Summoner Master Forum
March 29, 2024, 06:19:12 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 31 เวลาแห่งความสิ้นหวัง @@  (Read 9568 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: March 25, 2005, 04:29:28 AM »

Chapter 31 เวลาแห่งความสิ้นหวัง


                       ที่บริเวณทุ่งราบคีรา  การรบของอาณาจักรทั้งสองกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด   กองทัพทั้งสองฝ่ายต่างโรมรันฟาดฟันใส่กันจนทั่วทั้งสนามรบแทบจะลุกเป็นไฟ   กองทัพเพลิงที่มีทหารผีนรกนับหมื่นตัวเป็นกำลังสำคัญบุกตะลุยไล่ฆ่าฟันกัดกินฉีกทึ้งอัศวินฟีเลเซียอย่างโหดเหี้ยม   ทั้งกองกำลังนกโมฮา มือเพชฌฆาตแห่งซาโลม นักรบเพลิงมาร นักรบเผ่ามอร์ ผู้ฝึกสัตว์ป่าและสัตว์ประหลาดนานาชนิดก็เข้าโรมรันพันตูเต็มกำลัง   ในขณะที่กองทัพแห่งสายลมเองก็ยืนหยัดต่อกรพร้อมด้วยกำลังพลเต็มอัตราศึก ทั้งม้าศึก รถรบ ทัพนก ทัพมังกร พลธนู ทัพอัศวิน  ผู้ฝึกสัตว์ป่าและมังกรหลากสายพันธุ์
                       พลม้าของฟีเลเซียทะยานรุกไล่ข้าศึก   เสียงร้องคำรามของเหล่าทหารปีศาจดังสั่นอื้ออึงสลับกับเสียงศัตราวุธและพลสัตว์พลมังกรสนั่นทุ่ง   รถศึกที่ควบตะลุยบุกอริราชศัตรูรวดเร็วปานพายุพัดกระหน่ำไอเปลวเพลิงอันร้อนฉ่า   ฝ่ายทัพมือเพชฌฆาตต่างออกไล่ล่าบดขยี้หัวศัตรู   นักรบเพลิงมารร่างยักษ์ก็วิ่งไล่เหวี่ยงสะบัดคมดาบใส่ทั้งมนุษย์ กริฟฟิน และ ฝูงวิหคไม่ยั้งจนดูเหมือนว่ายิ่งเห็นศัตรูก็ยิ่งคลั่งอาละวาด
                       บริเวณใกล้กับที่มั่นของทัพฟีเลเซียมีก้อนหินขนาดใหญ่สูงเกือบเท่าตัวคนตั้งอยู่   บนก้อนหินนั้นจอมทัพแห่งสายลม ชาร์ล คลาแรนซ์ยืนตระหง่านในมือกำกระชับดาบคูนีกุนเดที่อาบเลือดสีแดงฉาน   ชุดเกราะของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือดจนแทบชโลมไปทั้งตัว   ทว่าหาใช่เลือดของเขาไม่หากแต่เป็นเลือดของเหล่าทหารปีศาจและทหารฝ่ายซาโลมต่างหาก   สายตาจอมทัพหนุ่มกวาดไปทั่วทั้งสนามรบดูเหมือนว่าเขากำลังมองหาใครสักคน
                       “ให้ตายเถอะ   ตั้งแต่รบมานี่ก็หลายชั่วยามแล้วข้ายังไม่เห็นกษัตริย์ซาดินอะไรนั่นเลย” ชาร์ลขมวดคิ้วแน่นกวาดตาไปยังแนวหลังของทัพข้าศึก
                       “ท่านแม่ทัพ!” เสียงตะโกนเรียกของทหารฟีเลเซียจากทางปีกขวาทำให้เขารีบหันกลับโดยเร็ว   ที่ทางปีกขวานั้นกองทัพผีนรกฝูงหนึ่งไม่ต่ำกว่าห้าร้อยตัวกำลังวิ่งรุกไล่ทัพอัศวินที่กำลังถอยร่นหนีมาทางชาร์ลอย่างคลั่งโหย   ทันทีที่ชาร์ลตวัดดาบโจนตัวพุ่งออกจากก้อนหินยักษ์   เหล่าอัศวินแห่งฟีเลเซียที่วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเมื่อสักครู่ก็กลับพร้อมใจกันวิ่งกระจายตัวออกจากบริเวณนั้นทั้งทางซ้ายและขวาอย่างรวดเร็ว   แท้ที่จริงแล้วนี่คืออุบายของทัพฟีเลเซียที่จะตัดกำลังทัพปีศาจของซาโลมโดยการหลอกล่อทหารผีนรกให้เข้ามาในเขตทัพฟีเลเซียนั่นเอง
                       จอมทัพฟีเลเซียพุ่งตัวปานลมกรดตวัดดาบกวาดแถวผีร้ายทั้งซ้ายและขวา  ดาบถูกสะบัดฟาดฟันใส่ไม่ยั้ง   ลมที่เกิดจากคมดาบพัดพาเอากลิ่นสาบเน่าของซากศพและกลิ่นคาวเลือดที่ฉุนจนแสบจมูกขจรขจาย แสงสะท้อนแวบวับของดาบคูนีกุนเดยามกวัดแกว่งแลดูเหมือนท้องฟ้ามืดทะมึนที่มีแสงแลบแปลบปลาบเมื่อพายุคะนอง   เสียงหักกรอบของกระดูก เสียงเลือดปีศาจที่เดือดพล่านด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ และเสียงร้องคำรามโหยหวนแหบแหลมของผีร้ายดังสนั่นก้อง   ร่างของทหารปีศาจถูกตัดขาดสะบั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจายเกลื่อนไปทั่วพื้นดิน   ไอควันจากเลือดปีศาจที่เดือดพล่านพวยพุ่งดั่งม่านหมอกกำมะถันที่แสบฉุน   ไม่มีทหารฟีเลเซียคนไหนกล้าอยู่ใกล้รัศมีคมดาบคูนีกุนเดแม้สักคน   ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่มีอานุภาพเผาผลาญอำนาจมืดเมื่อยิ่งเสริมด้วยความแข็งแกร่งและว่องไวปานลมกรดของจอมทัพแห่งสายลมแล้วทำให้พลังอำนาจในการทำลายล้างนั้นเข้าขั้นมหากาฬ   ครั้นเมื่อการลงดาบครั้งสุดท้ายมาถึงก็ไม่มีร่างของทหารปีศาจหลงเหลืออยู่แม้สักตัว   จะมีก็แต่เสียงฉู่ฉ่าของเลือดปีศาจที่เดือดพล่านและเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ปูเป็นพรมเลือดชโลมดิน
