Summoner Master Forum
March 29, 2024, 04:25:28 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 28 กุศโลบาย @@  (Read 9071 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: September 25, 2004, 04:31:33 AM »

Chapter 28 กุศโลบาย


                       ณ เขตอุทยานภายในราชวังแห่งซาโลม
                       เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานร่าเริงของเด็กๆดังก้องไปทั่วบริเวณ      องค์ชายตัวน้อยวิ่งเล่นไล่จับกับบรรดาลูกๆของเหล่าเสนาอำมาตย์อย่างสนุกสนานโดยมีนาริสยืนดูเด็กๆวิ่งเล่นจากเฉลียงทางเดินของปราสาทด้วยความเอ็นดู   บางครั้งก็ต้องแอบหัวเราะในลำคอขบขันกับท่าทางประหลาดๆที่เด็กๆทำหยอกล้อใส่กัน   เสียงหัวเราะอย่างเปี่ยมสุขของเจ้าชายน้อยนั้นดังกังวานใสจนลอยไปถึงหูของผู้เป็นมารดา   นางจึงอดไม่ได้ที่จะต้องวางมือจากงานที่ทำอยู่เพื่อจะออกมาดูลูกสุดที่รัก
                       นางค่อยๆเดินลัดเลาะโถงทางเดินและห้องหับต่างๆตามเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของลูกไปเพียงลำพัง   สักพักก็เดินเลี้ยวขวาตรงหน้ามุขมุ่งสู่เฉลียงที่นำออกไปยังอุทยานใหญ่ภายในเขตพระราชฐาน   จึงได้เห็นอำมาตย์เฒ่ายืนอยู่บนเฉลียงข้างเสาต้นใหญ่มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมพอที่กำบังร่างของนางได้พอดี
                       เมื่อนางเดินเข้ามาใกล้พอ   นาริสก็รู้สึกตัวและรีบทำความเคารพทันที
                       “หม่อมฉันไม่ทราบว่าพระนางเสด็จมาจึงไม่ได้ถวายการต้อนรับ” นาริสเตรียมจะหันไปสั่งเหล่านางกำนัลให้จัดที่ให้องค์ราชินีแต่ก็ถูกนางห้ามเอาไว้เสียก่อน
                       “ไม่ต้อง ท่านนาริส   ข้าจะมาดูลูกข้าเท่านั้นว่าทำไมเขาถึงหัวเราะได้อย่างสนุกสนานขนาดนี้   ข้าไม่ได้ยินเสียงหัวเราะเต็มที่เช่นนี้ของเขามานานเท่าไหร่แล้วนะ” เนริมอร์มองฝ่ากิ่งไม้ที่ใช้พลางตัวออกไปยังอุทยานเบื้องหน้า   อิสฮานน้อยที่กำลังวิ่งเล่นหลบไปหลบมาจากเด็กชายอีกคนหนึ่งโดยมีเด็กๆอีกสี่คนวิ่งวนอยู่รอบๆ   เสียงหัวเราะที่สดใสทำเอานางเองอดยิ้มตามลูกไม่ได้
                       “เด็กพวกนั้น...” เนริมอร์ เปรยขึ้นเบาๆ
                       “ลูกๆของขุนนางในวังนี่แหละพ่ะย่ะค่ะ   เมื่อทรงหนังสือเสร็จแล้ว และยังพอมีเวลา   หม่อมฉันก็จะพามาให้เล่นกันที่นี่”
                       “ข้าจำได้ว่าเจ้าพวกนี้ไม่ยอมเล่นกับลูกข้า”
                       “พระนาง   เพราะเด็กๆกลัวการลงโทษของพระองค์   ทำให้เด็กๆไม่กล้ามาเล่นกับพระโอรส   นี่ก็เพิ่งยอมเล่นด้วยกันเมื่อไม่กี่สัปดาห์นี้เอง”
                       “หึ...แล้วตอนนี้พวกมันหายกลัวแล้วรึไง?” เนริมอร์ เหยียดปาก พูดประชดเสียงขึ้นจมูก
                       “วัยเด็กเป็นวัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความมหัศจรรย์   ความมีน้ำใจไมตรีของพระโอรสที่หยิบยื่นให้เด็กๆเหล่านี้ทำให้เอาชนะใจพวกเขาได้ไม่ยากนัก   อีกทั้งด้วยความเป็นเด็ก จะโกรธ เกลียด กลัว โศกเศร้า เสียใจ ก็เพียงชั่วคราวไม่นานก็ลืมเสียหมดกลับมาคืนดีกันได้ใหม่   ผิดกับผู้ใหญ่อย่างเราๆที่ยิ่งโตก็ยิ่งมาด้วยทิฐิ”
                       ทันใดนั้นโอรสน้อยก็สะดุดขาเด็กอีกคนหนึ่งล้มลงจนล้มกลิ้งไปกับพื้น   เนริมอร์ดวงตาวาวโรจน์ขึ้นทันที   อำมาตย์ชราจึงรีบคุกเข่าลงขวางทางเนริมอร์ไว้ด้วยความรวดเร็ว   เนริมอร์พยายามสะกดอารมณ์อย่างเต็มที่ขบฟันแน่นกล่าวอย่างยากลำบากว่า “หลีกไป   ท่านไม่เห็นรึว่าลูกข้าหกล้ม”
