Summoner Master Forum
April 17, 2024, 08:41:40 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter8 เสด็จสู่เมืองท่า @@  (Read 8089 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: December 19, 2004, 02:48:47 AM »

Chapter8  เสด็จสู่เมืองท่า



                          ไกลออกไปยังดินแดนโพ้นทะเลทางใต้สุดของทวีปเมอรีเซีย   ดินแดนที่ถูกน้ำแข็งปกคลุมกินอาณาบริเวณกว้างถึงครึ่งประเทศ   หากทว่าความหนาวเย็นของน้ำแข็งนี้กลับมิได้เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากินของประชาชนในประเทศแม้แต่น้อย    แอนดิซอง(Annedisonge) ประเทศที่การค้าและการประมงนำมาซึ่งความร่ำรวยและมั่งคั่ง   ผู้คนส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่อย่างหรูหรา   มีการปกครองด้วยระบอบ 3 สภา  คือ สภาขุนนางซึ่งขึ้นตรงกับราชวงค์   สภาศาสนา  และ สภาการค้าวาณิช  
                          ประเทศ แอนดิซอง แบ่งพื้นที่ของประเทศออกเป็นสองส่วน   โดยเรียกส่วนที่ใหญ่กว่าว่า แอนดิซองแผ่นดินใหญ่ (Annedisonge Mainland) และ เรียกส่วนที่เป็นเกาะว่า เมืองท่าแอนดิซอง (Annedisonge Portland)  ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศนี้เจริญรุ่งเรือง   หากแต่ว่ามีมังกรยักษ์จอร์มอนกาน์ด(Jormungand) มังกรยักษ์ที่มีพละกำลังมหาศาลและดุร้ายว่ายผ่านระหว่างเกาะเมืองท่าและแผ่นดินใหญ่   โดยจะหลับจำศีลในถ้ำใต้ทะเลเป็นเวลา 4เดือนต่อปี
                          ณ แอนดิซองแผ่นดินใหญ่   ทั่วทั้งอาณาจักรถูกตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม   ประชาชนต่างก็นำธงชาติ แอนดิซองมาติดที่หน้าบ้านของตน  โดยเฉพาะบ้านที่ตั้งอยู่ตามเส้นทางหลักที่มุ่งตรงจากปราสาทล้วนตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ที่แข่งกันแย้มบานอวดสีสันอย่างงามตา  ทั้งริ้วธงหลากสีที่พากันพริ้วไสวหยอกล้อกับสายลมหนาวที่พัดผ่านมาเป็นระลอก  หน้าบ้านแต่ละหลังต่างถูกตกแต่งอย่างเต็มที่ราวกับจะประกวดประชันขันแข่งกันก็มิปาน  ผู้คนมากมายต่างก็หยุดพักงานและสวมชุดที่ดีที่สุดของตนออกมายืนตั้งแถวอยู่ริมสองข้างทางอย่างไม่กลัวความหนาวเย็น  แต่ละคนต่างก็ชะเง้อหน้ามองตามเส้นทางที่ทอดออกมาจากปราสาทอย่างใจจดใจจ่อราวกับกลัวจะพลาดเสี้ยววินาทีสำคัญ
                          แม้ภายในเมืองจะถูกตกแต่งสวยงามเพียงใดก็ยังมิอาจเทียบเท่ากับภายในปราสาทที่ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยสดงดงามยิ่งกว่า    เสาหินอ่อนสีฟ้ามันวาวทุกต้นถูกพันร้อยด้วยโซ่ทองถักทอเป็นลวดลายแปลกตา   ที่บนยอดเสาแต่ละต้นมีดอกไม้เมืองหนาวพันธุ์หายากหลายหลากสี    ซึ่งดอกไม้เหล่านี้สามารถเจริญเติบโตได้แม้บนน้ำแข็งหนา   