Summoner Master Forum
April 25, 2024, 03:09:00 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 56 สายลมผู้สยบเปลวเพลิง @@  (Read 9301 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: June 07, 2007, 06:06:32 PM »

Chapter 56 สายลมผู้สยบเปลวเพลิง


                           เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว   แต่ภายในห้องทรงงานของกษัตริย์ซิกมันด์ยังคงสว่างไสวด้วยเทียนหลายสิบเล่มที่วางกระจายอยู่ทั่วทั้งห้อง   และในเตาผิงไฟก็ยังคงลุกโชติช่วงอยู่   บนโต๊ะขนาดใหญ่ใจกลางห้องมีแผนที่หนังสัตว์ของเมืองต่าง ๆ วางอยู่อย่างระเกะระกะ   ใกล้ ๆ กันนั้นมีแบบจำลองสภาพค่ายทหารของกองทัพซาโลม   และของเมืองอาวีเลียที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างสมจริงอยู่ด้วย   ที่อีกฟากหนึ่งของห้องกษัตริย์ซิกมันด์กำลังทรงก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานการรบและข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกส่งมาเป็นกองพะเนินด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนไม่ทันสังเกตว่าแม่ทัพชาร์ลได้มายืนอยู่ที่หน้าโต๊ะแล้ว   แม่ทัพหนุ่มแสร้งกระแอมไอเสียงดังสองสามครั้ง   กษัตริย์ซิกมันด์จึงรู้สึกพระองค์
                           “อ๊ะ ชาร์ล  ท่านเข้ามาเมื่อไหร่กัน?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามขึ้นเมื่อเพิ่งรู้สึกตัว
                           “สักครู่ได้แล้วกระหม่อม   พระองค์มีรับสั่งเรียกหารึพ่ะย่ะค่ะ?” ชาร์ล คลาแรนซ์โค้งคำนับก่อนจะทูลถาม
                           “ใช่แล้ว  ขออภัยที่ต้องเรียกท่านมาในยามวิกาลเช่นนี้”
                           “มิได้ฝ่าบาท   ขนาดพระองค์ยังทรงงานจนมืดค่ำเช่นนี้   หากกระหม่อมจะถูกเรียกใช้บ้างก็เป็นเรื่องที่สมควรและกระหม่อมยินดีอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงเรียกใช้   เหล่าอัศวินและแม่ทัพคงอดภูมิใจไม่ได้ถ้าได้รู้ว่ากษัตริย์ของพวกเราทรงงานหนักจนมืดค่ำเช่นนี้” ชาร์ลเหลือบไปเห็นถาดอาหารกลางวันที่ยังไม่ได้ถูกแตะต้องบนโต๊ะเล็กข้างเตาผิงก็ต้องตกใจ  “แต่พระองค์ควรจะพักผ่อนบ้าง   พระองค์ยังไม่ได้เสวยมื้อเที่ยงเลยรึพ่ะย่ะค่ะ?”
                           “ข้าลืมไปน่ะ” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเหลือบไปมองถาดอาหารบนโต๊ะเล็ก
                           “กระหม่อมเคยสอนพระองค์ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วนิพ่ะย่ะค่ะ   ว่าการจะทำงานใด ๆ ให้ได้ดีจะต้องท้องอิ่ม พักผ่อนให้เพียงพอและรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ   กระหม่อมเห็นว่าพระองค์ทรงละเลยข้อปฏิบัติพื้นฐานนี้   การโหมทรงงานมากเกินกำลังอาจทำให้พระองค์ประชวรได้” ชาร์ลทูลเตือนด้วยความเป็นห่วง
                           “ข้าไม่ได้เรียกท่านมาเทศน์ข้านะชาร์ล   ข้าเรียกท่านมาขอคำปรึกษา” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงถอดหายใจตรัสเหน็บแต่น้ำเสียงไม่จริงใจมากนัก
                           แม่ทัพหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ยิ้มร่าส่ายศีรษะอย่างยอมแพ้เพราะรู้นิสัยของกษัตริย์ซิกมันด์ดีว่า   พระองค์จะไม่ยอมเลิกราการกระทำนั้น ๆ จนกว่าจะสำเร็จหรือได้ผลเป็นที่น่าพอใจของพระองค์เสียก่อน
                           “กระหม่อมหวังว่าพระองค์จะเสวยอะไรบ้าง   หลังจากที่เราหารือกันเรียบร้อยแล้ว”
                           เมื่อกษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้   แม่ทัพชาร์ลจึงอมยิ้มพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
                           “ดีพ่ะย่ะค่ะ   พระองค์คงต้องการปรึกษาเรื่องการรับมือกับกองทัพเพลิงที่มีทีท่าว่าจะเริ่มเคลื่อนทัพเร็ว ๆ นี้”
                           “ท่านกล่าวได้ถูกต้อง   รายงานพวกนี้ชี้ชัดว่ากองทัพเถื่อนนั้นเตรียมจะเคลื่อนพลแล้ว   จำนวนทหารของพวกมันในเวลานี้ก็มากกว่าพวกเราหลายเท่านัก   ข้าเกรงว่าลำพังกำแพงเมืองอาวีเลีย   แม้ว่าจะแข็งแกร่งแต่ก็คงต้านกองทัพจำนวนมหาศาลขนาดนี้ไม่ไหว”
                           “พ่ะย่ะค่ะ   แม้เราจะระดมพลจากทั่วอาณาจักรแล้ว   แต่ก็ยังดูเหมือนว่าจะยังเป็นรองด้านจำนวนกำลังพล   ด้านฟูดินันเองก็แจ้งมาว่าอีกไม่กี่วันจะมีกองทัพจากป่าฟูดินันมาเสริมทัพอีกร่วมแสนนายพ่ะย่ะค่ะ   คงจะช่วยเสริมกองทัพของเราได้อีกแรงหนึ่ง”
                           กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักหน้าเป็นการรับรู้โดยมิได้กล่าวใด ๆ ออกมา   แต่ชาร์ลก็รู้ดีว่านี่เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าพระองค์ยอมรับกองทัพชาวป่าว่าเป็นหนึ่งในกองทัพของพระองค์ด้วย
                           “แล้วเสด็จพี่ล่ะ? ที่เราอนุญาตให้ไปรับกองเรือของฮารีซันนั่น   ป่านนี้เดินทางถึงไหนกันแล้ว?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามต่อ   ทว่านี่ก็เป็นครั้งแรก ๆ อีกเช่นกันที่พระองค์แสดงออกว่าพระองค์เริ่มยอมรับในตัวของหัวหน้าเผ่าชาวฟูดินัน   เพราะพระองค์เริ่มเรียกชื่อของฮารีซันแทนที่การเรียกด้วยยศหรือสรรพนามอื่น ๆ
                           “ฝ่าบาท   เจ้าหญิงให้พลเปกาซัสมาแจ้งแล้วว่าได้เริ่มออกเดินทางจากเมืองท่าตั้งแต่เย็นวานแล้ว   กระหม่อมคาดว่าหากเจ้าหญิงเร่งเคลื่อนขบวนสักหน่อยไม่เกินสัปดาห์คงมาถึงอาวีเลียพ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลทูลตอบพลางเหลือบมองแผ่นที่เพื่อคะเนระยะทาง
                           “ข้าคิดว่าจะให้เสด็จพี่รออยู่ที่ป้อมมาซาดา ( Masada ) “ กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสพลางวางรูปสักไม้ที่ใช้แทนเจ้าหญิงเรจิน่าและฮารีซันไว้ตรงจุดที่เรียกว่าป้อมมาซาดาบนแผนที่หนังสัตว์อย่างช้า ๆ เหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
                           “ฝ่าบาท?!”
                           “ข้าคิดมาตลอดช่วงสองวันมานี้นับตั้งแต่ข่าวเตรียมบุกของกองทัพเพลิง   แต่ก็ไม่มีวิธีไหนดีพอที่จะรับมือกับกองทัพจำนวนมหาศาลนั่นได้   นอกจากวิธีที่จะทำให้ข้าเจ็บปวดใจมากที่สุด” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด   ใบหน้าอิดโรยและหม่นหมองลง
« Last Edit: December 18, 2007, 09:52:12 AM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: June 07, 2007, 06:08:29 PM »

