Summoner Master Forum
April 20, 2024, 05:19:26 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 16 ที่รองพระบาทของพระเจ้า @@  (Read 7550 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: December 19, 2004, 03:41:51 AM »

Chapter 16  ที่รองพระบาทของพระเจ้า


                      สูงขึ้นไปเหนือที่ราบลุ่มเขียวชอุ่ม   สายลมแห่งความโศกเศร้าและสูญเสียเพิ่งจะพัดผ่านอาณาจักรชาตินักรบที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงฟากตะวันตกของเมอริเซียได้ไม่นานนัก   สายลมแห่งความชื่นชมยินดีก็ถึงคราวหมุนเวียนเปลี่ยนพัดมาสู่อาณาจักรแห่งนี้   ฟีเลเซียอาณาจักรที่สายลมต่างๆล้วนพัดผ่านราวกับอาณาจักรแห่งนี้เป็นทางผ่านของเทพธิดาแห่งสายลม   ในวันนี้เองอาณาจักรฟีเลเซียกำลังเฉลิมฉลองการขึ้นเถลิงราชสมบัติขององค์รัชทายาท ซิกมันต์ที่3แห่งราชวงค์อรีธา (Sigmund 3rd, Knight of Swords)  
                      ฟีเลเซียอาณาจักรแห่งนักรบวันนี้ถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์    ธงชาติฟีเลเซียถูกนำมาประดับทั่วทุกที่ในอาณาจักร ซึ่งล้วนแล้วแต่บ่งบอกถึงความเป็นฟีเลเซียได้เป็นอย่างดี   ธงสีเขียวอ่อนอันเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะที่ฤดูใบไม้ผลิมีต่อฤดูหนาว ซึ่งก็คือชัยชนะของชาวฟีเลเซียที่มีต่ออริชาติศัตรูทั้งหลายนั่นเองและสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์แห่งจิตวิญญาณและความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า  
                      ที่ลานกว้างหน้าปราสาทมีน้ำพุขนาดใหญ่พ่นน้ำใสสะอาดขึ้นสูงลิ่วราวกับจะทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์   ละอองน้ำจากน้ำพุที่ถูกสายลมพัดผ่านลอยละล่องประพรมลงสู่พื้นบ้างสู่ผู้คนที่ยืนอยู่บริเวณใกล้เคียงบ้าง   สร้างความสดชื่นราวกับน้ำอมฤตจากสวรรค์เบื้องบนที่โปรยปรายลงมาอวยพรให้แก่พิธีสำคัญในวันนี้   รูปปั้นสำริดของบรรดาวีรบุรุษนักรบผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตที่ตั้งตระหง่านอยู่ทั่วทั้งอาณาจักรถูกทำความสะอาดและขัดถูให้มันวาวราวกับเพิ่งออกจากโรงหล่อใหม่ๆจนดูราวกับว่ารูปปั้นนักรบเหล่านี้มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ
                      ทั่วบริเวณลานกว้างหน้าปราสาทคลาคล่ำไปด้วยประชาชนนับหมื่นที่ต่างมายืนเฝ้ารอเพื่อร่วมพิธีสำคัญในวันนี้   ประชาชนทั้งหญิงชายต่างก็สวมเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของตน   บรรดาอัศวินแห่งฟีเลเซีย(Felasia’s Knight)ในชุดเกราะสีเขียวมรกตมันวาวบนหลังม้าสูงสง่าต่างกระจายกำลังอยู่ตามจุดต่างๆเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย
                      ไม่นานนักขบวนเสด็จของว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่แห่งฟีเลเซียก็ค่อยๆเคลื่อนผ่านฝูงชนที่มายืนรอเฝ้ารับเสด็จ   โดยมีว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่เป็นผู้นำขบวน