กลิ่นของมวลดอกไม้ส่งกลิ่นหอมที่ยิ่งกว่าความหอมใดๆไปทั่วบริเวณปราสาท   มีการนำภาพทั้งสีน้ำ สีน้ำมัน ที่เล่าถึงประวัติความเป็นมาของอาณาจักร ศาสนา บรรดาเจ้าชายเจ้าหญิงในราชนิกูล บทกวี ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอาณาจักร   ซึ่งวาดโดยช่างฝีมือเอกทั่วอาณาจักรมาตกแต่งบนผนังตามระเบียงเรื่อยจนถึงโถงทางเดิน    มีการนำต้นไม้น้ำแข็ง หรือจะเรียกให้ถูกก็คือน้ำแข็งที่แกะสลักเป็นรูปต้นไม้แล้วใช้ผลึกน้ำแข็งมาติดทำเป็นใบ  ส่วนดอกก็ทำจากอัญมณีหลากสีทั้งเพชร พลอย และบุษราคัม  มาวางไว้ตามจุดต่างๆโดยรอบปราสาท   เมื่อแสงแดดส่องกระทบผลึกน้ำแข็งและอัญมณีก็สะท้อนประกายแสงสาดส่องระยิบระยับไปทั่วปราสาททั้งหลัง




                          ณ ท้องพระโรงที่ตั้งอยู่ใจกลางปราสาทขณะนี้เนืองแน่นไปด้วยบรรดาขุนนาง พ่อค้า และนักบวชชายหญิงกว่าพันคนยืนเรียงแถวตามลำดับยศไปจนสุดฟากผนังทั้งสองด้าน   โดยแบ่งออกเป็นสองฝั่งเว้นช่องทางเดินตรงกลางห้องที่ปูด้วยกลีบดอกไม้หลากสีนานาพันธุ์แล้ววางทับด้วยแผ่นน้ำแข็งบางๆเพื่อไม่ให้กลีบดอกไม้ปลิวออกไป ทั้งยังทำให้กลีบดอกไม้แลดูแวววาวราวกับอัญมณีอีกด้วย   บนเพดานมีโคมระย้าที่ทำจากผลึกน้ำแข็งขนาดมหึมาแขวนไว้   ที่ระเบียงชั้นสองเหนือขึ้นไปทั้งสองฝั่งท้องพระโรงมีคณะนักขับเพลงนับพันคนอยู่ในชุดคลุมสีขาวมันวาว สวมทับด้วยเสื้อตัวหลวมสีฟ้าน้ำทะเลสดใสปล่อยชายยาวแค่เอว   ทุกคนถือคฑาเล็กๆความยาวประมาณฟุตครึ่งที่ปลายมีดวงไฟเวทย์สีฟ้าเงินลุกโชนอยู่   ทำให้ท้องพระโรงดูสว่างไสวเย็นตา   ทั้งหมดกำลังร้องประสานเสียงเพลงศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในพระราชพิธีสำคัญ   เหนือขึ้นไปบนบัลลังก์ทองคำ กษัตริย์เอ็ททิเอ็น (King Etienne) และ ราชินีคอรัลลี่ (Queen Coralie) ประทับอยู่เคียงข้างกันบนบัลลังก์อย่างสง่า   หน้าบัลลังก์นั้นมีแท่นทองคำเตี้ยๆที่สลักเป็นลวดลายมังกรยักษ์จอร์มอนกาน์ด พันรอบแท่นนั้นอย่างสวยงามตั้งอยู่   เยื้องไปทางซ้ายของบัลลังก์พระที่นั่ง   คาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้ (Marsillio, Cardinal of Annedisonge) ยืนอยู่ในชุดคลุมขาวมีเสื้อสีแดงสดเข้มสวมทับอีกชั้นนึง   มีหมวกสังฆราชบนศีรษะ   ในมือถือคฑาประจำตำแหน่งที่หัวคฑาส่องประกายแวววาว   สังฆราชรวมทั้งทุกๆคนในท้องพระโรงต่างหันหน้าไปทางประตูท้องพระโรงบานใหญ่ที่สูงจรดเพดาน