                          ชาร์ลขมวดคิ้วเข้าหาหันพลางมองตัวหมากสองตัวที่กษัตริย์ซิกมันด์เพิ่งจะวางลงไปบนแผนที่    สมองของเขาคิดคำนวณแผนการรบอย่างฉับไวทันที “ฝ่าบาทคงไม่ได้จะ...”
                          “ข้าคิดว่าพวกเราควรสละเมืองอาวีเลีย”   กษัตริย์ซิกมันด์ชิงตรัสออกมาเสียก่อนแต่ก็ด้วยความยากลำบากเต็มที   การที่พระองค์ทรงยอมสละเมืองก็ไม่ต่างอะไรกับการที่พระองค์ทรงยื่นศักดิ์ศรีของพระองค์ให้ศัตรูย่ำยีเสียเอง ”ข้าคิดว่าหากเราให้พวกทัพซาโลมผ่านเมืองอาวีเลียเข้ามา   แล้วหลอกล่อพวกมันให้ตามพวกเราเข้ามาตามช่องเขากาลาเทีย (Galatia) อันเป็นที่ตั้งของป้อมมาซาดา   ช่องเขากาลาเทียซึ่งมีลักษณะหน้าเขาเป็นคอขวดจะช่วยบีบกองทัพเพลิงให้มีหน้าทัพแคบลง   เช่นนี้แล้วต่อให้พวกมันมีจำนวนมากมายหมาศาลขนาดไหน   พวกมันก็บุกโจมตีได้แค่เท่าที่สามารถเคลื่อนพลผ่านช่องเขามาเท่านั้น   และหากเกิดพลาดท่าเสียที   ช่องเขาเปิดทางด้านหลังก็ยังช่วยให้เราถอนกำลังมุ่งสู่เมืองโครีธาได้ทันทีด้วย”
                          “เป็นการตัดสินใจชาญฉลาดและรอบคอบมากพ่ะย่ะค่ะ   การจำกัดจำนวนหน้าทัพของกองทัพเพลิงได้ทำให้ข้อเสียเปรียบด้านจำนวนที่แตกต่างของเราหมดไป   และกระหม่อมเห็นด้วยที่พระองค์ยอมสละเมืองอาวีเลีย   เสียแผ่นดินเพียงบางส่วนเพื่อรักษาทั้งอาณาจักรไว้ดีกว่า   พระองค์ตัดสินใจได้อย่างกล้าหาญมากพ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลอดชื่นชมไม่ได้   เมื่อเห็นว่าสภาวะกดดันตลอดช่วงเวลาเกือบสามปีในสงครามของกษัตริย์ซิกมันด์ได้หล่อหลอมให้พระองค์เป็นคนเด็ดขาดมีทักษะในการรบ   มีความรับผิดชอบและกล้าตัดสินใจ   แม้มันจะทำลายศักดิ์ศรีของพระองค์แต่ก็ทรงยอมเพื่อรักษามาตุภูมิไว้ให้ได้   ซึ่งแม่ทัพชาร์ลก็รู้ดีว่ากษัตริย์ซิกมันด์ผู้ถูกสอนให้รักประเทศชาติและเกียรติยศยิ่งกว่าชีวิตของพระองค์เองนั้นจะต้องเจ็บปวดเพียงใดที่ต้องยอมสละแผ่นดินบางส่วนให้ศัตรู
                          กษัตริย์ซิกมันด์ทรงค่อย ๆ วางตัวหมากแทนกองทัพต่าง ๆ ลงบนแผนที่จำลองด้วยสีหน้าครุ่นคิดและเคร่งเครียด
“ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้เราจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมกองทัพเพื่อที่จะทำการอพยพให้เร็วที่สุด   ข้าต้องการเตรียมเมืองอาวีเลียให้ต้อนรับกองทัพเถื่อนนั้นอย่างเอิกเกริกที่สุด” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสก่อนจะเริ่มเล่าแผนการเตรียมเมืองอาวีเลียให้แม่ทัพแห่งฟีเลเซียต่อ

