Summoner Master Forum
April 26, 2024, 02:22:45 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: 1 [2] 3 4 ... 6  All
  Print  
Author Topic: (อวสาน)SUMMONER MASTER VR! Up Final Sub-Turn Let's Duel VR!! พิเศษตอนแถมทาลิ1  (Read 95798 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #30 on: December 17, 2008, 02:26:31 AM »

Quote
หุหุ โผล่ออกมาแล้วสินะ ดูเอลดิสของ การ์ดซัม โฮ่ๆเดี๋ยว วาดรูปเสร็จแล้วมาเอาที่โรงอาหารพรุ่งนี้ด้วยเน้อ

รอมา สองวันแล้วไม่เห็นมาโรงเรียนเลย ทำไรอยู่

Quote
ว่าแต่ตกลงจะทำจริงๆเหรอ ทาลิ ภาค 2 เนี่ย พวกลอว์เรนซ์ ฉันเขียนให้ตายหมดแล้วนา
จะต่อเรื่องอีท่าไหนง่ะ

อันนั้รู้แล้วจบได้ เลวจริงๆ ไม่เป็นไรมีวิธีต่อเรื่องไว้แล้ว นั่นคือเหตุผลในตำนานน่ะเอง
ง่ายๆประโยคเดียว
"นิยายของแกกับของชั้นไม่เคยถือเป็นเรื่องเดียวกันเพราะคนแต่งคนละคน แค่อีกคนเอาซีรี่เดิมไปเชื่อมภาคในซีรี่ย์ของ ตัวเองเท่านั้น"

 ไงง่ายดีมะ ;D
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #31 on: December 17, 2008, 08:41:19 PM »

Quote
หุหุ โผล่ออกมาแล้วสินะ ดูเอลดิสของ การ์ดซัม โฮ่ๆเดี๋ยว วาดรูปเสร็จแล้วมาเอาที่โรงอาหารพรุ่งนี้ด้วยเน้อ

รอมา สองวันแล้วไม่เห็นมาโรงเรียนเลย ทำไรอยู่

Quote
ว่าแต่ตกลงจะทำจริงๆเหรอ ทาลิ ภาค 2 เนี่ย พวกลอว์เรนซ์ ฉันเขียนให้ตายหมดแล้วนา
จะต่อเรื่องอีท่าไหนง่ะ

อันนั้รู้แล้วจบได้ เลวจริงๆ ไม่เป็นไรมีวิธีต่อเรื่องไว้แล้ว นั่นคือเหตุผลในตำนานน่ะเอง
ง่ายๆประโยคเดียว
"นิยายของแกกับของชั้นไม่เคยถือเป็นเรื่องเดียวกันเพราะคนแต่งคนละคน แค่อีกคนเอาซีรี่เดิมไปเชื่อมภาคในซีรี่ย์ของ ตัวเองเท่านั้น"

 ไงง่ายดีมะ ;D
ทะเลาะกันในกระทู้เหรอครับ    เห็นกำลังมันส์ !!!!!!!!!
Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #32 on: December 18, 2008, 07:20:13 PM »

Quote
หุหุ โผล่ออกมาแล้วสินะ ดูเอลดิสของ การ์ดซัม โฮ่ๆเดี๋ยว วาดรูปเสร็จแล้วมาเอาที่โรงอาหารพรุ่งนี้ด้วยเน้อ

รอมา สองวันแล้วไม่เห็นมาโรงเรียนเลย ทำไรอยู่

อ้างถึง
ว่าแต่ตกลงจะทำจริงๆเหรอ ทาลิ ภาค 2 เนี่ย พวกลอว์เรนซ์ ฉันเขียนให้ตายหมดแล้วนา
จะต่อเรื่องอีท่าไหนง่ะ

อันนั้รู้แล้วจบได้ เลวจริงๆ ไม่เป็นไรมีวิธีต่อเรื่องไว้แล้ว นั่นคือเหตุผลในตำนานน่ะเอง
ง่ายๆประโยคเดียว
"นิยายของแกกับของชั้นไม่เคยถือเป็นเรื่องเดียวกันเพราะคนแต่งคนละคน แค่อีกคนเอาซีรี่เดิมไปเชื่อมภาคในซีรี่ย์ของ ตัวเองเท่านั้น"

 ไงง่ายดีมะ Grin
ทะเลาะกันในกระทู้เหรอครับ    เห็นกำลังมันส์ !!!!!!!!!

อ๋อไม่ใช่ก็ใกล้เคียงอ่ะจ้ะ เอ๊ย ไม่ช่ายย เจ็ กับ เกรม่อนคุงน่ะสนิทกันจะตายไม่ทะเลาะกันหรอกเน้ออออ(จริงๆหลบหน้ามันมาสามวันแหล่ว) ว่าแต่เราอย่าไปสนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆเลยเน้อ มาเข้าเรื่องดีกว่าไหนๆก็มาแล้ว

คราวก่อนบอกว่าขอเรื่องย่อแบบ ย่อๆใช่ไหมจ้ะ งั้นเจ็จะสรุปเรื่อง muti armor ที่เจ็เขียนไปให้ในก่อนดก็แล้วกัน

เรื่องของเรื่องเลยนะ คงยังจำได้ว่า พวกลอว์เรนซ์ถูกรับเรื่องให้เป็น ผู้ใช้มาสเตอร์แอคเตอร์ และข้ามเวลาไปยังอนาคตอีก 3000 ปี และต่อสู้กับ รีกอล หัวหน้าองค์กรชั่วที่คิดจะใช้ เหล่า lantis ในการครองโลก

และต่อมาพอพวกลอว์เรนซ์ ไปยังอนาคต ลอว์เรนซ์ก็ได้เปลี่ยนร่างตัวเองเป็น drake Hyper form
และจบชีวิต รีกอล ลง นั่นคือจบภาค war of terra

ต่อด้วยภาค Voice Of War (V.O.W.)

 องค์กรเบลครอส ที่เคยช่วยเหลือ พวกลอว์เรนซ์ในการสู้กับรีกอล ก็ได้เริ่มแผนการที่จะคืนชีพ
พระจิตสูงสุด(อวตารแห่งจิตด้านลบของพระเจ้าจากภาค ทาลิวิลย่า น่ะเอง)  ขณะนั้น พวกของลอว์เรนซ์ ที่มีความเห็นสวนทางกันจึง แยกกันไปตามทางของตัวเอง ในขณะเดียวกัน ชินจิ (ตัวเอกภาคนี้ในช่วงแรก ก่อนเปลี่ยนกลับให้ ลอว์เรนซ์มามีบทแทน) ที่คิดจะ ล้างแค้นให้กับ สเตล่า ก็ได้เข้าสังกัดกับ เบลครอส เพื่อสวมใส่  เคออส ซึ่งเป็น
 แอคเตอร์รุ่นอาร์เมอร์ซีรี่ย์ หนทางการต่อสู้ของแต่ละคนที่แตกต่างกันไป
ได้ไปบรรจบกันในตอนท้ายที่สุด เมื่อ
เบลครอส สามารถคืนชีพ พระจิตสูงสุด ก็ได้ประกาศสงครามกับโลก
เพื่อที่จะจัดการกับนักรบทั้งห้าของ เบลครอส ที่ใช้ แอคเตอร์กระดิ่ง5เสียง
พวก เจนัสจึงยอมสละชีวิต ของตน และนั่นได้ทำให้ ลอว์เรนซ์ เปิดเผยพลังของ ดาบ 7เล่ม

ออกมาสยบ ร่างเทียมของ พระจิตสูงสุดลงได้ ทว่า พระจิตสูงสุดกลับคืนชีพเป็นร่างสมบูรณ์
ในตอนนั้นเอง เนเมซิส
ซึ่งก็คือ แมวดาร์คเดสทินี่สีขาว ในภาคทาลิวิลย่า ได้ปรากฏตัวออกมาช่วย
ทำให้ลอว์เรนซ์ใช้ดาบแห่งคำอธิษฐาน
ได้ และจบสงครมลงในที่สุด ลอว์เรนซ์ จึงได้ลา เทีย และกลับไปยังอดีต
และสิ้นลมหายใจลงที่บ้านเกิดในมิติมังกร 
จบภาค V.O.W.

ภาคEnd Era (E.E.)

ผลจากสงครามครั้งก่อน ทำให้เศรษฐกิจของโลกเทอร่า เข้าสู่วิกฤติ จึงเกิดสงครามมขึ้นอีกครั้ง
ในตอนนั้น พวกที่มาจากมิติอื่น ชนเผ่า มิชชิลด้า และ อาแร็คน่า ที่เคยช่วยสนับสนุนพวกลอว์เรนซ์ ตอนสู้กับ พระจิตสูงสุดก็ได้ คิดจะทำการเข้ายึดครอง ดวงดาวเทอร่า เทีย ที่แยกกับลอว์เรนซ์แล้ว
และเหล่าลูกเรือ ยาน แองเจิลวิงค์ จึงต้องออก เดินทางเพื่อเก็บรวบรวมมาสเตอร์แอคเตอร์ทั้งหมดของ พวกลอว์เรนซ์ที่ กระจัดกระจายกันไปอยู่ในมือของแต่ละ ขั้วอำนาจ และระหว่างภาระกิจ เด็กหนุ่ม ที่เอย์จิ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับ แอคเซียแอคเตอร์ ที่เคยเป็นร่างเทียมของ พระจิตสูงสุด ก็ได้เข้ามาขวางการรบเอาไว้

แท้จริงแล้วตัว เอย์จิ นั้นคือ พระจิตสูงสุดที่อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ตัวเขาได้รับผลกระทบจากสงครามทำให้ต้องเสียครอบครัวไป และคิดที่จะทำให้โลกนี้หายไป แต่ด้วยการเกลี้ยกล่อมของ เทีย ทำให้ เอย์จิ เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ และได้ใช้พลังของตนร่วมกับเหล่า มาสเตอร์แอคเตอร์ เพื่อดูดกลืนความเกลียดชัง พลังด้านมืดทั้งหมดในจิตของมนุษย์ทั้งโลกมา และสลายมันไป

หลังจากสงครามจบลง เอย์จิ ได้ถูก เทียรับอุปการะไว้ ส่วนเหล่าลูกเรือยานแองเจิลวิงค์ ก็ได้ แยกย้ายกันไปทางของตน และในช่วงสุดท้ายของบท เป็นฉากวันแต่งงานของ ชินจิ กับ ลูน่า ที่มีเหล่า
อดีตลูกเรือของยานแองเจิลวิงค์ ไปร่วมงาน

จบบริบูรณ์

นี่ละจ้ะเจ็ย่อได้เท่านี้ล่ะ สั้นกว่านี้เดี๋ยวจะพาลไม่รู้เรื่องเอา ว่าแล้วก็ลา ละจ้ะต้องรีบหนีเกรม่อนคุงก่อง


Logged


series
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 283


« Reply #33 on: December 21, 2008, 03:07:09 AM »

เรื่องสนุกดีนะครับ น่าจะเอาไปลงในไวเซอร์ คงจะมีคนติดตามเยอะพอควร
สำนวนการบรรยายก็พอเห็นภาพอยู่นะครับ
การบรรยายทำได้น่าติดตามดี (ถ้าเอาไปทำเป็นแอนิเมชั่นแบบยูกิท่าทางจะอลังกว่าไม่น้อย)
มีเรื่องการสะกดคำผิดอยู่ประปรายครับ เช่น
เวทย์มนต์ ต้องเป็นเวทมนตร์ครับ
เพราะเวทย์ตัวนี้แปลว่าความรู้ มาจากไวทยะ หรือวิทยะครับ
แล้วก็ตรงภาษาอังกฤษ
Do you fine? ควรเป็น Are you alright? ดีกว่านา
ส่วน My master is stupid always ?
คือส่วนมากเขาเรียก Master ว่าTeacher นา
แต่ถ้าจะใช้Masterก็ไม่เป็นไร แต่ตรงหน้า Always ควรมี as ด้วยครับ
As always มันจะประมาณว่า อย่างเคย หรือเป็นประจำน่ะครับ
Cute อ่านว่า คิวท์นะครับ
All Right มันไม่ได้แปลว่าได้เลยอะครับ
ถ้าได้เลย น่าจะใช้ sure หรือ Why not? มากกว่า
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #34 on: December 21, 2008, 06:51:44 PM »

Quote
เรื่องสนุกดีนะครับ น่าจะเอาไปลงในไวเซอร์ คงจะมีคนติดตามเยอะพอควร
สำนวนการบรรยายก็พอเห็นภาพอยู่นะครับ
การบรรยายทำได้น่าติดตามดี (ถ้าเอาไปทำเป็นแอนิเมชั่นแบบยูกิท่าทางจะอลังกว่าไม่น้อย)

ขอบคุณสำหรับคำชม ขอรับแต่น่าเสียดายที่พอ wiser special drago3 ออกเมื่อไหร่จะต้องระงับโปรเจ็คนี่ไว้ก่อน
แต่จะพยายามทำให้โปรเจ็ค ตำนานทาลิ2 จบให้ไวที่สุดนะขอรับ จะได้มาต่ออันได้ทัน แต่ตอนนี้ยังไม่วางตลาดก็ลงเรื่องนี้ไปก่อน

Quote
มีเรื่องการสะกดคำผิดอยู่ประปรายครับ เช่น
เวทย์มนต์ ต้องเป็นเวทมนตร์ครับ

โอ้อันนี้ต้องขออภัยอย่างแรงนะขอรับ ข้าน้อยก็พึ่งรู้ตัวว่าพิมพ์ก็วันนี้นี่เอง ขอบคุณที่ช่วยเตือนจะพยายามแก้ไขในส่วนที่ผิดไว้ให้นะขอรับ แต่อันก่อนๆที่ลงไปแล้วคงต้องรอกันซักระยะ เพราะตอนนี้ข้าน้อยงานวุ่นวายมาก ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย(เจ้าพิโยม่อน มันตรวจงานไม่ละเอยดเลยนี่หว่า ต้องจัดการไหนว่าพิมพ์ไม่ผิดไง เจอตัวต้องจับมาอัดด้วย mega flame)

Quote
แล้วก็ตรงภาษาอังกฤษ
Do you fine? ควรเป็น Are you alright? ดีกว่านา
ส่วน My master is stupid always ?
คือส่วนมากเขาเรียก Master ว่าTeacher นา
แต่ถ้าจะใช้Masterก็ไม่เป็นไร แต่ตรงหน้า Always ควรมี as ด้วยครับ
As always มันจะประมาณว่า อย่างเคย หรือเป็นประจำน่ะครับ
Cute อ่านว่า คิวท์นะครับ
All Right มันไม่ได้แปลว่าได้เลยอะครับ
ถ้าได้เลย น่าจะใช้ sure หรือ Why not? มากกว่า

เอ่อคือ ตรงส่วนนี้ข้าน้อยคงปรับปรุงได้ไม่มาก เพราะภาษาอังกฤษนั้น กระผมไม่ค่อยสันทัดเสียด้วย
ยัง งูๆปลาๆ อยู่คงต้องขออย่าพึ่งไม่ใส่ใจมันมากนักเลยนะขอรับ ส่วนที่ใช้ว่า master นั้นเพราะnote นั้นจะเรียก เจ้านายของตนว่า Master กันหมดขอรับ  อันนี้คงต้องขอเว้นไม่ให้ตรง ไวยากรณ์ล่ะครับ

ส่วน cute ที่อ่านว่าคิวท์ นั้นเข้าใจขอรับ แต่ต้องการที่จะสื่อว่า ตัว แอนนา นั้นเป็นคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในไทย และพูดสำเนียงออกเหน่อๆ เลยแผลงให้เป็น คูท ไปแต่จากนี้บางส่วนหรืออีกหลายๆอย่างอาจผิดพลาดได้อีก

ผมเต็มใจที่จะรับ คำชี้แนะจากผู้อ่านทุกคนนะขอรับ เพราะงั้นจากในคราวนี้ กระผมจะนำเอาไป แก้ไขและปรับปรุงดีขึ้นกว่าเดิม อ้อ เกือบลืมอาทิตย์นี้ขอเลื่อนไปตอนหนึ่งนะขอรับ เพราะว่าต้องสอบกลางภาค แล้วเจอกันวันอังคารนะขอรับ See ya


Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #35 on: December 22, 2008, 11:28:11 AM »

Quote
แต่น่าเสียดายที่พอ wiser special drago3 ออกเมื่อไหร่จะต้องระงับโปรเจ็คนี่ไว้ก่อน
แต่จะพยายามทำให้โปรเจ็ค ตำนานทาลิ2 จบให้ไวที่สุดนะขอรับ

แย่แล้วเกรม่อนคุง เมื่อวานเจ็ ลืมโทรไปบอก ปิโยม่อนจัง(โค้ดเนม บ.ก. ของกลุ่มงาน) เขาบอกว่าโปรเจ็ค ทาลิ2 ให้
ยกเลิกการลงเอาไว้ก่อนแล้วลง ซัมวีอาร์นี่ให้จบซีซั่น 2 Paradiso da Regola ก่อน
แล้วเว้นภาค trinity เอาไว้ไปลงทาลิ เพราะปิโยจัง บอกว่าข้อมูลที่ให้จะเขียนยังไม่พอ
ต้องรอกันดั้มดับเบิลโอซ๊ซั่น2ออก เอ้ย ไม่ช่ายต้องรอไปเก็บข้อมูลก่อน(หวายหลุดไปแล้ว)

อ้อแล้วภาพดูเอลดิสของซํมวีอาร์ เจ็ส่งไปให้ที่เมลแล้วนะจ้ะฝากบอกแค่นี้ล่ะ

me/มาบอกข่าวดีจบก็ขอเผ่นออกจากระทู้ก่อนโดนเกรม่อนคุงไล่ตื้บล่ะจ้า
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #36 on: December 25, 2008, 02:37:15 AM »

Quote
แย่แล้วเกรม่อนคุง เมื่อวานเจ็ ลืมโทรไปบอก ปิโยม่อนจัง(โค้ดเนม บ.ก. ของกลุ่มงาน) เขาบอกว่าโปรเจ็ค ทาลิ2 ให้
ยกเลิกการลงเอาไว้ก่อนแล้วลง ซัมวีอาร์นี่ให้จบซีซั่น 2 Paradiso da Regola ก่อน
แล้วเว้นภาค trinity เอาไว้ไปลงทาลิ เพราะปิโยจัง บอกว่าข้อมูลที่ให้จะเขียนยังไม่พอ

เวรแล้ว คิดพล็อตไว้แล้วอ่ะ ทำไงดีตอนนี้ ซํมวีอาร์มันยังมีบางส่วนที่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะชนได้ด้วยสิ
เอาไงดีหว่า ช่วยไม่ได้งั้นลงต่อเนื่องตามคำสั่งของท่าน บก.ปิโยม่อนเลยละกัน(วันๆเอาแต่สั่งไม่เหงทำไรเลยตรวจงานก็อู้เลยมีพิมพ์ ผิดเต็มเป็นพรืดอย่างที่เห็นเนี่ย)

เพราะฉนั้นด้วยประการละฉนี้+กับเสียงตอบรับจากผู้อ่านทุกท่านกระผมก็
จะขอลงเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่เป็นการเป็นงาน เอ้ยไม่ใช่จะลงไป
เรื่อยๆอย่างเป็นการเป็นงานกว่านี้ ส่วนในเรื่องของการบรรยายและพรรณาในเรื่อง
ส่วนตัวผมคิดว่าอาจจะยังไม่ไดีเท่าที่ควร เพราะบางท่านอาจจะอ่านแล้วเกิดอาการ

สับสนว่ามันเป็นยังไงนึกภาพตามไม่ได้ ตัวผมจะพยายามฝึกฝนและแก้ไขให้ดีขึ้น
แต่ก็คงต้องบอกว่าแก้จนสมบรูณ์เต็ม100 ไม่ได้ เพราะบางทีก็ต้องรีบปั่นเหมือนกัน

ว่าแต่ทำไมต้องรอ ดับเบิลโอซีซั่น2ออกด้วยฟ่ะเนี่ย หรือจะให้ทาลิ เป็นเซเลสเชียลบีอิ้ง
หึ เฮ้อเห็นมันกลายเป็นนิยายสายเมคาไปแล้วรึ

Quote
อ้อแล้วภาพดูเอลดิสของซํมวีอาร์ เจ็ส่งไปให้ที่เมลแล้วนะจ้ะฝากบอกแค่นี้ล่ะ



โอเคอันนั้นได้รับแล้ว ขอบอกเห็นแล้วนึกถึง ดีไวซ์จากเรื่องสาวน้อยจอมเวทย์นาโนฮะ เลยถึงคนเขียนให้ลักษณะมันเหมือนจะเป็นฉานก็เถอะแต่แบบนี้มันตรงไปม้ายยยย


« Last Edit: December 25, 2008, 02:42:59 AM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #37 on: December 28, 2008, 07:53:18 PM »

Sub-Turn 6  Terrific

โลกในปี พ.ศ. 2700 ประเทศในทวีป เอเชียได้ กลายเป็นผู้นำด้าน นวัตกรรม เวทยาการ เพราะ ศาสตร์แห่งจิตใจ
ไสยศาสตร์แห่งเวทมนต์ที่ ฝังรากลึกลงไปใน วัฒนธรรมของพวกเขาทำให้การพัฒนาด้านพลังงานมนตรา นั้นได้เปรียบ กว่าพวก ยุโรป อเมริกา  ทว่าการที่จะนำพลังแห่งมนตรามาประยุกต์ใช้งาน ได้ก็ต้อง พึ่งพา วิทยาการ
ด้วยเช่นกัน ทำให้ ความสามารถในด้านวิทยาการ เทคโนโลยี ที่ทวีป ซีกโลก ตะวันตก เคยชำนาญ อยู่แล้ว

มีประสิทธิภาพ ขึ้นเมื่อเกิดความก้าวหน้าในด้านพลังงาน หลักวิชาการต่างๆก็ได้ก้าวตามไปด้วย
เทคนิค การแพทย์ที่พัฒนาล้ำหน้าเสียจน ทำให้โรคภัยต่างๆต้องสยบ อย่างศิโรราบ เมื่อการประสานเวทยาการกับ
วิทยาศาสตร์การแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นโรคติดต่อทางกรรมพันธุ์ หรือโรคร้ายแรงที่ไม่เคยรักษาได้เมื่อหลายร้อยปี

ก่อน บัดนี้เปลี่ยนไปแล้ว โรคหัวใจ สามารถหายได้ด้วยการอาบรังสีมนตรา ลงไปยังกล้ามเนื้อหัวใจ
หวัดมรณะที่เคยแพร่ระบาด ได้ถูกชำระจนสูญหายไปจากโลกโดยสิ้นเชิง มะเร็งโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนด้วยความ

ทรมาน ก็ต้องจบยุคของมันลงด้วย ยาปฏิชีวเวท เพียงเม็ดเดียว หากพิการทางร่างกายไม่ว่าจะแต่กำเนิดหรือเกิดจากอุบัติเหตุ อวัยวะนั้นสามารถ สร้างขึ้นมาทดแทนจนมีความสมบรูณ์ เทียบเท่ามนุษย์ทั่วไป
และหาก เป็นโรคที่เกิดจากความผิดพลาดทางพันธุกรรม ด้วยเทคนิคการ

ถ่ายทอดพันธุกรรม ของอสูรอัญเชิญลง ไปในร่างของมนุษย์ เพื่อทดแทนส่วนที่เสียไปหรือ
ที่ทำให้ส่วนที่พิกลพิการหายไป หากคุณเป็น ดาว์นซินโดม(เขียนถูกป่ะ) เพียงแค่ปลูกฝัง พันธุเวทกรรม
ของพวก Kobold ลงไปก็ทำให้อาการส่วนที่เป็นผลเสียถูกทดแทนด้วย พลังของชนเผ่า Kobold แล้ว
ซ้ำยังจะทำให้พวก เขาเหล่านั้นมีอำนาจยิ่งไปกว่ามนุษย์ทั่วไปเสียด้วย จากที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ กลับกลายเป็นอัจฉริยะ ไปได้โดยปริยาย ด้วยเหตุผลข้อนี้ทำให้ เมื่อ ครึ่งศตวรรษ ที่แล้ว หรือ 50 ปีก่อนหน้านั้น

ได้มีการ ผ่าตัด ดัดแปลง ให้มนุษย์กลายเป็นยอดของมนุษย์ เพื่อผลประโยชน์ในหลายๆทางแน่นอนหากคุณ
เลือกได้ระหว่างเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาไร้ซึ่งพลังอำนาจ กับการที่จะได้กลายเป็นสุดยอดของมนุษย์
คุณจะเลือกทางใด นั่นจึงกลายเป็นต้นตอของความขัดแย้งในเวลาต่อมา ผลตอบแทนของการเปลี่ยนคุณเป็นยอดแห่งคน

การแข่งขันทางสมรรถภาพทางกาย ที่สามารถปรับเปลี่ยน ได้ตามความต้องการ แน่ล่ะ พวกคุณได้เปลี่ยนตัวเองกลายเป็นเครื่องจักรที่หาดีได้ด้วยการเสริม ชิ้นส่วนที่เรียกว่า พันธุกรรม เมื่อพรสวรรค์ สามารถสร้างได้สิ่งที่ตามมาก็คือ
 การแข่งขันที่ผิดศีลธรรม ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมุมานะ และพยายาม เมื่อพวกที่เปลี่ยนตัวเองจน

เป็นสุดยอด สามารถทำได้เหนือกว่า พวกที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากความมุมานะ พวกที่มีฐานะพอจะ
เปลี่ยนตัวเองเป็นยอดคนก็ได้เหยียบย่ำ ความมุ่งมั่นของผู้ที่ไม่มีอะไรเลย จนเกิดเป็นสงคราม และในครั้งนั้นความขัดแย้ง
ที่ก่อตัวรุนแรงขึ้นแม้จะไม่เป็นรูปธรรม เช่นที่มนุษย์เข่นฆ่ากัน ก็ตาม เหล่าผู้พ่ายแพ้ก็ถูก

ทอดทิ้งให้ตายอย่างโดดเดี่ยวและทุกข์ทม    ผลจากครั้งนั้น เทพอสูรดึกดำบรรพ์แห่งปฐพี Behemoth และ เทพอสูรดึกดำบรรพ์แห่งมหาสมุทร Leviathan ได้จุติลงมายังโลก และสร้างมหาวิบัติ ขึ้นไปทั่วทุกหย่อมหญ้า

เมื่อแผ่นดินพังทลาย คลื่นยักษ์ พัดพาเมืองให้จมลงสู่ ท้องสมุทรแม้ ยอดของมนุษย์ทั้งหลายจะ
ได้ปลูกฝังพลังอันมากมายใส่ตัวก็ไม่อาจทานอำนาจของ เทพอสูรได้
ไม่นานอาวุธสงครามที่ไม่ได้รับการพัฒนาจากเวทยาการซึ่งยังหลงเหลืออยู่จากสงครามในประวัติศาสตร์ครั้ง
ก่อนๆก็ถูกงัดออกมาใช้ เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงที่ เทพอสูร เลราเย่ จะจุติลงมา น่าเสียดาย พวกเขาคิดผิด

ไม่ว่าจะนำพลังแห่งมนตรามาใช้หรือไม่หากเกิดสงครามที่ มีการใช้อาวุธกันอย่างรุนแรงเมื่อนั้นเทพอสูร
 เลราเย่ ก็จัก จุติมาลงทัณฑ์ เหล่ามนุษย์ เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังของอสูรเทพ ทั้งสามตน ก็ไร้พลังอำนาจที่จะต่อกร

 ก่อนที่โลกจะต้องพบกับจุดจบ ก็ได้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ได้ลุกขึ้นต่อกรกับอำนาจของเหล่า อสูรเทพ
 จอมทัพแห่งสรวงสวรรค์ เทพอสูรผู้ทรงธรรม ได้รับการวิงวอน จากเหล่าผู้กล้า และจุติลงมายังโลก
เพื่อพิพากษาเหล่า เทพอสูร ที่กระทำการเกินกว่าเหตุ ความวิบัติจึงหยุดลงได้แต่บัดนั้น
พลังของกลุ่มบุคคลที่
ร่วมมือกับเหล่าอสูรอัญเชิญ เพื่อที่จะร้องขอให้ จอมทัพแห่งสรวงสวรรค์ลงมา นั้น
ได้กลายเป็นที่มาของเหล่าผู้ใช้อสูร หรือที่เรียกว่า Summoner และเหล่าผู้กล้านั้นได้ถูกขนาน นามให้เป็น Summoner master …



สวนแสดงสัตว์น้ำ Water Layer จังหวัดระยอง 20.00 น.

หน้าอาคารของสวนแสดง ยานยนต์สีเงินขาว หลายคันได้จอดทิ้งไว้ โดยที่บนหลังคามีกล่อง
ที่สามารถส่องแสงสีแดงฟ้าหมุนสลับไปเรื่อยๆได้อยู่  นี่คือเหตุการณ์เมื่อประมาณ ครึ่งชั่วโมงก่อน
 ตอนนี้ ธนัท และพวก ได้กล่าว
ล่ำลา กันจริงๆเสียที ก่อนที่จะเดินตรงออกไปยังถนนใหญ่ โดยที่มี แอน โบกมือให้ลับหลังอยู่

“ เฮ้อเสียเวลาไปสอบปากคำ ที่ สน. ข้างๆนี่ตั้ง ชั่วโมง แต่ไม่มีใครยอมเชื่อเราเลยว่า พวกนั้นมันหายตัวได้”
ธนัท บ่นด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย  จากการที่ต้องตอบคำถามกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่สอบปากคำพวกเขาถึง
ลักษณะของผู้บุกรุก แม้ว่าพวกเขาจะพูดออกไปตามที่เห็น และยื่นตราประทับ ที่พวกชุดดำนั้นทำตกไว้
ให้แก่ตำรวจ แต่ก็ไม่ได้ความคืบหน้าอะไรขึ้น ไม่มีใครหรือหน่วยงานใดรู้จัก ตราที่ประทับคำว่า
Paradiso da Regola  มาก่อนเลย

“ นี่ เคียว ก่อนเราจะออกไปให้ปากคำ เธอพูดไว้ใช่ ไหมว่า หลักเกณฑ์แห่งสวรรค์  มันคืออะไรกัน   ”
ชุติการ(เรียกย่อๆเป็นชุติ) เอ่ยถามขึ้น ด้วยความสงสัย ถึงเรื่อง เคียว พูดเอาไว้ทันทีที่ได้ยิน คำว่า
 Paladiso da Regola จากตอนที่ แอน ติดต่อเข้ามา

“ อ๋อนั่น น่ะ เหรอที่จริงมันเป็นภาษาอิตาลี ซึ่งถ้าแปลตรงๆตัวแล้วก็คือกฎข้อบังคับของฟ้าสูงน่ะ
แต่ว่าตอนที่ฉันได้ยินน่ะ พอแปลออกมาแล้วมันทำให้นึกถึงเรื่องที่ ประธานเคยพูดไว้ ก่อนที่ รุ่นพี่ ศรี จะหายตัวไป…น่ะ  ”
เคียว กล่าวได้ยังไม่ทันจบก็ต้องละที่เหลือไว้ เพราะ ธนัท  ที่หลบหน้าพวกเขาทันทีที่ กล่าวถึง คนที่ชื่อ ศรี

“ อ..เอ่อ โทษนะ ไม่ได้ตั้งใจหรอกฉันแค่.. ”
เคียว กล่าวได้ยังไม่ทันจบประโยค ธนัท ก็ส่ายหัวเบาๆก่อนจะกล่าว

“ ไม่เป็นไรเรื่องมันก็ตั้ง ครึ่งปี มาแล้วถึงตอนนี้ ทั้งฉัน แม่ แล้วก็พี่ ริน ก็ทำใจได้แล้วล่ะ ”
ธนัท กล่าวเสียงเรียบโดยพยายามหลบหน้าไม่ให้ ทั้งสองเห็น คราบน้ำตาที่ไหลออกมานิดน้อย
เคียว กับ ชุติ ที่เห็นเช่นนั้นจึงเงียบไป และพยายามไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ตลอดทางที่เดินไปจนถึง สถานี
ที่จะซื้อตั๋วเพื่อ วาร์ป กลับกรุงเทพ





……….
……………
สถานี Warp Gate  ระยอง  อ.เมือง

“ วาร์ป ปลายทางที่จะไปกรุงเทพฯ พร้อมจะใช้งานแล้วค่ะ ขอให้ผู้ที่ จะเดินทางกรุณา ยืนรอที่ลานเคลื่อนย้าย
อย่างเป็นระเบียบด้วยค่ะ ”
“ วาร์ป ปลายทางที่จะไปนครสวรรค์ จันทบุรี..  ”

เสียงประกาศที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ ซึ่งคอยแจ้งกำหนดการเคลื่อนย้าย ผ่านกระแสมนตรา
ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาทางการคมนาคม  เพื่อให้มีความสะดวกในการเดินทาง ซึ่งการเดินทางด้วยการ วาร์ป
นั้นเป็นการเดินทางโดยใช้กระแสมนตรา เป็นสื่อนำทางซึ่งช่วยย่นระยะเวลาในการเดินทาง
ให้อย่างมาก เพราะหากคุณจะเดินทางจากกรุงเทพ ไประยอง พวกคุณก็คงต้องนั่งรถกันเป็นชั่วโมงๆไม่ว่าจะ เป็นรถไฟก็ตาม

หากแต่การวาร์ป นั้นต่างกัน เพราะเพียงแค่คุณซื้อตั๋ว เที่ยวที่จะไปและไปยืนรอที่ลาน
 ส่งตัวจนถึงเวลาที่กำหนดเพียงไม่กี่อึดใจคุณก็ถึงที่หมายแล้ว นอกจากการเดินทางข้าม
จังหวัดแล้วยังมี วาร์ป ย่อยสำหรับเดินทางระหว่างเขต ต่างๆของจังหวัดด้วย

“ กรุณาแจ้งสถานที่ปลายทางด้วยค่ะ ”
เสียง ที่ดังขึ้นจากตู้ขายบัตรอัตโนมัติ ซึ่งตั้งเรียงรายติดผนังไปด้วยกันเป็นสาย
ชุติ ซึ่งกำลังเสียบ ธนบัตร ใบละ 20 บาท 3 ใบลงที่ช่องใส่เงิน ของตู้ พร้อมกับรอเสียงคำถามจาก
ตู้ขายบัตร

“ กรุงเทพ เขตบางกอกใหญ่ 3 ใบค่ะ ”
ชุติ กล่าวกับ ตู้ขายบัตรก่อนที่มันจะทำการป้อนข้อมูลตามที่เธอ สั่ง

“ กรุงเทพ เขตบางกอกใหญ่ สามที่ กรุณากดปุ่มยืนยัน ด้วยค่ะ ”
เสียงจากตู้ขายดังขึ้น ก่อนที่ ชุติจะกดนิ้วลงไปบนแป้น ที่ฉายตาราง ปุ่มคำสั่งต่างๆ
ซึ่งประกอบด้วย ยืนยัน ยกเลิก ตรวจสอบรายการ เลือกภาษา  และ ปุ่มตัวเลขกับตัวอักษร
ชุติ กดนิ้วลงไปบนช่องที่เขียนว่ายืนยัน ก่อนที่หน้าจอของเครื่องจะทำการแสดงรายการสินค้ำ
ออกมาและเริ่มทำการจ่าย บัตรกระดาษแข็ง สามใบออกมาจากช่องออกบัตร พร้อมกับ ใบเสร็จ
รายการสิ้นค้ำที่ถูก พิมพ์ออกมาพร้อมสรรพ

“ ขอบคุณที่ใช้บริการ ” 
เสียงตอบรับดังกลับออกมาจากเครื่อง หลังจากที่ ชุติ ดึงบัตรที่ ไหล ออกมาจากช่องออกบัตร กับใบเสร็จ
ที่ช่องออกใบเสร็จ มาเธอก็เดินออกจาก ตู้ฝ่าฝูง ชนที่เดินไปมาข้ามไปยัง
ทางฝั่งตรงข้ามที่เชื่อมไปยังห้อง ผู้โดยสาร ซึ่ง เคียวกับ ธนัท รอ อยู่ก่อนแล้ว
ชุติ ยื่นบัตร ให้ทั้งสองคนก่อนที่พวกเขา จะเข้าไปยังห้อง ผู้โดยสาร

ภายในห้องเป็นโถงทางเดิน ที่มีแท่นลาน ซึ่งยกตัวสูงขึ้นจากพื้น
ที่ลอยอยู่เหนือ แท่นนั้นเป็นป้ายโฮโลแกรม ที่เขียนว่า Warp Base ลอยเคว้งอยู่
ผู้คนในห้องโถง ต่างเดินกันขวักไขว่ เพื่อจะไปประจำแท่นวาร์ป  ทันทีที่พวกเขาทั้งสาม
 เดินขึ้นไปบนแท่นวาร์ป ก็ยกบัตร ขึ้นมาเจาะบริเวณรอยปรุที่อยู่บน บัตร เกิดแสงสีฟ้าขึ้นมาอาบร่าง
ของพวกเขาที่ยืนอยู่บนแท่นก่อนที่จะสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

……..
……..