                          เมื่อกษัตริย์เอ็ททิเอ็นยกมือขึ้นเป็นสัญญาณทหารสี่นายก็เปิดประตูออก   ช่องบานประตูที่ค่อยๆกว้างขึ้นเรื่อยๆ   เผยให้เห็นเด็กสาวสูงศักดิ์วัยสิบสี่ปีผู้งดงามหมดจดในชุดสีฟ้าครามยาวเปิดไหล่ซึ่งช่วยขับผิวผ่องให้ขาวราวหิมะ   บนศีรษะมีหมวกใบเล็กๆสีขาวปักสัญลักษณ์แห่งแสงศักดิ์สิทธิ์   ด้านหลังของหมวกมีผ้าสีขาวเนื้อบางเบาปล่อยชายยาวคลุมผมไว้   เด็กสาวค่อยๆเยื้องย่างไปตามทางเดินอย่างแช่มช้อยหากแต่มั่นคง   เพลงประสานเสียงจากคณะนักขับเพลงก็ดังก้องยิ่งกว่าเก่า เพิ่มบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระราชพิธีมากขึ้น   ทุกๆย่างก้าวที่เธอเดินผ่านไปบรรดาขุนนาง พ่อค้า และนักบวชก็จะย่อตัวคำนับลงอย่างพร้อมเพรียงกัน   เมื่อเดินมายืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พระที่นั่งแล้วจึงคุกเข่าลงบนแท่นที่ถูกจัดเตรียมไว้    กษัตริย์และราชินีต่างยิ้มให้เจ้าหญิงวัยเยาว์อย่างอ่อนโยน   อัครสังฆราชมาร์สิลิโอ้จึงก้าวออกมายืนต่อหน้าเจ้าหญิง   เสียงขับร้องบัดนี้ได้เงียบเสียงลงแล้ว   สังฆราชใหญ่ก็ประกาศเสียงดังก้องว่า
���
« Last Edit: December 19, 2004, 02:50:58 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: December 19, 2004, 02:50:21 AM »

                          “ขอพระองค์โปรดให้คำสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระเจ้า โดยมีสภาขุนนาง สภาศาสนา และ สภาการค้าวาณิช เป็นพยานว่าพระองค์จะถือซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า พระมหากษัตริย์  และประเทศแอนดิซอง”  
                          “เรา อลาน่า  มารี  ชาริเต้ (Alana Marie Charite`) ขอให้คำสัตย์ว่า   เราจะไม่กระทำการใดๆอันนำความเสื่อมเสียมาให้แก่พระเจ้า พระมหากษัตริย์ และประเทศชาติ   ทั้งจะอุทิศตนเพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชนชาวแอนดิซองเป็นอย่างดี”
                          “จงรับเครื่องหมายแห่งคำสัตย์ของพระองค์”
                          พอสิ้นคำ   อัครสังฆราชก็ส่งถ้วยศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามให้   เมื่อเด็กสาวรับถ้วยศักดิ์สิทธิ์ไว้เรียบร้อยแล้ว   มาร์สิลิโอ้ จึงกล่าวต่อว่า “และบัดนี้   ในนามของพระผู้เป็นเจ้า  จงรับมงกุฎนี้เพื่อแสดงถึงอำนาจอาญาสิทธิ์ของพระองค์”
                          อัครสังฆราชมาร์สิลิโอ้ค่อยๆวางมงกุฎทองคำสลักลวดลายอย่างสวยงามลงบนศีรษะของเจ้าหญิงอลาน่า   เมื่อทำพิธีสวมมงกุฎเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินหลบไปทางด้านข้าง    กษัตริย์เอ็ททิเอ็นจึงยืนขึ้น ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปิติยินดี   ทรงปรกมือเหนือ เจ้าหญิงอลาน่า ประกาศว่า
                          “เรา เอ็ททิเอ็น กษัตริย์แห่งแอนดิซอง   ขอแต่งตั้งเจ้าหญิงอลาน่าให้เป็นผู้สำเร็จราชการแห่งเราไปปกครอง เมืองท่าแอนดิซอง   คำพูดของเจ้าหญิงอลาน่าก็คือคำพูดของเรา   การตัดสินใจของเจ้าหญิงอลาน่าก็คือการตัดสินใจของเรา   และเราขอแต่งตั้ง อองเดร ออเนอเร่ (Andre Honore`) เป็น ราชองครักษ์ประจำตัวเจ้าหญิงอลาน่า  และ ซิสเตอร์ โรซาน่า (Sister Rosana) ในฐานะราชครูประจำพระองค์  โดยให้ทั้งสองตามเสด็จไป เมืองท่าแอนดิซอง ด้วย”
