Summoner Master Forum
April 25, 2024, 07:48:13 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยาย SMN Chapter 30 ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความรัก @@  (Read 10244 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: February 23, 2005, 04:12:41 AM »

Chapter 30 ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความรัก


                     ณ เมืองท่าแอนดิซอง
                     ทุกวันลักษ์(Lux)ของสัปดาห์เป็นวันที่เจ้าหญิงอลาน่าและคณะนักบวชของซิสเตอร์โรซาน่าจะออกไปแจกจ่ายอาหารให้แก่บรรดาคนยากจนตามท่าเรือและแหล่งชุมชนแออัดในเมือง   คณะนักบวชจะกระจายไปตามจุดสำคัญต่างๆรอบๆเมืองท่า   ซึ่งผู้ที่มารับบริจาคก็มักจะมาต่อแถวรอรับบริจาคจนแถวยาวเหยียดทุกครั้ง   ชาวบ้านรู้ดีว่าเจ้าหญิงจะออกมาแจกจ่ายอาหารด้วยตัวเองทุกครั้งแต่น้อยคนนักที่รู้ว่าเธอคือเจ้าหญิงอลาน่าผู้สูงศักดิ์   ทั้งนี้เพราะท่าทางที่เรียบง่ายไม่ถือตัวของเจ้าหญิง   อีกทั้งมิได้สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ที่หรูหราอย่างหญิงสูงศักดิ์หากแต่สวมชุดเครื่องแบบของซิสเตอร์ไม่ต่างจากซิสเตอร์ท่านอื่นๆ   เรื่องนี้เคยถูกองครักษ์อองเดรคัดค้านมาแล้วครั้งหนึ่ง   เพราะคิดว่าจะทำให้เกียรติของเจ้าหญิงมัวหมองลง   แต่เมื่อเจ้าหญิงอ้างถึงเรื่องความปลอดภัยในการพรางตัวไม่ให้ดูโดดเด่นจนเกินไปจึงทำให้องครักษ์หนุ่มจำใจยอมรับแม้ไม่ชอบใจนักก็ตามที   กระนั้นก็ดีอองเดรก็ได้จัดทหารองครักษ์หลายสิบนายคอยดูแลเจ้าหญิง   แต่เมื่อเจ้าหญิงปฏิเสธเพราะไม่อยากให้ชาวบ้านตื่นตกใจกับทหารจำนวนมากอีกทั้งการที่ทหารดูแลแค่เฉพาะกลุ่มของเจ้าหญิงก็จะยิ่งเป็นการบ่งบอกว่าเธอคือเจ้าหญิงแห่งแอนดิซอง   ทำให้อองเดรจำต้องจัดหมู่ทหารองครักษ์คอยดูแลติดตามคณะแจกอาหารทุกกลุ่มเพื่อให้เจ้าหญิงยินยอมรับการอารักขาความปลอดภัยของตน  
                     กลุ่มของเจ้าหญิงอลาน่าและซิสเตอร์โรซาน่ามักไปประจำอยู่ใกล้กับท่าเรือ   เพราะที่นั่นมีคนยากจนไปขอทานกันอยู่มาก   ซึ่งในวันนี้ก็อีกเช่นกันที่เจ้าหญิงอลาน่าจะออกไปแจกจ่ายอาหารแต่เช้า   มีคนยากจนมากมายมายืนต่อแถวตรงบริเวณที่เธอมาตั้งโต๊ะแจกประจำก่อนที่คณะของเธอจะมาถึงเสียอีก   หม้อซุปขนาดใหญ่หลายหม้อที่ถูกเปิดฝาขึ้นมีควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นมาส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบอบอวล   ขนมปังเนื้อฟูก้อนโตทรงกลมสีน้ำตาลที่เพิ่งถูกนำออกจากเตาร้อนๆก็ชวนกินไม่น้อย   บรรดาคนยากจนมองกลุ่มซิสเตอร์ที่กำลังจัดวางหม้อซุปและขนมปังด้วยสายตาเป็นประกายตื่นเต้นดีใจ   วันนี้พวกเขาจะได้อิ่มท้องด้วยขนมปังและซุปร้อนๆหอมกรุ่นที่จะช่วยบรรเทาความหนาวได้อย่างดี  
                     ทันทีที่เริ่มแจกจ่ายอาหาร   บรรดาคนยากจนต่างก็แทบจะกรูกันเข้ามารับอาหารด้วยความหิวโหย   คนที่ได้รับแจกแล้วก็มักจะหาที่นั่งตามขอบถนนและมุมตึกบริเวณนั้นทานกันอย่างเอร็ดอร่อยในทันที   ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขของคนจนเหล่านี้ทำให้จิตใจของอลาน่าอิ่มเอมไปด้วยความสุข   ซิสเตอร์โรซาน่าและเจ้าหญิงอลาน่ามักทำหน้าที่ตักซุปแจก   เธอตักแจกให้แก่คนจนคนแล้วคนเล่าจนกระทั่งมาถึงหนูน้อยคนหนึ่ง   เด็กชายตัวน้อยอายุไม่น่าจะเกินเจ็ดปีเนื้อตัวมอมแมม   เขาสวมเสื้อผ้าเนื้อบางซึ่งดูแทบจะไม่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นเลยสำหรับเมืองหนาวเช่นนี้   อลาน่าจำเด็กน้อยคนนี้ได้ดีเพราะเธอพึ่งจะให้เสื้อคลุมของเธอแก่เขาเมื่อวันแจกอาหารครั้งที่ผ่านมานี้เอง
                     “หนูจ๊ะ   ทำไมไม่ใส่เสื้อคลุมที่ฉันให้ไปเมื่อคราวที่แล้วล่ะจ๊ะ?   ใส่เสื้อบางๆแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะจ๊ะ” อลาน่าถามอย่างเป็นห่วง   เมื่อเด็กน้อยเอาแต่ก้มหน้านิ่งไม่ยอมตอบจึงได้ถามต่อ “หนูใส่เสื้อบางแค่นี้ไม่หนาวหรือจ๊ะ?”
