Summoner Master Forum
April 24, 2024, 07:01:39 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 42 สายน้ำที่แผ่ขยายและให้ชีวิต @@  (Read 9195 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: April 02, 2006, 09:37:29 PM »

Chapter 42 สายน้ำที่แผ่ขยายและให้ชีวิต

                   หลังจากที่เจ้าหญิงทรงกลับถึงปราสาทแล้วก็ทรงรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งองค์ใหม่อย่างรวดเร็ว   ที่แท้แล้วพระองค์ยอมเดินทางกลับปราสาทในทันทีในขณะที่ซิสเตอร์โรซาน่าและคณะดูแลผู้อพยพโดยที่ไม่มีพระองค์   ก็เพราะพระองค์จะทรงรีบเดินทางไปพบคาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้นั่นเอง   หากพระองค์สามารถโน้มน้าวสภาศาสนาให้เห็นชอบกับพระองค์ได้   สภาพ่อค้าก็จะไม่มีอำนาจต่อรองใด ๆ อีก   เนื่องจากแอนดิซองใช้ระบบเสียงข้างมากในการออกกฎหมายข้อบังคับต่าง ๆ   เจ้าหญิงอลาน่าทรงมีเวลาเหลือไม่มากนักก่อนจะเข้าประชุมสภาครั้งใหม่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า   ดังนั้นพระองค์จะทรงรอช้าอีกไม่ได้แล้ว   เจ้าหญิงทรงรับสั่งกับนางกำนัลต้นห้องทันที
                    “เตรียมรถม้าให้ฉันอย่างเร็วที่สุดจ๊ะ   ฉันจะไปพบท่านคาร์ดินัลที่โบสถ์หลวง”

                    ขณะที่คาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้กำลังทำวัตรอยู่ในห้องภาวนาของพระชั้นผู้ใหญ่   ที่ซึ่งเป็นห้องที่แยกออกมาเป็นส่วนตัวอยู่ทางปีกขวาฝั่งตะวันออกของโบสถ์หลวง   จู่ ๆ บาทหลวงหนุ่มองค์หนึ่งก็เข้ามารายงาน
                    “พระคุณเจ้าครับ   เจ้าหญิงอลาน่าเสด็จมาขอพบท่านครับ”
                    มาร์สิลิโอ้ออกจะประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่เจ้าหญิงเสด็จมาพบโดยมิได้แจ้งล่วงหน้าในเวลาพลบค่ำเช่นนี้   ซ้ำตั้งแต่ที่เขาเดินทางมาเมืองท่าเพื่อจำศีลภาวนาและมาดูแลจัดการงานต่าง ๆ ของสภาศาสนาในเมืองนี้จนจวนเจียนจะได้เวลาเดินทางกลับแล้ว   เขาได้พบเจ้าหญิงเพียงครั้งเดียวคือเมื่อวันที่เดินทางมาถึงนั่นเอง   ดังนั้นนี่คงจะเป็นเรื่องด่วนที่สำคัญมากทีเดียว
                    “ไปทูลเจ้าหญิงว่าเราจะออกไปพบอีกสักครู่นี้”

                    ภายในห้องรับรองของโบสถ์หลวงประจำเมืองท่าแห่งแอนดิซองซึ่งตกแต่งด้วยรูปปั้นของเหล่าบรรดานักบุญซึ่งประดับประดาด้วยอัญมณีสูงค่ามากมายอย่างงดงามยิ่ง   ซึ่งหากใครได้มาเห็นสักครั้งก็จะต้องหาโอกาสที่จะเข้ามาชมอีกเป็นครั้งที่สอง    
                    กระนั้นก็ดีความงดงามนี้ก็ไม่สามารถดึงดูดจิตใจของเจ้าหญิงแห่งแอนดิซองได้   พระองค์ไม่ได้ทรงมองเห็นรูปปั้นนักบุญที่สวยงามอร่ามตา   แต่พระองค์ทรงเห็นคุณงามความดี ความศักดิ์สิทธิ์ และความยากลำบากที่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้กระทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตต่างหาก   พระองค์ทรงคุกเข่าลงต่อหน้ารูปนักบุญทั้งหลายก่อนจะหลับตาลงอธิษฐานภาวนาวิงวอนเหล่านักบุญทั้งหลายให้ช่วยวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงประทานปรีชาญาณให้แก่พระองค์   เจ้าหญิงทรงสวดภาวนาอยู่นานจนเหมือนอยู่ในภวังค์
                    แต่แล้วพระองค์ก็รู้สึกว่ามีมือเล็ก ๆ มาแตะตรงไหล่ของพระองค์อย่างแผ่วเบา   พระองค์จึงลืมตาขึ้นเพื่อพบกับความว่างเปล่า   เจ้าหญิงขมวดคิ้วลงเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ   ใครกันหนอที่สัมผัสพระองค์   แต่พระองค์มั่นใจว่าไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย   เพราะพระองค์สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน   คิดได้เพียงเท่านั้นก็ต้องรีบเก็บความคิดนั้นไว้เพราะทรงเห็นว่าท่านคาร์ดินัลยืนอยู่ที่หน้าประตู   ซึ่งคงยืนอยู่ได้สักครู่ใหญ่แล้ว   นักบวชสูงวัยเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก   พระผู้มากด้วยยศศักดิ์และอำนาจในสภาสูงค่อมศีรษะเล็กน้อย   รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏอยู่บนใบหน้า
                    “เจ้าหญิง” มาร์สิลิโอ้เอ่ยทักทาย
                    “ท่านคาร์ดินัล” เจ้าหญิงทรงย่อตัวลงเล็กน้อยแสดงความเคารพ   ซึ่งด้วยยศตำแหน่งของพระองค์  เจ้าหญิงไม่จำเป็นต้องทำความเคารพคาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้ก็ย่อมได้   เพราะโดยยศศักดิ์แล้ว   ตำแหน่งคาร์ดินัลเทียบเท่ากับเจ้าชายของพระศาสนจักร   ศักดิ์ของทั้งสองจึงเท่ากัน   แต่เจ้าหญิงก็ทรงปฏิบัติเช่นนี้ทุกครั้งตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์   อันเป็นการบ่งบอกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนของพระองค์   ซึ่งคาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้ก็ชื่นชมเจ้าหญิงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: April 02, 2006, 09:40:59 PM »

                   “ท่านจะต้องเป็นพระราชินีที่ทรงคุณธรรม และน่ายกย่องมากทีเดียว   เพราะท่านอ่อนน้อม รักราษฎร และ ยึดมั่นในศาสนาเช่นนี้”  คาร์ดินัลเอ่ยตั้งข้อสังเกตแกมชื่นชม
                    เจ้าหญิงทรงทำได้แค่เพียงยิ้มตอบ   พระองค์ยังไม่พร้อมที่จะบอกความปรารถนาสูงสุดของตนที่อยากจะออกบวชให้คาร์ดินัลทราบ   แต่มาร์สิลิโอ้ก็ไม่ได้ติดใจกับคำตอบที่มีเพียงรอยยิ้มของพระองค์เมื่อออกปากเชื้อเชิญ
                    “เชิญที่เก้าอี้รับรองทางด้านนี้ก่อนเถิด   เราจะได้คุยกันได้สะดวก” มาร์สิลิโอ้ผ่ายมือออกไปยังชุดเก้าอี้บุบกำมะหยี่สีน้ำเงินสดที่ดูหนานุ่มน่าสบาย   เมื่อทั้งสองนั่งลงเรียบร้อยแล้ว   มาร์สิลิโอ้จึงกล่าวขึ้น
                    “ท่านมีเรื่องด่วนสำคัญอะไรอย่างนั้นหรือ?”