                          สิ้นคำกษัตริย์แห่งแอนดิซอง   อองเดร ออเนอเร่ นายทหารวัยฉกรรจ์สูงสง่าในชุดเสื้อเกราะสีฟ้าครามเป็นประกายเงาวับก็ก้าวออกมาจากแถวอย่างรวดเร็ว   ผ้าพันคอสีขาวปล่อยชายยาวจรดพื้นโบกสะบัด   ผมยาวสีทองตัดกับเสื้อเกราะแลดูเป็นประกายมิแพ้ความเงาของเสื้อเกราะเลย   เขาย่อเข่าลงข้างหนึ่งตรงเบื้องหน้าบัลลังก์ถัดไปทางด้านหลังของ เจ้าหญิงอลาน่าด้วยท่าทีสงบนิ่ง   ใบหน้าเรียบเฉยภายใต้หน้ากากมิได้แสดงอาการใดๆ   หากแต่ดวงตานั้นฉายประกายแห่งความปิติและมุ่งมั่นออกมาอย่างชัดเจน    ข้างฝ่ายซิสเตอร์โรซาน่านั้นกลับค่อยๆก้าวออกมาอย่างนอบน้อม   ชุดสีน้ำเงินเข้มขลิบเหลืองที่คลุมร่างเรียบร้อยมิดชิด และตราสัญลักษณ์แห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านหน้าของหมวกคลุมผมสีขาวบริสุทธิ์   ทำให้ซิสเตอร์รูปนี้ดูอบอุ่นและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก   ใบหน้าของซิสเตอร์เจือรอยยิ้มน้อยก่อนที่จะโค้งคำนับรับคำบัญชา




                          ตลอดทางที่ขบวนเสด็จของ เจ้าหญิงอลาน่า ผ่านไป    ประชาชนชาวแอนดิซองมากมายก็จะโบกธงและโปรยกลีบดอกไม้สีขาวเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าหญิงอันเป็นที่รักของพวกเขา   กลีบดอกไม้ขาวที่ร่วงลงมาดูราวกับฝนดอกไม้โปรยปรายไปทั่วอาณาจักร   เมื่ออลาน่าโบกมือไปทางไหน   ประชาชนที่อยู่ฟากนั้นก็จะโห่ร้องอย่างยินดีกล่าวคำสรรเสริญกันสุดเสียง
                          “ไชโย!แด่เจ้าหญิงอลาน่า   ไชโย!แด่เจ้าหญิงผู้งามเพรียบพร้อม”
                          เมื่อขบวนเสด็จมาถึงท่าเรือก็ปรากฏฝูงชนนับหมื่นมารอส่งเสด็จ    อลาน่ายิ้มให้พลางโบกมือเป็นการขอบคุณประชาชนที่ตามมาส่งแล้วจึงหันมากอดพระบิดาและพระมารดาเป็นการร่ำลา   ดวงตาสีเทาอมฟ้าบัดนี้มีน้ำตาเอ่อขึ้นคลอ   เด็กสาวยังคงยิ้มหากแต่ริมฝีปากบางสั่นน้อยๆ
                          ราชินีคอรัลลี่ยื่นมือออกไปสัมผัสแก้มขาวนวลของอลาน่าอย่างอ่อนโยน    น้ำตาหยาดน้อยค่อยๆไหลออกมา “ลูกรัก   การจากกันครั้งนี้มิใช่ลาจากกันชั่วชีวิต   จงรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี   แม่จะสวดภาวนาให้ลูกเสมอ”
                          อลาน่าพยายามกระพริบตาเพื่อไล่น้ำตาที่บดบังภาพพ่อและแม่ของเธอ   น้ำตายังคงเอ่อล้นขึ้นมาไม่หยุด   เธอพูดเสียงสั่น “ลูกก็จะสวดภาวนาให้ทูลกระหม่อมพ่อ สมเด็จแม่เสมอเพคะ”
                          กษัตริย์เอ็ททิเอ็นดวงตาเปียกชื้น กอดลูกสาวไว้แน่น  “ลูกรักของพ่อ   ภารกิจนี้ใหญ่หลวงสำหรับเจ้านัก    หากเป็นไปได้พ่อคง....”