                     เด็กน้อยพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะรีบส่ายหน้าเร็วๆ   อลาน่ารู้ดีว่าเด็กน้อยต้องหนาวแน่ๆ   แต่ทำไมถึงส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่หนาว   เด็กน้อยยื่นชามขอบบิ่นรอเธอตักซุปให้อย่างใจจดใจจ่อ   เธอจึงตักซุปใส่ให้จนเกือบเต็มชาม   ทันทีที่กลิ่นซุปโชยเข้าจมูก   เด็กชายก็ตาโตกลืนน้ำลายอึกใหญ่   เจ้าหญิงยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะรับขนมปังจากซิสเตอร์ท่านหนึ่งส่งให้เด็กน้อย “รีบทานเลยนะจ๊ะ   นั่งข้างๆโต๊ะนี้ก็ได้จ้ะจะได้อุ่นขึ้นหน่อย”
                     แต่เด็กชายกลับใช้แขนหนีบขนมปังและเดินประคองชามซุปหายเข้าไปทางซอกตึกใกล้ๆกันนั้น   เจ้าหญิงมองตามหลังเด็กน้อยไปรู้สึกสงสัยยิ่งนักกับท่าทางของเด็กน้อย
                     “ซิสเตอร์คะ   ฉันขอตัวสักประเดี๋ยวได้ไหมคะ?” เจ้าหญิงอลาน่าถามขึ้น
                     “พระองค์จะเสด็จไปไหนรึเพคะ?” ซิสเตอร์โรซาน่าถามกลับ
                     “ฉันอยากจะไปดูเด็กน้อยคนเมื่อกี้สักหน่อยคะ   ฉันรู้สึกติดใจกับท่าทางของแก” อลาน่าหันไปมองกลุ่มทหารก็เห็นว่าพวกเขากำลังง่วนอยู่กับการจัดแถวผู้มารับบริจาคให้เป็นระเบียบ   ซึ่งซิสเตอร์โรซาน่าก็มองตามด้วยเช่นกัน
                     “แน่พระทัยหรือเพคะ   เอาทหารติดตามไปด้วยสักสองนายสิเพคะ” ซิสเตอร์โรซาน่าเสนอเพื่อความปลอดภัยของเจ้าหญิง
                     “ไม่ดีกว่าคะ  พวกเขากำลังทำงาน   แล้วอีกอย่าง ฉันไม่อยากให้เด็กน้อยคนนั้นตกใจด้วย”
                     “ถ้าเช่นนั้น หม่อมฉันจะตามเสด็จไปด้วยนะเพคะ” ซิสเตอร์โรซาน่าเรียกให้ซิสเตอร์สองท่านเข้ามาทำหน้าที่ตักซุปแทนพวกเธอ   ก่อนจะปลีกตัวเดินไปตามทางที่เด็กน้อยหายเข้าไป  
« Last Edit: August 21, 2005, 02:41:23 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: February 23, 2005, 04:13:53 AM »

                      ทั้งสองกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามซอกตึกที่สกปรกเลอะเทอะเพื่อตามเด็กน้อยให้ทัน   อลาน่าเร่งฝีเท้าจนกระทั่งทะลุออกมาสู่ถนนสายเล็กๆที่มีบาร์เหล้าและโรงแรมราคาถูกตั้งอยู่อย่างแออัด   เสียงหัวเราะและเสียงตะโกนหยอกล้ออย่างสนุกสนานเพราะความเมาดังออกมาจากร้านต่างๆ   กำแพงตึกสีหม่นที่ดูแทบไม่ออกว่ามันเคยเป็นสีใดมาก่อนมีรอยร้าวและมีคราบสกปรกเปรอะอยู่เต็มไปหมด   กลิ่นน้ำเน่าสกปรกจากท่อน้ำทิ้งโชยมาเป็นระยะๆทำให้สตรีทั้งสองต้องกลั้นหายใจอยู่หลายครั้ง   และมีอยู่ถึงสองครั้งที่หนูดาร์กพิท(Dark Pit Rat) หนูร่างเล็กสีดำที่มีหูถึงสามคู่และหางยาว   ปลายหูและปลายหางมีแสงเรืองสว่างคล้ายดวงไฟเล็กๆติดอยู่   มันวิ่งผ่านหน้าสตรีทั้งสองเข้าไปยังท่อน้ำทิ้งที่อยู่อีกฟากของตรอกแคบๆนั้น   ข้างๆร้านเหล้าไม่ใกล้ไม่ไกลนั้นมีกะลาสีเรือร่างอ้วนเนื้อตัวมอมแมมนอนกอดขวดเบียร์กรนเสียงดังสนั่น   ทั้งสองเดินลัดเลาะซอกซอยต่างๆตามเด็กชายตัวน้อยไป   อลาน่าพยายามมองหาเด็กน้อยอยู่ครู่หนึ่งก็ทันได้เห็นแผ่นหลังของเด็กน้อยที่กำลังประคองชามซุปอย่างระมัดระวังเลี้ยวหายไปในซอกตึกที่อยู่ตรงสุดถนน   เธอและซิสเตอร์จึงรีบเร่งฝีเท้าตามไปทันที
                       ข้างหลังบาร์เหล้าซอมซ่อนั้นเอง   เด็กน้อยได้หายไปแล้วมีเพียงเพิงหลังหนึ่งขนาดไม่ใหญ่มากนักตั้งอยู่ติดกำแพง   ใกล้ๆกันนั้นมีกองขยะซึ่งคงเป็นเศษผักเศษเนื้อจากร้านรวงทั้งหลายในบริเวณนั้นที่นำมากองทิ้งไว้ที่นี่   กลิ่นขยะสดที่เริ่มเน่าส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งมีแมลงเปลือกแข็งสีม่วงเข้มลายแดงอย่างแมลงมาลิซีโอ(Maliceo) )บินตอมหาเศษอาหารจากกองขยะนั้นหลายตัว   อลาน่ามองเพิงไม้หลังนั้นอย่างสนใจ   มันทำมาจากลังไม้ที่บรรจุสินค้ามากับเรือใหญ่โดยนำมากองสุมๆกัน   ด้านบนถูกคลุมด้วยผ้าใบขาดๆเพื่อใช้กันน้ำค้างในยามค่ำคืน   ทั้งสองช่วยกันกวาดตามองหาทางเข้า   เพียงชั่วอึดใจทั้งสองก็พบช่องเล็กๆที่อยู่อีกด้านของเพิงลังไม้นี้   ช่องทางเข้านี้ขนาดไม่ใหญ่มากนัก   หากผู้ใหญ่จะเข้าไปก็คงต้องก้มตัวต่ำมากๆจึงจะลอดเข้าไปได้