                    “ฉันกำลังจะนำเรื่องหนึ่งเข้าที่ประชุมสภาในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ค่ะ   และฉันอยากจะได้การสนับสนุนจากท่านคาร์ดินัล” เจ้าหญิงทรงเริ่มเข้าเรื่องทันที
                    “เรื่องที่สภาพ่อค้าจะต้องคัดค้านอย่างที่สุดสินะ   ท่านถึงต้องมาคุยกับเราเป็นการส่วนตัวก่อน” นักบวชอาวุโสกล่าวอย่างรู้ทัน “เรื่องที่สภาพ่อค้าไม่ชอบ   ถ้าไม่นับเรื่องการเสียผลประโยชน์ด้านการค้าก็ยังมีอีกสารพัดเรื่องเลยทีเดียว   เป็นเรื่องอะไรล่ะ?”    
                    “เรื่องผู้อพยพที่ท่าเรือค่ะ”
                    มาร์สิลิโอหันมามองเจ้าหญิงด้วยแววตาสงสัยและตึงเครียดขึ้นในทันใด   แต่ก็ยังคงมิกล่าวใด ๆ ออกมา   เจ้าหญิงจึงตรัสต่อ
                    “ฉันอยากให้ท่านทบทวนเรื่องการให้ความช่วยเหลือผู้อพยพใหม่อีกครั้งค่ะ”
                    มาร์สิลิโอ้ส่ายหน้าช้า ๆ “เมื่อที่ประชุมต่างเห็นพ้องต้องกันแล้ว   กฎก็ย่อมต้องเป็นกฎ   จะให้เรากลับคำพูดไปมา   วันนี้พูดอย่างหนึ่งอีกวันพูดอีกอย่างหนึ่งได้อย่างไร?”
                    “ถ้าเช่นนั้น   ฉันอยากจะทราบว่าเหตุใดท่านจึงเห็นชอบที่จะไม่ช่วยเหลือบรรดาผู้อพยพล่ะคะ?”
                    “เรากังวลว่า การปล่อยคนเหล่านี้เข้ามาอาจเป็นอันตรายต่อพระศาสนจักรของแอนดิซอง” มาร์สิลิโอ้กล่าวเสียงเรียบแต่สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความหนักใจ   คาร์ดินัลส่ายหน้าช้าพลางผ่อนลมหายใจแรง ๆ “เราได้ทราบมาว่า คนต่างชาติเหล่านี้ นับถือผีสางนางไม้ และแม้แต่นับถือสัตว์  หนำซ้ำยังมีผู้รายงานมาว่าคนพวกนี้นอกจากจะไม่นับถือพระเจ้าแล้ว   ยังมีการทำป่าเถื่อนเช่นการฆ่าสัตว์บูชายัญกันด้วย และเรายังเคยได้ยินอีกว่า อาจมีการฆ่ามนุษย์บูชายัญเลยทีเดียว ซึ่งเราจะปล่อยให้มีการกระทำอันเลวทรามแบบนี้ในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าประทานให้แก่พวกเราชาวแอนดิซองไม่ได้   รวมทั้งการนำเอาวิธีการบูชายัญอันป่าเถื่อนมาปฏิบัติกันให้แผ่นดินนี้อาจทำให้เกิดการเอาเยี่ยงอย่างหรือเผยแพร่การบูชาเทพแบบนั้นให้แก่ประชาชนของเรา   ซึ่งอาจบังเกิดลัทธิเทียมเท็จและแตกแยกในกลุ่มชนภายในประเทศได้   เราไม่อาจปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้”
                    เจ้าหญิงอลาน่าทรงทอดพระเนตรไปยังรูปวาดทางศาสนาในห้องนั้น ก่อนจะกล่าวช้า ๆ และหนักแน่นโดยไม่ละสายตาจากภาพนั้น
                    “แล้วการที่เราทำร้ายเข่นฆ่า หรือแม้แต่ปล่อยให้พวกเขาตายเพื่อความปลอดภัยของเราเอง มันจะแตกต่างจากการบูชายัญตรงไหนคะ?” เจ้าหญิงอลาน่าทรงใช้เหตุผลเช่นนี้ คาร์ดินัลผู้คงแก่เรียนในศาสนาและได้ชื่อว่าเป็นผู้ดูแลหลักศีลธรรมสูงสุดของแผ่นดิน ถึงกับนิ่งอึ้งหาคำตอบไม่ได้
                    เจ้าหญิงจึงเสริมต่อทันที “การบูชายัญอันป่าเถื่อนนั้น...นั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่รู้วิธีที่จะนมัสการพระเจ้าอย่างเหมาะสม   แต่พวกเขาจะรู้จักพระเจ้าและรู้วิธีที่จะปฏิบัติศาสนกิจให้เหมาะสมได้อย่างไรในเมื่อเราไม่ให้โอกาสพวกเขา   และที่พวกเขาไม่นับถือพระเจ้าก็เพราะพวกเขาไม่รู้จักพระองค์   พวกเขาจะรู้จักพระองค์ได้ก็โดยผ่านทางเรา  หากเราเห็นว่าพวกเขาผิด และทางที่เราปฏิบัติกันนั้นถูกต้อง หรือดูมีอารยธรรมกว่า แต่เรากลับกระทำการป่าเถื่อน ไร้น้ำใจ ไร้ศีลธรรม ไร้เมตตา และไร้ความรักต่อเพื่อนมนุษย์   เช่นนี้แล้วเรายังจะบอกเขาว่าสิ่งที่เรานับถือนั้นดี และประเสริฐ ใครจะเชื่อล่ะคะ? เพราะคุณค่าและความดีงามแท้จริงของศาสนา ไม่ใช่อยู่ที่พิธีกรรมที่ดูสง่างามหรือมีอารยธรรมกว่า แต่อยู่ที่ว่าศาสนานั้น ๆ สอนให้มนุษย์แสดงความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์อย่างไร และการพิสูจน์ที่ดีที่สุดก็คือการกระทำของศาสนิกชนในศาสนานั้น   ซึ่งกระทำแต่สิ่งดีงามตามหลักคำสอนที่ศาสนาสอนไม่ใช่หรือคะ?”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: April 02, 2006, 09:42:51 PM »

