Summoner Master Forum
April 27, 2024, 08:06:45 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 26 หีบเพลงแห่งนางฟ้า @@  (Read 10823 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: June 18, 2004, 09:27:25 PM »

Chapter 26 หีบเพลงแห่งนางฟ้า

                                 หลังจากการรบที่เมืองฟอร์เรนเชียสงบลง   แม้กองทัพจะยังคงสามารถรักษาเมืองไว้ได้   แต่สภาพเมืองก็เสียหายอย่างหนัก   โดยเฉพาะบริเวณกำแพงเมืองนั้นชำรุดหักพังไปเป็นแถบเลยทีเดียว   ทำให้แม่ทัพใหญ่ต้องเกณฑ์ไพล่พลเร่งซ่อมแซมกำแพงเมืองทั้งวันทั้งคืนเพื่อให้ทันการบุกโจมตีระลอกสองของกองทัพซาโลม   ขณะเดียวกันชาร์ลก็ได้ย้ายประชาชนไปอยู่ที่เมืองเอรีมซึ่งตั้งอยู่ถัดจากเมืองฟอร์เรนเชียไป   พร้อมทั้งเร่งเสริมกำแพงเมืองเอรีมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นหากจำเป็นต้องสละเมืองฟอร์เรนเชียเมืองเอรีมจะได้มีปราการที่แข็งแกร่งกว่าในการต้านทัพซาโลม   ทั้งนี้ก็เพราะถัดจากเมืองเอรีมก็คือเมืองวอลเนียอันเป็นเมืองที่มีวิหารแห่งฟรานเชสก้า(Church of Francessca)ตั้งอยู่    วิหารแห่งนี้แม้ไม่ได้เป็นวิหารหลวงแต่ก็มีความสำคัญต่อชาติฟีเลเซียอย่างยิ่งเพราะเป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่นางฟ้าฟรานเชสก้าอารักขเทวดาแห่งฟีเลเซีย   ดังนั้นเมืองเอรีมจึงเป็นปราการสุดท้ายที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะป้องกันเมืองวอลเนียจากเงื้อมือของศัตรู
                                 ขณะที่ชาร์ลและนายทหารบางส่วนกำลังยืนอยู่บนยอดของกำแพงเมืองเพื่อตรวจตราดูการซ่อมแซมเมือง   ชาร์ลยังคงคิดถึงการประมือเพียงชั่วเวลาสั้นๆกับแม่ทัพแห่งซาโลม   ความรู้สึกที่น่าอึดอัดกับพลังประหลาดที่ชวนขนลุกนั่นยังคงรบกวนจิตใจของเขาอยู่เป็นระยะๆ  อะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ตรงรอยแยกเล็กๆตรงด้านท้ายของคมเคียวนั่นดูราวกับมีชีวิต   เขารู้ดีว่าเคียวนั้นต้องมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลแน่  
                                 “เรียก ฟอล์คเนอร์มาพบข้าเดี๋ยวนี้”  ชาร์ลออกคำสั่งกับนายทหารทันที


                                 ขณะเดียวกัน   ภายในค่ายทหารของซาโลมบรรดาแม่ทัพล้วนอยู่กันพร้อมหน้า   ในขณะที่แม่ทัพทมิฬยืนนิ่งไม่ไหวติงด้วยใบหน้าถตัวเองทึงเบื้องหน้ากษัตริย์แห่งซาโลม   ความรู้สึกคับข้องใจที่ถูกเรียกตัวกลับมากลางคันพลุ่งพล่านอยู่ในอก
                                 “ฝ่าบาทไม่เชื่อว่ากระหม่อมจะเอาชนะแม่ทัพฟีเลเซียได้อย่างนั้นหรือพะย่ะค่ะ   จึงได้เรียกตัวกระหม่อมกลับกลางคันเช่นนี้” ราโชยูถามด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว
                                 “เปล่าเลย   เพียงแต่ข้าต้องการจะทดสอบกองทัพใหม่ที่แบล็คไวเซอร์ และบลาส เซจร่วมกันสร้างขึ้นจนสำเร็จ” ซาดินกล่าวอย่างอารมณ์ดี “กองทัพผีนรก(Necrotrooper) ในที่สุดก็สมบูรณ์แบบและมีจำนวนมากพอจะต่อกรกับกองทัพทั้งหลายได้เสียที หึ หึ”
                                 “ฝ่าบาทจงใจให้พวกมันเข้ากำแพงเมืองไปได้เพียงเพื่อจะทดสอบประสิทธิภาพของทหารผีดิบว่าจะมีความสามารถมากแค่ไหนอย่างนั้นหรือพะย่ะค่ะ” ราโชยูกล่าวสรุปก่อนจะชำเลืองไปทางมหาอุปราช
                                 “ไม่ลองดู   แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามันใช้การได้ดีแค่ไหน” ซาดินยิ้มร่ากล่าวสำทับ
                                 “กองทหารผีดิบของพวกกระหม่อม   แม้ว่าจะถูกฟันขาดเป็นสองท่อนมันก็จะยังคงสู้ต่อไปเพราะพวกมันไม่รู้จักเจ็บปวดอีกแล้ว   พวกมันจะหมดสภาพก็ต่อเมื่อถูกสับเป็นชิ้นเล็กชื้นน้อยนั่นแหละพะย่ะค่ะ” บลาส เซจ พูดอย่างมั่นอกมั่นใจพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
                                 “หมายความว่าคราวนี้ท่านจะนำทัพผีดิบไปตีเมืองฟอร์เรนเชียเองกระนั้นสิ?” ราโชยูแฝงแววประชดในน้ำเสียง
                                 “ไม่...ยังไม่ถึงเวลาของพวกข้า   อาวุธต่ออาวุธ เวทย์ต่อเวทย์  เมื่อเวลามาถึงเจ้าก็จะได้เห็นเอง   เวลานี้ยังเป็นเวลาของเจ้าอยู่” แบล็ค ไวเซอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าไม่ยี่หระต่ออารมณ์คุกรุ่นของแม่ทัพร่างใหญ่   ทว่านัยน์ตากลับเต็มไปด้วยความชิงชังมองทอดออกไปไกล
                                 “เอาล่ะ! เจ้ามีแผนยึดเมืองอย่างไร บลาสเซจ” ซาดินกล่าวตัดบทด้วยใจร้อน
                                 “ทูลฝ่าบาท   กระหม่อมเห็นว่าในคราวนี้เราจะแบ่งกองทัพออกเป็นสามกองทัพ   โดยทัพผีดิบจะเป็นทัพใหญ่บุกประจันหน้าเข้าตีเมืองตรงๆด้วยมีอาวุธหนักเช่นเครื่องยิงหิน(Catapult)ทั้งพิสัยใกล้และไกลคอยยิงถล่มเมืองและสกัดพวกกองทัพทางอากาศ   เป้าหมายคือบุกเข้ากำแพงเมืองชั้นในเพื่อสร้างความปั่นป่วนภายในกำแพงเมือง   ส่วนอีกสองทัพเป็นทัพมนุษย์ ซึ่งเราจะรอจังหวะที่พวกมันกำลังสาระวนอยู่กับทัพผีของเรา   บุกตีขนาบเมืองทั้งซ้ายและขวา   ทีนี้พวกฟีเลเซียหน้าโง่ก็จะโดนศึกกระหน่ำถึงสามด้านในคราเดียว   กระหม่อมมั่นใจเหลือเกินว่าเมืองฟอร์เรนเชียจะต้องแตกภายในเวลาไม่นานแน่”
                                 “ดี! พวกเจ้าไปเตรียมทัพได้   พร้อมเมื่อไหร่เคลื่อนทัพทันที” ซาดินออกคำสั่ง
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: June 18, 2004, 09:28:39 PM »