                          อลาน่าแตะแขนพระบิดาเบาๆพลางยิ้มให้แม้ดวงตายังคงมีน้ำตาเอ่อคลออยู่  “ลูกเข้าใจเพคะ   ลูกจะปฏิบัติหน้าที่อย่างดี   ไม่ให้ทูลกระหม่อมพ่อสมเด็จแม่ต้องทรงผิดหวัง”
                          ทันใดนั้นเสียงแตรสัญญาณจากเหล่าทัพเรือก็ดังขึ้น   อันเป็นสัญญาณแห่งการจากลาของบุคคลทั้งสาม   เจ้าหญิงรีบเช็ดคราบน้ำตาออกโดยเร็ว   กอดพระบิดาพระมารดาอีกครั้งอย่างแนบแน่นเนิ่นนานราวกับจะประวิงเวลาแห่งการจากลาไว้   เธอหลับตาแน่นพลางพยายามจดจำไออุ่นของพระบิดาพระมารดา    ในที่สุดเจ้าหญิงน้อยแห่งแอนดิซองก็ปล่อยแขน ขยับตัวออกห่างบุคคลที่รักยิ่งทั้งสอง   บัดนี้เธอพร้อมแล้วสำหรับการเป็นผู้คานอำนาจสภาการค้าวานิชที่เมืองท่าแอนดิซอง   อลาน่าเดินขึ้น เรือรบแอนดิซอง(Annedisonge’s Battleship) ไปสมทบกับคณะผู้ติดตาม   ซิสเตอร์โรซาน่า และ อองเดร ออเนอเร่ ก็ยืนรออยู่ด้านหน้าของกราบเรือด้วย   เรือรบค่อยๆบ่ายหน้าออกสู่ทะเลโดยมีเสียงอวยพรของบรรดาประชาชนดังแข่งกับเสียงเครื่องยนต์และเกลียวคลื่น    
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: December 19, 2004, 02:52:07 AM »

                         เมื่อเรือรบเคลื่อนออกจากท่าได้ประมาณห้าเมตร   เหล่าทหารเงือก (Merman Trooper) หนึ่งกองร้อยนำโดย ผู้บัญชาการเงือก อีริค (Eric, Merman Commander)  อีริคเงือกหนุ่มในชุดเสื้อเกราะสีฟ้าดูองอาจปราดเปรียว  ในมือขวาถือหอกสามง่าม   พุ่งตัวสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็วขึ้นว่ายนำขบวนเสด็จ  
สายตาของอลาน่ายังคงจับจ้องแผ่นดินบ้านเกิดที่ค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆ   จนกระทั่งขอบแผ่นดินหายลับไปเหลือแต่ท้องทะเลเวิ้งว้าง   อลาน่าจึงได้สังเกตเห็นกองทัพเงือกที่ว่ายนำหน้าเรือรบจึงพูดเปรยกับท่านราชครูว่า
                         “เมืองท่าก็อยู่ไม่ไกลนัก   ฉันไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้กองทัพเงือกนำหน้าขบวนเลย”
                         ซิสเตอร์โรซาน่ายิ้มให้อย่างเอ็นดู  “พระองค์ไม่ชอบกองทัพเงือกหรือเพคะ”
                         “กองทัพเงือกเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร   ในบรรดาเหล่าทัพทั้งสามของแอนดิซอง กองทัพเงือกเป็นกองทัพที่ใหญ่ที่สุดและเก่งที่สุดใครๆก็รู้” อลาน่าตอบพลางหันหน้าเลี่ยงไปอีกทาง
                         “พระองค์ตอบไม่ตรงคำถามนะเพคะ”  ซิสเตอร์ยิ้มอย่างรู้ทัน
อองเดร ซึ่งเผอิญได้ยินการสนทนาของทั้งสองเข้า จึงรีบพูดขึ้นทันที
                         “เพราะพระองค์เป็นคนสำคัญของชาวแอนดิซอง   ความปลอดภัยของพระองค์จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง   ดังนั้นการที่ใช้ทหารเงือกจึงเป็นที่สมควรแล้ว”