Warp Gate  สถานี กรุงเทพ  เขต บางกอกใหญ่

ลำแสงสีฟ้าที่พุ่งตัวอย่างรวดเร็วเดินทาง ข้ามจากพื้นที่หนึ่งถึงอีกที่หนึ่ง ในเวลาอันรวดเร็ว และพุ่งทะลุลงมายัง
อาคารที่เป็นสถานี วาร์ป และลงตรงจุดแท่นส่งของ สถานี กรุงเทพฯ ก่อนที่แสงจะจางหายไปพร้อมกับร่างของ ทั้งสามที่ปรากฏตัวขึ้น และบัตรที่สูญสลายหายไป สภาพของสถานี เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ผู้คนที่มาใช้ วาร์ป มีกันพลุกพล่าน ดังนั้นจึงเกิดแสง เคลื่อนย้ายแวบไปๆมาๆแทบจะตลอด
ตู้ขายบัตรก็มีผู้คนเรียงคิวกันยาว เหยียด ทั้งสามเดินลัดเลาะผู้คนที่เดินสวนกันไปมาตลอดทางจนออกมาหน้าสถานี ได้สำเร็จ

“ งั้นเราแยกกันตรงนี้ เลยละกันนะ ”
ธนัท กล่าว

“ อ้าวไม่กลับด้วยกันเหรอ ”
ชุติ กล่าวถามด้วยความสงสัยทั้งที่ทางกลับบ้านของ ธนัท ก็ไปทางเดียวกับพวกเธออยู่แล้ว

“ คือฉันว่าจะแวะไปโรงเรียนหน่อยน่ะ รู้สึกก่อนจะไปบ้าน แอน ฉันลืม ล็อกกุญแจ ห้องชมรมไว้น่ะ
เพราะพวก ปีหนึ่งที่มาซ้อมน่าจะกลับกันหมดแล้วล่ะ งั้นฉันไปนะ แล้วเจอกัน ”
ธนัท กล่าวจบก็วิ่งหายลับไปจากสายตาของทั้งสองทันที

“ ธนัท ยังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่สินะ ”
เคียว เปรยเสียงเรียบ ขณะที่สายตายังคงจ้องไปยังทางที่ ธนัท วิ่งหายไป

“ มันก็แน่สิ ตอนแรกพวกเรายังคิดเลยว่า รุ่นพี่จะต้องยังมีชีวิตอยู่ แต่จนถึงตอนนี้ฉันก็เริ่มเชื่อแล้วล่ะว่าบางที พี่ศรี  อาจจะตายไปแล้วจริงๆก็ได้นี่ แล้ว ธนัท ที่เป็นน้องของ พี่ศรีน่ะจะเสียใจขนาดไหนกัน  ”
ชุติ ตะคอกอย่างหัวเสียที่ เคียว ยังพูดได้เหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย

“ ไม่หรอกที่จริงเรื่องนี้ฉันเองก็ลืมมันไปแล้ว แต่ว่าหลังจากที่ ได้เจอ ภูเขา ในวันนั้นมันทำให้ฉันนึกถึงขึ้นมาน่ะ
ถึงเรื่องที่ ประธาน พูด กับ พี่ศรี เมื่อ ครึ่งปีก่อนจะหายตัวไป แบบนี้ ”
เคียว กล่าวเสียงเรียบ เนื้อความในประโยคทำให้ ชุติเริ่มสงสัยว่า เคียวพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่

“ แล้วตอนนั้น ประธานพูดกับ พี่ศรีว่ายังไงเหรอ ”
ชุติ กล่าวคิ้วขมวด น้ำเสียงเคร่งเครียดขึ้นมา

“ ไม่ไหว..ไม่ว่าจะนึกยังไงฉันก็จำไม่ได้ ว่า ประธานพูดอะไรกับพี่ศรี ไว้ ”
เคียว กล่าวพลางถอนหายใจ ก่อนที่คำพูดของเขาจะทำให้ ชุติ ต้องเซถลา ไปกับการที่
คำตอบนั้นไม่ได้ออกมาตรงประเด็นกับที่เธอคิดว่าน่าจะเป็น

“ ได้ไงกันเคียว ทีเรื่องสำคัญอย่างนี้ถึงนึกไม่ออกล่ะ ”
ชุติ ตวาดอย่างเสียอารมณ์ ใส่เคียวที่ทำให้เธอ หวังเก้อ ไปเปล่าๆปลี้ๆ

“ เอาเป็นว่า ไว้ค่อยไปถามประธานพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะ ”
เคียว กล่าวเสียงหงอย ทันทีเพื่อที่จะให้ ชุติ ใจเย็นลง
แต่ก็ยังไม่วายจะโดนต่อว่า ไปตลอดทางที่กลับบ้าน
………………
…………………….
………………………


โรงเรียน มนต์วิทยา

บริเวณใต้อาคารที่ 4  ลานด้านหน้า ประตูห้องของชมรมต่างๆ นั้นมีโต๊ะหินอ่อนและเก้าอี้หินอ่อน
วางเรียงรายเพื่อสำหรับเป็นสถานที่พักผ่อนของนักเรียน ประตูกระจกของห้องชมรมห้องหนึ่งซึ่งเปิดอ้าอยู่
จากบรรดาประตู ห้องที่เรียงรายเป็นทางจนสุดตัวอาคาร แสงไฟจากห้องชมรมเพียงห้องเดียว
ที่ยังสว่างอยู่ได้ส่องผ่านประตูที่เปิดอยู่ออกมา ก่อนที่ แสงจะดับลงพร้อม กับเด็กหนุ่ม
 คนหนึ่งเดินออกมาจาก ห้องก่อนจะปิดบานประตูเข้าไป และชัก กุญแจที่มือ ไขลงไปในช่องกุญแจ
 ของประตูก่อนจะบิดมัน

กริ๊ก !

เสียงดังขึ้นก่อนที่เด็กคนนั้นจะชัก กุญแจ่ออกจากช่องและลองผลักมันดูเพื่อให้แน่ใจว่า ปิดสนิท ก่อนจะเก็บกุญแจ ลงกระเป๋ากางเกงไป

“ ธนัท จากนี้ไปต้องยืนหยัดด้วยตัวเองนะ เพราะพี่ไม่อาจจะอยู่เคียงข้างนายได้ตลอดไปหรอก ”
“ เมื่อไรจะยอมเข้าใจซักที หมอนั่นน่ะมันตายไปแล้ว ”
“ พี่ศรี ตายแล้วจริงๆเหรอฮะพี่ ริน ”
“ ไม่รู้สิ ตอนนี้พี่ไม่รู้ว่าอะไรจริงไม่จริงแล้ว....ฮึก ”

เสียงที่แวบขึ้นมาในหัว ทำให้เด็กหนุ่มต้องชะงัก ก่อนที่จะก้าวเท้าออกไป
สายตาที่ดูเหงาหงอยของ เด็กหนุ่มได้ทอดยาวออกไป ยังถนนในโรงเรียน ก่อนที่
ภาพในอดีตจะลอยขึ้นมาในหัว ภาพของเด็กชายที่กำลังเดินพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน กับ พี่ชาย และพี่สาว
ของตนไปตามถนนที่อยู่ข้างหน้าเขานี้

/idiot, be off with  absent-minded /(เจ้างั่ง,เลิกเหม่อซะที)
เสียงทุ้มต่ำแบบเสียงเครื่องจักรดังขึ้น ก่อนที่เด็กหนุ่มจะคลายจาก ภวังค์

“ อ..โทษที คอรัส พอเจอกับเรื่องวันนี้เข้าเลยทำให้นึกถึงเรื่องไม่อยาก
นึกขึ้นมาซะได้..ช่างเถอะรีบกลับกันดีกว่า ดึกมากแล้วด้วย ”
/yeah/(อืม)
ธนัท กล่าวละล่ำละลัก เมื่อรู้ว่า note ของเขาเป็นห่วง และแม้ตัว คอรัส เอง อยากจะซักถามต่อแต่ก็
เกรงใจเขาจึงตอบเออ ออ ตามไป
ธนัท เดินตัดสนามตรงไปยังทางออกของโรงเรียนโดย
ที่ในใจ ก็พยายามจะไม่คิดถึงเรื่องนั้นอีก
ลมกลางคืนที่พัดมากระทบกับผิวของเขาทำ ให้เขารู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว จนเขาถึงกับต้องกอดแขนทั้งสองข้าง
เอาไว้  เสียงใบไม้ที่ลู่ไปตามลม ดังระรัวมาจากขอบสนามแต่ละฝั่ง ผนวกกับบรรยากาศที่ อึมครึม อยู่แล้วทำให้

ธนัท อยากที่จะออกไปให้เร็วที่สุด เขาเร่งฝีเท้าก้าวให้ถี่ขึ้นเรื่อยๆจนเมื่อพ้นสนามออกมาและ
กำลังจะออกจากรั้วประตูโรงเรียน  ก็ได้มีเงาของอะไรบางอย่างพุ่งทะยานไปบนฟ้าขึ้นไปยังบนอาคาร
 ถึง3เงาด้วยกัน ทว่าด้วยความกลัวทำให้ ธนัท ไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไป

ทันทีที่ ออกมาพ้นนอก รั้วโรงเรียนได้ แสงจากไฟ จากร้านค้าที่สาดส่องมาก็พอทำให้เขา อุ่นใจขึ้นมา
ก่อนจะเดินทางต่อ เมื่อเดินมาจนถึงตรอกตัน แห่งหนึ่ง แสงไม่สามารถฉายเข้ามา
ถึงภายในตรอกได้แต่ก็พอจะมองเห็นได้ลางๆบ้างว่าภายใน ตรอกมีอะไร อยู่บ้าง

โครม ตึง เคร้งงงง

 ธนัท ที่เดิน ผ่านหน้าทางเข้าตรอกนั้น
ต้องชะงักฝีเท้าไปเมื่อได้ยินเสียงโครมครามดังออกมาจากตรอก นั้นถังขยะขนาดใหญ่ที่ตั้งติด
ผนังตึกที่สุด ตรอกนั้น ล้มเทกระจัดกระจาย กลิ่นขยะที่ไหลออกมาชวนให้เขาอยากจะอาเจียน
 เพราะมันเหม็นจนแสบจมูก

ทว่าสิ่งที่ เขาสนใจนั้นไม่ใช่กองขยะที่ เกลื่อนกระจายบนพื้น หากแต่เป็น ดวงตาสีเหลืองที่ฉายอยู่ในความมืด
ซึ่งกำลังจ้องมาที่เขา  กว่าที่จะทันรู้สึก ตัวก็มีอะไรบางอย่างที่คมกริบ พุ่งเฉี่ยวแก้มขวา ของเขาจนฉีก

โลหิตสีแดงสดค่อยๆไหลออกมาจากปากแผลที่ที่บาดเป็นทาง ยังไม่ทันที่
ธนัท จะได้โอดครวญ หรือ คิดสิ่งใด  ร่างของเขาก็ถูกอะไรบางอย่างชนกระแทกจนล้มลง
 พร้อมกับที่ สิ่งที่คมกริบเหมือนตอนแรกจะพุ่งทะยาน ตรงมาอีกทว่าเพราะเขาล้มลงทำให้ สิ่งนั้นพุ่งเลยผ่านไป

“ ชิ หนีไปแล้วงั้นเรอะ ”
สิ่งที่เข้ามาชนเพื่อช่วยเขาเอาไส้นั้นคือเด็กหนุ่มอีกคน เด็กหนุ่มคนนั้นสบถ ด้วยความเจ็บแค้นก่อนจะ
หันมามองหน้า เขาเพื่อดูว่าเขายังอยู่ดีรึไม่ ธนัท ที่ได้แต่นั่งมองหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยความสับสน
ก่อนที่ความรู้สึกเจ็บจะแผ่ซ่านไปทั่ว จากบาดแผลที่ใบหน้า เขาเอามือขึ้นกุมปากแผลไว้
ก่อนจะกัดฟันทนด้วยความเจ็บแสบ

“ แผลแค่นั้นไม่ถึงตายหรอก ตอนนี้ฉันไม่ว่างจะมาเสวนากับนายแล้ว ขอตัวล่ะ ”
เด็กหนุ่มคนนั้นกล่าวจบ ก็ออกวิ่งตามเจ้าสิ่งที่ทำร้าย ธนัท ไปทิ้งให้เขานั่งกุมแผลด้วยความเจ็บแสบ
ก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับบ้านโดย เก็บเอาเรื่องที่เกิดขึ้นมาขบคิดตลอดทาง


............
.................

เช้าวันต่อมา

“ หน้าไปโดนอะไรมา น่ะ ”
ชุติ กล่าวถามด้วยความสงสัย ที่เห็น พลาสเตอร์ยา ติดอยู่ที่แก้มของเขา ขณะที่ ธนัท
ซึ่งถูกถามคำถามเดียวกันนี้จากหลายๆคนก่อนเข้ามาที่ห้องเรียน ก็ หน้ามุ่ย คิ้วขมวด
ด้วยความรำคาญ นอกจากนี้ เคียว กับแอน
เองก็ยังมามุงจ้องหน้าเขาด้วยความสนใจเช่นกัน

“ เมื่อคืนตอนที่มาปิดห้องชมรม ที่โรงเรียนขากลับโดนตัวอะไรก็ไม่รู้มันขว้าง อะไรคมๆมาเฉี่ยวใส่เนี่ยแหล่ะ
เล่นเอาเจ็บแทบแย่ ”
ธนัท สบถ ด้วยความหงุดหงิด แต่ในใจเค้าก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า หากเมื่อคืน เด็กหนุ่มคนนั้นไม่มาช่วยเขาไว้
ป่านนี้เค้าคงไม่ได้มานั่งอยู่ในห้องเรียนเป็นแน่

“ หรือว่าที่ทำร้าย ธนัท จะเป็นไอ้นั่นที่เขากำลังพูดถึงกันมาก หน่า ”
สำเนียงเหน่อๆของ แอน ขึ้นได้ยังไม่ทันจะขาดคำ ที่กลุ่มเด็กหญิง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มของเขานัก
ก็กำลังจับกลุ่มคุยกันดังซะจนได้ยินมาถึงพวกเขา

“ นี่รู้ไหม ตอนนี้เขาลือกันให้ทั่วแล้วนะ ว่าตอนกลางคืนที่โรงเรียนเรา มีผี ดูดเลือดออกอาละวาดน่ะ ”
“ เห็นเมื่อคืน พวกนักเรียนที่ ชมรม โอตาคุ โดนดูดเลือดด้วยล่ะ ”
“ ว้ายน่ากลัวจังเลย...อย่างนี้ก็อยู่ดึกไม่ได้น่ะสิ ต้องรีบกลับบ้านแต่เย็นเลย ”

เสียงพูดคุยที่ดังออกมาจากกลุ่มเด็กหญิง ดึงความสนใจให้แก่พวก ธนัท ได้ไม่นานทุกคนก็ต้อง
 ถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นพร้อมกันเป็นเสียงเดียว

“ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก แอน นั่นมันก็แค่ข่าวลือ ”
ทุกคนในกลุ่มนอกจากแอน กล่าวขึ้นด้วยท่าทีเหนื่อยใจ ทว่า แอน ก็โบกมือสั่นหัวไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ

“ ม่ายช่าย ที่แอนว่าน่ะไม่ได้หมายถึง ผีดูดเลือด แต่หมายถึง werewolf  ต่างหาก ล่า ”
แอน กล่าวจบ ธนัท ก็ถึงกับคอตกที่ดูว่าเรื่องที่ แอนพูดมันไม่ได้ห่างออกจากเรื่องเมื่อครู่เลยสักนิด

“ ไม่แน่หรอกนะเพราะที่ๆนายโดนทำร้ายมามัน เป็นตรอกด้านหลังโรงเรียนเราใช่ไหม ”
เคียว กล่าวเสียงขรึม ขึ้นมาในทันที ซึ่งชุติ เองก็พลอยตีสีหน้าจริงจังไป เขาด้วย


“ รู้สึกว่าจะมีคนเคยเห็นมนุษย์หมาป่า แถวๆตรอกซอย ด้านหลังโรงเรียนเราด้วยล่ะ ”
ชุติ กล่าวขณะที่ นึกถึงคำบอกเล่าที่ฟังกันมาเป็นทอดๆ อีกที

“ แล้ว ไอ้ข่าวลือที่ว่าเนี่ยมันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะทำไม ฉันไม่เคยได้ยินเลย ”
ธนัท กล่าวขึ้นเพราะเริ่มที่จะสนใจขึ้นมา

“ ประมาณสัปดาห์ที่แล้วเอง ”
เคียว กล่าวจบ อาจารย์บุษบารี ก็ก้าวเข้ามาในห้อง ทำให้พวกเขาต้องหยุดสนทนาและกลับไปนั่งประจำที่
เช่นเดียวกับทุกคน

“ ทั้งหมดตรงทำความเคารพอาจารย์ผู้สอน ”
นักเรียนหญิงที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าห้อง กล่าวจบทุกคนก็ลุกขึ้นยืนตรงก่อนจะพนมมือไหว้
เพื่อทำการแสดงความเคารพต่อผู้สอน

“ สวัสดีครับ/ค่ะ คุณครู ”
เสียงสวัสดีต้อนรับจากนักเรียนทุกคนดังขึ้น ก่อนที่ อาจารย์บุษบารี จะรับไหว้ ทุกคนจึง
นั่งลง

“ นักเรียนทุกคนวันนี้ห้องเราจะมีเพื่อนใหม่ย้ายเข้ามานะจ้ะ เขามีเชื้อชาติเดียวกับ วัชรพงศ์ เลยนะจ้ะ ”
อาจารย์สาวกล่าวจบ สายตาของทุกคนในห้องก็จ้องมาที่ เคียว กันทางเดียว

“ เชื้อชาติเดียวกับ เคียว งั้นก็คนญี่ปุ่น น่ะสิ ”
ชุติ คิด ขณะที่เสียงจอแจ ของนักเรียนเริ่มจะดังขึ้น จนอาจารย์สาวต้อง ตมมือเสียงดังเพื่อให้นักเรียนหยุด

“ เอาล่ะ เข้ามาเลยจ้ะ ”
อาจารย์สาว กล่าวจบ นักเรียนใหม่ก็เดินเข้ามา ในห้อง เขามีผมสีดำยาวปรกหู สวมเครื่องแบบ นักเรียนเช่นเดียวกับทุกคนในห้อง

[หมายเหตุในยุคอนาคตนี้ โรงเรียนไม่เข้มงวดเรื่องทรงผมแล้ว แต่ยังคงต้องแต่งเครื่องแบบ
เหมือนเดิม ถือว่าพัฒนาขึ้นมากจากเมื่อ 200 ปีก่อนทำไมโรงเรียนเราไม่มีแบบนี้มั่งน้า]


« Last Edit: December 28, 2008, 08:12:11 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #38 on: December 28, 2008, 07:53:35 PM »

“ เขาชื่อ เซนาคาว่า โคทาโร่ แม่เขาเป็นคนญี่ปุ่น น่ะฝากพวกเรา ดูแลเขาด้วยก็แล้วกันนะ ”
อาจารย์สาวกล่าว ขณะที่นักเรียนใหม่เดินเข้ามายืนข้างๆ

“ คือ..ชื่อผมถ้าอ่านแบบนั้นมันจะเป็นการอ่านแบบญี่ปุ่นนะครับ ต้องโคทาโร่ เซนาคาว่า สิครับอาจารย์ ”
เด็กหนุ่ม แย้งขึ้น ทำให้ อาจารย์สาวสะดุ้งเล็กน้อยที่ตัวเองเผลอ เรียกชื่อเขาตามที่ได้ยินมาตอนส่งตัวนักเรียน



“ Melodion ช่วยเปิดรายชื่อนักเรียนให้ทีสิ ”
/Yes Sir/(รับทราบ)
อาจารย์สาวกล่าวจบ Note ของเธอก็ตอบกลับพร้อมกับฉายจอโฮโลแกรม ซึ่งมีรายชื่อนักเรียนเขียนไว้
อาจารย์สาว ไล่สายตาดูรายชื่อชื่อลงมาเรื่อยๆก่อนจะหยุดที่ชื่อนักเรียนที่มาใหม่ ซึ่งเขียนแบบไทย
เป็น โคทาโร่ เซนาคาว่า ทำเอาอาจารย์สาวหน้าแดงด้วยความละอาย


“ เอ่อ..อาจารย์ขอโทษนะพอดีไม่ได้เช็ค รายชื่อ ถือว่าเราเข้าใจกันแล้วล่ะนะงั้น ที่นั่งเธอก็เอ...ไปนั่งข้างๆธนัท ก็แล้วกัน ”
อาจารย์สาวกล่าว จบก็ชี้ไปยังที่นั่งซึ่งยังว่างอยู่ ข้างๆธนัท

“ อ้าวเฮ้ย มีโต๊ะมาต่อตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ”
ธนัท คิด เมื่อพึ่งจะรู้สึกตัวว่า โต๊ะที่เขาเคยนั่งเดี่ยวมาตลอดพึ่งจะมีโต๊ะมาต่อเสริม อีกตัว
โดยที่เขาไม่ได้สังเกต ตอนที่เข้ามาเมื่อเช้า  ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไร โคทาโร่ ก็เดินเข้ามานั่ง ที่นั่งข้างๆด้วยแล้ว

“ ฝากตัวด้วยนะ ฉันโคทาโร่ ”
/I’m Maracas/ (กระผม มาราคัส)
โคทาโร่แนะนำตัวจบ Note ที่ห้อยคอของโคทาโร่ ก็ส่งเสียงแนะนำตัวด้วยเช่นกัน

“ อ..อืม ฉัน ธนัทธาทิเวศ ส่วนนี่ คอรัส ”
/Welcome , I’m Chorus/(ยินดีต้อนรับ , ฉัน คอรัส)
ธนัท กล่าวจบ คอรัส ก็ส่งเสียงทักทายกับเพื่อนใหม่ ทว่าทันทีที่ ธนัทได้เห็นหน้าของ โคทาโร่ แบบใกล้ๆ
ก็รู้สึกคุ้นๆว่าเคยเจอกันมาก่อนที่ไหนสักแห่ง

แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะคิดว่าตนคงคิดไปเอง จนการสอนเริ่มขึ้น ไปได้ซักพัก

“ เมื่อคืนทำไมนายถึงไปอยู่ตรงนั้น ”
โคทาโร่ กล่าวเสียงเรียบ ขึ้นมาโดยที่สายตายังคงจ้องไปที่กระดาน
คำถามของเขา ทำให้ ธนัท หันมามองด้วยความสงสัย

“ บอกไว้ก่อนเลยนะ ถ้าเมื่อคืนฉันไม่ช่วยเอาไว้ล่ะก็ ป่านนี้นายได้นั่งเรียนบนสวรรรรค์แล้ว
เพราะงั้นนายรู้เรื่องอะไร เกี่ยวกับเจ้านั่นบ้างบอกมาให้หมด ”
โคทาโร่ กล่าวทว่าสายตาก็ยังคงจับจ้องการเคลื่อนไหวของอาจารย์ ที่หน้าห้องอยู่

“ ม..เมื่อคืน หะ..นี่รึว่านายคือ ”
ธนัท อุทาน บัดนี้เขารู้แล้วว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้พบ หน้ากับโคทาโร่
นั้นเพราะคนที่ช่วยเขาไว้เมื่อคืนก็คือ โคทาโร่น่ะเอง

“ นี่นายคือ คนที่ช่วยฉันไว้เมื่อคืนงั้นเหรอ ”
“ ชู่ว อย่าหันมาสิ อาจารย์มองมาทางนี้แล้ว ”
ธนัท กล่าวยังไม่ทันขาดคำ ก็ถูก โคทาโร่ สั่งให้หันกลับไปเพราะอาจารย์ กำลังหันมา
จนเมื่ออาจารย์หันกลับไปแล้ว พวกเขาจึงเริ่มสนทนาต่อ

“ นายเป็นใครกันแน่ ”
ธนัท กล่าวถามด้วยความสงสัย

“ เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับนาย..หลังเลิกเรียน เราจะถก กันเรื่องนี้อีกที ”
โคทาโร่ กล่าวตัดบทจบก็ไม่ กล่าวอะไรต่ออีกเลย ทิ้งให้ ธนัท ต้องเก็บคำถามที่เขาต้องการจะรู้คำตอบ เอาไว้ถามตัวเองแทน

.................
......................

14.45 น. เลิกเรียนของวันนี้

ธนัท กับ โคทาโร่ เดินออกจากห้องไปด้วยกัน สร้างความประหลาดใจให้แก่พวก ชุติ มาก ที่ ธนัท ออกไปโดยไม่รอพวกเขา

“ สองคนนั่นสนิทกันไวจัง ดูสิ ถึงขนาดลืมพวกเราเลย ”
ชุติ บ่นเสียงอุบอิบ ด้วยความไม่พอใจกับการกระทำของ ธนัท

“ สนิทกันจริงๆน่ะเหรอ... ”
เคียว เปรยขึ้นมา ทำให้ แอน กับ ชุติ เอียงคอด้วยความสงสัย ที่ เคียว กล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับสงสัย ในความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้น

“ ทำไมล่า แอน ก็ว่าเขาสองคนดูจะสนิทกันดีออก ดูสิ ขนาดตอนพักกลางวันยังแอบหนีพวกเราไปหา โคทาโร่ เลย ”
แอน กล่าวโดยอ้างจากเหตุการณ์เมื่อตอนพักกลางวัน ที่ ธนัท ขอแยกตัวออกไป จนพวกเขาอดใจสะกดรอยตามไปไม่ไหว จึงรู้ว่า ธนัท แอบ ไปพบ โคทาโร่

“ ก่อนที่ ธนัท จะออกจากห้องไป ดูเหมือนเขารีบๆแล้วก็ลนลานๆ ด้วยเหมือนไม่เต็มใจจะไป แถมยังคอยกันท่าไม่ให้พวกเราตามไปอีก เหมือนกับว่ามีความลับอะไรบางอย่าง ”
เคียว พิเคราะห์จากท่าทีของ ธนัท ที่เปลี่ยนไป ทว่าสองสาว นั้นดูจะเข้าใจผิดในประเด็นไป เพราะพวกเธอ
ถึงกับ นัยน์ตาเบิกกว้าง

“ นี่รึว่า ธนัท กับ โคทาโร่คุง จะไป.... ”
สองสาว อุทานขึ้นพร้อมกันด้วยความเข้าใจผิด

“ นี่พวกเธอ คิดไปถึงไหนกันเนี่ย เดี๋ยวก็ไม่ผ่านเซ็นเซอร์หรอก ” (เวรเขียนไปเขียนมา งง ซะเองทำไมมันวาย งี้)
เคียว ต้องตะคอกเพื่อให้สองสาวหยุดคิดก่อนจะถลำลึกลงไปกว่านี้
โดยไม่รู้ว่า การสนทนาของพวกเขา ถูกเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล ดักฟังอยู่ ก่อนจะผละแยกออกมา

“ ติดต่อประธานให้ทีสิ Recorder ”
/Signorsi/(I:รับทราบ)
เด็กหนุ่มที่แอบฟังการสนทนากล่าวกับ Note ของตนก่อนที่จะติดต่อกับใครบางคน



...................
...........................

มุมสุดของระเบียงทางเดิน บริเวณ ชั้น3 อาคารที่ 2

“ เอาล่ะทีนี้จะบอกได้รึยัง นายเป็นใครกันแล้วต้องการอะไรกันแน่ ”
ธนัท กล่าวน้ำเสียงเคร่งเครียด

“ ฉันไม่มีความจำเป็นต้องตอบคำถามนาย แต่จะบอกให้ก็ได้ถ้านาย ยอมบอกมาก่อนว่าเจ้าตัวเมื่อคืนเกี่ยว
ข้องอะไรกับนายบ้าง   ”
โคทาโร่ กล่าวย้อนทำให้ ธนัท ต้องกัดฟันด้วยความหงุดหงิด

“ เมื่อตอนกลางวัน ฉันบอกไปแล้วไงว่า ฉันแค่บังเอิญไปอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ”
ธนัท ตะคอกใส่ อย่างแรง

“ ไม่จริงน่า แค่บังเอิญเหรอ...ไม่งั้นแล้วทำไม เจ้าตัวเมื่อคืนมันถึงได้ทำร้ายนายซะล่ะ ”
โคทาโร่ กล่าวย้อนเสียงอีกครั้งเพื่อที่จะยั่วให้เขาโกรธจนพูดความจริงออกมา
ทว่าที่ ธนัท พูดมานั้นก็ไม่ได้มีอะไรแอบแฝงไว้อีกแล้ว ดังนั้นการเจรจาจึงไม่มีความคืบหน้าขึ้นเลย

“ ก็จะไปรู้เรอะแล้วทำไมนายถึงต้องมาตามตอแยฉัน เพื่อถามเอาข้อมูลของเจ้านั่นด้วยล่ะ ”
ธนัท ตะคอกใส่อีกครั้ง

“ ไม่ยอมบอกจริงๆเหรอเนี่ย ช่วยไม่ได้แฮะ ”
สิ้นคำ พลาสเตอร์ยา ที่แปะหน้าของ ธนัท อยู่ก็ถูกปัด ออกอย่างแรง ทุกอย่างเร็วจนมองตามไม่ทัน
ไม่ทันไร เมื่อรู้สึกตัวอีกที กำแพงที่อยู่ด้านหลัง ก็ถูกมือของ อีกฝ่ายทิ่มทะลุเข้าไปในผนัง

 โดยที่ซอกผนังที่ทะลุนั้น มี เศษ พลาสเตอร์ที่ขาดกระจุยติดอยู่  ปากแผลที่ปิดสนิทไปตั้งแต่เมื่อคืนวาน ตอนนี้ก็เปิดออก จากการที่ถูกเฉี่ยว จนเลือดไหลอาบออกมาอีกครั้ง แม้อยากจะหนีแต่ตอนนี้ทั้งร่างก็ไม่อาจขยับได้
กล้ามเนื้อทุกส่วนเกร็งไปหมด

“ ในเมื่อพูดดีๆแล้วไม่ยอมบอกกัน ก็ต้องเล่นแรงหน่อยล่ะ..ทีนี้พูดมาไม่งั้น อีกทีไม่ใช่แค่เฉี่ยวแน่ ”
โคทาโร่ กล่าวกรรโชก ใส่ขณะที่หูเยี่ยง สุนัขป่าได้โผล่พ้นเส้นผม ขึ้นมา ทันทีที่ถอนมือจากกำแพง
 ก็เผยให้เห็นเล็บที่ยื่นยาวออกมาเล็กน้อยราวกับกรงเล็บของสัตว์ป่า

“ น..นายไม่ใช่คนเหรอเนี่ย ”
ธนัท กล่าวเสียงสั่น ด้วยความตื่นตกใจกับสถานการณ์ในตอนนี้

“ เออสิ ฉันเป็นพวก DNA-Changer  ”
โคทาโร่ กล่าวขณะที่สายตาซึ่งคมประดุงสัตว์ป่าที่กำลังจะล่าเหยื่อ จับจ้องมาที่ ธนัท

/Calling/
คอรัส ส่งเสียงขึ้นก่อนจะทำการต่อสายไปยัง Note ของคนอื่นๆเพื่อขอความช่วยเหลือทว่า
ก็ไม่สามารถติดต่อได้

“ เป็น Note ที่รักเจ้านายซะจริงนะ แต่เสียใจด้วย เพราะ มาราคัส ของฉันจัดการบล็อก สัญญาณของพวกนายเอาไว้แล้ว ในที่ๆลับตาคนแบบนี้ นายหมดสิทธิ์ขอตัวช่วยซะแล้ว เอาล่ะทีนี้จะบอกหรือตาย  ”
โคทาโร่ กล่าวจบก็ ยกกรงเล็บขึ้นมาจ่อคอของ เขาไว้

“ ก็ฉันบอกไปแล้วนี่ว่าไม่รู้ ตอนนั้นฉันแค่เดินผ่านไปแถวนั้นเองไม่ได้มีอะไรมากกว่านี้แล้ว ”
ธนัท กล่าวโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะเชื่อคำพูดของเขาขึ้นมาบ้างสักที ก่อนที่เขาจะถูก แทงทะลุเป็นรูโหว่ด้วยกรงเล็บของ อีกฝ่าย

“ จะตายแล้วยังปากแข็งอีกนะ งั้นตัดแขน ซักข้างแล้วคงจะช่วยได้บ้าง ”
โคทาโร่ กล่าวจบก็ตวัดกรงเล็บ ลงในทันทีหมายจะตัดแขน ของ ธนัท ให้ขาดสะบั้นไปเลยทีเดียว

เคร้งงงงงง!

เสียงกรงเล็บกระทบกับอะไรบางอย่างที่เป็นเหมือนโลหะดังขึ้น ก่อนที่กรงเล็บจะตวัดลงมาถึงตัวของ ธนัท
แท่งโลหะยาวประมาณ ไม้บรรทัด ถูกยื่นเข้ามาขวางกรงเล็บเอาไว้

“ แก..มาได้ยังไง.. ”
โคทาโร่ กล่าวได้ยังไม่ทันจบ ก็ต้องยกกรงเล็บอีกข้างขึ้นมารับ พลองเหล็กอีกอันที่ ตวัดขึ้นมาเพื่อจะฟาดหัวของเขา ซึ่งเจ้าของโลหะทั้งสองก็คือ เด็กหนุ่มที่แอบฟังการสนทนาของ พวก เคียว น่ะเอง
ไม่นานนัก โคทาโร่ก็ต้อง ผละออกมาเพราะเด็กหนุ่มคนนั้น หมุนตัวเพื่อจะควงพลองคู่ ในมือ
ฟาดใส่

“ เรา คงจะให้นายทำอะไรเขา ไปมากกว่านี้ไม่ได้หรอกนะครับ ”
เด็กหนุ่มผู้มาใหม่กล่าว ขณะที่ควงพลองในมือทั้งสองข้างไปด้วย

“ อ..อิสรพงศ์ ”
ธนัท กล่าวเสียงตะกุกตะกัก ขณะที่ ทรุดตัวลงนั่ง ด้วยเพราะขานั้นอ่อนแรงจากการ เจอเรื่องชวนหวาดเสียว
จนล้าไปหมดทันทีที่ ทั้งร่างหายจากอาการเกร็ง  ทว่าได้พักใจไม่ทันไร โคทาโร่ ก็บุกเข้ามาอีก ทว่าคราวนี้พลอง
ของ อิสรพงศ์ ก็รับเอาไว้ได้

“ แหมไม่ต้องเรียกชื่อเต็มก็ได้ เจอเข้าไปทีถึงกับผวาจนไม่มีสติเลยเหรอครับ ถ้ายังไงเรียกผม อิส เฉยๆเหมือนเมื่อก่อนน่ะ แหล่ะดีแล้วครับ ”
อิส กล่าวจบก็ตวัดพลองในมือ เพื่อสลัด อีกฝ่ายให้หลุด ก่อนจะหันหัวพลองลง และประกบด้ามของทั้งสองอันเข้าด้วยกัน ที่ปลายด้ามจับนั้น มีช่องล็อค พลองทั้งสองเข้าด้วยกันทันทีที่บิดพลอง  พลองทั้งสองท่อน ก็เชื่อมติดกันเป็นกระบองยาว ก่อนที่ อิส จะควงมันอย่างรวดเร็ว และพุ่ง เข้าไปฟาดอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
โดย ที่โคทาโร่ ไม่อาจตามได้ทัน และทันทีที่เปิดช่อง ก็ถูกพลอง ของ อิส กด จนติดผนังกำแพง

“ อึก..นี่แกก็เป็นพวกเดียวกับมันด้วยงั้นเรอะ ”
โคทาโร่ กล่าวขณะที่พยายาม ดัน พลองที่กด หน้าอกและแขนของเขา เอาไว้ออก

“ เรียกว่าพวกก็คงไม่ถูกนัก เราแค่รับคำสั่งจาก ประธานให้มาพา นายกับ ธนัท ไปพบ
ถ้ายังไงช่วยตามไปแต่โดยดีด้วยนะครับ ทั้ง ธนัท ก็ด้วย ”
อิส กล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะ ยกพลองออกและปลดมันกลับเป็นสองท่อนและ
พับเก็บใส่กระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง ก่อนจะออกเดินนำทั้งสอง คนลงไปยังชั้นล่าง

....................
..........................