                                                                                                        S

                          เช้าวันอิกนิส (Ignis) ที่ 6 ของเดือนบาร์โทโลมิว ( Batholomew ) กองทัพเพลิงแห่งจักรวรรดิซาโลมจำนวนกว่าแปดแสนนายอันประกอบด้วย  ทัพมนุษย์  ทัพทหารผีนรก  พลนกโมฮา  ทัพสัตว์ป่า   ทัพมังกรไฟ   ทัพนักรบเพลิง  และทัพอื่น ๆ อีกมากมายเหลือคณานับก็ยาตราเข้าประชิดเขตเมืองอาวีเลีย   เสียงกลองรบและเสียงโห่ร้องเพื่อข่มขวัญศัตรูของกองทัพซาโลมก็ดังกระหึ่มจนราวกับฟ้าสะเทือน   ธงวิหคสีแดงสดโบกสะบัดเหนือกองทัพราวกับลิ้นไฟที่เต้นเร้าบนทะเลเพลิง   ใบหน้าของทหารแต่ละคนล้วนถตัวเองทึงและเต็มไปด้วยความหื่นกระหายในสงคราม   ขวัญและกำลังใจของทหารนั้นเต็มเปี่ยม   เพราะในครั้งนี้กษัตริย์ซาดินผู้เกรียงไกร   และได้ชื่อว่าไม่เคยรบแพ้สักครั้งเป็นผู้นำทัพด้วยตัวเองโดยมีขุนพลคู่ใจราโชยูเป็นผู้นำทัพหน้านั่นคือเหล่าหทารผีนรกที่หิวโหยและคลุ้มคลั่ง   พวกมันต่างดาหน้าตรงเข้าประชิดกำแพงเมืองอันเป็นปราการยักษ์ที่สูงตระหง่าน   ทหารผีดิบต่างก็หื่นกระหายและคุ้มคลั่งจนแทบจะทนรอสัญญาณบุกโจมตีไม่ไหว
                          แต่ทว่าทางฟากฟีเลเซียกลับมีแต่ความเงียบเชียบ   ไม่มีเสียงแตรรบ   ไม่มีเสียงมังกร นก สัตว์ป่าหรือแม้กระทั่งสัญญาณของสิ่งมีชีวิต   กระทั่งธงประจำอาณาจักรฟีเลเซียก็ยังไม่มีติดประดับไว้เหนือยอดประตูเมือง
เมื่อทราบข่าวจากกองหน้าว่าเมืองทั้งเมืองว่างเปล่ากษัตริย์เถื่อนก็สั่งยาตราเข้าเมืองทันที   บรรดาทัพหน้าที่เข้าไปในเมืองได้ต่างก็กระจายตัวออกสำรวจไปทั่วทั้งเมืองเพื่อหาเสบียงของมีค่าและอาจจะมีมนุษย์หรือกองทหารซ่อนตัวแอบดักซุ่มโจมตีอยู่   ทว่าหลังจากที่กองทัพหน้าแห่งจักรวรรดิซาโลมกระจายตัวไปทั่วทั้งเมือง   ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น   เมืองทั้งเมืองก็ระเบิดขึ้นพร้อมกันจนเสียงดังกึกก้องกัมปนาท   เพียงไม่กี่นาทีเมืองอาวีเลียก็แทบจะราบเป็นหน้ากลอง   ทำให้ทหารผีนรกถูกซากอาคารพังถล่มทับติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังหลายหมื่น
                          กษัตริย์ซาดินเมื่อทรงเห็นสภาพเมืองอาวีเลียและกองทัพของพระองค์ก็ยิ่งโกรธเป็นกำลัง   จึงสั่งแม่ทัพราโชยูให้ยกทัพออกติดตามไล่ล่ากองทัพฟีเลเซียและฟูดินันทันที   เพราะหน่วยสอดแนมของกองทัพแจ้งว่า   กองทัพร่วมเคลื่อนพลไปตั้งอยู่ที่ป้อมมาซาดาในช่องเขากาลาเทียแล้ว   แม่ทัพราโชยูจึงนำกำลังกว่าสามแสนนายเคลื่อนพลมุ่งสู่ป้อมมาซาดาทันที

                                                                              S

                          ภายในป้อมมาซาดาเวลานี้อัดแน่นไปด้วยทหารฟีเลเซียและฟูดินันหลายแสนนาย   เสียงพูดคุย   เสียงชุดเกราะกระทบหัน  เสียงย่ำเท้าดังอื้ออึงไปทั่ว   ต่างก็เร่งเข้าประจำการตามหน้าที่ของตน  ทหารทุกนายดูวุ่นวายกับการจัดเตรียมอาวุธ   เรียนรู้วิธีการใช้อาวุธใหม่ ๆ ที่เพิ่งได้มาจากแอนดิซอง  และขนย้ายยุทโธปกรณ์ไปประจำการตามต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา
                          ลึกเข้าไปภายในป้อมชั้นในเหล่าบรรดาแม่ทัพนายกองต่าง ๆ  ร่วมกันวางแผนการรบอย่างเคร่งเครียด   โดยมีเจ้าหญิงเรจิน่า  แม่ทัพชาร์ล  กษัตริย์ซิกมันด์  ฮารีซัน  เซนทอร์ทราเฮริน์  คาร์นและดามิก้า ร่วมประชุมด้วยอย่างพร้อมเพรียง
                          “นกจากหน่วยสอดแนมเพิ่งจะรายงานมาว่าแม่ทัพทมิฬราโชยูกำลังนำทัพกว่าสามแสนนายมุ่งหน้ามาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าหน่วยสอดแนมฟอล์คเนอร์กราบทูลรายงายตามที่เพิ่งได้รับมา
                          “เป็นจริงตามที่พระองค์คาดไว้เลยพะย่ะค่ะ   พวกซาโลมตามเรามาจริง ๆ แทนที่จะมุ่งสู่เมืองโครีธา” แม่ทัพมังกรทูลขึ้น
                          “แต่จำนวนกองทัพที่มันนำมานี่สิ เกือบจะเท่า ๆ กับกำลังพลทั้งหมดที่เรามีอยู่ตอนนี้เลย   ซ้ำยังจะมีทัพหลังที่นำโดยกษัตริย์ซาดินตามมาสบทบอีก” แม่ทัพทราเฮริน์กล่าวอย่างเป็นกังวล
                          “แต่อย่างน้อยการบีบหน้าทัพให้แคบเข้าก็ช่วยเราได้มาก” คาร์นพูดเสริม ยอมรับว่าความคิดของกษัตริย์ซิกมันด์ในเชิงรับไม่เลวเลยทีเดียว
                          “ว่าแต่เวลานี้พวกกองทัพเพลิงเคลื่อนทัพมาถึงไหนแล้วล่ะ?” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสถามด้วยความกังวล
                          “ทูลฝ่าบาท” แม่ทัพชาร์ลเอ่ยขึ้น “กองทัพเพลิงเร่งเดินทัพทั้งวันทั้งคืน   ทำให้พวกมันเคลื่อนพลได้เร็วมาก   หากคำนวณแล้วก็น่าจะมาถึงช่องเขากาลาเทียภายในห้าหรือหกวันข้างหน้าแน่พะย่ะค่ะ”
                          “เร็วพอสมควร สำหรับการเคลื่อนทัพทั้งกองทัพ” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงวิเคราะห์ “ข้าอยากให้เพิ่มการเสริมกำแพงป้อมให้แน่นหนายิ่งขึ้น   ถึงแม้กำแพงป้อมนี้จะแข็งแกร่งไม่แพ้กำแพงเมืองอาวีเลีย   แต่ถ้าให้ทนการโจมตีที่มากมายและเป็นเวลานานกำแพงอาจจะรับไม่ไหว”
                          “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเร่งดำเนินการทันที” แม่ทัพชาร์ลทูลตอบเสียงเข้ม
                          “และข้าคิดว่าช่องเขาที่สูงชันที่ขนาบป้อมมาซาดาทั้งสองด้านนั้น   น่าจะทำอะไรที่น่าจะเป็นประโยชน์ได้มากกว่าปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ “กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสพลางมองแบบจำลองช่องเขา
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: June 07, 2007, 06:12:35 PM »