                                 เพียงชั่วข้ามคืนกองทัพอันเกรียงไกรของซาโลมก็พร้อมยาตราทัพสู่เมืองฟอร์เรนเชียอีกครั้ง   กองทัพผีดิบกว่าสามหมื่นนายพร้อมอาวุธหนักก็ยาตราเข้าประชิตเมืองฟอร์เรนเชียทันที   เสียงกลองที่ตีให้จังหวะในการเดินทัพดังกระหึ่ม
                                 ทหารฝ่ายฟีเลเซียเมื่อเห็นจำนวนทหารที่ยาตราเข้ามาต่างก็พากันโล่งใจ   เพราะเมื่อเทียบจำนวนกับทหารฝ่ายตนแล้วกองทัพซาโลมดูจะเสียเปรียบอยู่มากทีเดียว   แต่ครั้นเมื่อกองทัพซาโลมเคลื่อนเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆทุกคนต่างก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดสุดขีด   เมื่อกองทัพที่อยู่ตรงหน้าคือซากศพเดินได้ที่มีรูปร่างไม่แตกต่างกับอสูรกายจากนรก   ร่างที่ใหญ่โตเกินกว่าคนทั่วไป  หัวสามหัวที่มีใบหน้าบิดเบี้ยวและเน่าเฟะ   ท่อนแขนกำยำที่ตรงส่วนมือมีลักษณะคล้ายอาวุธปลายแหลมนั่น   พวกเขากำลังจะต้องต่อสู้กับกองทัพที่แปลกประหลาดและน่าสยดสยองที่สุดในชีวิต
                                 ข้างฝ่ายแม่ทัพใหญ่แห่งฟีเลเซียเองก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปเช่นกันเมื่อเห็นกองทัพผีของซาโลม
                                 “นี่มันกองทัพอะไรกัน?!” ชาร์ลเงียบไปพักใหญ่กว่าจะเอ่ยคำพูดออกมาได้ในที่สุด “พลธนูเตรียมพร้อม” แม่ทัพหนุ่มออกคำสั่งเสียงหนักแน่น   ทว่าสายตายังคงจับจ้องไปยังกองทัพเบื้องล่างไม่วางตา
                                 เมื่อกองทัพผีเริ่มบรรจุก้อนหิน   ชาร์ลก็สั่งระดมยิงใส่กองทัพเบื้องล่างแทบจะพร้อมกัน   เสียงดีดของสายเอ็นและเสียงแวกอากาศของลูกธนูนับพันดอกก็ดังกระหึ่มขึ้นทันที   ลูกธนูนับพันพุ่งทะลวงเจาะร่างไร้วิญญาณของกองทัพซาโลมจนพรุไม่ต่างกับตัวเม่น   แต่กระนั้นก็หาได้ทำให้เหล่าปีศาจเบื้องล่างชะงักหรือหยุดมือจากการทำหน้าที่ของตนเลย   พวกมันยังคงบรรจุก้อนหินใส่เครื่องยิงอย่างไม่สะทกสะท้าน
                                 เหล่าทหารหาญแห่งฟีเลเซียถึงกับตกตะลึงอีกเป็นครั้งที่สอง   ต่างมองหน้ากันไปมาด้วยความพิศวง   ลมบางๆแห่งความกลัวค่อยๆโชยพัดไปยังพลทหารคนแล้วคนเล่า   หากพวกเขาต้องต่อสู้กับกองทัพที่ไม่มีวันตาย ก็คงเป็นพวกเขาเองที่จะต้องตายในวันนี้
                                 ฉับพลันก้อนหินขนาดใหญ่มากมายก็ถูกดีดจากเครื่องยิงหินพุ่งเข้าใส่เหล่าทหารและบ้านเรือนหลังกำแพงเมืองฟอร์เรนเชียทำให้เหล่าทหารต่างต้องวิ่งหลบก้อนหินยักษ์กันอลหม่าน
                                 ชาร์ลจึงสั่งระดมยิงอีกครั้ง   พร้อมกันนั้นก็ส่งทัพนกทั้งหลายเข้าจู่โจมสนับสนุนด้วย   เหล่านกซอร์วิง ซอร์กริฟฟิน และนกร็อคแดงก็ตรงดิ่งเข้าจิกทึ้งกองทัพซาโลมเป็นพัลวัน   ทว่าไม่ว่าจะทำเช่นไรกองทัพซากศพก็ไม่แสดงอาการเจ็บปวดให้เห็นแม้สักนิด   ตรงกันข้ามพวกผีดิบกลับใช้จงอยแหลมที่มือเกี่ยวกระชากฝูงนกลงมาฉีกกินสดๆอย่างกระหายหิวจนเลือดและขนนกกระจัดกระจายไปทั่วทั้งบริเวณยิ่งสร้างความสยดสยองให้แก่ทหารฟีเลเซียขึ้นเป็นทวีคูณ
                                 ระหว่างที่ชาร์ลกำลังพิจารณาดูสถานการณ์อย่างเคร่งเครียด   ก็พอดีกับที่ฟอล์คเนอร์เข้ามารายงานตัวพอดี
                                 “ท่านแม่ทัพ” ฟอล์คเนอร์ทำความเคารพอย่างรวดเร็วพลางเหลือบดูสถานการณ์เบื้องล่างด้วยเช่นกัน “นั่นมันตัวอะไรกัน” เขาพูดเบาจนแทบจะกระซิบ ใบหน้าเหยเกด้วยความสยดสยอง
                                 “กองทัพปีศาจของซาโลม” ชาร์ลกล่าวเสียงเครียด “ธนูทำอะไรมันไม่ได้เลย   พวกทัพนกก็อย่างที่เห็น   ว่าแต่เจ้าได้เรื่องมาว่าอย่างไรบ้าง”
                                 “ข้าพานางมาแล้วครับ   เวลานี้นางพักอยู่ภายในโบสถ์ใกล้ๆนี่   ถ้าท่านต้องการพบก็สามารถเรียกนางมาได้ทันที” ชาร์ลพยักหน้าช้าๆ  สายตายังคงจับจ้องอยู่กับสถานการณ์เบื้องล่าง
                                 “ท่านแม่ทัพ   มีข่าวด่วนอีกข่าวด้วยครับ” ฟอล์คเนอร์กล่าวเสียงร้อนรน
                                 “ว่ามา”
                                 “สายจากกองสอดแนมส่งข่าวมาว่าเวลานี้มีกองทัพซาโลมอีกสองกองทัพพร้อมอาวุธครบมือกำลังเคลื่อนทัพเตรียมขนาบเมืองฟอร์เรนเชียทั้งทางทิศตะวันออกและตะวันตก   อีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามคงเข้าประชิดเมืองแน่”
                                 “ว่าอย่างไรนะ   บ้าจริง! แค่ลำพังกองทัพปีศาจข้างล่างนี้ข้ายังคิดไม่ออกเลยว่าจะต้องใช้กำลังพลมากขนาดไหนจัดการ   กำลังพลเราคงไม่พอที่จะรับศึกทั้งสามด้านแน่ๆ   แล้วอีกสองกองทัพเป็นกองทัพปีศาจแบบพวกข้างล่างนี้ด้วยรึเปล่า”
                                 “เป็นมนุษย์และพวกสัตว์ป่าครับแต่ว่ายกกันมาหลายหมื่นทีเดียว   ที่สำคัญคือทัพตะวันตกซึ่งนำทัพโดยแม่ทัพใหญ่ราโชยูครับ”
                                 แม่ทัพใหญ่เหลือบไปดูสถานการณ์เบื้องล่าง   เวลานี้ทัพซาโลมเริ่มบรรจุก้อนหินอีกครั้ง  
                                 “ท่านแม่ทัพ   ตอนนี้ทัพนกถูกสังหารเกือบหมดแล้ว  โปรดสั่งการด้วยครับ”  รองแม่ทัพนายหนึ่งรีบเข้ามารายงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: June 18, 2004, 09:30:19 PM »