                       “พระนางโปรดระงับความโกรธลงก่อนเถิด   พระองค์ไม่อยากได้ยินเสียงหัวเราะที่สดใสนั้นอีกหรือ  ไม่ทรงอยากเห็นความเข็มแข็งของพระโอรสหรอกหรือ” นาริสแทบจะระรั่วพูดเพื่อรั้งความคิดของ องค์ราชินี
                       “ความเข้มแข็งอะไรกัน” เนริมอร์พยายามบังคับตัวเองอย่างเต็มที่ กวาดสายตาไปยังลูกน้อยอีกครั้ง
                       เด็กๆทุกคนต่างหน้าตาซีดเผือดเพราะความกลัว   ด้วยรู้ว่าเวลานี้พระนางเนริมอร์ เสด็จกลับมาประทับอยู่ที่ซาโลมแล้ว   และหากพระโอรสเกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีกคราวนี้พวกตนคงต้องตายเป็นแน่   อิสฮานเองก็รู้ดีว่าทุกคนรู้สึกอย่างไร  จึงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับดึงเพื่อนที่ล้มลงไปด้วยกันให้ลุกขึ้นด้วย   แม้จะรู้สึกเจ็บเข่าเจ็บแขนอยู่บ้างแต่ก็รีบใช้มือน้อยๆปัดเศษฝุ่นเศษดินตามเสื้อผ้าออก  ซึ่งทุกคนก็รีบช่วยกันอย่างรวดเร็ว
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: September 25, 2004, 04:33:17 AM »

                      “เห็นไหม   ไม่เจ็บเลย   เรามาเล่นกันต่อเถอะ” พระโอรสยิ้มกว้างให้กับเด็กๆเหล่านั้น และออกวิ่งนำอีกครั้ง   ทุกคนจึงค่อยยิ้มออกและเริ่มวิ่งเล่นกันต่อ
                      ภาพที่เห็นนั้นทำให้เนริมอร์ต้องประหลาดใจและอดภูมิใจไม่ได้   ความขึงโกรธพลันอ่อนยวบลงทันที “เขาเก่งนะ   ไม่ร้องไห้เลยสักนิด”
                      “พ่ะย่ะค่ะ” อำมาตย์เฒ่ารู้สึกโล่งใจขึ้น รับคำยิ้มๆ
                      “ข้าไม่อยู่เพียงไม่กี่เดือนเขาเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้เชียวหรือ   ท่านสอนเขาอย่างไรกัน”
                      “มิได้พระนาง   เดิมทีพระโอรสก็เป็นเด็กที่มีน้ำใจดี มีความอดทนอดกลั้น และ เฉลียวฉลาดอยู่แล้ว   เพียงแต่ว่าไม่ค่อยมีโอกาสได้แสดงออกอย่างเต็มที่เท่านั้น”
                      “ท่านหมายความว่าอย่างไร? ท่านอยากจะพูดอะไรกันแน่ท่านอำมาตย์?”
                      “พระนางจะทรงรับฟังคำแนะนำของตาแก่คนนี้ได้หรือไม่   เพื่อพระนางและพระโอรสเองด้วย”
                      “ตั้งแต่ข้าแต่งงานมาอยู่ที่นี่ก็ได้ท่านคอยช่วยเหลือดูแลทุกอย่าง   แม้แต่ชีวิตข้าท่านก็ยังเคยช่วยไว้   ซ้ำท่านก็ยังดูแลลูกข้าอย่างดี   รักอิสฮานอย่างจริงใจปฏิบัติต่อเขาไม่ต่างจากลูกหลานของตนเอง   ข้าซาบซึ้งใจมาก และ เคารพนับถือท่านอย่างจริงใจ   ดังนั้นท่านจงพูดมาเถิด”
                      “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” นาริสยิ้มอย่างซาบซึ้งก่อนจะค่อยๆเริ่มต้นกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจ “พระนาง   จากการที่หม่อมฉันเฝ้าอบรมเลี้ยงพระโอรสตั้งแต่ยังเล็กจนถึง ณ เวลานี้   หลายครั้งเหลือเกินที่ทรงฉายแววความปรีชาสามารถเกินกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป   ไม่ว่าจะเรียนการเรียนรู้ กระบวนการคิดอ่านต่างๆ  เพียงแค่สอนครั้งเดียวก็จำได้แม่นยำ   แต่ก็หลายครั้งเหลือเกินที่พระองค์ไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถนี้อย่างเต็มที่นัก   การที่จะให้พระโอรสพัฒนาความสามารถยิ่งๆขึ้นนั้น   บางครั้งก็ต้องปล่อยให้พระองค์เผชิญเหตุการณ์ต่างๆนั้นเองบ้าง”
                      “ท่านจะหมายความว่าข้าห่วงอิสฮานมากเกินไปรึ… การที่ข้ารักและห่วงลูกเป็นความผิดอย่างนั้นหรือ?”  เนริมอร์ถามย้อนเจือความไม่พอใจในน้ำเสียงที่ถูกติเรื่องความรักที่มีต่อลูกน้อยของนาง