                   นักบวชสูงวัยมีท่าทีประหลาดใจกับคำพูดของเจ้าหญิงที่ทรงใช้คำพูดที่รุนแรงประณามการตัดสินใจไม่ให้ความช่วยเหลือผู้อพยพของเขา   เจ้าหญิงเห็นดังนั้นจึงตรัสถามขึ้น
                    “ท่านทราบหรือไม่ว่าพวกทหารทำอย่างไรกับผู้อพยพที่ท่าเรือ?”
                    “ไม่” มาร์สิลิโอ้ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เราไม่คิดจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายในกิจการของกองทัพ   และอีกอย่างช่วงนี้เราอยู่ในช่วงจำศีลภาวนา   จึงไม่ค่อยได้ติดตามเหตุการณ์ภายนอกนัก”
                    คาร์ดินัลมองเจ้าหญิงเป็นเชิงถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด   เจ้าหญิงจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ท่าเรือทั้งหมดให้มาร์สิลิโอ้ฟัง   ซึ่งก็ทำให้ใบหน้าของมาร์สิลิโอ้เคร่งขรึมและตึงเครียดขึ้นมาทันที   เพราะแม้เขาจะไม่อยากให้ความช่วยเหลือผู้อพยพเนื่องจากเกรงผลกระทบด้านต่าง ๆ   แต่ก็ไม่คิดว่าการตัดสินใจของตนจะทำให้มีเหตุการณ์รุนแรงบานปลายจนมีคนตายมากมายเช่นนั้น
                    “แล้วท่านคิดจะทำเช่นไร?” มาร์สิลิโอ้ถอนหายใจแรงโน้มตัวมาข้างหน้าตั้งศอกทั้งสองข้างขึ้นบนโต๊ะมือประสานไขว้กันจรดริมฝีปากอย่างคนใช้ความคิด
                    “ธรรมชาติของน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ แผ่ขยายกว้างใหญ่และให้ชีวิต   แอนดิซองก็ควรเป็นเช่นนั้น” เจ้าหญิงตรัส   ในหัวใจเปี่ยมไปด้วยแสงแห่งความหวังที่เริ่มจะเรืองรองเมื่อเห็นว่ามาร์สิลิโอ้เริ่มอ่อนข้อให้
                    มาร์สิลิโอ้พิจารณาคำพูดเจ้าหญิงอยู่นานหลายอึดใจก่อนจะพูดขึ้นในที่สุด
                    “แต่ผู้อพยพมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ   ถึงอย่างไร ณ วันใดวันหนึ่งผู้อพยพก็จะมากจนเกินกำลังของแอนดิซอง   แอนดิซองไม่อาจหาเลี้ยงคนเกือบทั้งเมอร์ริเซียได้หรอก” มาร์สิลิโอ้ตั้งข้อสังเกต
                    เจ้าหญิงทรงหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มตอบ “ที่จริงแล้วฉันมีความคิดว่าจะสร้างอาคารสักหลังให้เป็นที่พักสำหรับผู้ยากไร้และผู้อพยพ   แต่เวลานี้อาคารเพียงหลังเดียวคงไม่พอแล้ว   แล้วถ้าฉันจะสร้างศูนย์จัดจ้างแรงงานให้ผู้ยากไร้เพิ่มขึ้นอีกก็เป็นความคิดที่ดีนะคะ   คนที่มีความรู้มีฝีมือด้านอาชีพต่าง ๆ อยู่แล้วก็จะได้มีงานทำหาเลี้ยงตนเองได้   ใครที่ไม่มีความรู้   ฉันก็จะขอให้พวกซิสเตอร์สอนอาชีพให้”
                    “แล้วท่านจะสร้างสิ่งเหล่านี้ที่ไหน?” คาร์ดินัลยังคงถามต่อ
                    “ความจริงก่อนหน้านี้ฉันได้ออกสำรวจพื้นที่ใกล้เคียงและบริเวณโดยรอบท่าเรือไว้บ้างแล้ว   ฉันได้พบที่หนึ่งซึ่งมีพื้นที่ว่างกว้างขวางมากและมีโกดังเก่าตั้งอยู่หลายหลัง   ดูเหมือนเจ้าของจะใช้โกดังเหล่านั้นแค่บางช่วงของปีเท่านั้น   ฉันจึงคิดว่าจะขอซื้อที่บริเวณนั้นจากเขา” เจ้าหญิงตรัสเจือความหนักใจในน้ำเสียง
                    “เป็นที่ดินของใครหรือ?” มาร์สิลิโอ้ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
                    “ประธานสภาพ่อค้า รูฟัส ค่ะ”
                    เสียงมาร์สิลิโอ้ถอนหายใจเฮือกใหญ่   เอนหลังพิงพนักพลางส่ายหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็เปล่าประโยชน์   ท่านจะไม่มีวันได้ที่ดินผืนนั้นหรือไม่เช่นนั้น...ราคาก็คงสูงลิ่ว”
                    “ดังนั้นฉันจึงมาที่นี่ในวันนี้ยังไงเล่าคะ” เจ้าหญิงตรัสตอบ   รอยยิ้มแห่งความหวังฉาบบนใบหน้าของพระองค์
                    “แล้วปัญหาในการแสดงออกทางศาสนาที่ป่าเถื่อน และน่ากลัวเหล่านั้นเจ้าหญิงจะแก้ไขอย่างไร?”  มาสสิลิโอ้ถามขึ้น