                       “แม่!   แม่จ๊า!” ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะตะโกนเรียก   เสียงเด็กน้อยที่ตะโกนอย่างตกใจก็ดังออกมาจากข้างในเพิงนั้น   ทั้งสองจึงตัดสินใจลอดช่องประตูนั้นเข้าไปทันที   ภายในเพิงนั้นมืด อับชื้นและมองดูคับแคบลงทันทีเมื่อบุคคลทั้งสองเข้าไปอยู่ภายใน   เด็กน้อยดูจะตกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นสตรีทั้งสองเข้ามาอยู่ในบ้านของตน  
                       “หนูไม่ได้ขโมยของของซิสเตอร์มานะ   หนูไม่ได้ขโมยอะไรเลยจริงๆนะ” เด็กน้อยกล่าวอย่างตื่นตระหนก  ถอยหลังกรูดจนไปติดผนัง
                       “ฉันไม่ได้มาจับขโมยจ้ะหนูน้อย   แม่ของหนูเป็นอะไรจ๊ะ” อลาน่ากวาดตามองร่างที่นอนอยู่บนพื้น   สายตาที่เริ่มชินกับระดับแสงสลัวภายในเพิงทำให้เธอมองเห็นหญิงวัยกลางคนนางหนึ่งร่างกายผอมซูบ ใบหน้าซีดเซียวนอนไม่ได้สติอยู่กับพื้น   ร่างของเธอถูกห่มคลุมด้วยผ้าคลุมหนาสีฟ้าเข้มที่อลาน่าให้เด็กน้อยไปนั่นเอง   นี่เองเป็นสาเหตุให้เด็กชายตัวน้อยไม่ได้สวมผ้าคลุมของเธอ
                       “ถ้าซิสเตอร์ไม่ได้มาจับหนูแล้วซิสเตอร์มาทำไม” เด็กชายถามอย่างสงสัย “ซิสเตอร์จะทำอะไรแม่หนู” เด็กชายตกใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นซิสเตอร์โรซาน่านั่งลงและเริ่มสำรวจร่างที่ไร้สติของแม่ตน
                       “ไม่ต้องตกใจจ้ะ   ซิสเตอร์โรซาน่าวิเคราะห์โรคได้   แถมยังมีพลังรักษาด้วย” อลาน่ายิ้มตอบเด็กชายที่บัดนี้เริ่มมีรอยยิ้มแห่งความหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้า
                       “มีไข้สูงมาก   เป็นแบบนี้มานานรึยังจ๊ะพ่อหนูน้อย” ซิสเตอร์โรซาน่าถามสีหน้าเคร่งเครียด
                       “แม่ตัวร้อนมาสามวันแล้วฮะ” เด็กน้อยพูดจาสุภาพขึ้น “แต่แม่ลุกเดินไม่ได้มาหลายเดือนแล้ว   ตั้งแต่แม่ไปทำงานที่ชายทะเลแล้วถูกปลิงหนาม(Deep Sea Pin Leech)ที่ลอยเกยตื้นมาตำที่ขา   แล้วแม่ก็บอกว่าขาชา จนลุกไม่ได้   ซิสเตอร์รักษาแม่หนูได้ไหมฮะ?” เด็กน้อยใช้มือควานไปทั่วตัวราวกับจะหาอะไรสักอย่างอยู่เป็นนานสองนาน   ที่สุดจึงตลบชายเสื้อตรงมุมที่ดูยู่ยี่มีรอยดำและสกปรกที่สุดคงเพราะเขาจับมันบ่อยๆนั่นเอง   ตรงชายผ้ามีช่องลับเล็กๆอยู่   เด็กน้อยหยิบเหรียญเงินแผ่นบางๆออกมาหนึ่งเหรียญยื่นให้อลาน่า “ตอนนี้หนูมีแค่หนึ่งเดนาริอัน   แต่หนูสัญญาว่าจะหามาให้พอดีกับค่ารักษา  หนูจะ...”
                       สตรีทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนที่สุดให้กับเด็กน้อยจนเขาลืมคำพูดที่จะพูดต่อ “พวกฉันไม่เอาเงินของหนูหรอกจ้ะ  แต่ฉันมีสิ่งที่อยากได้จากหนูมากกว่าเงินทองจ๊ะ”
                       “ฮะ” เด็กน้อยยิ้มกว้าง “ถ้าซิสเตอร์ไม่เอาเงิน  งั้นจะเอาอะไรก็ได้ครับบอกมาเลย   หนูจะหามาให้ได้”
                       “ฉันอยากให้หนูเป็นเด็กดีจ้ะ”
                       เด็กน้อยชะงัก งงกับคำตอบของอลาน่าไปพักหนึ่งก่อนจะยิ้มกว้าง “ได้ฮะ  หนูเป็นได้  หนูจะเป็นเด็กดี”
                       อลาน่ายิ้มตอบเด็กน้อยแต่แล้วก็เกิดความสงสัยขึ้นเมื่อมองออกไปรอบๆเพิงลังไม้ “หนูอยู่กันสองคนรึจ๊ะ   พ่อของหนูอยู่ที่ไหน” เจ้าหญิงกวาดสายตาไปรอบๆเพิงที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆเลยยกเว้นจานชามบิ่นๆสองสามใบ ที่นอนชื้นๆสกปรก  กองเสื้อผ้าเก่าๆขาดๆ และลังไม้ที่ดูเหมือนจะใช้แทนโต๊ะอาหาร
                       “พ่อไปทำงานบนเรือสินค้าแล้วไม่กลับมาอีกเลยฮะ   พวกที่ท่าเรือบอกว่าเรือที่พ่อไปแล่นออกนอกเส้นทางแล้วโดนมังกรมาร์เทสต้า(Martesta, the Lapis Dragon)โจมตีจนเรือจมหายไปครับ”
« Last Edit: August 21, 2005, 02:41:43 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: February 23, 2005, 04:15:08 AM »

                    “ตายจริง” อลาน่าอุทานเสียงเบา “เกิดขึ้นนานหรือยังจ๊ะ?”