                      ซิกมันต์ที่ 3 อยู่ในชุดเกราะสีเขียวอมฟ้าขลิบทองมันวาวบนหลังม้าสีขาวราวหิมะที่มีขนาดใหญ่กว่าม้าธรรมดาถึง 4  คืบ   ทำให้ร่างของเขายิ่งดูสูงเพรียวงามสง่ายิ่งนัก   ผ้าคลุมสีเหลืองสดสะบัดพลิ้วไหวตัดกับผมยาวสีน้ำตาลเข้มอย่างลงตัว   ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นแสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างชัดแจ้ง   ริมฝีปากบางเชิดขึ้นเล็กน้อยบ่งบอกถึงความหยิ่งทะนงได้เป็นอย่างดี   เขามุ่งหน้าสู่ปราสาทด้วยความภาคภูมิ   ดวงตาสีเขียวเข้มมองดูบรรดาธงชาติเล็กๆสีเขียวอ่อนที่ประชาชนนับพันนับหมื่นโบกไปมาสะบัดพริ้วหยอกล้อกับสายลมราวกับเริงระบำ   เขายิ้มน้อยๆก่อนที่จะมีสีหน้าสลดลง  
                      “ข้าขอบอกกับท่านตามตรงว่า  ข้าอยากให้ทูลกระหม่อมพ่อได้มาเห็นวันอันน่าภาคภูมิใจนี้นัก” ซิกมันต์เอ่ยขึ้นแก่บุรุษผู้อยู่ทางเบื้องหลัง
                      “องค์ชายอย่าได้เป็นทุกข์ใจไปเลย   องค์เหนือหัวแม้จะสวรรคตไปแล้วแต่พระองค์ก็มิได้จากไปไหน   กระหม่อมเชื่อเหลือเกินว่าในวันนี้องค์ซิกมันต์ที่2จะต้องกำลังทอดพระเนตรพระองค์จากบนสวรรค์ด้วยความชื่นชมยินดี   องค์ชายทรงทอดพระเนตรเหล่าพสกนิกรเหล่านี้ดูเถิด    พระองค์คือความภาคภูมิใจของฟีเลเซีย”
                      ซิกมันต์เหลือบไปมองเหล่าพสกนิกรที่กำลังโห่ร้องยินดี   เขายิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะเอ่ยขึ้น
                      “ขอบใจ   และท่านเองก็เป็นความภาคภูมิใจของฟีเลเซียเช่นกัน”
                      “องค์ชาย...   ไม่สิท่านกำลังจะเป็นกษัตริย์แล้ว   หม่อมฉันจะต้องเรียกพระองค์ว่าฝ่าบาทสินะ”
                      “ท่านจะเรียกอย่างไรก็ได้   เพราะไม่ว่าข้าจะเป็นอะไร   ท่านก็ยังคงเป็นสหายคนสนิทของข้าเสมอ”
                      บุรุษผู้นั้นโค้งตัวเล็กน้อยเป็นการขอบคุณก่อนที่ซิกมันต์ที่3จะหันหน้าไปสู่ถนนใหญ่ พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆราวกับจะซึมซาบเอาความปลาบปลื้มของเหล่าพสกนิกรแห่งฟีเลเซียไว้เป็นพลังและกำลังใจของตน   ก่อนที่จะยืดตัวตรงมุ่งไปยังปราสาทเบื้องหน้าอย่างสง่างาม
                      ฝ่ายบุรุษผู้อยู่ทางเบื้องหลังก็ควบม้าเหยาะๆตามหลังกษัตริย์องค์ใหม่ไปอยู่ไม่ห่างจากกันมากนัก   เขาอยู่ในชุดเกราะเต็มยศสีเงินมันวาว ขี่ม้าสีเทาเงินซึ่งมีขนาดเล็กกว่าม้าขาวของซิกมันต์เล็กน้อย   แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจบดบังร่างกายที่ผึ่งผายของเขาได้  ไหล่ที่กว้างกำยำและหลังที่ยืดตรงของเขาเอื้อให้เห็นถึงอิริยาบถที่กระฉับกระเฉงและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา  ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมสำรวมบ่งบอกถึงความเป็นผู้ที่สงบและอดทน  เขาคือแม่ทัพใหญ่ผู้มีอนาคตไกลแห่งฟีเลเซีย   ผู้ซึ่งได้ชื่อว่ามีฝีมือด้านการรบเป็นหนึ่งที่สุดในฟีเลเซีย และยังได้ชื่อว่ามีความจงรักภักดีต่อฟีเลเซียอย่างที่สุดเช่นกัน  เขาคือแม่ทัพหนุ่มผู้มีประสบการณ์ด้านการศึกอย่างโชกโชนแม้จะมีวัยเพียง21ปีเท่านั้น   ชาร์ล คลาแรนซ์(Charles Clarence, the General of Felasia) บุตรชายของลอร์ดคลาแรนซ์อดีตจอมทัพแห่งฟีเลเซีย   ผู้ซึ่งเป็นราชครูที่สอนวิชาต่อสู้ให้แก่ซิกมันต์     ด้วยพรสวรรค์ด้านเพลงดาบที่เก่งกาจเกินวัยของชาร์ล   เขาจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคู่ฝึกดาบของซิกมันต์ตั้งแต่เด็กและได้กลายเป็นสหายสนิทที่ซิกมันต์วางใจที่สุด