                      “มิได้เลยพระนาง   ความรักของพระนางที่มีต่อพระโอรสนั้นยิ่งใหญ่นัก  แม้สตรีทั่วทั้งซาโลมก็ยังหายากนักที่จะมีผู้ใดมีความรักยิ่งใหญ่เช่นนี้   ทว่าหม่อมฉันหมายความถึงปฏิกิริยาของพระองค์ที่มีต่อเรื่องของพระโอรสโดยเฉพาะพระพิโรธของพระนาง   บ่อยครั้งเหลือเกินที่ทำลายโอกาสดีๆที่พระโอรสจะได้เติบโตทางด้านความคิดและจิตใจ”
                      เมื่อได้ยินดังนั้น เนริมอร์ก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปนาน   ซึ่งนาริสเองก็ไม่พูดใดๆต่อเพื่อปล่อยให้พระนางได้ทบทวนคำพูดของตนอย่างถี่ถ้วน   เนริมอร์มองลูกชายที่กำลังหัวเราะอย่างร่าเริงอยู่นานจนในที่สุดจึงเอ่ยขึ้นราวกับเปรยกับตัวเองคนเดียว “ในใจข้าไม่เคยสงบเหมือนมีเชื้อไฟที่รอคอยการคุกรุ่น   เมื่อใดมีสิ่งสะกิดเร้าให้มันไหม้ลุกแรงขึ้น   มันจะเผาผลาญทุกสิ่งเป็นเปลวเพลิงที่แม้แต่ตัวข้าเองก็มิอาจดับได้...   อิสฮานเป็นความรัก ความหวัง และ ความฝันทั้งหมดของข้า   เขาเป็นยิ่งกว่าชีวิตของข้าเสียอีก   เมื่อใดที่เขาเจ็บข้าเจ็บปวดกว่าเป็นร้อยเท่า   แล้วท่านจะให้ข้าทำเยี่ยงไร” น้ำเสียงของนางนั้นเศร้าสร้อยหดหู่เหมือนเด็กน้อยที่หลงทางอยู่ในวังวนที่ไร้ทางออก   ดวงตาทั้งสองนั้นร้อนด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ
                      “หากลูกหิว   พ่อแม่ควรหาอาหารมาให้ลูกหรือควรจะสอนลูกให้รู้จักวิธีหาอาหารเองเล่า   ถ้าเรามั่วแต่หาอาหารมาให้   หากวันใดที่ไม่มีพ่อแม่แล้ว   ลูกจะอยู่ได้อย่างไรในเมื่อไม่เคยหาอาหารกินเองเลย   บางครั้งเราก็จำเป็นที่จะต้องยอมอดทนอดกลั้นฝืนความรู้สึกของตนเพื่อให้ลูกได้เติบโต”
เนริมอร์เงียบไปครู่ใหญ่   สักพักจึงเอ่ยตอบ “ข้าจะพยายาม   แต่ข้าคงรับปากอะไรท่านไม่ได้หรอกนะ”
                      “เพียงเท่านั้นก็ดีพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: September 25, 2004, 04:34:44 AM »

                      เนริมอร์พยักหน้าช้าๆสายตายังคงมองออกไปยังกลุ่มเด็กๆที่ยังคงวิ่งเล่นกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย   ลูกน้อยอันเป็นที่รักวิ่งเล่นด้วยใบหน้าที่แตะแต้มรอยยิ้มแห่งความสุขนั้นช่างดูงดงามยิ่งนัก   นางอยากจะจดจำภาพเหล่านี้ไว้เพื่อคอยปลอบประโลมใจเวลาที่นางต้องหงอยเหงาด้วยความคิดถึงลูกในสนามรบบ้าๆนั่น   สักพักเสียงแสร้งกระแอมไอของอำมาตย์เฒ่าก็ดูจะมีแรงพอที่จะดึงนางออกมาจากห้วงความคิดคำนึงได้
                      “อะไรหรือท่านนาริส” เนริมอร์ถาม ทว่าสายตาไม่ได้ละไปจากลูกน้อยเลย
                      “หม่อมฉันมีเรื่องที่จะต้องทูลให้ทรงทราบ   หม่อมฉันพิจารณาแล้วว่าพระองค์สมควรจะทราบไว้ดีกว่า”
                      “เรื่องอะไรหรือ”
                      “พระโอรสทรงรู้เรื่องปู่ของเขาบ้างแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
                      เนริมอร์ขมวดคิ้วเข้าหากันหันมามองหน้าอำมาตย์เฒ่าทันที   สักพักจึงค่อยๆคลายออกกล่าวเสียงเบาว่า “ถ้าซาดินรู้คงไม่ชอบใจมาก”
                      “หม่อมฉันทราบดี   ทว่าการจะให้พระโอรสเรียนรู้การเป็นกษัตริย์ที่ดีก็จำเป็นต้องมีแบบอย่างที่ดีให้พระองค์ได้ศึกษาเพื่อเป็นแนวทางในการปรับมาใช้กับตัวพระองค์เอง   แล้วตัวอย่างของกษัตริย์ผู้ทรงธรรมที่น่าเคารพยกย่องที่สุดก็มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น”