                       ชาร์ลสะบัดเลือดทหารผีออกจากดาบคูนีกุนเดแล้วจึงกระโดดขึ้นไปบนก้อนหินใหญ่อีกครั้งรอทัพอัศวินที่ออกไปหลอกล่อทหารปีศาจชุดต่อไป   แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าอุบายเช่นนี้คงใช้ได้อีกไม่นานแต่การจะกำจัดทหารปีศาจคราวละมากๆเช่นนี้คงมีไม่กี่วิธีนัก   สมองของเขายังคงคิดหาอุบายใหม่ๆในขณะที่สายตาก็ยังคงค้นหาจอมกษัตริย์เถื่อน
                       รองแม่ทัพนายหนึ่งควบม้าเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว
                       “ท่านแม่ทัพ  เรายังหาตัวกษัตริย์ฝ่ายโน้นไม่พบเลยครับ   หรือว่ามันจะกลัวจนไม่กล้ามาพร้อมกับกองทัพ”
                       “ข่าวว่ากษัตริย์ฝ่ายโน้นเก่งกล้าสามารถนัก ปราบแว่นแคว้นทั้งน้อยใหญ่ด้วยตัวเองตั้งแต่ยังเยาว์   ไม่น่าจะตาขาว...สั่งค้นหาต่อไป   ดูสิว่ามันจะทนแอบซุ่มไปได้สักกี่น้ำ”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: March 25, 2005, 04:30:26 AM »

                       ทันใดนั้นเสียงแตรเงินแห่งกองทัพเปกาซัสก็แผดดังกังวานจากทางตะวันตกพร้อมกับฝูงทัพเปกาซัสที่เส้นขอบฟ้าบินแผ่เรียงราวกับปีกพญาอินทรีใหญ่   เสียงแตรก้านยาวนับร้อยก็ดังขานรับการมาของทัพเปกาซัสกระหึ่มทุ่งคีราแทบจะพร้อมกัน   เหล่าอัศวินแห่งฟีเลเซียต่างโห่ร้องก้องด้วยความปิติยินดี   ชัยชนะที่เมืองเอรีมนำรอยยิ้มแตะแต้มบนใบหน้า สายลมแห่งความหวังและกำลังใจโหมพัดกระพืออยู่ในใจของทหารหาญทุกคน      แม้แต่ชาร์ลเองก็ยิ้มอย่างโล่งใจเมื่อเห็นทัพเปกาซัสผงาดอยู่กลางเวหา   จอมทัพหนุ่มควงคูนีกุนเดเป็นสัญญาณพร้อมกับการบุกตีทัพเพลิงทมิฬหนักหน่วงยิ่งขึ้น   เสียงเฮโลเข้าตะลุยบอนดังกระหึ่มอย่างต่อเนื่อง   ต่างควบม้าและรถศึกไล่สังหารผู้รุกรานอย่างไม่กริ่งเกรง   ทัพเปกาซัสเองก็ขานรับคำบัญชาของชาร์ลเช่นกัน   เมื่อต่างพุ่งโฉบไล่ต้อนกองทัพซาโลมดั่งฝูงเหยี่ยวจู่โจมเหยื่อ   กองทัพเพลิงดูจะผงะล่าถอยด้วยความตระหนกที่จู่ๆกองทัพแห่งลมก็โหมกระหน่ำรุกคืบเข้าต่อตีด้วยพลังใจที่หลั่งไหลท่วมท้น   ทหารผีนรกก็ถูกทำลายล้างจนเหลือจำนวนไม่ถึงสองในสามจากเมื่อตอนยกทัพมา และกำลังลดจำนวนลงเรื่อยๆ
                       ขณะที่ทัพฟีเลเซียกำลังรุกไล่หนักอย่างเป็นต่อ   แต่แล้วในบัดดลนั้นทัพซาโลมที่ดูเหมือนกำลังเพลี่ยงพล้ำระส่ำระสาย   ฉับพลันเสียงระรัวกลองรบก็ดังกังวานถี่รัวเร้าใจ   เสียงไชโยโห่ร้องจากทัพซาโลมดังสั่นก้องจนพื้นสะเทือน   ความฮึกเหิมส่งผลให้เกิดพลังตีโต้กลับด้วยแรงมหาศาล   เสียงแผดคำรามทุ้มกังวานของมังกรซาลามันเดอล่าก้องสะท้อนไปทั่วสนามรบ
                       ครั้นแล้วจากทิศทางใดมิอาจรู้ได้   จู่ๆกษัตริย์ซาดินในชุดศึกเต็มยศสีแดงเพลิงบนหลังมังกรซาลามันเดอล่าก็ปรากฏตัวขึ้นกลางท้องฟ้าเหนือสนามรบโฉบมังกรบินผงาดอยู่เหนือกองทัพแห่งเพลิง   มือข้างหนึ่งกระชับสายบังเหี้ยนในขณะที่มืออีกข้างก็ชูกระบองคู่ใจขึ้นเหนือศีรษะรับเสียงไชโยโห่ร้องต้อนรับจากบรรดาทหารซาโลม   เหล่าทหารหาญแห่งฟีเลเซียต่างก็เหลือบชำเลืองมองกษัตริย์แห่งเพลิงผู้นี้   เพราะต่างก็อยากจะเห็นโฉมหน้าของบุรุษผู้ที่ชื่อจะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แห่งเมอริเซียว่าเป็นผู้อาจหาญก่อมหาสงครามครั้งนี้
                       ชาร์ล คลาแรนซ์ ตวัดคูนีกุนเดชี้ตรงไปยังกษัตริย์ซาดินอย่างท้าทายหมายจะประลองกับกษัตริย์เมืองเถื่อนให้รู้ผลชี้ขาดกันในเพลงยุทธ์เดียว   ทว่ากษัตริย์ซาดินกลับมีทีท่าไม่สนใจการท้าทายของจอมทัพแห่งฟีเลเซียแม้แต่น้อย   กษัตริย์เถื่อนเพียงแค่มองจ้องตอบด้วยดวงตาหรี่แคบที่อ่านไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเบนสายตาไปยังกลุ่มนักรบเปกาซัสเบื้องหน้า  