                    “ก่อนแม่จะถูกปลิงหนามทำร้ายฮะ”
                    สตรีทั้งสองรู้สึกเศร้าใจกับชะตากรรมของครอบครัวเล็กๆนี้นัก   ซิสเตอร์โรซาน่าพูดขึ้น “ครอบครัวของหนูประสบเคราะห์กรรมมามากมายเหลือเกิน   แต่พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งลูกๆของพระองค์   เพียงแค่หนูเชื่อและวางใจในพระองค์”
                    “หนูเชื่อ  หนูสวดทุกคืนเลย  แม่หนูสอน” เด็กชายกล่าวอย่างตื่นเต้น
                    “ถ้าอย่างนั้นมาดูกันสิว่าพลังศรัทธาของพวกเราสามคนจะช่วยแม่ของหนูได้ไหม” เจ้าหญิงกล่าวยิ้มๆก่อนจะค่อยๆเลื่อนผ้าคลุมออกจากตัวแม่เด็กเผยให้เห็นเนื้อตัวที่มีสีคล้ำเป็นจ้ำๆทั่วร่างกาย   เสื้อผ้าขาดวิ่นและมีกลิ่นสาบเนื่องเพราะเธอคงไม่ได้อาบน้ำเป็นเวลานาน   แต่ทั้งสองก็ไม่แสดงอาการรังเกียจใดๆออกมาให้เห็น   เมื่อผ้าคลุมหลุดพ้นตัวไปแล้วทั้งสองจึงได้เห็นสาเหตุของอาการป่วย   ตรงบริเวณขาซ้ายนั้นบวมเบ่ง   มีแผลเป็นรูลึกสามรอยที่เกิดจากหนามของปลิงทะเล   ที่ปากแผลมีหนองและเริ่มพุพองอย่างน่ากลัว
                    “นี่เองสาเหตุของอาการป่วย   ลำพังแค่เหล็กในของปลิงหนามไม่ได้รุนแรงจนทำอันตรายเราถึงตาย   แค่ทำให้เกิดอาการชาเท่านั้น   แต่เพราะหลังจากถูกปลิงหนามตำกลับไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง   แถมแผลยังสกปรกจนเกิดอาการติดเชื้ออีก   เอาล่ะ!เรามาทำความสะอาดแผลกันก่อน   แล้วค่อยใช้พลังรักษากัน”
                    พอได้ยินดังนั้นเด็กน้อยก็รีบคุกเข่าลงสวดภาวนาทันที  อลาน่าเห็นดังนั้นก็ยิ้มอย่างเอ็นดู “วันนี้แม่ของหนูต้องได้ทานซุปที่หนูอุตส่าห์ถือมาอย่างดีแน่นอนจ้ะ”
                    ทั้งสองช่วยกันล้างแผลจนสะอาด และเริ่มใช้พลังรักษาโดยเจ้าหญิงอลาน่าปรกมือเหนือศีรษะของแม่เด็ก ส่วนทางด้านซิสเตอร์โรซาน่านั้นปรกมือเหนือร่างของคนป่วยพร้อมทั้งกวาดมือเหมือนไล่พิษและเลือดเสียออกไปทางปลายเท้า   แสงสีขาวนวลอาบร่างของคนป่วยจนทั่วตัว   ไม่นานนักเลือดเสียก็เริ่มไหลออกทางปากแผลลงสู่ภาชนะที่เตรียมไว้   รอยจ้ำสีคล้ำตามเนื้อตัวก็ค่อยๆจางลงอย่างน่าอัศจรรย์   สักพักปากแผลทั้งสามรอยก็เริ่มปิดสนิท   ทั้งสองใช้พลังรักษาอีกครู่หนึ่งจึงได้วางมือลง
                    “อีกสักพักก็คงได้สติ ” ซิสเตอร์โรซาน่ากล่าวในที่สุด
                    “แม่หนูหายแล้วหรือฮะ” เด็กน้อยถามยิ้มทั้งน้ำตาที่ไหลจนเปียกไปทั้งหน้า
                    “แต่หลังจากนี้ต้องนอนพักผ่อนไปอีกสองสัปดาห์   อย่าให้แม่ทำงานหนักในช่วงสองสัปดาห์นี้นะจ๊ะ”
                    “แม่” เด็กน้อยโผลงไปกอดแม่แน่น “ขอบคุณฮะซิสเตอร์ ขอบคุณ ฮือ ฮือ”
                    อลาน่ายิ้มน้ำตาปริ่มขึ้นทันที  เธอเอียงคอซบไหล่ซิสเตอร์โรซาน่าสายตายังคงมองเด็กน้อย เอ่ยขึ้นเบาๆ “ฉันรู้สึกดีมากๆเลยคะซิสเตอร์”
ซิสเตอร์โรซาน่ายิ้มตอบรับเบาๆ “เพคะ”
                    เสียงร้องของเด็กน้อยดูจะมีพลังต่อแม่ไม่ใช่น้อย   เมื่อแม่เด็กค่อยๆยกมือขึ้นลูบศีรษะของเขาเบาๆ  “แม่ฮะ  แม่ฮะ” เด็กน้อยร้องเรียกอย่างตื่นเต้น “ซิสเตอร์ฮะ  แม่ฟื้นแล้ว   แม่ฟื้นแล้ว”
                    แม่ของเด็กน้อยมองไปรอบๆมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย   นางมองบุตรชายที่มองตอบด้วยน้ำตานองหน้า ก่อนจะหันไปมองสตรีทั้งสอง
                    “ซิสเตอร์มีธุระอะไรให้ฉันรับใช้หรือคะ  ลูกของฉันไปซนอะไรหรือเปล่า”
                    “ไม่ใช่หรอกจ้ะ   ลูกของเธอเป็นเด็กดีมาก” อลาน่านั่งลงข้างๆแม่ของเด็กและจับมือของนางไว้ “เธอไม่สบายมาก   ฉัน ซิสเตอร์โรซาน่า และ พ่อหนูน้อยช่วยกันรักษาเธอ   อีกไม่กี่อาทิตย์เธอก็จะหายดีแล้ว   แต่ตอนนี้เธอต้องพักผ่อนมากๆนะจ๊ะ” เด็กน้อยยิ้มกว้างอย่างภูมิใจให้มารดาของตน
                    “โอ้... ขอบคุณค่ะ  ขอบคุณค่ะซิสเตอร์” หญิงวัยกลางคน  น้ำตาไหลออกจากหางตาซึมหายเข้าไปในหมอนเก่าๆที่หนุนอยู่
                    “เธอคงจะหิวแล้วใช่ไหมจ๊ะ” อลาน่าและซิสเตอร์โรซาน่าช่วยกันพยุงให้แม่เด็กพิงหลังให้สูงขึ้น “ทานซุปนี่ก่อนสิจ๊ะ  ยังอุ่นๆอยู่เลยกำลังทานพอดีเชียว” เจ้าหญิงอลาน่าใช้ช้อนตักซุปขึ้นจรดปากของนาง
                    แม้นางจะรู้สึกเขินอายและเก้ๆกังๆกับสภาพของตัวเองในขณะนี้   แต่อลาน่าก็ไม่ได้ทำทีว่าจะสนใจกับอาการใดๆของนาง   ทำให้แม่ของเด็กยอมทานซุปที่อลาน่าตักป้อนแต่โดยดี   แม่ของเด็กทานซุปอย่างเอร็ดอร่อยโดยมีบุตรชายคอยดูอยู่ใกล้ๆตลอด  จนเมื่อทานอาหารจนอิ่มดีแล้วจึงได้พูดขึ้น “ซิสเตอร์ทั้งสองช่างมีน้ำใจดีเหลือเกิน”
                    “เธอเห็นว่าอย่างนั้นรึจ๊ะ?” อลาน่ายิ้มกว้าง  เมื่อหญิงวัยกลางคนเห็นว่าเธอคือซิสเตอร์คนหนึ่งในคณะของซิสเตอร์โรซาน่า   ซึ่งหญิงวัยกลางคนไม่เข้าใจความหมายของอลาน่าจึงได้พูดต่อ
