Summoner Master Forum
March 30, 2024, 01:24:24 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: นานาสาระ:@...คริสตมาส...@  (Read 21915 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« on: December 15, 2008, 07:05:28 AM »

เนื่องในโอกาสคริสตสมภพ  ขอส่งความสุขมายัง ทุกๆท่าน

      25 ธันวาคม ของทุกปี คนทั้งโลกร่วมเฉลิมฉลอง อย่างสุดๆแบบไม่ตะขิดตะขวงใจ ร้านรวง พับ บาร์ ประดับประดาสถานที่ อย่างตื่นตาตื่นใจ เพื่อดึงดูดลูกค้า ภาพที่เราพบเห็น เช่น ต้นคริสต์มาส กวางเรนเดียร์ ลุงซานตาคลอส พุงพลุ้ย เสียงเพลง Jingle Bell, Joy to the World เป็นต้น ที่กล่าวมา คือ เรื่องราวของ วันคริสต์มาส หรือเทศกาลคริสตสมภพ   แล้วคริสต์มาสแรก เป็นอย่างไร ความหมายแท้จริง คนที่ร่วมเฉลิมฉลอง หรือกลุ่มคนที่ใช้ประโยชน์เพื่อธุรกิจของตัวเองจะทราบบ้างไหม

จุดเริ่มต้นของคริสต์มาส

           เริ่มต้นที่ประเทศอิสราเอล ในทวีปเอเชีย ขณะนั้นอิสราเอล เป็นเมืองขึ้นของ อาณาจักรโรมัน มีออกัสตัส ซีซาร์ เป็นจักรพรรดิ แทบไม่น่าเชื่อว่า จักรพรรดิของอาณาจักรโรมัน ที่เคยเบียดเบียน คริสตชน ได้ละทิ้งความเชื่อ เทพเจ้า ได้มาติดตามพระเยซูคริสต์ โดยจักรพรรดิ คอนสแตนติน ทรง ประกาศพระราชกฤษฏีกา มิลาน ( ค.ศ. ๓๑๓ ) ให้อาณาจักรโรมัน มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา และยอมรับคริสตศาสนา เป็นศาสนาประจำอาณาจักรโรมัน ยิ่งกว่านั้น พระราชชนนี เฮเลนน่า (นักบุญ เฮเลนน่า )พระมารดาของจักรพรรดิ์คอนสแตนติน ทรงมีบทบาทสำคัญในการรื้อฟื้น สถานที่สำคัญเกี่ยวข้องกับชีวิต และพระราชกิจของพระเยซูที่ ประเทศอิสราเอล หลังจาก ถูกโรมันทำลาย



             ความเชื่อพระเจ้าตรีเอกภาพ และโดยพระเยซูคริสต์ คือ พระผู้ไถ่ ได้ถูกเผยแพร่ในอาณาจักรโรมัน มานานแล้ว ซึ่ง อัครทูต เปาโล และเปโตร เป็น สาวกคนสำคัญที่ได้เผยแผ่ข่าวดี เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ไปถึง กรุงโรม และพวกเขา ถูกลงโทษ ประหาร เพราะการประกาศพระนามของพระเยซูคริสต์ ถึงเวลานี้สถิติ ปี ค.ศ. 2000 มีคริสตชนทุก นิกาย ทุกคณะ และ ทุกสังกัด ทั้งสิ้น 33% ของประชากรโลก คือ ประมาณ 2.1 พันล้าน คน

 
             เรื่องการเฉลิมฉลองคริสตสมภพ (วันเกิดของพระเยซู ) นั้นสำคัญต่อคริสตชน เพราะว่า พวกเราเชื่อว่า เป็นวันที่พระสัญญาของพระเจ้าสำเร็จ ตามคำทำนาย

“... เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งของเจ้าเกิดขึ้นสืบต่อจากเจ้าผู้ซึ่งเกิดมาจากตัวเจ้าเองและเราจะสถาปนาอาณาจักรของเขาเขาจะเป็นผู้สร้างนิเวศเพื่อนามของเราและเราจะสถาปนาบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรของเขาให้อยู่เป็นนิตย์เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา ถ้าเขากระทำผิดเราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวของมนุษย์ ด้วยการเฆี่ยนแห่งบุตรมนุษย์ทั้งหลาย” ( ๒ ซามูเอล ๗.๑๒-๑๔ )

และ

“เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง ดูเถิดหญิงสาว คนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล {แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเราทั้งหลาย}” ( อิสยาห์ ๗.๑๔ )



การเฉลิมฉลองคริสตมาสจากอดีตถึงปัจจุบันมีหลายสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้น เช่น

-การร้องเพลงคริสต์มาส (Christmas Carols)

-การทำฉากประสูติ (Nativity)

-และการทำต้นคริสต์มาส (Christmas tree)  เป็นต้น



เมื่อมีการแยกออก เป็นนิกาย ออเทอร์ดอกซ์   โรมันคาทอลิก  โปรเตสแตนต์  และนิกายอิสระ จึงมีมุมมองต่อประเพณีปฏิบัติและพิธีกรรม รวมทั้งหลักข้อเชื่อหลายอย่างที่แตกต่างกัน คริสตชนโปรเตสแตนต์ มีหลากหลายคณะ ดังนั้นบางกลุ่มไม่สนับสนุนให้มีการฉลองคริสตมาส เพราะถือว่าเป็นประเพณีที่คริสตจักรไปรับมาจากคนต่างความเชื่อ อย่างไรก็ตามคริสตชนส่วนใหญ่ยังคงเฉลิมฉลองเทศกาลนี้อย่างอบอุ่น

            ปัจจุบันนี้การฉลองคริสต์มาส ได้ผิดความหมายเดิมไปไม่น้อย กลุ่มคนที่ไม่ได้เชื่อในคริสตศาสนา ก็ถือโอกาส นำเทศกาลคริสต์มาสเพื่อผลประโยชน์ของตน หลากรูปแบบ  คริสตสมภพของพระเยซูคริสต์ กลายเป็นความบันเทิง ธุรกิจ และผลประโยชน์มากขึ้น แม้แต่คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า หรือต่อต้านพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับประโยชน์จากคริสตมาส คือจัดเฉลิมฉลองคริสตมาส เพื่อความรื่นเริงบันเทิงใจ มีการให้ของขวัญ การส่งการ์ดอวยพรและการเฉลิมฉลองด้วยการกินดื่ม  และการขายสินค้าต่างๆ





              จนทำให้คริสต์มาสเกือบเหลือแต่เพียงชื่อ แถมยังถูกสอดไส้ใหม่ ๆ อย่างเช่น ซานตาคลอส และจินตนิยายต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวอะไกับวันคริสตมาสเลยแม้แต่น้อยนิด  คริสตมาสเริ่มเหลือแต่เปลือก บางคน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า วันคริสต์มาสนั้นคือ วันเกิดของพระเยซูคริสต์เจ้า ผู้ทรงเสด็จมาบังเกิดเพื่อไถ่บาปมนุษย์...เขาเพียงแต่ใช้เทศกาลคริสตมาสเพื่อเพิ่มความสนุกสนานอีกวันหนึ่ง...ด้านธุรกิจก็เพื่อกอบโกยเงินเข้ากระเป๋าเท่านั้น

« Last Edit: December 15, 2008, 07:43:53 AM by เซนต์ แมกนัส » Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #1 on: December 15, 2008, 07:10:28 AM »

