Summoner Master Forum
April 18, 2024, 03:02:25 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 19 ดวงตาปีศาจ @@  (Read 6587 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: December 19, 2004, 04:09:20 AM »

Chapter 19  ดวงตาปีศาจ


                     หลังจากที่ปรสิตพิษจากไปแล้ว   หากแต่การประชุมยังคงดำเนินต่อไปอย่างเคร่งเครียด   ทุกคนต่างก็ทุ่มเถียงกันถึงวิธีที่จะผ่านเจ้ามังกรยักษ์ไพทอนไปให้ได้   ทว่าก็ไม่มีใครสักคนจะสามารถหาวิธีผ่านมันไปได้   การประชุมที่ดูเหมือนจะยาวนานไม่มีที่สิ้นสุดทำให้ทุกคนเหนื่อยล้ากันเต็มที   ซาดินเองก็เห็นว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป  ขวัญและกำลังของทหารคงจะหมดไปในไม่ช้า   ทว่าตัวของเขาเองก็ไม่รู้จะผ่านเจ้ามังกรยักษ์ไปได้อย่างไรเช่นกัน   ยิ่งคิดก็ยิ่งให้หงุดหงิดรำคาญใจนัก  
                     “ฝ่าบาท   หม่อมฉันมีความคิดบางอย่างจะเสนอ   ไม่ทราบว่าพระองค์จะพอพระทัยหรือไม่”  บลาส เซจเอ่ยขึ้นในที่สุด
                     “รีบว่ามา” ซาดินกล่าวเสียงกะตือลือล้น
                     “หากเราไปทางช่องเขานี้ไม่ได้   และพระองค์ไม่ประสงค์จะอ้อมเทือกเขา   ก็เหลืออยู่ทางเดียว”บลาส เซจแสยะยิ้มพลางค่อยๆใช้นิ้วชี้ที่ยาวและเต็มไปด้วยรอยปูดโปนของกระดูกชี้ขึ้นฟ้า “ทางอากาศพ่ะย่ะค่ะ”
                     ทันใดก็เกิดเสียงพูดคุยโต้แย้งกระหึ่มจากบรรดาแม่ทัพนายกองจนฟังไม่ได้ศัพท์   ซาดินรีบยกมือขึ้นเป็นนัยให้เงียบเสียงลง   ก่อนจะใช้มืออีกข้างลูบคางพลางยื่นหน้ามาฟังอย่างตั้งใจ
                     “ว่าไป บลาส เซจ”  ซาดินสั่ง
                     “การไปทางอากาศนี้มิใช้การขนกองทัพทั้งหมดขึ้นไป   แต่เป็นการส่งกองทัพบางส่วนไปตัดกำลังของฟูดินันเสียก่อนเพื่อมิให้สามารถจัดกองทัพมาสู้กันเราได้ เมื่อกองทัพใหญ่เคลื่อนไปถึง  และยังเป็นการส่งคนไปสำรวจจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญๆของฟูดินันอีกด้วย   พระองค์คงจำได้ว่าเจ้ามังกรตัวนี้ก็จะคลุ้มคลั่งแม้แต่ในกรณีของภัยธรรมชาติ” บลาส เซจพูดพลางกางแผนที่ลงบนโต๊ะ  “บริเวณนี้คือป่าทมิฬซึ่งอยู่ติดกับเทือกเขาด้านตะวันตก   ซึ่งตามที่กระหม่อมสืบทราบมา  บริเวณนี้มีชนเผ่าเล็กๆหลายเผ่าอาศัยอยู่   และชนเผ่าบริเวณนี้เป็นชนเผ่าที่แข็งแกร่งและป่าเถื่อนที่สุดของฟูดินัน   ดังนั้นเราจะใช้พวกมันนี่แหละให้เป็นประโยชน์    หากเราส่งกองทัพขึ้นไปเผาป่าทมิฬนี่เพื่อล่อเจ้ามังกรใหญ่ให้มัวแต่สาละวนอยู่กับเทือกเขาด้านนี้   จังหวะนั้นเราก็เคลื่อนทัพไปอีกฟากหนึ่งของเทือกเขาฝั่งทิศตะวันออกที่ติดกับทะเลทางด้านนี้   แล้วข้ามเทือกเขาทางช่องเขานี้   การบุกเข้าฟูดินันก็ง่ายนิดเดียว”