                       แม้การท้าทายจะไม่ได้รับการตอบสนองแต่จอมทัพหนุ่มก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ   จึงให้สัญญาณทัพเปกาซัสทำการกดดันกษัตริย์ซาดินให้ลงมาต่อสู้บนพื้นดินให้ได้   ทันทีที่ได้รับคำสั่ง   โรน่า แม่ทัพเปกาซัสก็นำทัพเปกาซัสจำนวนหนึ่งเข้าล้อมกรอบซาดินทันที   พร้อมกับประกาศด้วยเสียงอันดัง
                       “กษัตริย์แห่งซาโลม   เราคือโรน่า แม่ทัพเปกาซัสแห่งอาณาจักรฟีเลเซีย   ท่านจอมทัพชาร์ล คลาแรนซ์หมายจะประลองยุทธกับท่านเพื่อชี้ขาดสงครามแห่งทุ่งคีรานี้   หากท่านไม่ยินยอมรับคำเชิญแต่โดยดี...” โรน่าควงตวัดหอกชี้หน้าซาดินอย่างไม่เกรงกลัว  ดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายกล้า “เราจะทำให้ท่านรับคำเชิญเอง”
                       แต่แล้วคำท้าทายของเธอนอกจากกษัตริย์เถื่อนผู้นี้จะไม่แยแสแล้ว   กลับหัวเราะในลำคออย่างคนถูกใจอะไรสักอย่าง   ซ้ำยังหลิ่วตาพินิจพิจารณาเครื่องหน้าของเธออย่างเปิดเผยอีกด้วย   แม่ทัพเปกาซัสผู้นี้มิใช่หญิงสาวที่มีดวงหน้าสวยงามเป็นเลิศ   ทว่าเครื่องหน้าแต่ละส่วนของเธอเมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วกลับดูมีเสน่ห์ชวนมองอยู่ไม่น้อย   แต่เธอมิใช่หญิงที่ชอบหว่านเสน่ห์และออกจะเกลียดผู้ชายที่มีท่าทางเจ้าชู้เสียด้วย   ดังนั้นแม่เสือสาวแห่งฟีเลเซียจึงโกรธจนแทบเก็บอารมณ์ไม่อยู่เมื่อถูกดูหมิ่นด้วยกริยากะลิ้มกะเหลี่ยหยาบคายเช่นนี้   โรน่าไม่รอช้าสั่งการให้ทัพเปกาซัสโจมตีทันที
                       ฝูงทัพอัศวินเปกาซัสต่างก็พุ่งโฉบบินฉวัดเฉวียนเวียนผลัดกันโจมตีใส่กษัตริย์ซาดินจากทุกทิศทุกทางด้วยความรวดเร็ว   ซาดินใช้กระบองกระทุ้งที่หลังซาลามันเดอล่าเบาๆเป็นสัญญาณ   มังกรซาลามันเดอล่าก็ส่ายสะบัดคอพ่นเปลวเพลิงร้อนฉ่าใส่ฝูงบินเปกาซัสทันทีเช่นกัน   ทำให้วงล้อมของทัพเปกาซัสแตกกระจายออกเพราะหลบเปลวไฟ   ครั้นแล้วซาดินก็โฉบมังกรพุ่งทะยานขึ้นฟ้าหมายจะสลัดให้พ้นจากการล้อมกรอบ   โดยหลอกล่อให้เหล่าอัศวินเปกาซัสแตกกลุ่มและบินลุกไล่ตามเขาไป   แต่แล้วจู่ๆซาดินก็กลับตัวขี่ซาลามันเดอล่าบินย้อนกลับในแนวดิ่งพลางควงกระบองฟาดใส่ฝูงเปกาซัสที่บินตามเขาขึ้นมาคนแล้วคนเล่าจนต้องชักเปกาซัสหลบเป็นพัลวัน   ในขณะที่บางคนก็ต้องรีบโฉบเปกาซัสเข้าช่วยเหลือเพื่อนที่ถูกฟาดตกจากหลังเปกาซัสอย่างทุลักทุเล   อัศวินเปกาซัสเคราะห์ร้ายบางคนถูกฟาดใส่อย่างจังจนร่างลอยละลิ่วไปไกลเกินกว่าจะช่วยไว้ได้ทัน  ทำให้ร่างร่วงดิ่งหายไปในคลื่นสงครามเบื้องล่างอย่างน่าอนาถ      
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: March 25, 2005, 04:31:39 AM »

                 ในทันทีทันใดนั้น  ซาดินก็ชักซาลามันเดอล่าตรงเข้าหาโรน่าทันที   โรน่ารีบตวัดปลายหอกปัดป้องกระบองของซาดินพลางชักเปกาซัสคู่ใจหมุนอ้อมหลบอย่างรวดเร็ว   บรรดาอัศวินเปกาซัสที่บินโฉบอยู่โดยรอบพยายามหาจังหวะเข้าจู่โจมซาดินอย่างเต็มกำลัง   แต่ทว่าซาดินกลับใช้ซาลามันเดอล่าพ่นเปลวเพลิงขับไล่ไม่ยอมให้ใครเข้ามาใกล้ได้เลย   แล้วการต่อสู้ระหว่างกษัตริย์ซาดินแห่งซาโลมและโรน่าแม่ทัพเปกาซัสแห่งฟีเลเซียจึงเริ่มขึ้น   โรน่าซึ่งแม้พละกำลังจะเทียบเท่าซาดินไม่ได้เลย  แต่ก็อาศัยความปราดเปรียวว่องไวกว่าคอยพุ่งโฉบเข้าจู่โจม   ในขณะที่ซาดินแทบจะไม่เป็นฝ่ายบุกเอาเสียเลยเพียงแต่คอยตั้งรับการจู่โจมในแต่ละครั้งเท่านั้น   ความว่องไวของโรน่าดูจะทำให้ซาดินเกือบเพลี่ยงพล้ำและเปิดช่องให้แม่เสือสาวสามารถเข้าโจมตีในระยะประชิดอยู่หลายครั้ง   แต่แล้วซาดินก็กลับสามารถรับการโจมตีได้ทุกครั้งเช่นกัน