พระเยซูคริสต์ประสูติวันไหน

             ความจริงเราทราบแต่สถานที่ประสูติของพระเยซูคริสต์ แต่ ไม่มีใครรู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงประสูติวันไหน?  วันประสูติของพระเยซูคริสต์ นั้นเป็นปัญหาโลกแตก  อย่างไรก็ตามทั่วโลกฉลอง “วันคริสตมาส” พร้อมกันในวันที่ 25 ธันวาคม ก็มีคริสตจักร ออเทอร์ดอกซ์ ฉลองคริสตสมภพ วันที่ ๖ มกราคม 



                 การกำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคมให้เป็นวันประสูติของพระเยซู จึงเป็นเพียงแค่การสมมติขึ้นในภายหลังเท่านั้น   ก่อนต้นศตวรรษที่ 4 วันประสูติของพระคริสต์ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ใครจะต้องมาจดจำ จึงทำให้วันเกิดของพระองค์เป็นเรื่อง Unknown (ไม่มีใครรู้)

ในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนังสือชีวประวัติพระเยซูคริสต์ 4 เล่มที่โปรเตสแตนต์ เรียก พระกิตติคุณ  ( คาทอลิกเรียกพระวรสาร ) คือ มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น ก็ไม่ได้ให้ความสนใจในวันประสูติของพระเยซูสักเท่าใด แต่เน้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นมากกว่า

                    ส่วนที่เลือกเอาวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันประสูติของพระองค์ ว่ากันว่าน่าจะมี 2 เหตุผลด้วยกันคือ

ประการแรก มีคนพยายามคำนวณและบันทึกว่า โลกถูกเนรมิตสร้างขึ้นในวันที่ 25 ธันวาคม ในเมื่อพระเยซูคริสต์เป็นผลแรกแห่งการทรงสร้างใหม่ของพระเจ้า ก็เลยถือว่าวันที่ 25 มีนาคม เป็นวันแรกแห่งการจุติของพระองค์ในครรภ์ของพระนางมารีย์ด้วย หลังจากนั้นอีก 9 เดือน พระนางมารีย์จึงให้กำเนิดพระเยซูคริสต์ในวันที่ 25 ธันวาคม

ประการที่สอง บันทึกในเอกสารราชการของโรมในปี ค.ศ. 336 ระบุว่า กลุ่มชาวโรมันชั้นสูงที่กลับใจมาเป็นคริสตชน ได้เปลี่ยนเทศกาลบูชาพระอาทิตย์ที่ถือว่ามีวันเกิดในวันที่ 25 ธันวาคม มาเป็นการ เฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซูคริสต์แทน

                 อย่างไรก็ตาม แม้ว่า วันคริสตมาสที่แท้จริง ยังเป็นสิ่ง Unknown แต่พระสันตะปาปา จูลีอัส ที่หนึ่งแห่งโรม ก็ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันคริสตมาสของคริสตจักรทางตะวันตก (ยุโรป) ต่อมาเมื่อปี ค.ศ. 549 คริสตจักรแห่งกรุงเยรูซาเล็มก็รับเอา 25 ธันวาคมเป็นวันคริสตมาสด้วย ดังนั้นคริสตจักรส่วนใหญ่ทั่วโลกรับเอาวันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันคริสตมาสมาจนทุกวันนี้ (คริสตสมภพ)



 
ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ (ราชบัณฑิต) ได้ให้ข้อมูลในเรื่องนี้ว่า

คริสต์มาส
อ.กีรติ บุญเจือ


วันคริสต์มาส คือวันที่ 25 ธันวาคม ส่วน คืนคริสต์มาส คือคืนวันที่ 24 ธันวาคม ตรงนี้ต้องชี้แจงดีๆกับเพื่อนต่างศาสนา มิฉะนั้น จะสับสน

ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้เลยว่าพระเยซูประสูติวันใด เดือนใดและปีใด พระมารดามารีย์น่าจะจำได้ แต่สาวกมิได้สนใจถามและจดจำ จึงมิได้บันทึกไว้ในพระวรสาร

เราจึงรู้เพียงแต่ว่าทรงเริ่มเทศนาเมื่ออายุได้ 30 ปี และสิ้นพระชนม์เมื่ออายุ 33 ปี ระหว่างอยู่กับสาวก คงไม่เคยจัดเลี้ยงฉลองวันเกิดกันเลยกระมัง

ปีเกิดนั้น คำนวณเอาตามการอยู่ในตำแหน่งของออกัสติส เฮโรดและควีรีเนียส ซึ่งคลาดเคลื่อนไป 4 ปี ถ้านับเคร่งจริงๆ ปี ค.ศ.2001 นี้ ควรเป็นปี ค.ศ. 2005 แล้ว

เพื่อเลี่ยงความสับสน บางคนเสนอให้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็นศักราชสากล (ศ.ก.) เช่น ปีนี้เป็นปี ศ.ก.2001 (ภาษาอังกฤษว่า Common Era C.E.2001) มีคนเริ่มใช้แล้วในภาษาอังกฤษ

ส่วน 25 ธันวาคม นั้น เชื่อกันมาว่าเป็นวันฉลองสุริยเทพ ผู้ชนะเสมอ (Sol invictus) ซึ่งเป็นเทพสงครามช่วยให้ชาวโรมันรบชนะเสมอ

แต่นักประวัติศาสตร์พบหลักฐานเก่ากว่านั้นว่า ได้มีการฉลองวันแม่พระรับสาร(พระมารดามารีย์รับแจ้งข่าวการประสูติของพระเยซูคริสต์จากทูตสวรรค์) 25 มีนาคมมาก่อนแล้ว ที่เอาวันที่ 25 มีนาคมก็เพราะเชื่อกันว่าเป็นวันที่พระเจ้าสร้างดวงอาทิตย์

พระเจ้าน่าจะทรงวางดวงอาทิตย์แรกเกิดไว้ที่เส้นศูนย์สูตร แล้วให้เริ่มเคลื่อนวงโคจรขึ้นมาทางเหนือ เป็นจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ พระเจ้าเจ้า น่าจะทรงจัดการให้พระบุตรมารับร่างกายเป็นมนุษย์ในวันครบรอบปีสร้างโลก น่าจะเหมาะที่สุด

คริสตชนดั้งเดิมคิดกันอย่างนั้นเป็นเอกฉันท์ เราจึงฉลองวันแม่พระรับสารหรือวันปฏิสนธิ์นฤมลทินของพระเยซูวันที่ 25 มีนาคม มาจนทุกวันนี้

พระมารดามารีย์ทรงอุ้มท้อง 9 เดือนบริบูรณ์ จึงให้ประสูติกาลวันที่ 25 ธันวาคม ที่ตรงกับวันฉลองสุริยเทพถือเป็นเรื่องบังเอิญ เป็นวันที่ยุโรปหนาวที่สุดของทุกปี
 

 
« Last Edit: December 15, 2008, 07:49:12 AM by เซนต์ แมกนัส » Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #2 on: December 15, 2008, 07:11:34 AM »

              "ทูตสวรรค์" ( Angel ) หมายถึง " ผู้สื่อสารของพระเจ้า แห่งฟ้าสวรรค์" หรือผู้ที่ถูกส่งไป



คำว่า "angel" มาจากภาษากรีก ว่า " anggelos" ( อางเกะลอส ) เรื่องราวของคริสตมาส เปิดฉากด้วย "ทูตสวรรค์" เพราะในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ บันทึกเกี่ยวกับคริสตมาส เริ่มต้นที่พระเจ้าทรงใช้ "ทูตสวรรค์ กาเบรียล" นำข่าวสารไปยัง พระนางมารีย์ และกล่าวถึงทูตสวรรค์นำข่าวคริสตมาสนี้ไปยัง โยเซฟ ( บิดาบุญธรรมของพระเยซู ) นำข่าวไปถึง เอลีซาเบธ ( มารดาของยอห์น ) และคนเลี้ยงแกะ ฯลฯ



             ในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่กล่าวถึง ทูตสวรรค์ 177 ครั้ง และทูตสวรรค์ที่มีบทบาทมาก คือ "ทูตสวรรค์กาเบรียล" ( Gabriel ) บันทึกในพระคัมภีร์ " เราคือกาเบรียล ซึ่งคอยรับใช้อยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ พระเจ้า และทรงใช้ให้มาพูด กับท่าน และนำข่าวดีนั้นมาแจ้ง" ( ลูกา 1.19 )" เมื่อถึงเดือนที่หก พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์กาเบรียล นั้นให้มายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี ชื่อ นาซาเร็ธ มาถึงหญิงพรหมจารีคนหนึ่ง ที่ได้ หมั้นไว้ กับชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ เป็นคนในเชื้อวงศ์ดาวิด หญิงพรหมจารีนั้นชื่อ มารีย์ " ( ลูกา 1.26-27 )

               พระคริสตธรรมคัมภีร์ ทั้งเล่ม ตั้งแต่ปฐมกาล ถึงหนังสือวิวรณ์ มีการกล่าวถึงบทบาทของ"ทูตสวรรค์" ในฐานะ ผู้สื่อสาร หรือผู้แทนของพระเจ้า ในหนังสือเล่มสุดท้าย คือ "วิวรณ์" ( Revelation ) ในบทสุดท้าย ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า " ทูตสวรรค์" เป็นผู้ส่งสารที่ถูกส่งออกไปทำหน้าที่ ให้กับพระเยซูคริสต์
Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #3 on: December 15, 2008, 07:14:39 AM »

สาวพรหมจารีมารดาพระผู้เป็นเจ้า

             ดูเหมือนว่าคนในสมัยนี้จะให้ความสำคัญกับพรหมจารี (Virgin) น้อยลงไปอย่างน่าใจหาย



                คำว่า “พรหมจารี” หมายถึง “หญิงที่ยังบริสุทธิ์” (นอกจากนี้ ยังหมายถึง “ผู้ตั้งอยู่ในธรรม เว้นจากเมถุน” หรือ “ผู้ศึกษาปรมัตถ์”) ดังนั้นผู้ใดเป็น “พรหมจารี” ย่อมกล่าวได้ว่าผู้นั้นยังเป็นสตรีบริสุทธิ์

                สมัยโบราณ ถือว่า “พรหมจารี” (Virginity) เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ในพระคัมภีร์เดิมถึงกับบัญญัติไว้ว่า

“ถ้าชายใดได้ภรรยาและได้สมสู่อยู่กับนาง แล้วเกิดเกลียดชังนาง และหาเหตุว่า หญิงนั้นประพฤติสิ่งน่าอายและกระทำให้ชื่อเสียงของนางเสียหาย โดยกล่าวว่า ‘ข้าสมสู่กับนางก็เห็นว่านางไม่มีเครื่องหมายของหญิงพรหมจารี’

                บิดาของหญิงสาวคนนั้นและมารดาจะต้องนำของสำคัญอันเป็นพยานว่าหญิงนั้นเป็น พรหมจารีมาให้พวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นที่ประตูเมือง และบิดาของหญิงสาวนั้นจะบอกกับพวกผู้ใหญ่ว่า “ข้าได้ยกลูกสาวของข้าให้เป็นภรรยาชายคนนี้ และเขากลับเกลียดชัง นี่แหละชายผู้นี้หาเหตุกล่าวติเตียนว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าบุตรสาวของท่านมีเครื่องหมายของหญิง พรหมจารีเลย นี่แหละเป็นของสำคัญว่าลูกสาวของข้าเป็นหญิงพรหมจารี  แล้วเขาจะคลี่เครื่องแต่งกายนั้นออกต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ให้เป็นพยาน ให้พวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นจับชายคนนั้นมาเฆี่ยนและปรับเขาหนึ่งร้อยเชเขล และมอบเงินนั้นให้แก่บิดาของหญิงสาวเพราะเขาทำให้หญิงพรหมจารีอิสราเอลคนหนึ่งเสียชื่อ หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของเขาต่อไป เขาจะหย่าร้างไม่ได้เลยตลอดชีวิต แต่ถ้าเรื่องนั้นเป็นความจริงและหาเครื่องหมายของหญิงพรหมจารีที่หญิงสาวนั้นไม่ได้ เขาจะพาหญิงสาวนั้นออกมานอกประตูเรือนบิดาเธอ แล้วชาวเมืองจะเอาหินขว้างเธอให้ตาย เพราะเธอได้กระทำความโง่เขลาให้อิสราเอลคือเป็นหญิงโสเภณีในเรือนบิดา ดังนั้นแหละท่านจะกำจัดความชั่วออกจากท่ามกลางท่าน” (ฉธบ. 22:13-21)



                 วันคริสตมาสแรกก็เกี่ยวข้องกับเรื่องพรหมจารี เมื่อทูตสวรรค์มาหาพระมารดามารีย์ (บางคนเรียกว่ามารีอา บ้างหรือมาเรีย บ้าง ตามแต่ถนัด ตามสำเนียงภาษาที่ใช้) ผู้เป็นหญิงสาวพรหมจารีบริสุทธิ์และบอกว่า พระเจ้าทรงโปรดปรานเธอ และขอใช้ร่างกายของเธอเป็นทางผ่านของ “พระคริสต์แห่งคริสตมาส” เข้าสู่โลกนี้ โดยขอให้เธอร่วมในขบวนการนี้ด้วยเช่นกัน  ครั้งแรกเมื่อมารีย์สาวพรหมจารีผู้ไร้เดียงสา อุทานขึ้นมาทันทีเลยว่า “เหตุการณ์นั้นจะเป็นได้อย่างไร เพราะฉันยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับชายใดเลย?” (ลก. 1:3)



                  แต่นั้นยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเธอ เพราะว่าปัญหาที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับผู้หญิงทุกคนในเวลานั้น ก็คือการตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน หรือไม่มีเครื่องหมายของ พรหมจารี (Virginity) เมื่อแต่งงานนั้นจะมีโทษถึงตายและในขณะที่ทูตสวรรค์มาบอกเธอนั้น เธอก็มีคู่หมั้นแล้ว คือ โยเซฟ ผู้เป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด

                  ถ้าเกิดโยเซฟเอะอะโวยวายขึ้นมาว่า มารีย์ตั้งครรภ์ก่อนแต่งงานจริงล่ะก็ มารีย์ตายแน่

                  แต่ต้องยกย่องความศรัทธาอย่างแน่วแน่ของมารีย์เมื่อเธอตอบอย่างเด็ดเดี่ยว หลังจากฟังคำอธิบายของทูตสวรรค์แล้วว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเป็นเจ้า ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเป็นไปตามคำของท่าน” และดีที่ทูตสวรรค์ช่วยปรากฏต่อโยเซฟและพูดให้เขาเข้าใจ โยเซฟจึงยอมเข้าร่วม ในแผนการช่วยโลกให้รอดบาปด้วยความเต็มใจ



                เป็นเหตุให้มารีย์ หญิงพรหมจารีตั้งครรภ์และประสูติบุตรชายที่มาจากสวรรค์ นามว่า “เยซูคริสต์” พระผู้ช่วยให้รอด ผู้เป็นหัวใจของวันคริสตมาส โดยไม่ถูกหินขว้างตาย
« Last Edit: December 15, 2008, 07:36:00 AM by เซนต์ แมกนัส » Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #4 on: December 15, 2008, 07:18:08 AM »

   ความยินดีปรีดาของมารีย์...(Rejoice)