                               “สั่งการลงไป!   ให้ทัพมังกร และ ทัพเปกาซัส เตรียมพร้อมรอรับทำสั่ง   พลธนูเปลี่ยนเป็นธนูเพลิงทำลายเครื่องยิงหินให้ได้”  ชาร์ลออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว  สายตายังคงพิจารณาสถานการณ์ความเป็นไปเบื้องล่างทุกขณะ
                               “เหล่านักบวชทั้งเมืองนี้รวมถึงละแวกใกล้เคียงเวลานี้ก็ถูกส่งไปคอยรักษาโบสถ์ฟรานเชสก้าที่เมืองวอลเนียจนหมด   กำลังพลที่มีอยู่ตอนนี้ไม่พอรับมือแน่”  แม่ทัพใหญ่ประเมินสถานการณ์
                               “ท่านแม่ทัพ  ทัพเปกาซัส และ ทัพมังกรพร้อมแล้วครับ”  แม่ทัพคนเดิมเข้ามารายงาน
                               “สั่งโจมตีได้!” ชาร์ลประกาศก้อง
                               ทัพมังกร และ ทัพเปกาซัสก็ทะยานขึ้นพุ่งเข้าจู่โจมใส่กองทัพผีดิบอย่างห้าวหาญ   เหล่าทัพมังกรต่างก็พุ่งตัวจู่โจมใส่เครื่องยิงหินจนพังพินาศไปมากมาย   แต่ทว่าเหล่าผีดิบเองก็ตรงเข้าตะลุมบอนกับเจ้ามังกรยักษ์อย่างไม่กลัวตาย    แม้มังกรจะสะบัดจนทหารผีตัวลอยละลิ่วกระแทกพื้นไปไกลแต่มันก็ยังลุกขึ้นมาได้ใหม่   บ้างก็ถูกมังกรใช้ทั้งหางและเท้าฟาดและเหยียบจนจมมิดดินแต่เพียงประเดี๋ยวเดียวพวกมันก็ลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง   เหล่าทัพเปกาซัสที่โฉบพุ่งเข้าฟาดฟันให้กองทัพผีอย่างไม่ลดละ  แต่ไม่ว่าจะฟันจนหัวขาดกระเด็นหรือถูกฟันจนตัวขาดเป็นสองท่อนพวกทหารผีก็ยังคงวิ่งเข้าใส่ทัพมังกรและทัพเปกาซัสอย่างไม่สะทกทะท้าน   แม้เครื่องยิงหินจะถูกทำลายได้จนเกือบหมดแต่ฟีเลเซียก็ต้องสูญเสียทัพมังกรและทัพเปกาซัสไปไม่น้อยทีเดียว
                               “นี่พวกมันเป็นอมตะหรือยังไงกัน” ชาร์ลสบถ “มันไม่ต่างกับการส่งกองทัพไปให้พวกมันฆ่าเพื่อถ่วงเวลาเลย”
                               ทันทีที่เครื่องยิงหินถูกทำลายจนเกือบหมด   กองทัพผีของซาโลมก็เริ่มลำเลียงบันไดผาดและซุงใหญ่เพื่อทำลายประตูเมืองทันที
                               “ปล่อยน้ำมันเผาบันไดผาดและซุงทั้งหมด   อย่าให้มันเข้าเมืองได้   สั่งพลธนูเตรียมประจำการที่กำแพงเมืองฝั่งตะวันออกและตะวันตกเตรียมปะทะกับทัพซาโลม”
                               ชาร์ลให้สัญญารองแม่ทัพนายหนึ่งเพื่อให้มาประจำการแทนตน “ฟอล์คเนอร์เจ้าไปเชิญนางให้มาพบข้าที่กำแพงเมืองฝั่งตะวันตก” แม่ทัพใหญ่กล่าวจบก็หมุนตัวกลับเตรียมมุ่งสู่ฝั่งตะวันตก
                               “ท่านแม่ทัพ!!อย่าเพิ่งให้พลธนูไปครับ” รองแม่ทัพกล่าวอย่างตื่นตระหนก   ชาร์ลหันกลับมามองด้วยความฉงน “พวกกองทัพผีกำลังขึ้นไปนั่งบนแท่นยิงหินแล้ว”
                               ชาร์ลหันไปมองยังเครื่องยิงหินที่ยังหลงเหลืออยู่จึงได้เห็นว่าบรรดาทหารผีกำลังปีนป่ายขึ้นไปรวมกันอยู่บนแท่นบรรจุหิน “พลธนู!!  เล็งไปที่ทหารผีที่กำลังดีดตัวขึ้นมา   เดี๋ยวนี้!!” ชาร์ลตะโกนสั่งเสียงดังลั่น   พลธนูที่กำลังทยอยกันไปประจำการที่กำแพงเมืองทั้งสองฝั่งต่างก็รีบโก่งคันธนูอย่างรวดเร็ว
                               ทันทีที่เครื่องยิงหินดีดทหารผีขึ้นมาโดยหมายจะส่งเหล่าทหารผีข้ามกำแพงเมืองเข้าไปให้ได้   เหล่าพลธนูก็ระดมยิงใส่ทหารผีพร้อมกันจนเกิดแรงต้านพอที่จะหยุดพวกทหารปีศาจ   ร่างผีร้ายที่ถูกแรงต้านจากลูกธนูนับพันดอกก็ร่วงลงกระแทกพื้นเบื้องล่างอย่างแรงซึ่งห่างจากกำแพงเมืองไปเพียงไม่กี่เมตร   สักพักพวกมันก็เริ่มปีนป่ายขึ้นไปรวมตัวบนเครื่องยิงหินอีกครั้ง
                               “ต้านไว้ให้นานที่สุด   อย่าให้พวกมันเข้าเมืองได้” ชาร์ลสั่งเสียงเครียดก่อนจะรีบมุ่งหน้าสู่กำแพงเมืองฝั่งตะวันตก    