« Last Edit: August 21, 2005, 02:42:01 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: February 23, 2005, 04:16:18 AM »

                      “ใช่ค่ะ  ซิสเตอร์ไม่รังเกียจคนยากคนจนอย่างพวกฉัน   ทั้งๆที่ใครๆก็เห็นว่าพวกฉันนั้นไร้ค่า   แม้แต่นายจ้างยังไม่เหลียวแลปล่อยให้ฉันตาย   แต่ซิสเตอร์กลับช่วยฉัน   ฉันไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรดี”
                       “ไม่ต้องตอบแทนอะไรพวกฉันหรอกจ้ะ   แค่รีบแข็งแรงเร็วๆก็พอ” อลาน่ายิ้ม
                       “ซิสเตอร์ช่างมีน้ำใจต่อฉันเหลือเกิน” นางจับมืออลาน่าแน่น
                       “ฉันไม่ได้เป็นซิสเตอร์หรอกจ้ะ   แต่ฉันดีใจที่เธอเห็นว่าฉันเป็น”
                       “โอ้   ยังเป็นซิสเตอร์ฝึกหัดอยู่หรือคะ   แต่อีกไม่นานแม่หนูจะต้องเป็นซิสเตอร์แน่นอนคะ   เป็นซิสเตอร์ที่แสนดีที่ช่วยเหลือคนยากคนจนอย่างพวกฉัน   ให้พวกฉันรู้สึกถึงคุณค่าแห่งชีวิต” หญิงวัยกลางคนกล่าวยิ้มอย่างซาบซึ้งพร้อมกับกระชับมือแน่น  
                       แต่เจ้าหญิงอลาน่ากลับชะงักนิ่งมองใบหน้าของแม่เด็กไม่พูดอะไรสักคำ   บุคคลทั้งสามในเพิงลังไม้ต่างมองจ้อง อลาน่าด้วยความประหลาดใจเมื่อหญิงสาวนั่งนิ่งราวกับหุ่น   ทว่าภายในจิตใจของเธอกลับสว่างไสวเรืองรองเต็มไปด้วยความร้อนรนและปรารถนาอย่างแรงกล้า   ดังมีเกลียวคลื่นม้วนตัวเข้าถาโถมจิตวิญญาณของเธอ
                       “ฉันพูดอะไรผิดรึคะ?” แม่เด็กถามด้วยความกังวลเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเธอ   แม้แต่ซิสเตอร์โรซาน่าก็ยังยกมือขึ้นแตะไหล่ของเธอด้วยความเป็นห่วง
                       “ไม่จ้ะ  เธอพูดไม่ผิดเลย   ตรงกันข้ามมันเป็นคำพูดที่มีความหมายต่อฉันมาก  เป็นคำพูดที่ไพเราะที่สุดในชีวิตที่ฉันเคยได้ยินมา   ขอบคุณมากจ้ะ” อลาน่ายิ้มด้วยความปลื้มปิติ
                       คำพูดของอลาน่าทำเอาแม่เด็กยิ้มจนแก้มปริ “จริงสิ! พวกซิสเตอร์ออกมาแจกอาหารพร้อมกับเจ้าหญิงอลาน่าใช่ไหมคะ? พระองค์เป็นยังไงคะ? หน้าตาเป็นยังไง? ทรงพระสิริโฉมมากไหม? เล่าเรื่องพระองค์ให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ?”
                       อลาน่าหันไปสบตาซิสเตอร์โรซาน่ายิ้มๆ ก่อนจะตอบว่า  “ถามหลายคำถามแบบนี้ฉันจะตอบยังไงล่ะจ๊ะ  ทำไมถึงอยากรู้ล่ะจ๊ะ? เจ้าหญิงก็เป็นคนธรรมดาเหมือนเราๆนี่แหละจ้ะ”
                       “ไม่เลย  เจ้าหญิงที่เป็นห่วงคนยากคนจน   ช่วยเหลือทุกคนโดยไม่คำนึงถึงชนชั้น  ทั้งๆที่พระองค์อยู่ในวังก็แสนสุขสบายดีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องมาห่วงคนยากคนจนเลย   เจ้าหญิงที่แสนดีแบบนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว” นางหยุดครู่หนึ่งเหมือนจะทบทวนความทรงจำเก่าๆ   “ฉันเคยเห็นพระองค์ครั้งหนึ่งจากที่ไกลๆสมัยที่พระองค์เสด็จมาเมืองท่านี้   ฉันไม่เห็นหน้าพระองค์หรอกค่ะเพราะอยู่ไกลมาก   แต่ฉันเชื่อว่าพระองค์จะต้องงดงามมากแน่ๆ   ท่าทางการเดินของพระองค์...ฉันยังจำได้จนถึงทุกวันนี้เลย” คำพูดของแม่เด็กทำให้แก้มของเจ้าหญิงเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ  แต่กระนั้นนางก็ไม่ได้สังเกตเห็น เพราะนางยังคงพูดต่อไป  “ฉันอยากจะเห็นพระองค์ใกล้ๆสักครั้งให้เป็นบุญตาจริงๆค่ะ   ทุกครั้งที่ฉันไปรับบริจาคอาหาร   ฉันก็จะพยายามมองหาพระองค์แต่ก็ไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง   ไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้ฉันจะมีบุญได้เห็นพระองค์ไหม” นางพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
                       “ไม่ต้องรอจนถึงชั่วชีวิตหรอกจ้ะ   พระองค์ก็อยู่ต่อหน้าเธอแล้วนี่ไง” ซิสเตอร์โรซาน่า พูดและยิ้มให้กับนาง   ทว่าคำพูดของซิสเตอร์ฟังราวกับเป็นภาษาประหลาด   เพราะนางได้แต่มองซิสเตอร์โรซาน่าด้วยสีหน้างุนงง
                       “ซิสเตอร์ว่าอย่างไรนะคะ?” นางถามซ้ำ
                       “เจ้าหญิงอลาน่าที่เธออยากเห็นสักครั้งในชีวิต   พระองค์ทรงอยู่ตรงหน้าเธอแล้วอย่างไรล่ะจ๊ะ” ซิสเตอร์โรซาน่ายิ้มพูดย้ำอีกครั้งอย่างอ่อนโยน
หญิงวัยกลางคนมองเจ้าหญิงอลาน่าอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง   นางจับมือเจ้าหญิงแน่นขึ้นพลางหันไปมอง           ซิสเตอร์สูงวัยเพื่อขอความมั่นใจอีกครั้ง   ซึ่งซิสเตอร์ก็พยักหน้าให้กับนาง
                       “ขอโทษนะจ๊ะ   ฉันคิดว่าฐานะของฉันไม่ใช่สาระสำคัญอะไร  จึงไม่ได้บอกตั้งแต่แรก” เจ้าหญิงอลาน่ากล่าว