                      เนริมอร์หวนรำลึกถึงภาพความทรงจำในอดีตที่แสนเลือนราง   ภาพตนเองในวัยเด็กสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดหรูหราด้วยเครื่องประดับที่ทำจากทอง เพชร และ ทับทิม นั่งอยู่ภายในงานเลี้ยงฉลองแต่งงานของตนในเผ่าซาโลมด้วยความรู้สึกตื่นตระหนกและหวั่นไหว   เด็กสาววัยเพียงสิบปีต้องห่างจากพ่อและแม่มาแต่งงานกับเด็กชายต่างเผ่าที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน   เด็กชายวัยสิบเอ็ดปีที่อยู่ข้างกายซึ่งบัดนี้ได้ชื่อว่าเป็นสามี   แต่ก็ดูจะยังไม่เข้าใจเรื่องความรักและการแต่งงานมากไปกว่าเธอเลยสักนิด   การนั่งอยู่ในงานเพียงลำพังโดยไม่รู้จักใครสักคนช่างว้าเหว่ยิ่งนัก   ความประหวั่นโหมพัดแรงอยู่ภายในตัวจนดวงตาร้อนผ่าวและเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
                      ยังไม่ทันที่หยาดน้ำตาใสๆจะร่วงหล่นลงมาที่สองพวงแก้ม   หัวหน้าเผ่าในชุดยาวหรูหราสีขาวขลิบแดงก็เดินเข้ามาหา ใบหน้าใจดีนั้นยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยนจนเห็นรอยพับย่นที่หางตาทั้งสองข้าง   เขาค่อยๆเอื้อมมือมาวางไว้เหนือศีรษะของเธอลูบเบาๆกล่าวว่า “เวลานี้เจ้าคือลูกสาวของข้าแล้ว   ไม่ต้องหวาดกลัวใดๆนะ   ข้าสัญญาว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข   ใช่ไหมซาดิน” เขาหันไปถามเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างๆเธอ
                      “ครับ  ท่านพ่อ” เด็กชายยิ้มตอบอย่างกระตือรือร้นก่อนจะหันมายิ้มให้เธอและเริ่มชวนเธอพูดคุย
                      เนริมอร์กระพริบตาสองสามครั้ง   เวลานี้ภาพแห่งวันเก่าๆจางหายไปจนหมดสิ้นแล้ว   นางมองเลี่ยงไปทางอื่นกล่าวว่า “ข้ายังจำเรื่องราวในอดีตได้ดี   เมื่อครั้งที่ข้าแต่งงานมาอยู่ที่ซาโลม   ท่านพ่อดีกับข้ามากเหลือเกิน   แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขมันช่างแสนสั้น   เพียงแค่ปีเดียวท่านพ่อก็ถูกไอ้พวกชั่วนั่นฆ่าตาย   จากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด   แม้แต่ซาดินเองก็ยัง... ข้าจะไม่ยอมให้อิสฮานเป็นเหมือนพ่อของเขาเด็ดขาด   ชาวซาโลมทุกคนจะต้องรักเขา   เขาจะเป็นกษัตริย์ที่เก่งกล้าสามารถ   เขาจะเป็นผู้นำพาซาโลมให้เจริญรุ่งเรือง   ยุคของเขาจะเป็นยุคทองของซาโลม”
                      “โอ  พระนาง” นาริสอดยิ้มขันไม่ได้เมื่อได้ฟังเนริมอร์ตั้งความหวังมากมายให้แก่อิสฮาน
                      “ท่านนาริส   เขาจะต้องเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่” เนริมอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น  
                      นาริสโค้งรับคำน้อยๆยิ้มอย่างมั่นใจตอบว่า “พระโอรสทรงเป็นได้แน่พ่ะย่ะค่ะ”
                      คำพูดของอำมาตย์เฒ่าทำให้หัวใจของนางพองโตด้วยความปลาบปลื้มและภาคภูมิใจ
                      “สมเด็จแม่!” เสียงตะโกนเรียกแหลมสูงดังมาจากสนามใกล้ๆเฉลียงที่เนริมอร์และนาริสยืนอยู่   ก่อนที่เจ้าชายน้อยจะวิ่งตรงรี่เข้ากอดเอวมารดาแน่นหัวเราะเสียงใส “สมเด็จแม่มาเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ? ลูกไม่เห็นพระองค์ตอนเสด็จมาเลย” เด็กน้อยเงยหน้าถามเอียงคอเอาแก้มอิงกับมือของมารดาที่ยกขึ้นลูบพวงแก้มของตนอย่างน่าเอ็นดู
                      “มาได้สักพักแล้วจ๊ะ   แต่เห็นลูกกำลังเล่นสนุกอยู่เลยไม่ได้เรียก” เนริมอร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน   ก่อนจะโน้มตัวลงจูบแก้มของลูกชายที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเพราะเลือดสูบฉีดจากการวิ่งเล่น   ซึ่งอิสฮานก็รีบยกมือทั้งสองโอบรอบคอเนริมอร์ หอมแก้มมารดากลับฟอดใหญ่   เมื่อช้อนสายตามองหน้ามารดาอีกครั้งรอยยิ้มของเด็กน้อยก็ค่อยเลือนหายไป