“ นี่ อิส ทำไม.. ”
ธนัท ถามขึ้นยังไม่ทันจะจบประโยค อิส ก็ตอบขึ้นมาทันควันราวกับรู้ว่าเขาจะถามสิ่งใด

“ ไม่ต้องสนใจหรอกมันเป็นเรื่องธรรมดา ครับ เพราะ เรา กับ พี่ ฟรานซิสก้า เป็นคู่สัญญาของ ประธาน
ดังนั้นจึงต้องมีวิชาไว้ป้องกันตัวด้วย เพื่อปกป้องประธานจากเหตุการณ์แบบที่ นายเจอไง..แต่ก็ไม่ได้เจอบ่อยๆนักหรอกนะ ”
อิส กล่าวพลางชายตา มองไปที่ โคทาโร่ เดินตามมาโดยไม่เต็มใจนัก

“ กับรุ่นพี่ ฟรานซิสก้า ก็พอจะรู้อยู่หรอก แต่นี่กระทั่งเจ้าอิส ก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอ ทั้งที่ภายนอกก็ยังดูเป็น คนเรื่อยเปื่อย ไม่เอาไหนเหมือนเดิมแท้ๆ ที่จริง แอน กับ ชุติ เองตอนเข้าชมรม ก็ทำสัญญากับ ประธานนี่นะ นอกจากนี้ สมาชิกหญิงคนอื่นๆก็ทำสัญญากับ ประธานทั้งนั้น แต่ดูๆไปแล้ว นอกจาก รุ่นพี่ ฟรานซิสก้า กับ อิส ก็ ไม่มีใครที่ประธานเลือกให้ติดตาม อยู่เกือบตลอดเวลาเลยนอกจาก 2 คนนี้ ”
ธนัท คิดระหว่างที่พวกเขา เดินตาม อิส ตรงไปยังห้องชมรมของชมรม SMN ทันทีที่มาถึง
 หน้าห้องชมรม ก็มีกลุ่มนักเรียบจากชมรมอื่นๆ มายืนมุงกันอยู่เต็มไปหมด

“ ไม่ว่ายังไง คุณมาริน่า ก็ยังจะปฏิเสธอีกหรือคะ ทั้งที่มีผู้เคราะห์ร้ายไปร่วมสิบรายแล้ว
ยิ่งเมื่อคืนวาน พวกสมาชิกจากชมรม โอตาคุ ก็เป็นพยานให้ได้ว่า เห็นคนร้ายสามคน ซึ่งถ้านับคุณ ฟรานซิสก้า กับ อิสรพงศ์ ก็จะครบสามคนพอดี แล้วคุณ ก็ยังเป็น DNA-Changer ที่ได้รับยีนพันธุกรรม ของแวมไพร์อีกด้วย ”
เสียง ตะคอกซึ่งดังอกมาจากห้องชมรม ทำให้ ธนัท อดที่จะต้องฝ่าฝูงชนเพื่อยื่นหน้าไปมองด้วยความอยากรู้ไม่ได้
ที่โต๊ะซึ่งตั้งอยู่กลาง ห้องชมรมนั้น นักเรียนหญิงชาวต่างชาติอายุมากกว่าเขา ประมาณสองปี ผมสีทอง ดวงตาสีแดง ก่ำราวกับเลือด
เธอสวมที่คาดผมซึ่งสะท้อนแสงเป็นประกายราวกับ มงกุฎเพชร
ที่แขนขวาของเธอกอดหุ่นกระบอกเอาไว้ตัวหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามของ
เธอนั้น มีนักเรียนหญิงอีกคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ  กำลังค้ำตัวอยู่บนโต๊ะ



 ที่ตั้งขั้นกลางพวกเธอทั้งสองไว้ สีหน้าของนักเรียน หญิงคนนี้ออกอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ต่างจาก สีหน้าของนักเรียนต่างชาติที่ยังคงมีท่าทีสงบราวกับเพิกเฉยต่อทุกสิ่งรอบข้าง

“ แล้วไง จะบอกว่าฉันกับเหล่าองครักษ์ เป็นคนร้าย งั้นเหรอ  ”
นักเรียนหญิงชาวต่างชาติที่นักเรียนหญิงอีกคนเรียกว่า มาริน่า กล่าวถ้อยทีสงบเสงี่ยม อย่างใจเย็น

“ ถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่ชัดเจนอีกหรือคะ คุณ น่ะเมื่อ 2 ปีก่อนก็เคยเที่ยวไล่ดูดเลือดของนักเรียนคนอื่นๆมาแล้วไม่ใช่เหรอคะ  ”
นักเรียนหญิง อีกคนกระแทก เสียงใส่เธออย่างเกรี้ยวกราดแต่ก็ไม่อาจสร้างความหวั่นไหวให้เธอได้เลยแม้แต่น้อย

“ เรื่องนั้นมันก็จริง แต่เรื่องคราวนี้ไม่ใช่ฝีมือฉันหรอก แล้วอีกอย่าง ฟรานซิสก้า กับ อิส เองก็ไม่ได้เป็นแบบฉันนี่ แล้วมีความจำเป็นอะไรที่สองคนนั้นถึงมาเป็นผู้ต้องหาร่วมกับฉันล่ะ ไหนลองแจงเหตุผลของเธอหน่อยซิประธานชมรม โอตาคุ พรธิตา ”
มาริน่า ตอกกลับอย่างเยือกเย็น ทำเอาอีกฝ่ายพูดอะไรไม่ออกไป พักหนึ่ง

“ อึก..เรื่องนั้น..แต่ถ้าไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใครไปได้จะบอกว่าในโลกนี้น่ะมี ผี อยู่จริงงั้น เหรอแล้วบางทีเธอก็อาจ จะให้ ลูกน้องของเธอช่วยจับเหยื่อก็ได้นี่ ไม่รู้ล่ะวันนี้ พวกเราจากทุกชมรม ทนมาพอแล้วกับการที่ต้อง หลบหัวซุกหัวซุน กลับบ้านเย็นไม่ได้ แล้ว ถ้ายังไม่ยอมรับ อีกล่ะก็พวกเราจะรื้อทำลายชมรมนี่ทิ้งซะ ”
พรธิตา กล่าวข่มกลับไปโดยที่หวังจะได้เห็นสีหน้าที่หวั่นไหว กับการบีบคั้นของเธอทว่าสิ่งที่เธอหวังนั้นไม่ปรากฏแก่สายตาเธอเลยแม้แต่น้อย  มาริน่า ยังคงนิ่งเงียบและมีสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม


“ ว้อย ไม่ต้องสืบไม่ต้องเสาะแล้วลุยมันเลยไม่ใช่พวกมันแล้วจะเป็นใครได้ ”
นักเรียนชาย คนหนึ่งที่ในกลุ่มของ พวกที่มาเอาเรื่อง ตะโกนขึ้น ก่อนที่คนอื่นๆในกลุ่ม จะเริ่มโห่ร้อง

“ ใช่ๆ กับผีดูดเลือดน่ะไม่ต้องไปปราณี มันฆ่ามันเลย  ”
“ ใช่ๆไม่ต้องเจรจาแล้ว ลุยมันเลย ”
เสียงโห่ร้องที่ดังฮึกเหิม ของเหล่านักเรียนชาย ที่ดูจากการแต่งตัวที่สะเพร่าแล้วก็บอกได้เลยว่าเจ้าพวกนี้เป็นนักเลงหัวไม้ดีๆนี่เอง ไม่นานนัก การเจรจาก็ถูกเปลี่ยนเป็นการ บุกรุก พวกนักเรียนที่มาประท้วงต่างพากันบุกเข้ามาเพื่อที่จะ ทำลายข้าวของ อย่างไม่หยี่ระ ต่อสายตาของสมาชิกในชมรม

“ หึ..จัดการให้เสร็จๆซะ ฟรานซิสก้า ”
มาริน่า กล่าวกับที่สมาชิกหญิง อีกคนซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ ที่ยืนประจำอยู่ด้านหลังเก้าอี้ที่เธอนั่ง

“ รับทราบ ”
สมาชิกหญิง รับคำ เธอมีผมสีเทาออกเขียว ยาวสลวย ดวงตาสีเขียวราวกับมรกต
ในมือกระชับดาบซึ่งเสียบอยู่ในฝักก่อนที่เธอจะหายไปจากตรงนั้น เพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่พวกนักเรียกเจ้าอารมณ์ทั้งหลายจะได้ทันจับต้องสิ่งใด ในห้อง ก็ถูกฟาดจนสลบล้มลงกองเกลื่อนพื้นชมรม ต่อหน้าพวกสมาชิกชมรมอื่นที่มาประท้วงอยู่ด้านนอก ต้องยืนดูด้วยความตกตะลึง



ซึ่งทันทีที่ทุก ร่างร่วงกราวหมด ท่ามกลางฝูงนักเรียนเจ้าอารมณ์เหล่านั้นก็เหลือเพียง สตรีผู้เจนศึก นั่งย่อตัวอย่างงดงามโดยที่ดาบยังคงเสียบอยู่ในฝัก เหล่านักเรียนที่ถูก อัดจนสลบนั้นไม่มีบาดแผลนอกจากรอยช้ำ บริเวณลำตัว
สองสามรอย

“ หนอย..นั่นน่ะเหรอ นักดาบหญิงผู้เป็นตำนาน ฟรานซิสก้า ร้อยศพ แห่งฝ่ายคุมความประพฤติ จะยังก็ช่างแต่เจอคนหมู่มากขนาดนี้เธอก็เปิดช่องจนได้ ยัยผีดูดเลือดนี่ไม่คนคุ้มกันแล้ว..เสร็จข้าล่ะย้าก ”
นักเรียนชายคนหนึ่งที่รอดมาจากการโจมตีของ ฟรานซิสก้า ได้กล่าวก่อนที่จะโผล่เข้าทางด้านหลังของ มาริน่า
และยกเอาไม้หน้าสาม จะฟาดใส่เธอ

แกร็งง!

เสียไม้ฟาดกระทบกับโลหะ พลองสั้นซึ่งถูกยกขึ้นมารับ ไม้หน้าสามไว้ก่อนที่จะเข้าถึงตัว มาริน่า
ก่อนที่ เจ้าของพลองซึ่งเข้ามาขวางนั้นจะจัดการ อัดด้วยพลองจนสลบ

“ มาช้านะ อิส ”
มาริน่า เปรยเสียงเรียบ โดยที่ไม่ได้หันไปมอง องครักษ์ ตัวน้อยที่เข้ามาจัดการพิชิต อริร้ายให้สิ้นในคราเดียว

“ ต้องขออภัยด้วย ท่านประธาน ผมพึ่งพาพวกเขามา เลยตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเล็กน้อย ขอรับ ”
อิส กล่าวขณะที่ พับพลองทั้งสองอัน เก็บ


“ ป..ไปตอนไหนเนี่ย ตะกี้ยังอยู่ข้างหลังเราอยู่เลย อะไรจะเร็วลมกรดขนาดนั้น ”
ธนัท ที่จ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอยู่ในฝูงชนที่ยัง ยืนมุงอยู่ด้านหน้าประตู ด้วยตกตะลึง
แม้จะรู้อยู่แล้วก็ตาม  แต่ทว่า อิส ที่อยู่ด้านหลังฝูงชนนั้นกลับสามารถ ข้ามเข้าไปปกป้อง มาริน่า
ได้ในพริบตาก็ยังยากที่จะเชื่อ


“ เอาล่ะ ทีนี้ใครยังอยากจะลองอีกไหม ”
มาริน่า กล่าวจบ ไม่ทันไรก็มีสิ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว  ทว่า ฟรานซิสก้า กับ อิส ก็เข้าไป
ขวางเจ้าสิ่งนั้นด้วยอาวุธที่ตนมี แต่เจ้าสิ่งนั้นก็ ต้านรับการโจมตีของพวกเขาแล้วอ้อม เข้าไปหา มาริน่า ได้


/ Psychic Puppet/ (พลังจิตชักใย)
เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นมาจาก เจ้าหุ่นกระบอกที่ มาริน่า กอดไว้ด้วยแขนขวาก่อนที่ผู้จู่โจมเข้าไปนั้นจะต้องหยุดกึกกลางอากาศ จากการถูกเส้นเอ็นที่ พุ่งออกมาจากตัวหุ่นกระบอก มัดแข้งมัดขาเอาไว้

« Last Edit: March 12, 2009, 06:58:07 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #39 on: December 28, 2008, 07:54:13 PM »

“ ชิ..พลัง Psychic งั้นเหรอ  ”
เด็กหนุ่มผู้เป็น DNA-Changer สายพันธ์มนุษย์หมาป่า สบถ ขณะที่ร่างถูกตรึงนิ่งกลางอากาศ


“ แว้ก เจ้านั่นมันหาเรื่องตายชัดๆ ขืนไปยั่ว คุณมาริน่า มากๆเข้าล่ะก็มีหวังโดนสูบเลือดหมดตัวแน่ ”
ธนัท คิดขณะนั้น พวก เคียว ก็พึ่งจะมาถึงห้อง ชมรมพอดี ก็ได้เจอเข้ากับภาพที่ชวนให้ประหลาดใจยิ่ง
เมื่อเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่ กำลังมีเรื่องกับ ประธานชมรมของตน

“ แก…พวก URH งั้นเรอะ  ”
มาริน่า กล่าวถามเสียงเรียบ ด้วยสายตาเย็นชา


“ ถ้าใช่แล้วจะทำไมล่ะ ”
โคทาโร่ ตอบกลับด้วยท่าทียียวน ก่อนที่จะต้องเสียใจกับคำพูดของตัวเอง เพราะทันที ที่ คำตอบของเขา ดังขึ้น
มาริน่า ก็ดีดนิ้ว ขึ้นหนึ่งเปาะ เส้นเอ็นที่รัด คอ ร่าง แขน และขา ก็รัดแน่นขึ้นจน ทำให้รู้สึกอึดอัดไม่นานนัก เส้นเอ็นก็ยิ่งมัดแรงขึ้นเรื่อยๆ โคทาโร่ ที่คิดจะดิ้นให้หลุดก็ออกแรงสลัดอย่างสุดกำลังแต่ก็ไม่อาจต้านแรงของเส้นเอ็นได้ ยิ่งไปกว่านั้นเส้นเอ็น ก็บาดเนื้อจนเปิดลอก ทำให้โลหิต สีแดงค่อยๆหยดย้อยลงมาตามเส้นเอ็น

ภาพตรงหน้าทำให้ ฝูงชนที่มามุงดูรวมไปจนถึงสมาชิกในชมรมคนอื่นๆ แม้แต่ พวก ธนัท กับ สององครักษ์
ต้องจ้องตาค้างด้วยความตื่นตระหนก

“ ป..ประธานคือ ”
อิส ที่กล่าวแทรกขึ้นมา ก็ต้องชะงักไปเมื่อ มาริน่า หันมามองเขา

“ ไม่ต้อง…ถ้ามันเป็นพวก URH จริงก็ไม่มีความจำเป็นที่มันจะต้องอยู่ที่นี่ หรือ แกจะบอกว่าให้มันเข้ามาฆ่าฉันก่อนก็ไม่เป็นไรรึไง ”
มาริน่า กล่าวเสียงเรียบด้วยนัยน์ตาที่แฝงไปด้วยความอำมหิต ทำให้ อิส ไม่อาจกล่าวต่อได้
เช่นกันกับที่ผู้อื่นไม่มีใครกล้าเข้ามาขวางอีกเลย

“ เดี๋ยวก่อน ครับ คุณมาริน่า ”
ธนัท กล่าวพร้อมกับแหวกฝูงชน เข้ามาหาเธอโดย ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย


“ ปล่อยเขาเถอะครับ  ”
ธนัท กล่าวขอร้อง ทว่าคำขอนั้น ทำให้เธอเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความสงสัย

“ นี่แกก็เพี้ยนไปอีกคนด้วยรึไง เจ้าหมานี่มันคิดจะฆ่าฉันนะ ถ้าไม่ฆ่ามันก่อนที่จะแว้งมากัดล่ะก็.. ”
มาริน่า กล่าวได้ไม่ทันจบประโยคเธอก็ต้องชะงักไป เพราะ ธนัท ได้ก้มลงขุกเค่าต่อหน้าเธอ


“ ขอร้องล่ะครับ ให้ผมได้ปรับความเข้าใจของเขาให้โอกาสเขาด้วยเถอะครับ ถึงจะเป็น URH แต่เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนๆกับเรานะครับ  ”
ธนัท  กล่าว ขณะที่ก้มหน้าแนบติดพื้น เพื่อขอร้องให้เธอไว้ชีวิต นักรบแปลงพันธุกรรม ที่เคยคิดทำร้ายเขาด้วยซ้ำ

“ …..วิโอริน(Violin) คลายเอ็น ”
/Ja Wohl/(G:รับทราบ)
มาริน่า กล่าวจบ หุ่นกระบอกที่เธอกอดอยู่ส่ง เสียงตอบรับก่อนที่ เส้นเอ็นจะคลายตัว และวางร่างของ
เด็กหนุ่มสภาพปางตายลง บนพื้น


“ เห็นแก่ที่แกยอมขอร้องถึงขนาดนี้ ฉันจะขอดูท่าทีไปก่อนก็ได้ แต่จงจำไว้ถ้ามีอีก คราวหน้ามันจะไม่ได้แม้แต่
รู้สึกเจ็บอย่างแน่นอน  ”
มาริน่า กล่าวจบ ธนัท ที่ก้มหัวให้อยู่ ก็ลุกไปดูอาการของ โคทาโร่ พวกเคียวเองก็ตามเข้าไปสมทบด้วยเช่นกัน
ก่อนที่มาริน่า จะเดินสวนออกไป หาฝูงชน

“ เอาล่ะมาต่อเรื่องของเราให้จบซะ ฉันไม่ได้เป็นคนทำและถ้ายังไม่เชื่อฉันจะพิสูจน์ให้พวกแกดูก็ได้ คืนนี้
ฉันจะจับไอ้เจ้า แวมไพร์ พวกนั้นมาให้พวกแก ยลโฉมมันซะ แค่นี้ล่ะ ฟรานซิสก้า ตามฉันมา เราจะไปเตรียมตัว อิส แกอยู่ที่นี่ทำยังไงก็ได้อย่าให้ไอ้หมานั่นตาย เพราะฉันยังมีเรื่องต้องสะสางกับมันก่อน  ”
มาริน่า กล่าวจบ ฟรานซิสก้า ก็เดินเข้ามาสมทบกับเธอ

“ วิโอริน เคลื่อนย้ายมวลสาร ”
/Ja Wolh , Teleportation/(G:รับทราบ , E(อังกฤษ):เคลื่อนย้ายมวลสาร)
มาริน่า สั่งการหุ่นกระบอกที่ดูจะเป็น Note ของเธอ น่ะเองก่อนที่มันจะรับคำ และพาเธอ กับ ฟรานซิสก้า
แวบหายไปในพริบตา

“ พูดกันง่ายๆงี้เลยนะ ท่านประทาน เราไม่ใช่หมอ ซะหน่อยแต่ดูๆไปแล้ว คงไม่เป็นไรมั้ง
พวกสายพันธุ์หมาป่า ฟื้นตัวเร็วอยู่แล้วนี่ ”
อิส เปรยด้วยทีท่าเหนื่อยหน่าย ขณะที่หันไปมอง ร่างของ โคทาโร่ ที่พวก ธนัท กำลังช่วยกันยกเพื่อพาไปทำแผล


…………….
………………
……………..

เวลาได้ล่วงเลยมาจนเมื่อ พระจันทร์ขึ้นประทับเหนือฟ้า


“ Marina A .E. Marionetta องค์หญิงแห่งราชวงศ์ ค่าหัวไม่ใช่น้อยๆเลยถ้าจัดการได้ก็ ทั้งฉันและนายก็ไถ่ตัวออกจากกองทัพได้เลย…เพราะงั้นนายไม่ต้องเสี่ยงหรอกฉันจะ เอาเงินค่าหัวมาไถ่ตัวนายกับฉัน
แล้วพวกเราก็จะได้เป็นอิสระ ซะทีรอฉันก่อนอย่าพึ่งตายล่ะ  ”
“ เสียใจด้วย เค้าตายแล้วเพราะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็เลยถูกพวกราชวงศ์ ฆ่าทิ้งไปแล้ว ”

เสียงแห่งความทรงจำที่ดังขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ท่ามกลางความมืดมิด ก่อนที่จะถูกทำลายลงด้วยแสง
ที่ส่องสว่างขึ้นมา ก่อนที่ภาพของเพดานห้องสีฟ้าจะ ปรากฏขึ้นอย่างเรือนรางและค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

“ อ้าว..ฟื้นแล้วเหรอ ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ ผ้าห่มสีขาวซึ่งห่มร่างของ โคทาโร่ จะถูกปัดออก และในตอนนี้  เขาถึงรู้ตัวว่า ตนสลบไปตอนนี้เขานั่งอยู่บนโซฟาในห้องชมรม ที่โต๊ะกลางห้องชมรม นั้นนอกจาก ธนัท ที่หันมาถามเขา ก็ยังมี เคียว ชุติ และ แอน นั่งเล่นการ์ดกันไปพลางๆ  ทันทีที่เขาขยับเพื่อจะลุก ขึ้นยืนก็ รู้สึกเจ็บแปลบ ขึ้นมาทั้งร่าง ก่อน
จะทรุดตัวลงกับ โซฟา อีกครั้ง

“ อย่าพึ่งขยับสิ เดี๋ยวปากแผลก็เปิดหรอก ”
ชุติ กล่าวขึ้นขณะที่ลุกจากโต๊ะเข้ามาช่วยพยุงร่างของ โคทาโร่ ให้นอนลงไปบนโซฟา
จนถึงตอนนี้เขาเองถึงได้พึ่งสังเกตเห็นว่า ร่างของเขามีผ้าพันแผลพันอยู่ทั่ว ทั้งแขนขาและลำตัว
กระทั่งที่คอ ข้างๆโซฟา มีเก้าอี้ไม้เล็กๆอยู่ตัวหนึ่ง นอกจาก เสื้อนักเรียนของเขาที่แขวนไว้บนพนักเก้าอี้แล้ว
Note ของเขา มาราคัส ก็ถูกแขวนอยู่ด้วยกัน 


“ ทำไมถึงช่วยฉันล่ะ ”
โคทาโร่ หันมาถามกับ ธนัท ที่คราวนี้ พลาสเตอร์ยาที่ปิดปากแผลบริเวณใบหน้าถูกแปะลงไปใหม่หลังจากที่อันเก่า ถูกเขาฉีกจนกระจุยไปแล้ว

“ ทำไมน่ะเหรอ..จะช่วยคนต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ ”
ธนัท กล่าว เสียงเรียบสร้างความสงสัยให้แก่ โคทาโร่ เป็นทวียิ่ง เพราะจากคำพูดนั้น หมายถึง ธนัท ช่วยเขาไว้โดยไม่ได้คิดเลยว่าจะช่วยไปเพื่ออะไร

“ เอาล่ะ พอๆไม่ต้องทำน่ามึนขนาดนั้น ธนัท ก็เป็นแบบนี้ล่ะอย่าไปสนเลย ”
เคียว ที่อยู่ๆก็กล่าวออกมา ขณะที่ลุกจากโต๊ะตรงมายังโซฟา

“ ก่อนอื่นนะ โคทาโร่คุง เรามีเรื่องจะต้องคุยกันก่อนเรื่องแรกเลย เป็นนักรบของ สหพันธ์ปฏิรูปมนุษยชาติ URH (Union Revolution Human)ใช่ไหม  ”
เคียว ถามเสียงเรียบขณะที่ แอน กับ ชุติ ทำหน้า งงๆ เพราะไม่เข้าใจเรื่องที่ เคียว พูด

“ อะไร URH เหรอเห็นพูดถึงกันตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ช่วยอธิบายทีสิ ”
ชุติ กล่าวถามด้วยความอยากรู้

“ ถ้าจะเล่าแล้วเรื่องมัน ยาวนะ เอาเป็นว่าประธาน ของเราน่ะคือ ผู้สืบเชื้อสายแห่งราชวงศ์ จากราชอาณาจักรที่ล่มสลายไปแล้ว เรื่องนี้พวกเธอก็คงจะรู้ๆกันอยู่สินะ  ”
เคียวกล่าว ซึ่งแอน กับ ชุติ ก็พยักหน้ารับ ว่าทราบถึงฐานะของ ประธานมาริน่า

“ 50 ปีก่อนเกิดวิกฤติมนุษย์แปลงพันธุกรรมขึ้น ซึ่งราชวงศ์ของ ประธานเองก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย
หลังจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และจบลงด้วยการแก้ไขของ เหล่านักร่ายอสูรในตำนานแล้ว พวกเธอคิดว่า
พวกแปลงพันธุกรรม ที่ถูกต่อต้านน่ะ ไปอยู่ไหนกัน  ”
เคียว กล่าว เด็กหญิง ทั้งสองก็เริ่มที่จะเข้าใจถึงเรื่องราวขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้น เคียว จึงอธิบายต่อ

“  พวกแปลงพันธุกรรม ถูกขับไล่ให้ไปเป็นชนชั้นล่าง และถูกมองราวกับเป็นตัวประหลาด
และได้ เกิดความคิดเห็นแยกออกเป็นสองฝ่ายนั่นคือพวก แปลงพันธุกรรมส่วนหนึ่งต้องการที่
จะเรียกร้อง สิทธิของตนให้ถูกปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์ก็ได้ก่อตั้งกลุ่ม  URH ขึ้นทั่วทุกมุมโลกกลาย
เป็นองค์กรก่อการร้ายไป ในขณะที่ราชอาณาจักรแห่งสเปน ราชวงศ์ Marionetta ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตี
ในการบัญญัติ กฎหมายโลกเกี่ยวกับพันธุเวทกรรม ให้ใช้ในการแพทย์เท่านั้น และข้อห้ามเรื่องการแปลงพันธุกรรมเพื่อเสริมความสามารถอย่างไร้เหตุผล ตามมาตราต่างๆ ผลจากการร่างกฎหมาย
นี้ก็เพื่อที่จะจำกัด กลุ่มคนที่แปลงพันธุกรรม ให้ลดลง แล้วไม่ใช่แค่นั้น ราชวงศ์ยังคิดจะใช้พวกเขาเป็นทหารในการรบ ก็เลยเกิดเป็นเผด็จการ ขึ้น มีการจับกุมตัวพวกแปลงพันธุกรรมทั่วโลก เพื่อฝึกให้เป็นทหารอย่างไม่แยแส  ต่อความรู้สึกของพวกเขา ”
เคียว อธิบายให้ทั้งสองฟังเป็นฉากๆไป อย่างละเอียด

“ รู้เยอะดีนี่..แต่คงไม่รู้สินะว่า ที่พวกราชวงศ์ มันทำแบบนั้นก็เพื่อที่จะทำให้ขุมกำลังของพวกมัน
แกร่งพอที่จะรับมือกับอสูรเทพได้ แน่นอนเป้าหมายของพวกมันคือการครองโลก เพราะ พวกราชวงศ์ มี Angle ที่ควบคุมอสูรเทพได้อยู่ ในราชวงศ์  ก็เลยคิดจะลองดีกับพระเจ้า จนได้เรื่องเข้าไม่นาน เลราเย่ ก็ไปเยือน แล้ว ราชอาณาจักรก็ถึงคราวล่มสลาย แต่พวกเราก็ยังคงถูกปฏิบัติ เยี่ยงทาสเหมือนเคยทันทีที่จำความได้ก็มีแต่
การสู้รบราฆ่าฟันฝังหัวอยู่อย่างเดียว ชีวิตทั้งชีวิตต้องจับอาวุธไปจนวันตาย… ”
โคทาโร่ ที่กล่าวแทรกขึ้นมา

“ แต่สำหรับประเทศไทย ไม่เหมือนที่อื่นๆเพราะเป็นกลางกับทุกฝ่าย ดังนั้น จึงไม่มีการล่าตัว DNA-Changer
ส่งให้แก่กองทัพ ก็เลยทำให้ ภายในประเทศ เป็นศูนย์รวมของ ทุกชนชาติอย่างไม่มีการแบ่งแยก หรือพูดให้ถูกมันคือแดนสวรรค์ที่มีอิสรเสรี อย่างที่สุดนอกจากนี้เพราะประเทศเรา รุ่งเรืองวิทยาการด้าน เวทมนต์ยิ่งกว่าใคร
 เลยไม่ต้องกลัวกลุ่มขั้วอำนาจที่ จะเข้ามาระรานเลย เพราะงั้นนายก็เลย หลบหนีเข้ามาในประเทศงั้นสิ ”
เคียว กล่าวย้อน


“ เปล่า ฉันกับพรรคพวกในองค์กร ถูกช่วยออกจาก URH ไปแล้ว โดยพวกองค์กรเสรีภาพตั้งแต่ 4 ปีก่อน  ”
โคทาโร่ กล่าวในขณะที่ สองสาวจ้องหน้าเขาอย่างไม่วางตา

“ งั้นก็หมายความว่า โคทาโร่ เคยเป็นพวก URH มาก่อนงั้นเหรอ  ”
ชุติ อุทานด้วยความตกใจ

“ ว้าว ถึงว่าทำไมรู้ละเอียดเหมือนเคยประสบมาก่อนเลยหนา แล้วทำไมตอนตอบประธานถึงบอกว่ายังอยู่ในสังกัด ล่า ”
แอน กล่าวเสียงเหน่อ

“ จะตกใจไปทำไมกัน ข้างหลังนายก็ด้วยแหล่ะ ยัย นั่นน่ะ อยู่มากี่ร้อยปีแล้วล่ะ ”
โคทาโร่ กล่าวคำพูดของเขาทำให้ทุกคนแปลกใจเล็กน้อย  ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้น


“ เกี่ยวกับเรื่องนั้นฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมถึงต้องเบี่ยงบ่ายความจริงด้วย ”
เสียงซึ่งฟังดูคุ้นหูดังขึ้น ก่อนที่พวกเขาจะหันไปยังที่มาของเสียง มาริน่า กับสององครักษ์  อิส และ ฟรานซิสก้า
ทั้งสามได้เข้ามาในห้องชมรม

“ รู้อยู่ก่อนแล้วสินะว่าเราโกหก ”
โคทาโร่ คิดขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ ที่ มาริน่า ซึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำ
 พร้อมกับเหล่าองครักษ์ ในชุดเต็มอัตราศึก ฟรานซิสก้า พกดาบเพิ่มมาอีกเล่ม และในเสื้อคลุมสีขาวของเธอ
ก็คงจะมี สรรพอาวุธมากมายอีกให้ใช้ ส่วน อิส นั้น นอกจากเสื้อคลุมสีขาว ที่คลุมทับเสื้อนักเรียน
เลยแค่หัวไหล่ไปเท่านั้น ก็มีเพียง เข็มขัดหนังสะพายเอวซึ่งพกเอา แท่งโลหะและอุปกรณ์อีกมากพอสมควร
เหนือสิ่งอื่นใด ที่ทั้งสามคนมีพกมาเหมือน กันนั้นคือ แผ่นการ์ด ซีลและมิสติก อย่างละปึก ซึ่งทุกใบเป็นหน้าเปล่าๆเหมือนกันหมด

“ ว่าแต่คืนนี้จะมาจับคนร้ายที่เป็นผีดูดเลือดไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมถึงเอาผนึก Seal Scroll มาเป็นปึก งี้ล่ะ ”
ธนัท ถามขึ้นด้วยความสงสัย

[Seal Scroll หรือผนึก ที่เรียกนั้นเป็นอุปกรณ์ ของนักร่ายอสูร ที่จะใช้ผนึกพลังพลังเวทย์ลงไปในแผ่นการ์ด
หรือก็คือการผนึกอสูรอัญเชิญและคาถามนตราเพื่อนำมาใช้ นั่นเอง รายละเอียดที่เหลือจะแยกไปอธิบายอีกครั้ง]
 
“ โง่น่ะ..นี่แกคิดว่าผีมีอยู่จริงงั้นเหรอ ที่จริงอยู่ชมรม ร่ายอสูรแต่ฟังสถานการณ์แล้วยังแยกไม่ได้อีกว่ามันคือ คาถาหรืออสูรอัญเชิญไร้การควบคุมน่ะ ถ้าเป็นไอ้พวกนอกชมรมล่ะก็ว่าไปอย่าง นี่แกเป็นน้องายของ ศรี ที่โค่นฉันคนนี้จริงรึ เนี่ยจนตอนนี้ฉันยังไม่อยากเชื่อเลย ”
มาริน่า กล่าว เย้ยหยัน ทำให้ ธนัท ต้องหน้าแดงด้วยความอับอายและรู้สึกเคืองๆเธออยู่บ้าง

“ หือ ยัยปีศาจนี่เคยถูกโค่นมาแล้วเหรอ คนที่ชื่อ ศรี อะไรนั่นเป็นใครกัน พี่ชายของหมอนี่เรอะ หืม..นี่มันความรู้สึกนี้ ..รึว่าเจ้านั่น ”
โคทาโร่ คิดก่อนจะต้องชะงักไป เพราะเขาจับได้ถึงสัมผัสบางอย่างที่คุ้นเคย ไม่รอช้า โคทาโร่
เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็ลุกพรวดขึ้นมาโดยไม่แยแสว่า ปากแผลจะเปิดหรือไม่ เขาคว้าเอา เสื้อกับ Note แล้ววิ่งออกไป
จากห้องชมรมในทันที

“ อ้ะ..เดี๋ยวก่อนจะไปไหนน่ะ ”
ธนัท ตะโกนถามขณธที่วิ่งตามออกไป โดยมี เคียว ที่กำลังจะวิ่งตามออกไป

“ เดี๋ยวก่อน..เจ้าหมานั่นให้ ไอ้หนู จัดการไปส่วนพวกแกมากับฉัน ”
มาริน่า กล่าว เคียว จึงต้องหยุด

“ มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องทำตามที่ประธาน สั่งถ้าไม่มีความจำเป็นพอผมจะไป เพราะคู่สัญญาของผมไม่ใช่คุณ แต่เป็น ธนัท และหากคุณจะใช้อำนาจของ ประธานก็ขอให้มีเหตุผลพอเพียงด้วย ”
เคียว กล่าวเสียงเรียบโดยที่ไม่หันกลับไปเพื่อที่ว่าหากไปได้ เขาจะได้วิ่งออกไปได้ในทันที

“ ถ้าพวกแกไปกัน แล้วใครจะคุ้มกันพวก ไทยมุงที่อยู่ข้างนอกนั่นล่ะ ”
มาริน่า กล่าวคำพูดของเธอทำให้ เคียว ไม่อาจปฏิเสธได้ เขาจึงชักเท้ากลับเข้ามา

“ งั้นมัวรออะไรอยู่ล่ะ รีบๆไปจัดการให้มันเสร็จๆไปซะทีสิ ”
เคียว กล่าวเสียงเรียบทว่าในใจของเขาตอนนี้ร้อนรนเสียยิ่งกว่าไฟป่าที่ลุกโหม อีก


“ งั้นรีบไปกันเถอะ ”
มาริน่า กล่าวขณะที่ ก้าวเดินแซงหน้า เคียว ออกมา


“ จะดีรึขอรับยังไงเจ้าหมานั่นก็เคยเป็นพวก URH แถมก่อนจะพาตัวมาพบ ท่านประธาน มันก็ยังเคยทำร้าย ธนัท ด้วยนะขอรับ ”
อิส กระซิบ ขณะที่เดินตาม มาริน่าไป

“ ถ้าเจ้านั่นเป็นอันตรายจริง ป่านนี้มันคงได้ไปท่องยมโลกร่วมกับเพื่อนๆของมันที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วล่ะ ”
มาริน่า กล่าวเสียงเชียบ อย่างหามิได้ ขณะที่เดินตามทางไปยังสนามซึ่งแสงจันทร์ทอดผ่าน
To Be Continue


“แว้กกลายเป็นเรื่องอะไรไปแล้วเนี่ย ยิ่งเขียนเองยิ่งมึนเอง โอยนี่มันจะกลายพันธุ์นิยาย ดวลการ์ดท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างสดใสแสนสนุก กลายนิยาย บู๊ ล้างผลาญพลังภายในไปแล้วเรอะ ”

เอ่อใครที่มีความคิดอย่างว่าดังกล่าว ขอให้สบายใจได้ครับนี่เป็นเนื้อเรื่องที่คงความเป็นปกติไว้ที่สุดแล้ว
เพราะการที่จะเอาแต่นั่งเล่นการ์ดกันโดย ไม่สนใจสถานการณ์บ้านเมืองเลยมันคงจะไม่ดีนัก

ดังที่จะได้เห็นในการเกริ่นก่อน เข้าเรื่องของทุกตอน ที่จะต้องมีสงครามหรือความขัดแย้งนา นับประการ
ที่เกิดขึ้นหลังจากการนำเอาพลัง เวทมนต์เข้ามาใช้กับวิทยาการ ดังที่เคยอารัมภ์บท ไว้ในตอนต้นของ
Sub-Turn 1 แน่นอนไม่ต้องคิดมากครับมันเป็นสีสัน ของนิยาย เพราะเกรงว่านั่งเล่นการ์ด

กันอย่างเดียวอาจจะเบื่อ เลยต้องมีการใส่ แอ็คชั่น และความเป็น ดราม่า ลงไปเล็กน้อย
แล้วก็วันนี้ เจ้าการุรุม่อน ผู้ช่วยผม นั้นมีอะไรจะกล่าวด้วยดังนั้น

Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #40 on: December 28, 2008, 07:55:02 PM »

หวัดดีเจ้าค่า การุรม่อน ฮ่ะ คือที่จริงแล้ว ช่วงนี้เป็นหน้าเทศกาล ซึ่งตามหลักแล้วพวกเรามักจะมีตอนพิเศษหรืออะไรพิเศษๆมาฝากให้ จนแทบจะเป็นประเพณีไปแล้ว แต่ที่ปีนี้ไม่มีอะไรเลย ทั้งตำนานทาลิ ก็ไม่มีตอนพิเศษ(ปะทะเอเลี่ยน2 เร้อ) หรืออะไรที่ภิเศษๆสำหรับเรื่องนี้ก็ด้วย เจ๊ เลยจัดสกู๊ปพิเศษมาให้ ที่จริงคิดว่าหลายๆคนคงไม่ต้องการ มากเท่าไหร่ แต่สำหรับบางคนนี่อาจเป็นสิ่งที่รอมาตลอด นั่นก็คือ
Deck List ของ ภูเขาในเรื่องนี้ Scythe Reaper เจ้าค่า สำหรับคนที่คอยติดตามเพื่อจะลองจัดสำรับสนุกๆ
ไปเล่นตอนนี้ก็ขอเปิดเผย  Deack List ให้ดูกันนะจ้ะ
   