            หลังจากที่มารีย์ไปเยี่ยมนางเอลีซาเบธและได้รับการยืนยันจากนางเอลีซาเบธว่า มารีย์จะเป็นมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า (ในทางกายภาพ) ที่จะเสด็จลงมาประสูติ ในวันคริสตมาส พระมารดามารีย์จึงสรรเสริญพระเจ้าว่า “จิตใจของข้าพเจ้าก็ยกย่องพระเจ้า และวิญญาณของข้าพเจ้าก็เกิดความยินดี (Rejoices) ในพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงห่วงใยฐานะอันยากต่ำแห่งทาสีของพระองค์ เพราะนั่นแหละ ตั้งแต่นี้ไปคนทุกชั่วอายุจะเรียกข้าพเจ้าว่าผาสุก เพราะว่าผู้ทรงฤทธิ์ได้ทรงกระทำการใหญ่กับข้าพเจ้า พระนามของพระองค์ก็บริสุทธิ์ พระกรุณาของพระองค์มีแก่บรรดาผู้ยำเกรงพระองค์ทุกชั่วอายุสืบไป พระองค์ทรงสำแดงฤทธิ์ด้วยพระกรของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำให้คนที่มีใจเย่อหยิ่งแตกฉานซ่านเซ็นไป พระองค์ทรงถอดเจ้านายจากพระที่นั่งและพระองค์ทรงยกผู้น้อยขึ้น พระองค์ทรงโปรดให้คนอดอยากอิ่มด้วยสิ่งดีและทรงกระทำให้คนมั่งมีไปมือเปล่า พระองค์ทรงช่วยอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ คือพระองค์ทรงจดจำพระกรุณาของพระองค์ที่มีต่ออับราฮัม และต่อพงศ์พันธุ์ของท่านเป็นนิตย์ ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้กับบรรพบุรุษของเรา” (ลูกา 1:46-55)



            คำสรรเสริญบทนี้ (ลูกา. 1:46-55) ของพระนางมารีย์มักถูกเรียกว่า “The Magnificat” (Song of Praise, บทเพลงสรรเสริญ) ตามคำๆ แรกของข้อความตอนนี้ในพระธรรมลูกาฉบับ ภาษาลาตินบทสรรเสริญนี้ได้พรรณานาถึงความปีติยินดี (Rejoices) อย่างเต็มเปี่ยมของมารีย์ที่พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ยิ่งใหญ่และสัตย์ซื่อต่อพระสัญญาของพระองค์ ได้ทรงเลือกเธอให้เป็นช่องทางแห่งพระพรแก่ชนชาติของเธอและแก่โลก

              “บทเพลงสรรเสริญ” (The Magnificat) ของมารีย์นี้ สามารถแบ่งเนื้อหาออกมาเป็น 4 ตอน ดังนี้

1) มารีย์ไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า (ข้อ 46-48)
2) มารีย์ยกย่องความยิ่งใหญ่ ความบริสุทธิ์ และพระกรุณาของพระองค์ (ข้อ 49-50)
3) มารีย์ยอมรับในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในการควบคุมและพลิกถสานการณ์ของโลก (ข้อ 51-53)
4) มารีย์เชื่อมั่นว่า พระเจ้าจะทรงกระทำให้พระสัญญาของพระองค์ที่ตรัสไว้กับบรรพบุรุษของเธอสำเร็จเป็นจริง (ข้อ 54-55)

             เมื่อนักวิชาการทางพระคัมภีร์มาแกะรอยวิเคราะห์คำสรรเสริญที่เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี (Rejoices) ของมารีย์ก็พบว่ามีร่องรอยของคำอ้างที่มาจากพระคัมภีร์เดิม  ถึง 15 แห่งในบทกวีนี้ ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์เดิมเป็นที่รู้จักและเป็นที่รักอย่างมากในบ้านที่จะฟูมฟักและเลี้ยงดูองค์พระกุมารเยซูคริสต์ ซึ่งกำลังจะประสูติในวันคริสตมาสในเวลาต่อมา

“บทเพลงสรรเสริญของมารีย์” (The Magnificat) นี้คล้ายคลึงกับบทสดุดีของนางฮันนาห์ (1 ซมอ. 2:1-10) เมื่อครั้งเธอให้กำเนิดบุตรชายของเธอผู้มีนามว่า ซามูเอล (Samuel)




   เบธเลเฮ็ม ( Bethlehem )
 
          ชื่อ เบธเลเฮ็ม ( Bethlehem ) มาจากศัพท์ภาษาฮีบรู แปลว่า " บ้านขนมปัง" หรือ "บ้านแห่งอาหาร" ( จากศัพท์ beth= บ้าน, lehem= อาหาร, ขนมปัง ) ที่ตั้ง เบธเลเฮ็ม อยู่ในแคว้นยูเดีย ตอนใต้ของประเทศอิสราเอล ห่างจาก กรุงเยรูซาเล็ม ประมาณ 9 กิโลเมตร มีชื่อเดิมว่า " เอฟราธาห์" ซึ่งเป็นสถานที่ ที่ ยาโคบ ( ชื่อก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นอิสราเอล ซึ่งมีความหมายว่า"เขาปล้ำสู้กับพระเจ้า" หรือ"พระเจ้าทรงปล้ำสู้" ) ที่นี่ใช้ฝังศพ ภรรยาสุดที่รักของยาโคบ คือ "ราเชล"

              ที่ เบธเลเฮ็ม นี้ เป็นสถานที่ "รูธ" ม่ายสาวพบรัก กับ "โบอาส" ชาวเบธเลเฮ็ม ต่อมาได้สมรสกันและมีบุตรคือ "โอเบด" ผู้เป็นปู่ของกษัตริย์ดาวิด ดาวิดเองก็ประสูติที่เบธเลเฮ็ม ซึ่งภายหลังเมืองนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เมืองของดาวิด"
 
              ต่อจากนั้นผู้เผยพระวจนะ ( ประกาศก ) มีคาห์  ได้ทำนายไว้ล่วงหน้าหลายร้อยปีก่อนแล้วว่า จะมี"พระเมสสิยาห์" ( พระผู้ช่วยให้รอด ) มาบังเกิดที่หมู่บ้านเล็กน้อยที่สุดของอิสราเอล

" โอ เบธเลเฮ็ม เอฟราธาห์ แต่เจ้าผู้เป็นหน่วยเล็กในบรรดาตระกูลของยูดาห์ จากเจ้าจะมีผู้หนึ่งออกมาเพื่อเรา เป็นผู้ที่จะปกครองในอิสราเอล ดั้งเดิมของท่านจากสมัยเก่าโบราณ ดังนั้นพระองค์ จะทรงมอบเอาไว้จนถึงเวลาที่หญิงผู้เจ็บครรภ์ จะคลอดบุตร แล้วบรรดา พี่ น้อง ที่เหลืออยู่จะกลับมายังคนอิสราเอล" ( มีคาห์5.2-3 )

             หลังจากคำทำนายแล้ว อีกประมาณ 700 ปีต่อมา พระเยซู ก็ทรงประสูติที่เมือง เบธเลเฮมนี้



เรื่องราวการทรงบังเกิดของพระเยซูเจ้า ตรงกับรัชสมัยของ จักรพรรดิ ซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรม ทรงบัญชาให้ทุกคนเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อจดสำมะโนครัวที่บ้านเกิดของตน เนื่องจาก โยเซฟ และมารีย์เป็นเชื้อสายของดาวิด จึงต้องกลับมาที่เบธเลเฮ็ม บ้านเกิดของดาวิด และ ณ ที่นี่ พระเยซูคริสต์ทรงประสูติ เรียกว่า วันคริสตมาส ( ดู ลูกา 2.1-7 ปฐมกาล 35.19 )
 