                       “โอ้...” นางพูดได้เพียงเท่านั้นก็ร้องไห้ออกมาด้วยความปลาบปลื้มและซาบซึ้ง “ทำไมพระองค์ถึงแสนดีอย่างนี้ ฮือ ฮือ” นางยกมือของอลาน่าขึ้นไปจูบและกอดไว้แนบแก้ม    เจ้าหญิงเองก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน   น้ำตาเอ่อคลอ  เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย  

                       สตรีทั้งสองยังคงอยู่ในเพิงลังไม้อีกพักใหญ่จนกระทั่งได้เวลาอันควรจึงได้จากสองแม่ลูกกลับไปยังซุ้มแจกอาหารที่ท่าเรือ   ระหว่างทางเจ้าหญิงอลาน่าไม่ได้พูดอะไรกับซิสเตอร์โรซาน่าเลย  ราวกับเธอกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่
                       “ทรงคิดอะไรอยู่หรือเพคะ?” ซิสเตอร์อดสงสัยไม่ได้
                       “ฉันกำลังคิดทบทวนถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นที่บ้านของเด็กน้อยจ้ะ   ฉันคิดว่าสิ่งที่คนยากคนจนเหล่านี้ต้องการที่สุด   ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง ไม่ใช่อาหาร ไม่ใช่เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม แต่เป็นความรัก   พวกเขาต้องการความรักจากเราต่างหาก”
« Last Edit: August 21, 2005, 02:42:20 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: February 23, 2005, 04:17:34 AM »

                          ซิสเตอร์โรซาน่าได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้าง “ฝ่าบาททรงตรัสเหมือนนักบวชเข้าไปทุกทีแล้วทรงรู้ตัวไหมเพคะ?”
                          “วันนี้ คำพูดของผู้หญิงคนนั้นได้ช่วยให้ฉันมีความปรารถนาอย่างแรงกล้ายิ่งขึ้นที่จะรับใช้พระเจ้า   ฉันรู้ว่าฉันพบทางที่เหมาะสมกับฉันแล้ว...   ที่จริงฉันพบหนทางมานานแล้วแท้ๆ” อลาน่ายิ้มตอบ  ทว่าแววตานั้นเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่ยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา  
                          “ฝ่าบาท...” ซิสเตอร์ยังไม่ทันจะพูดอะไรก็เผอิญที่ทั้งสองเดินออกมาถึงหน้าโรงแรมแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้กับที่ที่พวกเธอตั้งซุ้มแจกอาหาร   ซึ่งที่นั่นเองทหารองครักษ์กำลังเร่งระดมกำลังพลทหารรักษาการณ์แห่งแอนดิซอง(Annedisonge Sentry)หลายกองออกตามหาเจ้าหญิงกันจ้าละหวั่น   เมื่อเหล่าทหารเห็นเจ้าหญิงเสด็จออกมาจากซอกตึกเก่าพร้อมซิสเตอร์โรซาน่า    พวกเขาก็แทบจะกรูกันเข้าไปอารักขา
                          “ฝ่าบาททรงปลอดภัยดีใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นายกองถามอย่างร้อนรน
                          “ฉันสบายดีจ้ะ   แล้วนั่น...จับพวกเขาทำไมจ๊ะ?” อลาน่าทำหน้าพยักพเยิดไปทางกลุ่มชายประมาณสิบคนที่นั่งยองๆกับพื้น ยกมือขึ้นเหนือศีรษะทุกคนมีสีหน้างุนงงและตื่นกลัว
                          “พวกเขาป้วนเปี้ยนอยู่แถวซุ้มแจกอาหาร   พวกเราเลยคิดว่าคนพวกนี้อาจจะมีส่วนในการลักพาตัวพระองค์”
                          “โอ! ตายจริง   พวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย   พวกเขาอาจจะแค่ต้องการอาหารเพิ่มเท่านั้น   ปล่อยพวกเขาไปได้แล้วจ้ะ”
เมื่อนายกองปล่อยชาวบ้านไปหมดแล้วจึงได้หันไปถามเจ้าหญิงด้วยสีหน้าวิตกกังวล “ฝ่าบาทเสด็จไปไหนมาพ่ะย่ะค่ะ   ดีที่ข้าพระองค์ยังไม่ได้รายงานท่านราชองครักษ์   มิฉะนั้นพวกข้าพระองค์คงได้หัวหลุดจากบ่าเป็นแน่”
                          “ขอโทษจ้ะ   ฉันก็ไม่คิดว่าจะไปนานขนาดนี้   แล้วอีกอย่างฉันเห็นว่าทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับหน้าที่ของแต่ละคนอยู่จึงไม่อยากรบกวน”
                          “ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ   พวกข้าพระองค์มีหน้าที่ปกป้องและดูแลความปลอดภัยของพระองค์เป็นอันดับแรก   ส่วนคนจนพวกนี้   แค่ได้รับบริจาคจากพระองค์ก็ดีเกินพอแล้ว   หากจะหยุดการบริจาคเพื่อให้พระองค์ไปทำภารกิจอื่นสักชั่วยามก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยสักนิด   พวกเขารอได้อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” นายกองกล่าว สีหน้ายังเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
                          “ไม่จ้ะ   ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการที่ประชาชนของฉันจะได้กินอิ่มท้อง   ฉันรู้ว่าเธอพูดเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของฉัน   แต่ถ้าเธอหมายความตามที่พูดจริงๆล่ะก็   ฉันจะไม่ชอบใจมากจ้ะ” อลาน่ากล่าวยิ้มๆแต่สีหน้าและแววตาจริงจังขึ้น   ซึ่งก็ทำให้นายกองต้องหน้าแดงด้วยความกระดาก พูดเสียงอึกอัก
                          “ฝ่าบาท...ข้าพระองค์...เอ่อ...ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วย   เอ่อ...ราชรถมาถึงพอดี   เชิญพระองค์เสด็จกลับวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