Deck List Scythe Reaper

Seal 27

Scarlet Reaper x 4
Volcanic Demon x 4
Blood Moon Garuda x 4
Garasu x 4
Alkira, the Wood Witch x 2
The Amputator of Death x 1
Necro Soldier x 4
Aerial Mongose x 4

Mystic เอาที่สำคัญๆก็
Partake of Corpses x 2
Sacrifice x 2
You Must Die x 2
ที่เหลือเก็บไว้เป็นความลับจ้า

ก็คงไปต้องพูดมากถึงวิธีการเล่น เพราะได้เห็นคอนเซ็ปของการไปแล้วในเรื่องคือทำเกมส์ด้วย Death Curse แบบฉับเดียวจบ และมิสติก ที่มีพลังทำลายอย่างน่ากลัว คอยเชือดเก็บไปเรื่อยๆโดยอาศัย ซีลเลเวลต่ำๆหรือเป็นอมตะอย่างสกาเร็ทลีปเปอร์ เป็นเครื่องสังเวย หากใครอยากจัด ไปเล่นก็อย่าลืมเอา Partake of Corpses
ออกก่อนนะ อาจใส่เป็น Lilith (จำไม่ได้เขียนงี้เปล่า) ที่ธนัทใช้ไปเกน Mp แทนก็ได้เหมือนกันนะเพราะในการ์ดพวกนี้ค่าร่ายสูงอยู่แล้ว คงเกน Mp ได้เยอะพอควร

สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน แล้วเจอ กันอาทิตย์หน้าจ้า
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #41 on: December 29, 2008, 12:51:47 AM »

ผมว่าเรื่องย่ออ่านเข้าใจง่ายดีครับ
แล้วก็อยากให้เนื้อเรื่องเต็มเนี่ย...เว้นบรรทัดลงมาอีกครับ  มันค่อนข้างอ่านยาก
สุดท้ายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆก็คือ คุณ greamon,cocka-c ก็ยังเป็นหุ้นส่วนในการสร้างนิยายสนุกเหมือนเดิมคร้าบบบบบบบ

ปล.ผมอยากรู้ว่าทั้งสองคนเป็นชายหรือหญิงครับ
ปล.2 อย่าโกรธนะ

Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #42 on: December 30, 2008, 03:45:25 AM »

Quote
ปล.ผมอยากรู้ว่าทั้งสองคนเป็นชายหรือหญิงครับ
ปล.2 อย่าโกรธนะ

อันนี้ล้านเปอร์เช็น เจ็ ควบสองฮ่ะ ส่วนเกรม่อนคุงโฮะๆแฟน เจ...อุบ พูดไปคงไม่ดีแน่
อันนี่แล้วแต่จะคิดนะจ้ะแต่ที่แน่ๆเจ็ควบสองจ้า
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #43 on: December 30, 2008, 12:16:30 PM »

Quote
ปล.ผมอยากรู้ว่าทั้งสองคนเป็นชายหรือหญิงครับ
ปล.2 อย่าโกรธนะ

อันนี้ล้านเปอร์เช็น เจ็ ควบสองฮ่ะ ส่วนเกรม่อนคุงโฮะๆแฟน เจ...อุบ พูดไปคงไม่ดีแน่
อันนี่แล้วแต่จะคิดนะจ้ะแต่ที่แน่ๆเจ็ควบสองจ้า
งง~   แล้วก็ฝากบอกเค้าด้วยน่ะครับว่า Personalized Picture ของเค้าเสียแล้ว
« Last Edit: December 30, 2008, 12:18:45 PM by boy » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #44 on: December 31, 2008, 05:08:48 AM »

Quote
ปล.ผมอยากรู้ว่าทั้งสองคนเป็นชายหรือหญิงครับ
ปล.2 อย่าโกรธนะ

อันนี้ล้านเปอร์เช็น เจ็ ควบสองฮ่ะ ส่วนเกรม่อนคุงโฮะๆแฟน เจ...อุบ พูดไปคงไม่ดีแน่
อันนี่แล้วแต่จะคิดนะจ้ะแต่ที่แน่ๆเจ็ควบสองจ้า
งง~   แล้วก็ฝากบอกเค้าด้วยน่ะครับว่า Personalized Picture ของเค้าเสียแล้ว

- -* เอ่อก่อนอื่นใดอย่าไปเชื่อที่เจ้าการุรุม่อนมันพูดเลยนะ กระผมนี่ชายทั้งแท่ง แต่มันน่ะควบสองเพศหรือเปล่าไม่แน่ใจ

(ทุกวันนี้ยังเสียวมันจะ Back Stab เข้าให้) แต่โรงเรียนของกระผมเป็นโรงเรียนชายล้วนชื่อทวีธ... ละไว้ละกันแต่คิดว่าน่า
จะรู้จักกันนะครับ ส่วน บ.ก. ท่านพิโยม่อน ก็ไม่ใช่ใครอื่นพี่สาวกระผมเอง เหอๆถ้ายังไงเรื่องส่วนตัว พอแค่นี้ก่อนดีกว่านะขอรับขอตัวไปนอนก่องไม่ไว้เลี้ยว ลุยงานส่งก่อนสิ้นปีนี้เหนื่อยจริงๆ

ปล.เรื่องการเว้นวรรค บรรทัดจะพยายามเว้นเพิ่มให้นะครับ ต้องขออภัยที่ตอนก่อนๆเว้นไว้ให้ไม่เยอะพอดีมันค่อนข้างยุ่งๆ
แล้วเจอกันวัน พฤหัสนี้ จะลง Sub Turn 07
« Last Edit: December 31, 2008, 11:27:04 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #45 on: January 04, 2009, 06:17:01 PM »

Sub-Turn 7  Partner & Synchronize!


พ.ศ. 2700 หลังจากวิทยาการพลังงานอันมหัศจรรย์ ที่เรียกว่า เวทยาการ ซึ่งเป็นศาสตร์จากการ
ผสมผสาน วิทยาศาสตร์ และ เวทมนต์ เข้าด้วยกันซึ่งพลังนี้ได้นำซึ่งภัยพิบัติมาเยือน แก่มนุษยชาติถึงหลายครั้ง

หลายครา แต่กระนั้นมนุษย์ก็ยังไม่ละทิ้งที่จะควบคุมพลังนี้เสียให้ได้ และในที่สุด ผลจากความทะเยอทะยาน
นั้นก็ได้สร้าง คาถาที่จะ สะกดพลังอันมหาศาล ของอสูรอัญเชิญ ที่เป็นตัวแทนของพลังเวทย์ เพื่อที่จะควบคุม

มันได้ในที่สุด ผนึก หรือ ยันต์คาถาที่อยู่ในรูปของแผ่น การ์ดบางๆซึ่งเรียกว่า Seal Scroll เป็นผลิตผลที่ประสบ
ความสำเร็จยิ่งยวดของมนุษยชาติ ด้วยผนึกสะกดนี้ เราจะสามารถ ผนึกพลังอันแข็งแกร่งของ อสูรอัญเชิญ

มาใช้ได้ ตั้งแต่นั้นมากิจการ เกี่ยวกับผนึกนี้ก็ได้รุ่งเรืองขึ้นมา และพัฒนาจนกลายมาเป็น เกมกีฬา
ในนาม ของ Summoner Master ซึ่งเรียกตาม ชื่อขานของเหล่ายอดฝีมือ ในอดีตที่ช่วยกัน ยับยั้ง
ภัยพิบัติ จากเหล่าอสูร เทพซึ่งกลายมาเป็นตำนานในเวลาต่อมา

ทว่า แม้จะรับรู้ผลจากการ กระทำอันโง่เขลาของตนแล้วก็ตาม มนุษย์ก็ยังจะดันทุรัง เดินหน้าทำในสิ่งนั้นต่อไป
สงครามที่เกิดจากความขัดแย้ง ทางเผ่าพันธุ์ อันนำมาซึ่งความคิดที่ว่า ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ระหว่าง มนุษย์

กับ DNA-Changer ซึ่งจนถึงบัดนี้ ก็ยังคงดำเนินเรื่อยมา จากนี้ไปโฉมหน้าเบื้องหลัง
ของความขัดแย้งนี้ กำลังจะเปิดเผยต่อ ธนัท และพรรคพวกในอีกไม่ช้า แล้วพวกเขาจะทำเช่นไร…..
………
…………….


“ ถ้านี่เป็นแค่สังหรณ์ที่ฉันคิดไปเอง ก็ตามที แต่ฉันก็ยังอยากจะเชื่อว่านายยังอยู่
 ถึงแม้มันจะเป็นไปไม่ได้
ก็ตามที แต่ฉันก็จะทำเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เหลือให้ยึดถือ นอกจากนายแล้ว
ฉันก็ไม่เหลือใครอีกแล้วในโลกนี้.. ”
เสียงที่ดังขึ้นในจิตใจ ของใครซักคน ท่ามกลางความมืดมิดที่ เกิดจากหมู่ไม้ซึ่งบดบังแสงจันทร์
ในราตรี อันเงียบสงบ ที่กำลังจะกลายเป็น สนามรบในอีกไม่ช้านี้

“ มาราคัส ตรวจหารอบๆนี้ให้หมดเลย อย่าให้คลาดเชียวล่ะ ”
/Yes Sir/(รับทราบ)
โคทาโร่ สั่งขณะที่วิ่งทะลุ สวนหย่อม ออกไปยังสนาม เพื่อตรงไปยังประตูโรงเรียน โดยมี ธนัท วิ่งตามมาติดๆ

“ คราวนี้จะไม่ให้หนีไปไหนอีกแล้ว ”
โคทาโร่ คิดขณะที่พยายามเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีก  จนทิ้งห่าง ธนัท ไปมาก

“ เจ้าบ้านั่น…แฮ่กๆ..จู่ๆก็วิ่งออกมาเป็นอะไร..แฮ่ก..ของมันนะ ”
 ธนัท กล่าวขณะที่ถูกทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆจนลับสายตาไป เขาจึงชะลอฝีเท้าลงด้วยความเหนื่อยอ่อน

/Why is Stop Idiot  / (หยุดทำไมเจ้างั่ง )
คอรัส Note ของเขา กล่าวยั่วยุเขาขึ้นมา แต่ว่าตอนนี้เขาก็เหนื่อยเกินจะ เถียงโต้กับ คอรัส แล้ว
จึงได้แต่นิ่งเงียบให้ คอรัส บ่นไป โดยที่สายตายังคงมองไป ที่ประตูทางออกซึ่ง โคทาโร่ วิ่งหายลับไป

…………
…………………….
………………………

กลุ่มเด็กนักเรียนกว่า 20 ถึง 30 คนซึ่งยืน ออกันเป็นฝูง อยู่กลางสนาม กำลังแหวกออกเป็น ทางให้คณะ ของ
มาริน่า เดินผ่านเพื่อเข้าไปยังอาคาร หมายเลข 5 ซึ่งเป็นอาคาร ที่อยู่ใกล้กับประตูทางออกโรงเรียนที่สุด
คณะของ มารีน่า เดินนำไปจนถึงหน้าทางเข้าอาคาร กลุ่มนักเรียน ที่ตามมาดู ก็หยุดเคลื่อนที่กันในทันที

มาริน่า และพวกเคียว ต้อง แปลกใจเล็กน้อยเพราะทุกคนต่าง แสดงสีหน้า หวาดกลัว และยังพากันชี้ไม้ชี้มือ
ไปยังกันสาดหน้าทางเข้าของอาคาร และเมื่อพวกเขาหันไป พวกเขาก็กระจ่างถึงสิ่งที่ทุกคนกลัว เงาสีดำ
ขนาดคนสามเงา ซึ่งมีดวงตา ส่องประกายในความมืด กำลังจ้องลงมายังพวกเขา

พวกนักเรียนเริ่ม แตกตื่น บ้างก็พากันวิ่งหนีออกห่าง บ้างก็คว้าเอา Note ขึ้นมาบันทึกภาพ
[ บอกไปหรือยังว่า Note เนี่ยสามารถบันทึกภาพเก็บลง Memory ในนามสกุลไฟล์ SAD(Spell Audio Data) ]
บ้างก็ส่องไฟฉายทีพกมา ขึ้นไปยังร่างเงานั้นบ้าง ทันทีที่ แสงไฟส่องไปยังร่างเงานั้น พวกมันทั้งสาม ก็หลบหายเข้าไปยังระเบียงอาคาร  มาริน่า และสององครักษ์ ไม่รอช้ารีบวิ่งตามเข้าไปทันที



“ เคียว คอยคุ้มกันอยู่ที่นี่ไม่ต้องตามเข้ามา เข้าใจนะ ”
มาริน่า ตะโกนสั่งกลับไปขณะที่วิ่งนำเข้าไปในตึก เมื่อเห็นว่า เคียว ชุติ และ แอน กำลังจะตามเข้ามา

“ ไม่ต้องมาสั่งน่า ”
เคียว ตะโกนกลับเสียงขุ่นด้วยความหงุดหงิด ขณะที่รวบตัว สองสาว กลับออกไป ก่อนจะแจง หน้าที่ให้ไป คอยคุ้มกัน พวกนักเรียน ที่มามุงดู ทว่าไม่ทันที่จะจัดทัพ ก็ถูกล้อมเสียแล้ว น้ำปริมาณมากไหล ออกมาจากท่อน้ำ
โดยไม่ทราบสาเหตุ จน เจิงนองไปทั่ว


ไม่นาน ก็มีบางสิ่งผุดขึ้นมาจาก น้ำขังที่เจิงนองอยู่ มันเป็นภูตร่างสีขาว ซีดราวกับกระดูก ผุดขึ้นมาจากน้ำ
ในมือ ถือหอกยาว มันไม่ได้มาเพียวหนึ่งหากแต่ผุดขึ้นมาจากน้ำเป็นร้อยๆ

“ อ..Aqua Wraith(เจตภูตวารี) ”
แอน กล่าวเสียงหลง ด้วยความตกใจอย่างที่สุด ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้



“ อควอเรธ อสูรอัญเชิญสายกองทัพเจตภูต ถึงแม้จะเห็นว่ามาเป็น กองทัพแต่จริงๆแล้วนั่นเป็นร่างที่แยกออกมา
เพราะมันเกิดจากคาถาอัญเชิญ เดียวกัน  ”
เคียว คิดขณะที่ประเมินสภาพของ ศัตรู

“ ย..เยอะขนาดนี้มันใช่อสูรไร้การควบคุมแน่เหรอ  ”
ชุติ กล่าว เสียงสั่นเมื่อต้องเจอกับกองทัพ ภูตผีที่มาโดยไม่ทันตั้งตัว

“ วิธี เดียวที่จะพิสูจน์ได้ ”
เคียว กล่าวจบก็ คว้างการ์ด ใบหนึ่งออกไปมันเป็นการ์ดมีหน้าที่ว่างเปล่า หลังการ์ดเป็นพื้นสี
ขาวประทับตรา แบบ การ์ด SMN ทั่วไปทันที ที่การ์ดพุ่งไปถึงกลุ่มของพวก เจตภูต การ์ดก็สลายตัวเองก่อนจะ
เกิดเส้นแสงวิ่ง ล้อมกรอบกลุ่มภูตไว้กลุ่ม

หนึ่ง เป็นลักษณะกรอบสี่เหลี่ยม พร้อมกับยกตัวขึ้นสร้างเป็นผนังแสงสีฟ้า จนมีลักษณะเป็นกล่อง
และเชื่อมปิดด้านบนจนล้อมขังไว้ทุกด้านกลายเป็นห้องๆหนึ่งที่ขังพวกเจตภูตไว้

 พวกมันพยายามจะทำลาย ผนังแสง ทุกวิถีทาง ทั้งหอกฟาดฟัน แทงใส่ผนัง ทว่าก็อาจสร้าง
ความเสียหายให้แก่กรอบผนึกที่ล้อมพวกมันเอาไว้ได้เลย

“ ผนึก! ”
/Sealing/
สิ้นคำของ เคียว คาสเทเน็ต Note ของเขาก็ตอบรับก่อนจะปลดปล่อยละอองพลังเวทย์สีเขียว ออกมา
รวมกันที่อุ้งมือ ของเขาจนราวกับสวมถุงมือ แสงสีเขียวไว้ทันทีที่ เขาตวัดมือลง

กรอบผนึกที่ ขังพวกเจตภูตเอาไว้ส่วนนั้น ก็หมุนเหวี่ยงอย่างรวดเร็วและบีบอัด ขนาดของกรอบลง
ก่อนจะเกิดแสงวาบขึ้น และหายไปพร้อมกับปรากฏการ์ด ที่ขว้างออกไปขึ้นมา หน้าที่เคยว่างเปล่าบัดนี้

ได้มีภาพของกองทัพเจตภูตวารี ที่ถูกผนึกเอาไว้ กับข้อมูลของการ์ดปรากฏขึ้น
 และหลังการ์ดที่เปลี่ยนเป็น สีน้ำเงินเช่น ซีลการ์ด ทั่วไป
ก่อนที่การ์ดจะพุ่งวกกลับมาที่มือของ เคียว

“ ผนึกได้ แสดงว่าพวกมันเป็น อสูรไร้การควบคุมจริงๆน่ะสิ ”
ชุติ กล่าวด้วยท่าทีเป็นกังวล

“ ถ้างั้นก็ต้องรีบหน่อยล่ะเพราะอสูรไร้การควบคุมอันตราย มากมันจะทำทำอย่าง
ด้วยความต้องการของมันเอง โดยไร้ซึ่งการควบคุม ถ้าไม่รีบหยุดเอาไว้ จะเป็นอันตารายได้ ”
เคียว กล่าวจบก็หันกลับไปเพื่อที่จะขอแรงพวกนักเรียน ที่มาดูการจับ ผีดูดเลือดของ พวกมาริน่า

แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะ ไม่มีใครที่มีใจกล้าจะสู้กันเลยเหลือก็เพียงแค่ สมาชิกชมรมSMN คนอื่นประมาณ สองสามคนที่มาช่วยเป็นกองหนุนให้

“ ช่วยกันต้านเอาไว้ อย่าพวกเข้ามาได้ รอจนกว่าประธานจะออกมา ”
“ รับทราบ ”
ทันทีที่ เคียว สั่งการจบ ชุติ แอน และพรรพวกอีก สามคน ต่างรับคำก่อนจะพากันไปประจำตำแหน่ง
ป้องกัน พวกนักเรียนคนอื่นๆ

…………..
……………….
……………………

“ วิโอริน สแตนบายน์  ”
/Sich Bereit Halten/(G(เยอรมัน): Get Set)
มาริน่า สั่งการให้ Note ของเธอเปลี่ยนรูปแบบ เป็นโหมดปลดปล่อยพลังมนตรา ทันทีที่ วิโอริน
รับคำ ก็ได้เปลี่ยนรูปจากจี้ห้อยคอ มาเป็นปลอกแขนจักรกล ประกอบเข้าที่แขนซ้ายของเธอ

ซึ่ง องครักษ์ทั้งสองของเธอ อิส กับ ฟรานซิสก้า ก็ได้ทำการ สแตนบายน์ เช่นกัน
เพราะขณะนี้ พวกเขาได้ไล่ต้อน เงาปริศนาทั้งสาม มาจนถึงทางเชื่อม อาคารหมายเลข 2กับ 5
แล้ว ทันทีที่ ข้ามผ่านทางเชื่อมมาได้ เงาทั้งสาม ก็แยกทางกันหนีทำให้พวกเขาต้องแยกกันตามไป คนละทิศ

โดย อิส วิ่งตามตัวที่หนีขึ้นบันไดไปชั้น ที่ 3 ฟรานซิก้า  ไล่ตามตัวที่วิ่งลงบันได ไปชั้น 1 ส่วน มาริน่า
วิ่งตามตัวที่ตรงไปตามทางเดิน ระเบียงตึก

…………
………………..

ถนน ที่ตัดผ่านหน้าโรงเรียน ซึ่งมีรถวิ่งน้อยในช่วงดึก  และยังมืดสลัวเพราะ มีเสาไฟเพียงไม่กี่ต้น
แสงไฟที่ส่องจากหลอดของเสาไฟ ได้ดับลงทีละดวงๆ ทุกครั้งที่เงาของบางสิ่งพุ่งผ่าน มันกระโดด

สลับขวาซ้ายไปเรื่อยๆ ตามเสาไฟ ก่อนจะหายลับเข้าไปยังตรอกซอย แห่งหนึ่งโดย มีโคทาโร่ วิ่งตามไปอย่างไม่ลดละ

“ เจอตัวจนได้ คราวนี้จะไม่ให้หนีเลยคอยดูสิ ”
โคทาโร่ สบถ ขณะที่เร่งฝีเท้าถี่ขึ้น ตามเจ้าเงานั้น เข้าไปในตรอก และวิ่งลัดเลาะตามตรอกที่มืดสนิท
จนออกมาถึง ลานกว้าง ซึ่งถูกทิ้งให้มีหญ้าขึ้นรกร้าง  ภายในลานพอจะมองเห็นสิ่งต่างๆอยู่บ้าง

 เพราะเมฆที่บังแสงจันทร์ เริ่มจะเคลื่อนตัวออก ทำให้แสงส่องลงมาแล้วแน่นอน นอกจากข้าวของที่พุพัง
ซึ่งถูกทิ้งไว้ ท่ามกลางลานสนามที่เป็นทราย ซึ่งมีหญ้า ขึ้นรก ร่างเงาปริศนานั้น ก็ได้ปรากฏขึ้นใต้แสงจันทร์

มันมีขนสีดำนิล ขนาดร่างที่ล่ำสัน กรงเล็บและเขี้ยวที่พร้อมจะฉีกกระชาก ศัตรูให้เป็นชิ้นๆ
มันเป็นมนุษย์หมาป่าที่มีดวงตาสีนิลทอประกาย เสียงหอนของมัน

หากฟังแล้วคงเย็นเข้าไปถึงกระดูกราวกับ ถูกแช่แข็งทั้งเป็น
ไม่นาน นักพระจันทร์ก็ ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับถูกย้อมด้วย โลหิต

“ มาราคัส สแตนบายน์ ”
/Get Set/
 สิ้นคำของ โคทาโร่ Note ของเขาก็เปลี่ยนรูปเป็นชิ้นส่วน จักรกลชิ้นย่อยๆสาม ชิ้นก่อนจะ
เข้าไปประกอบติดกับ แขนซ้ายจนกลายเป็นปลอกแขนจักรกลซึ่งมีฟันเฟือน ติดอยู่ที่กลางแขน
 
ทว่าทันทีที่ฟันเฟือนเริ่มหมุน มันกลับหมุนอย่างๆช้าโดยที่ ความเร็วของรอบการ
หมุนไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย ละออง แสงซึ่งเป็นพลังเวทย์ที่ปล่อยออกจาก เฟืองจึงน้อยตาม ไปด้วย

“ ชิ…ที่เสียหายไปเมื่อวานมีผลจริงๆด้วยสินะ มาราคัสช่วยเร่งพลังเวทย์ให้อีกหน่อย ไหวไหม ”
/I will try/ (จะพยายาม)
โคทาโร่ กล่าวขอให้ Note ของเขาเพิ่มรอบการหมุนเพื่อส่งพลังเวทย์ ซึ่ง มาราคัส เองก็พยายามเร่งรอบการหมุน
ของเฟืองอย่างสุดกำลังแต่ ความเร็วก็เพิ่มขึ้นมาไม่มากนัก

“ ชิ..สุดกำลังแล้วถ้าละอองเวทย์ เบาบางแค่นี้ล่ะก็ คงอัญเชิญ ซีล ระดับสูงไม่ได้ที่สุดก็ เลเวล 1 กับ
มิสติก อีกใบสองใบ ต้องลองเสี่ยงดู ”
โคทาโร่ คิดได้ดังนั้น ก็ไม่รอที่จะให้  เจ้ามนุษย์หมาป่า หนีหรือเข้ามาเล่นงาน เขารีบดึงไพ่ออกมาจากช่อง
สำรับซีล การ์ด ก่อนที่ละอองแสงจากเฟืองจะไหลมารวมกันที่ไพ่ ทันทีที่ ขว้างออกไป ก็เกิดแสงสว่าง

วาบขึ้นที่ไพ่ก่อนที่วงแสงจะขยายขึ้นและจางลง  พร้อมกับการปรากฏร่างของ นักสู้เด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ขึ้น นักสู้เด็กมีผมสีน้ำตาลแดง สวมสนับมือเหล็ก ไว้ที่ข้อมือทั้งสองข้าง ได้ตั้งท่าเตรียมสู้ เพื่อปกป้อง เจ้านาย

ในขณะที่ มนุษย์หมาป่ายังคงนิ่งเฉย ดูท่าทีของ เขา

“ ให้เราบุกเข้าไปงั้นเหรอ ”
โคทาโร่ คิด ก่อนจะหยิบไพ่จากช่องสำรับ มิสติก ขึ้นมาสองใบ ก่อนจะร่ายมันออกไป
สนับมือ ซึ่งประดับด้วย อรัญมณี (Gemmed Gauntlet) และสนับมือซึ่งติดมีดไว้ที่ปลาย
(Daimyo Gauntlet) ทั้งสองชิ้น ได้ปรากฏสวมเข้าที่มือทั้งสองข้าง ของนักสู้เด็กหนุ่ม




“ นักสู้ฝึกหัด อาคามุ(Akamu Inzu, The Apprentice Pugilist) จู่โจม ”
โคทาโร่ สั่งการจบ นักสู้เด็กนาม อาคามุ ซึ่งเป็นอสูรอัญเชิญที่เขาร่ายขึ้นมาก็บุกเข้าไปจู่โจม ใส่
มนุษย์หมาป่า ตนนั้น



“ หึ..ถึงจะรวมร่างไม่ได้ เพราะพลังไม่พอก็เถอะ แต่ระดับพลังของแกอย่างมากก็แค่  7 อาคามุ
มีความสามารถที่จะเพิ่มพลังเมื่อ มิสติกอุปกรณ์ ประเภท Gauntlet ถูกร่ายออกมา และบวกกับพลังของ
สนับมือพวกนั้น อาคามุ ของ ฉันอัดแกได้สบายๆอยู่แล้ว..อ… ”

โคทาโร่ ที่กล่าวอย่างได้ใจก็ต้องนิ่งชะงักไป เมื่อ อาคามุ ถูกมันซัดกลับ จนปลิวไปกองกับพื้น
อย่างง่ายดาย

“ อ..อะไรกัน ทั้งๆที่พลังของเราน่าจะเหนือกว่านี่แล้วทำไมกัน ”
ระหว่างที่ โคทาโร่ กำลังตะลึงใจอยู่นั้น เขาก็ไม่ทันที่จะระวัง
ก้อนหิน ซึ่งถูก เจ้าหมาป่าขว้างมา ก้อนหินพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ภาพนั้นสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา แต่มันก็สายเกินกว่าที่จะหลบเสียแล้ว ความแรงในการขว้างนั้น
เป็นระดับเดียวกับที่สร้างบาดแผลให้ ธนัท เมื่อคืนก่อน ซึ่งตอนนี้หินนั่นกำลังจะพุ่งเข้ามากระแทก

ตาของเขาให้ทะลุเสียแล้ว….ทว่าก่อนที เศษหินก้อนนั้นจะ ทันพุ่งเข้าใส่ โคทาโร่ ตุ๊กตามังกรซาลามันเดอร่า
สีแดงสด ก็ได้ถูกเหวี่ยงเข้ามาชนจนเศษก้อนหินนั้น เบี่ยงทิศไป ก่อนที่เจ้าตุ๊กตาซึ่งถูกแรงกระทบจนเด้ง
เข้าใส่หน้า เขาจนเซ เสียหลักล้มลงไปแทน โดยที่มี เจ้าตุ๊กตานั่งทับอยู่บนใบหน้า


“ ฮึ้ยยย..เจ้าบ้า นี่ดีนะที่ฉันตาม มาทันน่ะ ไม่งั้นป่านนี้ นายได้ปิดตาเป็นโจรสลัดแน่ ”
 เสียงของ ธนัท ดังก้องขึ้นมาขณะที่ โคทาโร่ พยายามย้ายก้นเจ้าตุ๊กตาซาลามันเดอรี่
ออกจากใบหน้าของเขา

“ นี่แก จะฆ่าฉันรึไงเกือบหายใจไม่ออกตายแล้วรู้ไหม ”
โคทาโร่ ตะคอกใส่ ขณะที่ ยันตัวลุกขึ้นมา

“ นี่ฉันช่วยนายเอาไว้นะ ยังจะมาตะคอกใส่ฉันแบบนี้อีกนี่เหรอวิธีตอบแทนน้ำใจ ของนายน่ะ ”
ธนัท ตะคอก กลับขณะที่คว้าเจ้าซาลามันเดอรี่ดอล ขึ้นมา

“ อ๋อ พูดงี้นายจะหาเรื่องใช่มะ ”
“ นายน่ะแหล่ะชวนตีก่อน ”
“ นายแหล่ะ ”
“ นายน่ะแหล…. ”
การโต้เถียงของทั้งคู่ต้อง หยุดลงเมื่อ ร่างของ อาคามุ ถูกเหวี่ยงมากระแทก จนโคทาโร่
ต้องล้มลงไปกองด้วยกัน โดยที่สภาพของ อาคามุ นั้นโทรมจากการต่อสู้กับ มนุษย์หมาป่าตนนั้น

“ เจ้านี่มัน ”
/Scanning/(ทำการตรวจสอบ)
ธนัท กล่าวยังไม่ทันไร คอรัส ที่แสตนบายน์ เป็นปลอกแขนไว้ก่อนแล้ว ก็เริ่มทำการวิเคราะห์
ก่อน แสดงผลการวิเคราะขึ้นจอโฮโลแกรม

[MoonShine WereWolf  At 9 DF 9 SP 4
Equipment: Bloody Moon 
Owner: None  ]

“ อย่างที่คิดจริงๆด้วย การที่ อาคามุ ซึ่งได้รับพลังทั้งจากความสามารถ และ มิสติก แล้วก็ยังไม่อาจชนะได้
ก็เพราะ มันได้รับการติดตั้ง มิสติก เอาไว้ด้วย แถมเพราะไม่มี เจ้าของเราก็เลยไม่สามารถ แชร์ข้อมูล
ที่ลงทะเบียนของมันได้ รู้แค่ ชื่อ กับค่าสถานะปัจจุบันเท่านั้นเอง ”
ธนัท กล่าวขณะที่เห็นค่าสถานะของอีกฝ่ายปรากฏขึ้นบนจอ 

“ ชิ…เพราะสู้กับมันเมื่อคืน ไดนาเมซ (Dynamaze) ของ มาราคัส ก็เลยเสียหายจนเพิ่มรอบการปั่น
เพื่อเร่งพลังเวทย์ไม่ได้ แม้แต่ Scanning Mode ก็หยุดทำงาน ตอนนี้ฉันใช้ได้แค่เท่าที่มีนี่ล่ะ ”
โคทาโร่ รายงานสถานะของเขา ตอนนี้ให้กับ ธนัท ขณะที่ช่วยพยุง อาคามุ ให้ลุกขึ้น

[Dynamaze คืออุปกรณ์ที่คล้ายกับไดนาโมพลังเวทย์ ที่เปลี่ยนพลังงานกลให้เป็น
พลังเวทย์แทนที่จะเป็นพลังงานไฟฟ้า ซึ่งในที่นี้ ก็คือเฟืองที่โผล่พ้นปลอกแขนขึ้น ซึ่งภายในเชื่อมกับ
อุปกรณ์แปลง พลังงาน ในที่นี้ จะใช้พลังเวทย์ขับเคลื่อน เฟืองก่อนเพื่อให้สร้างพลังเวทย์
มากขึ้น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเป็นอุปกรณ์เร่งพลังเวทย์นั่นเอง]

“ งั้นเหรอ..เอาเถอะฉันคนนี้มาช่วยนายแล้ว เดี๋ยวเจ้าหมาเนี่ย โดนซาลามันเดอร่า ของฉันเป่าทีเดียว
ก็จอดแล้ว วางใจได้เลย เอ้าออกมาเลยซาลามันเดอร่า ”
ธนัท กล่าวอย่างมั่นใจขณะที่ ย้ายมือขวาไปยัง ช่องเสียบสำรับ ซีล

………….
…………….

“ เป็นอะไรเหรอ แอน ทำไมดูเหม่อๆล่ะ ”
ชุติ กล่าวถาม ขณะที่เธอ คอยควบคุม เจ้าไก่เหล็ก ค็อกคาซี(Cocka-C) สกัดพวก เจตภูตวารี
(Aqua Wraith)ไม่ให้เข้าใกล้ 



“ แอน เป็นห่วง ธนัท หน่า เพราะเขาทิ้งการ์ดทั้งหมดเอาไว้ที่ห้อง ก่อนออกไป หนาซี่ ที่พอจะมีติด
ตัวไปก็ ซีลกับมิสติกอย่างละใบที่ เขาถือเอาไว้ตอนเล่นกับ แอน หน่า นี่ไงสำรับทั้งหมดของเขา  ”
แอน กล่าวจบ ก็ควักเอาสำรับ ของ ธนัท ขึ้นมา ซึ่งเกือบทั้งปึกอยู่ที่นี่

“ หวายตายแล้วอีตานั่น ทำไมถึงได้ลืมของสำคัญแบบนี้ไปได้ นี่ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไงล่ะเนี่ย
แถมดูแล้ว ที่หมอนั่นพกไปน่ะ แค่ ซาลามันเดอรี่ดอล กับ  ไลซิ่งซัน(Rising Sun) สองใบเอง  ”
ชุติ กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ ไม่ต้องห่วงหรอกมั้ง ทางนั้นมี โคทาโร่ อยู่ด้วยทั้งคนนี่หนา  ”
แอน กล่าวเสียงเหน่อ อย่างวางใจทำให้ ชุติ คลายความกังวลไปบ้าง

“ นั่นสินะ คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ..คิดว่างั้นนะ ”
ชุติ ลำพึงกับตัวเองขณะที่หันกลับไปรับมือ กับศัตรูต่อ

….แต่ในความเป็นจริงแล้ว…..

“ แว้กกก..ช่วยด้วย ”
ธนัท ร้องเสียง หลงขณะที่มือ ซ้ายควงเจ้าตุ๊กตาซาลามันเดอรี่ วิ่งหนีไปพร้อมๆกับ อาคามุ และโคทาโร่
ขณะที่ต้องวิ่ง ซิกแซกไปมา เพื่อหลบห่ากระสุนเศษหิน ที่แวร์วูฟแสงจันทร์
ระดมขว้างใส่ไม่หยุด ไปรอบลานกว้าง

“ ไหนว่าจะเป่ามันไง รีบๆทำเข้าสิ ”
“ ฉันลืม การ์ดทั้งหมด ไว้ที่ห้องชมรมตอนนี้ไม่มีอะไรจะสู้กับมันแล้ว ”

ไม่เป็นไรซะที่ไหน วิกฤติสุดๆเลยต่างหาก ตัดกลับไปที่ พวกมาริน่า ก่อนเถอะ

………….
………………

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #46 on: January 04, 2009, 06:17:21 PM »

ฝูงค้างคาวที่ บินพุ่งเข้าหา ค่อยๆถูก กระบองสั้น สองอันตวัดปัดจนร่วงหล่นไปทีละตัว
ก่อนที่ อิส จะต้องประกอบ พลองทั้งสองท่อนเป็นพลองยาว เพื่อรับการจู่โจมของ
เงาดำที่พุ่งเข้า มาในตอนท้าย

“ อึก..แรงเยอะจริงๆแฮะ ”
อิส กล่าวเสียงใสอย่างไม่ทุกร้อน ขณะที่ยังคงทำตัวสบายๆ อย่างใจเย็น

“ มนุษย์อย่างพวกแกไม่มี ทางทำอะไรข้าได้หรอก ตายซะ! ”
เงาดำที่เป็นเจ้าของเสียงกล่าว ก่อนที่ อิส จะถูกกรงเล็บของ อีกฝ่ายตวัดกระแทกจนกระเด็นไปกระแทก กับ
ราวระเบียง โดยพลองยาวนั้น หักเป็นสองท่อนจากการรับแรงปะทะเมื่อครู่

“ อัก..ท่าจะเล่นด้วยไม่ได้ซะแล้ว รีคอร์ดเดอร์ แสตนบายน์ ”
/Approntare/(I(อิตาลี):Get Set)
ทันทีที่ อิสกล่าวจบ รีคอร์ดเดอร์ ก็ทำการเปลี่ยนรูเป็น เกราะปลอกแขน ประกอบเข้าที่แขนซ้าย
ก่อนที่ อิส จะหยิบการ์ดซีล ขึ้นมาและร่ายออกไป

“ เห็นทีจะเลี่ยงไม่ได้ซะแล้ว แต่ก็อย่าให้อาคารเรียนเสียหายนักล่ะ มาร์วิน (Zechariah Marvin) ”
อิสกล่าวกับ อสูรอัญเชิญของเขา ที่เป็นจอมเวทย์หนุ่มน้อยซึ่งสวมเสื้อคลุมสีม่วง
ขณะที่ ตัวเขาทิ้ง พลองที่หักแล้วไป พร้อมกับชัก พลองใหม่อีกคู่ที่เสียบเข็มขัดไว้ขึ้นมาจาก
ก่อนจะ สะบัดให้มันยืดออกจากการพับเก็บ

“ เอาล่ะมาลุยกันเลย ”
อิส กล่าวเสียงเรียบ ท่าทีเปลี่ยนไปจากทุกครั้ง ดูสงบเยือกเย็นกว่าที่ผ่านมา ขณะที่ร่างของ เงาดำเมื่อครู่ค่อยๆปรากฏ ตัวขึ้น มันคือชายผิวซีดเผือดราวกับศพไร้ชีวิต ซึ่งสวมเสื้อสูทสีดำ และคลุมทับด้วยผ้าคลุมยาวย้วยระยาด
ที่มุมปากของชายผู้นั้น มีเขี้ยวยาวโง้งออกมาเล็กน้อย กำลังเดินตรงเข้ามา



[Data: อิสรพงศ์ วงศาธร  ชื่อเล่น:อิส Age: 14 Year    Deck: Marvin Change Form ]

…………
……………

เคร้ง! เคร้ง!