                      “สมเด็จแม่เป็นอะไรไป   ทำไมใบหน้าของพระองค์ถึงได้เศร้าเหลือเกิน” อิสฮานขมวดคิ้วแน่นมองมารดาด้วยความห่วงใย
                      “แม่...” เนริมอร์ลังเลอยู่ครู่ใหญ่   คำพูดดูเหมือนจะเอื่อนเอ่ยได้ยากลำบากนักเมื่อจู่ๆความกลัวการลาจากก็จู่โจมใส่นางอย่างรวดเร็ว “แม่...อีกไม่นาน...อีกไม่ถึงสามสัปดาห์แม่ก็จะต้องจากเจ้าไปสนามรบแล้ว” เนริมอร์แทบจะกลั้นใจพูด   กลัวจับใจที่จะต้องเห็นน้ำตาของลูกที่รัก   นางเฝ้ามองปฏิกิริยาของอิสฮานด้วยความประหวั่นใจ
                      อิสฮานนิ่งไปอึดใจก่อนที่จะเลื่อนมือมาจับมือของมารดาแน่นราวกับจะเน้นย้ำความหนักแน่นของจิตใจ  ริมฝีปากที่เครียดเกร็งนั้นคลายออกเป็นรอยยิ้มละไมอีกครั้ง  “ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะสมเด็จแม่   พระองค์ไม่ต้องเป็นห่วง   ลูกจะเป็นเด็กดีตั้งใจเรียน จะเชื่อฟังท่านนาริส และรอสมเด็จแม่กลับมา”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: September 25, 2004, 04:36:52 AM »

                      เนริมอร์ได้ยินคำตอบที่เกินความคาดหมายของตนจนต้องหันไปมองอำมาตย์เฒ่าอย่างรวดเร็วด้วยความประหลาดใจ   ซึ่งนาริสก็ได้แต่ยิ้มและโค้งให้เป็นนัยว่าพระโอรสทรงเติบโตและเข็มแข็งขึ้นดั่งที่เขาบอกจริงๆ   เนริมอร์ยิ้มกว้างและสวมกอดลูกแน่น
                      “ลูกรัก   ดูท่าเจ้าจะเข้มแข็งกว่าแม่แล้วด้วยซ้ำ” นางเพ็งพิศใบหน้าของอิสฮาน  สองมือลูบไล้พวงแก้มลูก  “เจ้าคือความภาคภูมิใจของแม่”
                      เมื่อเด็กน้อยได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้าง หัวใจพองโตรู้สึกราวกับตัวโตขึ้นกว่าเดิม “เมื่อลูกโตขึ้น  ลูกจะเป็นคนปกป้องสมเด็จแม่เอง”
                      เนริมอร์ หัวเราะอย่างเอ็นดู “แม่เชื่อจ๊ะ  แต่ตอนนี้องครักษ์ของแม่...เนื้อตัวเจ้าเหนียวเหนาะมอมแมมไปหมด   ดูไม่ค่อยสมกับเป็นองครักษ์ผู้พิทักษ์เลย   มา...เดี๋ยวแม่จะพาไปอาบน้ำแล้วเราค่อยทานมื้อเที่ยงกันดีไหมจ๊ะ”
                      “พ่ะย่ะค่ะ” อิสฮานเกาะแขนแม่กึ่งเดินกึ่งกระโดดอย่างร่าเริงก่อนจะหันไปทางอำมาตย์เฒ่า “พรุ่งนี้เจอกันที่ห้องหนังสือนะ ท่านนาริส”
                      “พ่ะย่ะค่ะ” นาริส ตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มองสองแม่ลูกจากไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู และเวทนาสงสารในโชคชะตาของทั้งคู่อยู่ในที


S


                      ภายในเขตที่อยู่อาศัยของเผ่าฟูดินัน   พวกผู้ชายในเผ่าต่างช่วยกันสร้างศาลาแปดเหลี่ยมสำหรับเด็กๆ      ศาลานี้เดิมทีเป็นศาลาที่มีไว้เพื่อกิจกรรมของเด็กๆทั้งเผ่า   เด็กๆจะมาทำกิจกรรมร่วมกันที่นี่ในเวลากลางวันเมื่อบรรดาพ่อแม่ต้องออกไปทำงานในป่าในไร่   เด็กๆจะมารวมตัวกันที่นี่ทุกวันโดยจะมีเด็กสาวและผู้เฒ่าผู้แก่ในเผ่าช่วยกันดูแลซึ่งรวมถึงจะถ่ายทอดวิชาความรู้ต่างๆที่จำเป็นให้ด้วย   ทว่าศาลาหลังเก่าหลังจากถูกโจมตีโดยฝูงมังกรไฟจนพังพินาศหมดก็ไม่ได้รับการก่อสร้างใด  เพราะ กว่าจะสร้างที่อยู่อาศัยและสิ่งปลูกสร้างที่จำเป็นต่างๆเสร็จ   เด็กๆก็ต้องมาชุมนุมกันในลานกว้างหน้าบ้านบันดาราแทนเป็นเวลาแรมเดือนเลยทีเดียว