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: December 19, 2004, 03:43:32 AM »

                        เมื่อขบวนเสด็จขึ้นมายังลานหน้าปราสาท  ประชาชนนับหมื่นต่างก็โห่ร้องต้อนรับว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่เสียงดังกึกก้อง   เสียงบรรเลงเพลงชาติฟีเลเซียดังกระหึ่มจากวงดนตรีของกองทัพเป็นจังหวะไพเราะ สง่า และ หนักแน่น ชวนให้บรรยากาศโดยรอบดูสง่าและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก    ทหารกองเกียรติยศในชุดเกราะสีเขียวมรกตมันวาวนับพันยืนแถวเรียงจากหน้าลานยาวขึ้นไปถึงบันไดขั้นบนสุดหน้าปราสาทโดยมีบรรดาประชาชนนับหมื่นคนยืนเป็นแถวเรียงรายอยู่เบื้องหลังทั้งสองฝั่งฟาก   ที่รูปปั้นปฐมกษัตริย์องค์แรกแห่งฟีเลเซียด้านหน้าปราสาทนั้นเองมีคณะขุนนางและผู้ทรงเกียรติมากมายยืนรอรับอยู่  
                        ซิกมันต์ก้าวลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม      ทหารกองเกียรติยศเรียบอาวุธเพื่อทำความเคารพอย่างรวดเร็วฉับไวและพร้อมเพรียงราวกับเป็นคนเดียวกัน   การเรียบอาวุธไล่ระดับตามขั้นบันไดอย่างสวยงามราวกับพวกเขาทำกันมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง   เสียงเรียบอาวุธของเหล่าทหารนั่นหนักแน่นชวนให้ฮึกเหิม  แลดูงามสง่ายิ่ง
                        ซิกมันต์ก้าวขึ้นบันไดแต่ละขั้นด้วยความมั่นคงสมภาคภูมิ   ตามด้วยชาร์ล คลาแรนซ์  บรรดาองครักษ์และแม่ทัพนายกองทั้งหลาย
                        เมื่อเท้าของซิกมันต์แตะบันไดขั้นบนสุดก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงดนตรีจบลง   ทันใดเสียงแซ่ซ้องอวยชัยจากประชาชนที่อยู่เบื้องล่างก็ดังขึ้นอย่างกึกก้องพร้อมกัน
                        “ไชโย!  แด่กษัตริย์องค์ใหม่แห่งฟีเลเซีย
                                                ขอพระเกียรติจงเลื่องลือระบือไกลไปทั่วแคว้น
                                                                        เพื่อศักดิ์ศรีแห่งสายลมศักดิ์สิทธิ์    ไชโย! ไชโย!”   
                        บรรดาขุนนางที่ยืนต้อนรับอยู่ด้านหน้าปราสาทก็โค้งคำนับพลางเดินเข้าร่วมขบวนเสด็จตามหลังซิกมันต์เข้าสู่ภายในปราสาท
                        ซิกมันต์ที่3 เดินนำแถวแม่ทัพและขุนนางเข้าสู่ท้องพระโรงที่ถูกตกแต่งอย่างงามสง่าและศักดิ์สิทธิ์    มีธงชาติฟีเลเซียผืนใหญ่ติดไว้ที่หัวเสาทุกต้น   ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์นับพันดอกแซมด้วยใบไม้สีเขียวอ่อนสดใสถูกนำมาประดับประดาทุกแห่งหนทั่วท้องพระโรงส่งกลิ่นหอมเย็นขจรขจายไปทั่วบริเวณ   เหล่าครอบครัวของบรรดาแม่ทัพนายกองและขุนนางทั้งหลายต่างก็ยืนออกันเนืองแน่นท้องพระโรงแบ่งเป็นสองฝั่งโดยเว้นช่องตรงกลางที่ปูด้วยพรมสีแดงทอดยาวไปถึงบัลลังก์เบื้องหน้า   บนระเบียงชั้นสองที่ทอดยาวยาวตลอดแนวสองข้างท้องพระโรงเนืองแน่นไปด้วยบรรดานักบวชชายหญิงนับพันคน  ต่างอยู่ในชุดสีขาวบริสุทธิ์  บ้างสวมเสื้อคลุมสีต่างกันอันเป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงสังกัดและคณะนักบวชที่ต่างสำนักกัน   เนื่องจากฟีเลเซียนี้นอกจากจะเป็นชาตินักรบแล้ว  ยังมีนักบวชมากมายด้วยเช่นกัน   ฟีเลเซียนี้ได้ขนานนามตนเองว่าเป็นชาติที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้ามากที่สุดทั้งนี้เพราะฟีเลเซียมีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่สูงที่สุดในทวีปเมอริเซีย    อีกทั้งยังมีสำนักสงฆ์และนักบวชมากที่สุดในทวีปเมอริเซียอีกด้วย   ทุกคนต่างทราบกันดีว่าฟีเลเซียเป็นแหล่งวิทยาการความรู้และปรัชญา   ซึ่งได้ผลิตนักวิชาการและนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงมากมาย
                        ไม้เท้าและคฑาประจำตำแหน่งของบรรดานักบวชชายหญิงเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้าสว่างไสวไปทั้งท้องพระโรง   เสียงร้องประสานเพลงบทสวดสรรเสริญพระเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ดังกังวานไพเราะจับใจ      

                        บนบัลลังก์นั้นเองพระราชินีอลิเซีย(Alicia, the Queen of Felasia)ประทับนั่งอยู่อย่างสง่าราวกับพญาหงส์   ใบหน้าของนางยิ้มละไมด้วยความรักและยินดี    เยื้องไปทางเบื้องหลังเล็กน้อยมีที่ประทับอีกสองที่   ที่ประทับทางด้านซ้ายนั้นว่างเปล่า  ส่วนทางด้านขวานั้น  เป็นสาวงามสะพรั่งด้วยวัย17พรรษา  เต็มล้นไปด้วยเสน่ห์แห่งวัยสาว   สาวน้อยร่างสูงเพรียวสมส่วน  เรือนผมสีทองยาวสลวยเป็นประกาย   คิ้วสีน้ำตาลเข้มโค้งบางได้รูป   ดวงตาคมโตสีเขียวมรกตเฉียงขึ้นน้อยๆล้อมรอบด้วยแพขนตายาวงอนดกหนาทำให้ดวงตาของเธอดูคมสวยเด่นชัด   จมูกเรียวยาว   ริมฝีปากเล็กๆแต่เต็มอิ่มสีกุหลาบโค้งสวยแสดงออกถึงความอบอุ่นน่ารักของเธอ  วงหน้ารูปไข่งดงาม และผิวขาวเนียนใสราวกับไข่มุก ในฐานะของเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซีย เรจีน่า อารีธา  ผู้ซึ่งความเก่งกาจในเชิงดาบของเธอไม่แพ้กับความงดงามของเธอ  ผู้เป็นอีกหนึ่งในความภูมิใจของชาวฟีเลเซียทั้งหลาย
                        เจ้าหญิงเรจิน่านั่งอยู่บนที่ประทับอย่างสงบและงดงามราวกับรูปสลักของเทพธิดาก็ไม่ปาน   ความงามของเธอดูสง่าและสูงศักดิ์สมกับที่เป็นเจ้าหญิงแห่งชาตินักรบที่แม้แต่บรรดาหญิงสาวสูงศักดิ์ทั้งหลายที่อยู่ในท้องพระโรงก็มิอาจเทียบได้   ใบหน้าของนางแต้มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความชื่นชมยินดีมิต่างจากพระมารดา  
                        ที่ข้างบัลลังก์นั้นเองบิชอปเกรเกอรี่(Gregory, the Bishop of Felasia)นักบวชหนุ่มแห่งฟีเลเซีย ยืนอยู่อย่างสำรวม ใบหน้าสงบเรียบแลดูสุขุมน่าเคารพ   ในมือถือไม้เท้าสีเงินแวววาว   เกรเกอรี่อยู่ในชุดสีขาวบริสุทธิ์คาดทอง  เสื้อตัวในและผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มอันเป็นสีของท้องฟ้ามีความหมายถึงความรักแห่งสรวงสวรรค์และเป็นสีแห่งสัจธรรมด้วย   เขาสวมหมวกประจำตำแหน่งสีขาวบริสุทธิ์ประดับอัญมณีสีน้ำเงินเข้มมีลวดลายสีทองยิ่งทำให้ดูสง่าและศักดิ์สิทธิ์นัก