              ต่อมาในปี ค.ศ. 385 พระชนนี เฮเลนน่า ( Helena ) พระมารดาของจักรพรรดิ คอนสแตนติน ทรงโปรดให้สร้างโบสถ์ เหนือรางหญ้าที่พระกุมารเยซูทรงประสูติ โบสถ์นั้นคือ " The Church of the Nativity "
« Last Edit: December 15, 2008, 07:36:56 AM by เซนต์ แมกนัส » Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #5 on: December 15, 2008, 07:20:59 AM »

เดวิด/ดาวิด

          ทั้งเดวิด และดาวิดใช้เป็นที่คุ้นเคยกันในหมู่คริสตชนไทย ในที่นี่ ผู้เขียนขอเรียกว่า “ดาวิด”ซึ่งใช้ตามพระคัมภีร์ ที่โปรเตสแตนต์ใช้กัน ชื่อดาวิดปรากฏในพระคัมภีร์เดิม เป็นร้อยๆครั้ง และในพระคัมภีร์ใหม่ 58 ครั้ง คำว่า “ดาวิด” ชื่อตามความหมายดั้งเดิม คือ “ที่รัก” ( beloved ) พระคัมภีร์ใหม่กล่าวไว้ดังนี้ “หนังสือลำดับพงศ์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด ผู้สืบตระกูลเนื่องมาจาก อับราฮัม” ( มัทธิว 1:1 ) ดาวิดเป็นบุตรคนสุดท้องของเจสซี ( Jesse) , เผ่ายูดาห์ (Judah) ซึ่งต่อมาได้เป็นกษัตริย์องค์ที่สอง ของอิสราเอล ( องค์แรกคือ ซาอูล Saul ) แม้กระทั่งทุกวันนี้สัญลักษณ์บนธงชาติ อิสราเอล คือตราประจำตัว ของกษัตริย์ ดาวิดนั่นเอง

....จากข้อมูลเหล่านี้ทำให้เราทราบว่าพระเยซูคริสต์เจ้าของคริสตมาส ในความเป็นมนุษย์แท้สืบเชื้อสายจาก กษัตริย์ดาวิด และทรงประสูติเมืองเดียวกันคือ “เบธเลเฮม” ( ดู ๑ ซามูเอล ๑๗.๑๒,๒๐.๖ )  เพราะโยเซฟ และมารีย์ สืบเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด จึงต้องเดินทางไปจดสำมะโนครัวตามคำสั่งของจักรพรรดิ ซีซ่าร์ ออกัสตัส โดยต้องเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลีทางภาคเหนือ เดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮม หรือที่เรียกว่า”เมืองของดาวิด” ซึ่งอยู่ในแคว้นยูเดีย ภาคใต้ ของประเทศอิสราเอลปัจจุบัน

        ในคืนที่พระกุมารเยซูทรงประสูตินั้น มีทูตสวรรค์ มาปรากฏแก่บรรดาคนเลี้ยงแกะ และกล่าวกับพวกเขาว่า พระผู้ข่วยให้รอดคือพระคริสต์เจ้ามาบังเกิดที่เมืองดาวิด ( ดู ลูกา 2: 10-12 )

         ต่อมาเมื่อพระเยซูเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พระองค์ ทรงถูกขานพระนามว่า “เยซูบุตรดาวิด” ( ดูมาระโก 10:47, มัทธิว 9:27 ) หรือ อัครสาวกเปาโลเอง เมื่อพระเยซูทรงแต่งตั้งให้ประกาศ ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์สืบเชื้อสายจาก “ดาวิด” ( ดูโรม 1:1-3 ) ยิ่งกว่านั้น พระเยซูทรงย้ำว่าพระองค์สืบเชื้อสายมาจากดาวิด ในพระธรรมวิวรณ์ 22:16 “ เราคือเยซู ผู้ใช้ให้ทูตสวรรค์ของเราไปเป็นพยาน สำแดงเหตุการณ์ เหล่านี้แก่ท่านเพื่อ คริสตจักรทั้งหลาย เราเป็นเชื้อสายของดาวิด และเป็นดาวประจำรุ่งอันสดใส” ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าวันคริสตมาสเกี่ยวข้องโดยตรงกับ “ดาวิด” ( DAVID )



สุขสันต์วันเกิดพระเยซูคริสต์

          ยังมีคนจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าการฉลองวันคริสตมาสก็คือ “การฉลองวันเกิด” เพราะวันคริสตมาสคือวันเกิดของ “พระเยซูคริสต์” นั่นเอง!   ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดในโลกนี้ ได้มีคำทำนายไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน คือ ก่อนพระเยซูมาประสูติราว 700 ปี มีผู้พยากรณ์ ( ประกาศก )นามว่า อิสยาห์ ได้ทำนายว่า “เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง ดูเถิด หญิงสาว (สาวพรหมจารี) คนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล” (อสย. 7:14)

           700 ปีต่อมา ในคืนวันคริสตมาสนั้น มารีย์หญิงสาวพรหมจารีผู้ที่ตั้งครรภ์โดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ก็คลอดบุตรชายและตั้งนามว่า “เยซู” ที่แปลว่า “ผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความบาปของเขา” (มธ. 1:21) ตามที่ทูตสวรรค์มาแจ้งไว้ ซึ่งเป็นไปตามคำของอิสยาห์ที่ได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว




           พวกคนเลี้ยงแกะนับว่าเป็นพวกแรกที่ได้มาร่วมฉลอง “Happy Birthday, Jesus” (สุขสันต์วันเกิดพระเยซู) ก่อนใคร แต่พวกที่หยั่งรู้ถึงการบังเกิดนี้คือพวกโหราจารย์ที่เดินทางไกลมาจากทิศตะวันออกและเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงที่กรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาก็รีบไปเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮโรดถามว่า...

“กุมารผู้ที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน?
เราได้เห็นดาวของท่านปรากฏขึ้น เราจึงหวังมาจะนมัสการท่าน!” (มัทธิว. 2:1-2)

จากนั้น พวกโหราจารย์ ก็ได้ไปเข้าเฝ้าพระกุมารน้อย ณ สถานที่ที่ดวงดาวนำทางพวกเขาไป พวกเขาก็เลยได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและมอบถวายของขวัญวันเกิดที่แปลก 3 สิ่ง คือ ทองคำ กำยาน และ มดยอบ
ให้แก่พระกุมารแล้วก็จากไป!
« Last Edit: December 15, 2008, 07:41:40 AM by เซนต์ แมกนัส » Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #6 on: December 15, 2008, 07:22:51 AM »

บรรทมในรางหญ้า

         จะมีกษัตริย์องค์ใดที่เต็มพระทัยที่จะประสูติในร่างหญ้าบ้าง? หรือมีกษัตริย์องค์ใดทรงเต็มพระทัยที่จะให้ราชบุตรของพระองค์ประสูติในรางหญ้าบ้าง?



            แต่ทั้ง พระเจ้าพระบิดา และพระเยซูคริสต์พระบุตรกลับทรงเต็มพระทัยที่จะกระทำเช่นนั้นในวันคริสตมาสในวันนั้นพระคริสต์เสด็จมาประสูติเพื่อช่วยไถ่บาปของมนุษย์โลก แต่กลับไปไม่มีที่ว่างในพระราชวังหรือแม้แต่ที่ว่างในโรงแรมสำหรับพระองค์เลย นอกจากรางหญ้าในคอกสัตว์!