                 จอมทัพ ชาร์ล คลาแรนซ์ ผู้ซึ่งจับตาดูการประมือของทั้งสองอยู่ตั้งแต่ต้นกลับมองการต่อสู้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วขมวดแน่น แววตาเต็มไปด้วยความฉงน   อากัปกริยาทั้งท่วงท่าในการออกอาวุธในแต่ละครั้งของกษัตริย์เถื่อนผู้นี้ดูช่างไม่ต่างกับนักล่าที่กำลังสนุกสนานกับการหยอกล้อเหยื่อของตน  

S

                 ภายในเมืองเอรีมเวลานี้ทุกฝ่ายต่างก็กำลังสาละวนอยู่กับการพยาบาลทหารที่บาดเจ็บ และเร่งซ่อมแซมเมืองเป็นการด่วน   ทุกคนดูจะวุ่นวายและไม่มีเวลาหยุดพูดคุยเรื่องไร้สาระหรือแม้จะพักมือจากหน้าที่การงานของตน   ชาวฟีเลเซียมีลักษณะโดดเด่นที่ดีอีกอย่างก็คือพวกเขาจะฟื้นฟูบ้านเมืองได้เร็วเพราะพวกเขาไม่ยอมให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์   ทั้งหญิงและชายจะแบ่งหน้าที่กันอย่างเป็นระบบและลงมือปฏิบัติทันทีที่ได้รับมอบหมายงาน
                 ขณะที่ซิกมันต์ออกตรวจงานต่างๆภายในเมืองเรียบร้อยแล้ว และกำลังขี่ม้ากลับเข้าวังที่ประทับ   มหาดเล็กนายหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามารายงาน  
                 “ฝ่าบาท   หน่วยค้นหาแจ้งว่ายังไม่พบซากของแม่ทัพฝ่ายซาโลมเลยพ่ะย่ะค่ะ”  
                 “สั่งค้นหาต่อไป   ต่อให้ต้องพลิกสนามรบก็ต้องหาให้เจอ” ซิกมันต์ ขมวดคิ้วเข้าหากัน สั่งเสียงเฉียบทันที  ก่อนจะชักม้าบ่ายหน้าเข้าที่พัก
                 “ฝ่าบาท” มหาดเล็กร้องทัดทาน  ซึ่งทำให้ซิกมันต์ต้องชักม้าหยุดและหันมามองอย่างสงสัย
                 “หน่วยสอดแนมจากเมืองวอลเนียมาขอเข้าเฝ้าเพื่อแจ้งข่าวด่วนพ่ะย่ะค่ะ”  
                 “เขาอยู่ที่ไหน” ซิกมันต์ถามอย่างรวดเร็ว แม้ความประหวั่นจะเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ  
                 “รออยู่ที่ท้องพระโรงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
                 ได้ฟังเพียงเท่านั้นซิกมันต์ก็รีบควบม้ามุ่งหน้ากลับเข้าปราสาททันที

                 เมื่อกษัตริย์ซิกมันต์เสด็จไปถึงท้องพระโรงก็ได้พบว่าบรรดาแม่ทัพระดับสูงอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว   ทุกคนล้วนอยู่ในอาการเคร่งเครียด
                 “เกิดอะไรขึ้น” ซิกมันต์ถามขณะที่หย่อนตัวลงบนบัลลังก์
                 “ทูลฝ่าบาท   เวลานี้กองทัพผีนรกครึ่งแสน  พร้อมทั้งฝูงมังกรไฟนับพันตัว และทหารซาโลมอีกเกือบแสน   กำลังยาตราทัพเข้าประชิดเมืองวอลเนียแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
                 ซิกมันต์รู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ดวงเนตรเบิกกว้างขึ้น  แววแห่งความตื่นตระหนกฉายชัดก่อนที่จะรีบเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไปอย่างรวดเร็ว  
                 “ทำไมถึงเพิ่งแจ้งข่าว?” ซิกมันต์เอ่ยออกมาในที่สุด
                 “ท่านบิชอปส่งคนเดินสารมาสามครั้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ   แต่ทุกคนล้วนเงียบหาย   คาดว่าคงโดนกำจัดระหว่างเดินทางมาที่นี่   ข้าพระองค์ใช้เส้นทางอ้อมเมืองมาทางทิศใต้จึงสามารถมาแจ้งข่าวแก่พระองค์สำเร็จ ตอนที่ข้าพระองค์ออกเดินทาง  กองทัพซาโลมก็ยกทัพมาเกือบประชิดเมืองแล้ว   ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง”
                  “สั่งการลงไป  ทัพนก และทัพมังกรทั้งหมด   จงเร่งยกทัพไปช่วยเมืองวอลเนียเดี๋ยวนี้”    ซิกมันต์ประกาศก้อง
                 “ขอประทานอภัยฝ่าบาท” แม่ทัพมังกรเอ่ยขึ้น “ข้าพระองค์เห็นว่าเราไม่สามารถยกทัพไปได้ทั้งหมด   เพราะเวลานี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเราไม่พบศพของแม่ทัพซาโลม   มีเพียงแค่ซากมังกรดำที่ถูกตัดหัวขาดเท่านั้น   ดังนั้นหากคิดในแง่ดี   พวกทหารซาโลมคงจะนำศพแม่ทัพของตนกลับไปด้วย   แต่หากในแง่ร้ายละก็   แม่ทัพทมิฬยังมีชีวิตอยู่และอาจกำลังหาโอกาสโจมตีครั้งใหม่   ดังนั้นจึงสมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องแบ่งกำลังไปเพียงบางส่วนเท่านั้น   มิฉะนั้นกำลังพลทางนี้อาจจะไม่เพียงพอพ่ะย่ะค่ะ”      