                      นอกจากจะมีการละเล่นต่างๆให้เด็กๆแล้ว   การเรียนการสอนของเผ่าฟูดินันนั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นการเรียนรู้วิถีชีวิตการดำรงชีพในป่า ไม่ว่าจะเป็นการปรุงยา หาสมุนไพร ล่าสัตว์ ทอเครื่องนุ่งห่ม การสัมผัสกับจิตธรรมชาติฯลฯ   หมุนเวียนกันไปในแต่ละวันโดยผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคารพนับถือในเผ่าที่มีเวลาว่างมาสอนให้   ในทุกๆวันวูจินจะเจียดเวลามาอยู่กับเด็กๆเพื่อสอนคุณธรรมและศีลธรรมให้แก่เด็กๆด้วย   ซึ่งการเรียนรู้ด้านคุณธรรมนั้นวูจินจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษเลยทีเดียว   จึงต้องมีการเรียนด้านคุณธรรมและศีลธรรมทุกเช้าของแต่ละวันแม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นานนักเมื่อเทียบกับการเรียนรู้ด้านอื่นๆ  แต่ผู้เฒ่าก็คิดว่าการเรียนแบบค่อยๆซึมซับนั้นคงนานและฝังลึกอยู่ในจิตใจของเด็กๆได้มากกว่า
                      เมื่อสอนเด็กๆเสร็จเรียบร้อยวูจินก็มักจะเข้ามาดูการสร้างศาลาแปดเหลี่ยมเป็นประจำ   และในวันนี้ก็อีกเช่นกันที่วูจินมาตรวจดูอาคารที่ก่อสร้างตามปกติ   ก็ทันได้ยินเสียงหลานชายกำลังพยายามอธิบายอะไรบ้างอย่างแก่เหล่าช่างไม้ด้วยสีหน้าอ่อนใจ
                      “... ทำไมพวกท่านถึงไม่ยอมเข้าใจว่าไม้พวกนี้มันอ่อนเกินไปที่จะใช้ทำคาน”
                      “ท่านฮารีซัน  ไม้นี้หาง่ายที่สุดในป่าละแวกนี้แล้ว   หลังจากโดนไฟเผาพวกต้นไม้ก็ถูกเผาเกือบหมด   ไม้เนื้อแข็งก็ยังไม่โตเต็มที่   ที่ใช้ได้เราก็เอาไปสร้างบ้านหมดแล้ว   ก็เหลือแต่ไม้พวกนี้แหละที่โตพอจะเอามาใช้ก่อสร้างได้” ชายที่ดูเหมือนหัวหน้างานกล่าว
                      “ใช่ครับ   ถ้าจะเอาไม้ที่เนื้อแข็งกว่านี้เราต้องเข้าไปในป่าลึก   ซึ่งกว่าจะตัดกว่าจะขนย้ายมา   มันลำบากมากนะท่าน” ชายอีกคนหนึ่งกล่าวเสริม
                      “แต่ว่ามันไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆนะครับ   ถ้าเด็กๆเข้ามาใช้ศาลาแล้วเกิดมันรับน้ำหนักไม่ไหวขึ้นมาล่ะ”ฮารีซัน พยายามชี้ถึงเหตุผล
                      “ไม่หรอก   จะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นได้ยังไง   เด็กๆตัวเบาจะตาย” ชายคนแรกส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ
                      “ใช่ๆ  ไม่เห็นเคยมีเหตุการณ์อย่างนั้นมาก่อนในเผ่าของเราเลย” ชายคนที่สองพยักหน้าสนับสนุน
                      วูจินส่ายหน้าน้อยๆเดินยิ้มเข้ามาหาคนทั้งสาม “คุยอะไรกันอยู่รึ?”
                      “ท่านปู่”   “ท่านผู้เฒ่า” คนทั้งสามกล่าวทัก โค้งคำนับผู้มาใหม่
                      “เรากำลังคุยถึงเรื่องไม้พวกนี้ครับ” ฮารีซันผายมือไปยังกองไม้ข้างๆ
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: September 25, 2004, 04:38:24 AM »

                      “โอ้!!” วูจินอุทานเสียงดังยกมือขึ้นนาบอก “เมื่อคืนข้าเห็นนิมิตว่าบรรพบุรุษของเราสาปแช่งไม้เหล่านี้เพราะขึ้นมาตรงบริเวณที่มีคนตาย   ถ้านำมันมาใช้จะต้องเกิดอาเพศ   เด็กๆจะบาดเจ็บคนแล้วคนเล่า   ทางแก้คือต้องนำไม้เนื้อแข็งที่อยู่ในเขตเผ่าเซนทอร์มาสร้างแทน   แล้วพลังที่เข้มแข็งประดุจนักรบเซนทอร์จะปกป้องคุ้มครองเด็กๆให้ปลอดภัย”
                      “จริงรึครับท่านผู้เฒ่า” นายช่างกล่าวอย่างตื่นตระหนก “เร็วเข้ารีบขนไม้พวกนี้ออกไปไกลๆ” เดี๋ยวเด็กๆจะถูกคำสาป   ท่านวูจิน ท่านฮารีซัน ถ้าเช่นนั้นข้าจะเกณฑ์คนไปขอตัดไม้จากเผ่าเซนทอร์เดี๋ยวนี้เลยนะครับ”
                      เมื่อทุกคนไปแล้วฮารีซันก็ขมวดคิ้วแน่นกล่าวอย่างตื่นตะหนก “เป็นความจริงหรือครับท่านปู่”
                      “เฮอะ เฮอะ” วูจินหัวเราะเบาๆยกมือขึ้นตบไหล่หลานชาย “ไม่จริงหรอก  ฮารีซันเอ้ย”