                         “โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับท่านอองเดร......” ซิสเตอร์โรซาน่ากล่าวหยอก
                         “ไม่มีชาวแอนดิซองคนใดจะไม่รักและภักดีต่อเจ้าหญิงผู้เป็นดังแม่พระของประชาชนได้”อองเดรกล่าวแก้
                         เจ้าหญิงอลาน่ายิ้มประหม่าเล็กน้อย   แก้มงามมีสีเลือดฝาดขึ้น   ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ถ่อมตนว่า
                         “ฉันไม่ได้ดีงามสูงส่งถึงเพียงนั้นหรอกจ้ะ ฉันเพียงแต่ทำสิ่งเล็กน้อยเท่าที่พอจะทำได้เพื่อประชาชนยากจนที่น่าสงสาร และเพื่อพระเจ้าเท่านั้น”
                         “เจ้าหญิงที่ลงมือตักซุปแจกคนจนด้วยพระองค์เอง ทุกเย็น ทรงเรียกว่าเล็กน้อยหรือพะยะค่ะ  แล้วที่ลงสัมผัสจับต้องคนป่วยข้างถนนที่สกปรก   เพียงเพราะคิดว่าจะทำให้คนชั้นต่ำเหล่านั้นได้มีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ โดยทนรังเกียจ.........”
                         เสียงของนายทหารผู้เยือกเย็น   ค่อยๆคุกรุ่นด้วยอารมณ์หงุดหงิด  ในทันใดก็ถูกขัดด้วยเสียงนุ่ม อ่อนโยน
                         “ฉันไม่เคยนึกรังเกียจพวกเค้า ฉันได้เคยบอกเธอหลายครั้งแล้วนะอองเดร ทุกคนคือบุตรของพระเจ้า แม้คนที่ต่ำต้อยที่สุดก็มีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า  ฉันเองมองเขาเหล่านั้นไม่ต่างจากคนร่ำรวย และไม่ต่างจากเธอ หรือตัวฉันเอง”
                         “พระอาญามิพ้นเกล้า   กระหม่อมเพียงแต่อดโมโหไม่ได้   ที่ต้องเห็นพระองค์ต้องตกระกำลำบากเพื่อผู้อื่น  ทั้งที่ไม่จำเป็นเลย  คนเหล่านั้นเพียงให้ข้าวของเครื่องใช้บริจาค ก็น่าจะเพียงพอ ไม่มีความจำเป็นต้องลดองค์ลงลำบากเอง”
                         องครักษ์หนุ่มก้มหน้า กล่าวอย่างหงุดหงิดใจ
                         “อองเดรจ๊ะ” เจ้าหญิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเมตตา “ถ้าเธอคิดว่าคนจน ขาดแต่เพียงข้าวของ และอาหาร เธอก็เข้าใจผิดอย่างมหันต์ สิ่งที่คนจน คนป่วย โดยเฉพาะคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างถนน ผู้เป็นที่น่ารังเกียจในสายตาของคนทั่วไป ขาดแคลนที่สุด ก็คือความรัก และการให้เกียรติในฐานะมนุษย์ จากมนุษย์ด้วยกันต่างหาก”
                         เมื่อเห็นว่าอองเดรยังคงก้มหน้า ไม่โต้เถียง เจ้าหญิงจึงกล่าวต่อ
                         “ฉันคิดเสมอว่าที่พระเจ้าให้ฉันเป็นเจ้าหญิง ไม่ใช่เพื่อให้ฉันอยู่เหนือพวกเขา แต่เพราะทรงต้องการให้ฉันได้มีโอกาสช่วยพวกเขาได้มากกว่าคนอื่น”
                         “กระหม่อมอยากให้พระเจ้าเลือกคนอื่นเพื่อทำหน้าที่นี้   ทำไมจะต้องเป็นองค์หญิง.............”