                    เจ้าหญิงทรงนิ่งใช้ความคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “ในเบื้องต้น   ฉันคิดว่าเราควรใช้กฎหมายค่ะ   ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาในประเทศไหนต้องเคารพกฎระเบียบของประเทศนั้น ๆ   เรื่องนี้คนทุกคนไม่ว่าจะชนชาติไหนศาสนาใดย่อมรู้ธรรมเนียมดี เราจะออกกฎหมายห้ามการฆ่าสัตว์บูชายัญ   และในส่วนของการห้ามฆ่าคน   เราก็มีกฎหมายเรื่องนั้นอยู่แล้ว และฉันคิดว่าเป็นการดีที่เราจะจัดให้มีซิสเตอร์หรือนักบวชนอกจากเข้าไปสอนอาชีพแล้ว ยังเข้าไปสอนศาสนาของเราในชุมชนของผู้อพยพ   ซึ่งฉันเห็นว่า ศาสนาเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาจะเข้าใจเรามากขึ้น   และเข้าใจในสิ่งดีที่ศาสนาของเรามี   ดังนั้นแม้เขาจะไม่กลับใจมานับถือศาสนาของเรา   แต่ก็ทำให้เขามีความรู้มากขึ้นและเข้าใจว่าควรทำ หรือไม่ควรทำอะไรในดินแดนของเรามากขึ้นนะคะ”
                    คาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้พิจารณาข้อเสนอของเจ้าหญิง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางลุกขึ้นช้า ๆ  
                    “หวังว่าพวกผู้อพยพจะได้รู้จักพระเจ้าผ่านทางการกระทำของท่านจริงอย่างที่ท่านว่า   เราปรารถนาว่าในอนาคตที่ไม่นานจนเกินไปนัก   การกราบไหว้เทพเจ้า ผีสาง และสัตว์   หรือการบูชายัญอันน่าสยดสยองนั่นในเมืองท่าแห่งนี้น้อยลงหรือไม่มีอีกเลย”
                    ซึ่งเจ้าหญิงก็ทรงได้แต่ทรงลุกขึ้นเดินตามไปเงียบ ๆ   พระองค์ไม่ปรารถนาจะบังคับใครทั้งนั้นไม่ว่าในเรื่องใด ในส่วนลึกพระองค์ยังคงหนักใจอยู่บ้างในสิ่งที่รับปากกับคาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้   เพราะว่าการที่คนเรานั้นจะละทิ้งประเพณีหรือความเชื่อดั้งเดิมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานาน ๆ นั้นคงจะทำได้ยาก   แต่เพราะความห่วงใยที่จะช่วยชีวิตคนจำนวนมากในเวลานี้   มาก่อนการระวังปัญหาที่ยังไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง   จนเมื่อเดินมาจวนจะถึงรถม้า
                    “ท่านจะช่วยฉันใช่ไหมคะ?” เจ้าหญิงทรงถามย้ำอีกครั้ง เพราะต้องการได้ยินคำพูดที่ชัดเจนจริง ๆ  
                    มาร์สิลิโอ้พยักหน้าน้อย ๆ แทนคำตอบ
                    “ขอบคุณพระเจ้า!” เจ้าหญิงทรงร้องอย่างยินดียิ่ง “ขอบคุณคะท่านมาร์สิลิโอ้”
                    “เจ้าหญิงทรงทราบดีว่าเราเป็นคนที่เข้มงวดมาก   อย่าลืมสิ่งที่เราบอกในวันนี้   การแสดงออกทางศาสนาที่ป่าเถื่อนนอกรีต และการบูชายัญต้องน้อยลงหรือไม่มีเลย” มาร์สิลิโอ้ กล่าวเสียงหนัก แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ก้มศีรษะเป็นเชิงบอกลาพลางส่งเจ้าหญิงขึ้นรถม้าก่อนจะเปรยเสียงเข้ม “แล้วพบกับในสภา”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: April 02, 2006, 09:44:06 PM »

                   ผ่านไปได้สองเดือนแล้วหลังจากการรบกับกองทัพเพลิงที่เมืองเอรีมสิ้นสุดลง   การบูรณะซ่อมแซมเมืองเอรีมรุดหน้าไปมาก   ทั้งนี้เพราะการแบ่งงานกันอย่างเป็นระบบนั่นเอง   จึงทำให้สามารถดำเนินงานได้อย่างรวดเร็ว   เจ้าหญิงเรจิน่าทรงคิดที่จะวางแนวคูเมืองใหม่ตามที่สถาปนิก (Architect) แนะนำ   เพราะทรงเห็นว่าไหน ๆ ก็ต้องก่อกำแพงเมืองใหม่อยู่แล้วก็น่าจะทำให้แข็งแรงไปเลยเพื่อการป้องกันข้าศึกในภายภาคหน้า   เพราะหลังจากที่ยกเมืองวอลเนียขึ้นแล้ว   เมืองเอรีมก็กลายเป็นเมืองด่านของฟีเลเซียตะวันออกไปโดยปริยายนั่นเอง
                    ขณะที่เจ้าหญิงเรจิน่าทรงกำลังตรวจดูการซ่อมแซมกำแพงเมืองฝั่งทิศเหนือที่ถูกโจมตีอย่างหนักอยู่นั้น   พลทหารนายหนึ่งก็รีบเข้ามารายงาน
                    “ฝ่าบาท   มีกองทัพขนาดใหญ่กำลังพลหลายหมื่นนายกำลังเคลื่อนพลเขามาตามแนวช่องเขาวอลเนียพ่ะย่ะค่ะ   คาดว่าคงจะประชิดเมืองเอรีมไม่เกินย่ำรุ่งในวันพรุ่งนี้   เวลานี้ท่านเจ้าเมืองกำลังสั่งเร่งระดมพลแล้วและให้ข้าพระองค์มาเชิญเสด็จเจ้าหญิงพ่ะย่ะค่ะ”
                    “พวกกองทัพซาโลมอย่างนั้นรึ?” เจ้าหญิงตรัสถามอย่างตื่นตระหนกมือไม้เย็นเฉียบขึ้นมาในทันใดเมื่อคิดได้ว่าสภาพเมืองเอรีมในเวลานี้   แม้จะบูรณะซ่อมแซมไปมากแล้ว   แต่ก็ยังไม่พร้อมที่จะรับศึกหนักอีกครั้ง   ซ้ำกำลังพลส่วนใหญ่ก็อยู่ที่เมืองคามินยาร์ดไม่มีทางที่จะยกทัพกลับมาช่วยได้ทันการณ์แน่ ๆ
                    “มิได้พ่ะย่ะค่ะ   ดูเหมือนจะเป็นกองทัพของพวกชาวป่า”