                     “แล้วเราจะส่งกองทัพที่ว่าไปเผาได้ด้วยวิธีใดเล่า   ในเมื่อเพียงแค่มีจิตสังหารเจ้ามังกรนั่นก็อาละวาดแล้ว   ไอ้เจ้าตัวประหลาดเมื่อกี้ยังบอกเลยว่าพวกพรานล่าสัตว์ของฟูดินันยังขึ้นเขาแค่คราวละ3คนเท่านั้น”  ราโชยูถามขึ้น
                     “ถูกต้อง   เราส่งคนไปมากๆไม่ได้   ดังนั้นเราจึงจะส่งฝูงมังกรไฟบินข้ามหัวเจ้ามังกรยักษ์นี้ไปให้พ้นจากรัศมีที่มันจะสัมผัสถึงจิตสังหารได้   แล้วจัดการเผาป่าทมิฬเสียให้ราบเป็นหน้ากอง   ภารกิจในครั้งนี้เราจะใช้คนเพียงแค่2คนเท่านั้น  1คือผู้ควบคุมสัตว์แห่งซาโลมเพื่อการคุมทัพมังกร และอีก1คือผู้ที่ไม่มีจิตใจที่จะสู้รบแต่มีพลังมากพอที่จะเผาฟูดินันให้ราบได้ในพริบตา”
                     เมื่อพูดจบทุกคนก็หันไปมองเนริมอร์เป็นตาเดียว   ในขณะที่เนริมอร์ก็จ้องบลาส เซจราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ   บลาส เซจจ้องกลับ  แสร้งโค้งคำนับอย่างอ่อนน้อม
                     “พระนางคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะกระทำการนี้พ่ะย่ะค่ะ   เพราะพระนางมีความห่วงหาในพระโอรสเกินกว่าจะมีจิตใจที่จะออกรบ  ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าพระนางคือผู้เดียวในกองทัพที่ไม่มีจิตสังหาร”
                     “มีสิ  ข้ามีจิตสังหารที่จะฆ่าเจ้ายังไงล่ะ”  เนริมอร์ชะโงกตัวมาข้างหน้า  เหยียดริมฝีปากขึ้นพูดเป็นเชิงสัพยอกหากแต่แววตานั้นฉายแววชิงชังชัดเจน   เนื่องด้วยนางรู้ดีว่าแม้นนางจะโกรธเกลียดจนอยากจะปลิดชีพอุปราชเฒ่าเพียงใด     แต่ในยามศึกสงครามเช่นนี้ความขัดแย้งภายในเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับกองทัพ
                     “เนริมอร์”  ซาดินกล่าวเตือนเสียงเรียบ
                     เนริมอร์ถอยตัวกลับไปนั่งท่าเดิม  แล้วจึงเริ่มต้นกล่าวต่อ “ช่างแสนรู้เสียเหลือเกินนะ   ในเมื่อจะบินข้ามหัวเจ้ามังกรนั่นไปล่ะก็  จะเป็นคนที่มีจิตสังหารหรือไม่ก็ไม่ต่างกันมิใช่รึ”
                     บลาส เซจหัวเราะเบาๆ  ซึ่งนั่นก็เป็นการยั่วโทสะเนริมอร์ได้เป็นอย่างดี  “การจะข้ามไปโจมตีศัตรู   จะต้องหยุดซุ่มดูจุดยุทธศาสตร์ของศัตรูก่อนมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ  และการซุ่มดูนั้นแน่นอนว่าต้องดูจากที่สูง  แต่ถ้าอยู่บนฟ้าก็จะเป็นจุดเด่นเกินไป   ดังนั้นสังเกตการณ์ตามยอดเขาไหล่เขาย่อมจะดีกว่า   และแน่นอนว่าเจ้ามังกรยักษ์ก็คงจะสัมผัสได้ทันทีถึงจิตสังหาร   ฉะนั้นกระหม่อมจึงกล่าวว่าพระนางเหมาะสมที่สุดสำหรับภารกิจในครั้งนี้”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: December 19, 2004, 04:10:49 AM »