                          “วางกำลังพลไว้ดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?” แม่ทัพนายหนึ่งเสนอขึ้น
                          “หรือจะใช้พลธนูและแท่นยิงหิน?” แม่ทัพอีกนายเสนอขึ้น
                          “กษัตริย์ซิกมันด์” ฮารีซันเอ่ยเรียก   ทำให้กษัตริย์ซิกมันด์ทรงหันมามองด้วยความสงสัยแต่ก็คงท่วงท่าที่เย่อหยิ่งและอวดดีอยู่ในที   แม้ว่าในแววตาจะดูไม่แข็งกร้าวเหมือนเมื่อก่อนก็ตาม
                          “หากท่านยังไม่มีแผนใด ๆ ในใจข้าอยากจะขอนำกองทัพฟูดินันเข้าตรึงกำลังเหนือยอดเขาทั้งสองเอง” เมื่อเห็นว่ากษัตริย์ซิกมันด์ยังคงนิ่งเงียบอยู่   ฮารีซันจึงกล่าวต่อ “การรบประเภทดักซุ่มและพรางตัวกับธรรมชาตินั่นเป็นการรบที่กองทัพเราชำนาญ” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงทอดพระเนตรไปยังฮารีซัน   ก่อนจะเหลือบไปทางแบบจำลองช่องเขาคล้ายกับกำลังชั่งใจกับคำพูดของผู้นำชาวป่า   พระองค์ทรงเชิดคางขึ้นหันกลับมามองฮารีซันตรัสด้วยเสียงเข้ม  ทว่าในคำพูดก็ยังปนความดูแคลนอยู่บ้าง
                          “เจ้ามั่นใจกองทัพชาวป่าของเจ้ามากแค่ไหน?”
                          คำพูดเช่นนี้  หากเป็นเมื่อก่อนบรรดาขุนพลชาวป่าคงหงุดงหงิดอยู่ไม่น้อยแน่   แต่เพราะทุกคนร่วมรบกับฝ่ายฟีเลเซียมากว่าสองปี   จึงทำให้ทุกคนมองข้ามกริยาเช่นนี้ของกษัตริย์ซิกมันด์ไปได้ หรืออาจจะเรียกว่ารู้สึกเคยชิน กับบุคลิกที่ถือตน และหยิ่งทรนงของชาวฟีเลเซียชั้นสูงทั้งหลาย   กอปรกับท่าที่อ่อนลงของกษัตริย์ซิกมันด์เองที่ผ่อนเบาความเย่อหยิ่งและดูแคลนต่อกองทัพชาวป่าน้อยลง   ทำให้ทุกคนยอมรับว่านี่อาจเป็นเพียงนิสัยการแสดงออกตามปรกติของชาวฟีเลเซียมากกว่าการตั้งใจดูแคลน
                          “ข้ามั่นใจว่าหากเราร่วมมือร่วมใจกันเราจะสามารถขับไล่พวกซาโลมให้กลับไปยังดินแดนของพวกเขาได้สำเร็จ”
                          “อือม์” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากก่อนจะหันไปทางแม่ทัพฟีเลเซียคนอื่น ๆ “พวกท่านเห็นว่าอย่างไร?”
                          บรรดาแม่ทัพนายกองต่างก็หันหน้าเข้าปรึกษากันและกันจนเสียงดังอื้ออึงไปทั่วทั้งท้องพระโรง   บ้างก็พยักหน้าบ้างก็ส่ายหน้า   จนที่สุดแม่ทัพชาร์ลจึงเอ่ยขึ้น
                          “กระหม่อมเห็นว่าให้กองทัพฟูดินันคุมยอดช่องเขาทั้งสองก็ดีเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ   เพราะจากที่ผ่าน ๆ มากองทัพชาวป่าจะโดดเด่นเรื่องการรบที่ปรับตัวกลมกลืนไปกับสนามรบ   แต่จะไม่ค่อยถนัดเรื่องปกป้องรักษาป้อมเมือง   อาจเพราะฟูดินันไม่ได้มีป้อมเมืองเหมือนอย่างฟีเลเซีย   ซึ่งในจุดนี้ทหารของเรามีความชำนาญมากกว่า   ข้าจึงคิดว่าให้กองทัพฟูดินันจัดการเรื่องพื้นที่เหนือช่องเขาก็จะดีไม่น้อยเลยทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
                          ทุกคนได้ยินดังนั้นก็เริ่มพยักหน้าเห็นด้วยกับแม่ทัพใหญ่   จะมีก็แต่เพียงกษัตริย์เท่านั้นที่ยังทรงจ้องมองฮารีซันนิ่งอยู่เหมือนทรงมีอะไรบางอย่างในใจ
                          “ซิกมันด์?” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงเรียกเมื่อเห็นว่ากษัตริย์น้องชายนิ่งเงียบนานเกินควร
                          “ก็ได้   ตกลงตามที่เจ้าขอหวังว่าเมื่อข้าไว้ใจมอบอำนาจเต็มที่แล้ว   การรบครั้งนี้จะเป็นการรบที่กล้าหาญ มีเกียรติและสัมฤทธิ์ผลเป็นที่น่าพอใจ”   กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสด้วยเสียงจริงจังเจือน้ำเสียงทรนงตามอุปนิสัยของพระองค์
                          “ท่านวางใจได้ ข้าจะทำสุดความสามารถ” ฮารีซันตอบด้วยท่าทีที่สงบเช่นเคย
                          กษัตริย์ซิกมันด์เมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ตอบใด ๆ เพียงแค่ทรงเหลือบตามองเป็นเชิงรับรู้   ทว่าก็ทรงต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อสายตาของฮารีซันมิได้จับจ้องที่พระองค์ แต่กลับทอดสายตาไปยังเจ้าหญิงเรจิน่าพี่สาวของพระองค์แทน   เมื่อพระองค์เหลือบมองไปทางเจ้าหญิงเรจิน่า   ก็ทรงได้เห็นว่าเจ้าหญิงก็ทรงมองฮารีซันอยู่เช่นกัน   ทว่าชั่วแวบเดียวเจ้าหญิงก็ทรงหันมองไปทางอื่น   ท่าทีที่เกิดขึ้นนี้ได้ก่อความสงสัยขึ้นภายในใจของกษัตริย์ซิกมันด์ทีละน้อย  แต่พระองค์มีเรื่องสำคัญกว่าและด่วนกว่าอยู่ตรงหน้าไนเวลานี้  จึงทรงหันเหความสนใจกลับไปยังหารหารือกับเหล่าแม่ทัพอีกครั้ง  โดยเก็บความสงสัยเล็ก ๆ  นี้ไว้ขบคิดในภายหลัง