                 ซิกมันต์ทุบที่วางแขนอย่างแรง  มือกำแน่นจนเส้นเลือดปรากฏขึ้นชัดเจน  ทำไมซาโลมจึงโจมตีเมืองวอลเนีย  เมืองนี้ไม่มีความสำคัญใดๆในทางการเมืองหรือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอาณาจักรแม้แต่น้อยมีแต่สถานที่สำคัญทางศาสนาเท่านั้น   ทั้งยังไม่ใช่เมืองที่จะเอื้อประโยชน์ต่อการรุกเข้าเมืองหลวงเลยเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆที่กองทัพฟีเลเซียวางกำลังไว้   หากแต่การบุกเมืองวอลเนียนั้นเปรียบเสมือนการโจมตีหัวใจของฟีเลเซียเพราะเป็นเมืองสำคัญทางศาสนา   ดังนั้นจึงทั้งน่าตกใจและน่าประหลาดใจไม่ใช่น้อยที่ซาโลมยกทัพใหญ่ไปที่เมืองวอลเนีย    ซิกมันต์คำรามเสียงกร้าวด้วยความขุ่นเคือง

                 “ข้าน่าจะฆ่าแม่ทัพนั่นได้สำเร็จแล้ว   ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้มังกรสารเลวนั่นมาทำให้ข้าเสียจังหวะ และต้องหันไปบั่นคอมันแทน” กษัตริย์แห่งสายลมขมวดคิ้วแน่น  สีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก  ความลำบากใจหนักอึ้งอยู่เต็มอกด้วยว่าการตัดสินใจของเขาจะชี้เป็นชี้ตายให้แก่เมืองอีกหลายเมืองในอาณาจักรทีเดียว  ซิกมันต์กล่าวแก่คนนำสาร“เจ้าไปพักผ่อนได้   มหาดเล็กจะจัดที่พักให้เจ้าเอง   เมื่อข้าหารือกับแม่ทัพทั้งหลายแล้วจะเร่งแบ่งกำลังพลและส่งไปช่วยเหลือทันที”
« Last Edit: March 25, 2005, 04:32:32 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: March 25, 2005, 04:33:22 AM »

                        กองทัพเพลิงของซาโลมบุกโจมตีเมืองวอลเนียในเวลากลางดึกสงัด   การบุกในครั้งนี้รวดเร็ว รุนแรง และป่าเถื่อนอย่างที่สุด เพราะผู้นำกองทัพซาโลมคือ ราชินีเนริมอร์ บลาสเซจ และ แบล็คไวเซอร์นั่นเอง   ทั้งสามยึดที่มั่นบริเวณเชิงผาสูงซึ่งสามารถมองเห็นเมืองวอลเนียได้ทั้งเมืองเป็นที่บัญชาการรบ   แม้องค์ราชินีจะไม่ลงรอยกับมหาอุปราช และจอมเวทย์ดำนัก   แต่การทำลายล้างเมืองวอลเนียของทั้งสามก็เรียกได้ว่าเข้าขั้นมหาวินาศ   เพราะมีทั้งฝูงมังกรไฟและกองทหารผีนรกที่ทำการบุกพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ   ฝูงมังกรไฟบินโฉบเผาทำลายบ้านเรือน  ในขณะที่กองทัพทหารผีนรกไล่ฆ่าฟันกวาดล้างสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดในเมือง   เพียงพริบตาเดียวเมืองทั้งเมืองก็แทบจะราบเป็นหน้ากลอง
                        สภาพเมืองวอลเนียขณะนี้แทบจะไม่เหลือสภาพความเจริญรุ่งเรือง และทัศนียภาพอันสวยงามให้เห็นแม้แต่น้อย   แม้จะเป็นเวลากลางคืนแต่ทั่วทั้งเมืองกลับสว่างจ้าด้วยเปลวไฟสีแดงที่ลุกลามเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างด้วยฝีมือกองทัพเพลิง   บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยควันไฟหนาทึบพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา  ฝูงมังกรไฟนับพันบินว่อนเหนือน่านฟ้าวอลเนีย   ตามท้องถนนกราดเกลื่อนไปด้วยศพของชาวเมือง บรรดาอัศวินทั้งหญิงชาย และนักบวช  ไม่เว้นแม้แต่เด็กตัวน้อยก็ยังถูกสังหารอย่างไร้ความปราณี
                        “ท่านบิชอปรีบออกจากที่นี่ไปหลบภัยที่วิหารฟรานเชสก้าก่อนเถิด” นักบวชสูงวัยรูปหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างร้อนรนเมื่อเข้ามาภายในที่พักของบรรดาพระชั้นผู้ใหญ่ “พวกอัศวินแจ้งมาว่าพวกเขาอาจจะต้านพวกซาโลมไว้ได้อีกไม่นาน เพราะพวกมันดูเหมือนจะแรงไม่ตกกันเลย   พอเหมือนกำลังจะเพลี่ยงพล้ำจู่ๆพวกมันก็มีกำลังเพิ่มขึ้นมาอย่างประหลาดทุกครั้ง”  
                        “แล้วพวกท่านละ”  เกรเกอรี่เอ่ยถามอย่างร้อนรนเช่นกัน