                          อลาน่าทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เปลี่ยนใจในที่สุด    เธอเดินไปขึ้นรถม้าพร้อมกับซิสเตอร์โรซาน่า เมื่อทั้งสองนั่งบนรถเรียบร้อยแล้วรถก็ค่อยๆเคลื่อนออกจากบริเวณท่าเรือมุ่งสู่พระราชวังอย่างช้าๆ   ทว่ายังไม่ทันที่ขบวนรถจะเคลื่อนพ้นบริเวณท่าเรือ   เสียงเด็กส่งสาร(Postboy)ก็ดังผ่านขบวนรถม้าไป
                          “ข่าวด่วนครับ ข่าวด่วน   ทวีปเมอรีเซียเกิดสงครามครั้งใหญ่แล้วครับ”
                          “อะไรนะ” อลาน่ามองหน้าซิสเตอร์โรซาน่า   ในขณะที่ซิสเตอร์ใช้มือแหวกผ้าม่านออกดูจึงได้เห็นเด็กส่งสารหลายคนขี่คูกาโร่(Kugaro)มุ่งหน้าแยกย้ายไปตามทางที่จะนำไปสู่ส่วนต่างๆของเมือง
                          “มหาดเล็กจ๊ะ   ไปถามข่าวเรื่องสงครามมาหน่อยสิจ๊ะ” อลาน่าบอกทหารที่ขี่ม้าอยู่ข้างๆราชรถอย่างร้อนรน
                          “พ่ะย่ะค่ะ” ทหารรับคำแล้วก็รีบชักม้าไปหาเด็กส่งสารคนหนึ่ง   เพียงไม่กี่อึดใจทหารก็กลับมารายงานข่าวให้ทราบ
                          “ทูลฝ่าบาท   ตอนนี้ทวีปเมอริเซียตอนกลางกำลังเกิดสงครามครั้งใหญ่   อาณาจักรซาโลมจากทางตอนเหนือกรีฑาทัพเข้าบุกอาณาจักรตอนกลางทั้งหมด   แม้แต่อาณาจักรชาตินักรบอย่างฟีเลเซียก็ยังถูกโจมตีอย่างหนักจนเสียเมืองหน้าด่านไปแล้วหลายเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
                          “โอ้  พระเจ้าช่วย” ซิสเตอร์โรซาน่าอุทาน “ตอนนี้เราคงทำได้แต่เพียงภาวนาให้สงครามไม่ลุกลามใหญ่โตไปมากกว่านี้นะเพคะ”
                          “คะ  ขอให้สงครามครั้งนี้สงบลงโดยเร็วด้วยเถิด”
 
« Last Edit: August 21, 2005, 02:42:46 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: February 23, 2005, 04:18:50 AM »

                        ณ ห้องประชุมใหญ่ของสภาพ่อค้าภายในที่ว่าการสภาพ่อค้าวาณิช
                        เวลานี้บรรดาพ่อค้าระดับชั้นแนวหน้าทั่วทั้งแอนดิซองต่างก็มาชุมนุมกัน   พ่อค้าทุกคนล้วนอ้วนท้วนด้วยความที่อยู่ดีกินดีมากเกินไป  ครั้นพอมานั่งประชุมร่วมกันแล้วทำให้ดูเหมือนลูกบอลหลากสีขนาดยักษ์ที่มากองรวมกันเสียจนห้องประชุมดูคับแคบลงไปถนัดตา
                        ที่หัวโต๊ะมีเก้าอี้ตั้งอยู่สองตัว   ตัวทางด้านซ้ายมีรูฟัสนั่งเอกเขนกอยู่อย่างสบายอารมณ์   วันนี้พ่อค้าร่างยักษ์ดูจะอารมณ์ดีและร่าเริงเป็นพิเศษ   รวมไปถึงทั่วทั้งห้องประชุมก็ดูจะจ้อกแจ้กจอแจมากกว่าปกติ   ในขณะที่เก้าอี้ทางด้านขวามือนั้นยังคงว่างอยู่   ซึ่งทุกคนต่างก็รอคอยการมาของผู้เป็นเจ้าของเก้าอี้อย่างกระวนกระวายใจไม่น้อย
                        ทันใดนั้นประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออกอย่างแรงจนบานประตูกระแทกกับข้างฝาโครมใหญ่   เกิดเสียงดังสะท้อนจนทั่วทั้งห้องเงียบกริบหันไปมองยังที่มาของเสียงเป็นตาเดียว
                        ที่หน้าประตูห้องประชุมนั้นเอง   ร่างของราชองครักษ์วัยหนุ่มฉกรรจ์ยืนตระหง่านอยู่   สีหน้านิ่งไร้ความรู้สึกใดๆ   สายตาเย็นคมกวาดไปรอบๆโต๊ะประชุม   ทำเอาบรรดาพ่อค้าร่างอ้วนทั้งหลายเย็นสันหลังวาบ   สายตาเยือกเย็นของราชองครักษ์ไปหยุดอยู่ที่พ่อค้าร่างยักษ์ที่หัวโต๊ะ   ซึ่งมันก็มีอานุภาพพอที่จะทำให้ชายเจ้าเนื้ออย่างรูฟัสสะดุ้งโหยงได้
                        พอได้สติรูฟัสก็หัวเราะร่ากลบเกลื่อน   ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วแม้การลุกขึ้นนั้นแสนจะยากลำบากสำหรับเขา
                        “โอ้!!  ท่านราชองครักษ์มาแล้ว   เชิญ! เชิญ!   พวกเรากำลังรอท่านอยู่เลย   ใช่มั๊ย?” รูฟัสถามหาเสียงสนับสนุนแต่ทั้งห้องก็ยังคงเงียบกริบ
                        อองเดรเดินผ่านกลุ่มพ่อค้าไปยังที่นั่งข้างรูฟัสที่ว่างอยู่   ท่ามกลางสายตาเกือบร้อยคู่จากบรรดาพ่อค้าทั้งหลายที่จ้องมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น และ ความหวาดหวั่น   ราชองครักษ์หนุ่มเดินผ่านพวกเขาไปอย่างไม่ยินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้นราวกับพวกเขาเป็นเพียงลูกบอลหลากสีที่หาประโยชน์ใดๆไม่ได้
                        ทันทีที่ราชองครักษ์หนุ่มนั่งลงท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จับจ้อง   รูฟัสก็หัวเราะร่วนเหมือนพ่อค้าที่ชอบยกยอลูกค้าเวลาจะขายของ
                        “วันนี้พวกเราสภาพ่อค้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ท่านราชองครักษ์อองเดรผู้มีฝีมือเก่งกาจที่สุดในแอนดิซอง  ไม่สิ...ที่เก่งกาจที่สุดในเมอริเซีย...” รูฟัสพูดตะกุกตะกักทันทีเมื่อเห็นสายตาเย็นยะเยือกจับจ้องตน “เอ่อ...พวกเรา...สภาพ่อค้า...พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติที่ท่านมาเป็นตัวแทนของเจ้าหญิงอลาน่า...”