            ในพระคัมภีร์บันทึกสั้นๆ ว่า “เมื่อเขาทั้งสอง (โยเซฟและมารีย์) ยังอยู่ที่นั่น ก็ถึงเวลาที่มารีย์จะประสูติบุตร นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า (Manger) เพราะไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม” (ลก. 2:6-7)

            ช่างน่าประทับใจที่พระคริสต์เจ้าทรงยอมถ่อมพระทัยลงมาประสูติในโลก ในสถานที่เช่นนี้!

          เพราะในที่ที่พระองค์ประสูติไม่มีบัลลังก์ทองคำมีแต่รางหญ้าต้อยต่ำ (Manger) ไม่มีข้าราชสำนักคอยรับใช้ มีแต่วัวควายอยู่รายรอบ ไม่มีแม้แต่นางผดุงครรภ์คอยถวายการปรนนิบัติ มีแต่โยเซฟและนางมารีย์มารดาแต่ลำพังไม่มีเครื่องทรงเต็มยศประดับให้ มีแต่ผ้าอ้อมธรรมดาพันพระกาย

          ความถ่อมพระทัยของพระคริสต์เจ้าไม่เพียงแค่ปรากฏแต่ในวันประสูติของพระองค์เท่านั้น แต่ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ด้วย จนกระทั่งวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ความถ่อมสุภาพของพระองค์ก็ยังเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไป!   นอกจากนี้ หมายสำคัญของการประสูติในรางหญ้า (Manger) นั้น ก็ยังมีนัยที่น่าใคร่ครวญอีกมากมาย



          ประการแรก รางหญ้า (Manger) เป็นที่สำหรับใส่อาหารให้สัตว์กิน พระคริสต์เจ้าจึงเปรียบดังทิพย์อาหารฝ่ายวิญญาณแก่มนุษย์ชาติ ซึ่งพระองค์ตรัสในเวลาต่อมาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต” (ยอห์น 6:35, 48) และยังตรัสว่า “เราเป็นอาหารที่ธำรงชีวิต ซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์และอาหารที่เราจะให้เพื่อเห็นแก่ชีวิตของโลกนั้นก็คือ เลือดเนื้อของเรา” (ยอห์น 6:51) ตามนัยของพระคัมภีร์ คริสตมาสคือเวลาที่พระเยซูคริสต์เสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อเป็นดุจอาหารที่ให้ชีวิตนิรันดร์แก่มวลมนุษย์โลก!

          ประการที่สอง รางหญ้า (Manger) เป็นจุดศูนย์รวมของทุกชีวิตในคอกสัตว์นั้น คอกสัตว์เป็นที่มืดมิดสกปรกและเหม็นอับ ดุจดังจิตใจของมนุษย์

             พระเยซูคริสต์เสด็จมาประทับกลางดวงใจของมนุษย์ เพื่อเป็นความสว่างและความปีติ แก่ชีวิตของมนุษย์ผู้นั้นเหมือนดังที่ทูตสวรรค์มาปรากฏแก่คนเลี้ยงแกะในคืนวันคริสตมาสและกล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย คือความปีติยินดีซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง เพราะว่าในวันนี้ พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลายคือ พระคริสต์เจ้ามาบังเกิดที่เมืองดาวิด นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย คือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า” ( ลูกา 2:8-12,16 )
« Last Edit: December 15, 2008, 07:24:22 AM by เซนต์ แมกนัส » Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #7 on: December 15, 2008, 07:25:19 AM »

     นักปราชญ์จากตะวันออก

               ทั่วโลกในช่วงเทศกาลคริสตมาส เรามักจะได้เห็นภาพของโหราจารย์หรือนักปราชญ์ (Wise men) 3 คน ขี่อูฐ เดินทางมาเฝ้าพระกุมาน้อยผู้มาบังเกิดเป็นกษัตริย์ฝ่ายวิญญาณของมนุษยชาติ ในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ไม่เคยกล่าวว่า มีโหราจารย์ 3 คน เพียงแต่บอกว่า โหราจารย์เหล่านี้เดินทางมาจากทางทิศตะวันออกของปาเลสไตน์ พระคัมภีร์บันทึกว่า ภายหลังจากพระเยซูคริสต์ทรงบังเกิดในรางหญ้าที่เบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย ก็มีพวกโหราจารย์มาเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮโรด ถามตรงๆ เลยว่า “กุมารผู้ที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน เราได้เห็นดาวของท่านปรากฏขึ้น เราจึมาหวังจะนมัสการท่าน” (มธ. 2:1-2)



                  ทว่าคำถามของพวกโหราจารย์เหล่านี้ให้กษัตริย์เฮโรดผู้ขี้ระแวงร้อนบัลลังก์ขึ้นมาในบัดดล แต่ทำใจดีสู้เสือ เรียกประชุมผู้รู้ทั้งหลายเกี่ยวกับคำทำนายโบราณ แล้วถามว่า “ผู้เป็นพระคริสต์นั้นจะบังเกิดแห่งใด” คำตอบที่ได้คือ “เบธเลเฮม” จากนั้นเฮโรดก็กำชับให้โหราจารย์ไปค้นหาพระกุมารแล้วกลับไปแจ้งให้พระองค์ทราบด้วย เพื่อจะได้ตามไปร่วมนมัสการ

                ฝ่ายพวกโหราจารย์ก็ออกเดินทางตามดาวที่นำหน้าพวกเขาไป จนมาหยุดอยู่เหนือสถานที่ที่พระกุมารประทับอยู่ เหล่าโหราจารย์จึงเข้าไปในเรือนนั้นด้วยความยินดียิ่งนักและได้พบพระกุมารกับนางมารีย์ผู้เป็นมารดา จากนั้นพวกเขาก็ก้มกราบถวายนมัสการพระกุมานั้น พร้อมเปิดหีบหยิบทรัพย์ของเขาออกถวายแก่พระกุมารเป็นเครื่องบรรณาการคือ ทองคำ กำยาน และ มดยอบ แล้วก็รีบจากไปยังเมืองของตนทางอื่น ไม่ได้กลับไปเฝ้าเฮโรดอีก เพราะได้รับคำเตือนจากทูตสวรรค์ของพระเจ้าในความฝัน (มธ. 2:3-12)

                 ชื่อที่เรียก โหราจารย์ (Wise men) นี้ บางทีเรียกอีกอย่างว่า “Magi” เชื่อกันว่าพวกนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องปรัชญา, ดาราศาสตร์ และศิลป์ลี้ลับอื่นๆ ที่เดินทางมาจากทางทิศตะวันออก ที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะมาจากเปอร์เซีย บาบิโลน หรืออินเดีย

                   ในพระคัมภีร์เดิมได้บันทึกว่าครั้งหนึ่ง ดาเนียล (Daniel) ได้รับการแต่งตั้งจากพระราชาเนบูคัดเนสซาร์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรบาบิโลน (อิรักในปัจจุบัน) ให้เป็นประธานใหญ่ของพวกโหราจารย์ ซึ่งรวมทั้งพวกหมอดูฤกษ์ยาม ด้วยเหตุผลที่ว่าดาเนียลเป็นผู้มีวิญญาณของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์อยู่ในตัว รวมทั้งมีความสว่าง มีความรู้ ความเข้าใจและปัญญาเหมือนปัญญาของพระ, และความสามารถในการแก้ความฝันและแก้ปัญหาต่างๆ (ดาเนียล. 5:11-12)  ของขวัญวันคริสตมาสที่เหล่า โหราจารย์ นำมาถวายมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

1. ทองคำ (Gold) เป็นธรรมเนียมของชาวเปอร์เซียที่ไม่อาจเข้าเฝ้ากษัตริย์ได้ถ้าปราศจากของขวัญและทองคำเป็นของขวัญอันทรงคุณค่าคู่ควรต่อกษัตริย์เท่ากับการยอมรับโดยดุษฎีว่า พระคริสต์กุมารนี้คือผู้บังเกิดมาเป็นกษัตริย์