                        “พวกเราจะอยู่ช่วยทางนี้อีกแรงเพราะพวกทหารปีศาจจำเป็นต้องใช้พลังของนักบวชในการกำจัดจิตชั่วร้าย   ท่านบิชอปอย่าเป็นห่วงพวกเราเลย   ชีวิตของท่านสำคัญที่สุดรีบไปก่อนเถิด   ตอนนี้บรรดาพระชั้นผู้ใหญ่หลายรูปพร้อมหน่วยคุ้มกันทั้งอัศวินและนักบวชเตรียมพร้อมคอยท่าอยู่ทางด้านหลังนี่แล้ว”
                        “เราอยู่ช่วยพวกท่านด้วยอีกแรงจะไม่ดีกว่าหรือ   อย่างน้อยพลังของเราก็คงจะมากพอที่จะกำจัดทหารปีศาจได้หลายพันตัว”   เกรเกอรี่กล่าวด้วยความเป็นห่วง
                        “ท่านบิชอป  พลังและชีวิตของท่านนั้นสำคัญต่อฟีเลเซียอย่างที่สุด   พวกเราไม่กล้าให้ท่านเสี่ยงอันตรายในขณะที่เรายังสามารถปกป้องท่านได้อยู่หรอกครับ   อีกอย่างวิหารฟรานเชสก้าจะให้พวกศัตรูล่วงละเมิดไม่ได้   หากท่านอยู่ที่นั่นพวกเราจะวางใจได้มากกว่า   เราไม่มีเวลามากนักรีบไปเถิดท่านเกรเกอรี่”
                        “ถ้าเช่นนั้นก็ระวังตัวด้วยนะ   ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองท่าน” บิชอปเกรเกอรี่จำต้องตัดใจไปในที่สุด
                        “ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองท่าน” พระสูงวัยกล่าวก่อนจะรีบตามไปสมทบกับเหล่าอัศวินคนอื่นๆ
                        เมื่อเกรเกอรี่ออกมาถึงลานกว้างนอกตัวอาคารที่พักก็พบว่ากองทัพอัศวินและนักบวชกว่าร้อยชีวิตกำลังรอคอยเขาอยู่   เสียงการสู้รบและเสียงอาวุธกระทบกันดังกระฮึ่มอยู่นอกกำแพง   เขาสามารถมองเห็นบรรยากาศโดยรอบด้วยแสงสว่างจากเปลวเพลิงที่ลุกไหม้   ท้องฟ้าถูกเปลี่ยนเป็นสีแดงจนดูเหมือนดวงจันทร์ส่องแสงเป็นสีเลือด   หัวหน้าอัศวินเอ่ยขึ้นอย่างเร่งรีบ
                        “เชิญทางนี้ครับท่านบิชอป   พวกทหารปีศาจกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้   พวกเรามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว” เขานำเกรเกอรี่มาอยู่ตรงกลางก่อนจะล้อมเกรเกอรี่เป็นวงกลมโดยมีบรรดาอัศวินป้องกันอยู่รอบนอกต่อด้วยบรรดานักบวช   เพื่อว่าบรรดาอัศวินจะเป็นผู้ปกป้องนักบวชและบิชอป   ส่วนนักบวชที่อยู่วงในจะช่วยใช้พลังศักดิ์สิทธิ์กำจัดทหารปีศาจและเสริมกำลังด้านการรักษาให้บรรดาอัศวินไปด้วย
                        “ทุกท่านฟังให้ดี  ทหารปีศาจมีหัวถึงสามหัว  การมองของมันจึงได้เปรียบกว่าเรามาก   แขนของมันก็ยาวและคมกริบ   ต่อให้ตัดหัวทั้งสามแล้วมันก็ยังมีชีวิต   ดังนั้นการที่จะกำจัดมันมีวิธีเดียวคือฟันมันให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หรือใช้พลังของนักบวชสังหารมันเท่านั้น   สำหรับบรรดานักบวชที่อยู่ด้านใน   พวกท่านต้องช่วยสอดส่องทหารปีศาจจากทุกทิศทางแม้แต่จากด้านบนเพราะมันอาจจะกระโดดลงมาจากอาคารหลังใดหลังหนึ่งได้ตลอดเวลา   ทันทีที่เปิดประตูเราจะเคลื่อนกำลังมุ่งสู่วิหารโดยเร็วที่สุด”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: March 25, 2005, 04:34:10 AM »

                       เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมีคำถามและทุกคนก็พร้อมออกเดินทางแล้วหัวหน้าอัศวินจึงให้สัญญาณอัศวินสองนายที่เฝ้าระวังอยู่ที่บานประตู   อัศวินทั้งสองจึงกระชากบานประตูออกคนละข้างพร้อมๆกับหน่วยคุ้มกันที่วิ่งบุกตะลุยทะลวงฟันทหารปีศาจนอกตัวอาคารอย่างรวดเร็ว   ตลอดเส้นทางคณะของเกรเกอรี่ต้องพบกับทหารปีศาจมากมาย   เหล่าอัศวินก็ต่อสู้อย่างสุดกำลังทั้งบรรดานักบวชก็ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ทำลายทหารปีศาจไปก็มาก   มีอยู่ถึงสี่ครั้งที่ทหารผีกระโดดลงมาจากตึกสูงแต่นักบวชที่อยู่วงในก็สามารถกำจัดมันได้ทันการณ์ก่อนที่มันจะตกลงสู่พื้นพอดี   ทว่าในครั้งที่สี่นั้นทหารผีนรกกระโดดลงมาในช่วงที่ทุกคนกำลังฟาดฟันกับทหารผีกว่าสิบตัวที่อยู่ข้างหน้าทำให้ไม่ทันระวังด้านบน   กว่าจะรู้ตัวทหารผีก็กระโดดลงมากลางวงล้อมไม่ไกลจากเกรเกอรี่มากนัก   มันสังหารนักบวชไปถึงหกรูปก่อนที่มันจะถูกสังหารด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์   