                         อองเดรกล่าว พลางมองไปยังซิสเตอร์โรซาน่า ซึ่งยืนอยู่ถัดไป อาลาน่ายิ้มและกล่าวต่อ
                         “ฉันเองได้บอกเธอหลายครั้งแล้วเหมือนกันนะ ว่าฉันเองไม่ได้จำใจหรือทุกข์ทรมานที่ทำสิ่งเหล่านี้   ฉันเองมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้ทำแบบนี้   มากกว่าการออกงานเต้นรำ มากกว่าการออกเดินในห้างร้านหรูหรา   ฉันเบื่อเรื่องพวกนั้นตั้งแต่จำความได้   แต่รอยยิ้มกับแววตาที่มีประกายแห่งความหวัง ของประชาชนที่น่าสงสารเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้ใจฉันชุ่มชื่นเหลือเกิน   อองเดรจ๊ะ   ฉันอยากให้เธอเข้าใจเหลือเกินว่า ความรู้สึกที่ว่าชีวิตมีค่าเมื่อได้กระทำสิ่งดีๆให้ผู้อื่นมันเป็นอย่างไร   ฉันอยากให้เธอเห็นรอยยิ้มของเด็กๆที่กินขนมปังอย่างเอร็ดอร่อย   ทั้งที่มันเป็นของเหลือทิ้งจากงานเลี้ยงที่กินทิ้งกินขว้างกันมากมาย   ฉันไม่เคยเห็นความสุขที่แสนเรียบง่ายแต่น่ารักแบบนั้นจากในวัง   ฉันไม่อยากพลาดโอกาสนั้นจนฉันอดไม่ได้ที่จะเป็นคนมอบอาหารและความสุขเหล่านั้นให้พวกเขาด้วยตัวฉันเอง”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: December 19, 2004, 02:53:06 AM »

                      “กระหม่อมเพียงอยากให้องค์หญิงทรงรักตัวเองบ้าง   มิใช่เพียงแต่รักพวกคนจน” อองเดรกล่าวอย่างจนใจ
                      “ฉันรักตัวเองเสมอจ้ะ  และฉันก็รักทุกๆคนเท่าๆกับที่ฉันรักตัวเอง”เจ้าหญิงกล่าวตอบ
                      “กระหม่อมไม่เข้าใจ............”
                      “คนดีมีความสุขเมื่อทำความดี และเมื่อเขาทำความดีเขาจะรู้สึกว่าทำง่ายกว่าทำความชั่ว   ตรงข้ามกับคนชั่ว เขาจะมีความสุขเมื่อทำความชั่ว และรู้สึกว่าการทำความดีช่างยากเย็นนัก.....  นั่นคือเหตุผลที่คนดีชอบทำดี คนชั่วก็ชอบทำชั่ว”
                      เสียงอันราบเรียบสุขุมดังขึ้นจากแม่ชีผู้ซึ่งมองทอดสายตาไปยังท้องทะเลสีฟ้าอมเขียวโดยไม่หันมามองคนทั้งสอง
                      “น่าดีใจที่แอนดิซองมีเจ้าหญิงเช่นนี้มิใช่หรือคะ   ท่านอองเดร”
                      นายทหารในชุดเกราะน้ำเงิน นิ่งเงียบ   เขามิใคร่ชอบซิสเตอร์ผู้นี้นัก เขาถือเอาว่าซิสเตอร์เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เจ้าหญิงที่เขาเทิดทูนยิ่ง   หลงใหลในภารกิจที่หนักหนาสาหัส และยากลำบากโดยไม่จำเป็น
อลาน่า เห็นบรรยากาศไม่สู้ดี  จึงกล่าวขึ้นว่า
                      “เอาเถิดจ้ะ  ฉันจะระวัง และคิดถึงตัวเองบ้าง   ฉันขอรับรองเพื่อให้เธอสบายใจนะจ๊ะ   ว่าฉันมีความสุขกายสบายใจดี จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ และฉันดีใจที่อองเดรเป็นห่วงฉันเสมอ”