2. กำยาน (Frankincense) เป็นเรื่องปกติที่จะต้องนำกำยานและเครื่องหอมสำหรับการนมัสการพระเจ้ามาที่พระวิหารและผู้ที่จะถวายเครื่องหอมและกำยานนี้คือปุโรหิต (ซึ่งมาจากคำภาษาลาตินว่า pontifex ที่แปลว่า “สะพาน” หรือ “ผู้สร้างสะพาน” เพราะปุโรหิตเป็นผู้สร้างสะพานระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์) เท่ากับเป็นการยอมรับว่าพระกุมารเยซูนี้คือ ผู้ที่มาบังเกิดมาเป็นปุโรหิตระหว่างโลกและสวรรค์

3. มดยอบ (Myrrh) เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่จะชโลมศพด้วยมดยอบ เพื่อดับกลิ่นศพและรักษาสภาพศพให้คงรูป เท่ากับเป็นการยอมรับว่า พระกุมารผู้มาประสูตินี้ มาเพื่ออยู่และตายไถ่บาปมนุษย์ในฐานะผู้ช่วยให้รอดและเป็นค่าไถ่บาป
Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #8 on: December 15, 2008, 07:28:21 AM »

    ผลพลอยได้จากคริสตมาส

ประเพณีคริสตมาสน่ารู้

               ประเพณี หมายถึง สิ่งที่นิยมถือประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันมาจนเป็นแบบแผน

ในช่วงเทศกาลคริสตมาส มีแบบแผนที่ถือปฏิบัติกันอยู่หลายอย่าง อาทิ



“การให้ของขวัญ”

เป็นประเพณีเก่าแก่ที่สุดที่เคียงคู่คริสตมาสนานกว่า 200 ปี เชื่อกันว่า ประเพณีการให้ของขวัญคริสตมาสเกิดขึ้นตามแบบอย่างที่ โหราจารย์ หรือนักปราชญ์จากตะวันออก ได้กระทำ คือพวกเขาได้นำ ทองคำ, กำยาน และมดยอบ มาเป็นของขวัญวันประสูติถวายแด่พระกุมารเยซู


ในสมัยของกษัตริย์ เฮนรี่ ที่ 7 แห่งอังกฤษ เกิดธรรมเนียมที่ข้าราชบริพารและประชาชนแสดงความจงรักภักดีโดยการถวายของขวัญให้พระองค์ ซึ่งต่อมาวิวัฒนาการมาเป็นการแลกเปลี่ยนของขวัญแก่กันและกัน  แล้วได้แพร่หลายกลายเป็นกิจกรรมยอดนิยมในช่วงเทศกาลคริสตมาสทั่วโลกจนกระทั่งวันนี้  ธุรกิจขายของขวัญกลายเป็นธุรกิจที่สำคัญอย่างยิ่งในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ของทุกปี


“การส่งบัตรอวยพร” (Christmas Cards)

          เดิมที การส่งของขวัญวันคริสตมาสให้ญาติมิตรที่อยู่ห่างไกลไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อีกทั้งยังมีราคาแพง ในราวปี ค.ศ. 1843 จิตรกรชาวอังกฤษนามว่า John Colcott Horsley ได้ออกแบบการ์ดคริสตมาสใก้แก่เพื่อนของเขา ที่มีนามว่า Sir Henry Cole (ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์วิคตอเรีย และอัลเบิร์ต ที่ลอนดอน) (บางตำราบอกว่า เซอร์ เฮนรี่ โคล ทำบัตรคริสตมาสส่งให้ จอห์น คัลคอทท์ เวสเลย์, พรคริสตมาสแด่คุณ (แปลจาก “What’s the Point of Christmas”, J. John, Lion Publishing, Oxford, England) เพื่อที่จะใช้ส่งให้ญาติมิตรแทนการส่งของขวัญดังที่เคยปฏิบัติมา โดยรูปแบบของการ์ดที่ออกมาเป็นรูปของงานเลี้ยงภายในครอบครัว ที่มีข้อความพิมพ์อยู่ใต้รูปว่า “A Merry Christmas and a Happy New Year to you.”



             จากนั้น การส่งบัตรอวยพรวันคริสตมาสก็กลายเป็นธรรมเนียมประเพณียอดนิยมที่แพร่หลายไปทั่วโลก

การตกแต่งและการประดับต้นคริสตมาส (Trees and decorations)



               ประเพณีนี้ได้เกิดขึ้นมาจากประเทศในเขตหนาว โดยสานต่อและประยุกต์ประเพณีของคนโบราณก่อนยุคของคริสเตียน เดิมทีนั้นคนสมัยก่อนใช้ความเขียว (ของใบไม้) รวมทั้งแสงและไฟเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตและความอบอุ่นท่ามกลางความหนาวเหน็บและความมืดมิด  อย่างเช่น พวก Teutonic Scandinavian ที่อยู่ทางเหนือของยุโรป เดิมทีพวกเขากราบไหว้บูชาต้นไม้และตกแต่งบ้านและโรงนาด้วยต้นสน หรือต้นไม้เขียวในช่วงปีใหม่ แต่เมื่อพวกเขาหันมาศรัทธาในคริสตศาสนาจึงใส่ความหมายใหม่ลงไปในสิ่งที่ปฏิบัติอยู่  การนำต้นสนมาตกแต่งในวันคริสตมาส และเรียกว่า ต้นคริสตมาส (Christmas Tree) อย่างที่รู้จักกันในสมัยใหม่นี้ ถือกำเนิดขึ้นในเยอรมนี ในช่วง ยุคกลาง (The Middle Ages) เมื่อ มาร์ติน ลูเธอร์ (1483-1546) ใช้เทียนไฟจุดแล้วปักไว้บนต้นสน เพื่อฉลอง

                     วันคริสตมาสโดยถือเอาเทียนไขนั้นเป็นเครื่องหมายแทนดวงดาวสุกใสในคืนที่พระคริสต์ประสูติ แต่อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า บาทหลวง คาทอลิก นาม Boniface เดินทางไปเผยแพร่คริสตศาสนาแก่ชาวป่าทางตอนเหนือของยุโรป พบพวกชาวป่ากำลังเฉลิมฉลองด้วยการ บูชายัญ มนุษย์ต่อเทพารักษ์ประจำต้นโอ๊ค ท่านจึงสอนพวกเขาให้นมัสการพระเจ้าองค์เที่ยงแท้และให้นำ ต้นสน กลับไปบ้านเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของ พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงประทานชีวิตนิรันดร์และให้เลิกฆ่าคนบูชายัญอีกต่อไป

                      อนึ่ง มีหลักฐานเก่าแก่ที่สุด บันทึกว่า ประเพณีการใช้ต้นสนมาเป็นต้นคริสตมาส มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1605และนับจากต้นศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ทุกครัวเรือนในเยอรมันได้ใช้ต้นคริสตมาสเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาล
Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #9 on: December 15, 2008, 07:31:54 AM »

สันติสุขแด่ทุกๆคน
Shalom Shalom Shalom


         ในภาษาฮีบรู คำว่า “สันติภาพ” หรือ “สันติสุข” คือคำว่า “shalom” มีรากศัพท์ที่ความหมายถึง “การเป็นหนึ่งเดียวอย่างครบถ้วน และการประสานกลมกลืนกันอย่างสมบูรณ์” (wholeness, unity & harmony, complete & sound)  คำๆ นี้ปรากฏมากกว่า 200 ครั้งในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม คำว่า “shalom” นี้ จึงหมายถึง พระพรแห่งความประสานกลมกลืนทั้งภายในและภายนอกที่มาถึงบุคคลที่ดำเนินชีวิตในความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระเจ้า!