                        เมื่อซิกมันต์เดินตรงเข้ามายืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์แล้ว   ราชินีอลิเซียจึงค่อยๆลุกจากบัลลังก์และเดินไปยืนอยู่หน้าที่ประทับทางด้านซ้าย   อันเป็นการบ่งบอกโดยนัยว่าการเป็นผู้สำเร็จราชการชั่วคราวของนางสิ้นสุดลงแล้วในวันนี้   นางยิ้มให้บุตรชายอย่างชื่นชม ในขณะที่เรจิน่าลุกขึ้นยืนและยิ้มอย่างให้กำลังใจผู้เป็นน้องชาย   ซิกมันต์ค่อยๆก้าวขึ้นสู่บัลลังก์อย่างองอาจและมั่นคง   เขาค่อยๆคุกเข่าลงหน้าบัลลังก์ช้าๆ   บรรดาเหล่าขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลายที่ยืนอยู่เบื้องล่างก็คุกเข่าลงทันที   บิชอปหนุ่มก้าวออกมายืนเบื้องหน้าพร้อมกับบรรดานักบวชชั้นผู้ใหญ่อีก10องค์ เพื่อทำพิธีแต่งตั้งด้วยความศักดิ์สิทธิ์     บิชอปหนุ่มและบรรดานักบวชชั้นผู้ใหญ่ต่างทำเครื่องหมายแห่งแสงสว่างที่บนมงกุฎ  ศาสตราวุธและเครื่องทรงในการออกศึกของกษัตริย์   โดยมีเสียงสวดมนต์และอวยพรจากบรรดานักบวชนับพัน   เกรเกอรี่ยกมงกุฎขึ้นสู่เบื้องบนจนสุดแขนราวกับจะยื่นไปให้ถึงสวรรค์ แสงสว่างส่องผ่านช่องหน้าต่างสูง  ทอดเป็นลำลงมายังมงกุฎจนสะท้อนออกมาเป็นแสงเงินแสงทองระยิบระยับ   เหล่านักขับร้อง ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ไพเราะจับใจดั่งเสียงแห่งทวยเทพเทวา
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: December 19, 2004, 03:45:23 AM »

                          “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสถิตในอาณาจักรสวรรค์อันสูงสุด   ได้ทรงโปรดประทานพระพรมายังข้าบริพารของพระองค์ผู้นี้   ให้ความบริสุทธิ์แห่งสวรรค์เป็นคุณธรรมแห่งท่าน   ให้ความศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์เป็นเกียรติแห่งท่าน   ให้ความสูงส่งแห่งสวรรค์เป็นบารมีแห่งท่าน   ให้เทวดาของพระเจ้าปกปักษ์รักษาข้างท่าน   ให้ท่านเป็นกษัตริย์ทรงคุณธรรม แห่งฟีเลเซีย อาณาจักรอันเป็นที่รองพระบาทพระเจ้า   ข้าแต่พระเจ้าสิ่งที่คั้นระหว่างสวรรค์และแผ่นดินคือลม   หากฟีเลเซียคือลม  ฟีเลเซียก็เปรียบดังที่รองพระบาทแห่งพระเจ้า    ขอพระองค์ทรงประทานพระพรแด่อาณาจักรของพระองค์ในโลกนี้   ให้ยืนยงสถาพรชั่วนิจนิรันดร์ ให้ชัยชนะแห่งฟีเลเซีย เป็นพระเกียรติมงคลของพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
                          เกรเกอรี่ค่อยๆลดมือลงจะกระทั่งมงกุฎมาอยู่ต่อหน้าซิกมันต์ที่3
                          “มงกุฎนี้เป็นเครื่องหมายแห่งพระราชอำนาจของพระเจ้าที่ได้ประทานแก่ท่าน”
                          เมื่อบิชอปหนุ่มกล่าวจบ   ก็ยกมงกุฎขึ้นสวมให้แก่ซิกมันต์ที่3   แล้วค่อยๆก้าวหลบไปยืนด้านข้าง  
                          กษัตริย์หนุ่มองค์ใหม่ลุกขึ้นเชื่องช้า เมื่อเขายืนขึ้นในเครื่องทรงกษัตริย์ พร้อมมงกุฎราชาแห่งฟีเลเซีย ก็สง่างาม ไม่เหมือนเด็กหนุ่มอีกแล้ว
                          “เราซิกมันต์ที่3จะดำเนินรอยตามพระราชดำริของกษัตริย์ซิกมันต์ที่2พระบิดาของเราที่จะปราบปรามอริศัตรู และ สัตว์ร้ายทั้งหลายที่เที่ยวรังควานชาวฟีเลเซียให้สิ้นซาก   และจะทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อนำมาซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีแห่งสายลมศักดิ์สิทธิ์   สายลมพัดเหนือผืนดิน  เหนือผืนน้ำ  เหนือเปลวไฟ  ลมยิ่งอยู่สูงยิ่งพัดกล้า  ศักดิ์ศรีแห่งฟีเลเซียคือศักดิ์ศรีแห่งสายลม”
                          “ขอจงทรงพระเจริญ  ขอจงทรงพระเจริญ”