                      “อ้าว!   แต่ท่านปู่เพิ่งพูด...” ฮารีซันขมวดคิ้วงุนงง
                      “บางครั้งกับคนบางคนเราก็ใช้เหตุผลด้วยไม่ได้   อย่างพวกเมื่อกี้ที่เอาแต่มักง่ายชอบความสบายกลัวแต่จะต้องลำบากต้องเหนื่อย  ก็จะมีเหตุผลสารพัดที่จะไม่ทำตาม   ครั้นจะให้เราออกคำสั่งบังคับให้เด็ดขาดก็ไม่เหมาะไม่ควรนัก   เราก็ต้องมีวิธีนิดหน่อยที่จะทำให้พวกเขาปฏิบัติตาม” วูจินพูดยิ้มๆ   ใช้นิ้วชี้เคาะเบาๆที่หน้าผากหลานชายสองสามที
                      “ผมจะจำไว้ครับท่านปู่”  ฮารีซันตอบ
                      “มาเถอะ   วันนี้คงไม่มีใครกลับมาที่นี่แล้ว   ไปเดินตลาดกับปู่หน่อยเป็นไง   ปู่ว่าจะไปหาวัตถุดิบทำยาเพิ่มอีกสักหน่อย”
                      “ครับ ท่านปู่” ฮารีซันตอบรับอย่างกระตือรือร้น
                      เมื่อไปถึงบริเวณตลาดทั้งสองก็เห็นกลุ่มชาวบ้านจับกลุ่มมุงกันอยู่บริเวณใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งจำนวนเกือบสี่สิบคน   ต่างส่งเสียงฮือฮาเจี๊ยวจ๊าวจนดังอึกทึก   เมื่อเข้าไปใกล้จึงได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วที่แสนจะคุ้นเคย
                      “เอ๊า!   จะฟังข่าวของข้าก็อย่าลืมอุดหนุนสินค้าของข้าด้วยนะ   ก็อย่างที่ข้าบอกนั่นแหละ   ตอนนี้อีกฝากหนึ่งของภูเขานะกำลังสู้กันดุเดือดเลย   ทหารของทั้งสองฝ่ายนะสู้กันตายเป็นเบือ   อ๊ะ!ตะเกียงอันนั้นข้าลดให้ครึ่งราคาเลย” เสียงของโจซาน พ่อค้าช่างพูดที่กลับมาขายของที่ฟูดินันอีกแล้วนั่นเอง   เขาเล่าข่าวสงครามไปพลางขายของไปพลางอย่างสนุกปาก
                      “กองทัพของอาณาจักรทางเหนือนะ  มีแต่พวกแปลกประหลาด   พวกเจ้าต้องไม่เชื่อสายตาตัวเองแน่ๆถ้าได้เห็น   โอ๊ย...แน่นอนข้าเห็นมาด้วยตาตัวเองแล้ว   โอโหย... ทหารของพวกนั่นนะมีแต่ผีดิบกับปีศาจเหมือนมาจากขุมนรกเลย พวกมันมีสามหัวแต่ละหัวนะกินม้าได้ทั้งตัวเลย   ตัวของพวกมันก็สูงใหญ่กว่าต้นไม้เสียอีก  แขนแต่ละข้างของมันนะทั้งยาวทั้งแหลมเหมือนเคียวยักษ์ที่สะกิดนิดเดียวหัวพวกเจ้าก็ขาดสะบัดเลย” โจซานยิ่งเล่าก็ยิ่งสนุกปาก แต่งนู่นเสริมนี่ให้เรื่องดูน่าหวาดเสียวยิ่งขึ้น  เสียงวี๊ดว๊ายอย่างหวาดกลัวของชาวบ้านยิ่งชวนให้บรรยากาศการซื้อขายคึกคักขึ้นเรื่อยๆ  
                      “ถ้าเจ้าซื้ออันนั้นข้าแถมผ้าโพกหัวให้เจ้าด้วยนะ   อ๋อ...ข้าเห็นได้ยังไงน่ะเหรอ   ข้าแอบอยู่หลังก้อนหินใกล้ๆสนามรบน่ะสิ...ตรงทางผ่านประจำของข้าที่ใช้ข้ามเขามาฟูดินันนั่นแหละ   นี่ข้าต้องเสี่ยงชีวิตอย่างมากเชียวนะกว่าจะมาถึงที่นี่ได้   ส่วนพวกฟีเลเซียก็เกณฑ์ไพร่พลครั้งใหญ่เลย   ยอดนักรบจากทั้งอาณาจักรเป็นแสนๆนายกรีฑาทัพเข้าสู่สนามรบทั้งพลม้า พลมังกร พลทหารจนทั้งสนามรบมืดฟ้ามั่วดินไปหมด   พนันได้เลยว่าพวกเจ้าต้องไม่เคยเห็นกองทัพนักรบที่ขี่ม้าบินแน่ๆ   ข้าเห็นมาแล้ว  โอโห..สง่างามมากๆ  นี่ๆข้ามีตุ๊กตาไม้แกะสลักเป็นรูปนักรบบนหลังเปกาซัสมาขายด้วย   เนี่ยจากช่างฝีมือของฟีเลเซียเชียวนะ   ไม่ซื้อให้ลูกๆของพวกเจ้าเล่นรึ?” โจซาน หยิบตุ๊กตาไม้หลายสิบตัวออกจะย่ามที่วางอยู่ข้างตัว  ซึ่งชาวฟูดินันต่างก็รีบหยิบฉวยแย่งกันเป็นเจ้าของกันใหญ่
                      “ขายดีเชียวนะ โจซาน   ตกลงว่าเจ้ามาขายของหรือ เจ้ามาโม้เรื่องสงครามกันฮึ?” วูจินถามยิ้มๆ ขณะเดินฝ่ากลุ่มชาวบ้านเข้ามา   บรรดาชาวบ้านต่างก็แหวกทางให้ท่านผู้เฒ่าและหัวหน้าเผ่าแต่โดยดี