อีกครั้งหนึ่งที่อัศวินเคราะห์ร้ายไม่ทันเห็นทหารปีศาจที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดทำให้โดยจะงอยแขนของมันกระชากคอจนศีรษะหลุดกระเด็นไปต่อหน้าต่อตาเกรเกอรี่และผู้ร่วมคณะคนอื่นๆ   เกรเกอรี่สังเกตเห็นเหมือนอย่างที่พระสูงวัยบอกเช่นกันคือทหารปีศาจเหล่านี้หลายครั้งที่จู่ๆก็มีพลังเพิ่มขึ้นอย่างประหลาดทำให้การต่อสู้ยากลำบากมากขึ้น  คณะของเกรเกอรี่มีกำลังใจมากขึ้นเมื่อมองเห็นยอดวิหารอยู่อีกไม่ไกล   ต่างเร่งฝีเท้ากันเร็วขึ้นเพื่อไปให้ถึงที่หมาย  
                       ทันใดนั่นเองก็มีเสียงกรีดร้องของหญิงคนหนึ่งดังออกมาจากถนนแคบๆทางขวามือ   เมื่อเกรเกอรี่หันไปมองจึงได้เห็นเด็กชายหญิงคู่หนึ่งวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตมาทางคณะของเกรเกอรี่   ทั้งคณะแทบจะหยุดระวังไปชั่วขณะเมื่อเห็นเด็กทั้งสองวิ่งตรงมา   เด็กชายที่โตกว่าจูงน้องสาวที่เพิ่งผ่านพ้นวัยเตาะแตะมาไม่กี่ปีวิ่งหน้าตาตื่นร้องไห้จ้าด้วยความหวาดกลัว   เพียงพริบตาเดียวทหารผีสองตัวก็พุ่งตัวพ้นซอกตึกออกมา   แขนข้างหนึ่งของทหารผีทางขวามีร่างของผู้หญิงที่ถูกจะงอยแหลมเสียบทะลุอกห้อยติดอยู่   ทันทีที่พวกมันเห็นเด็กทั้งสองพวกมันก็กระโจนเข้าใส่ทันที   ทว่าเหล่าอัศวินอยู่ไกลเกินกว่าจะเข้าไปช่วยได้ทัน   แต่เพียงพริบตาเดียวก็มีลำแสงสว่างจ้าพุ่งกระแทกทหารปีศาจทั้งสองก่อนจะเผาร่างปีศาจจนมอดไหม้ไปในชั่ววินาทีนั้น   เมื่อคลายความตระหนกแล้วทุกคนจึงเห็นว่าบิชอปเกรเกอรี่นั่นเองที่เป็นผู้ช่วยเด็กๆไว้   เด็กชายวิ่งมาจนถึงคณะของเกรเกอรี่ก็ล้มคะมำลงต่อหน้าจึงได้เห็นว่าที่หลังของเด็กน้อยมีบาดแผลฉกรรจ์ทีเดียว   เด็กน้อยคงต้องกัดฟันทนความเจ็บปวดพาน้องที่ยังเล็กหนีทหารปีศาจที่เพิ่งฆ่ามารดาของตนไปต่อหน้าต่อตา   อัศวินนายหนึ่งรีบอุ้มเด็กทั้งสองเข้าไปอยู่ในวงอารักขา   เกรเกอรี่รับเด็กหญิงที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวสั่นเทามาดูแลในขณะที่เด็กชายที่หมดสตินั้นให้พระผู้ใหญ่ที่มีพลังรักษาดูแล  
                       ยิ่งเข้าใกล้วิหารก็ยิ่งได้พบพ่อแม่จำนวนมากที่กำลังพาลูกๆของตนมุ่งหน้าไปที่วิหารแห่งฟรานเชสก้าด้วยเช่นกัน   บางครอบครัวโชคร้ายไปไม่ถึงวิหารนอนตายเกลื่อนอยู่ข้างถนนก็มาก   ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนเจ็บปวดและเวทนาสงสารยิ่งนัก   คณะของเกรเกอรี่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเพราะบรรดาอัศวินที่นำเด็กๆที่ได้ช่วยไว้มาฝากกับคณะ หรือไม่ก็เป็นพ่อแม่เด็กที่นำลูกๆของตนหนีมาและได้ฝากลูกๆของตนไปกับคณะด้วย   ยิ่งกลุ่มขยายใหญ่ขึ้นก็ยิ่งตกเป็นเป้าหมายในการดักซุ่มโจมตีได้ง่าย   ทำให้การปกป้องคุ้มกันทำได้ลำบากมากขึ้นทุกที        
                       เหนือขึ้นไปบริเวณเนินสูงใจกลางเมืองวอลเนียคือที่ตั้งของวิหารแห่งฟรานเชสก้า   คณะของเกรเกอรี่ซึ่งสามารถฝ่าวงล้อมของทหารปีศาจเข้ามาในลานหน้าวิหารได้สำเร็จต่างก็รู้สึกโล่งใจที่ทำภารกิจที่ได้รับมอบสำเร็จแม้จะเสียกำลังพลไปถึงเกือบครึ่งหนึ่ง   ทุกคนมองไปรอบนอกเขตวิหารจึงได้เห็นว่าทหารปีศาจค่อยๆมาสมทบกันอยู่โดยรอบจนทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ   พวกทหารปีศาจไม่กล้าย่างกรายเข้ามาในเขตศักดิ์สิทธิ์จึงได้แต่ยืนล้อมและจ้องมองกลุ่มคณะของเกรเกอรี่อยู่รอบนอกวิหาร  บานประตูขนาดใหญ่สีทองอร่ามค่อยๆเปิดออกโดยผู้ปกป้องวิหาร(Sanctuary’s Guard)สองนายในชุดสีแดงเลือดหมูสวมเกราะขาวประกายทองพร้อมทวนดาบขนาดใหญ่เป็นอาวุธเป็นผู้เปิดประตูวิหารรับคณะของบิชอปเกรเกอรี่