                          เสียงแซ่ซ้องจากทุกสารทิศดังกึกก้องไปทั่วทั้งท้องพระโรง   ซิกมันต์ค่อยๆลุกขึ้นเดินก้าวขึ้นบังลังก์ สีขาวสลับทอง และมีรูปม้าบินเปกาซัสสีทองประดับที่พนัก และที่ท้าวแขน บัดนี้กษัตริย์องค์ใหม่แห่งอาณาจักรฟีเลเซียจากราชวงศ์อรีธานั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างสง่าสมความภาคภูมิ   บารมีและอำนาจแผ่ออกมาอย่างชัดเจนเมื่อเขาสวมเครื่องทรงกษัตริย์ครบครันบนบัลลังก์ใหญ่
                          บิชอปเกรเกอรี่ก้าวออกมายืนข้างบัลลังก์ของซิกมันต์พร้อมกับประกาศด้วยเสียงอันดังว่า
                          “เวลานี้แม่ทัพนายกองและขุนนางทั้งหลาย   จงกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณแสดงความจงรักภักดีต่อกษัตริย์องค์ใหม่ต่อหน้าพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า”
                          ชาร์ล คลาแรนซ์  ก้าวออกมายืนต่อหน้าบัลลังก์ในมือซ้ายถือดาบปักหัวลงข้างลำตัว   ส่วนมือขวานั้นยกขึ้นแตะที่เหนือหัวใจพลางประกาศด้วยเสียงอันดังว่า
                          “ข้าขอสาบาน ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าสูงสุด หากฟีเลเซียต้องการป้องกัน ข้าจะเป็นโล่ที่คอยปกปักษ์รักษา   หากฟีเลเซียต้องการสู้  ข้าจะเป็นดาบที่ประหัตศัตรู”
                          เกรเกอรี่ยกมือขึ้นอวยพรแก่ชาร์ล    จากนั้นบรรดาแม่ทัพนายกองและขุนนางจึงต่างทยอยกันขึ้นสาบานต่อหน้าพระที่นั่ง



                          ภายในห้องบรรทมของราชินีอลิเซีย   เสียงพูดคุยหยอกล้ออย่างสนุกสนานของสตรีสองนางดังแว่วออกมาเป็นระยะๆ
                          “จริงๆเลยนะลูกคนนี้   ช่างพูดให้แม่หัวเราะได้ตลอดเวลาเลย”
                          “โธ่ท่านแม่   ลูกพูดธรรมดานะเพคะ   พระองค์หัวเราะเองต่างหาก”
                          “ก็เพราะว่าลูกพูดจนเป็นเรื่องธรรมดาแล้วนะสิ   นี่ถ้าประชาชนเขารู้ว่าเจ้าหญิงที่แสนงามเพียบพร้อมของพวกเขาเป็นเจ้าหญิงที่บ้าบอแบบนี้พวกเขาคงจะต้องช็อคกันน่าดูชมเชียวล่ะ”
                          ราชินีอลิเซียใช้มือลูบหัวของบุตรสาวที่พาดซบอยู่บนตักของตนอย่างเอ็นดู   เรจิน่าผงกหัวขึ้น  พลางพูดด้วยเสียงร่าเริงว่า“ไม่มีทางเพคะ   ลูกรู้ว่าประชาชนต้องการอะไรและอยากจะเห็นอะไรจากลูก   และที่สำคัญลูกรู้ว่าเวลาไหนสมควรจะทำอะไรเพคะ”
                          ราชินีอลิเซียยิ้มอย่างภูมิใจในตัวบุตรสาว   “รู้จักคิดอย่างนี้ก็ดีแล้วล่ะจ้ะ”
                          นางเงยหน้าขึ้นมองภาพเหมือนของกษัตริย์ซิกมันต์ที่2  ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่กล่าวว่า“น่าเสียดายนะ   ถ้าพ่อของลูกยังมีชีวิตอยู่   วันนี้เขาคงจะยิ้มอย่างภาคภูมิใจ   เขาใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต   ใฝ่ฝันถึงวันนี้   วันที่จะได้สวมมงกุฎให้แก่ซิกมันต์ด้วยตัวของพระองค์เอง”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: December 19, 2004, 03:46:43 AM »

                       น้ำตาค่อยๆเอ่อล้นออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างขององค์ราชินี   เรจิน่ารีบกอดเข่าของพระมารดากล่าวว่า“ท่านแม่   อย่าร้องไห้สิเพคะ   ถ้าท่านแม่ยังร้องไห้อยู่อย่างนี้   ทูลกระหม่อมพ่อก็จะยิ่งเป็นห่วงนะเพคะ   ไม่แน่นะ  ตอนนี้ทูลกระหม่อมพ่ออาจจะอยู่ข้างๆสมเด็จแม่แล้วก็ได้   แล้วก็อาจจะกำลังพูดว่า...”