                    “ชาวป่ารึ?” เจ้าหญิงทรงอุทานแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน   สิ่งสุดท้ายในโลกที่พระองค์จะนึกถึงในเวลานี้ก็คือการรุกรานจากพวกชาวป่านี่แหละ   สมัยที่ยังทรงพระเยาว์   เมื่อถึงฤดูล่าสัตว์   หลายครั้งที่พระองค์เลือกที่จะมาล่าสัตว์ที่เมืองวอลเนีย และทรงแอบลอบข้ามไปเที่ยวเล่นที่ป่าอีกฟากบ่อย ๆ   พระองค์เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กว่าชาวป่าอีกฟากนั้นรักสงบ มีชีวิตที่เรียบง่ายไม่ทะเยอทะยานและค่อนข้างจะเก็บตัวด้วยซ้ำ   ซึ่งอัศวินชาวฟีเลเซียหลายคนรวมทั้งน้องชายของพระองค์มักมองว่านี่คือความขี้ขลาดของพวกชาวป่าต่างหาก   แล้วอะไรทำให้พวกชาวป่าเกิดอยากจะรุกรานฟีเลเซียขึ้นมาเอาตอนนี้นะ   เจ้าหญิงทรงขมวดคิ้วแน่นด้วยความวิตกกังวลก่อนจะส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์แล้วจึงรีบขึ้นม้าฮ้อควบอย่างรวดเร็วมุ่งสู่กำแพงเมืองฝั่งตะวันออกราวกับติดปีก

                    ใกล้รุ่งสาง กองทัพฟีเลเซียทั้งพลธนู เหล่าอัศวิน และบรรดาชาวเมืองทั้งหญิงชายที่มีฝีมือด้านเพลงดาบร่วมหมื่นเศษก็มาประจำการอยู่ที่กำแพงเมืองฝั่งตะวันออก   ทุกคนพร้อมที่จะพลีชีพเพื่อปกป้องเมืองสมกับเป็นชาตินักรบ   เจ้าหญิงทรงอยู่ในชุดเสื้อเกราะเต็มยศสีเงินยวงขลิบทองพร้อมดาบคู่ใจในมือ   พระองค์ทรงยืนอยู่บนป้อมกำแพงกับเจ้าเมืองเอรีม   ต่างก็รอคอยการมาของกองทัพชาวป่าที่กำลังเคลื่อนทัพใกล้เมืองเอรีมเข้ามาทุกที  
                    ลมหนาวที่พัดมาเป็นระลอกพัดไอหมอกที่ปกคลุมพื้นที่โดยรอบให้วูบไหวคล้ายกับมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลหมอกนั้นตลอดเวลา      ทำให้บรรยากาศยิ่งตึงเครียดมากขึ้นทุกที   ทุกคนพากันจ้องมองเข้าไปยังทิศทางที่เคยเป็นเมืองวอลเนียราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปในม่านหมอกนั้น
                    เมื่อแสงทองของดวงอาทิตย์เริ่มสาดส่องทุกสรรพสิ่งแว่วเสียงเดินทัพก็เริ่มดังขึ้น   ทำให้เหล่ากองทัพแห่งสายลมเริ่มตื่นตัวต่างก็กระชับอาวุธคู่กายอย่างห้าวหาญพร้อม ๆ กับเสียงเดินทัพที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ   กระทั่งแสงแดดเผาไล่ไอหมอกและสายลมหนาวพัดผ่านช่องเขาจนม่านหมอกจางไป   กองทัพของพวกชาวป่าก็ปรากฏแก่สายตาบรรดานักรบแห่งสายลม
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: April 02, 2006, 09:48:18 PM »

                   เป็นเวลากว่าเดือนเศษหลังจากที่ฮารีซันได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้นำทัพชาวป่าในนามของกองทัพแห่งฟูดินันจนกระทั่งรวบรวมเหล่านักรบจากเผ่าต่าง ๆ ได้ถึงกว่าห้าหมื่นนายโดยยังไม่ได้รวมพวกสัตว์ป่าและสัตว์ประหลาดต่าง ๆ ที่นำมาด้วย   ซึ่งนับว่าเป็นการรวบรวมนักรบได้มากทีเดียวในเวลาที่จำกัดเพียงเท่านี้   โดยเผ่าต่าง ๆ ได้ส่งยอดขุนพลของแต่ละเผ่ามาช่วยเป็นแม่ทัพในการนำกองกำลังของเผ่าของตนด้วย   ด้านเผ่าใหญ่ทั้งสามเผ่า   เผ่าสมิงได้ส่งคาร์นมาเป็นแม่ทัพ   ในขณะที่เผ่าเซนทอร์ก็ส่งนายพลทราเฮิร์นมาร่วมรบ   ส่วนเผ่าป่าทมิฬนั้นก็ส่งดามิก้ามาช่วยอีกแรง   ทำให้กองทัพชาวป่าภายใต้การนำของเผ่าฟูดินันนั้นกลายเป็นกองทัพที่รวมสุดยอดฝีมือจากเผ่าต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกันหมด
                    เมื่อฮารีซันนำกองทัพชาวป่ากว่าครึ่งแสนยืนต่อหน้ากำแพงเมืองอันสูงตระหง่านของเมืองเอรีม   ถึงแม้ว่าจะยังมีร่องรอยของความเสียหายจากการโจมตีให้เห็นอยู่   แต่สำหรับพวกชาวป่าแล้ว   นี่ช่างเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตและสวยงามอย่างยิ่ง   เพราะแทบจะไม่มีใครเคยเดินทางมาฟีเลเซียมาก่อน   อย่าว่าแต่ข้ามเทือกเขามาเลย   ส่วนใหญ่ก็แค่เดินทางไปมาระหว่างเผ่า   เรื่องราวอาณาจักรอีกฟากของเทือกเขานั้นก็ล้วนแล้วแต่ได้ยินได้ฟังจากบรรดาพ่อค้าเร่เท่านั้น   ทุกคนจึงต่างยืนจ้องสอดส่ายสายตาเข้าไปในกำแพงเมืองมองดูยอดอาคารวิหารต่าง ๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ
                    “นี่หรือ...กองทัพที่จะมาบุกเรา?” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงมองกองทัพเบื้องล่างอย่างไม่เชื่อสายตา “พวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะมารบด้วยซ้ำ   ดูสิ!ไม่มีใครชักอาวุธ   ไม่มีใครเล็งธนู   ไม่มีแม้แต่การชูดาบหรือหอก   แม้แต่จิตสังหารก็ยังไม่รู้สึกถึงเลย   พวกเจ้าต้องเข้าใจผิดแน่ ๆ “
                    “นี่อาจจะเป็นกับดักที่จะหลอกพวกเราให้ชะล่าใจก็ได้   กระหม่อมคิดว่าเราอย่าเพิ่งด่วนสรุปจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองเอรีมท้วงขึ้น
                    เจ้าหญิงทรงมองลงไปที่กองทัพเบื้องล่างอีกครั้งพลางส่ายหน้าช้า ๆ
                    “ช่างเป็นกองทัพที่แปลกประหลาดจริง ๆ ทั้งมนุษย์ เซนทอร์...นั่น...สิ่งมีชีวิตที่เขาเรียกกันว่าสมิงใช่ไหม?” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงกวาดตามองสัตว์ดุร้ายหลากหลายชนิดที่กองทัพชาวป่านำมาด้วยอย่างอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ “ในป่าฟากนั้นมีสัตว์หน้าตาแปลก ๆ มากมายขนาดนี้เชียวหรือ?”
                    สักพักพระองค์ก็เห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากแถวทหาร   ซึ่งดูจากอากัปกิริยาของทหารโดยรอบแล้ว   เขาคงเป็นคนสำคัญทีเดียว   อาจจะเป็นถึงแม่ทัพเลยก็ได้   แต่พระองค์อยู่สูงเกินกว่าจะเห็นใบหน้าเขาได้ถนัด
                    “ท่านคิดว่าเขาเป็นแม่ทัพของพวกชาวป่าหรือเปล่า?” เจ้าหญิงทรงอดถามไม่ได้
                    “กระหม่อมก็คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองเอรีมทูลตอบก่อนจะยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้พลธนู
                    “รอเดี๋ยว!” เจ้าหญิงทรงห้ามไว้พลางมองกิริยาท่าทางของเขาที่เดินตรงเข้ามายังประตูเมือง   เขาค่อย ๆ ปลดอาวุธออกจากตัวและวางลงบนพื้นก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ประตูเมืองมากยิ่งขึ้น “ข้าไม่เคยเห็นแม่ทัพของผู้รุกรานคนไหนที่จะมีท่าทางสุภาพนอบน้อมขนาดนี้มาก่อน   เจ้าเข้าใจผิดแล้ว   เขามาอย่างสันติ”
                    “เรามาอย่างสันติ!” เสียงชายหนุ่มดังก้องขึ้นผ่านความเงียบงันที่แสนตึงเครียด “ข้าคือหัวหน้าเผ่าฟูดินัน   เป็นผู้นำกองทัพนี่ในนามของกองทัพแห่งฟูดินัน   เรามาเพื่อมาช่วยพวกท่านรบกับกองทัพแห่งซาโลม”
                    เมื่อสิ้นเสียงของผู้นำทัพชาวป่า   เหล่าทัพแห่งฟีเลเซียต่างก็มองหน้ากันไปมาด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุด   บางคนก็ถึงกับหัวเราะขำอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่   กองทัพประหลาดกำลังจะมาช่วยพวกเขารบกับกองทัพของจักรวรรดิซาโลมอย่างนั้นหรือ?   แม้แต่เจ้าเมืองเอรีมก็ยังไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองจึงได้แต่ทวนคำมองหน้าเจ้าหญิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามมากมายประเดประดังกันปรากฏบนสีหน้าของเขา
                    “ช่วยพวกเรารบกับกองทัพเถื่อนน่ะหรือ?”
                    “ข้าก็ได้ยินเช่นนั้นท่านเจ้าเมือง” ต่างกับเจ้าเมืองเอรีม   เจ้าหญิงเรจิน่ากลับมีสีหน้าประหลาดใจเจือความยินดีเมื่อจะมีกำลังพลมาช่วยรบ
                    “นี่ต้องเป็นอุบายแน่ ๆ เขาดูหนุ่มเกินไปที่จะเป็นผู้นำทัพนี้” เจ้าเมืองตั้งข้อสังเกต
                    “จะแปลกอะไร?   ซิกมันต์เองก็เป็นกษัตริย์ตั้งแต่อายุยังน้อยเหมือนกัน” เจ้าหญิงตรัสแย้งถึงความจริงที่เป็นไปได้   พระองค์ทรงหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งสายตากะประเมินระยะห่างของกองทัพและอากัปกิริยาของผู้นำชาวป่า
                    “ข้าจะลงไปพบเขา” ตรัสดังนั้นก็หมุนตัวตรงไปที่บันไดทันที
                    “ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!   นี่อาจจะเป็นกลลวงของข้าศึก” เจ้าเมืองร้องอย่างตกใจ
                    “ข้าจะอยู่แค่ที่หน้าประตูเมือง   เขาไร้อาวุธและกองทัพของเขาก็อยู่ไกลมากพอที่เราจะปิดประตูเมืองได้ทัน   และที่สำคัญ   ถ้าเราไม่คุยกับเขา   เราจะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือกลอุบายหรือความจริงใจที่พวกชาวป่าต้องการจะช่วยเราจริง ๆ ?”