เสียงปะทะกันของ ดาบที่ ฟรานซิสก้า ประเข้ากับกรงเล็บของ ชายที่มีลักษณะเดียว กับ
ที่อิส ต่อกร ด้วย เธอกำลังเป็นฝ่ายไล่ต้อน จนเมื่อ เห็นช่องโหว่ของ ศัตรู ดาบอีกเล่มที่สะพายหลัง

ไว้ ก็ถูกชักออกจากฝัก ผ่าร่างของ ชายผู้นั้นจนขาดสองท่อน อย่างรวดเร็ว
ทว่า ร่างของของชายคนนั้น กลับแตกตัวเป็นฝูงค้างคาวก่อนจะกลับมารวมตัวกันใหม่
และฟื้นคืนสภาพอย่างสมบรูณ์

“ แวมไพร์(Vampirism) สสารมนตรา! สู้กับเจ้านี่เหมือนสู้กับผีที่ไม่รู้จักตายเลย ”
/Get Call/
“ ถูกแล้ว เพราะงั้นถึงต้องผนึกมันให้เร็วที่สุดยังไงล่ะ เพราะพวกมันไม่มีวันตาย
เพราะเป็น เพียง สสารมนตรา ที่ไร้การควบคุม การโจมตีทางฟิสิกส์ ทำให้พวกมันบาดเจ็บไม่ได้หรอก ”
ฟรานซิสก้า สบถยังไม่ทันขาดคำ ก็มีการติดต่อเข้ามาที่ Note ของเธอ
ก่อนที่เสียงของ มาริน่า จะดังขึ้นเช่นกันเสียงนี้ก็ถูกติดต่อเข้าไปที่ รีคอร์ดเดอร์ Note ของอิส ด้วย



“ ถ้างั้น ก็ต้องใช้พลังเวทย์ในการทำให้มันอ่อนแรงเพื่อให้ ผนึกเอาไว้ได้ง่าย ”
อิส กล่าวจบ ก็ถอย ออกมาตั้งหลักห่างจาก ร่างของเจ้า แวมไพร์ โดยปล่อย ให้ มาร์วิน อสูรอัญเชิญ
เผ่ามนุษย์สายจอมเวทย์ คอยร่ายเวทย์สกัด เอาไว้ ในขณะที่ปล่อยพลองในมือทิ้งไปก่อนจะ
 เอื้อมมือ ไปคว้าเอา แท่งโลหะ

ที่เหน็บเข็มขัดสะพาย เอาไว้ขึ้นมาข้างละสองแท่ง  ก่อนที่ ไดนาเมซ ของรีคอร์ดเดอร์จะเริ่ม หมุนเพื่อ
ปล่อยละอองเวทย์ออกมา  แท่งโลหะดูดซับเอาละออง แสงเหล่านั้นไว้ ก่อนที่ปลายข้างที่ยื่น

ห่างจากมือของ อิสจะกางออก และสร้าง ใบมีดลำแสงขึ้นมา จนดูรูปร่างของ มีดแล้วคล้ายกับ
กางเขนไขว้ 

“ เอาล่ะ เราไม่ใจบุญขนาดจะส่งวิญญาณร้ายอย่างแกไปสู่สุขคติเหมือน ในการ์ตูนหรือในหนังละครหรอกนะ
แกจะต้องถูกผนึกและมารับใช้ เราในฐานะพลังของเรา! ”
สิ้นคำ อิส ก็ขว้าง กางเขนมีดลำแสง นั้นออก ไ ป มีดทั้งสี่เล่ม พุ่งเข้าไปปักร่างของ เจ้าวิญญาณร้าย
มันร้องโอดครวญอย่างโหยหวน และทรุดลงอย่างอ่อนแรง ควันร้อนที่พวยพุ่งออกมาจาก

รอยบริเวณที่มีดปักลง ยิ่งออกมามากกว่าเดิมทันทีที่ มัน ถอนมีดออก ก่อนจะ โดดหลบ ไพ่ Seal Scroll
ที่ อิส ขว้างมา กรอบผนึกถูกสร้าง ขึ้นในทันที แต่ก็คว้าน้ำเหลวไปเพราะมันหลบได้ก่อนที่

จะล้อมขอบเขตเสร็จ
ทันทีที่ การผนึกไม่สัมฤทธิ์ผล กรอบผนึกก็สลายตัวไปพร้อมกับ
ไพ่ผนึกที่ขว้างไปก็ไม่กลับมาแต่ได้สลายหายไป


“ เจ้ามนุษย์ ชั้นต่ำข้าจะต้องเอาเลือด แกมาล้างคอให้ได้ ”
เจ้าแวมไพร์ กล่าวอย่างเคียดแค้น ขณะที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หมายจะ
ขย้ำคอของเขา ทว่าร่างของมันก็ถูกดาบ จำนวนนับสิบเล่ม

พุ่งปักร่างจน กระเด็นไปติดกับ ผนังห้องเรียน ทันทีที่มัน จะทำการสลายร่างเป็นค้างคาวเพื่อคืนสภาพ
ดาบอีกสามเล่มก็ ถูกเสกขึ้นมาก่อน จะพุ่งเข้าไปปัก ที่หัวใจของมัน ทำให้การคืนสภาพของมันต้องชะงัก
ซึ่งผู้ที่เสกดาบนั้นขึ้นมาก็คือ มาร์วิน ที่เปลี่ยนร่าง ไปสวมชุดเกราะสีแดงทอประกายดั่งทับทิม

“ อัก..เจ้าจอมเวทย์นั่น…นี่แก..อ็าคคคค! ”
ไม่ทันที่เจ้าผีดูดเลือด จะได้กล่าวต่อ อิส ก็ชักเอามีดลำแสงอีกเล่มขึ้นมาจากเข็มขัด
ก่อนจะปักลง ที่หน้าผากของมัน

“ หยุดพูดเถอะ..รำคาญเสียงแกจะแย่อยู่แล้ว ”
อิส กล่าวจบก็ปล่อย ไพ่คาถาผนึก Seal Scroll ลงไปยัง พื้นเกิดกรอบผนึกขึ้นล้อมร่างของ มันไว้
ขณะที่ อิส  ถอยออกมา

“ ผนึก! ”
สิ้นคำพร้อมกับการ ตวัดมือที่อาบพลังเวทย์เอาไว้ กรอบผนึกก็บิดตัวและหดขนาดบีบอัด ร่างของเจ้า แวมไพร์ ลง
ก่อนจะกลับเป็นการ์ดที่มี รูปของมันและคำอธิบายอำนาจ ของมัน พร้อมกับหลังการ์ดที่เปลี่ยนเป็นสีแดง
แบบมิสติก การ์ดทั่วไป ก่อนจะวกกลับไปยังมือของเขา

“ หว้า..ผนังห้องสึกหมดเลยช่างเถอะ รีบเก็บข้าวของแล้วไปสมทบกับประธาน ดีกว่า ”
อิส กล่าวขณะที่ ก้มลงเก็บพลองที่ทิ้งไป มีดลำแสงที่กลับสภาพเป็น แท่งโลหะตามเดิม เพราะไม่มีพลังเวทย์หลงเหลืออีกแล้ว

………..
…………….

“ ผนึก! ”
สิ้นเสียง กรอบผนึก ก็บีบอัดร่างของ แวมไพร์ ที่ถูกขังเอาไว้และกลับสภาพเป็นการ์ดในทันที
ก่อนจะวกกลับไปที่มือ ของ ฟรานซิสก้า ผู้เป็นเจ้าของ เธอเก็บไพ่ใบนั้นลงในช่องสำรับมิสติก
ที่ปลอกแขนก่อนจะ เดินวกกลับขึ้นบันได ไปยังชั้นสอง โดยเร็วที่สุด

…………..
…………….

เจ้าแวมไพร์ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ ซึ่งกำลังหนีจากการตามล่าของ มาริน่า อย่างไม่คิดชีวิต
ในขณะที่มันหันกลับไปก็ไม่มีใคร ตามมันมาแล้ว ฝีเท้าจึงผ่อนลง ด้วยความเหนื่อยล้า
ที่พ่วงมากับความเบาใจ

/Teleportation/ (เคลื่อนย้ายพริบตา)
เสียงก้องกังวานดังขึ้นก่อนที่ ร่างของ มาริน่า ปรากฏขึ้นต่อหน้ามัน พร้อมกับ Seal Scroll ที่อยู่ในมือของเธอ
จะถูกวางลงบนหน้าผากของมัน กรอบผนึกได้ถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ อย่าคิดว่าจะหนีฉันคนนี้ไปได้เลย..ผนึก! ”
 สิ้นคำ กรอบผนึก ก็บีบอัดร่างของมัน และผนึกมาอยู่ในรูปของ การ์ด
ขณะที่ เธอเก็บ การ์ดที่ผนึกมาได้องครักษ์ทั้งสองก็ได้ตามมาสมทบ พอดี

“ เอาล่ะงานบนนี้เสร็จแล้ว เราลงไปช่วยเจ้าพวกนั้นดีกว่า ”
มาริน่า กล่าวเสียงเรียบ ขณะที่เบือนสายตา มองจากระเบียงอาคารเรียนลงไปยังสนาม ซึ่ง
เต็มไปด้วยกองทัพของ เจตภูตวารี นับร้อย กำลังรุมทึ้ง พวกนักเรียนที่อยู่ข้างล่าง

………………..
……………………



“ อาคามุ โจมตีอีกครั้ง ”
สิ้นคำของ โคทาโร่ อาคามุ ได้บุกเข้าจู่โจมอีกเป็นครั้งที่สองในทันที

“ Rising Sun ”
ธนัท กล่าวขณะที่ร่ายการ์ดของตนออกไป เกิดมวลแสงสว่างทรงกลมขึ้น หลังจากที่การ์ด ดูดซับพลังเวทย์
จนเต็ม อาคามุ ก็สามารถโต้ตอบ แวร์วูฟแสงจันทร์ได้ในทันที

“ แจ๋ว! เพราะGemmed Gauntlet จะเพิ่มพลังให้ทุกๆครั้งที่ต่อสู้ พอบวกกับพลังของ ไลซิ่งค์ ซัน
ก็มีลังเหนือกว่ามันแล้ว ”
ธนัท กล่าวเสียงใสในขณะที่พวกตนกำลังเป็นต่อ

“ ดีล่ะ อาคามุ เอาให้หมอบจะได้ผนึกมันซะที ”
โคทาโร่ กล่าวจบ ยังไม่ทันที่ อาคามุ ของเขาจะได้ทันทำตามคำสั่ง
แวร์วูฟแสงจันทร์ ก็ทะลวงกรงเล็บของมัน ทะลุร่างขง อาคามุ ก่อนที่ร่างจะคงสภาพ
ไม่ได้และแตกสลายกลับเป็น การ์ดดังเดิม

“ อ..อะไรกัน ”
โคทาโร่ อุทานด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา อาคามุ ของเขาแพ้ไปแล้ว
ในขณะที่ ธนัท ไม่รอที่จะตรวจสอบ อีกฝ่ายในทันที

“ นี่มัน ”
ทันทีที่ผลการตรวจสอบออกมา ธนัท ก็ต้องอุทานออกมาด้วยอีกคน


[MoonShine WereWolf  At 11 DF 9 SP 4
Equipment: None  , Owner: None , Ability :Active  ]

ค่าที่ปรากฏบนจอนั้นสร้างความตกตะลึงให้แก่ทั้งสองอย่างยิ่ง เมื่อจู่ๆพลังของศัตรูกลับเพิ่มขึ้นอย่างไร้สาเหตุ

“ ท..ทำไมกันหรือว่ามันรวมร่างอยู่ ”
ธนัท กล่าวเสียงผวา กับค่าที่อ่านได้

“ นี่มัน..ดูดีๆสิ มีข้อมูลของมันเพิ่มขึ้นมาจากเดิมที่อ่านได้ แสดงว่ามันต้องทำอะไรซักอย่าง ”
โคทาโร่ แย้งให้มองถึงความแตกต่างของ จอข้อมูลที่เปลี่ยนไป

“ จริงด้วยถ้าลองดูดีแล้วตะกี้มันไม่ข้อมูลของ Ability นี่แสดงว่าเจ้านั่นใช้ Ability
ไปงั้นสิ ”
ธนัท กล่าว ขณะที่สามารถไขความลับของสาเหตุที่อีกฝ่ายมีพลังเพิ่มขึ้น

“ เกี่ยวกับเรื่องนั้น นายช่วยตรวจสอบให้ทีนะ ฉันจะต้านมันไว้ให้ ”
โคทาโร่ กล่าว ขณะที่เก็บซีลการ์ด กับมิสติก ที่ย้อนกลับมาแล้ว

“ เดี๋ยวสิแล้วนายจะสู้ยังไง ซีลนายหมดสภาพไปแล้วนะ แถมไดนาเมซ  ที่พังอยู่นั่น
 ก็ยังต้องรอชาร์จพลังเวทย์อีก กว่าจะใช้ซีลได้อีกก็… ”
ธนัท ต้องเงียบไปก่อนจะได้ทันกล่าวอะไรต่อ เพราะ แวร์วูฟแสงจันทร์ ได้พุ่งเข้ามา
โดยไม่ให้พวกเขาตั้งตัว ทว่าโคทาโร่ ก็สามารถ สกัดการโจมตีนั้นไว้ได้ ก่อนที่จะลากมันอกไปให้ห่างจาก ธนัท

“ อย่าลืมสิว่า ฉันเป็น DNA-Changer น่ะ นายคอยตรวจสอบให้ดีก็แล้วกัน ถ้าจะให้ดีก็อย่านาน..นักล่ะ ”
โคทาโร่ กล่าวท้ายเสียงสะดุด เล็กน้อย ทำให้ ธนัท พึ่งสังเกตว่า ผ้าพันแผลใต้เสื้อนักเรียนของ โคทาโร่ เริ่มจะเป็นสีแดง เรื่อๆ

“ นี่นายปากแผลเปิดแล้วงั้นเหรอ  ”
ธนัท กล่าวตะคอกเสียงด้วยความตกใจ

“ เอ่อสิ ไม่ใช่แค่เปิดแต่โดนเพิ่มด้วย ”
โคทาโร่ กล่าว ก่อนที่จะถอดเสื้อที่คลุมอยู่ออก บริเวณแขนและหัวไหล่ กับตามลำตัวนอกจาก ที่ผ้าพันแผลปิดไว้แล้ว ก็มีปากแผลที่เลือดอาบซิบๆ อยู่ไปทั่ว ผ้าพนแผลบางที่ก็ฉีกขาดไปแล้ว

“ เพราะงั้นอย่านานนักล่ะ ถ้าฉันตายไปซะก่อนนายก็ไม่รอดนะเฟ้ย รีบๆเข้าล่ะ ”
โคทาโร่ กล่าวจบก็กางกรงเล็บพร้อมกับกระโจนเข้าใส่ แวร์วูฟแสงจันทร์


“ ฮึ้ยย..เจ้าบ้าคิดอะไรของเค้ากันนะ เจ็บขนาดนั้นแท้ๆยังจะเข้าไปสู้อีก ชแต่ก็จริงอย่างว่าถ้าเราไม่รีบล่ะก็
ทั้งนายและฉันคง.. ”
ธนัท คิดก่อนจะส่ายหัวเพื่อสลัดความกังวลไป

“ ไม่ได้สิเราจะมัวกังวลอยู่ไม่ได้ หมอนั่นยอมสู้เพื่อถ่วงเวลาให้เรา ต้องรีบหาทางเอาชนะมันให้ได้
ว่าแต่ทำไมอยู่ๆ Ability ของมันถึงทำงานขึ้นมาล่ะ ไม่มีเหตุผลเลย ทั้งที่สู้กันตอนแรก Ability
 มันก็ไม่ทำงานหรือว่าเงื่อนไขของการทำงานสามารถควบคุมได้ ส่วนใหญ่แล้วเงื่อนไขแบบนี้มัน

จริงสิ แล้วมิสติก อุปกรณ์ ที่เจ้านั่นสวมอยู่ไปไหนซะแล้วล่ะ หรือว่าเป็นผลของ มิสติกการ์ด
 แต่ถ้าเป็นยังงั้นจริงที่ ช่อง มิสติก ก็น่าจะยัง Active อยู่สิแล้วมันหายไปได้ยังไง ”

ธนัท คิดก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองบนฟ้า วินาทีนั้นเขาก็ฉุกคิดขึ้นได้ทันที เมื่อเห็น
ว่าดวงจันทร์ กลับมาเป็นสีเดิมแล้ว และเมื่อหันสายตากลับมามองการต่อสู้ของ มันกับ โคทาโร่
ในหัวของเขาก็เริ่มจะตีความทุกอย่างออกแล้ว

“ จะว่าไปแล้ว ตอนนี้มิสติกนั่นก็ไม่ได้แสดงผลแล้วนี่  แสดงว่ามันถูกทำลายหรือหมดผลไปแล้ว
ส่วนตัวมัน ถ้าดูดีๆแล้วก่อนนี้ยัง ขว้างก้อนหินบ้าง ไล่งับบ้างจู่โจม สะเปะ สะปะ ไปทั่ว
แต่ตอนนี้กลับ บุกโดยใช้ หมัดกับขาอย่างเดียว อย่างกับว่ามีอะไรบังคับให้มันเปลี่ยนรูปแบบการจู่โจม
หรือว่า… ”

ธนัท คิดได้ดังนั้น ก็ทำการเรียกจอโฮโลแกรม ขึ้นมาอีกครั้ง

“ คอรัส ช่วยตรวจสอบเกี่ยวกับท่าจู่โจมที่ใช้ในตอนนี้ แล้วก็ Ability ที่ต้อง Sacrifice Mystic
ที่มีความสัมพันธ์กับ การเปลี่ยนท่าจู่โจมที ”
/Yes Sir/(รับทราบ)
ธนัท สั่งการ คอรัสเริ่มทำการสำรวจทันทีหลังจากรับคำแล้ว ไม่นานนักผลการตรวจสอบก็แสดง
ขึ้นบนจอโฮโลแกรม

[Action Attack: Full Moon Party At 11 Type: Triple Combination

Ability ที่สัมพันธ์กัน เมื่อต่อสู้;โจมตี;ถูกโจมตี สามารถ Sacrifice Mystic;การ์ด x;1ใบ และเลือกท่ารวมร่าง 1ท่าจากนั้นถือว่าอยู่ในสภาพนั้น  ]

“ ดีล่ะถ้าลองเอาข้อมูลของมัน ไปเชื่อมต่อกับ ฐานข้อมูล Data Base ที่เป็นทางการ
ของ Magic Cyber ล่ะก็..สำเร็จได้ข้อมูลของมันแบบ ครบถ้วนมาแล้ว ”
ธนัท กล่าวอย่างลิงโลด เมื่อสามารถค้นหาข้อมูลของ อีกฝ่ายมาได้แล้ว

“ เมื่อ MoonShine WereWolf  ต่อสู้สามารถเลือก Sacrifice การ์ด 1 ใบแล้วเลือกท่ารวมร่าง 1 ท่า
จากนั้นถือว่าอยู่ในสภาพรวมร่างนั้นจนจบ Sub-Turn นี่สินะสาเหตุที่พลังของเจ้านั่นเพิ่มขึ้น..แต่ ”
ธนัท อ่านไปได้ซักพักก็ต้อง เงียบเสียงไป



“ จนจบ Sub-Turn น่ะถ้านี่เป็นการดวล ล่ะก็แค่รอให้อีกฝ่ายสั่งผ่านก็หมดซับเทิร์นแล้ว
แต่นี่เป็นการต่อสู้ไม่ใช่การ ดวล การกำหนดตาในการเทิร์นของแต่ละคน

จะแยกกัน ด้วยการตัดสินใจของตนเอง ดังนั้น หากเจ้านั่น ยังไม่ทำจนถึงจุดที่ตัวเองคิดว่า หมดเทิร์น
แล้ว ผลนั้นก็จะยังแสดงไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นแบบนั้นการกำหนด เทิร์นในครั้งนี้ก็คือ
ฆ่าเราสองคนทิ้ง จะนับว่าจบเทิร์นของมัน  ”
ธนัท คิดได้ดังนั้น ก็เริ่มที่จะสิ้นหวัง เพราะด้วย ไพ่ที่เขามีอยู่ไม่อาจเอาชนะได้เลย

“ ทำไงดี การ์ดที่เรามีไม่สามารถทำอะไรได้เลย แถม ไดนาเมซ ของเจ้าโคทาโร่ ก็ดันมีขีดจำกัด
จะร่ายการ์ดช่วยสนับสนุน มาเต็มที่ยังไงก็ตาม มากที่สุดเมื่อกี้ก็คือ ทำให้ซีล เลเวล 1 มีพลังพุ่ง
สูงสุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ก็ยังเอาชนะมันไม่ได้เลย นี่ถ้ามี ซีลที่มีพลังมากกว่านี้ล่ะก็.. ”
/Get Call/
ธนัท ที่กำลังจะหมดหวังอยู่นั่นเอง จู่ก็มีสายติดต่อเข้ามา ซึ่งนั่นคงจะเป็นความหวังที่
โผล่ขึ้นมาในวินาทีสุดท้ายนี้ เขาไม่รอช้ารีบ สั่งให้ คอรัส ต่อสายทันที

« Last Edit: January 04, 2009, 08:42:03 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #47 on: January 04, 2009, 06:17:37 PM »

“ เจ้า หนูนี่ฉันเองนะ ”
เสียงของมาริน่า ดังขึ้น ก่อนที่จอโฮโลแกรม ซึ่งฉายภาพและเสียงของเธอจะถูกแสดงขึ้นมา

“ ป..ประธาน เหรอครับ ”
ธนัท ตอบเสียงหลงด้วยความไม่นึกฝันว่า มาริน่าจะเป็นคนติดต่อเข้ามา

“ เอ่อสิ ตอนนี้ฉันกำลังจับตาแก ผ่านทางโทรจิต กำลังลำบากเลยสินะ เจ้าลูกหมานั่น
อีกสักพัก ก็คงหมอบล่ะมั้ง ”
เสียง ของมาริน่า กล่าวออกมาราวกับว่าเห็นสถานการณ์ ตอนนี้อยู่จริงๆ
ตอนนี้ โคทาโร่ เริ่มที่จะหมดแรงและ เป็นถูกซ้อม อยู่ฝ่ายเดียวแล้ว

“ ประธาน ขอร้องล่ะครับมาช่วยทางนี้หน่อยเถอะ.. ”
“ ยากซะล่ะ! ”
ธนัท กล่าวยังไม่ทันจบ มาริน่า ก็ขัดไว้ก่อนทันที

“ ทางนี้เองก็กำลังยุ่งๆอยู่เหมือนกัน แกคงต้องหาทางเอาเองแล้วล่ะ ”
ภาพของมาริน่า ที่ปรากฏบนจอโฮโลแกรม นั้นกำลังสู้อยู่กับ พวก เจตภูต ที่ปิดล้อมอาคาร
ไว้ไม่ให้พวกเธอออกไป ช่วยคนอื่นๆได้ทำให้ธนัท ต้องคอตกอย่างหมดหวัง

“ นี่ฉัน มีทางออกให้แกอยู่ทางหนึ่ง Synchronize ไงล่ะ  ”
มาริน่า กล่าวเสียง เรียบในขณะที่ ธนัท เมื่อๆได้ยินประโยคดังกล่าว ดวงตาก็เบิกกว้าง
หัวใจเต้นรัวแรงด้วยความตื่นเต้น ชนิดแทบจะหยุดเต้นเอาเสียให้ได้

“ นี่หมายความว่า จะให้ทำสัญญากับ หมอนั่นเนี่ยนะ..ไม่เอาเด็ดขาดคร้าบบบ ”

“ อ้าวไม่ดีเหรอหรืออยากจะตาย ”

“ อันนั้นก็ไม่อาววว ไม่มีทางอื่นเลยหรือไงคร้าบเนี่ย ”

“ อ้าวๆๆ ดูท่าเจ้าลูกหมานั่นจะไม่ไหวซะแล้วล่ะ รีบตัดสินใจละกันนะ วิธีการแกก็รู้
อยู่แล้ว อีกอย่างไม่ใช่ครั้งแรกซักหน่อยแค่นี้ล่ะ ”

“ แต่ประโยคร่าย ลิเก เรียกพี่แบบนั้น เจ้าหมอนั่นมันจะยอมเหรอคร้าบเดี๋ยวสิประธาน..ประธานคร้าบ ”

ตรู้ดด ตรู้ดด…..

บทสนทนาของทั้งสองเป็นอันต้องจบเมื่อ มาริน่า ตัดสายไปกลางคัน

“ เอาไงดีล่ะเนี่ย จริงอยู่ถ้าทำสัญญาแล้ว  Synchronize ก็จะทำให้เกิดซีล
ที่มีพลังรูปแบบใหม่ขึ้นมา แต่ไม่ว่ายังไง…..ประโยคลิเก เรียกพี่ แบบนั้นหมอนั่นมันจะยอมจริงๆเร้อ  ”
ธนัท คิดหน้านิ่วคิ้วขมวด ขณะที่ต้องตัดสินใจ นั้น เวลาก็ไม่มีให้คิดอีกแล้ว เพราะ โคทาโร่
ตอนนี้หมดซึ่งเรี่ยวแรง ที่จะต่อกรไปแล้ว ขณะถูก เหวี่ยงกลิ้งมาล้มต่อหน้า ธนัท

“ เอาวะ..ทำก็ทำไม่มีทางเลือกแล้วนี่ ”
ธนัท ตัดสินใจได้เสร็จ ก็ ควักเอา Seal Scroll ขึ้นมาสามใบก่อนจะวางมันลงพื้น  ก่อนจะลากร่างของ โคทาโร่ เข้ามา
ในกรอบ ที่ Seal Scroll ล้อมเอาไว้ ก่อนจะให้ คอรัส ทำการผนึกกรอบให้สมบรูณ์ เพื่อป้องกัน

ไม่ให้มันเข้ามา โจมตีเอาได้ง่ายๆ

“ ชิ..จะผนึกมันเลยตรงๆก็คงไม่ไหวเหมือน กันขนาดกางไว้สามชั้นยัง สะเทือนมาถึงนี่เลย ”
ธนัท รำพึง ก่อนจะหยิบเอา สมุดบันทึกเล่มเล็กๆขึ้นมาและเปิดมันออกๆไล่ไปเรื่อยๆจน
เจอหน้าที่ต้องการ

“ นี่นายคิดจะทำอะไรน่ะ ”
โคทาโร่ ที่พึ่งจะฟื้นสติ กล่าวอย่างอิดโรย ขณะที่ยันตัวขึ้น นั่ง

“ ฟื้นแล้วก็ดีเลย คืองี้นะ ”
ธนัท กล่าวจบก็เริ่มอธิบาย ขั้นตอนให้ฟังในทันที

…………..
…………………


“ มากันไม่หยุด ไม่หย่อนจริงๆนะ ”
เคียว สบถขณะที่ พวกเขาเริ่มจะต้านพวก เจตภูตวารี เอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว

“ ได้เท่านี้สินะ…. ”
 ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอย่างหวาดผวาของ เหล่านักเรียน ได้มีเสียงหนึ่งกระซิบขึ้นอย่างเงียบๆ
ด้านหลังใบหู ของเคียว ทันทีที่ เขาหันกลับไป  นักเรียนชายรุ่นพี่ราวเดียวกับ มาริน่า และฟรานซิสก้า เค้ามีผมสีขาวราวหิมะ ได้เดินอ้อมหลังเคียว ขึ้นมา ข้างหน้า อย่างสงบเสงี่ยม เขาเดินเข้าหาฝูงเจตภูตวารี อย่างไม่เกรงกลัว

“ ทีเนอร์(Tenor)สแตนบายน์ ”
/Get Set/
สิ้นคำ Note ของเขาก็เปลี่ยนจากจี้ห้อยคอ เป็น เกราะปลอกแขน ก่อนที่เฟือง ไดนาเมซ จะหมุนอย่างรวดเร็ว
จนเกิดละอองแสง ขึ้นคละคลุ้งไปทั่ว  จนแทบจะมองไม่เห็นร่างของเขา และ กลุ่มภูตวารีที่อยู่ข้างหน้า

ภาพสุดท้ายที่เห็นคือ  พวกเจตภูต หันไปรุมทึ้งเขาแทน เพราะละอองพลังเวทย์ที่หนาแน่น มากทำให้ไม่สามารถมองอะไรในนั้นได้อีกเลย  เพียงครู่เดียวเท่านั้น  ปลายดาบขนาดยักษ์สี่เล่ม ก็ได้โผล่พ้น กลุ่มหมอกละอองแสงออกมา ก่อนที่ จะพุ่งขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับ อะไรบางอย่างที่รวดเร็วเสียจนมองตามไม่ทัน

“ เรายืนอยู่บนจุดสูงสุดของทุกสรรพสิ่ง ผู้ที่กวัดแกว่งดาบแทนพระผู้เป็นเจ้า Sacred Sword Bounding ”
เสียงซึ่งฟังดูสงบเยือกเย็น ได้ดังขึ้นอย่างเงียบเชียบ เสี้ยววินาทีนั้น ดาบยักษ์ ทั้งสี่เล่มก็พุ่งลงไปยัง
เบื้องล่าง ที่ใจกลางทัพของ พวกเจตภูตวารี ทั้งสี่ทิศ ก่อนที่จะเกิด เส้นแสง ลาก วางอาณาเขต
 
ล้อมสนามทั้งหมด เอาไว้ก่อนที่พื้นจะเรืองแสงสว่างจ้า เสียจนทุกคนต้องปิดตา แสงจ้าอยู่ชั่วครู่ก่อนที่
จะจางลงทันทีที่ ทุกคนเปิดตาขึ้นภาพตรงหน้านั้น สร้างความอัศจรรย์ใจให้แก่พวกเขายิ่งนัก
เมื่อพวก เจตภูตทั้งหมด ต่างสลบแน่นิ่ง แล้วยังถูกขังเอาไว้ในกรอบผนึก ขนาดใหญ่ 6 กรอบ

ไม่นานกรอบผนึกก็บีบอัดตัวเพื่อผนึกพวกมันเอาไว้ในการ์ด และลอยกลับไปหาเจ้าของผู้ผนึก ที่ยืนอยู่บนร่างของ
จักรกล ซึ่งมีปีกสีขาวนวล และส่องรัศมีออกมาราวกับทูตสวรรค์  โบยบินอยู่เหนือสนาม

“นั่น คิระ นี่ เค้ากลับมาแล้ว ”
“ รองอันดับ 2 ของประเทศที่เป็นคณะประธานสูงสุดของชมรม SMNโรงเรียนเราน่ะเหรอ ”
“ สุดยอดพลังเหลือร้ายจริงๆ ”
“ นึกว่า วางมือไปแล้วซะอีก ”
เสียงพูดคุยที่ดังอลหม่านขึ้น ไปทั้งสนาม ต่อการปรากฏตัว ของอสูรอัญเชิญ ที่ชายซึ่งถูกเรียกว่า คิระ ร่ายออกมา


“ นั่นใช่ คุณ คิระ จริงๆน่ะเหรอ  ”
ชุติ กล่าวถามด้วยความไม่แน่ใจ

“ ไม่ผิดแน่อสูรอัญเชิญตัวนั้นเขาคือ อนุชิต นิมิตการดี หรือที่ใครๆเรียกว่า คิระ  มือสังหารแห่งพระเจ้า ”
เคียว กล่าวขณะที่สายตา ยังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของ ทูตสวรรค์จักรกล ตัวนั้น

ขณะเดียว กันพวกภูต ที่ออกันอยู่หน้าตึกเรียน ที่คอยสกัดพวก มาริน่า เอาไว้ เลยรอดจากการ
ทำลายแบบล้างบางของ คิระ มาได้ ก็ไม่วายถูก มาริน่า ผนึกจนครบทั้งหมด ทันที
ที่กลุ่มของ มาริน่า เดิน ออกมานอกอาคาร ก็มีอาการตกใจอยู่บ้างที่ได้เห็น อสูรของ คิระ

“ มือสังหารแห่งพระเจ้าออกโรงเองเลยเหรองั้น ก็คงไม่มีอะไรให้ทำแล้วล่ะมั้ง ”
ขณะที่ มาริน่า กล่าวอย่างสบายอารมณ์อยู่นั้น ก็มีเจตภูตวารี ตนหนึ่งที่ยังไม่ถูกผนึก พุ่งเข้ามา
หมายจะแทงหอกลงไปยังร่างของ เธอ โดยที่เหล่าองครักษ์ ซึ่งล้าแล้ว ไม่อาจทันรับมือ

ฉัวะ!

เสียงร่างของมันถูกคมเคียวตัดควงผ่าร่างของมัน ดังขึ้น ก่อนที่มันจะขาดเป็นสองท่อน
และเคียวควงวก กลับมา โดยที่ใบมีดของเคียวนั้น แปะ  Seal Scroll เอาไว้ทันทีที่

เคียวควงกลับมาถึงจุดที่ร่างของมันลอยเคว้งอยู่  Seal Scroll ก็ทำงานกรอบผนึกถูกสร้าง
ขึ้นก่อนจะ ผนึกมันเป็นการ์ดในที่สุด ก่อนจะวก กลับไปหาเจ้าของ ที่ปาเคียวนั้นมา

ร่างของ ยมทูตซึ่งกระชับเคียวไว้ในมือ เดินคู่มากับ ชายผมตั้งคนหนึ่ง ออกมาจากมุมมืดของตึก

“ ไม่เจอกันซะนาน..อย่าให้ต้องคุยแบบไม่มีหัวสิ ”
ชายคนนั้นกล่าว เพราะเงาของกันสาดทำให้มองไม่เห็นหน้าของเขา

“ คนที่จะทำฉันหัว กุดก็คือแกนั่นแหล่ะ แต่ก็เอาเถอะถือว่าหายกันไป ว่าแต่เรื่องที่
ขอไปล่ะเป็นไง..ช่วยแจงมาให้ละเอียดด้วยนะ…ภูเขา แห่งยมราชเคียวทมิฬ ”
มาริน่า กล่าว ขณะที่ถอยให้แสงจันทร์ ส่องไปที่ใบหน้าของชายผู้นั้น
ภูเขา ที่เคยปราชัยให้กับ ธนัท ไปแล้วกำลังยืนฉีกยิ้ม ด้วยความสำราญ

………..
…………….