                       เรจิน่ารีบลุกขึ้นยืนต่อหน้าพระมารดาแล้วแกล้งทำท่าลูบเคราเหมือนที่กษัตริย์ซิกมันต์ที่2  ชอบทำ   ดัดเสียงให้ฟังแปร่งๆห้าวๆ
                       “เจ้าจะร้องไห้ทำไมกันอลิเซีย   รู้ไหมว่าเจ้าทำให้เราต้องรีบเหาะลงมาจากสวรรค์มาดูเจ้า”
                       อลิเซียยิ้มทั้งน้ำตาแล้วจึงลุกขึ้นหยิกแก้มทั้งสองข้างของบุตรสาว  
                       “อ้า...ฮั่น...แอ้.....อูก.....เอ็บ.....อ๊ะ...เอ..อ่ะ....”  เรจิน่าพยายามพูดทั้งๆที่ยังถูกหยิกแก้มจนปากยืด
                       อลิเซียหัวเราะออกมาได้ในที่สุดด้วยความขบขันใบหน้าของบุตรสาว    ก่อนจะปล่อยมือออกจากสองพวงแก้มนั้น  
                       “คิกๆ   เด็กบ๊อง”
                       เรจิน่ารีบยกมือขึ้นนวดแก้มของตน “ลูกว่าเชื้อความบ๊องของลูกต้องมาจากท่านแม่แน่ๆเพคะ ” เรจิน่าเอามือไปยืดแก้มของแม่บ้าง
                       “อ๋อย....แอ่ะ...เอ้า....อิ๋ง.......อัว......แอบ......”อลิเซีย ดึงแก้มลูกสาวของเธอคืน
                       ทันใดนั้นทั้งสองสังเกตเห็นร่างหนึ่งยืนตะลึงกับภาพที่เห็น ทั้งสองจึงปล่อยมือและหัวเราะออกมา   แต่ผู้ที่ยืนมองนั้นทำหน้าไม่ขำด้วย
                       “สมเด็จแม่กับท่านพี่ ทรงทำอะไรกันอยู่  ใครมาเห็นจะว่าเอาได้”
                       สาวน้อยยังขำไม่เลิก “ฮะ ฮะ ซิกมันต์สวมมงกุฎวันเดียวน้องมีรอยย่นที่หว่างคิ้วแล้วนะ”
                       ซิกมันต์รีบเอามือจับระหว่างคิ้วตัวเองอย่างไม่รู้ตัว อลิเซีย กับ เรจิน่าระเบิดเสียหัวเราะออกมาอีกครั้ง
                       “โธ่........ท่านพี่.......สมเด็จแม่ ถ้าใครมาเห็นข้าถูกหัวเราะเยาะแบบนี้ ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
                       เรจิน่าเอื้อมมือไปประคองแก้มน้องชาย “ก็ไว้ที่เดิมนี่แหละ ซิกมันต์    การห่วงสายตาคนอื่นเกินไปจะทำให้น้องมีรอยย่นที่หน้าผากเพิ่มอีกที่นะ”ราชินี อลิเซียหัวเราะออกมาอีก
                       ซิกมันต์จับมือพี่สาวออก “ท่านพี่ชอบแกล้งข้าเหมือนข้าเป็นเด็ก   ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
                       “ใช่จ้ะ วันนี้ลูกแม่เป็นผู้ใหญ่แล้ว”อลิเซียเอื้อมมือ ไปจับไหล่บุตรชาย
                       ซิกมันต์กุมมืออีกข้างของนางกล่าวขึ้น“และวันนี้ลูกก็ดีใจที่เห็นสมเด็จแม่หัวเราะออกมา   หลังจากไม่เห็นมาตั้งแต่......”
                       “ผลงานของพี่ไง   พี่มีหน้าที่ทำให้ท่านแม่หัวเราะ    มีแต่น้องนี่แหละ ที่พี่ต้องใช้ความพยายามเป็นสามเท่าเพียงเพื่อให้น้องยิ้มบ้าง    นี่.....มีรอยเหี่ยวข้างแก้มแล้ว” เรจิน่าลากนิ้ว ข้างมุมปากน้องชาย ซิกมันต์หน้ามุ่ย
                       “เรจิน่า..........ลูกนี่..............”