             มนุษย์ทุกวันนี้ต้องการสันติสุข (สันติภาพ) อย่างมากและเร่งด่วน! เขาต้องการสันติสุข (Peace) ทั้งภายในตัวเองในครอบครัว ที่ทำงาน โรงเรียน ชุมชน สังคม ในประเทศในภูมิภาคและในโลกนี้! แต่สันติภาพ (สันติสุข) ที่มนุษย์ต้องการมากที่สุดไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ นั่นคือสันติภาพกับพระเจ้า โดยการมีความสัมพันธ์ที่ประสานกลมกลืนกับพระองค์และเพื่อนมนุษย์  และนี่คือที่มาของวันคริสตมาสเพราะในวันนี้ พระเจ้าได้ทรงสถาปนาสันติสุขขึ้นบนแผ่นดินโลก เมื่อทรงใช้ทูตสวรรค์นำข่าวดีมาบอกว่า “พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุข (Peace) จงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงซึ่งพระองค์ทรงโปรดปราน” (ลูกา 2:14)  และสันติสุขที่แท้จริงนั้น พระกุมารเยซูเป็นผู้ทรงนำมา!

                 เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเติบใหญ่จนถึงวัย 30 ชันษา พระองค์ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ด้วยการประกาศข่าวดี เรื่อง “สันติสุข” ระหว่าพระเจ้ากับมนุษย์!



ปัจจุบันมีผู้ตอบรับ “สันติสุข” นี้นับพันล้านคนทั่วโลก!

                   พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้...” (ยอห์น. 14:27)   อัครทูตเปาโล ผู้ยิ่งใหญ่ ก็ยืนยันว่า “พระเยซูคริสต์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง” (เอเฟซัส 2:14)

      สุดท้ายนี้ขอให้ “สันติสุข” (Peace) ของพระคริสต์แหง “วันคริสตมาส” นำ “ สันติภาพ” (Peace) มาสู่ท่านผู้อ่านและเพื่อนร่วมชะตากรรมในโลกนี้ด้วยเทอญ!!



เรียบเรียงจาก http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=2394.msg36021#msg36021
Logged


Hypercube
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 470


« Reply #10 on: December 15, 2008, 07:34:11 AM »

ว้าว ตามอ่านตั้งแต่กระทู้เปิดเลยครับ

ความรู้เพียบเลย
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #11 on: December 15, 2008, 02:15:14 PM »

สาระความรู้เตรียมรับคริสต์มาส 
Logged


General Gerald
Member
*****
Offline Offline

Posts: 241


« Reply #12 on: December 15, 2008, 11:47:05 PM »

น่าจะมีโปรโมเป็น event เกี่ยวกับวันสำคัญต่างๆนี้คงดีมากเลย
แถมเคาน์เตอร์มาเป็นความรู้เสริม
Logged


Ot@,the CM Idol
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1252


Email
« Reply #13 on: December 16, 2008, 12:14:47 PM »

ขอบคุณมากๆครับ
คราวนี้ก็ไปร้องเพลงคริสมาสต์ได้อย่างสบายใจ เพราะรู้ความหมายที่แท้จริงของวันสำคัญนี้กันทั่วหน้าแล้วนะฮะ  :D


Shalom Shalom Shalom!
Logged


Joseph, the Deacon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 2433


Email
« Reply #14 on: December 17, 2008, 08:58:55 AM »

ต้นคริสมาสต์ !!



ไม่ใส่เนื้อหาเพิ่ม เพราะจำไม่ได้ 
Logged


the St. of Amara
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 3091


Email
« Reply #15 on: December 20, 2008, 12:19:25 AM »

พิมพ์คำว่า Christmas แล้วเข้า Google จะเจอภาพสวยๆเต็มเลย

Joy to the World กับ Jingle Bell รวมถึงเพลงอื่นๆเคยได้ยินมาเมื่อเรียนอยู่ชั้นประถม

เป็นเพลงที่ไพเราะมากและเป็นเพลงแรกๆที่ชอบเนื่องจากตอนเด็กไม่รู้จะฟังเพลงจากไหน   

อีกทั้งที่โรงเรียนชั้นประถมยังมีงานจัดงานรื่นเริงให้เด็กๆสนุกสนาน

แล้วร้องเพลง We wish you a Merry Christmas และอีกมากมายเปิดงาน

ทำให้ชอบมาจนถึงตอนนี้       
Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #16 on: December 25, 2008, 05:34:35 AM »

ถ่ายทอดสดคริสต์มาส http://www.catholic.or.th/
23.38 ของคืนวันที่24

ชมได้เลยครับ
Logged


MN-ME
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1815


« Reply #17 on: December 25, 2008, 11:24:14 AM »

วันนี้แล้วว

Merry Christmas ทุกคนนะฮะ ^^
Logged


XA14
Member
*****
Offline Offline

Posts: 552


« Reply #18 on: December 25, 2008, 02:07:37 PM »

สาระแน่นเอี้ยดดดดดดดดดดดดดดด

ยอมรับว่าอ่านไม่จบ - -"

Happy Christmas นะครับทุกคน

สำหรับนักเรียนที่อยู่ในช่วงสอบ ขอให้เกรดดี ๆ กันทุกคน (อวยพรตัวเอง 555+)
Logged


the St. of Amara
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 3091


Email
« Reply #19 on: December 28, 2008, 05:21:47 PM »

สาระแน่นเอี้ยดดดดดดดดดดดดดดด

ยอมรับว่าอ่านไม่จบ - -"

Happy Christmas นะครับทุกคน

สำหรับนักเรียนที่อยู่ในช่วงสอบ ขอให้เกรดดี ๆ กันทุกคน (อวยพรตัวเอง 555+)

เช่นกันๆ             :D

(และแน่นอนตัวเราเองก็เหมือนกัน)

Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #20 on: December 29, 2008, 10:16:37 PM »

พระสันตะปาปาอวยพรแด่โรมและโลกพร้อมตรัสภาษาไทยชัดแจ๋ว !!
http://catholicworldtour.spaces.live.com/blog/cns!EA91C1C5E2FBFD4F!4491.entry?&_c02_vws=1&sa=307894849
คลิปพระสันตะปาปาอวยพรเป็นภาษาไทย (นาทีที่ 7:41 - 7:48)
http://www.youtube.com/watch?v=WCFLnkRe_YU
 
ข้อมูลจาก

AVE  MARIA

Founder & Editor
CATHOLIC WORLD TOUR
website : http://catholicworldtour.spaces.live.com (Thai Language)
e-mail : catholic_world_tour@hotmail.com
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #21 on: December 31, 2008, 02:29:34 AM »

พระสันตะปาปาอวยพรแด่โรมและโลกพร้อมตรัสภาษาไทยชัดแจ๋ว !!
http://catholicworldtour.spaces.live.com/blog/cns!EA91C1C5E2FBFD4F!4491.entry?&_c02_vws=1&sa=307894849
คลิปพระสันตะปาปาอวยพรเป็นภาษาไทย (นาทีที่ 7:41 - 7:48)
http://www.youtube.com/watch?v=WCFLnkRe_YU
 
ข้อมูลจาก

AVE  MARIA

Founder & Editor
CATHOLIC WORLD TOUR
website : http://catholicworldtour.spaces.live.com (Thai Language)
e-mail : catholic_world_tour@hotmail.com


ท่านพูดชัดใช้ได้เลยนะ 
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.071 seconds with 20 queries.