“ ห..หา! ต้องพูดแบบนั้นด้วยเหรอ ”
โคทาโร่ ร้องเสียงหลงทันทีที่ ได้ฟังขั้นตอนต่างๆจาก ธนัท

“ นายพูดคนเดียวซะที่ไหนเล่า แล้วก็ใช่ว่าฉันอยากพูดนักหรอกนะ แต่ทำไงได้
บทร่ายมันเป็นพิธีกรรมตั้งแต่ ร้อยกว่าปีก่อนแล้วนี่ ทำๆไปเหอะ หรืออยากจะตายกันหมดนี่ล่ะ ”
ธนัท พยายามหว่านล้อมให้ เขายอมรับ ทว่าสายตาของตัวเขาเองนั้นยังคงบ่งถึงความไม่อยากอยู่อย่าง
ปฏิเสธ เสียไม่ได้อย่างชัดเจน

“ เฮ้อ..เออ เอาก็เอา ”
โคทาโร่ ถอนหายใจด้วยความเอือมระอา ก่อนจะตอบตกลง

“ เฮ้ย!เอาจริง ดิ..ง่ายๆงี้เลยเหรอ ”
ธนัท อุทานด้วยความแปลกใจ ที่โคทาโร่ ยอมรับข้อเสนออย่างง่ายดาย

“ เออสิ..ขืนชักช้าอยู่แบบนี้ ได้ถูกฉีกเป็นชิ้นๆกันพอดี ”
โคทาโร่ เร่ง ธนัท ในทันที เพราะผนึกที่คุ้มกันพวกเขาไว้แตกทลายลงมาถึงชั้นที่สองแล้ว

“ การทำ Synchronize ทั้งฉันและนายจะต้องปรับคลื่นจิต ของเราให้ตรงกันแล้วร่ายคาถา
พร้อมกับแลกเปลี่ยน พลังเวทย์ในร่างผ่านการสัมผัสตัว ซึ่งจุดที่มีพลังมากที่สุดและง่ายต่อ

การถ่ายเทแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน  ก็คือหน้าผาก หลังจากทำพิธีจบ เราต้องเอาหน้าผากชนกัน
เพื่อแลกเปลี่ยนพลังเวทย์ซึ่งกันและกัน แล้ว วงแหวนแห่งพันธะจิต ก็จะปรากฏขึ้น
 เท่านี้การผูกสัญญาก็จะเป็นอันเสร็จสิ้น ”
ธนัท กล่าวอธิบายก่อนจะ ควักเอา Seal Scroll ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงอีกใบ
แต่ยังไม่ทันที่ จะวางผนึก ก็ถูกโคทาโร่ หยุดมือเอาไว้ซะก่อน


“ เดี๋ยว ถ้ายังไงขอทำใจก่อน… ”
โคทาโร่ กล่าวหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ในขณะที่ผนึกกรอบที่สอง แตกไปแล้ว
 ตอนนี้เหลือผนึกป้องกันเพียงกรอบเดียว


“ แว้ก…ยังจะมาอาย หาพระแสงอะไรตอนนี้เล่า มันจะพังเข้ามาได้แล้วน้าาาา~~~ ”
“ ก..ก็ปุบปับแบบนี้ ใครมันจะทำใจทันได้เล่า ”
“ แล้วนายคิดว่าฉันทำใจได้รึไงที่อยู่ๆต้องมาทำอะไรแบบนี้ น่ะ ”
ทั้งสอง โต้เถียงกันจนเวลายืดเยื้อ ทว่ากรอบผนึกก็เริ่มจะเอาไม่อยู่และเริ่มแตกร้าวแล้ว

“ ดูท่าจะไม่มีเวลาให้มาเล่นซะแล้ว….เอาไง ”
ธนัท หันไปถามความพร้อมของอีกฝ่าย ซึ่งเมื่อไม่มีทางเลือกแล้ว โคทาโร่จึงจำใจต้องยอม

“ งั้นจะเริ่มล่ะนะ ”
ธนัท กล่าวจบ กรอบผนึกก็ถูกกระแทกจนเกิดรอยร้าว ไปทั่วกรอบผนึก
ทำให้มองไม่เห็นสภาพภายใน กรอบผนึกเลย

“ ในนามมหาราชแห่งสุริยะ…เราพบเห็นแสงของท่าน รัศมีของท่าน
แสงที่เปิดทางไปพบสหาย..สหายร่วมศึกที่จะผูกพันกันด้วยวงแหวนแห่งเหล็กกล้า ”
เสียงของ ธนัท ดังขึ้นพร้อมกับที่ Seal Scroll ถูกวางลงไปบนพื้น เกิดเส้นแสงสว่างลาก
ล้อมกรอบเป็น กางเป็นอาณาเขตรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว หมุนอยู่กลางวงกลมซึ่งจารึก อักขระ

ไว้รอบวง ลวดลายเหล่านี้ปรากฏขึ้นบนพื้น และส่องประกายแสงขึ้นมา จนสว่างจ้า ละอองแสง
ถูกขับออกมาจาก ไดนาเมซของทั้งสอง มากขึ้นเรื่อยๆ จนมองไม่เห็นร่างของทั้งสองแล้วในขณะนี้
(ให้ถูกคือมันเป็นเซ็นเซอร์น่ะเอง หลังจากนี้ใครอยาก y ต่อไปคิดเอาเองนะ ผมไม่กล้าเขียนล่ะบรึ๋ยย)

“ ข้าจะขอรับใช้และสู้ร่วมสมรภูมิ เคียงข้างท่าน ด้วยคำสาบาน ”
“ เจ้าจักมาเป็น สหายร่วมรบเคียงบ่ากับข้า เช่นนั้นก็จงสวมวงแหวนแห่งพันธนาการ มันจะตราตรึง
มิให้เจ้าจักมีใจทรยศ…สหายข้าบัดนี้สองเราได้ผูกพันด้วย วงแหวนเหล็กกล้า แม้เพลิงโลกัณฑ์  ก็มิอาจ
เผาผลาญให้สะบั้นได้…. ”

/Ritual Complete/(พิธีกรรมเสร็จสิ้น)
เสียงการทำพิธีของดังสองดังสลับกันไปมา ก่อนที่เสียงจาก Note ทั้งสองเครื่อง จะดังขึ้น
กรอบผนึกที่ร้าวจนใกล้จะแตกเต็มที ก็ได้ถูกแรงอัดกระแทกจากข้างในระเบิดออก ส่งให้ร่างของ แวร์วูฟ
แสงจันทร์ ถูกเป่ากระเด็น ไปไกล


“ .. ได้เวลาเอาคืนแล้ว ”
เสียงของทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน ตอนนี้ที่ข้อมือขวาของ โคทาโร่ มีลายสักอักขระ
จารึกเป็นวงรอบข้อมือราวกับกำไล ข้อมือ ธนัทเองก็มีแบบเดียวกันแต่มีสองวง โดยที่วงบน
ถัดจากข้อมือ นั้นมีลายอักขระเดียวกับของโคทาโร่ ส่วนวงล่างที่มีอยู่ก่อนแล้ว เป็นลายอักขระอีกแบบ

ทั้งสองยกมือข้างที่มีกำไลอักขระขึ้นประสานกันกับมือของอีกคน กำไลอักขระก็ผลันส่องแสงวาบ
ขึ้นมาตัวอักขระ ค่อยนูนขึ้น และบิดเกลียวรวมกับอักขระอื่นจนกลายเป็น กำไลข้อมือโลหะ ซึ่งสลักตัวอักขระ
ที่เรืองแสงไว้ขึ้นมา ที่เส้นกลางวงกำไลนั้น เป็นแกนเฟืองที่สามารถหมุนได้

“ อย่างที่บอกไปพยายามปล่อยใจให้สบายเข้าไว้ ให้พลังงานคงตัวก่อน ถ้าสำเร็จก็จะเรียบร้อยในทันที
ตอนนี้ซีลของเรา คืนสภาพพร้อมใช้งานอีกครั้งแล้ว เงื่อนไขการ Synchronize จะต้องมี เลเวล
เท่ากันโดยที่เลเวลนั้นจะต้องไม่เกิน 2 ขึ้นไป และจะต้องมี ธาตุเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน ด้วยนายเอาอาคามุ

ออกมาอีกทีละกัน ส่วนฉันจะใช้ ซาลามันเดอรี่ดอล ตอนี้เจ้านั่นมันยังมึน จากแรงกระแทกที่ผลักมันไปอยู่
โอกาสมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น พร้อมนะ  ”
ธนัท กล่าวขณะที่ เขากับโคทาโร่ ร่ายการ์ดซีล ลงไปอีกครั้ง อาคามุ และซาลามันเดอรี่ดอล
 ได้ปรากฏขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง  ก่อนพวกเขาจะสูดลมหายใจให้เต็มทั่วทั้งปอด

“ เริ่มการปรับคลื่นทางจิต Synchronize ”
/Synchronize Progress/
สิ้นคำทั้งสองก็ตั้งแขนซ้ายที่ มีปลอกแขนติดอยู่ ไดนาเมซ เริ่มหมุนทำงานอีกครั้ง และทันทีที่การหมุนของ
ไดนาเมซ คงที่แล้ว กำไลที่ข้อมือขวาก็ถูก ยกขึ้นครูดกับ ไดนาเมซ โดยที่เฟืองของกำไล ถูกเฟืองไดนาเมซ

ปั่นส่งแรงจนเริ่มหมุน ในขณะที่หมุนนั้น เฟืองของกำไลก็เริ่มทำการดูดซับละอองแสง
ที่ ไดนาเมซ ปล่อยออกมา มันเป็นการส่งถ่ายพลังเวทย์เข้าไปใน กำไลเพื่อทำการเชื่อมต่อจิตของทั้งคู่
   
ซึ่งจังหวะที่ ครูดเฟืองนั้นต้อง กะ ให้พร้อมกันทั้งสองฝ่าย การผสาน Synchronize จึงจะสมบูรณ์
ตอนนี้ ร่างของอสูรอัญเชิญของพวกเขาทั้งสอง  ได้รับพลังเวทย์จาก กำไลพันธะสัญญา

และเริ่มทำการหลอมรวมร่างให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ทว่าการผสานนั้นกลับไปได้อย่างไม่ราบรื่นนัก
ทุกครั้งที่ร่างจะผสานรวมกันก็จะเกิดแรง ช็อคจนทำให้การรวมตัวแยกจากกัน เสมอ


“ ชิ…พลังเวทย์ จาก มาราคัสไม่พอจริงๆหรือเนี่ย ”
โคทาโร่ สบถขณะที่ ยังคงปล่อยให้ ไดนาเมซ ปั่นเฟืองที่กำไลต่อไป

“ ไม่หรอก..เกือบจะได้แล้วพยายามเข้าอีกนิดเดียว ”
ธนัท กล่าวขณะที่ พยายามคุมการปล่อยพลังเวทย์ให้เสถียรกับการปล่อยพลังเวทย์ของ โคทาโร่
ทว่า แวร์วูฟแสงจันทร์เองก็เริ่มเคลื่อนไหวบุกเข้าไปหาพวกเขาแล้วเช่นกัน

และทันทีกับที่ร่างของซีล ทั้งสองหลอมรวมกันได้อย่างสมบรูณ์  เปลวเพลิงที่วาบออกมาจาก
แสงที่เกิดจากการหลอมรวมร่าง ทำให้ แวร์วูฟแสงจันทร์ต้องชะงัก ไป


Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #48 on: January 04, 2009, 06:17:45 PM »

/Synchronize Summon  Aegnormaite, The Drake Fighter/
Note ทั้งสองประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน กับการปรากฏร่างของ นักสู้ครึ่งมังกรที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมร่าง



“ ตอนนี้แหล่ะร่าย มิสติก เสริมพลังไปเลย ”
ธนัท กล่าวจบโคทาโร่ ก็รีบร่าย การ์ดอุปกรณ์ที่ เคยติดตั้งให้กับ อาคามุ แก่นักสู้มังกร
สนับมือทั้งสองข้างปรากฏขึ้นสวมที่แขนของมัน

“ คอรัส Mystic Synchron ”
/Synchronize Mystic Create Mystic Power Up/
ธนัท สั่งการจบ มิสติก ไลซิ่งค์ซัน ที่เคยใช้เพิ่มพลังให้ อาคามุ ก็เปลี่ยนเป็นไพ่ใบอื่นแทน
ภาพบนไพ่เปลี่ยนเป็น ตราชั่งที่ข้างหนึ่งมีดาบสองเล่ม วางตะแคง อยู่ส่วนอีกข้างเป็น มิสติก
การ์ดวางตะแคงเช่นเดียวกัน

ธนัท ร่ายมิสติกการ์ดนั้น ลงไป ทันทีที่มิสติก นั้นสำแดงอำนาจเปลวเพลิงที่ลุกโชนร่างของ นักสู้มังกร
กลับยิ่งลุกโชนขึ้นกว่าเดิม

“ โจมตี ”
ทั้งสองสั่งการขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่นักสู้มังกร จะบุกเข้าไปสู้ประชิดตัวกับ แวร์วูฟแสงจันทร์

/Active Ability, Yes or No/
เสียงจาก มาราคัส ดังขึ้นเพื่อถามการใช้ความสามารถ
 
“ ชัวร์อยู่แล้ว สั่งใช้งาน  ทิ้งการ์ดใบบนสุดของกองไป แล้วเทียบค่าพลังกับ Df ของอีกฝ่าย ”
สิ้นคำของ โคทาโร่ เขาก็ดึงมิสติก ออกจากช่องสำรับมาใบหนึ่ง ก่อนที่จะเก็บ มันใส่ช่อง

Shrine ที่อยู่ใต้ปลอกแขน นักสู้มังกร ที่ได้รับ อนุญาตการใช้ความสามารถ  ก็ย่อตัวลง
ก่อนจะพุ่งตัวกระแทก ลำตัวของ แวร์วูฟแสงจันทร์จนมันลงไป กองแน่นิ่งกับพื้น

โคทาโร่ จึงชิงโอกาสนั้น ขว้าง Seal Scroll ออกไป กรอบผนึกได้ถูกสร้างขึ้นและขังร่างของ มันเอาไว้

“ ผนึก! ”
สิ้นคำ ร่างของ แวร์วูฟแสงจันทร์ก็ถูก บีบอัดย่อ ลงการ์ดไปในที่สุด ก่อนจะวกกลับมา
ที่มือของ โคทาโร่ ซึ่งหน้าการ์ดนั้น มีรูปภาพและข้อมูลของมันปรากฏขึ้นมา อย่างครบถ้วนสมบรูณ์

เสี้ยววินาที แห่งการตัดสินได้ผ่านพ้นไปแล้ว ความเครียด ที่สุมอยู่ในอก ก็คลายในทันที
พวกเขาทั้งสองล้มตัวลงนอน กับพื้นหญ้า อย่างอ่อนแรง ในขณะที่ ร่างของ นักสู้มังกรได้สลายกลับ
เป็นละอองเวทย์ดังเดิม ส่วน Note ก็เปลี่ยนกลับไปเป็น จี้ห้อยคอเช่นกัน



“ ช..ชนะแล้ว ”
ทั้งสองเอ่ยขึ้น ด้วยสุดเสียงที่จะมีอย่างแผ่วเบา ทั้งร่างรู้สึกอ่อนล้าไร้ซึ่งพละกำลัง
ที่จะยืนหยัดขึ้นมา หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนาน

“ เฮ้อ..เหนื่อยสุดๆเลยเริ่มจะหมดแรงแล้วด้วย. ”
 โคทาโร่ กล่าวเสียงอ่อย

“ นั่นสินะ…แต่รู้สึกเหมือนเราลืมอะไรบางอย่างไปไม่รู้สิ ”
ธนัท เปรยเสียงอ่อย ด้วยความอ่อนล้า


………….
………………

“ เออ..แล้ว ธนัท ล่ะ ”
เคียว กล่าวเสียงสะดุ้งทันทีที่ พึ่งนึก ออกว่า ธนัท ยังไม่กลับมา
ขณะที่ตอนนี้พวกเขา กำลังแยกย้ายกันกลับหลังจากเก็บ กวาดความเสียหายภายในโรงเรียน
เสร็จ

“ จริงด้วยสิ ลืมไปเลยหนา ”
แอน กล่าวเสียงเหน่อๆก่อนจะ อ้าปากฮ้าวหวอดด้วยความง่วง

“ หา!ว่าไงนะสองคนนั้น ยังหลับอยู่ที่ลานกว้าง หลังซอย 13 เหรอ ”
/Yes/(ใช่)
ชุติต้องร้องเสียงหลงทันทีที่ มีการติดต่อเข้ามาจาก คอรัส ซึ่งติดต่อมาด้วยตัวเอง

“ ต้องรีบหาตัวแล้ว ”
ชุติ กล่าวด้วยความสับสนวุ่นวาย และร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

“ สองคนนั้น คงเหนื่อยก็เลยนอนพักซักครู่ มั้งคงจะแอบหนีไปเล่นอยู่แถวนั้นใช่ไหมล่ะ ”
เคียว กล่าวตามที่ตัวเองคาดการณ์ไว้ ทว่าชุติกลับหันมา ทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้

“ แต่นี่มันเที่ยงคืนแล้ว คอรัส ติดต่อเข้ามารอบแรก น่ะยัง 4 ทุ่มอยู่เลย  ”
ชุติ กล่าวเสียงผวาอย่างที่สุดในขณะที่ เคียวกับ แอนที่ รับรู้ถึงสถานการณ์ต่างหน้าซีดไปในทันที

“ นั่นมัน สองชั่วโมงมาแล้วนะ ขืนปล่อยไว้เป็นหวัดตายพอดี ”
เคียว กับ แอน ตะเบง เสียงขึ้นพร้อมๆกันด้วยความตกใจ ก่อนที่พวกเขาทั้งสามจะ ตะลอนไปหา
ตัว ธนัท กับ โคทาโร่

ซึ่งในตอนนี้…..

“ อ๋อยยย..ไม่หวายแย้ว..ขยับม่ายด้ายเยยง่า ”
“ ชาไปทั้งตัวเลย..อูยยย ”
เสียงครางของทั้งสองคนที่นอนตาก ลมมา กว่า สองชั่วโมง ดังขึ้นจากร่างที่วิญญาณเกือบจะ
โบกพัดไปกับสายเสียแล้ว

………….
…………


1.00 PM บ้าน ธนัท

“ เฮ้อดีนะ..ที่พวกนั้นมาช่วยเราได้ทัน ไม่งั้นมีหวังได้นอนแข็งตายอยู่ตรงนั้นแน่ Synchronize เนี่ย
กินแรงเยอะเหมือนกันแฮะ … ”
ธนัท ที่พึ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ กล่าวขณะที่เช็ดผมด้วยผ้าขนหนู ผืนเล็ก ก่อนจะหมุนมือซ้ายบิดลูก
บิดประตูเปิดห้องของตนเข้าไป

“ งายย…หวาดดี ”
โคทาโร่ กล่าวทักทายอย่างสบายอารมณ์ ขณะที่นั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะ ญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่กลางห้องนอน
ของ ธนัท

“ ท..ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ได้เนี่ยยยย~~ ”
ธนัท ร้องเสียงหลงพร้อมกับชี้หน้า โคทาโร่ ในขณะที่ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

“ อ้อตั้งแต่วันนี้ฉันจะมาอยู่ที่ห้องนาย ด้วยเพราะงั้นหน้าต่าง ห้องไม่ต้องล็อค นะเดี๋ยวเข้าไม่ได้ ”
โคทาโร่ กล่าวเสียงเรียบ โดยไม่สนท่าทีของ ธนัท เลยแม้แต่น้อย

“ ต..แต่ๆ ”
ธนัท กล่าวตะกุกตะกักเพราะตกใจจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี

“ ไม่ต้องห่วงๆ..รับรองฉันไม่กวนนายแน่ นายก็นอนในห้องของนายไปส่วน
ห้องของฉันก็อยู่ในตู้เสื้อผ้านี่..อ๋อแล้วก็ของในตู้ น่ะนะ ฉันย้ายมาไว้ในห้องแล้ว จะใช้ก็เข้ามาเอาได้ตามสะดวกเลยนะ  ”
โคทาโร่ กล่าวขณะที่เดิน ไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า ออกข้างในเป็นห้องอีกห้องหนึ่งมี เตียงโต๊ะคอมฯ และเก้าอี้ พร้อมห้องน้ำเสร็จสรรพ อีกทั้งด้วยตู้เย็น ตู้เสื้อผ้าและข้าวของอื่นๆ อีกมากมาย ราวกับว่า ประตูตู้เสื้อผ้าเป็นประตู เปิดไปสู่อีกมิติหนึ่งเลยทีเดียว


“ นี่มัน.. ”
ธนัท กล่าวน้ำเสียงยังคงผวาไม่หาย กับการมาแบบปุบปับของ โคทาโร่

“ อ๋อ จะถามว่าสร้างห้องได้ยังไงน่ะเหรอ พอฉันไปบอกว่ายังไม่มีที่พักขอค้างที่ห้องชมรมได้ไหม
ยัยผีดิบนั่นก็ให้ การ์ดคาถาสร้างมิติห้องนี่ มาแล้วบอกให้ฉันไปสร้างห้องที่บ้านนาย
 ก็เลยมาเนี่ย คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว ราตรีสวัสดิ์ อ้อ อาหารเช้าไม่ต้องเตรียมเผื่อนะ
ห้องฉันมีครัวอยู่แล้ว  ”
โคทาโร่ กล่าวจบ ก็เดินเข้าห้องของเขาพร้อมกับปิดประตูตู้ไป

“ ล…แล้วใครใช้ให้นายมาสร้าวห้อง ในห้องคนอื่นแบบนี้~~~ ”
“ ธนัท อย่าเสียงดังสิลูก มันดึกแล้วรบกวนข้างบ้านเค้า ”
“ หวา…..ขอโทษครับแม่ ”

และแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โคทาโร่ เซนาคาว่า ก็ได้ย้ายมาอาศัยอยู่บ้านเดียวกับธนัท เรื่องราวจะเป็นยังไง
คงจะต้องติดตามในตอ..อ้อยังๆ ยังไม่จบครับ พวกมาริน่า หายไปไหนซะล่ะ

…………….
…………………..


“ เหรอ แสดงว่าพวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้วงั้นสิ ”
มาริน่า กล่าว ขณะที่ จิบน้ำชาไปพลาง อยู่บนชานระเบียง ของคฤหาสน์ ใหญ่ในป่าแห่งหนึ่ง
ขณะที่ ภูเขา ยืนพิงราวระเบียงอยู่ ส่วน อนุชิต หรือ คิระ เลือกที่จะพิงกำแพงเพื่ออ่าน
สมุดโน๊ตเล่มเล็กๆในมือของเขา

“ ก็คงงั้นแหล่ะ จากที่มันบุกมาวันนี้ นี่คงไม่ใช่แค่เหตุการณ์ อสูรหรือคาถา
ไร้การควบคุมเล็ดลอดออกมาธรรมดาๆแล้ว ”
ภูเขา กล่าวขณะ ที่สายตาจ้องมองไปยังขอบฟ้าในยามราตรีนี้

“ เราจักจัดระเบียบโลกนี้ให้เป็นไปตามครรลองที่ควร  Paradiso Da Regola
พวกนั้นคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าหรือไงกันนะ ”
มาริน่า กล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ

“ พวกมันเป็นได้ก็แค่พระเจ้าจอมปลอม เพราะฉันคือผู้กวัดแกว่งดาบแทนพระผู้เป็นเจ้า
พระเจ้าที่ฉันรับใช้มีแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ”
คิระ กล่าวเสียงเชียบ โดยที่ไม่ละสายตาจาก สมุดโน๊ต เลยแม้แต่น้อย

“ ให้ตายสิ ยังเชียบเหมือนเดิมเลยนะ อนุชิต ”
เขา กล่าวหยอกๆแต่ คิระ ก็ไม่สนใจฟังแต่อย่างใดยังคงนั่งอ่านสมุดอยู่เหมือนเดิม

“ แล้วฝีมือของ เจ้าหนูล่ะ..พอจะเทียบกับเค้าคนนั้นได้บ้างไหม ”
มาริน่า ถามคำถามต่อมาในทันที เมื่อเห็นว่าเรื่องที่คุยชักจะเลยเถิดออกไปนอกเรื่องนอกราว

“ อ๋อ ธนัท น่ะเหรอ สมเป็นน้องชายของ หมอนั่นแสบเหลือร้ายจริงๆ แต่ก็ยังไม่ดีพอจะเทียบ
กับหมอนั่นหรอก ที่จริงฉันก็ไม่คิดว่าจะมีใครเทียบ หมอนั่นได้หรอกนะ นายก็คิดงั้นใช่ไหม อนุชิต ”
ภูเขา กล่าวขณะที่หันมาหาแรงหนุนซึ่ง คิระ ก็พยักหน้ายอมรับในความคิดของเขาเช่นกัน

“ แต่ว่านะ ในเวลาแบบนี้ อีตานั่นจะต้องไม่อยู่ทุกทีสิน่า เอาเถอะถ้าดูแล้วน้องชาย
ของมันจะพึ่งพาอะไรไม่ค่อยได้ ก็เปลี่ยนไปลากคอพี่ชายมัน มาช่วยแทนก็แล้วกัน ”
มาริน่า กล่าวอย่างเย็นใจขณะที่วางถ้วยน้ำชาซึ่งดื่มหมดแล้วลง

“ แล้วจะหาเจอได้ง่ายๆเร้อ คุณ ศรี หรือ Thaliwilya Master ชายผู้เป็นจ้าวแห่งอัศวินมังกรคนนั้นน่ะ ”
ภูเขา เปรยก่อนจะถอนหายใจด้วยความสิ้นหวัง

“ เอาเถอะถึงเวลาเมื่อไหร่หมอนั่นก็จะกลับมาเอง หาก ริน ยังคงตามหาอยู่สักวันก็คงเจอ ”
มาริน่า กล่าวจบก็ ยันตัวลุกขึ้น และเดินไปยังระเบียง ทอดสายตามองไกลออกไป

“ เธอไปอยู่ไหนกันนะ ศรี ”
มาริน่า คิดขณะที่ลมเริ่มจะโบกพัด ในค่ำคืนนี้…………..


To be Continue


บทนี้กว่าจะเสร็จ เขียนนานมากเลย ครับตอนแรกกะว่าช่วงวันหยุดนี้ จะได้โพส ยาวเลย
ก็ดันต้องมาแป็ก เพราะโดนลากไปเที่ยวต่างจังหวัดแทน แถมไประยองซะด้วย
พวก ธนัท พึ่งจะกลับไปจากระยองเอง รู้สึกเหมือนไปเก็บข้อมูลยังไงไม่รู้ เพราะแทบไม่ได้นอนเลย

อยู่ที่นั่นมีแรงบันดาลใจในการเขียนเยอะซะจน เลือกไม่ถูก
สุดท้ายเลยกลายเป็นยัดอะไรต่อมิอะไรลงไปเต็มเลย เหอๆ

  ด้านนิยายตอนนี้เองก็เดินเรื่องมาจนถึง บทที่ 7 แล้ว ซึ่งในบทนี้ นอกจากตัวละคร
ใหม่ที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวอย่าง คิระ หรือแม้แต่ภูเขาเจ้าเก่าก็โผล่มาให้เห็นในตอนท้ายๆ

กับมุขที่พยายามอัดลงไปในนิยาย ให้ขำให้ฮา กันเล็กน้อย ในครั้งนี้อาจจะรู้สึกแปลกๆกับ
สไตล์ การเขียนในบทนี้ซักหน่อย จากที่เดิม มักจะจริงจัง ทุกเมื่อเชื่อตอน กลับมีบทแทรกมุขลงไปเพิ่ม

คงพูดได้ว่าผมกำลังจะลอง ปรับปรุงการเดินเรื่องดู ก็ขอให้สนุกกับการอ่าน SMN VR! นะครับ
สำหรับอาทิตย์นี้ สวัสดีปีใหม่ขอให้ผู้อ่านทุกท่าน ประสบแต่โชค ลาภนะขอรับ

!Happy New Year!

ตัวอย่างตอนต่อไป
“ นักเรียนทุกคน วันจันทร์หน้านี้ เราจะไป ทัศนศึกษากันที่ ภูเก็ตเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน
ดังนั้นรีบเตรียมตัวกันหน่อยนะนักเรียน  ”


“ ว่ายังไงนะ แอน หายตัวไปงั้นเหรอ ”

“ เอาล่ะองค์หญิงแห่งมังกรขาว คือคนไหนเอ่ย  ”

ตอนหน้าเริ่ม ภาคของการ ทัศนศึกษา สุดแสนอันตราย  เหล่าผู้คุมกฎกำลังจะเคลื่อนไหวแล้ว
ติดตามได้ใน Sub-Turn 8 White Dragon Maiden




Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #49 on: January 04, 2009, 06:19:25 PM »

ช่วง Tip for Dragonology เอ็ย ไม่ช่าย นี่มันไม่ใช่เรื่อง thaliwilya แล้วนิ
งั้นก็ต้องเปลี่ยนเป็น

VR! Review

แฮ่ๆ ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป เจ็ จะเป็นคนรับหน้าที่อธิบาย รายละเอียดของ อุปกรณ์
และพิธีกรรมต่างใน VR! ให้เองจ้ะ เนื่องจากคำอธิบายในนิยาย เป็นแบบรวบๆ

ไม่สามารถอธิบายได้ครอบคลุม อีกทั้งอาจทำให้เกิดความสับสน และสำหรับผู้ที่สนใจ
อยากรู้รายละเอียดของมันให้ลึกยิ่งขึ้น ก็จะ ได้ไม่ต้องนั่งสงสัยกัน

 (เพราะหลายคนมักจะอายไม่กล้าโพสถาม เลย
ส่งPm มาถามแทน ตอบทีละอันคงไม่ไหวอ่ะจ้ะ เลยมาตอบ All เอาในกระทู้เลยดีกว่า )

งั้นมาเข้าเรื่องกันเลยละกันน้า วันนี้เป็นเรื่องที่ว่าเกี่ยวกับ Note ที่ห้อยคอตัวละคร
แทบทุกตัวในเรื่องขนาดอาจารย์ยังมีใช้กัน ดังนั้นวันนี้จะเป็นเรื่องของ Note ทั้งระบบNormal
และ Duel เลยละกัน

N.o.t.e. หรือ Navigation Operator Terminal EXE ไม่ต้องสงสัยกัน
เลยว่าทำไมต้องย่อชื่อให้มันสั้นลงก็ยาวยืดเป็นกิโลฯ แบบนี้ใครที่ไหนจะจำกันได้
นอกจากนี้พอย่อลงแล้วก็จะได้ความหมายใหม่ว่า โน๊ตดนตรี ได้ด้วย

นั่นก็เลยเป็นที่มาของชื่อ Note แต่ละตัวที่จะเป็นชื่อเกี่ยวกับดนตรี อย่าง Chorus ก็คือวงคอรัส
Castanet ก็คือ เครื่องดนตรีที่คล้ายกรับ violin นี่ก็คือไวโอรินน่ะ แหล่ะ แต่เราแผลงชื่อ

เรียกมันหน่อยจะได้ไม่ดู เก้ๆ กังๆ ส่วนที่ เหลืออย่าง  Shello  maracas Melodian หรือ Tenor
นั้นก็ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการดนตรีทั้งสิ้น ทีนี้เรื่องชื่อก็จบกันไปแล้ว

ต่อไปก็ระบบการใช้งานของ Note ไปดูกันเลยดีกว่าจะได้ไม่เปลืองเนื้อที่
 
System Of Note


ระบบการทำงานของ Note แบ่งเป็นพวกใหญ่ได้สองระบบคือ
Normal กับ Duel เริ่มจาก

Normal ในโหมดนี้ Note จะคงรูปร่างเป็น จี้ห้อยคอรูปร่างคล้ายกับดาบเล่มเล็กๆ
ระบบปฏิบัติการในโหมด นี้จะเป็นการใช้งานจิปาถะ ทั่วไป เช่นติดต่อสื่อสารกับ Note อื่น

นอกจากนี้ยังต่อสายไปที่โทรศัพท์ บ้านก็ได้ด้วย อีกทั้ง Note ยังสามารถเชื่อมต่อฐานข้อมูล
กับ Magic Cyber หรือ Internet ของยุคนี้น่ะเอง และยังรับส่งข้อความ

 หรือ ไฟล์ข้อมูล อีกทั้งยังถ่ายรูปและบันทึกภาพได้อย่างคมชัด ซึงดูๆไปแล้วมันก็คล้ายกับมือถือใน
ยุคของเรานี่เอง แต่ดีหน่อยตรงที่มีขนาดเล็ก และไม่เสียค่าบริการ อีกทั้งสามารถติดต่อได้ทุกที่

เพราะไม่ได้อาศัย คลื่นวิทยุเป็นสื่อ หากแต่ใช่คลื่นพลังเวทย์ ที่ปกคลุมชั้นบรรยากาศของโลกเอาไว้

เป็นสื่อนำสัญญาณ ดังนั้นไม่ว่าอยู่ในภูมิอากาศแบบใดก็สามารถติดต่อได้ อย่างไม่มีปัญหา
อีกทั้งยังไม่มีคลื่นแทรกด้วย นอกจากนี้ ยังมีระบบ On Broad สำหรับพูดคุยแบบเห็นหน้ากันได้

แหมสะดวกขนาดนี้แถม กะทัดรัด ขนาดคล้อยสายห้อยไปไหนมาไหนได้ อยากได้ซักเครื่องมั่งจัง
แต่สำหรับยุคเราคงอีกนาน คงต้องรอโลกแตกแล้วค้นพบพลังเวทมนต์ก่อนล่ะเน้อ เหอๆๆ

อย่างไรก็ตามในโหมดนี้ ตัวเครื่องจะไม่สามารถสร้างแรงขับพลังเวทย์ ได้สูงมาก
เพราะ การใช้งานเป็นแบบ จิปาถะทั่วไป แต่ในเรื่องจะเห็น มาริน่า กับผู้คุมกฎ ที่มีฉายาว่า ควีน

ใช้ เทเลพอร์ท  กันหน้าตาเฉย อันนี้ขอบอกไว้ก่อนว่า นั่นไม่ใช่เวทมนต์นะ แต่เป็นพลังจิต
ที่นำมาประสานกับพลังเวทย์ของ Note เรื่องนี้จะไว้ไปอธิบายอีกทีในคราวหน้า  เราไปดูโหมด
 ดวลกันเลยดีกว่า

Duel ในโหมดนี้ Note จะทำการเปลี่ยนเป็น เกราะปลอกแขนที่มี เฟืองโผล่ออกมาอันหนึ่ง
ซึ่งเรียกว่า Dynamaze ที่ในโหมดนี้ต้องมี Dynamaze ก็เพื่อสร้างประจุพลังเวทย์

สำหรับเป็นแรงขับให้พลัง เวทย์ที่ถูก ผนึกอยู่ในการ์ด สามารถสำแดงเดชได้
นอกจากนี้แล้ว ระบบ การสื่อสารและโต้ตอบ กับผู้ใช้ ก็ยังคงทำงานเหมือน Normal

โหมดได้ตามปกติเพียงแต่สามารถสร้าง Summon Field ขึ้นมาเพื่อใช้ในการดวลได้
แต่เพราะต้องมีการติดตั้ง อุปกรณ์ผลิตประจุเวทย์ เข้าไป ทำให้ต้องขยายขนาดขึ้น

จึงไม่สะดวกแก่การพกพา ดังนั้นส่วนใหญ่จะเปิดใช้โหมดนี้เมื่อต้องการร่ายอสูรอัญเชิญหรือ
ทำการดวลเท่านั้น นอกจากนี้การจะทำพิธีกรรม ต่างๆก็ต้องใช้โหมดนี้เพื่อสร้างประจุพลังเวทย์
ขึ้นด้วย หมดกันไปสำหรับโหมดนี้แล้วต่อไป เรื่องภาษาที่โน็ตใช้โต้ตอบกับเรา



System Language of Note

ในนิยายนั้น ผู้อ่านบางท่านอาจสงสัยว่าทำไมต้องใช้ ภาษาที่มันหลากหลายแล้วก็ยุ่งยากขนาดนี้
เพื่อความเก๋ไก๋งั้นเหรอ อันนั้นก็ถูกส่วนหนึ่งจ้ะ แต่จริงๆแล้วเพราะในเรื่อง ประเทศที่ทำการพัฒนา

 Note ขึ้นมาไม่ใช่ประเทศไทย เราจึงไม่มีสิทธิไป ลอกของเขามาก็อปแล้วเปลี่ยนภาษาได้จ้ะ
ไม่งั้นเดี๋ยวเกิดข้อพิพาทแล้ว เลราเย่  จะลงมาสาด All เอา ที่จริงการพัฒนาระบบ Note นั้น

ด้านวิทยาการ อเมริกาเป็นผู้พัฒนา ส่วนเรื่องระบบการจ่ายพลังมนตรา และคาถาที่เป็นพื้นฐานข้อมูล
นั้น ประเทศไทยเป็นผู้พัฒนา ดังนั้นนี่จึงเป็นงานร่วมของ ประเทศไทยกับ อเมริกา

แต่ด้วยที่ปัจจัยพื้นฐานของการสร้างนั้น ทางอเมริกาเป็นผู้ถือสิทธิ์คุม เอาไว้เราจึงต้องยอมๆ ให้เขาใช้ภาษา
ของเขาไปล่ะจ้ะ ส่วนที่ในบทที่ 7 นี้ ทำไมหน้าจอมันถึงปรากฏภาษาไทยขึ้นมานั้น

ก็เป็นเพราะฐานข้อมูลที่ ธนัท ใช้ค้นหาข้อมูลเป็น Server ของไทยจ้ะ ข้อมูลที่ปรากฏมันเลยเป็น
ภาษาไทย

ส่วน Note ที่ใช้ภาษา อิตาลีหรือเยอรมัน นั้นก็เพราะนอกจาก อเมริกาแล้ว ไทยเรายังทำ
การพัฒนาระบบพลังเวทย์ ส่งให้กับประเทศอื่นด้วย เพื่อหากำไรเข้าประเทศ  แต่ถ้าจะถามว่า

แล้วมันต่างกันยังไงแค่ใช้ภาษา ต่างกันงั้นเหรอ แล้วทำไมบางที Note ที่พูดภาษาเยอรมันถึง
พูดอังกฤษปนกันด้วย

เรื่องนั้น มันเกี่ยวกับ ซอฟแวร์ เวทมนต์ที่ เรียกว่า Spellware แน่นอนก็ขนาด เกมออนไลน์
จากเกาหลีเค้ายังมี Patch ภาษาของแต่ละประเทศมาลงทับก่อนเปิดให้บริการ ในประเทศนั้นๆเลย