                      “ฮา ฮา ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละขอรับ ท่านวูจิน” โจซานหัวเราะอย่างอารมณ์ดี อวดฟันสีเหลืองที่เวลานี้มีฟันหายไปซี่หนึ่ง
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: September 25, 2004, 04:39:39 AM »

                      “งั้นเจ้าช่วยเล่าสถานการณ์ต่างๆให้ข้าฟังหน่อยสิ   อ๋อ...ไม่ต้องโม้มากนะ   เจ้าก็รู้ว่าถึงโม้ไปข้าก็ไม่เชื่อ   เอาที่สำคัญๆก็พอ” วูจินพูดดักคอยิ้มๆ ในขณะที่ฮารีซันพยายามกลั้นหัวเราะ    
                      “แหะ แหะ” โจซานยิ้มแหยๆ ถามกลับ “แล้วมันจะสนุกรึท่านผู้เฒ่า”
                      “เฮอะ เฮอะ โจซาน  ข้าอยากรู้ความเป็นไปของสงคราม   ไม่ได้อยากฟังเรื่องสนุกตื่นเต้น” วูจินยิ้มขันๆ
                      “ถ้าท่านว่าอย่างนั้น...ก็ได้!เอาแต่เรื่องหลักๆนะ” โจซาน ขยับตัวไปมาพยายามนึกลำดับความเป็นไปต่างๆ  โจซานเริ่มต้นเล่าตั้งแต่บริเวณที่สงครามเริ่มปะทุขึ้น  การเสียเมืองหน้าด่านเมืองแล้วเมืองเล่าของฟีเลเซีย  การปะทะกันของจอมทัพของทั้งสองอาณาจักร   ระหว่างที่เล่านั้น ชาวฟูดินันทุกคนต่างเงียบกริบตั้งใจฟังชนิดที่เรียกว่าแทบไม่หายใจ   มีเพียงเสียงกระแอมไอของวูจินที่ดังเป็นระยะๆเมื่อโจซานชักจะโม้ออกนอกเรื่อง   ทันทีที่เล่าจบชาวฟูดินันต่างก็ดีอกดีใจกันยกใหญ่  
                      “ดีเหลือเกิน   พวกมันเปลี่ยนใจไม่บุกพวกเราแล้ว” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดขึ้น  
                      “ขอบคุณท่านอิกดราซิล   ที่คุ้มครองพวกเราและป่าให้ปลอดภัย”ยายแก่อีกคนพูดเสริม
                      “พวกเราปลอดภัยแล้ว   ดีจังเลย   พวกซาโลมเปลี่ยนไปบุกทางฟีเลเซียแล้ว” หญิงสาวอีกคนหันไปพูดกับเพื่อนของตนก่อนจะโผกอดกันด้วยความยินดี    มีเพียงแค่วูจิน และ ฮารีซันเท่านั้นที่มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น  
                      “เจ้าคิดว่าอย่างไร ฮารีซัน ?” วูจินถามเสียงเบา
                      “ผมไม่แน่ใจครับท่านปู่   แต่ว่าผมรู้สึกเป็นห่วงอย่างไรไม่รู้   ทำไมพวกซาโลมถึงเปลี่ยนใจง่ายดายนัก   ตามที่รู้มาพวกซาโลมป่าเถื่อนไร้ความปราณี    อยากจะได้เมืองไหนแคว้นไหนก็ต้องชิงเอามาให้ได้   พวกมันจะเลิกราจากฟูดินันง่ายดายขนาดนี้เชียวหรือ” ฮารีซันคิดทบทวนข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับซาโลมเท่าที่ตนรู้ด้วยความสงสัย
                      “ปู่ก็ยังไม่อยากวางใจเหมือนกัน” วูจินกวาดตามองบรรดาชาวบ้านที่กำลังโลดเต้นยินดีกับข่าวสงครามที่โจซานเล่า   ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆพร้อมรอยยิ้มจางๆ “มาเถอะ!เรามีอะไรต้องทำอีกเยอะ   ข้าไปล่ะ โจซาน   อย่าพูดอะไรเกินจริงมากนักล่ะ” วูจินกล่าว ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกันฮารีซัน
                      “ตกลงขอรับๆ”โจซานรับคำอย่างแข็งขัน ก่อนจะโบกมือลาบุคคลทั้งสอง  “ลาก่อนท่านวูจิน  ท่านฮารีซัน...  อ๊ะ! เจ้านี่ตาถึงจริงๆ  เสื้อตัวนี้เป็นเสื้อที่เจ้าเมืองโครีธาขายให้ข้าก่อนเมืองจะถูกบุกเพียงสามเท่านั้นนะ   ข้าขายให้เจ้าราคาไม่......” เสียงโจซานที่ค่อยๆไกลออกไป  ทำให้วูจินต้องถอนหายใจแรงๆและส่ายหน้ายิ้มขันๆอย่างเสียมิได้
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: December 19, 2004, 04:28:11 AM »

มาเม้ากันต่อที่นี่เลยคะ

http://www.smnforum.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=8391;start=0#lastPost
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.039 seconds with 22 queries.