                      “ดี   ข้าเห็นด้วยกับความคิดของเจ้า   ในสถานการณ์เช่นนี้   วิธีนี้น่าจะดีที่สุด” ซาดินกล่าวขึ้น
                      “แต่ข้า...”  เนริมอร์กล่าวแย้งยังไม่ทันจบซาดินก็หันมาจ้องหน้านางเขม็ง “ก็ได้!  ถ้าเช่นนั้นหากข้าทำภารกิจเสร็จสิ้นเมื่อไหร่   ข้าขอกลับไปเยี่ยมลูกตามที่ท่านได้เคยให้สัญญาไว้กับข้า   เพราะถึงอย่างไรท่านก็ต้องเสียเวลาในการเดินทัพอยู่ดี   และเมื่อครบกำหนด3เดือนแล้วข้าก็จะตามไปสมทบที่ค่ายด้วยผ้าคลุมผืนนั้นทันที” เนริมอร์เสนอขึ้นอย่างมีความหวัง
                      ซาดินนั่นมิใคร่จะพอใจนักแต่เพื่อเป็นการตัดปัญหาจึงจำใจต้องอนุญาตเนริมอร์
                      “ก็ได้   ข้าอนุญาต”
                      เนริมอร์ยิ้มกว้างดวงตาพราวระยับ   บัดนี้ในใจของนางมีแต่ความโลดเต้นยินดีที่จะได้กลับไปหาลูกชายจนลืมความขุ่นข้องหมองใจเมื่อสักครู่ไปจนหมดสิ้น
                      “ได้  จัดทัพให้ข้า   พรุ่งนี้เช้ามืดข้าพร้อมจะออกเดินทางทันที”
ทุกคนต่างโล่งใจไปตามๆกันเมื่อองค์ราชาและมหารานีตกลงกันได้ในที่สุด  
“น่าเสียดายนัก   ข้าไม่อยากพลาดดูเหตุการณ์อันน่าอภิรมย์นี้เลย   ถ้าเพียงข้าข้ามไอ้เจ้ามังกรนั่นไปได้...”  ซาดินพูดอย่างเสียมิได้
                      แบล็ค ไวเซอร์ รีบก้าวออกมายืนต่อหน้าบัลลังก์ทันที   พลางโค้งตัวลงเพียงเล็กน้อย แสยะยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ “กระหม่อมสามารถทำให้พระองค์ติดตามสถานการณ์นี้ได้อย่างใกล้ชิดโดยมิพลาดการณ์แม้สักนาทีพ่ะย่ะค่ะ   พระองค์จะได้ทอดพระเนตรราวกับทรงทอดพระเนตรด้วยตาเปล่า”
                      “จริงรึ  เจ้าจะทำได้ด้วยวิธีใดกัน”  น้ำเสียงของซาดินแสดงความตื่นเต้นดีใจขึ้นทันที
                      แบล็ค ไวเซอร์ พยักหน้าให้บลาส เซจ เป็นสัญญาณ    บลาส เซจ ก็รีบหันไปสั่งการทหารรับใช้สองสามคำ   แล้วทหารนายนั้นก็รีบวิ่งออกจากกระโจมไปอย่างรวดเร็ว   สักพักก็กลับเข้ามาพร้อมกับนายทหารอีกสี่นายซึ่งแบกอ่างน้ำขนาดใหญ่ที่มีน้ำบรรจุอยู่เต็มใบเข้ามา
                      “เอาล่ะ   เจ้านกที่น่ารักของข้า   ถึงตาเจ้าแสดงฝีมือแล้ว”  แบล็ค ไวเซอร์พูดด้วยเสียงแห้งต่ำกับสัตว์เลี้ยงของตน   ซึ่งมันก็ผงกหัวรับคำผู้เป็นนายพลางบินไปเกาะที่ขอบอ่าง   แบล็ค ไวเซอร์ยกมือขึ้นต่อหน้ามันแล้วเริ่มส่ายไปมือไปมาเป็นจังหวะพร้อมกับร่ายเวทย์   ดวงตาทั้งสี่ของนกปีศาจก็ส่ายตามมือของแบล็ค ไวเซอร์   เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเจ้านกปีศาจก็เริ่มเหมือนตกอยู่ในภวังค์   ตัวของมันเริ่มโงนเงนเหมือนทรงตัวไม่อยู่และเมื่อพ่อมดดำหยุดเคลื่อนมือไปมาเจ้านกปีศาจก็ตัวแข็งทื่อไม่ต่างกับท่อนไม้   