                    “ฝ่าบาท”
                    “ถ้าเช่นนั้นท่านมีความคิดอื่นที่ดีกว่ายืนรอดูท่าทีเฉย ๆ อยู่บนป้อมนี้ไหมล่ะ?” เจ้าหญิงตรัสถามอย่างอ่อนใจ  
                    เมื่อเจ้าเมืองยังคงนิ่งเงียบเนื่องจากไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรเพราะไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน   ทั้งตลอดมาฟีเลเซียยืนหยัดมาด้วยตนเองเสมอ   ไม่เคยร่วมรบกับใครและไม่เคยมีใครมาขอร่วมรบด้วย   จึงทำให้เจ้าเมืองลำบากใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว   เมื่อเจ้าเมืองไม่มีคำตอบ   เจ้าหญิงเรจิน่าจึงรับสั่งแก่เจ้าเมืองเอรีม
                    “ข้าจะลงไป  เปิดประตูเมือง”
                    “ถ้าเช่นนั้น   อย่างน้อยก็ให้กระหม่อมและเหล่าองครักษ์ออกไปอารักขาพระองค์”
                    “ท่านอยู่คุมสถานการณ์ต่าง ๆ บนนี้เถอะ   คนไม่มีอาวุธแค่คนเดียวพวกทหารองครักษ์จัดการได้อยู่แล้ว   และที่สำคัญ   หากว่านี่เป็นกลอุบายจริง” เจ้าหญิงทรงเว้นจังหวะอึดใจหนึ่งพลางยกมือขวาขึ้นช้า ๆ ในระดับอก   ก่อนจะกำและคลายออกเร็ว ๆ สองสามครั้ง   พระองค์ทรงกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเหล่ “ข้ามั่นใจว่าข้าชักดาบได้เร็วพอ”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: April 02, 2006, 09:51:08 PM »

                   ฮารีซันยืนห่างจากประตูเมืองไม่มากนัก   เขายืนอยู่เป็นครู่ใหญ่จึงได้ยินเสียงถอดสักประตู   ทันทีที่ประตูขนาดใหญ่แง้มออก   เหล่าอัศวินในชุดเกราะเต็มยศบนหลังม้าจำนวนสิบสองนายก็กรูกันออกมาล้อมกรอบตัวเขาไว้   กองทัพชาวป่าต่างพากันตกใจ   แต่ก็ยั้งตัวไว้เพราะเกรงว่าฮารีซันจะเป็นอันตราย   หัวหน้าเผ่าหนุ่มยังคงยืนนิ่งไม่หวั่นไหวกับแววตาเคลือบแคลงและสำรวจตรวจตราเขาอย่างไม่เป็นมิตร
                    จนเมื่อพวกทหารองครักษ์แน่ใจแล้วว่าฮารีซันไม่มีอาวุธจริง ๆ และไม่มีท่าทีที่น่าสงสัยใด ๆ จึงค่อย ๆ ถอยห่างออกไป  ท่ามกลางความโล่งใจของพวกชาวป่าเมื่อเห็นฮารีซันยังปลอดภัยอยู่   เวลานี้เหล่าอัศวินกระจายตัวออกไปตั้งแถวขนาบข้างทั้งซ้ายและขวาแทน   และที่เบื้องหน้านั้นเอง   เขาก็ได้เห็นสตรีสูงศักดิ์ผู้เลอโฉมและสง่างามที่สุด   เขาไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะได้เห็นสตรีที่งามเลิศและสง่างามถึงเพียงนี้มาก่อน   ดวงตากลมโตสีเขียวมรกตมีเสน่ห์เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นมองตรงมาที่เขาด้วยความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม   หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่วงท่าราวกับพญาหงส์แต่ก็เว้นระยะห่างระหว่างกันไว้อย่างถือตัว
                    ฮารีซันได้แต่ยืนตะลึงมองสตรีตรงหน้าทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่ใหญ่   แต่เสียงระบายลมหายใจอย่างแรงของม้าตัวหนึ่งเรียกสติของเขาให้กลับคืนมา   เขาโค้งให้สตรีสูงศักดิ์ผู้แสนสง่างามอย่างนอบน้อม
                    “ข้าชื่อ ฮารีซัน บันดารา เป็นหัวหน้าเผ่าแห่งเผ่าฟูดินันและเป็นนายทัพของกองทัพชาวป่าซึ่งได้รวบรวมมาจากเผ่าต่าง ๆ   พวกเราประสงค์จะช่วยอาณาจักรฟีเลเซียต่อต้านการรุกรานจากกองทัพซาโลม”
                    “เราคือเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียและเป็นผู้สำเร็จราชการแทนองค์กษัตริย์ซึ่งกำลังออกรบอยู่ที่เมืองหน้าด่าน   นามของเราคือ เจ้าหญิง เรจิน่า อรีธา”
                    คำพูดของเจ้าหญิงทำให้ฮารีซันตกตะลึงอีกเป็นครั้งที่สองเมื่อได้ยินว่าเธอดำรงตำแหน่งเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแทนองค์กษัตริย์   กิตติศัพท์ร่ำลือถึงความเก่งกล้าสามารถและห้าวหาญของสตรีชาวฟีเลเซียที่เขาเคยได้ยินมาคงไม่เกินความจริงเลย   เพราะในเมื่อสตรีตรงหน้าได้เป็นถึงผู้สำเร็จราชการทั้ง ๆ ที่เธอดูเหมือนจะอยู่ในวัยเดียวกันกับเขาหรืออาจจะน้อยกว่านั้น   กระนั้นน้ำเสียงของเธอนั้นก็เปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น ความภาคภูมิใจในชาติและตระกูล   แต่ก็ไพเราะน่าฟังอยู่ในที  
                    แรกพบนั้นเขามั่วแต่ตกตะลึงในความงดงามและสูงสง่าของเจ้าหญิงจนลืมนึกไปว่า   ผู้ที่เขาคาดว่าจะได้พบเมื่อประตูเมืองเปิดออกคือกษัตริย์ แม่ทัพ หรือใครสักคนที่มีตำแหน่งสำคัญ   เพราะเหล่าอัศวินทั้งสิบสองนายที่ออกมาตรวจตราเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วนทำให้เขามั่นใจว่าเขากำลังจะได้พบกับคนที่สำคัญมาก ๆ   แต่เขาไม่ได้คาดเลยว่าจะได้พบเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียที่แสนงดงามในชุดเกราะครึ่งท่อนพร้อมดาบเยี่ยงนักรบเช่นนี้
                    “ท่านพูดว่ากองทัพชาวป่าแห่งฟูดินันจะมาช่วยอาณาจักรของเรารบ” เจ้าหญิงตรัสย้ำคำพูดของเขา “ทำไม?”