                               ทันทีที่ชาร์ลเดินทางไปถึงกำแพงฝั่งตะวันตกก็เป็นเวลาเดียวกับที่ทัพซาโลมเคลื่อนทัพมาใกล้กับกำแพงเมืองแล้ว   ชาร์ลจึงสั่งพลธนูขึ้นสายเอ็นทันที   ทว่าพลธนูจำนวนมากยังคงทำศึกอยู่ที่ประตูหน้าทำให้กำลังพลจู่โจมระยะไกลมีไม่เพียงพอ   ซึ่งทางฝั่งตะวันออกก็คงจะต้องประสบปัญหาเดี๋ยวกันนี้แน่   สิ่งนี้ยิ่งสร้างความวิตกให้กับจอมทัพหนุ่มมากยิ่งขึ้น  
                               กองทัพซาโลมนั้นยกมาหลายหมื่นนายทั้งมือเพชฌฆาตแห่งซาโลม ผู้ฝึกสัตว์ กองกำลังนกโมฮา นักรบเพลิงมาร และเหล่าสัตว์ป่านานาชนิด   เสียงโห่ร้องแห่งความกระหายสงครามจากทัพซาโลมดังก้องสะท้อนไปทั่ว   และเพียงแค่อึดใจเสียงโห่ร้องราวกับเป็นเสียงขานรับก็ดังสนั่นก้องจากอีกฝั่งหนึ่งของเมือง   อันบ่งบอกถึงการมาของทัพซาโลมฝ่ายตะวันออกนั่นเอง
                               “ท่านแม่ทัพ   ข้าเชิญนางมาแล้ว” ฟอล์คเนอร์เข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว   ฉับพลันทั่วทั้งบริเวณนั้นก็เกิดลมหมุนเป็นวงกว้างและที่ใจกลางของลมหมุนนั้นก็ค่อยๆปรากฏเป็นรูปร่างของสาวงามนางหนึ่ง   เธออยู่ในชุดสีทองอร่อมพร้อมผ้าคลุมสีม่วงผืนบาง   ผมสีน้ำเงินอมม่วงยาวสยายเหยียดตรงพริ้วไหวตามสายลมที่พัดผ่าน   ผิวขาวผ่องของเธอช่วยขับให้ริมฝีปากมีสีแดงสด   รูปร่างที่สะโอดสะองของเธอทำให้บรรดานายทหารหนุ่มๆอดแอบหันไปมองไม่ได้เลยทีเดียว   เธอยิ้มน้อยๆก่อนจะโค้งคำนับแม่ทัพหนุ่ม
                               “ขอต้อนรับ   จอมเวทย์แห่งสายลมเหนือ(North Wind Enchantress)   ขออภัยที่ต้องเชิญท่านมาในยามศึกสงครามเช่นนี้   ทว่าบ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะคับขันจึงต้องขออาศัยพลังเวทย์ของท่าน”
                               “ข้ายินดีช่วยเหลือ   แต่ว่าสิ่งที่ท่านขอต้องใช้พลังเวทย์ทั้งหมดของข้า   ดังนั้นข้าคงจะอยู่ช่วยพวกท่านรบต่อไม่ได้” จอมเวทย์หญิงกล่าวเสียงเบา
                               “ข้าเข้าใจดี   ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ   เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นข้าจะให้ฟอล์คเนอร์พาท่านกลับอย่างปลอดภัย” ชาร์ลรับคำ “ฟอล์คเนอร์ เมื่อเจ้าส่งท่านจอมเวทย์หญิงแล้วก็ให้รีบแจ้งข่าวไปยังเมืองหลวงทันที”
« Last Edit: June 18, 2004, 09:44:20 PM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: June 18, 2004, 09:32:10 PM »

                             “ครับ” ฟอล์คเนอร์รับคำอย่างแข็งขัน
                             “เชิญท่านหลบในป้อมกำแพงก่อนเพื่อความปลอดภัย   ข้าขอตัว”
                             ทันทีที่กล่าวจบแม่ทัพใหญ่ก็โค้งน้อยๆก่อนหมุนตัวกลับพร้อมออกคำสั่งกองทัพอย่างรวดเร็ว
                             “เล็งไปที่พวกทหารที่มีอาวุธโจมตีไกล   ทัพมังกรเตรียมจู่โจมพวกอาวุธหนัก   ทัพอัศวินและทหารเตรียมประจัญบานเด็ดหัวไอ้พวกคนเถื่อนเพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งฟีเลเซีย” เสียงโห่ร้องรับคำแม่ทัพอย่างฮึกเหิมจากเหล่าทหารดังกึกก้อง  
                             แม่ทัพหนุ่มกวาดสายตาสำรวจทัพของซาโลมอีกครั้ง   พลันสายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับเจ้ามังกรดำขนาดใหญ่ที่บินวนอยู่เหนือของทัพแห่งซาโลม   เขาจำได้ทันทีว่านั้นคือมังกรดำของแม่ทัพราโชยูแห่งซาโลมนั่นเอง   มันกางปีกเหยียดจนสุดทั้งสองข้างบินหมุนวนเหนือกองทัพสองสามรอบก่อนจะบ่ายหน้ามุ่งตรงมาทางเมืองฟอร์เรนเชีย   ชาร์ลรู้ดีว่าแม่ทัพทมิฬกำลังจะมาประลองกับเขาดั่งที่ได้เคยลั่นวาจาไว้ที่นอกเมืองฟอร์เรนเชีย   ชาร์ลเหลือบตาดูกองทัพซาโลมอีกครั้ง   เมื่อเห็นว่าอยู่ในพิสัยการยิงแล้วจึงสั่งพลธนูทันที
                             “ยิง!!”
                             ธนูเป็นร้อยๆดอกก็พุ่งทะลวงร่างทหารซาโลมล้มตายไปมากมาย   ข้างฝ่ายซาโลมเองก็ใช้เครื่องยิงหินระดมยิงลูกไฟนับร้อยลูกหมายจะเผาเมืองฟอร์เรนเชียให้ราบเป็นหน้ากลอง  ต่างฝ่ายต่างโจมตีใส่กันอย่างไม่ลดละ   ทันทีที่ประตูเมืองฝั่งตะวันตกเปิดออกพร้อมกับเหล่าบรรดาทหารหาญแห่งฟีเลเซียบนหลังอาชาก็ห้อควบเข้าฟาดฟันใส่ทัพหน้าของซาโลมอย่างห้าวหาญก่อนจะบุกตะลุยเข้าต่อตีไปถึงทัพกลาง   ข้างฝ่ายพลเดินเท้าก็เข้าประจัญบานกับทัพหน้าของซาโลมอย่างดุเดือด   เสียงอาวุธกระทบกันดังสนั่นไปทั่วทั้งสนามรบ   ทหารทั้งสองฝ่ายต่างพลัดกันรุกพลัดกันรับอย่างไม่มีการลดราวาศอก  
                             ฉับพลันเสียงกรีดร้องดังลั่นของเจ้ามังกรดำก็ดังสนั่นเหนือสนามรบใกล้กับกำแพงเมืองฟอร์เรนเชียบ่งบอกการมาถึงของจอมทัพแห่งซาโลม   เมื่อบินเข้ามาใกล้บริเวณกำแพงเมืองเจ้ามังกรใหญ่ก็แอ่นอกขึ้นกางปีกอันใหญ่โตกระพืออย่างแรงจนพัดเอาลูกธนูปลิวกระจายร่วงลงสู่พื้นไม่ต่างกับใบไม้ร่วง   แรงลมจากปีกขนาดใหญ่ทำให้เหล่าทหารเบื้องล่างที่ไม่ทันตั้งตัวล้มกลิ้งไปคนละทิศละทาง   ราโชยูกระโดดลงจากหลังมังกรดำลงสู่พื้นที่ว่างหน้ากำแพงเมืองอย่างองอาจ   แม่ทัพทมิฬยิ้มอย่างยินดีเมื่อเห็นทหารฟีเลเซียต่างตื่นตระหนกในปรากฏตัวอย่างกะทันหันของตนและต่างพากันหันอาวุธเข้าล้อมราโชยูเป็นวงกว้าง
                             “เหตุการณ์นี้ดูคุ้นตาเสียจริงๆเจ้าว่าอย่างนั้นไหม?   เพียงแต่เปลี่ยนตำแหน่งจากเจ้าเป็นข้า   คงไม่ต้องให้ข้าบอกนะว่าเจ้าทหารพวกนี่ต้องทำอย่างไร” ราโชยูพูดล้อเลียนพลางชูเคียวขึ้นชี้หน้าจอมทัพแม่ฟีเลเซียอย่างท้าทาย
                             “พวกเจ้าถอยไป!!” สีหน้าชาร์ลเคร่งขรึมสั่งเสียงเฉียบ   ก่อนจะกระโดดลงมาจากกำแพงเมือง   ผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มโบกสะบัดราวกับปีกที่กางกระพือ   ชาร์ลเอื้อมมือขึ้นตวัดดาบคู่กายอย่างรวดเร็วทำให้เกิดแรงลมมหาศาลพุ่งสู่พื้นจนฝุ่นตลบเป็นวงกว้าง   แรงลมนั้นส่งให้จอมทัพหนุ่มลงสู่พื้นได้อย่างนุ่มนวล   ผ้าคลุมโบกพริ้วก่อนจะค่อยๆทิ้งตัวแนบร่างผู้เป็นเจ้าของ  
                             ชาร์ลยืดตัวขึ้นช้าๆด้วยใบหน้าแน่วแน่และกล้าหาญยิ่ง   เขาตวัดดาบไปมาอย่างรวดเร็ว   ในขณะที่ราโชยูก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นพลางควงเคียวคู่ใจด้วยท่าทางทะมัดทะแมง   เสียงอาวุธทั้งสองดังแหวกอากาศราวกับจะอวดความแข็งแกร่งแก่กันและกัน   ราโชยูกระชับเคียวมั่นก่อนจะย่อตัวเล็กน้อยอย่างช้าๆ   ฝ่ายชาร์ลเองก็ตวัดดาบขึ้นตั้งฉากกับพื้นในระดับอก   เสียงต่อสู้ของทหารทั้งสองฝ่ายยังคงดังกระหึ่มแต่ทว่าบุคคลทั้งสองยังคงจับจ้องกันและกันอย่างแน่วแน่ไม่วอกแวกจนดูราวกับว่าทั้งสองอยู่ในอีกมิติเวลาหนึ่ง   สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านบุคคลทั้งสองและค่อยๆกรรโชกแรงขึ้นเรื่อยๆ   ทันทีที่ลมสงบทั้งสองก็กระโจมเข้าหากันอย่างรวดเร็ว  
                             เสียงอาวุธทั้งสองปะทะกันดังสนั่น   ต่างฟาดฟันใส่กันอย่างดุเดือด   เสียงอาวุธที่ระรัวกระหน่ำทำเอาบรรดาทหารที่อยู่ใกล้ต่างก็ต้องอ้าปากค้างไปตามๆกัน   เคียวของราโชยูที่ฟันพลาดถูกกำแพงหินก็เจาะเนื้อหินลากเป็นทางจนเนื้อหินหลุดร่วงเป็นทางยาว   ในขณะที่ดาบของชาร์ลที่พลาดถูกหินปูบนพื้นถนนก็รุนแรงจนแตกยุบไปทั้งแถบ   ต่างฝ่ายต่างก็โถมเข้าใส่กันสุดแรงจนเหล่าทหารที่สู้อยู่บริเวณนั้นต้องวิ่งถอยหลบกันเป็นพัลวัล   เมื่อทั้งสองแยกออกจากกัน   ราโชยูก็ถึงกับหัวเราะเสียงดังลั่น
« Last Edit: June 18, 2004, 09:41:29 PM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: June 18, 2004, 09:33:26 PM »