พ่อมดดำยิ้มพอใจก่อนที่จะใช้มือขวาควักลูกตาบนซ้ายของนกปีศาจออกมาช้าอย่างน่าสยดสยอง   หากแต่เจ้านกปีศาจกลับยังสงบนิ่งไม่ไหวติงเหมือนหุ่นไม้อยู่เช่นนั้น   ทันทีที่ลูกตาถูกควักออกมาเลือดปีศาจสีดำสนิทที่ไหลออกมาก็เดือดพล่านและไหลกลับเข้าไปในเบ้าตาที่กลวงโบ๋นั้นยังกับมีชีวิต  แผลที่ถูกเปิดก็ค่อยๆเล็กลงๆจนสมานปิดกลายเป็นเนื้อเดียว  เวลานี้ไม่เหลือร่องรอยว่าเคยมีดวงตาอยู่ที่นั่นแม้สักนิด   และเมื่อแผลหายสนิทเจ้านกปีศาจก็กลับมีชีวิตอีกครั้ง   มันบินกลับไปเกาะที่ไหล่เจ้านายของมันเหมือนไม่อะไรเกิดขึ้น  ดูราวกับว่ามันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าบัดนี้มันเหลือดวงตาแค่สามดวงเท่านั้น   ซึ่งได้สร้างความอัศจรรย์ใจและประหวั่นพรั่นพรึงในคาถาอาคมของพ่อมดดำผู้นี้แก่ทุกคนในที่ประชุมกันถ้วนหน้า
                      ส่วนลูกตาที่ถูกควักออกมานั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือดปีศาจสีดำสนิทจนมือของแล็ค ไวเซอร์กลายเป็นสีดำเพราะเลือดปีศาจไปด้วย   พ่อมดดำจุ่มมือข้างที่ถือลูกตาลงไปในอ่างน้ำพลางแกว่งไปมาจนทั่วทั้งอ่างกลายเป็นสีดำสนิท  
                      เมื่อพ่อมดดำยกมือขึ้นจากอ่างน้ำ   ลูกตาของนกปีศาจกลับใสแจ๋วไม่ต่างลูกแก้วเลยสักนิด   พ่อมดดำถือลูกตาแก้วไว้ในมือซ้ายส่วนมือขวานั้นก็จุ่มไม้เท้าลงไปในอ่าง  เพียงแค่ลูกแก้วบนยอดไม้เท้าสัมผัสถูกน้ำในอ่างมันก็ส่องประกายสีเขียวขึ้นทันที   แบล็ค ไวเซอร์เริ่มต้นท่องคาถาอีกครั้ง   เพียงไม่กี่อึดใจก็เกิดหมอกควันสีขาวขึ้นเหนือผืนน้ำในอ่างนั้น   พ่อมดดำชักไม้เท้าของตนขึ้นจากน้ำก่อนจะยืนมือที่ถือลูกตาแก้วขึ้นต่อหน้าซาดิน
                      “พระองค์จะได้ทอดพระเนตรความอัศจรรย์ ณ บัดนี้”
                      พ่อมดเป่าลมเบาๆเหนือกลุ่มหมอกควันนั้น  กลุ่มหมอกก็สลายไปในอากาศทันทีเผยให้เห็นน้ำที่ใสสะอาดภายในอ่าง   น้ำสีดำเมื่อสักครู่เปลี่ยนเป็นน้ำใสอีกครั้งและกำลังเปลี่ยนสถานะอีกครั้ง   น้ำค่อยๆเกิดระลอกคลื่นเล็กๆรอบๆขอบอ่าง   ทุกๆครั้งที่เกิดระลอกคลื่น  ภาพบางอย่างก็ค่อยๆปรากฎขึ้นบนผิวน้ำโดยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ    ทุกคนในห้องต่างจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ   ในน้ำนั้นปรากฏเป็นภาพของซาดินและเนริมอร์นั่งอยู่บนบังลังก์   เมื่อพ่อมดดำเคลื่อนมือที่ถือลูกตาแก้วไปทางใด    ภาพในน้ำก็เคลื่อนตามอย่างน่าอัศจรรย์
                      “เพียงแค่พระนางนำลูกตาแก้วนี้ติดตัวไปด้วย   ฝ่าบาทก็จะสามารถติดตามสถานการณ์ได้ชนิดที่ว่ามิพลาดแม้สักนาทีพ่ะย่ะค่ะ”  พ่อมดดำกล่าว