Note เราก็เหมือนกันเพียงแต่ โดยส่วนใหญ่แล้วเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เลย
ใช้ภาษาอังกฤษเหมือนๆกัน หมดทุกประเทศ เพราะเป็นภาษาสากล

แต่ก็ยังคงมีบางศัพท์ที่ยังคงภาษาของประเทศผู้ผลิต ทีเกมส์ยังมีภาษาไทยปนอังกฤษเลย
ก็เหมือนๆกันน่ะแหล่ะ ขนาด 200 ปีไปแล้วยังใช้ธรรมเนียมเดิมเลยเนอะ

ส่วนรุ่นของ แต่ละประเทศนั้นจะแตกต่าง กันที่ระบบปฏิบัติการเสริม ที่สามารถเพิ่มเติม
Spellware หรือระบบอื่นๆเข้าไปได้อีกด้วย เรื่องนี้จะเก็บไว้พูดคราวหน้าละกันนะจ้ะ

เป็นไงบ้างอาจจะยาวไปซักหน่อย แต่คิดว่าคงได้รายละเอียดเกี่ยวกับเจ้า Note นี่กันบ้าง
ล่ะนะ ตอนนี้หมดเวลาของ เจ็ แล้ว เจอกันอาทิตย์หน้านะจ้าาาาา

ปล.อนึ่งที่อธิบายให้เสร็จสรรพเป็นฉากๆเนี่ยไม่ใช่ว่า เจ็ หรือ เกรม่อนคุงมีพกตัวเป็นๆอยู่เครื่อง
สองเครื่องหรอกนะ อย่า Pm มาสั่งซื้อให้หน้าแตกเล่นล่ะไม่ใช่โฆษณาขายของเหอๆๆ

ปล.อีกที บทหน้าไปทัศนศึกษากัน แล้วแนวเรื่องคุ้นๆนะ สู้กับแวมไพร์เสร็จ
ไปทัศนศึกษา กันต่อ อืม ไม่ขอพูดดีกว่า ว่าแต่โคทาโร่ ไปอยู่ห้องเดียวกับ ธนัท ได้งายย

ไม่เอาอ่า เจ็ จะให้มาอยู่ห้อง เจ็ อ่า จะเอามานอน กก เอิ้กๆๆ
(ตัวละครที่ชื่อแอน คือตัว เจ็ เองแหล่ะจ้ะ ชื่อตัวละคร น่ะมาจากชื่อ เจ็ เอง
ส่วน เกรม่อนคุง ก็มีในเรื่องแล้วตัวหนึ่ง เหมือนกันลองหาดูนะ
 ชื่อจริงของ เกรม่อนคุง น่ะ คือชื่อตัวละครตัวนั้น ใบ้ให้ชื่อคนไทยนะจ้ะ )
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #50 on: January 04, 2009, 08:41:00 PM »

อืมๆ อื้มๆ อ้อ อ้ออ๋ออ๋อ นะนะ เนาะเนาะ 
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #51 on: January 04, 2009, 09:52:43 PM »

Quote
อืมๆ อื้มๆ อ้อ อ้ออ๋ออ๋อ นะนะ เนาะเนาะ 

อืมๆแสดงว่าที่ เจ้าการุรุม่อนมันพูดเนี่ย ฟังรู้เรื่องสินะ ว่าแต่ไอ้มุขเข้าตู้เสื้อผ้าเนี่ย
มันมนต์รักสาวลอลลี่ป็อบนิ เหอๆ
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #52 on: January 04, 2009, 10:22:36 PM »

Quote
อืมๆ อื้มๆ อ้อ อ้ออ๋ออ๋อ นะนะ เนาะเนาะ 

อืมๆแสดงว่าที่ เจ้าการุรุม่อนมันพูดเนี่ย ฟังรู้เรื่องสินะ ว่าแต่ไอ้มุขเข้าตู้เสื้อผ้าเนี่ย
มันมนต์รักสาวลอลลี่ป็อบนิ เหอๆ
  ล่ะมั้งครับ 

(ปล.อ่านแบบ.......แบบว่า.......ไม่กล้าบอกแฮะ  )
Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #53 on: January 12, 2009, 03:34:30 AM »

เอ่อเนื่องจากสัปดาห์นี้ เกรม่อนคุงไปสอบก็เลยไม่มีต้นฉบับส่งมา ต้องขออภัยที่ไม่ได้ลง
นิยายในอาทิตย์นี้ด้วยนะเจ้าค่ะ ส่วนที่ Signature ของเกรม่อนคุง นั้นตอนนั้นเปลี่ยนรับศักราชใหม่

กับ โปรเจ็ค Crisis Valkyrie คิดว่าคงได้เห็น หน้าตาตัวละครหลักจาก signature กันไปแล้ว
นะเจ้าคะ งั้นอาทิตย์นี้เพื่อให้ไม่ว่าง ดิฉัน ปิโยม่อน (บก. & พี่สาว ของเกรม่อนคุง) จะขอมาอธิบาย
เกี่ยวกับเนื้อเรื่องและตัวละคร ใน Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie



อย่างที่เห็นไป ว่าเหล่าตัวละครนั้น ลักษณะคล้ายกับ ตัวละครในภาคแรกมาก แต่จริงๆแล้วเป็นคนละคนกันนะ
เนื้อเรื่องในภาคนี้ จะอยู่ที่ ทวีป Alimathe ในอีก 200 กว่าปี หลังจากก่อตั้งมิราบิลิสขึ้น ซึ่งนั่นเท่ากับเวลา
กว่า 2 ชั่วอายุคนนับจากภาคแรก

เวลาในขณะนั้นเป็นยุคที่เกิดสงครามและความขัดแย้ง ระหว่างทวีปต่างๆ และเผ่าพันธุ์ ของแต่ละชนชั้น
ซึ่งในยุคนั้น มังกร ได้ถูกใช้ในการทำสงครามเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังมีการสร้างมนุษย์สำหรับสู้รบขึ้น
ทว่าก็ไม่อาจควบคุมได้ จึงทำให้ สงครามกลายเป็น สามฝ่าย ระหว่างมนุษย์ มังกร และ มนุษย์เทียม

นี่คือสภาพ การณ์ของ เนื้อเรื่องเป็นใน Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie
ซึ่งจะขอแนะนำตัวละคร กันเลยเพื่อไม่ให้เสียเวลา
จะเรียง ลำดับโดยนับจากภาพทางซ้าย มาทางขวา

1.คนแรกสุด ที่ผมสีทองสวมชุดแดง ชื่อ Recca Highday

เรกกะ นั้นสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับอดีตของตัวเอง ปัจจุบันเขาอยู่กับชายแก่ที่เก็บเขามาอุปการะ
เพียวสิ่งเดียวที่เขาพอจะจำได้นั้นก็มีเพียง ลูกมังกรธาตุแสง พาลลานัลคา ที่อยู่กับเขาในตอนที่ ถูกชายแก่มาพบ

2.คนต่อมา ที่มีหูหมาสีดำ ชื่อ Feint Neovel

เฟนท์ เป็นลูกครึ่งเผ่าพันธุ์สมิง เป็นเด็กขี้แย ที่มักจะถูกรังแก แต่ก็จะได้ เรกกะ คอยช่วยเหลือปกป้อง
ซึ่งทุกครั้งที่เขาร้องไห้ พี่สาวของเขาก็จะเข้ามาปลอบใจ อยู่เสมอ เรกกะ คือเพื่อนสนิทกับเขาที่สุดใน
ชั้นเรียนเลยก็ว่าได้

3.คนที่3 ที่ผมสีแดง นั้นชื่อ Ryad Laserio

ไรด์ เป็นเพื่อนสนิทอีกคน ของ เรกกะ ครอบครัวของเขา ค่อนข้างจะมีปัญหากับ ครอบครัวของ เฟนท์
และเขามักถูกห้ามคบกับ เฟนท์ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เขาก็ยังคบ เฟนท์เป็นเพื่อนอยู่ดี
 ไรด์ มีอุปนิสัย ไม่จริงจังกับอะไรมากนัก รักสนุก ชื่นชอบนินจา มาก
 มักจะมีของสะสมที่เกี่ยวกับนินจา เช่น ดาวกระจาย ดาบคาตานะ ฟิกเกอร์ และโมเดลตุ๊กตา
เก็บเป็นคอลเลคชั่นในห้องที่บ้าน เช่นกันกับ เฟนท์ เขาเป็นลูกครึ่งเผ่าสมิง

4.คนที่สี่ เด็กหญิงผมสีทองชื่อ San Neovel
เธอเป็นลูกครึ่งเผ่าพันธุ์สมิง และเป็นพี่สาวแท้ๆของ เฟนท์ เธอมีนิสัยห้าวแบบผู้ชาย
และมักจะไม่ชอบให้ใครมาดูถูก แม้เธอมักจะบ่นที่น้องชาย เอาแต่กลัวนั่นกลัวนี่ แต่จริงๆแล้วเธอ
รักและเป็นห่วงน้องชายมาก ซึ่งทุกครั้งที่ น้องชายของเธอร้องไห้ เธอก็จะเข้าไปปลอบอย่างอ่อนโยน

5.คนขวาสุด ที่มีผมสีเงินชื่อ Emil Runevel
เอมิล เป็นลูกครึ่งเผ่าพันธุ์สมิง เช่นกันกับอีกสามคนก่อน เขาเป็นคนเงียบๆ
ไม่ค่อยพูดจา ส่วนหนึ่งมาจากการที่ ครอบครัวของเขา คัดค้าน ไม่ให้เขาไปคบกับ พวกเฟนท์ และไรด์
เพราะ ครอบครัวของพวกเขามีความบาดหมางระหว่างกันในอดีต
แต่ถึงกระนั้น เอมิล ก็ไม่เคยคิดว่า เฟนท์ และ ไรด์ เป็นอริ ครอบครัวเลยแม้แต่น้อย

และนี่คือข้อมูลของ ตัวละครทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ใน Signature นะเจ้าคะ
ส่วนเนื้อหาสำคัญๆนั้นขอปิดไว้ก่อน เพราะยังไม่อาจสรุปได้ตายตัว
ดังนั้นก็ขอให้รอ ไปก่อน จนกว่าน้องชายของดิฉันจะพร้อมเขียน นะเจ้าคะ

อ้อเกือบลืม ขอโทษด้วยที่ต้องเอา User ของ ค็อกคาซี(การุรุม่อน) มาใช้แบบนี้
ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ

BY Piyomon








Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #54 on: January 18, 2009, 09:21:00 PM »

Sub-Turn 8 White Dragon Maiden


ภาพ การต่อสู้ของ เหล่านักเรียน ในโรงเรียน มนต์วิทยา ในคืนวันที่
กองทัพ เจตภูตวารี (Aqua Wraith) และการต่อสู้กับ แวมไพร์(Vampirism)

ในอาคาร ที่พวกมาริน่า ตามเข้าไป ทั้งหมดปรากฏอยู่บนจอ โฮโลแกรม
ท่ามกลางห้องที่มืดสนิท ไร้ซึ่งแสงสว่าง มีเพียงแสงจาก โฮโลแกรมที่ พอจะทำให้เห็นจำนวน

บุคคลในห้อง ซึ่งมีเพียงห้าคนนั่งล้อมรอบโต๊ะกลม ที่ตรงกลางเป็นเครื่องฉายโฮโลแกรม


“ นี่คือรายงาน ผลของแผนการ พิสูจน์ M เพื่อค้นเอาตัว องหญิงออกมาจาก กลุ่มนักเรียนกว่า
สี่สิบคน ซึ่งก็คว้าน้ำเหลวอย่างที่เห็น  ”

“ ก็แหงสิ ให้ Knight ไกอา เป็นคนจัดการงานมันก็ออกมาสะเพร่าแบบนี้แหล่ะ ”

“ อ๋อ นี่หล่อนจะบอกว่าฉันทำเล่นๆหรือไง ถ้าไม่มีพวกเด็กบ้านั่นล่ะก็ป่านนี้
ฉันก็ได้ตัว องค์หญิงมาแล้ว ”

“ คำแก้ตัวนั้น น่ะฟังไม่ขึ้นหรอกกะอีแค่ เด็กนักเรียนไม่กี่สิบ กลับส่งกองทัพ ออกไปเป็นร้อย
แถมยังโดนเด็กแค่คนเดียว จัดการกวาดซะเรียบ ดีนะที่มันเป็นอสูรไร้การควบคุมไม่อย่างนั้น
พวกตำรวจจะสาว มาถึงเราได้ คุณควรพิจารณาตัวเองได้แล้วนะคะ ไกอา  ”

“ กรอดดด… ”

“ เอาล่ะพอได้แล้วเลิกเถียงกันเองซะที ตอนนี้เราต้องหาทาง แยกตัวองค์หญิง
ออกมาจากกลุ่มคนพวกนั้นเสียก่อน ”

“ King คะดิฉันขอเสนอ ออกปฏิบัติการด้วยตัวเองค่ะ เพื่อชดใช้กับที่พลาดในหนนี้ดิฉันจะต้อง
พา ตัวองค์หญิงมาให้ได้ ”

“ เอา งั้นก็ได้ ไกอา ฉัน อนุมัติให้เธอใช้  Requiem ได้เผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน  ”

“ ท่านพี่ Requiem น่ะมันอันตร… ”

“ ไม่เป็นไร ถึงจะใช้  Requiem ไปแล้วด้วยเส้นสายในองค์กรของเรา จะไม่มีใครสาวมาถึงเราได้แน่นอน ”

“ งั้นการประชุมในวันนี้ ก็จบลงเท่านี้นะครับ ”

“ อืม..เลิกประชุม ”

ทันทีที่เสียงสุดท้ายดังขึ้น จอภาพโฮโลแกรมก็ดับลง ทั้งห้องกลับเข้าสู้ความมืดมิด อีกครั้ง


…………….
…………………..


/Wake Up! Wake Up! Wake Up!/(ตื่น!)
เสียงทุ้มกังวานของ คอรัส ที่ดังครั้งแล้วเล่าอยู่ บนหัวเตียง ที่สายคล้องของมันห้อย เสาเตียงเอาไว้
ปลายผ้าห่มสีขาวนวล ค่อยๆขยับเลื่อนลง พร้อมกับเสียงคราง งัวเงียๆของ เด็กชายคนหนึ่ง

“ อืม..ตื่นแล้วๆ..เลิกปลุกได้แล้ว คอรัส ”
 ธนัท กล่าวสีหน้า สลึมสลือ ด้วยความงัวเงียขณะที่ลุกขึ้นจาก เตียงพร้อมกับคว้า คอรัส ไปวาง
ไว้บนโต๊ะทำงาน ข้างหน้าต่าง ขณะที่เดินไป หยิบ ชุดนักเรียน ที่แขวนไว้ที่ข้างฝา มาเปลี่ยน

“ ต่อไปก็ถุงเท้า…เพราะเรื่องเมื่อคืนเลยทำเอานอนไม่พอเลย.. ”
ธนัท ครางเสียงอ่อยขณะที่เปลี่ยนชุดเสร็จ ก็ตรงไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อจะหยิบ ถุงเท้า
ทว่าทันทีที่ เขาเปิดประตูตู้  โคทาโร่ ก็วิ่งพรวดออกจาก ตู้ชนกับ ธนัท จนกลิ้งโครมลงไปทั้งคู่

“ ทำอะไรของนายเนี่ย จะเข้าก็หัดเคาะกันบ้างสิ..อูยย หัวปูดไหมเนี่ย เห็นดาวเลย ”
โคทาโร่ ครางอย่างเจ็บแสบ ขณะที่เอามือกุมหัว ส่วน ธนัท ก็ได้แต่นั่งตลึง ตาค้างอยู่ที่พื้น


“ ว..แว้กกกก..อุบ ”
เสียงร้องตะโกนด้วยความตกใจสุดขีด ของ ธนัท ดังขึ้น ก่อนที่ โคทาโร่ จะต้องเอามืออุดปากเขาไว้ไม่ให้เสียง
ดังไปถึงข้างล่าง

“ ไอ้เบื๊อก..จะร้องไปทำไม เดี๋ยวก็ได้ความแตกกันพอดี ”
โคทาโร่ ตะคอกใส่ ขณะที่หูสุนัขของเขากระดิกเพื่อฟังปฏิกิริยา ของคนที่อยู่ข้างล่าง


………….


“ เมื่อกี้ เสียงอะไรน่ะ ”
“ ธนัท คงนอนตกเตียงอีกแล้วล่ะมั้งคะ ”
“ เหรอ  แม่ว่า ลูกไปเรียกน้องลงมากินข้าวดีกว่าเดี๋ยวจะไปสายกันพอดี ”

เสียงพูดคุยของ บุคคลในครอบครัวของ ธนัท ดังมาถึงหูของ โคทาโร่ ที่มีประสาทรับสัมผัสดีเยี่ยง สุนัขป่า

“ ซวยแล้ว พี่นายกำลังจะขึ้นมา ฉันไปก่อนนะ ”
โคทาโร่ กล่าวจบ ก็ละมือ ออกจากปากของเขา ก่อนจะเปิดบานหน้าต่างวิ่งออกไปที่ระเบียง
และกระโดด ลงจากชั้นสอง ไปยังรั้ว กำแพงบ้านฝั่งตรง ก่อนจะลงไปยังถนน


“ เออ..จริงด้วยเมื่อคืน เจ้านั่นมันมาค้าง ในตู้เสื้อผ้าเรานี่หว่า..ว่าแต่นี่กี่โมงแล้วเนี่ย คอรัส ขานเวลาหน่อย ”
/ 7.30 AM/(เจ็ดโมงครึ่งแล้ว)
สิ้นเสียงของ คอรัส นัยน์ตา ของธนัท ก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ

“ เจ็ดครึ่งแล้วเหรอ ซวยแล้ว ถุงเท้าๆเจ้านั่นมันย้ายของในตู้เราไปไว้ไหนกันนะ ”
ธนัท ร้องเสียงหลง ขณะที่พรวดพราดเข้าไปในห้องของ โคทาโร่ ก่อนจะสะดุดกับ ลังกระดาษ
ลังเบ้อเร่อ จนล้มข้าวของในลังกระจาย กลบร่างเขาจนเกลื่อนไปทั่ว ซึ่งก็เป็น พวก
เสื้อผ้า และถุงเท้า กับอื่นๆที่อยู่ในตู้ของเขานั่นเอง

ก๊อก..ก๊อก..ก๊อก

“ ธนัท พี่จะเข้าไปล่ะนะ ”
เสียง ของหญิงสาว ที่ดังมาจากอีกฝั่งของประตู ทำให้ ธนัท ต้องรีบกวาดข้าวของ
ทั้งหมดลงไปในลังและไม่ลืมที่จะ คว้าเอาถุงเท้า มาด้วยก่อนจะรีบออกมาและปิด
ประตูตู้ไป ซึ่งก็ทันกับที่ พี่สาวของเขาเปิดประตูเข้ามา

“ แม่เรียกให้ไปกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวก็สายหรอก ”
 เสียงของ พี่สาวดังขึ้นก่อนที่ประตูห้องจะปิดไป ธนัท ทียืนตัวเกร็งจึง
ล้มตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรง

“ ตื่นเต้นซะจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นเลย ”
ธนัท คิดขณะที่เอามือกุมหน้าอกเอาไว้ เพื่อเรียกให้ขวัญกลับมาอยู่กับตัว

…………..
………………..

ที่ห้องเรียน

“ เมื่อเช้าถ้า ฉันปิดห้องไม่ทันป่านนี้ความแตกไปแล้วรู้ไหม ”
ธนัท กล่าวสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยขณะที่ กำลังจัดของในกระเป๋า
ไปวางในเก๊ะ ของโต๊ะเรียน

“ ก็เมื่อคืนนายเอาแต่บ่นไม่ยอมฟังที่ฉันพูดเลยนี่ ฉันก็เลย เอาลังไปตั้งไว้ตรงประตู
นายจะได้เห็นชัดๆ ”
โคทาโร่ กล่าวโต้กลับไป ด้วยอาการหงุดหงิด ที่ ธนัท มาตามเฉ่งเอากับเขา อยู่ตั้งแต่เช้า


“ แล้วที่สำคัญไอ้ลายสัก ประหลาดๆเนี่ย เมื่อไหร่มันจะหายไปซักที ”
โคทาโร่ กล่าวพร้อมกับ ยกข้อมือขวาที่ ถูกสลัก วงแหวนแห่งพันธะจิต
เอาไว้ขึ้นมา


“ นั่นน่ะ ถ้าทำแล้วมันก็จะอยู่ต่อไปเรื่อยๆจนกว่า จะมีใครคนใดคนหนึ่ง ตายไปนั่นล่ะ ”
ธนัท กล่าวเสียงเรียบ

“ หา!งั้นฉันก็ต้องมีไอ้นี่ติดไปตลอดชีวิตงั้นเหรอ แหวะ!เห็นมันแล้วทำให้นึกถึงเรื่องที่ไม่ อยากจะนึกเลย ”
โคทาโร่ บ่นอุบอิบ แต่ด้าน ธนัท เองก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ต้องมาทำสัญญากับ เขาด้วย

“ ว่าแต่ที่ มือ นายมันมีอีกวงไม่ใช่เหรอ เป็นของใครกันล่ะ ….หรือว่าเป็นของ… ”
โคทาโร่ กล่าวพลางส่งสายตาไปมอง ยังข้อมือ ขวาของ ชุติ กับ แอนที่มี วงแหวนพันธะจิตเช่นกัน

“ นายนี่มีดีกว่าที่เห็นเยอะนะ..ว่าแต่คนไหนล่ะ ”
โคทาโร่ แอบเข้าไปกระซิบกับ ธนัท ที่ได้แต่ตีหน้าเบ้ พร้อมความนัยในสายตาที่บอกว่า
ความคิดของ โคทาโร่ ไม่เฉียดจะถูกต้องเลยซักนิด ฉายอยู่ในแววตา

“ คือ อันนี้น่ะ เป็นสัญญาของ… ”
“ ของฉันเอง มีปัญหาอะไรไหม ”
ธนัท กล่าวไม่ทันจบ เคียว ที่พึ่งเดินเข้าห้องมา ก็แทรกขึ้นกลางคัน

“ การทำสัญญา เพื่อ Synchronize เป็นพิธีกรรม ที่มี แต่ผู้สืบทอด
ระดับ Summoner Master เท่านั้นที่ทำได้ ซึ่งพี่ ของ ธนัท เป็นคณะประธานสภาสูงของ
Master Ceremony ซึ่งก็คือ กลุ่ม  Champion ของแต่ละประเทศซึ่งนำโดยกลุ่มของประเทศไทยเรา
ส่วนที่ ธนัท ทำได้เพราะเขาได้รับการ ฝากฝังอำนาจจาก พี่ชายของเขา ”
อิส ซึ่งเป็นเจ้าของเสียง กล่าวขณะที่เดินมาร่วมวงสนทนาด้วย

“ ฮ้า..พี่ของหมอนี่เป็นคนดังขนาดนั้นเชียว ”
โคทาโร่ กล่าวพลางชายตามองด้วยความไม่อยากเชื่อมากนัก

“ แล้วทำไมต้องมองฉันแบบนั้นด้วย ”
ธนัท กล่าวกับทีท่า แหยๆที่ โคทาโร่แสดงออกมา


“ ครูมาแล้วรีบนั่งที่เร็ว ”
เสียงจาก นักเรียนที่คอยดูต้นทาง อยู่ที่ขอบประตูดังขึ้น ก่อนที่ นักเรียนทุกคนจะ
แยกย้ายกันกลับไปนั่งที่อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ อาจารย์ บุษบารี จะเดินเข้ามาในห้องเรียน

“ วันนี้ครูมีข่าวดีมาแจ้งให้ทุกคนทราบ ”
อาจารย์สาว กล่าว เสียงเรียบ ขณะที่สายตาทอประกาย ด้วยความหรรษา  อย่างขัดกันเสียมิได้
ทำเอานักเรียกทุกคน ในห้องเอือมไปตามๆกัน

“ นักเรียนทุกคน วันจันทร์หน้านี้ เราจะไป ทัศนศึกษากันที่ ภูเก็ตเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน
ดังนั้นรีบเตรียมตัวกันหน่อยนะนักเรียน  ”
สิ้นคำของ อาจารย์สาว นักเรียนทุกคน ในห้องต่างพากัน โห่ร้อง ด้วยความดีใจ เสียงพูดคุย
ดังกระหึ่ม เสียจน อาจารย์บุษบารี คุมเอาไว้ไม่อยู่ทำให้ ชั่วโมง Home Room ในวันนี้
เสียไปโดยเปล่าประโยชน์


…..………

……………

คาบที่ 3 วิชาหน้าที่พลเมือง

“ พรบ.เกี่ยวกับเทคโนยีมนตรา ปี พ.ศ. 2677  ได้บัญญัติไว้ว่า การแพทย์ที่พึ่งพลังเวทมนต์
ต้องอยู่ในขอบข่ายตามที่กำหนดในมาตราที่ 553 ซึ่งว่าไว้ด้วยเรื่องข้อจำกัดทางพันธุเวศกรรม... ”
อาจารย์บุษบารี กล่าวตามตัวหนังสือที่ ปรากฏขึ้นบน กระดาน โฮโลแกรมที่ตั้งฉายจากเครื่องอยู่หน้า
ห้อง โดยที่ นักเรียนทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตาฟัง และคอยพิมพ์ บันทึกสิ่งที่เธอกล่าว

/I’m far gone/(กระผมรู้สึกไม่ดีเลย)
เสียงของ มาราคัส Note ของโคทาโร่ ดังขึ้นซึ่งเสียงนั้นฟังดูอ่อนระโรย
ก่อนที่จะปล่อยคลื่นแสงบางอย่างออกมารอบๆ จนเกิดควันพวยออกมาจาก ตัวจี้ห้อยคอ
จนทั้งห้องเกิดความแตกตื่น


“ มาราคัส..เป็นอะไรไปน่ะ มาราคัส ”
โคทาโร่ กล่าวพร้อมกับลุกขึ้นพรวด จากเก้าอี้ ด้วยความตกใจ ขณะที่ มาราคัส
ยังคงมีควันพวยออกมาอยู่เรื่อย

/System Down/
มาราคัส ส่งเสียงทุ้มยานคางออก มาก่อนที่ เสียงจะหยุดไปและไม่มีการตอบรับใดๆกลับมาอีกเลย
อาจารย์ บุษบารี ต้องเข้ามาดูด้วยความสนใจ กับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ สงสัยว่ามันจะเสียนะ ครูว่า เลิกเรียนแล้วเธอเอาไปซ่อมดีกว่า
เพราะถ้าปล่อยไว้อาจจะพังจนใช้ไม่ได้อีกเลยก็ได้นะ ”
บุษบารี แนะนำ ก่อนจะสั่งให้ทุกคนกลับไปนั่งที่และเริ่มสอนต่อ


16.00 น. เลิกเรียน

“ อืม…ดูท่าอาการจะหนักนะ…อืมมม ”
ชายแก่ร่างท้วม ครางขึ้น พลางกด นิ้วลงไปบนจอโฮโลแกรม ที่ มาราคัส ฉายออกมา
ภาพแผงวงจร แปลกประหลาดถูกฉาย สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยทุกครั้งที่ นิ้วของชายแก่
กระทบกับจอ

“ ซ่อมไม่ได้เลยเหรอ ลุง ”
น้ำเสียงของ โคทาโร่ ไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อได้ฟังสภาพอาการ Note ของเขา

“ อืม..ก็ไม่ใช่ว่าจะซ่อมไม่ได้เลยล่ะนะ แต่ฉันว่า เอาไปให้ช่างที่ Steel Bridge ดูให้ดีกว่านะ ”
ชายแก่ กล่าวก่อนจะ กดนิ้วลงไปบนจอโฮโลแกรม อีกครั้ง เพื่อปิดจอ โฮโลแกรมทั้งหมด
และวาง มาราคัส ลงบน เคาเตอร์ ในร้านที่วางกั้นเขา กับโคทาโร่ และ ธนัท ไว้
ภายในร้าน เต็มไปด้วยสินค้า เกี่ยวกับการ์ดเกมส์ ของสะสม และ อะไหล่ของเล่นอีก
นับไม่ถ้วน เมื่อมองผ่านกระจกประตูของร้านออกไปก็จะเห็น รั้วประตูโรงเรียน มนวิทยา ทันที

ใช่แล้วนี่คือร้านการ์ดเกมส์ koro kro ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนพอดี
ซึ่ง ธนัท ได้พา โคทาโร่ ให้เอา Note มาตรวจสภาพ ที่นี่

“ แล้วไอ้ Steel Bridge เนี่ยมันที่ไหนกันล่ะ ”
โคทาโร่ กล่าว ขณะที่รับ Note กลับมา

“ ถ้างั้น เราก็พาเขาไปด้วยกันเลยสิ ”
เสียงหนึ่งดัง ขึ้นพร้อมกับเสียง กระดิ่ง ที่ห้อยไว้เหนือ ประตูร้าน
พร้อมกับการ มาเยือนของ แอน และ เคียว

“ อ้าว แล้ว ชุติ ล่ะ ”
ธนัท กล่าวถามทันที เมื่อเห็นว่า ชุติการ ไม่ได้มาด้วย

“ ชุติ ไปช่วยงาน กับประธานเป็นการส่วนตัวน่ะ ว่าแต่เมื่อกี้ บอกว่า ต้องไปซ่อมที่ Steel Bridge
ช่ายหมายยย งั้นไหนๆเราก็จะไปหา พี่เบล อยู่แล้ว ง้านเราพาเขาไปด้วยซะเลยสิ ”
แอน กล่าวเสียงเหน่อ  ขณะที่ เดิน เข้ามาหาพวกเขา

“ อืม..ก็นะเรื่องพาหมอนี่ ไปซ่อม Note ก็เรื่องหนึ่งแล้ว ว่าแต่ทำไมต้องไปพบ พี่เบลด้วยล่ะ ”
ธนัท ถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ เมื่อกี้ เราพึ่งไปถามประธานมาเกี่ยวกับเรื่อง ที่เราปะทะกับพวกชุดดำ ”
เคียว กล่าวจบ นัยน์ตาของ ธนัท ก็เบิกผึงจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า

“ แล้วประธาน ว่ายังไง ”
ธนัท ตะคอกใส่ ด้วยความรู้สึกที่ราวกับ อารมณ์ภายในจะปะทุออกมา

“ ประธานบอกว่า ให้ลองไป ถามพี่เบล เพราะเขาเคยเป็น Judge มาก่อน  ”
เคียว ตอบเสียงเรียบ

“ แล้วเรื่องที่เบล เคยเป็น Judge เนี่ย มันมาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ ”
ธนัท กล่าวโดยที่มือของเขากำแน่น เพื่อที่จะสยบ อารมณ์ของตัวเอง

“ เพราะว่า คนที่แอน ดวล ด้วยเมื่อวันนั้น พูดออกมาว่า Judge อย่างฉันแพ้ ผู้เล่นธรรมดาๆ อะไรนี่ล่า ”
แอน กล่าวเสียงเหน่อ ขณะพยายามจะนึกถึง เหตุการณ์ เมื่อคืนนั้น

“ แล้วเบาะแสของเรา แผ่นตราประทับนั่น ตำรวจก็ยึดไปแล้ว ที่เหลือก็มีแค่ ชื่อขององค์กร ของพวกมัน
Paladiso da Regola เท่านั้น ”
เคียว กล่าวเสียงหนักแน่น เพื่อแสดงถึงความจริงจังของ สถานการณ์ ในขณะนี้

“ นี่นายกำลังจะ บอกว่าบุคลากรของ Phenomenon Party อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้เหรอ ”
ธนัท กล่าวน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย ข้อมูลที่เข้ามาในขณะที่ทำเอา สันหลังเขาเย็บวาบไปไม่น้อยเลย
เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายอาจเป็นองค์กร ระดับโลกซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพล ในการผลิต เวทยาการ ต่างๆตั้งแต่ Note ไปจนถึง
อสูรอัญเชิญเทียม ที่มาในรูปแบบของ ซองการ์ดหรือ Booster Pack

[ในหนึ่งซองจะมีแรร์ 1 ใบและส่วนมากเป็นอสูรอัญเชิญแท้ไม่ใช่ของเทียม แบบ อันคอมม่อน กับคอมม่อน ]


“ แต่ว่าถ้าพวกนั้นเป็น Phenomenon Party จริงแล้วพวกมันมาทำอะไรในวันนั้นกันล่ะ ”
ธนัท กล่าวถามด้วยความสงสัย


“ ก็ไม่แน่หรอก นะว่าจะเป็น Phenomenon Party แต่อาจเป็นพวก ที่มีความเกี่ยวข้อง กับ องค์กรก็ได้ ”
เคียว กล่าว

“ เอ๋..นี่หรือว่า พวกนั้นเป็นสายของ ประเทศอื่นที่เข้ามา สืบความลับ เวทยาการของประเทศเราหน่า ”
แอน อุทานเสียงเหน่อ ขณะที่ต้องเอามือ กุมประสานกันไว้ด้วยความสะดุ้ง

“ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว แต่ก็มีอีกความเป็นไปได้นึง อยู่คือเจ้าพวกนั้นเป็นกลุ่มกบฏต่อ องค์กร ”
เคียว เปรยเสียงเรียบ

“ กบฏในกลุ่มองค์กร งั้นหรือ…ไม่แน่บางเจ้าสามคนนั่น… ”
โคทาโร่ คิดในใจขณะที่ ฟังการสนทนา ของ ธนัท ไปเรื่อยๆดูเหมือนว่าตัวเขาจะรู้อะไรบางอย่างอยู่
แต่ก็เก็บเงียบเอาไว้

“ นี่ฉานว่าเราเลิก ถกกันเรื่องนี้เถอะหนา เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน รีบไปที่ Steel Bridge กานเถอะ ”
แอน กล่าวเสียงเหน่อ เพื่อชักชวนให้พวกเขา ออกเดินทาง ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยเพราะ
นี่ก็เกือบ เย็นแล้วหากไม่รีบพวกเขาอาจต้องกลับบ้านมืดเอาได้
จึงพากัน ลาชายแก่เจ้าของร้าน ก่อนจะออกจากร้านไป

………………
…………………….

Steel Bridge ย่านการค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งในครั้งอดีตมันถูกเรียกว่า สะพานเหล็ก ศูนย์ รวม
ของสื่อบันเทิง ต่างๆ แต่ด้วย สงครามเมื่อ ศตวรรษที่แล้วมา ทำให้มันถูกทิ้งรกร้างอยู่ก่อนจะถูกบูรณะขึ้นใหม่
และถูกเรียกว่า Steel Bridge ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ย่านการค้าของอุปกรณ์ เวทยาการ สมัยใหม่
มากมาย

………………
……………………..
………………………..