                            “ฮ่า ฮ่า เจ้าทำให้ข้าสนุกจริงๆ   ยังไม่เคยมีใครปะมือกับข้าได้ดุเดือดขนาดนี้มาก่อนเลย” ราโชยูกล่าวอย่างยินดียิ่งนักพลางมองดูแม่ทัพรุ่นเยาว์ที่บัดนี้เริ่มมีอาการหอบน้อยๆให้เห็น “อย่าเพิ่งรีบหมดแรงเสียก่อนล่ะ   ข้าเตรียมทีเด็ดไว้สำหรับเจ้าโดยเฉพาะ   เจ้าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้เห็นมัน หึ หึ”
                            ทันทีที่พูดจบเคียวของเขาก็เริ่มเปล่งรังสีกระหายเลือดออกมาจนทุกคนรู้สึกได้   ราโชยูกระโจนเข้าไปหานายทหารฟีเลเซียนายหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆก่อนจะตวัดเคียวอย่างแรงจนคมเคียวเจาะทะลุเสื้อเกราะบริเวณช่องท้องของนายทหารเคราะห์ร้ายที่กำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด   แม่ทัพทมิฬหัวเราะอย่างสะใจก่อนจะงัดร่างที่กำลังดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดชูขึ้นสูง   ในฉับพลันนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงสูดซดอย่างหื่นกระหายจากเคียวนั้น   นายทหารเคราะห์ร้ายกรีดเสียงร้องอย่างเจ็บปวดและหวาดกลัวสุดขีดก่อนจะแห้งเหี่ยวไปราวกับถูกรีดน้ำออกจากตัวจนหมด   ราโชยูสะบัดร่างไร้วิญญาณนั้นออกจากเคียวเผยให้เห็นเคียวปีศาจที่มีดวงตาสีแดงเลือดเบิกโพร่งกลอกกลิ้งไปมาอยู่ตรงบริเวณปลายด้ามของคมเคียว  
                            “เคียวของข้าดื่มเลือดของผู้คนมานับหมื่น   ความกลัว ความอาฆาตแค้นของผู้คนสร้างมันให้มีชีวิต   น่าประหลาดดีใช่ไหมล่ะ” ราโชยูพูดอย่างสบายอารมณ์พลางแกว่งเคียวไปมาเบาๆ   รังสีอำมหิตที่แผ่ออกจากเคียวนั้นทำให้เหล่าทหารต่างรู้สึกเย็นสันหลังวาบ   “ดูท่าเจ้าคงจะหายเหนื่อยแล้ว”แม่ทัพทมิฬเหลือบดูแม่ทัพหนุ่มก่อนจะเริ่มตั้งท่า เตรียมจู่โจมอีกครั้ง
                            “เชิญ!” ชาร์ลกล่าวพร้อมตวัดดาบตั้งท่าเตรียมรับการจู่โจมของแม่ทัพทมิฬ
                            แทบจะทันทีที่แม่ทัพทมิฬพุ่งตัวเข้ามาพลางตวัดเคียวใส่   ชาร์ลก็รีบเหวี่ยงดาบขึ้นรับคมเคียว   ทันใดนั้นก็เกิดพลังมหาศาลที่มองไม่เห็นพุ่งชนร่างแม่ทัพหนุ่มจนลอยไปกระแทกกับผนังกำแพงอย่างแรงจนถึงกับกระอักเลือด   ราโชยูไม่รอช้าตรงเข้าไปฟาดฟันใส่อย่างรวดเร็ว   ชาร์ลรีบพุ่งตัวหลบทันทีแม้ว่าเขาจะสามารถหลบคมเคียวไปได้   แต่ทว่ารังสีปีศาจที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นยากนักที่จะหลบพ้น   ร่างของแม่ทัพหนุ่มถูกรังสีปีศาจฟาดเข้าใส่อย่างจังถึงสามครั้ง   ส่งให้ร่างของเขาลอยละลิ่วกระแทกพื้นอย่างแรงเสื้อเกราะบริเวณหน้าอกมีลอยฉีกขาดถึงสามรอย   นายทหารทุกคนต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วเสี้ยววินาที   ราโชยูตวัดเคียวใส่อีกครั้งในขณะที่ชาร์ลกลิ้งหลบไปอีกทางครั้งนี้พลังปีศาจเฉียดแขนข้างซ้ายของแม่ทัพหนุ่มไปอย่างฉิวเฉียดแต่นั้นก็ทำให้สนับแขนของเขามารอยแตกร้าวเป็นทาง   แม่ทัพร่างยักษ์พุ่งตัวเข้าไปประชิดชาร์ลอย่างรวดเร็วตวัดเคียวอีกครั้ง   ชาร์ลเอี่ยวตัวหลบทำให้คมเคียวพลาดไปปักเข้าที่คอของทหารซาโลมนายหนึ่งเข้า   และอีกเช่นกันที่เคียวปีศาจสูบเลือดเหยื่อของตนอย่างหิวกระหายเสียงสูบเลือดระคนกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเหยื่อทำเอาบรรดานายทหารขนลุกซู่   และนั่นยิ่งทำให้ดวงตาของเคียวปีศาจกลายเป็นสีแดงก่ำพร้อมแผ่รังสีอำมหิตรุนแรงยิ่งขึ้น
                            “เจ้าฆ่าลูกน้องตัวเองได้หน้าตาเฉย” ชาร์ลตั้งข้อสงสัย
                            “ไม่ว่าใครที่มาขวางทางข้า   มันต้องตาย” แม่ทัพทมิฬพูดอย่างเหี้ยมเกรียม  ตวัดเคียวไปทางแม่ทัพหนุ่มทันที   ไอปีศาจที่รุนแรงกว่าเดิมก็พุ่งเข้ากระแทกใส่ชาร์ลอย่างจังจนลอยไปกระแทกกำแพงอีกครั้ง   ซึ่งครั้งนี้ทำเอาผนังกำแพงแตกร่วงตามร่างของแม่ทัพฟีเลเซียออกมาด้วย      
                            ชาร์ลสะบัดหัวไปมาเพื่อไล่ความงึนงง   หมวกเกราะของเขาหลุดหายไปแล้ว   เขายกมือแตะที่อกรู้สึกคลื่นเหียนและจุกจนแทบหายใจไม่ออก   เขาไอสองสามครั้งก่อนที่จะอาเจียนเลือดออกมากองใหญ่   แม่ทัพหนุ่มตกใจไม่น้อยที่พลังปีศาจสร้างบาดแผลโดยตรงกับอวัยะภายในของเขา   เขาค่อยๆขยับลุกขึ้นช้าๆอย่างยากลำบากก่อนจะถ่มเลือดทิ้ง   ใช้มืออีกข้างปาดคราบเลือดที่ปากออก  เลือดสีแดงสดค่อยๆไหลออกจากรอยแผลที่หน้าอกเป็นทางยาว   ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้เจ้าดวงตาปีศาจนั้นกรอกกลิ้งไปมาอย่างลิงโลด
                            “ข้าต้องขอชมเชยจากใจจริง   เจ้าเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นมาได้” ราโชยูกล่าวอย่างจริงใจ
                            “ข้าคงจะรู้สึกเป็นเกียรติกับคำชมของเจ้าถ้าเราสู้กันอย่างยุติธรรม”  ชาร์ลกล่าวอย่างยากลำบากเพราะยังรู้สึกแน่นหน้าอกอยู่
                            “ข้าก็ไม่ห้ามถ้าเจ้าจะใช้เครื่องทุ่นแรงบ้าง” ราโชยูกล่าวยิ้มเยาะชอบใจ
                            ชาร์ลยิ้มน้อยๆ พลางส่งสัญญาณ   จอมเวทย์แห่งสายลมเหนือก็ปรากฏตัวขึ้นระหว่างบุคคลทั้งสองทันที   ในมือของนางถือห่อผ้าสีม่วงอยู่  
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: June 18, 2004, 09:34:33 PM »

