างดี   เพราะหากพระองค์ทรงชื่นชมกองทัพชาวป่าที่เพิ่งเข้ามาช่วยเสริมกำลังให้กองทัพของเรา   แต่กลับทำให้เราสามารถตีโต้กองทัพซาโลมจนสามารถยึดเมืองคืนได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว   เหล่าอัศวินที่ทุ่มเทแรงกายถวายชีวิตในการรบมาเป็นเวลาแรมเดือนก็จะพาลท้อแท้หมดกำลังเอาได้   ดังนี้แล้วท่าทีแข็งกร้าวต่อกองทัพชาวป่าของพระองค์จึงเป็นเหมือนการประกาศให้เหล่าอัศวินทั้งกองทัพทราบว่าพระองค์ยังคงรักและภาคภูมิใจในพวกเขาอยู่”
                       เจ้าหญิงเรจิน่าทรงยิ้มพยักหน้าเห็นด้วยกับจอมทัพฟีเลเซีย   น้องชายของพระองค์ต้องขึ้นรองราชย์ตั้งแต่ด้วยวัยเพียงสิบหกปี   ครั้นขึ้นครองราชย์ได้เพียงปีเดียวก็ต้องเข้ารบทัพจับศึกที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้   เขาสามารถประคับประคองนำพาประเทศชาติและกองทัพให้ยังคงเป็นปึกแผ่นได้เพียงลำพังคนเดียวนานถึงเกือบสามปีแล้ว   แต่ทว่าเจ้าหญิงก็ยังคงมีความวิตกกังวลอยู่จึงตรัสถามต่อ
                       “ข้าเข้าใจที่เขาแสดงท่าทีที่ดูแข็งกร้าวเกินจริงต่อกองทัพฟูดินันเพื่อขวัญและกำลังใจให้แก่กองทัพของเรา   แต่ความรู้สึกที่แท้จริงที่เขามีต่อกองทัพชาวป่าเล่า?   นี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าวิตกเพราะเขาไม่ค่อยจะยอมบอกอะไรข้าสักเท่าไหร่เลย”
                       “ก็เพราะพระองค์ดูมีท่าทีชื่นชอบกองทัพชาวป่าอยู่มากนะสิพ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลยิ้มร่าทูลดักอย่างรู้ทัน
                       “อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลยชาร์ล” เจ้าหญิงทรงยิ้มตอบพลางหรี่ตาแคบคล้ายกำลังหาวิธีแก้เผ็ดไว้ในใจ
                       “ฝ่าบาททรงยอมรับในฝีมือการรบของกองทัพฟูดินัน” ชาร์ลทูลตอบพร้อมกับทำหน้านิ่งเหมือนไม่รับรู้สัญญาณเตรียมแก้เผ็ดของเจ้าหญิง
                       “เขาพูดเช่นนั้นรึ?” เจ้าหญิงทรงอดถามย้ำอย่างตื่นเต้นไม่ได้
                       “พ่ะย่ะค่ะ   หลังจากทอดพระเนตรการรบของกองทัพฟูดินัน2-3ครั้ง   พระองค์ก็ตรัสกับกระหม่อมถึงเรื่องนี้   ทว่าเจ้าหญิงต้องทรงเก็บไว้เป็นความลับก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ   เรื่องนี้ฝ่าบาทต้องการให้การยอมรับกองทัพชาวป่าดำเนินไปอย่างค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป”
                       “ข้าเข้าใจ   เพียงข้าได้ยินว่าซิกมันต์มีความรู้สึกเช่นนี้กับกองทัพฟูดินัน   ข้าก็ค่อยเบาใจขึ้น”
                       “พ่ะย่ะค่ะ   หากฝ่าบาททรงรังเกียจหรือเหยียดหยามกองทัพฟูดินันอย่างที่ทรงแสดงออก   ป่านนี้พวกเขาคงไม่ได้เรือรบแม้สักลำออกทะเลเพื่อเดินไปอาณาจักรแอนดิซองง่ายดายเช่นนี้   และเรือที่ให้ไปก็ถือว่าเป็นเรือรบชั้นดีลำหนึ่งของเราทีเดียว”
                       “จริงของท่าน” เจ้าหญิงทรงยิ้มรับคำ   “ตอนนี้ก็คงเหลือแต่ว่าจะทำอย่างไรให้ซิกมันต์คลายความตึงเครียดลงได้บ้าง   การเป็นกษัตริย์ที่ต้องดูแลกองทัพและเมืองต่าง ๆ ในภาวะสงครามเช่นนี้ช่างเป็นภาระที่หนักหนาสาหัสเหลือเกิน   แม้หากเสด็จพ่อยังมีพระชนม์อยู่ก็คงจะต้องปกครองด้วยความลำบากไม่ใช่น้อย   ซิกมันต์แข็งแกร่งและเติบโตขึ้นมากจริง ๆ “
                       “พ่ะย่ะค่ะ   พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่พวกเราภาคถูมิใจ” ชาร์ลยิ้มรับคำด้วยความจริงใจ
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: January 29, 2007, 06:33:04 AM »

มาม๊ะ...มาเม้าท์กันทีนี่จ๊ะ


http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=27952.0
« Last Edit: March 01, 2007, 06:34:29 AM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.235 seconds with 22 queries.