                    “เพราะหลังจากที่ภูเขาวอลเนียกลายเป็นเต่ายักษ์บินขึ้นท้องฟ้าไป   จู่ ๆ กองทัพเพลิงก็บุกเข้ามาจู่โจมเผ่า ๆ เหมือนไฟปีศาจที่เผาผลาญคราชีวิตพวกเราอย่างโหดเหี้ยม”
                    “โอ้...นั่นเป็นจุดที่เราคาดไม่ถึงในตอนนั้น” เจ้าหญิงพึมพำเบา ๆ เหลือบไปมองที่ราบกว้างใหญ่เบื้องหลัง   ความเป็นห่วงเมืองวอลเนียในตอนนั้นทำให้พระองค์ไม่ได้คิดถึงความจริงที่ว่าพวกชาวป่าจะต้องเผชิญกับอะไรบ้างหากเมืองวอลเนียหายไป
                    “เจ้าหญิง?” ฮารีซันซึ่งได้ยินเจ้าหญิงไม่ถนัดนักจึงไม่เข้าใจปฏิกิริยาที่เจ้าหญิงแสดงออก
                    เจ้าหญิงทรงหันกลับมาขมวดคิ้วน้อย ๆ เหมือนเพิ่งได้สติ “ท่านพูดว่าอะไรนะ?”
                    “ข้าหมายถึง เพราะเหตุนั้นเราจึงคิดว่าพวกเราต่างก็ถูกพวกซาโลมรุกรานเหมือนกัน   ดังนั้นการต่อต้านกองทัพซาโลมจึงไม่ควรเป็นภาระของอาณาจักรฟีเลเซียเพียงอาณาจักรเดียว   แต่เป็นหน้าที่ของพวกเราที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ด้วยเช่นกัน”
                    “พวกท่านมีน้ำใจมาก” เจ้าหญิงตรัสอย่างจริงใจ “ในเวลาเช่นนี้   ยิ่งมีกำลังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี   แต่ถึงอย่างไรเราก็จำเป็นต้องนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมกับกษัตริย์แห่งฟีเลเซียและเหล่าแม่ทัพทุกฝ่ายเสียก่อน   คงจะต้องใช้เวลาสักระยะ   ระหว่างนี้ขอเชิญพวกท่านพักผ่อนตามสบาย   แต่เมืองเอรีมขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างบูรณะซ่อมแซม   พวกท่านคงไม่สะดวกนัก”
                    “เจ้าหญิงไม่ต้องเป็นกังวล   พวกเราจะตั้งค่ายข้างนอกกำแพงเมือง   พวกเราชาวป่านอนกลางดินกินกลางทรายได้ไม่มีปัญหา”
                    เจ้าหญิงทรงมองหัวหน้าเผ่าชาวป่าอย่างประหลาดใจ “ถ้าเช่นนั้น   พวกท่านต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่? เสบียงอาหาร? อุปกรณ์ยังชีพ?”
                    “เสบียงอาหารต่าง ๆ เราก็มีเตรียมมาพร้อมอยู่แล้ว   หากขาดเหลืออะไร   กองทัพเสริมของพวกที่กำลังจะตามมาสบทบในเร็ว ๆ นี้จะนำมาให้เอง” ฮารีซันกล่าวอย่างรู้สึกขอบคุณในน้ำใจของเจ้าหญิง
                    เจ้าหญิงทรงเอียงคอ ริมฝีปากแย้มขึ้นเล็กน้อย   แต่แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ   แม้เขาจะเป็นเพียงชาวป่า   ไม่รู้แม้วิธีพูดคำราชาศัพท์ให้เหมาะสมกับฐานันดรของพระองค์   ใช้แต่เพียงคำพูดเรียบง่ายพื้น ๆ ธรรมดา   แต่น้ำเสียง อากัปกิริยาท่าทาง สีหน้าและแววตาของเขากลับทำให้พระองค์รู้สึกถึงการยกย่องและให้เกียรติจากเขา   พระองค์ไม่เคยเห็นใครที่มีลักษณะเหมือนผู้ชายคนนี้ในฟีเลเซียมาก่อน
                    “เอาเถิด   ถ้าท่านขาดเหลืออะไรก็แจ้งให้เรารู้ได้ตลอดเวลา   เมื่อเรากำหนดวันเดินทางที่จะไปพบกษัตริย์แห่งฟีเลเซียได้เมื่อไหร่   เราจะรีบให้คนมาแจ้งให้ท่านทราบ”
                    เจ้าหญิงตรัสจบก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงขอตัว   ซึ่งฮารีซันก็โค้งตอบมองส่งเจ้าหญิงไปพลางบังเกิดความสงสัยขึ้นในใจ   เจ้าหญิง เรจิน่า อรีธา   เราเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อนรึเปล่านะ?   แต่แล้วก็ต้องรีบปราบตัวเอง   เหลวไหล! เราจะไปรู้จักเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียผู้สง่างามและเลอโฉมผู้นี้ได้อย่างไรกัน?   เราคงจะเคยได้ยินชื่อนี้จากบรรดาพ่อค้าเร่   ก็เราเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่อาศัยอยู่แต่ในป่าเท่านั้นมิใช่หรือ?...        
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: April 06, 2006, 07:09:00 PM »

มาเม้าท์ที่นี่คะ



http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=20532&start=0
« Last Edit: April 06, 2006, 07:11:25 PM by Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.241 seconds with 22 queries.