                           ราโชยูกระดกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งกวาดตามองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า   “ฮ่า ฮ่า เจ้าจะให้สาวงามผู้นี้มาสู้แทนเจ้าอย่างนั้นรึ” หัวเราะเสียงดังลั่น
                           เธอยิ้มน้อยๆพลางเปิดห่อผ้าออกเผยให้เห็นหีบดนตรีสีขาวขลิบทองประดับด้วยพลอยสีแดงอย่างสวยงาม  
                           “นี่คือ หีบดนตรีของนางฟ้า(Fairy music box)   ท่านรู้ไหมว่ามันมีความพิเศษมากกว่าแค่มีเสียงดนตรีที่แสนจะไพเราะ” จอมเวทย์แห่งสายลมเหนือพูดเสียงเบา   เธอยิ้มก่อนจะค่อยเปิดฝาหีบใบสวยขึ้น   เสียงดนตรีไพเราะก็เริ่มบรรเลงพร้อมกับมีเหล่านางฟ้าตัวน้อยๆออกมาเริงระบำ   เสียงดนตรีและการร่ายรำของเหล่านางฟ้าน้อยๆทำเอาบรรดานายทหารต่างเคลิบเคลิ้มกันเลยทีเดียว   จอมเวทย์สาวชูมืออีกข้างขึ้นสูงก่อนจะร่ายรำอย่างอ่อนช้อย
                           "Malum et Omni Scelus,  ego iubeo tuam in nomen de putus aquilode abolesco"
(โอความชั่วร้ายและอธรรมกาลทั้งมวล ฉันขอใช้สิทธิอำนาจในการสั่งเจ้า   ด้วยสายลมเหนืออันบริสุทธิ์ จงสลายมลายสิ้นเสียเถิด)
                           แทบจะทันทีก็เกิดลมแรงพัดหมุนวนไปทั่วทั้งบริเวณ   เสียงหวีดหวิวของลมดังประสานกับเสียงร้องโหยหวนที่ดังออกมาจากเคียวของราโชยู   เคียวปีศาจนั่นสั่นจนแขนของแม่ทัพร่างยักษ์สั่นไปด้วย   สายลมค่อยๆบีบตัวเล็กลงเรื่อยๆจนดูเหมือนว่ามันหมุนวนเฉพาะที่เคียวปีศาจเท่านั้น
                           “นี่พวกเจ้าทำอะไรกัน” แม่ทัพทมิฬพูดอย่างตื่นตระหนก
                           “ผนึก!”  จอมเวทย์หญิงตะโกนสุดเสียงก่อนที่เหล่านางฟ้าพุ่งตัวไปหาเคียวปีศาจ   เหล่านางฟ้าบินรอบลมหมุนนั้น   ลมหมุนนั้นก็บีบตัวเข้าเรื่อยๆจนกลายเป็นลูกกลมเล็กๆสีเทาเข้มขนาดไม่ใหญ่ไปกว่ากำมือ   ก่อนที่เหล่านางฟ้าจะช่วยกันนำลูกกลมนั้นมาวางไว้ในหีบดนตรีพร้อมกับที่จอมเวทย์สาวก็รีบปิดหีบดนตรีลงทันที
                           ราโชยูเงยหน้าขึ้นมองเคียวคู่ใจของตน   เวลานี้ดวงตาปีศาจปิดสนิทไม่เหลือร่องรอยของรังสีอำมหิตกระหายเลือดหรืออำนาจพิเศษใดๆอีก   เป็นแค่เพียงเคียวธรรมดาๆเท่านั้น   เมื่อเห็นดังนั้นแม่ทัพทมิฬก็โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม   คำรามอย่างเกรี้ยวกราด
                           “เจ้าทำลายเคียวของข้า   จงชดใช้ด้วยชีวิตของเจ้าซะ” ว่าแล้วก็กระโจมเข้าใส่   เงื้อเคียวขึ้นหมายจะบั่นคอจอมเวทย์สาวให้ขาดกระเด็น  ชั่วเสี้ยววินาทีนั้นชาร์ลก็รีบพุ่งเข้าไปคว้าตัวจอมเวทย์หญิงหลบไปได้อย่างฉิวเฉียดก่อนจะส่งตัวนางให้ฟอล์คเนอร์ที่รออยู่หน้าประตูเมือง   เคียวของราโชยูที่พลาดเป้านั้นปักทะลุพื้นจนก้อนอิฐยุบตัวเป็นหลุมใหญ่   จอมทัพทมิฬกระชากเคียวขึ้นมาจากพื้นอย่างแรงพาเอาเศษอิฐหินหลุดตามแรงกระชากอีกกองใหญ่
                           “ข้าคิดว่าเราคงจะเริ่มสู้กันด้วยกำลังที่แท้จริงของตัวเองเสียที   จริงไหม!ท่านจอมทัพแห่งซาโลม” ชาร์ลกล่าว “เชิญ!ไม่ต้องออมมือ   ข้าก็จะใช้พลังทั้งหมดตัดสินกันในเพลงดาบนี้”
                           แม่ทัพหนุ่มกล่าวจบก็เริ่มตวัดดาบร่ายรำอย่างสง่างามและว่องไวเสียจนเกิดลมพัดจากดาบทุกครั้งที่แม่ทัพหนุ่มตวัดไปมา   เสียงหวีดวิวของลมจากปลายดาบนั้นดังเป็นจังหวะหนักแน่น   ท่วงท่าแต่ละย่างก้าวนั้นมั่นคงและงดงามยิ่งนัก   ชาร์ลตวัดดาบครั้งสุดท้ายก่อนจะยกดาบขึ้นตั้งขนานกับพื้น   คมดาบมันวาวนั้นปิดบังใบหน้าของแม่ทัพหนุ่มจนเห็นแค่เพียงดวงตาที่แน่วแน่และมุ่งมั่น
                           ข้างฝ่ายแม่ทัพทมิฬก็ควงเคียวด้วยท่วงท่าที่รุนแรงและดุดัน   เสียงควงเคียวของราโชยูนั้นฮึกเหิม และเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว   แรงโกรธแค้นของแม่ทัพทมิฬยิ่งพาให้เขามีเรี่ยวแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด   แม่ทัพใหญ่ปักสันเคียวลงตั้งฉากกับพื้นอวดคมเคียวสีเงินวาวที่ยังคงมีคราบเลือดสีแดงสดฉาบอยู่บนปลายเคียว   ดวงตาวาวโรจน์จับจ้องแม่ทัพฝ่ายตรงข้าม
« Last Edit: June 18, 2004, 09:46:14 PM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: June 18, 2004, 09:35:36 PM »