                                                                              S

                          เพียงห้าวันหลังจากออกเดินทัพจากเมืองอาวีเลีย   กองทัพเพลิงแห่งซาโลมก็เดินทัพมาถึงช่องเขากาลาเทีย   เสียงกลองให้จังหวะเดินทัพดังกระหึ่มไปทั่วช่องเขา   ธงวิหคไฟโบกสะบัดด้วยแรงลมจนดูราวกับเปลวไฟที่กำลังเต้นเร่าเมื่อต้องลม   เสียงฝีเท้านับแสน ๆ คู่กระแทกพื้นดินและเสียงโห่ร้องเพื่อข่มขวัญศัตรูดังสนั่นไม่ต่างกับเสียงฟ้าสะเทือนเลือนลั่น   ทหารผีดิบของซาโลมกว่าห้าหมื่นซึ่งนำอยู่หน้าขบวนต่างก็มุ่งหน้าสู่ป้อมมาซาดาด้วยความหิวกระหายโดนไม่สนใจสิ้นใด ๆ รอบตัวทั้งสิ้น   
                          แม่ทัพราโชยูซึ่งคุมอยู่ทัพหลังนั่น   แรกทีเดียวเขาคิดแต่เพียงว่าจะต้องไล่ล่ากองทัพฟีเลเซียให้ทันจนไม่ได้ใส่ใจอะไร   นอกจากตามทัพร่วมฟีเลเซียและฟูดินันให้ทันแล้วจัดการให้สิ้นซาก   ทว่าเวลานี้เขาเริ่มรู้สึกว่าแถวทหารเคลื่อนได้ช้าลง   ไม่ทันใจเอาเสียเลย   ราโชยูได้รับรายงานมาเป็นระยะ ๆ ว่าช่องเขาแคบลงเรื่อย ๆ จนทำให้แถวทหารต้องแปรขบวนให้เล็กลงเพื่อจะสามารถเคลื่อนผ่านช่องเขาไปได้   จึงทำให้มีทหารแออัดอยู่ที่บริเวณคอขวดของช่องเขาเป็นจำนวนมาก   แม้จะมีรายงานว่าทัพหน้าเตรียมเข้าประชิดป้อมมาซาดาแล้ว   ทว่าเขายังไม่อาจเข้าไปถึงบริเวณปากทางเข้าได้เลย   สิ่งนี้สร้างความหงุดหงิดใจให้กับแม่ทัพทมิฬเป็นกำลัง
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: June 07, 2007, 06:13:46 PM »