                      “ฮ่า ฮ่า  ฮ่า ดีมาก   เจ้าคือสุดยอดพ่อมดจริงๆ  แบล๊ค ไวเซอร์” ซาดินหัวเราะชอบใจ  “ข้าแทบจะทนรอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้ว  ฮ่า ฮ่า”



                      รุ่งสางของวันใหม่เมื่อแสงแรกของดวงอาทิตย์เพิ่งจะจับที่เส้นขอบฟ้า   ฝูงมังกรไฟ และมังกรไฟนิลทินโคออน(Niltincoion, the Fire Dragon)กว่าสองร้อยตัวก็โผทะยานขึ้นสู่ห้วงอากาศมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้   สีแดงสดของฝูงมังกรไฟตัดกับสีฟ้าอ่อนๆของท้องฟ้าดูสะพรึงน่ากลัวยิ่งนัก   ที่หัวขบวนนั้นราชินีแห่งซาโลมในชุดสีแดงเพลิงพร้อมคฑาเวทย์คู่กายกำลังขี่ซาลามันเดอร่าของตนบินไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ   โดยมีผู้ควบคุมสัตว์แห่งซาโลม(Zalom Tamer)คอยเร่งเหล่ามังกรไฟให้ตามองค์ราชินีไปไม่ห่าง    
กองทัพมังกรไฟของเนริมอร์ต้องใช้เวลาถึง1วันเต็มในการบินข้ามเทือกเขาคีรีบันดาเพราะความกว้างใหญ่ของมหาเทือกเขา   ซ้ำนางยังต้องบินให้สูงพอที่จะพ้นจากการสัมผัสจิตสังหารของไพทอนมังกรเทพผู้พิทักษ์อีกด้วย    กว่าเนริมอร์จะหาไหล่เขาที่ปลอดภัยพอที่จะตั้งกระโจมที่พักและต้องเป็นลานที่ใหญ่พอจะจุมังกรไฟทั้งหมดได้เวลาก็ล่วงเลยไปมากแล้ว   นางได้เลือกไหล่เขาที่ทอดยาวตามแนวเขาทิศตะวันตกของคีรีบันดาที่มีแง่งหินขนาดใหญ่เป็นที่พักและกำบังฝูงมังกรจากสายตาของศัตรูเบื้องล่าง   ในขณะที่ผู้ควบคุมสัตว์ก็สั่งฝูงมังกรให้ยืนล้อมรอบกระโจมที่พักเป็นกำแพงมังกรไฟเพื่อป้องกันอันตรายต่างๆที่อาจเกิดขึ้น    
                      ราชินีแห่งซาโลมยืนมองแสงไฟดวงเล็กๆริบหรี่นับร้อยที่กระจัดกระจายเป็นหย่อมๆทั่วพื้นป่ารกทึบเบื้องล่าง   ผืนป่าที่อยู่เบื้องล่างนั้นดูแปลกใหม่และน่าตื่นตาสำหรับชาวทะเลทรายเช่นนางนัก   แสงจากดวงจันทร์กลมโตใสกระจ่างสาดส่องเหนือเหล่าต้นไม้ที่ขึ้นจนดูหนาทึบแซมด้วยแสงไฟดวงเล็กนับร้อยนับพันราวกับทะเลเมฆสีเขียวหม่นที่มีดวงดาวประดับประดาอยู่เต็มผืนเมฆ   นางพยายามจดจำและคะเนระยะห่างของแสงไฟเหล่านั้น    โดยแสงไฟที่เกาะรวมกันเป็นกลุ่มนั้นย่อมหมายถึงที่ตั้งของชุมชนแน่นอน   นางวาดแผนที่คราวๆเพื่อใช้เปลี่ยนเทียบกับเวลาที่ฟ้าสว่างแล้ว    ต้นไม้ยักษ์ขนาดมหึมาที่ใหญ่โตจนดูเหมือนภูเขาลูกย่อมๆก็โบกไหวตามแรงลมยามค่ำคืนอย่างแช่มช้อย   เนริมอร์มองต้นไม้ยักษ์ด้วยความรู้สึกที่มิอาจบรรยายได้ก่อนที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของลูกชายจะค่อยๆปรากฏขึ้นในมโนสำนึกของนาง  
นางยิ้มอย่างเป็นสุข  “ลูกรักแม่กำลังจะได้กลับไปหาเจ้าแล้ว”
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.075 seconds with 22 queries.