                            เพียงชั่วพริบตาเดียวทั้งสองก็โถมเข้าใส่กันอย่างรวดเร็วกว่าและรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านๆมา   เกิดประกายไฟวาบขึ้นทันทีที่อาวุธทั้งสองปะทะกัน   เสียงอาวุธกระแทกใส่กันอย่างดุดันดังสนั่นก้อง   ต่างผลัดกันลุกผลัดกันรับอย่างดุเดือด   แม่ทัพแห่งฟีเลเซียแม้จะตัวเล็กกว่าแม่ทัพทมิฬแต่ก็อาศัยความว่องไวของตนหลบหลีกและโฉบเข้าจู่โจมได้อย่างคล่องแคล่ว   ข้างฝ่ายแม่ทัพร่างยักษ์อย่างราโชยูก็อาศัยความบึกบึนและความใหญ่โตของร่างถาโถมเข้าฟาดฟันใส่ราวกับแรงระเบิดของภูเขาไฟที่ไม่มีวันสงบ   ราโชยูตวัดเคียวฟันตัดกลางลำตัวของชาร์ลในขณะที่แม่ทัพหนุ่มก็กระโดดหลบได้อย่างรวดเร็วจนแทบไม่น่าเชื่อ   ก่อนจะใช้ดาบคู่กายฟันกลางหลังแม่ทัพทมิฬอย่างแรงจนเสื้อเกราะเกิดรอยปริร้าวขนาดใหญ่พาดกลางหลังราโชยูเป็นทางยาว   ราโชยูกลับตัวเงื้อเคียวฟาดใส่ชาร์ลสุดแรงซึ่งแม่ทัพหนุ่มก็รีบกระโดดเหยียบบนปลายเคียวก่อนจะยกเท้าเตะเข้าที่กกหูของแม่ทัพทมิฬอย่างจังจนหมวกเกราะกระเด็น   แม่ทัพทมิฬหัวเราะอย่างเหี้ยมเกรียมพลางสะบัดหัวไปมาแรงๆราวกับการจู่โจมของชาร์ลช่วยให้หายเมื่อยขบ   ราโชยูฟาดเคียวใส่อีกครั้งและก็เป็นอีกครั้งที่จอมทัพหนุ่มสามารถกระโดดหลบได้ราวกับติดปีกทำให้คมเคียวพลาดไปเจาะถูกกำแพงเมืองอย่างแรงจนเหล่าพลธนูยืนที่อยู่บนกำแพงเมืองรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากการโจมตีของแม่ทัพร่างยักษ์ผู้นี้   ชาร์ลโน้มตัวตวัดข้อมือเหวี่ยงดาบใส่ช่วงขาของแม่ทัพทมิฬอย่างเร็วปลายดาบตัดถูกสนับขาของแม่ทัพทมิฬขาดเป็นสองท่อน   ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับที่แม่ทัพทมิฬเอี้ยวตัวบิดคมเคียวลงหมายจะเกี่ยวกระชากคอของจอมทัพฟีเลเซียให้ขาดกระเด็น   ทว่าแม่ทัพหนุ่มโยกตัวหลบได้ทันเวลาทำให้ปลายเคียวแหลมจิกกระชากผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มของชาร์ลจนขาดวิ่น   แต่ยังไม่ทันที่เศษผ้าคลุมจะตกถึงพื้นชาร์ลบิดตัวขึ้นก่อนจะใช้แรงเหวี่ยงถีบเข้าที่ปลายคางของราโชยูอย่างจัง   ส่งให้ร่างของแม่ทัพทมิฬหงายล้มลงไปกระแทกพื้นอย่างแรง   เสียงล้มของร่างยักษ์อย่างราโชยูดังสนั่นจนเหล่าทหารที่กำลังต่อสู้กันอยู่ต้องเหลียวมามอง   มีเสียงดังขลุกขลักในลำคอของจอมทัพซาโลมก่อนจะแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนใดๆอีก   ชาร์ลไม่รอช้ากระโดดขึ้นสูงก่อนจะตวัดดาบขึ้นหมายจะปิดฉากการประลองครั้งนี้ด้วยชีวิตของจอมทัพแห่งซาโลม   ทว่าในพริบตาแม่ทัพร่างยักษ์ก็ลืมตาโพร่งก่อนจะยกเท้าขึ้นเตะกระแทกเข้าใส่ช่วงอกของชาร์ลอย่างแรง   ร่างแม่ทัพหนุ่มลอยละลิ่วกระแทกประตูเมืองอย่างจังจนกระอักเลือดบานประตูสะเทือนยุบตัวเป็นวงกว้าง   ร่างของจอมทัพหนุ่มร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง   ราโชยูลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วพลางปัดเศษดินออกจากตัวและยิ้มเยาะ
                            “เจ้าคิดว่าแค่นั้นจะทำให้ข้าหมดสติได้เชียวหรือ”
                             ชาร์ลยังคงนอนฟุบอยู่เช่นนั้น   เรี่ยวแรงมหาศาลอย่างแม่ทัพทมิฬเพียงโดนโจมตีจังๆแค่ครั้งเดียวก็แทบจะลุกไม่ขึ้นเลยทีเดียว   เขาต้องรีบลุกขึ้นให้เร็วที่สุดมิฉะนั้นคงจะต้องเสียท่าแม่ทัพซาโลมเป็นแน่   หากจะปราบแม่ทัพร่างยักษ์ผู้นี้เขาต้องจู่โจมให้ยิ่งรวดเร็วกว่านี้   คิดได้ดังนั้นชาร์ลกัดฟันแน่นก่อนจะรวบรวมกำลังทั้งหมดหยัดกายขึ้นมาอย่างยากลำบาก  
                            ราโชยูรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อเห็นชาร์ลลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง   ชาร์ลตวัดดาบขึ้นก่อนจะพุ่งตัวอย่างรวดเร็วเข้าหาแม่ทัพทมิฬ   เขาโยกตัวหลบเคียวที่ตวัดเข้าใส่พลางเหวี่ยงดาบเข้าที่เอวซ้ายของแม่ทัพซาโลมเต็มแรง   เลือดไหลออกมาจากบาดแผลอย่างรวดเร็วสร้างความเจ็บปวดให้ราโชยูไม่น้อย      ราโชยูรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อความไวของแม่ทัพฟีเลเซียเพิ่มขึ้น   แม้บาดแผลต่างๆของเขาจะไม่รุนแรงเท่ากับที่เขาจู่โจมชาร์ลในแต่ละครั้ง   แต่เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลต่างๆหากยังไม่หยุดไหลโดยเร็วมันก็มากพอจะทำให้เขาหน้ามืดเพราะเสียเลือดมากเกินไปได้   ทั้งการโจมตีพลาดในแต่ละครั้งทำให้เขาเสียแรงมากโดยเปล่าประโยชน์ซึ่งทำให้เขาหมดแรงเร็วขึ้น
                            การต่อสู้อย่างดุเดือดของทั้งสองยังคงดำเนินต่อไป   ต่างฝ่ายต่างก็ฟาดฟันใส่กันอยู่นาน   เลือดของคนทั้งคู่ไหลโทรมกายจนบรรดาทหารต่างก็ประหลาดใจที่ทั้งสองยังมีเรี่ยวแรงที่จะถาโถมใส่กันอยู่เช่นนี้   จนในที่สุดเมื่อดาบฟันตัดเข้าที่ช่องท้องของแม่ทัพทมิฬ และคมเคียวกรีดแผ่นอกของจอมทัพฟีเลเซียเป็นทางยาว   ก็ถึงเวลาที่ทั้งสองผละออกจากกัน   ต่างคนต่างก็หอบฮักจนตัวโยน   เสื้อเกราะของทั้งคู่ก็แทบจะไม่สามารถให้การปกป้องใดๆแก่ผู้ที่สวมใส่ได้อีกแล้ว   เป็นเหมือนแค่เศษโลหะขาดๆแหว่งๆที่ถูกนำมาติดตามร่างกายเท่านั้น   เลือดยังคงไหลออกมาจากตามบาดแผลไม่ขาดสาย   ทั้งคู่มองหน้ากันและกัน   ต่างก็รู้ดีว่าแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงพอที่จะหยัดกายเข้าห่ำหันใส่กันอีกต่อไปแล้ว   ราโชยูยกมือขึ้นกุมท้องที่บัดนี้มีแผลเปิดกว้างเป็นทางยาว   เขาผิวปากเสียงดังเป็นสัญญาณเรียกมังกรดำคู่ใจ  
                            “หยุดนะ!   เจ้าคิดจะหนีไปกลางคันอีกแล้วอย่างนั่นรึ...   การประลอง...ของเรายัง...ไม่จบ” ชาร์ลหอบกล่าวอย่างยากลำบาก   รู้สึกเสื่อมเสียเกียรติอย่างยิ่งที่แม่ทัพทมิฬ คิดจะทิ้งการประลองไปทั้งๆที่ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะเช่นนี้   เพราะสำหรับชาวฟีเลเซียแล้ว   การหนีการประลองไปกลางคันนั้นน่าอดสูยิ่งกว่าการได้รับความพ่ายแพ้เสียอีก  
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #7 on: June 18, 2004, 09:36:26 PM »