อาคาร ซึ่งตกแต่งภายในโดยคงสภาพไว้เหมือนเมื่อ 2 ศตวรรษ ที่แล้ว มีการสร้าง บันได เวียนขึ้นไป
ในแต่ละชั้น ซึ่งมีช่องกลางบันได เว้นไปจนถึงชั้นบนสุด และหลังคาเหนือ ช่องกลางบันได
 ถูดติดตั้ง บานกระจกเอาไว้แทน ผนังอิฐ เหมือนชั้นอื่นๆ

“ อืม..ไดนาเมซ เสียหายหนักมากเลย เพราะตอนแรกมันก็ขัดข้องอยู่แล้ว ทำให้อัตราการ สร้างประจุ
ทำงานไม่คงที่ แล้วก็ยังไปฝืนใช้มันอีก ตัววงจรไหม้ชำรุดจนถึง ข้างในเลย แบบนี้
ต้องเปลี่ยน ไดนาเมซใหม่แล้วล่ะน้องครับ ”
ช่างซ่อม ซึ่งยืน อยู่หลังเคาเตอร์ ของร้านแผงลอย ที่ตั้งอยู่บริเวณ เชิงบันไดในอาคาร ภิรมย์พลาซ่า Return
กล่าว ขณะที่ก้มลง หยิบเอา อุปกรณ์ ที่มีรูปร่างเหมือนมอเตอร์ขนาดเล็ก ที่มีเฟือง ปล่อยประจุ
ติดเอาไว้ขึ้นมา บนเคาเตอร์


“ ถ้างั้น ฉัน กับแอน จะขึ้นไปถาม เรื่องจากพี่เบล ก่อนนะ นาย รอ อยู่กับโคทาโร่ เนี่ยแหล่ะ ”
เคียว กล่าวขึ้น ขณะที่ ช่างซ่อมเปลี่ยนให้ Note ของโคทาโร่ ไปอยู่ โหมด สำหรับดวล
ซึ่งเป็นรูปแบบ ถุงมือจักรกล ก่อนจะลงมือ โละชิ้นส่วน ของถุงมือ ออกเป็นชิ้นๆ

“ ทำไมล่ะ ฉันก็อยากไปฟังด้วยนี่นา ”
ธนัท กล่าวน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย

“ ก็เพราะฉันยังไม่วางใจ เจ้าหมอนี่น่ะสิ ”
เคียวกล่าว พร้อมกับ ชายตามองไปที่ โคทาโร่ ซึ่งกำลัง ดูสภาพภายใน
ของ Note ที่ถูกแกะออกมา

“ เพราะงั้น นายต้องอยู่ดูเจ้าหมอนี่ไว้  แล้วฉันจะกลับมาเล่าให้ฟังอีกทีก็แล้วกันนะ ไปล่ะ ”
เคียว กล่าวจบก็เดิน ขึ้นบันได ไปพร้อมกับ แอน ทิ้งให้ ธนัท ต้องอยู่กับ โคทาโร่ อีกครั้ง

“ เฮ้อ เคียวเอ๋ย นายรู้แล้วหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่เนี่ย ทิ้งให้ฉันอยู่กับหมอนี่
 ไม่กลัวมัน ขยี้ฉันเละเป็นโจ๊กก่อนเรอะ ”
ธนัท กล่าวอย่างหมดอาลัยตายอยากขณะที่ ชะเง้อคอกลับมามอง โคทาโร่
แต่เขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดไป  เพราะ โคทาโร่ ดูจริงจังกับ การซ่อม Note ของเขามาก

“ Note เครื่องนั้นคง สำคัญกับนายมากเลยสินะ ”
ธนัท กล่าวขณะที่ เดินเข้าใกล้โคทาโร่

“ ฉันน่ะตั้งแต่จำความได้ ก็อยู่ในกลุ่ม URH แล้ว ไม่มีใครมาคอยดูแลเอาใจใส่หรอก
ตั้งแต่เด็กๆแล้ว สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ก็มีแค่วิชาการสังหาร การควบคุมและใช้งาน อสูร เท่านั้น

 ถ้าไม่ฆ่าก็จะถูกฆ่า ถ้าไม่อยากถูกฆ่าก็ต้องฆ่ามันก่อนที่มันจะฆ่าเรา ที่นั่นมันเป็นแบบนั้นล่ะ
 ที่พอจะหาคนปรับทุกข์ได้ก็มีแค่ Note ที่องค์กรมอบให้เท่านั้นเอง ”
โคทาโร่ กล่าว สายตาของเขาช่างดูโศกเศร้า อย่างที่ไม่เคยแสดงมาก่อน

“ สาเหตุคงเพราะ URH แข็งข้อต่ออำนาจโลก ก็เลยคิดจะปฏิวัติแต่เพราะ
ถูกไล่ต้อนก็เลยต้องฝึกพวกของตนให้ต่อสู้ด้วยสินะ แบบนี้มันก็ไม่ต่างไปจาก พวกราชวงศ์
สเปน เลยน่ะสิ ”
ธนัท คิด ในขณะที่ตัวเขาเอง ก็เริ่มจะเห็นใจ DNA-Changer ผู้นี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เขายังรู้สึกผวากับ การกระทำของ โคทาโร่ ที่ดิบทราม ราวกับสัตว์ป่า มาแล้วก็ตาม

ในวินาทีนั้น เพียงชั่ววูบเท่านั้น ราวกับพวกเขาถูกสายตาของ พญาราชสีห์
ที่จะออกล่าเหยื่อ จับจ้องอยู่ จิตสังหาร ที่รุนแรงเสียจนรู้สึกได้ ทำให้ ธนัท กับ โคทาโร่ หันกลับไป
มองที่ บันได นักเรียนรุ่นพี่ผมสีขาวราวหิมะ กำลังเดินนวยนาด ลงบันไดมายังร้านชั้นล่างที่พวกเขา ยืนอยู่


“ รุ่นพี่ อนุชิต..คิระ ”
ธนัท เปรยเมื่อได้เห็นร่างเจ้าของ จิตสังหารเมื่อครู่


“ ขอดูหน่อยเถอะว่านายเหมาะที่จะเป็นผู้สืบทอด ของเขาผู้นั้นหรือไม่ ”
คิระ กล่าวจบ ก็ยกข้อมือ ที่ Note ของเขา สแตนบายน์ไว้ก่อนแล้วขึ้นมา

/Get Set/
สิ้นเสียง คอรัส Note ของ ธนัท ก็เปลี่ยนรูปเป็น ถุงมือจักรกลเช่นกัน

“ เฮ้ยจู่ๆมาถึงก็ท้าทายกันงี้เลยเรอะ หมอนี่เป็นใครกัน ”
โคทาโร่ กล่าวถามด้วยความหงุดหงิดกับการกระทำของ คิระ


“ นายถอยไปซะ ”
ธนัท กล่าวเสียงเฉียบ ทพเอา โคทาโร่ นิ่งอึ้งกับท่าทีที่เปลี่ยนไปแบบปุบปับของเขา
สายตาของ ธนัท เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนล่ะคน โคทาโร่ ไม่อาจขัดขืนได้ จึงยอมถอยออกห่าง
ไม่นานนัก ละออง พลังเวทย์ ก็ค่อยๆกระจายตัวออกมาจาก Note ของ ทั้งคู่

“ ตลอดมาฉันไม่เคยแพ้ใครมาก่อนเลย นั่นเพราะฉันดวลกับคู่ดวลที่ไร้ฝีมือ แต่เขาคนนี้ไม่ใช่…. ”
ธนัท คิด ก่อนที่ การดวลของเขา กับ คิระ จะเริ่มขึ้น

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #55 on: January 18, 2009, 09:21:11 PM »

………………….
……………………….
…………………………..


“ เอ๋ พี่เบลไม่อยู่เหรอ ”
เคียว กล่าวขณะที่ เด็กเฝ้าร้านส่ายหน้าเป็นเชิง

“ พี่เค้าบอกว่าจะออกไปทำธุระ แล้วก็หายไปเลย นี่ก็สองชั่วโมงมาแล้วยังไม่กลับมาเลย ”
เด็กเฝ้าร้านตอบ 

“ เอ..แล้วเค้าไปไหนกันนะ เธอคิดว่าไง แอน.. ”
เคียว กล่าวก่อนจะชะงักไปเพราะเมื่อเขาพยายามจะถามความเห็น แอน ก็หายตัวไปซะแล้ว



…………..
…………..


มังกรเพลิงอัคคี ซาลามันเดอร่า  กำลังเผชิญหน้ากับ จักรกลคล้ายตาชั่ง
ซึ่งส่องประกายรัศมี ออกมาตลอดเวลา โดยที่แนวหลังของมันมี จักรกลคล้ายมนุษย์ สองตัวยืนคุมเชิงอยู่

“ Cost Mp3 ให้ Scales of Libra ใช้ Skill นำ Machine 1 ใบในสนามกลับขึ้นมือ
นำตัวมันเองกลับขึ้นมา และ ให้ Lambda-L ขึ้นไป At Line ”
คิระ กล่าวจบ จักรกลรูปร่างตาชั่งก็ เรืองแสงขึ้นก่อนจะ กลับเป็นการ์ดและ
พุ่งกลับไปอยู่บนมือของเขา ก่อนที่จักรกลรูปร่างมนุษย์ ทั้งตัวหนึ่งจะย้ายไปอยู่แนวหน้าแทน

อนุชิต(คิระ) [ Hand Sta: Seal:5 Mystic:1 ] mp 7  Shrine 0/12





“ แล้ว Cost Mp 3 ร่าย สกาเลด ออฟ ไลบรา ลงมาที่ Df Line จากนั้นให้ Ability
ของสกาเลด ทำงานเลือก ค่า AT และ DF ของสกาเลด เท่ากับค่าพลังของ
 Salamundera The Fire Dragon  ค่าAt 14 และค่า Df เท่ากับ 9 ผ่าน  ”

สิ้นคำ คิระ ก็ร่าย สกาเลด ลงมาอีกครั้งจักรกลตาชั่ง ได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับที่จานชั่งของมัน
ปรากฏมวลพลังงาน สีแดงขึ้นที่จานชั่งใบหนึ่งและสีขาวขึ้นอีกใบหนึ่ง โดยจานสีแดงหนักกว่า

ข้างสีขาว ก่อนที่แขนชั่ง จะค่อยๆปรับระดับ ให้เท่ากัน ขณะเดียวกับที่ ตัวเลขแสดงค่าพลังของ
สกาเลด กำลังเพิ่มขึ้นจนหยุดเท่ากับ ซาลามันเดอร่า การปรับแขนชั่งจึงหยุดลง



“ รอบของฉัน จั่วไพ่ ”
ธนัท กล่าวจบก็ดึง มิสติก การ์ดขึ้นมาสองใบ

ธนัท  [ Hand Sta: Seal:0 Mystic:2 ] mp 7 Shrine 9/12


“ ชิ..ทำไงดี ตอนนี้ เรามีแค่ ซาลามันเดอร่า ที่Growth กับอยู่ในท่า Double Combination
  ตัวเดียวเท่านั้นถึงจะพึ่ง อะบิลิตี้ทำให้มีพลังมากขึ้นก็เถอะ แต่เพราะเทิร์น ที่แล้วเราโจมตีเข้าไป ทำให้

ค่าพลังของ ซาลามันเดอร่า เพิ่มขึ้นเป็น 14 แต่ก็แค่ 1 เทิร์นเท่านั้น แล้วเจ้า Lumbda-L ตัวที่เรา
ทำลายไปมันก็มีอะบิลิตี้คืนชีพได้ครั้งนึง อีก เจ้าตัวที่ขึ้นมาอยู่ข้างหน้าแทนตัวเมื่อกี้ ยังไม่ได้ใช้ อะบิลิตี้ เลย

ถ้าเราโจมตีเข้าไปมันก็จะฟื้นคืนชีพอยู่ดี  นี่เพราะรู้สินะว่าเราจะต้องจั่วมิสติกขึ้นมา
เพื่อบุกในรอบนี้ เลยสร้างแนวป้องกันเพื่อบีบ ให้เราจั่วซีล แต่ถ้าทำแบบนั้น รอบต่อไปเราก็จะโดน

สวนทันที รอบนี้ยังไงก็เลี่ยงการโจมตีไม่ได้อยู่ดี ถ้าเราไม่บุกเข้าไป ซาลามันเดอร่า ก็จะไม่ได้บวกพลังเพิ่มจากการโจมตี..มีแต่ต้องลุยเท่านั้นสินะ  ”
ธนัท คิดประเมินสถานการณ์ ที่กำลังเผชิญ ซึ่งเขาไม่อาจตอบโต้คู่แข่งได้เลย

“ ที่น่าติดใจกว่านั้น ก็คือรูปแบบการเล่นของ รุ่นพี่  ตั้งแต่เริ่มเกมส์ มา ก็ใช้มิสติก
ไปแค่ 2 ใบเท่านั้น ถ้ารวมกับที่อยู่บนมือ เท่ากับว่ามาจนถึงตอนนี้ รุ่นพี่มีแค่ 3 ใบเท่านั้น

เพราะการบุกสายฟ้าแลบของเรา ทำให้เสียซีลไปขนาดนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถ้า ซาลามันเดอร่า
ถูกทำลายก็จบอยู่ดี สำรับของ รุ่นพี่ คิระ ชื่อของมันคือ  Heaven Gundamus
 นอกจากชื่อสำรับแล้วเราก็ไม่รู้อะไรเลย นี่เป็นทริค ของ สำรับหรือ ว่าเขายังไม่เอาจริงกับเรากันแน่ ”
ธนัท คิดหลังจากที่ประเมินสถานการณ์ที่ผ่านมาอย่างถี่ถ้วน


“ แปลกจริงๆด้วย ปกติการทำเกมส์นั้น บนมือจะต้องมีซีลให้น้อยเข้าไว้เพื่อจะเผื่อที่ให้มิสติก
แต่นี่มันกลับกันชัดๆ แถมตั้งแต่เมื่อกี้แล้วด้วยใช้แค่ สกาเลด ออฟ ไลบรา เท่านั้นในการบุก

แล้วก็ส่ง ลัมดาแอล ออกไปตั้งรับ สลับไปเรื่อยๆ ซีลสองในห้า บนมือนั่นก็คือ ลัมดาแอลที่ใช้
 อะบิลิตี้ไปแล้ว หมอนี่มันคิดจะไม่จั่วมิสติกเลยเรอะ ”
โคทาโร่ คิดขณะที่จ้องมองการ ดวล ของทั้งสองอยู่ห่างๆ

“ Cost Mp  4 ให้ ราชันย์มังกรอัคคีซาลามันเดอร่า โจมตี ไปที่ลัมดาแอล Blaze Breath ”
ธนัท สั่งการจบ ซาลามันเดอร่า ก็สูดลมหายใจลงท้องไปก่อนจะพ่นออกมาเป็นเพลิงพิฆาตครอกร่างของ ลัมดาแอล

“  ให้ อะบิลิตี้ ของลัมดาแอล ทำงาน ให้ AT+3 Sp+1 แบบไม่จำกัดเทิร์น แทนการถูกทำลาย ”
สิ้นคำ เพลิงพิฆาตก็ถูก ลัมดาแอล ปัดสลายไป ก่อนที่จะมีไอน้ำพวยพุ่งออกจากร่างของมัน
พร้อมกับ ค่าพลังที่เพิ่มขึ้น

“ Cost Mp 2 ร่าย Silent Prohibitor ไปติดที่ ซาลามันเดอร่า ผ่าน ”
สินคำ ธนัท ก็ร่ายมิสติกบนมือลงไป ปรากฏร่างของ บุรุษในชุดคลุมขึ้นก่อนที่
บุรุษผู้นั้นจะปักไม้เท้าของตนลงบนพื้น และหายตัวไป

“ ซีลที่ติด ไซเรนโปรฮิบิเตอร์ จะป้องกัน มิสติกการ์ด สกิล การโจมตี และการสวนกลับการโจมตี ได้ 1 เทิร์น
เท่านี้รอบหน้าเราก็รอดแล้ว ”
ธนัท คิดขณะที่ คิระ ดึงซีล การ์ดขึ้นมาเพียงใบเดียวเท่านั้น



“ นี่คือการทดสอบว่านายเหมาะจะเป็นผู้สืบทอดของเขาคนนั้นหรือไม่ ลองรับ
การทดสอบจากคมดาบแห่งพระผู้เป็นเจ้าหน่อยเป็นไง Cost Mp 3 ร่าย The Guardian of Lexdetheo Seal(ผู้พิทักษ์ผนึกแห่งเลกซ์เดทีโอ) ไปที่ At line ”

สิ้นคำ ซีลการ์ด ที่จั่วมาของ คิระ ก็ถูกปล่อยให้ตกจากมือไป โดยไม่ได้โยนออกไป ละอองพลังเวทย์
ที่กระจายฟุ้งอยู่รอบสนาม ได้ถูกดูดกลืนเข้าไปที่ซีลใบนั้น และทันทีที่มันตกถึงพื้นแทนที่
ล้มแปะลงกับพื้น มันกลับ จมหายหายลงไปอบ่างช้าๆแทน ก่อนที่จะเกิดแสงสว่างส่องวาบขึ้นไป

จากลานบริเวณหน้าร้าน พุ่งขึ้นไปตามช่อง กลางของ บันไดจนดูราวกับเป็นเสาแสงตั้งตระหง่านอยู่
ใจกลางอาคาร



“ นี่มัน…. ”
เคียว ที่ตามหา แอน อยู่อุทานขึ้นเมื่อเห็นเสาแสงพุ่งขึ้นมาจากชั้นล่าง
ทันทีที่ แสงนั้นจางลง ร่างของ จักรกล ซึ่งคล้ายกับทูตสวรรค์กับดาบยักษ์ 4 เล่มที่ลอยอยู่รอบตัว
 ก็ปรากฏขึ้นยังชั้นบนสุดของ อาคาร
ลอยตัวอยู่ในช่องว่างตรงกลางภายในอาคาร ความงดงามของมันทำให้ผู้คนรอบๆไม่อาจละสายตาไปได้

“ ผู้พิทักษ์เลกซ์เดทีโอ………….คิระเหรอ ”
เคียว กล่าวเมื่อได้เห็นร่างของ อสูรอัญเชิญตัวนั้น เขาจำได้ถึงรูปร่างของมัน ในคืนที่
กองทัพ เจตภูตวารีบุกโจมตีโรงเรียน นี่คือ อสูรที่คิระ ใช้จัดการ กับกองทัพ เจตภูต นับร้อย ในคราเดียว

………..
…………….

“ เมื่อ ผู้พิทักษ์เลกซ์เดทีโอ เข้ามาในสนาม สามารถแสดงมิสติก 4 ใบบนสุดกองการ์ดตัวเองแล้วเลือก มิสติก
ชนิด PS มา 1 ใบไปติดไว้ที่ ผู้พิทักษ์จากนั้นนำที่เหลือ ทั้งหมดลงไชน์ไป
และนี่คือ 4 ใบที่อยู่บนสุดของสำรับฉัน ”
คิระ กล่าวขณะที่ ดึงมิสติก ทั้งสี่ใบขึ้นมาและ แสดงให้ ธนัท ดู


“ นี่มัน.. ”
โคทาโร่ได้แต่ นิ่งอึ้งเมื่อเห็น ไพ่ทั้ง 4 ใบนั้น  ใบแรกเป็น เทพที่มีหัวเป็นสุนัข อานูบิส(Anubis)
ใบที่สองเป็น คทาสีแดงฉานราวกับเปลวเพลิง แมกม่าเทีย(Magma Tear, The Wand of Brenda )
ใบที่สามเป็น นาฬิการูปนก คุคู(KuKu Clock) และใบที่สี่ใบสุดท้ายเป็นนักเวทย์สาว
ซึ่งนางมีคฑา ถึงสามอันให้เลือกในภาพ  ซึ่งแสดงถึงการสับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลง (Alternation)



“ ฉันเลือก แมกม่าเทีย มาติดที่ ผู้พิทักษ์เลกซ์เดทีโอ นอกนั้นทิ้งไป และในตอนนี้ อะบิลิตี้ทั้งหมดของมิสติกที่ฉันทิ้งไปก็จะทำงาน ”
สิ้นคำ ของคิระ มิสติก ที่แสดงทั้งหมดก็เรืองแสงขึ้นก่อนจะพุ่งขึ้นไปยังร่างของ ผู้พิทักษ์เลกซ์เดทีโอ
ก่อนที่มันจะเลือก ดาบออกมา 1จาก 4 เล่มทั้งหมด ซึ่งก็คือตัวแทนของ แมกม่าเทียนั่นเอง


“ ใบที่ 1 เทพแห่งความตายอานูบิส เมื่อตกไชน์จากกองการ์ด อีกฝ่ายต้องทิ้งไพ่ไปสองใบ ”
สิ้นคำของคิระ ผู้พิทักษ์ ก็คว้าดาบมาอีกเล่มก่อนที่จะเหวี่ยงมันลงไป ดาบยักษ์ถูกเหวี่ยงควงลงมา
กระแทกเสียจนเขากระเด็นไป กระแทกกับผนังอาคารอย่างแรง จนล้มครูดไปกองกับพื้น พร้อมกับมิสติกในมือที่ถูกส่งไปยัง ช่องเก็บการ์ดในไชน์ ที่ข้อแขนของขา


“ ใบที่ 2 Alternation เมื่อตกไชน์จากกองการ์ดย้าย มิสติการ์ดชนิด PS 1 ใบ
ไปยังซีลที่สามารถติดได้ใบอื่น เลือกย้าย ไซเรนโปรฮิบิเตอร์มาที่ ผู้พิทักษ์ ”
สิ้นคำของคิระ ผู้พิทักษ์ ก็ คว้าดาบอีกเล่มมาก่อนจะเหวี่ยงควงลงไปที่
ไม้เท้าที่ปักอยู่ใกล้กับ ซาลามันเดอร่า ทันทีที่ดาบควงกระแทกเข้ากับไม้เท้า ไม้เท้านั้นก็ถูกดาบตวัดให้ย้ายไปฝั่ง
คิระแทน การป้องกันจึงถูกย้ายไปที่ผู้พิทักษ์แทน


“ และใบที่ 3 ใบสุดท้าย นาฬิกาคุคู เร่งเวลา ซาลามันเดอร่าไป 1 เทิร์นทำให้
 At ของซารามันเดอร่าลดลง เหลือ 13   ”
และอีกครั้งที่ดาบเล่มสุดท้ายของ ผู้พิทักษ์ถูก คว้างมา ดาบได้กระแทกเข้ากับ ร่างของเจ้ามังกร จนมันล้มลง
แล้วค่าพลังของมันก็เปลี่ยนลดลงไปในทันที

“ ให้ผู้พิทักษ์ รวมร่างกับ สกาเลด จากนั้น Cost Mp 3 โจมตี  Sacred Sword Bounding เรายืนอยู่บนจุดสูงสุดของทุกสรรพสิ่ง ผู้ที่กวัดแกว่งดาบแทนพระผู้เป็นเจ้า ”
สิ้นคำ สกาเลดก็ลอยตัวขึ้นไปประกอบร่างกับ ผู้พิทักษ์ จานชั่งทั้งสามใบ ที่ติดอยู่ตามจุดต่างๆ
ได้เปลี่ยนกลายเป็นโล่คุ้มกัน ให้แก่ ผู้พิทักษ์ขณะที่ชิ้นส่วนอื่นๆของมันคอยเสริมขนาดของ

ผู้พิทักษ์ราวกับเป็นชุดเกราะให้ ก่อนที่จะพุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว
พร้อมกับดาบเล่มแรกที่เลือกมาซึ่งก็คือแมกม่าเทีย  โดย การลงดาบครั้งแรกนั้นทำได้แค่เพียง
เจาะเกล็ดอันแข็งแกร่งของ ซาลามันเดอร่าเท่านั้น

“ เมื่อโจมตีสำเร็จ Cost Mp 1 เพื่อให้ผู้พิทักษ์เลกซ์เดทีโอจู่โจมอีกครั้ง การโจมตีครั้งแรกด้วยผลของ
แมกม่าเทีย ทำให้ มีค่าพลังเพิ่มจาก 10 เป็น 12 และการโจมตีในครั้งนี้จะเพิ่ม อีก 2 เป็น 14 ชะตาของเจ้าสะบั้นแล้ว ”
สิ้นคำของ คิระ ผู้พิทักษ์ก็ได้เข้าไปจู่โจมอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ ซาลามันเดอร่าถูกทำลายลงในที่สุด



อนุชิต(คิระ)[ Hand Sta: Seal:5 Mystic:1 ] mp 0 Shrine 0/12 Win
ธนัท [ Hand Sta: Seal:0 Mystic:0 ] mp 0 Shrine 12/12 Lose


“ อ่อนหัดสิ้นดี.... ”
คิระ กล่าวจบก็เดินขึ้นบันได จากไปทิ้งให้ ธนัท นอนหมดสติ โดยที่ไม่รู้ว่าตนพ่ายไปแล้ว


“ จริงอยู่ที่หมอนี่ยังอ่อนหัดแต่… ”
โคทาโร่ กล่าวขึ้นขณะที่ เข้าไปพยุงร่างของ ธนัท ให้นั่งพิงกำแพง
คำพูดของเขาทำให้ คิระหยดเดิน ชั่วครู่เพื่อที่จะฟังสิ่งที่ โคทาโร่จะสื่อ ออกมา

“ หมอนี่ยังสามารถพัฒนาไปได้อีก เพราะฉันเห็นมันมากับตาแล้วซักวัน
หมอนี่คงจะเก่งจนโค่นแก ได้ ”
โคทาโร่ กล่าวน้ำเสียงหนักแน่น ทำให้ คิระ รู้สึกแปลกใจไม่น้อยกับคำพูดที่ออกจากปากของเขา

“ ไว้ถึงตอนนั้น ฉันจะถอนคำพูดก็แล้วกัน ”
คิระ กล่าวก่อนจะก้าวเดิน ออกไป โดยที่ เคียว วิ่งสวนกับเขาลงไป ดูอาการ ธนัท
ที่ถูก ดาบของ ผู้พิทักษ์ผนึกเลกซ์เดทีโอ อัดจนสลบ


/Get Call/
“ ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง.. ”
เสียงของ ผู้ติดต่อเข้ามาดังขึ้นจาก ทีเนอร์ Note ของ คิระ

“ จัดการเรียบร้อยแล้ว.. ”
คิระ กล่าวเสียงห้วน ขณะที่ เดิน ขึ้นบันได ไปยังชั้นบนเรื่อยๆ

“ งั้นหรือดีแล้ว เพราะเราจะให้พวกมันรู้ไม่ได้ว่า ใครคือ องค์หญิงแห่งมังกรขาว
การที่ส่งนายไปจะเป็น การดึงความสนใจของพวกมันไปที่ เจ้าหนู และยังทำให้พวกมันไม่
กล้าลงมืออย่างๆผลีผลามอีกด้วย ”
เสียงของผู้ติดต่อดังขึ้นก่อนที่ จะตัดสายไป


“ ใช้คนเก่งจริงนะ...เอาเถอะเราจะมัวมาอยู่แบบนี้ไม่ได้ พวกมันคงจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ”
คิระ คิด ขณธที่ยังคงมุ่งหน้าขึ้นไปยังชั้นบนของอาคารเรื่อยๆ

.........
.........
...............

“ ว่ายังไงนะ แอน หายตัวไปงั้นเหรอ ”
ธนัท ร้องเสียงหลงในทันที หลังจากที่ได้ยินเรื่องจากปากของ เคียว ขณะที่ โคทาโร่ ช่วยพยุงเขา
ไปนั่งที่เก้าอี้ ข้างๆร้านซ่อม

“ อืม..พี่ เบล เองก็ไม่อยู่ด้วย แถมพอหันมาอีกที แอนก็หายไปแล้ว ”
เคียว กล่าวหน้าถอดสี ขณะที่ มือถือ คาสเทเน็ท Note ของเขาเอาไว้กระชับ เพื่อรอให้แอน รับสาย

“ ชิ..นี่หรือว่า พวกมันอีกแล้ว... ”
ธนัท สบถพร้อมกับกัดด้วยความเจ็บแค้น จากความพ่ายแพ้ที่ถูกมอบให้
อย่างไม่มีทางสู้ แล้ว เพื่อนของเขาอาจจะถูกพวกชุดดำจับตัวไปอีก
ราวกับเป็นการซ้ำเติม ในความไม่เอาไหนของเขา
..................
.........................

“ เอาล่ะองค์หญิงแห่งมังกรขาว คือคนไหนเอ่ย  ”
เสียงหวานๆของสาววัยแรกรุ่น ดังขึ้นพร้อมกับสายตาที่จ้องมองพวก ธนัท
ลงมาจากมุมมืด ที่ชั้น บนสุดของ อาคาร



To be Continue

หลังจากตอนนี้ไปขอแถลงเลยละกันครับ จะของด ยาวไปจนถึง เดือน มีนาคม เลย
เพราะอาทิตย์ ที่จะถึงนี้ต้องไป เขาชนไก่แว้ว แล้วต่อด้วยสอบ o-net A-net
อีกคงต้องหยุดอ่านหนังสือกันพักใหญ่ล่ะขอรับ เพราะฉะนั้นต้องขออภัยในความไม่สะดวก
นะขอรับ
Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #56 on: January 18, 2009, 09:21:43 PM »

พิเศษ ก่อนลายาว By Garurumon
แหมๆ บทนี้ก็ไม่รู้จะแถลงอะไรมากนะฮ้า
เลยจะมาพูดเกี่ยวกับ ตัวละครที่ชื่อ อนุชิต นิมินตการดี กันซักหน่อย
เริ่มจากฉายาของท่านนั้น ได้แต่ใดมาลือ แล้วชื่อสำรับของท่านมีความหมายว่าอะไรได้มาจากไหนหรือ
ช่วยไขข้อข้องใจของเดี้ยนทีนะฮ้า

คิระ: “ ฉายาเหรอ ไม่รู้หรอกพวกมันก็เรียกๆกันเงี้ย ชื่อสำรับ เจ้า ศรีมันตั้งให้ ไม่รู้ความหมายหรอก ”

เวรสรุป รู้อะไรเกี่ยวกะตัวเองมะเนี่ย ไปถาม ธนัท ดีก่า

ธนัท: “ ก็ฉายาเหรอคับ คือเพราะพี่อนุชิต ชอบใช้ อสูรที่มีรูปร่างคล้าย กันดั้ม แล้วฝีมือพี่แกก็เข้าขั้นเทพ ไปๆมาๆ คนอื่นเลยเรียกว่า คิระ ชื่อของตัวละครจากโมบิลสูทกันดั้มซีดเดสทินี่ ไงคับ ”

ง่ะพูดไม่ออก แล้วชื่อสำรับล่ะ

ธนัท:“ อันนี้มะรุครับ พี่ผมเป็นคนตั้งให้นี่ ”
เวรแล้วจะไปถามใครเนี่ย ไอ้ชื่อ Heaven Gundamus เนี่ยกด ดิทส์ยังไม่มีเลย
รู้แว้วถามเกรม่อนคุงไง

Greamon: “ อ๋อก็แปรว่า กันดั้มแห่งสวรรค์ไง ตรงตัวเป๊ะ gundamus = กันดั้ม Heaven ก็สวรรค์ไง ”

จุดจุดจุด........

Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #57 on: January 18, 2009, 09:27:05 PM »

--3--  เดี๋ยวพี่มาบอกผมด้วยนะ  ว่าเขาชนไก่เค้าต้องเข้ากันทั้งหมดกี่วัน

ส่วนวิธีเตรียมตัว ใน www.dek-d.com มีลงไว้แล้วนะครับ  รวมถึงอันตรายจากสิ่งที่ขึ้นต้นด้วย "ผ" ตามด้วย สระอี ด้วยครับ 

แล้วก็.......  Heaven gandamus=กันดั้มสวรรค์ เนี่ย .........
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #58 on: January 20, 2009, 02:50:45 AM »

คุณ boy เรียนรด. ปีไหนล่ะครับ ถ้าปีสองก็ไปสามวันสองคืน ถ้าปีสามก็ไปห้าวันสี่คืน

แต่ปีสองไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ จะมาเหนื่อยก็ปีนี้ล่ะคร้าบ ปีสามเนี่ย

แถมกลับมาเหลืออีกสัปดาห์เดียว สอบไล่ จากนั้นก็ O-Net ต่อเลย
แล้วเว้นช่วงอีกอาทิตย์ A-Net แถมรุ่นเราเป็นรุ่นสุดท้ายอีกด้วย
ก่อนเป็น Gat Pat เหอๆเหงเขาบอกว่าปีนี้จะยากเปงพิเศษ เพราะงั้น
เลยต้อง งด เขียนนิยายยาวเลยล่ะครับ ไว้ติดม.แล้วจะมาลงต่อแต่กำลังคิดว่า

เรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนดูแล้ว เลยจะเปลี่ยนไปลง ทาลิภาค2ก่อง เพราะตอนนี้ข้อมูลเขียนเรื่องนี้ตันมาก
คุยกับพี่สาวแล้ว ไปๆมาๆ เลยให้เจ้าการุรุม่อน ไปหาเอาของเถื่อน กันดั้ม ดับเบิลโอ ซับไทยมาให้พีดูแทน

แล้วก็ไปๆมาๆกลายเป็นว่า พล็อตเรื่องอะไรของพี่เค้าไม่รุ มันลงตัวเป้ะเลยจะเปลี่ยนล่ะครับ
ดูจาก sig ของผมแล้วคุณ boy คงจะคุ้นเลยสิท่า เรกกะ หน้าถอดแบบมาจาก ลอว์เรนซ์ เด้ะ

แถม เจนัส กับ นีน่า ยังเปลี่ยนนามสกุลแล้วกลายเป็นตัวละครใหม่เฉยเลย
คิดว่าตัวละครเหล่าเป็นมายังไงเอ่ย ขอสปอยไว้เลยละกันครับ
พวกนี้เป็นรุ่นลูกหลานของ ลอว์เรนซ์ แต่ที่ ครอบครัว รูลเวลล์ กับ ลาเซริโอ้ ทะเลาะกันนี่ขออุบไว้ก่อน
ส่วน นีโอเวลมายังไง คิดว่าคุณ boy น่าจะเดาออกนะครับเหอๆ

พูดไปแล้วมันเศร้า ผทเป็นผู้ชายแท้ๆดันชอบเรื่องโรแมนติกอย่างลอลลี่ป็อบ พี่ผมเป็นสาวเป็นแส้ ดันชอบกันดั้ม
ซะงั้น ส่วนเจ้าการุรุม่อน ชอบ มาสไรเดอร์ เอาเข้าไป

แต่ก็นี่แหล่ะ โแมหน้าทีมงานแต่งนิยายของพวกเรา ตอนนี้กะว่าหลังสอบเสร็จจะลองฝึกทำอนิเมชั่น สร้าง เพลง Op
ของนิยายขึ้นมาซะเลยแต่จะให้เป็นอนิเมะเลยคงไม่ไว้ ได้แค่ Op Ed ก็ยังดี

ถ้ายังไงขอลาไปจัดของเข้ากรเป๋าเตรียมไปเขาชนไก่ ก่อนดีก่า

แง้ ตอนนี้ล่ะที่อยากได้ นีน่าจัง กับ เจนัสคุง มาช่วยติวการไปค่ายจริงๆ เอ หรือจะไปให้เซอร์เซสฝึกดี.....


ต๊องไม่เลิกนะนายเนี่ย แล้วไหงภาค 2ฉันถึงไม่มีบทเลยง่าาา By ลอว์เรนซ์

แล้ว ลอว์เรนซ์ แต่งงานกับใครเหรอ by นีน่า

แต่งกับ พี่สาวอ้ะเปล่า By ลากูน่า

เฮ้ยหมายความว่าไงฟะ แฟนฉันนะว้อย มาให้เจี๋ยนเดี๋ยวนี้เลย By เจนัส

เฮ้ย ลากุ อย่าล้อเล่นแบบนี้เดะ เฮ้ย เจนัส อย่าๆๆ อ็าคคคคคค By ลอว์เรนซ์

ปะชะวิ้ง

" แสงสีขาวที่ส่องประกายเจิดจ้าจะลบความกลัวแห่งปิศาจออกจากโลกใบนี้นามของข้าคือ
ทาลูคูส ( Thalucus, the Dragoon of Thaliwilya ) "

อ้ะเสียงคุ้นๆ

Change Hyper Wolf

อะอันนี้ก็คุ้นๆ


ลอว์เรนซ์ ร่างทาลิวิลย่าแห่งแสงของนาย เอาชนะ เนลฟาแอคเตอร์ ไฮเปอร์โหมดไม่ได้หรอก
ย้าก ท่าไม้ตาย Maximum Hyper Typhoon

By เจนัส

แล้วไงลองรับนี่ดู Great of Dragon ความยิ่งใหญ่แห่งมังกร และตอนนี้ขออันเชิญ เนเมซิส
ใช้ดาบแห่งคำอธิษฐาน ท่าพิฆาต Great of Dragon G.o.d(God เป็นตัวย่อของ
Great of Dragon ซึ่งเรียกว่าเทพได้พอดีเลย )

By ลอว์เรนซ์

เฮ้ยหยุด ! by?

ใครวะ By ลอว์เรนซ์ เจนัส

พระเอก........มาแล้ว by?

แกคือ... by ลอว์เรนซ์ เจนัส

เรกกะ อัศวินทาลิวิลย่าแห่งอาริมาเทีย สวมร่างแปลงกาย

Light From

"เมื่อข้าคนนี้ส่องประกาย ไม่ว่าเมื่อไหร่มันจะต้อง ไคลแมกซ์สุดๆ "

by เรกกะ ร่างทาลูคูส แห่งอาริมาเทีย

เฮ้ยไอ้เด็กเมื่อวานซืน แกถือดียังไงมาหือกับรุ่นพี่หึ by ลอว์เรนซ์ เจนัส

อ้าวๆไม่รู้เหรอ ดราโกรีเจนฯ น่ะแรงสุดๆแล้วตอนนี้ เพราะฉนั้นมันหมดยุคของ พวกตาแก่ตกยุคไปแล้วจากนี้มันต้อง
ไคล์แมกซ์สุดๆตั้งแต่ต้นจนจบ

by เรกกะ

อ้าวพูดหมาๆงี้ได้งาย มาดวลกันดีกว่า ความแรงกับความเก๋า ใครจะเจ๋งกว่ากัน by เจนัส ลอว์เรนซ์

ไม่มีปัญหา เข้ามาเลยเว้ย by เรกกะ

ตุบตับตุบตับ ผัวะบึกปึก แช้ด ตูม บรึม เอี้ยดอ้าด เอี้ยดอ้าด ปิ้วๆๆๆ  เคร้ง เปรี้ยง
โครม บรึม ซี้ด~~~~อ้าาาาา เพล้ง บรึม ตูม โครมๆ แกร็ง หมดยกที่1


เวรเรียกมาช่วยจัดของ ดันตีกันเองจนเละไปหมดแล้ว T_T  byเกรม่อน







Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #59 on: January 20, 2009, 09:35:45 PM »

งง..ครับ กับบทสนทนาที่งงงวย

อีกอย่าง...ผมแค่ม.1 นะ       อีกอย่าง.....แบบนี้ไม่มีนิยายอ่านแน่เลย 

เพราะอายุยิ่งมาก ยิ่งมีกิจกรรมเยอะ  วุฒิการศึกษายิ่งสูงก็ยิ่งมีเวลาน้อย 
Logged


Pages: 1 [2] 3 4 ... 6  All
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.226 seconds with 20 queries.