                      องครักษ์เกราะน้ำเงิน โค้งคำนับ ดวงตาที่ลอดออกมาจากหน้ากากเหล็ก หรี่ลง เหมือนกับกำลังยิ้ม
                      “เสด็จเข้าข้างในเถิดเพคะ องค์หญิง” ซิสเตอร์กล่าวพร้อมจับพระหัตถ์   เจ้าหญิงยิ้มให้อองเดรอีกครั้งก่อนจะ เดินเคียงกับซิสเตอร์โรซาน่าเข้าไปภายในเรือ  พอเริ่มคล้อยหลัง ซิสเตอร์ก็กล่าวขึ้นอย่างนึกขัน
                      “ราชองครักษ์ อองเดร ออเนอเร่   ขึ้นชื่อนักเรื่องความสุขุมเด็ดขาด เย็นชา จนคนขยาดไปทั่ว   แต่เมื่อไหร่ที่เป็นเรื่องขององค์หญิง กลับร้อนรน พูดเป็นต่อยหอย”
                      “ซิสเตอร์ พูดเปรียบแบบนั้นได้ยังไงกันคะ   ถ้าอองเดรได้ยินเข้าคงโกรธแย่”อลาน่ายิ้มขัน
                      “นั่นสินะ เวลาเขาโกรธนี่น่ากลัวนัก   เมื่อ สามวันก่อน ตอนที่มีขุนนางกลุ่มของท่านรัฐมนตรีการค้าสินค้าเวทย์มนต์กล่าวนินทาองค์หญิงในงานเลี้ยงกลางแจ้งที่สวนวังหน้า   ท่านอองเดรได้ยินเข้าก็คว้าดาบผลึกน้ำแข็งฟาดโต๊ะหินอ่อนที่สามคนนั้นนั่งขาดเป็นสองท่อนแล้วบอกว่าขออภัยดาบหลุดมือ   แต่ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์กล่าวว่านัยน์ตาท่านอองเดรเหมือนจะฆ่าสามคนนั้นมากกว่า”
                      ซิสเตอร์กล่าวปนขัน อลาน่ายิ้มพลางถอนใจ “โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บ ......  ไม่อยากให้เขาเป็นแบบนี้เลย   เพราะจะทำให้คนกลัวเขามากขึ้น   อีกอย่างถึงคนจะนินทาว่าร้ายเราอย่างไร   ถ้าเราไม่เป็นแบบที่เขาว่าเราก็ไม่ต้องเดือดร้อน จริงไหมคะ..”
                      “องค์หญิงเพคะ  ในสายตาของขุนนางพวกนั้นก็ไม่พ้นดูถูกว่าสิ่งที่องค์หญิงทำ  เป็นเพียงการกระทำของลูกคุณหนู ที่อยากทำอะไรแปลกๆเท่านั้น  ยิ่งองค์หญิงไม่ค่อยสมาคมกับพวกเขา เขาก็ยิ่งหาว่าองค์หญิงเข้าใจยาก และที่ทำก็เพราะต้องการเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน”
                      เจ้าหญิงหน้าเศร้าลง “ทำไมพวกเขาคิดกันเป็นแต่เรื่องเลวร้ายแบบนี้นะ  ทำไมไม่มีใจนึกสงสารคนอื่นบ้าง  ความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์มีค่าต่อพวกเขาแค่เพียงเรื่องคะแนนนิยม  กับการเอาหน้าเท่านั้นหรือ  แอนดิซองเรามีช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนสูงมาก และพวกเขานอกจากไม่ใส่ใจแก้ไขแล้ว   ยัง........”
                      “เป็นธรรมดาของขุนนาง และนักการเมืองเพคะ   ที่เมืองท่าซึ่งเต็มไปด้วยพ่อค้า และเหล่าขุนนางร่ำรวย   เราคงต้องเผชิญสิ่งที่หนักหนากว่านี้” ซิสเตอร์กล่าวพร้อมกุมพระหัตถ์ของเจ้าหญิงแน่น   เจ้าหญิงอลาน่ายิ้มออกมา  ในแววตาฉายแววแห่งความมุ่งมั่น และพร้อมต่อสู้กับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.083 seconds with 22 queries.