                             แม่ทัพทมิฬหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางกวาดตามองร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของอีกฝ่ายก่อนจะเยียดปากกล่าวอย่างหงุดหงิด “อย่าโง่ไปหน่อยเลย   แค่นี้ก็รู้ผลการต่อสู้แล้วจะฝืนสู้กันต่อไปทำไม   ทั้งเจ้าและข้าก็ยืนแทบไม่ไหวแล้ว  ข้าไม่ได้มาสู้เพื่อตายอย่างไร้สาระเช่นนี้ ” สำหรับนักรบทะเลทรายที่ต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดในนรกทะเลทรายที่แห้งแล้งกันดารนั้นไม่เข้าใจความคิดยึดติดเรื่องศักดิ์ศรีเกียรติยศของชาวฟีเลเซียแม้แต่น้อย      


                             แม่ทัพทมิฬเหลือบมองมังกรดำของตนที่มายืนรอรับอยู่ใกล้กำแพงเมือง ก่อนจะกวาดสายตาไปยังนายทหารโดยรอบทั้งฟีเลเซีย และซาโลม ที่กำลังติดตามผลของการประลองครั้งนี้อย่างใจจดใจจ่อ  “ถึงเวลาที่เจ้าทหารพวกนี้จะได้ออกแรงเสียที”
                             “เดี๋ยว!!”
                             ราโชยูเหวี่ยงตัวขึ้นมังกรบินจากไปโดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามอย่างเดือลดาลของชาร์ล   ท่ามกลางเสียงต่อสู้ฟาดฟันกันจากบรรดาทหารหาญที่ยังคงดังกระฮึ่มอยู่   ชาร์ลปักดาบลงยันกายไว้   มือข้างที่จับด้ามดาบนั้นสั่นเทา   สายตาของเขาจ้องมองมังกรดำที่ค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆ   เลือดค่อยๆไหลซึมออกมาจากมุมปาก   ชั่วอึดใจนายทหารนายหนึ่งก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงานอย่างละล่ำละลัก
                             “ท่านแม่ทัพ   พวกทหารปีศาจพังประตูเมืองเข้ามาได้แล้วครับ”
                             “ว่าไงนะ” ชาร์ลรีบหมุนตัวกลับมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทันที   ทว่าแค่เพียงก้าวเดินได้สองก้าวเท่านั้น   ความเจ็บปวดก็ดูเหมือนจะวิ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง   อาการจุกแน่นที่หน้าอกทำให้เขาหายใจลำบากขึ้นทุกที   เขาทรุดเข่าลงข้างหนึ่งอาการคลื่นเหียนจู่โจมเขาอีกครั้ง   ชาร์ลอาเจียนเลือดออกมาอีกกองใหญ่    ประตูเมืองฝั่งตะวันตกเปิดออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่บรรดารองแม่ทัพและนายทหารต่างก็รีบวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างตื่นตระหนก   เสียงตะโกนโหวกเหวกของบรรดานายทหารดูเหมือนจะดังมาจากที่ไกลๆจนเขาไม่รู้ว่ากำลังตะโกนคุยเรื่องอะไรกันอยู่   เขาเหลือบสายตาไปดูทัพซาโลมอีกครั้ง   น่าแปลกที่เขากลับมองเห็นแต่ความว่างเปล่า   เขาหันหน้ากลับไปมองทางประตูเมืองอีกครั้ง   แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลง  
     
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #8 on: December 19, 2004, 04:26:28 AM »

มาเม้าส์กันต่อที่นี่เลยคร๊าบ~~~~~~~

http://www.smnforum.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=6672;start=0#lastPost
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.09 seconds with 22 queries.