                       ที่บริเวณหน้าป้อมมาซาดา  หทารผีต่างยืนออเบียดเสียดกันจนดูแน่นขนัดไปหมด   เหนือป้อมกำแพงเมืองนั้นกษัตริย์ซิกมันด์ซึ่งมีนกสายฟ้าเกาะอยู่บนไหล่ซ้าย   พร้อมกับใช้สายตาคมกล้าประดุจพญาเหยี่ยวจับจ้องกองทัพเพลิงเบื้องล่างไม่ต่างจากผู้เป็นนาย   ข้างกายกษัตริย์แห่งสายลมนั้นเจ้าหญิงเรจิน่า แม่ทัพชาร์ลพร้อมทั้งเหล่าแม่ทัพต่างก็มองประเมินสถานการณ์เบื้องล่างด้วยความรู้สึกไม่ต่างกันคือ   หากกษัตริย์ซิกมันด์ไม่ทรงตัดสินใจสละเมืองแล้วมาตั้งทัพที่ป้อมแห่งนี้แทน   การศึกครั้งนี้คงนำหายนะใหญ่หลวงให้กองทัพเป็นแน่
                       “ชาร์ล” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสขึ้น
                       “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
                       “ข้าต้องการรักษาชีวิตทหารให้มากที่สุด   ดังนั้นจะไม่มีการปะทะกันของทหารราบจนกว่าข้าจะสั่ง พวกฟูดินันรู้แล้วใช่มั้ย?”
                       “พ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลทูลตอบเสียงหนักแน่น
                       “ดี” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเหลือบมองกองทัพเพลิงที่หื่นกระหายการเข่นฆ่าและสงครามเบื้องล่างด้วยสีหน้าชิงชังและรังเกียจ ก่อนจะตรัส “สั่งกองทัพนกเตรียมพร้อม”
                       ทันที่ที่แม่ทัพชาร์ลให้สัญญาณแก่กองทัพนก เจ้าสายฟ้าโรดเดอริกก็สยายปีกพร้อมกับเงยหัวขึ้นร้องเสียงดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาด  และเพียงชั่วอึดใจนั่นเองเสียงร้องขานรับจากบรรดาสรรพสัตว์ของทั้งกองฟีเลเซียและฟูดินันก็ขู่ร้องคำรามสะท้อนไปทั้งช่องเขากาลาเทียจนกลบเสียงโห่ร้องของทหารซาโลมไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว   กษัตริย์ซิกมันด์ทรงชูดาบแห่งฟีเลเซียขึ้นพร้อมกับตะโกนจนสุดเสียง
                       “โจมตี!”
                       ฉับพลันนั้นกองทัพนกนับหมื่นก็พุ่งทะยานขึ้นเหนือช่องเขาบังแสงอาทิตย์จนช่องเขาเบื้องล่างตกอยู่ในความสลัวไปชั่วขณะคล้ายกับว่าเกิดสุริยะคลาดเฉียบพลันในเวลานั้น  ในกงเล็บของบรรดากองทัพนกนั้นมีกระเปาะแก้วที่บรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่เต็ม   กองทัพซาดลมต่างพยายามยิงธนูใส่หมายจะทำลายกองทัพนก   ฟีเลเซียก็สั่งพลนกให้ทิ้งกระเปาะแก้วใส่ทหารผีดิบเบื้องล่างทันที
                       ทหารผีดิบที่แออัดยัดเยียดกันจนขยับเขยื้อนแทบไม่ได้   ก็ไม่ต่างอะไรกับติดอยู่ในกับดัก   เสียงฉู่ฉ่าของเนื้อผีดิบที่เดือดพล่านดังสลับกับเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของทหารผีดิบดังระงมไปทั่วสนามรบกษัตริย์ซิกมันด์ไม่ทรงรอช้า   รีบให้สัญญาณแก่พลธนูทันที  เสียงดีดของสายเอ็นหลายหมื่นก็ดังลั่นแทบจะพร้อมกัน   เกิดเป็นฝนธนูที่บรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งใช้จัดการกับกองทัพปีศาจโดยเฉพาะ   ลูกธนูที่บรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่เต็มเจาะร่างทหารผีดิบแนวหน้าของทัพซาโลมจนเดือดพล่าน  บ้างก็ละลายกลายเป็นไอเดือดไม่เหลือแม้แต่ซาก
                       ทว่าทันทีที่กองทัพเพลิงเริ่มตั้งขบวนการตอบโต้อย่างรุนแรงก็ได้เริ่มขึ้น  เครื่องยิงหินขนาดใหญ่หลายสิบเครื่องถูกเคลื่อนเข้าประชิดเมืองก่อนที่มันจะดีดหินขนาดใหญ่เข้าใส่กำแพงเมือง   ทันใดนั้นบรรดาจอมเวทย์แห่งฟูดินันที่ประจำอยู่บนป้อมกำแพงก็รีบร่ายเวทย์ทำลายก้อนหินขนาดใหญ่ในทันที  ข้างฝ่ายซาโลมก็ไม่ยอมแพ้รีบดีดหินเข้าใส่เพราะรู้ดีว่าจอมเวทย์ทั้งหลายจะไม่สามารถร่ายเวทย์ได้ทัน   ต่างฝ่ายต่างก็โจมตีใส่กันเป็นพัลวันโดยไม่มีใครยอมแพ้ใคร
                       เพียงไม่กี่อึดใจต่อมาเสียงเป่าใบไม้ก็ดังสะท้อนไปทั่วช่องเขา  บัดนี้ยอดเขาที่ดูขรุขระไม่เรียบก็เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต   ลูกธนูนับหมื่นดอกก็ร่วงลงมาราวกับห่าฝน   ถุงหนังสัตว์ที่บรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่จนเต็มถูกโยนขึ้นไปในอากาศเหนือช่องเขา   ก่อนที่ลูกธนูจะเจาะทะลุถุงหนังนั้นจนแตกออก  น้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ไหลทะลักพรูออกมาดังฟ้ารั่ว  ถูกเหล่าทหารผีดิบของซาโลมจนเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังระงมไปทั่วช่องเขา
                       ทหารซาโลมยังคงไหลทะลักผ่านช่องเขาเข้ามาอย่างต่อเนื่อง   ผู้มาใหม่เหยียบย่ำไปบนซากกองผู้มาก่อนอย่างไม่สะทกสะท้าน   บันไดพาดถูกลำเลียงเข้ามาประชิดเมือง   ต่างก็พยายามพาดบันไดเข้ากับกำแพงป้อม  บ้างก็พยายามปีนขึ้นยอดผาเพื่อจัดการกับกองทัพฟูดินัน   