                        “เริ่มประชุมเสียที” อองเดรพูดตัดบทเสียงเรียบ  ทำเอารูฟัสหน้าแดงด้วยความโกรธและรู้สึกเสียหน้า   แต่เขาก็รีบกลืนความรู้สึกนั้นไปอย่างรวดเร็วเพราะเพียงแวบเดียวพ่อค้าร่างยักษ์ก็ยิ้มอย่างพ่อค้าเจ้าเล่ห์อีกครั้ง
                        “ใช่ๆ   เราเริ่มประชุมกันดีกว่า   วันนี้พวกเราได้รับทราบข่าวที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง” รูฟัสพูดแทบจะหัวเราะอย่างยินดี “นั่นก็คือ ที่เมอริเซียตอนกลางเวลานี้กำลังเกิดสงครามครั้งใหญ่   ซึ่งพวกเราทุกคนต่างก็รู้สึกเห็นใจในโชคชะตาของเพื่อนร่วมทวีปที่มีบรรพบุรุษเดียวกับเราอย่างฟีเลเซียยิ่งนัก   พวกเราล้วนอยากจะรู้ว่าแอนดิซองของพวกเราจะเข้าร่วมสงครามครั้งนี้หรือไม่   ซึ่งท่านราชองครักษ์ก็เป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างมากในการตัดสินใจเรื่องการรบ”
                        อองเดรยังคงมีสีหน้าเย็นชาไม่สนใจสายตาร่วมร้อยคู่ที่จับจ้องเขา   ความนิ่งเงียบของราชองครักษ์ทำให้เหล่าพ่อค้ากระสับกระส่ายเพราะเดาใจไม่ถูกว่าควรจะทำอย่างไร   รูฟัสเองก็ดูกระสับกระส่ายอยากรู้คำตอบเช่นกัน   ที่สุดจึงตัดสินใจรวบรวมความกล้าถามองครักษ์หนุ่มอีกครั้ง
                        “ว่าอย่างไรล่ะท่านอองเดร”
                        อองเดรเหลือบตาสีฟ้าอมเทาเย็นเยียบจับจ้องรูฟัสแทบจะทันที   ก่อนจะตอบเสียงกร้าว “ยังไม่จำเป็น”
                        “ถ้า..ถ้าเช่นนั้น   ข้าเสนอให้พวกเราให้ความช่วยเหลือพวกเขาด้วยการค้าอาวุธยุทโธปกรณ์ในการสงครามให้กับฟีเลเซีย   พวกท่านเห็นว่าอย่างไร” รูฟัสเริ่มร่าเริงขึ้นอีกครั้ง
                        “ท่านรูฟัส   ข้าเสนอให้ค้าพวกเสบียงอาหาร และยารักษาโรค โดยเฉพาะพวกยาสมานแผลให้กองทัพด้วย” พ่อค้าคนหนึ่งเสนอด้วยความโลภ
“ข้าเห็นว่าพวกโลหะที่จะเอาไปทำอาวุธก็น่าจะขายได้นะท่าน” พ่อค้าโลหะเอ่ยขึ้นบ้าง
                        “พวกเครื่องนุ่งห่มทั้งหลายด้วย” พ่อค้าอีกคนเสริมน้ำเสียงกระตือรือร้น
                        “ฮ่า ฮ่า ถ้าพวกเราไล่รายการสินค้าที่จะขายทั้งหมด  ดูท่าวันนี้คงไม่ได้กลับบ้านกันล่ะ” รูฟัสหัวเราะร่า “แต่ว่าการค้าในครั้งนี้เราจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้แทนพระองค์อย่างท่านราชองครักษ์เสียก่อน” รูฟัสชำเลืองมองอองเดรยิ้มกริ่มจนตาหยี
                        “ราชสำนักจะได้ประโยชน์อะไรจากการค้าของพวกเจ้า” อองเดรไม่สนใจอะไรอื่นนอกจากประโยชน์ที่กษัตริย์และราชวงศ์จะได้รับ
                        “โอ้   แน่นอนว่าภาษีที่มากมายมหาศาลจากสินค้านานาชนิดจะหลั่งไหลจนเต็มท้องพระคลัง” รูฟัสคุยโอ่  แต่เมื่อเห็นว่าอองเดรยังคงนั่งเฉยจึงกล่าวต่อ “เราสามารถเก็บภาษีเรือทั้งขาเข้าและขาออกได้”  แต่ทว่าอองเดรก็ยังคงตีหน้าเฉยเหมือนเดิม ทำให้รูฟัสกระวนกระวายใจมากขึ้น “แล้วยังสามารถเก็บภาษีค่าจอดเรือ  เราสามารถขึ้นภาษีสินค้าบางประเภทได้ด้วย   และถ้ามีเงินเข้าท้องพระคลังมากๆ   เจ้าหญิงก็จะต้องพอใจมากแน่ๆเพราะพระองค์ก็จะทรงมีทรัพย์สินมากมายเอาไว้ช่วยคนยากคนจน”
                        ราชองครักษ์จ้องรูฟัสด้วยสายตาแข็งกร้าวจนทำให้พ่อค้าอ้วนสะดุ้งโหยง “ข...ขออภัย   ข้าพูดอะไรผิดหรือ”
                        “เจ้าทำรายละเอียดเรื่องภาษีที่จะเข้าท้องพระคลังรวมถึงภาษีเรือทั้งหมดที่เจ้าพูดถึงมาให้ข้าพรุ่งนี้   แล้วข้าจะส่งเรื่องต่อไปให้เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์เอง” พูดจบราชองครักษ์หนุ่มก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินจากไปทันที
                        “ดะ เดี๋ยว  เดี๋ยวสิ   เรายังประชุมกันไม่จบเลย” รูฟัสพูดละล่ำละลัก
                        อองเดรหยุดชะงักก่อนจะหันหน้าเล็กน้อย “สำหรับข้าจบแล้ว”
                        ว่าแล้วราชองครักษ์อองเดร ก็เดินจากไปโดยไม่สนใจอาการสั่นเทิ้มด้วยความโกรธของพ่อค้าร่างยักษ์  
                        “อวดดี   อวดดีนัก   ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าทำประโยชน์ให้ข้าได้   แม้แต่หน้าเจ้าข้าก็ไม่อยากมอง”  รูฟัสได้แต่กัดฟันกรอด ด้วยความคับแค้นใจ
« Last Edit: August 21, 2005, 02:43:06 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: February 23, 2005, 04:20:45 AM »

มาเม้าส์กันต่อที่นี่กั๊บ~~~~

http://www.smnforum.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=11054
« Last Edit: February 23, 2005, 04:21:41 AM by Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.089 seconds with 22 queries.