                       อลิเซียพยายามกลั้นหัวเราะ  แต่เมื่อเห็นว่าบุตรชายยังคงมีสีหน้าบึงตึงอยู่จึงได้เงียบเสียงลง   นางถอนหายใจเบาๆ  ยิ้มให้กับบุตรชาย“ซิกมันต์  อย่าทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งโลกไว้ตลอดเวลาสิจ๊ะ   เป็นกษัตริย์ก็มีเรื่องให้ต้องคิดมากพออยู่แล้ว   เมื่อมีโอกาสก็ผ่อนคลายบ้างเถิด”
                       “มันไม่สมควรสมเด็จแม่   ลูกเป็นกษัตริย์แล้ว   ลูกจะต้องเข็มแข็งเป็นเยี่ยงอย่างแก่อาณาประชาราษฎร์   ลูกจะทำแบบนั้นได้อย่างไร”ซิกมันต์พูดเสียงดังเกินกว่าที่จำเป็น มือกำแน่น  เขาชะงักไปเล็กน้อยกับกริยาของตนเอง  ก่อนที่จะพูดเสียงเบาลง
                       “ลูกขออภัยสมเด็จแม่   ลูกคงจะเครียดกับพิธีในวันนี้ไปหน่อย”
                       อลิเซียไม่ได้ตกใจแม้แต่น้อยกับกริยาของซิกมันต์   นางยิ้มอย่างเข้าใจ  กล่าวว่า “ลูกกลัวใช่ไหม   กลัวที่จะยอมรับว่ามีความกลัวแอบแฝงอยู่ในจิตใจของลูก   ลูกกลัวว่าจะเป็นกษัตริย์ที่เก่งกาจสมกับที่ใครๆคาดหวังไม่ได้ใช่ไหม”
                       ซิกมันต์มีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด   เขายกมือขวาขึ้นจับมือของมารดาโดยไม่รู้ตัว    เรจิน่ายิ้มให้กำลังใจซิกมันต์ เธอใช้มือทั้งสองข้างจับแขนข้างซ้ายของซิกมันต์ไว้
                       “ซิกมันต์   น้องคือความภาคภูมิใจของฟีเลเซีย  ของราชวงค์อรีธา  พี่เองก็ยังภูมิใจในตัวน้อง   น้องถูกฝึกฝนมาอย่างหนักเพื่อเป็นกษัตริย์มิใช่หรือ   น้องเกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์นะซิกมันต์   จะมีใครในแผ่นดินนี้เหมาะสมยิ่งไปกว่าน้องอีก”
                       “ลูกทำได้แน่นอนจ้ะ  ลูกต้องเป็นกษัตริย์ที่ดีและเก่งกาจได้แน่ๆ”  
                       “ขอบพระทัยสมเด็จแม่   ท่านพี่”
                       ซิกมันต์กล่าวก่อนจะยิ้มออกมา   รอยยิ้มที่นานเหลือเกินแล้วที่อลิเซียและเรจิน่าเคยเห็น  
                       หลังจากที่ซิกมันต์จากไป   ทำให้สองแม่ลูกอยู่ในห้องกันตามลำพังอีกครั้ง   เรจิน่ามองประตูที่ซิกมันต์เพิ่งจะเดินออกไปเมื่อไม่นานมากนี้  ก่อนจะกล่าวขึ้น
                       “น่าแปลกนะเพคะ   เมื่อสมัยที่ลูกยังเด็ก  ลูกเคยน้อยใจที่ทูลกระหม่อมพ่อไม่เคยใส่ใจดูแลกวดขันลูกเหมือนกับที่ทำกับน้อง   จนหลายๆครั้งที่ลูกต้องวิ่งมาหาสมเด็จแม่เพื่อร้องไห้และระบายความอัดอั้นตันใจกับพระองค์   แต่ทุกวันนี้ลูกกลับรู้สึกเป็นโชคดีของลูก    เพราะการเป็นรัชทายาทของซิกมันต์    ลูกถึงได้มีอิสระถึงเพียงนี้   ได้ทำอะไรอย่างที่ใจอยากทำ   ในขณะที่ซิกมันต์กลับต้องเรียนการปกครอง   ต้องถูกฝึกฝนเพลงดาบและการรบอย่างหนัก   ไม่ได้เที่ยวเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ  บ่อยครั้งที่ลูกรู้สึกติดหนี้บุญคุณน้องเพคะสมเด็จแม่”
                       “ลูกรัก  พระเจ้าสร้างมนุษย์แต่ละคนมาให้มีภารกิจหน้าที่แตกต่างกัน   สำหรับซิกมันต์นั้นเป็นภารกิจหน้าที่ของเขา   พ่อของลูกมีหน้าที่กรุยทางและเตรียมเขาให้พร้อมสำหรับหนทางข้างหน้า   ลูกเลิกคิดน้อยใจได้อย่างนี้ก็ดีแล้วจ้ะ   แม่ดีใจที่ลูกสาวของแม่เป็นเด็กที่เข้มแข็งและรู้จักคิด   พ่อของลูกก็ภาคภูมิใจในตัวลูกเช่นกันจ้ะ”
                       เรจิน่ายิ้มให้มารดาของตน  ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองภาพของบิดา   ฉับพลันความรู้สึกคิดถึงบิดาก็ก่อตัวขึ้นในใจของเธอทันที   น้ำตาเริ่มเอ่อขึ้นคลอเบ้า   เรจิน่ากระพริบตาถี่ๆก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วจึงค่อยฝืนยิ้มออกมา
   

« Last Edit: December 19, 2004, 03:47:40 AM by Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.078 seconds with 22 queries.