                                                                     S

                       การรบยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือดจนเวลาล่วงเลยไปถึงย่ำรุ่งวันที่สี่   ทว่าก็ไม่มีฝ่ายใดยอมรามือ   ต่างก็ยังคงโหมเข้าโจมตีใส่กันโดยไม่ลดราวาศอก   เช้าวันนั้น   แม่ทัพราโชยูรีบจัดขบวนทัพรอกองทัพใหญ่ซึ่งนำโดยกษัตริย์ซาดินอย่างใจจดใจจ่อ   เสียงกลองศึกศึกดังสนั่นจนแม้แต่ในสนามรบก็ยังอาจได้ยินเสียงได้   ซึ่งแน่นอนว่าทางฝ่ายฟีเลเซียก็คงจะรับรู้ได้เช่นกันว่าทัพใหญ่แห่งจักรวรรดิซาโลมเคลื่อนทัพมาถึงแล้ว   เพราะทั้งเสียงแตร เสียงเขาสัตว์ และเสียงเป่าใบไม้ดังขานรับไปทั่วด้วยเช่นกัน   กองทัพใหญ่แห่งซาโลมต่างก็รีบกรูกันเข้าสู่ช่องเขากาลาเทียทันที
                       ที่พลับพลาชั่วคราวที่ราโชยูจัดเตรียมไว้คอยต้อนรับ   กษัตริย์ซาดินทรงมีสีหน้าเคร่งเครียด   ทรงขมวดคิ้วมองแผนที่บนโต๊ะพลางตรัสตวาดจนสุดเสียง
                       “นี่มันอะไรกัน? ห๊า!   จนบัดนี้เจ้ายังตีไอ้ป้อมเส็งเครงนั่นไม่แตกอีกรึ?   ไม่แม้แต่จะสร้างความเสียหายให้ไอ้ป้อมนั่น   ซ้ำยังทำให้ข้าเสียทหารไปเป็นเบือ!”
                       “ทูลฝ่าบาท   กำแพงป้อมแห่งนี้แข็งแกร่งมากพ่ะย่ะค่ะ   อีกทั้งเรายังถูกโจมตีจากทั้งสามด้าน   ยากแก่การรับมือเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ”
                       ได้ยินดังนั้นกษัตริย์ซาดินก็พุ่งเข้าใส่พร้อมกับกระแทกหมัดใส่ใบหน้าของแม่ทัพทมิฬอย่างแรงจนร่างของแม่ทัพร่างใหญ่ถลาออกไปนอกพลับพลาร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง   หมวกเกราะกระเด็นหลุดออกจากศีรษะไปไกลหลายวา
                       “อย่าบังอาจมาพูดเหมือนสุนัขขี้แพ้กับข้า” กษัตริย์ซาดินทรงกัดฟันกรอด   ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธเกรี้ยว
                       แม่ทัพทมิฬค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างยากลำบากพร้อมกับบ้วนเลือดในปากออกมา   นี่เพราะเขารูปร่างใหญ่ยักษ์และมีชุดเกราะที่ทำจากกระดูกมังกรปกป้องร่างอยู่   หากเป็นนายทหารธรรมดาคงจะตายในทันทีเป็นแน่   เขารีบใกล้เข้ามาในพลับพลาพร้อมกับย่อเข่าลงข้างหนึ่งที่เบื้องหน้าองค์กษัตริย์
                       “ขอประทานอภัยด้วยฝ่าบาท”   ราโชยูได้แต่ก้มศีรษะลงด้วยเกรงกษัตริย์ซาดินและทั้งอดสูในความไร้ความสามารถของตน
                       กษัตริย์ซาดินทรงขบกรามแน่นหรี่ตามองช่องเขาเบื้องหน้าด้วยอารมณ์คุกรุ่น   ภาพกองทหารนับแสนแออัดกันอยู่บริเวณปากทางเข้าช่องเขานั้นเหมือนเติมเชื้อไฟให้พระองค์ยิ่งขึ้น   พระองค์ทรงมองแบบจำลองแผนที่ลักษณะช่องเขากาลาเทียอีกครั้งก่อนจะทรงใช้กระบองฟาดเปรี้ยงลงบนแผนที่จนโต๊ะแตกเป็นเสี่ยง ๆ   มือที่กำกระบองคู่กายอยู่นั่นเกรงแน่นจนสั่นเทิ้มพร้อมประกาศเสียงกร้าว
                       “เราจะได้เห็นดีกัน!”


Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: June 07, 2007, 06:16:52 PM »

                        เหนือกำแพงเมือง   นายทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่งรีบวิ่งสุดฝีเท้าไปหาแม่ทัพชาร์ลบนป้อมกำแพง   ทันที่ที่ไปถึงก็รีบทำความเคารพเยี่ยงทหารชาตินักรบก่อนจะขยับเข้ากล่าวอะไรบางอย่าง   ซึ่งแม่ทัพใหญ่ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันทีที่นายทหารจากไป   แม่ทัพชาร์ลจึงกราบทูลกษัตริย์ซิกมันด์และเจ้าหญิงเรจิน่า
                        “ฝ่าบาท   นายทหารเพิ่งจะรายงานว่ากองทัพใหญ่ของจักรวรรดิซาโลมกว่าหกแสนนายพร้อมอาวุธหนักนานาชนิดเดินทัพมาถึงช่องเขากาลาเทียแล้วพะย่ะค่ะ”
                        “ซิกมันด์   ตลอดสามวันสามคืนที่ผ่านมา   แม้กองทัพซาโลมจะมีมากกว่าแต่เราก็ยังพอรับมือได้   แต่ถ้ามากขนาดนี้มันเกินกำลังของพวกเราแล้วนะ” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสด้วยความหวั่นวิตก
                        กษัตริย์ซิกมันด์ทรงมองไปยังปากช่องเขาที่อยู่ไกลด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและดุดัน   พระองค์ทรงเห็นด้วยกับเจ้าหญิงเรจิน่าแต่ไม่อาจยอมรับได้ว่ากองทัพของพระองค์อาจกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน
                        “ให้พี่ช่วยนะ ซิกมันด์” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสต่อ
                        “ไม่!” กษัตริย์ซิกมันด์สวนตอบแทบจะทันที
                        เจ้าหญิงเรจิน่าทรงสะดุ้งเล็กน้อยกับการกระแทกเสียงของกษัตริย์ซิกมันด์   แต่เมื่อทรงตั้งสติได้ก็ค่อยยิ้มออกมา
                        “พี่รู้ว่าเธอเป็นห่วงพี่   ตั้งแต่สงครามระเบิดขึ้นเธอไม่เคยให้พี่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการรบจริง ๆ เลยสักครั้งถ้าไม่จำเป็น   แต่ซิกมันด์ครั้งนี้มันต่างกันนะ   ให้พี่ได้ช่วยเถอะ”
                        กษัตริย์ซิกมันด์ทรงมองพี่สาวของตนนิ่งคล้ายกับกำลังตัดสินใจเรื่องที่ยากยิ่ง   เมื่อเจ้าหญิงทรงเห็นว่ากษัตริย์ซิกมันด์ยังคงนิ่งเงียบ จึงตรัสต่อ
                        “ซิกมันด์   พี่ก็เป็นถึงเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซีย   เธอจะให้พี่นิ่งเฉยอยู่บนป้อมกำแพงนี่   โดยที่เหล่าทหารของเรากำลังพลีชีพเพื่ออาณาจักรของเราหรือ? แล้วเกียรติและศักดิ์ศรีของพี่จะดำรงอยู่ได้อย่างไร?”
                        “พอเถอะ ข้าเข้าใจแล้ว” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างหงุดหงิด   ในขณะที่เจ้าหญิงทรงยิ้มกว้าง
                        “ขอบใจ” เจ้าหญิงตรัสพลางขยับมือแตะด้ามดาบเข้าเอว   พร้อมกับยกมืออีกข้างขึ้นเป็นสัญญาณ   ทันทีที่เสียงแตรประจำพระองค์ดังขึ้น เสียงเหล่าทหารฟีเลเซียก็โห่ร้องด้วยความยินดีดังสนั่นสะท้อนไปทั่วช่องเขา
                        “ทรงระวังตัวด้วย” แม่ทัพชาร์ลก้าวหลบพร้อมกับโค้งแสดงความเคารพ เมื่อเจ้าหญิงดำเนินผ่าน
                        “เสด็จพี่!” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงร้องเรียก แต่เมื่อเจ้าหญิงเรจิน่าทรงหันกลับมาหา พระองค์ก็ไม่อาจแสดงความเอื้ออาทรซึ่งอาจดูเหมือนเป็นความอ่อนแอ ออกมาต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาได้ จึงได้แต่ส่งสายตาแห่งความห่วงใยออกไปเท่านั้น
                        “พี่จะระวังตัวไม่ต้องเป็นห่วงนะ” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงเข้าใจได้จากแววตาแห่งความกังวลในดวงตาของน้องชายตน
                        “เบิกพื้นที่หน้าประตู เตรียมส่งเสด็จเจ้าหญิง” เสียงชาร์ลสั่งทหารดังก้อง พร้อม ๆ กับการโจมตีใส่ทหารซาโลมที่อยู่หน้าประตูป้อมที่รุนแรงยิ่งขึ้น   เพื่อผลักดันให้ทหารซาโลมถอยออกจากกำแพงเมือง
                        กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะพยักหน้ารับคำที่เหมือนเป็นคำสัญญาของพี่สาว   เจ้าหญิงทรงยิ้มให้อีกครั้งแล้วจึงทรงหันหลังเดินจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว   โดยมีสายตาของกษัตริย์ซิกมันด์มองส่งด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจแสดงออกได้