                       บริเวณเชิงผาที่เนริมอร์  บลาส เซจ และแบล็คไวเซอร์ เลือกเป็นที่มั่น   บลาส เซจได้ตั้งโต๊ะทำพิธีสังเวยเพื่อเสริมกำลังให้ทหารผีนรกอยู่   นี่เองเป็นสาเหตุที่ทำให้กำลังของทหารปีศาจเหล่านี้เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ   แต่สิ่งที่พิเศษในพิธีนี้ก็คือเครื่องบูชายัญที่บลาส เซจใช้ในการสังเวยนั้นคือนกฟีนิกซ์ (Phoenix)   ไม่มีใครรู้ว่าบลาส เซจได้นกฟีนิกซ์มาจากไหนหรือใช้วิธีใดในการจับฟีนิกซ์มา   รู้เพียงแต่ว่าการสังเวยด้วยฟีนิกซ์นั้นทำให้เกิดผลต่อเนื่องที่คุ้มค่าอย่างที่สุด   เพราะเมื่อสังเวยฟีนิกซ์   ฟีนิกซ์ก็จะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านก่อนจะถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้ง   แล้วบลาสเซจก็จะทำการสังเวยเจ้านกฟีนิกซ์อีกเช่นนี้ไปเรื่อยๆ   นกฟีนิกซ์ในกรงอาคมเวทย์ถูกสังเวยครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเสริมกำลังให้ทัพผีนรกแข็งแกร่งขึ้นอย่างน่ากลัว
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: March 25, 2005, 04:35:00 AM »

                         ทั้งสามต่างยืนอยู่ริมผามองเมืองวอลเนียที่ใกล้จะแตกอย่างปรีดิ์เปรม   เปลวเพลิงเผาผลาญทั้งเมืองจนลุกโชติช่วงสว่างไสวราวกับเวลากลางวันแม้จะมองจากที่ไกลๆอย่างบนเชิงผาแห่งนี้   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แบล็คไวเซอร์ ผู้ที่มักนิ่งเงียบและวางตัวเย็นเฉย  ทว่าขณะนี้ใบหน้ากลับฉาบรอยยิ้มแห่งความหฤหรรษ์  เนื้อตัวเกร็งสั่นเทิ้มด้วยความยินดีจนแม้แต่เจ้านกปีศาจคู่ใจก็ยังรับรู้ความรู้สึกของนายได้เพราะมันขยับตีปีกอย่างร่าเริงดวงตาทั้งสี่จ้องเขม็งไปทางตัววิหารฟรานเชสก้าที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเขาสูงใจกลางเมืองวอลเนีย   แบล็ค ไวเซอร์แสยะยิ้ม   อีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าเขาจะได้ตัวศัตรูคู่อาฆาตมาอยู่ในกำมือแล้ว
                         “อย่าลืมว่าเกรเกอรี่เป็นของข้า   ข้าต้องได้ตัวมันมาเป็นๆ... แต่ถ้ามันฤทธิ์มากนักจะหักแขนหักขาก่อนนำมาให้ข้าก็ได้” แบล็ค ไวเซอร์กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง มุมปากแสยะขึ้นอย่างชั่วร้ายเมื่อนึกถึงภาพหักแขนหักขาบิชอปแห่งฟีเลเซีย
                         บลาสเซจ เหลือบไปมองแบล็ค ไวเซอร์ ริมฝีปากกระตุกยิ้มขึ้นข้างหนึ่งอย่างร้ายกาจตอบว่า “แน่นอน ต่อให้มันตาย ศพมันก็จะเป็นของเจ้า”
                         ทันใดนั้นมหาดเล็กนายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงาน  
                         “ฝ่าบาท   ทัพมังกร และทัพนกของฟีเลเซียกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”
                         บุคคลทั้งสามต่างมองหน้ากัน  ก่อนที่องค์ราชินีจะยิ้มเยาะ เหยียดปากเหน็บแนม
                         “ไหนว่าพวกเจ้าวางกำลังจัดการกับพวกส่งสารไว้หมดแล้วไงล่ะ   ทำไมพวกมันยังสามารถส่งกองทัพมาช่วยได้อีก   หึ!แต่ก็นั่นแหละนะพวกเจ้าก็ไม่ได้เรื่องมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนี่   ข้าไม่อยู่ตั้งสามเดือนยังไม่เห็นจะตีเมืองเพิ่มได้สักเท่าไหร่   แม้แต่เวลานี้ก็ยังต้องเดือดร้อนข้าอยู่ดี”เนริมอร์หัวเราะชอบใจกวาดตามองเมืองวอลเนียที่ถูกเผาจนวอดวายโดยไม่สนใจสายตาที่มาดร้ายของชายทั้งคู่   อีกเพียงไม่กี่ชั่วยามข้างหน้าเมืองวอลเนียต้องแตกแน่  ราชินีแห่งซาโลมจึงส่งสัญญาณให้เหล่าผู้คุมมังกรไฟ  ก่อนจะสั่งการด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
                         “จงนำฝูงมังกรไฟไปยันทัพของฟีเลเซียเดี๋ยวนี้   ต้านไว้ให้นานที่สุด”
                         ในทันใด ฝูงมังกรไฟนับพันก็บ่ายหน้ามุ่งไปทางทิศตะวันออกทันที
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: March 25, 2005, 04:36:47 AM »

เชิญมาเม้าส์กันต่อที่นี่คะ

http://www.smnforum.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=11714
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.042 seconds with 22 queries.