                                                                        S

                        ทันทีที่ประตูป้อมเปิดแง้มเพื่อให้เจ้าหญิงเรจิน่าทรงออกมา   เหล่าทหารซาโลมก็พยายามวิ่งกรูกันเข้ามาหมายจะเข้าประตูป้อมมาซาดาให้ได้   ซ้ำผู้ที่ออกมาก็เป็นถึงเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซีย   หากสังหารนางได้บำเหน็จรางวัลจำนวนมหาศาลทั้งยศฐานบรรดาศักดิ์คงมากองอยู่แทบเท้าของตน
                        ฉับพลันนั้น   เจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียก็ตวัดดาบคู่กายขึ้นด้วยความเร็วจนมองแทบไม่เห็น   ดวงตาสีเขียวมรกตสว่างวาวโรจน์   เสียงร่ายเวทย์อันแผ่วเบาค่อย ๆ ดังขึ้นจนกลายเป็นตะเบ็งจนสุดเสียง
                        “มิลเลียน แสลช!! “                       
                        ทันที่ที่ปลายดาบพุ่งออกไป   ดาบเวทย์จำนวนนับล้านเล่มก็พุ่งเข้าใส่ทหารซาโลมดังมหาวายุ   ดาบเวทย์สีขาวเรืองพุ่งเป็นสายไม่ต่างกับแสงของดาวหางนับล้านดวงพุ่งเข้าใส่ทหารซาโลม   เสียงดาบเวทย์แหวกม่านอากาศด้วยความเร็วแสงจนเกิดคลื่นเสียงแหลมเล็กไม่ต่างกับเสียงหวีดร้องของมหาวายุ   ทหารกว่าพันนายก็ล่วงล้มราวกับใบไม้ร่วงและยังคงล้มลงระเนระนาดต่อไปไม่หยุด   ตราบเท่าที่แสงแห่งดาบเวทย์ยังคงพุ่งต่อไป
                        เมื่อแสงแห่งดาบเวทย์จางลงจนสลายไป   ภาพทหารซาโลมที่นอนล้มตายบาดเจ็บเป็นจำนวนมากก็นอนเกลื่อนสนามรบเป็นวงกว้างจนหน้าประตูป้อมดูว่างโล่งไปในทันที   ทุกคนต่างนิ่งเงียบด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด   แม้แต่เหล่าอัศวินแห่งฟีเลเซียเองก็ยังคงเงียบกริบ   แม้ทุกคนจะทราบว่าเจ้าหญิงเรจิน่ามีฝีมือเชิงยุทธ์ที่ไม่น้อยหน้าให้   แต่ก็เป็นเพียงการคาดการณ์จากการฝึกซ้อมหรือการต่อสู้แบบตัวต่อตัว   เพราะเจ้าหญิงแทบจะไม่เคยสู้ในสนามรบโดยใช้ท่ามิลเลียน แสลชต่อหน้าเช่นนี้มาก่อน   
                        จากที่ทหารซาโลมรีบโถมเข้าใส่ในทีแรก   เวลานี้กลับยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์ชั่วเสี้ยววินาทีที่เพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้า   ต่างไม่กล้าแม้จะขยับตัว   ข้างฝ่ายทหารฟีเลเซียและฟูดินันเมื่อตั้งสติได้ก็ต่างโห่ร้องด้วยความยินดีเสียงดังสนั่นจนสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งช่องเขา
                        เจ้าหญิงเรจิน่าทรงสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะพุ่งออกไปข้างหน้าด้วยความเร็วพอ ๆ กับแสงแห่งดาบเวทย์   และเงื้อดาบขึ้นอีกครั้ง
« Last Edit: June 07, 2007, 09:35:43 PM by ฟีโนมีนอน ปาร์ตี้ » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: June 07, 2007, 06:17:39 PM »

มาเม้าส์ กันที่นี่นะ


http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=30641.0

« Last Edit: June 07, 2007, 06:25:38 PM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.194 seconds with 22 queries.