Summoner Master Forum
April 19, 2024, 07:59:45 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 37 เต่าบินยักษ์วอลเนีย @@  (Read 7882 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: December 01, 2005, 05:49:14 AM »

Chapter 37 เต่าบินยักษ์วอลเนีย
[/size][/b]


                       เวลานั้นสงครามที่เมืองวอลเนียและเอรีมกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด   กองทัพซาโลมนำโดยราชินีเนริมอร์และแม่ทัพราโชยูกรีฑาทัพเรือนแสนรวมทั้งฝูงมังกรไฟกระหน่ำโจมตีเมืองเอรีม   ในขณะที่บลาส เซจนำกองทัพผีนรกกว่าเจ็ดหมื่นตัว ฝูงสัตว์ป่าและทัพมนุษย์กว่าแสนนายบุกเมืองวอลเนียอย่างหนัก โดยทางฟากทุ่งคีราก็วางกำลังทหารตรึงเขตแดนไว้อย่างเหนียวแน่น   ซ้ำยังมีการลำเลียงซากศพจากสนามรบจำนวนมากกลับค่ายเพื่อให้แบล็ค ไวเซอร์เปลี่ยนร่างให้กลายเป็นทหารปีศาจตลอดทั้งกลางวันกลางคืน
                       ข้างฝ่ายฟีเลเซียเองก็ทุ่มเทกำลังปกป้องเมืองทั้งสองอย่างเต็มกำลัง   จอมทัพชาร์ลถูกเรียกตัวกลับขึ้นมาบัญชาการทัพที่เมืองวอลเนียทันทีเช่นกัน   แต่แม้จะมีกองทัพหลวงกว่าสี่หมื่นหกพันนายที่เจ้าหญิงเรจิน่าทรงยกขึ้นมาช่วยเสริมแล้วก็ตาม   ทว่าก็ดูเหมือนกองทัพฟีเลเซียจะเริ่มต้านกองทัพที่มากมายมหาศาลของซาโลมไม่ไหว   โดยเฉพาะที่เมืองวอลเนีย   เนื่องจากเมืองวอลเนียถูกโจมตีอย่างหนักจนทั้งเมืองแทบจะราบเป็นหน้ากลองตั้งแต่เมื่อคราวที่ราชินีเนริมอร์ บลาส เซจและแบล็ค ไวเซอร์นำทัพบุกเข้าโจมตีครั้งก่อน   ทั้งกำแพงเมืองและบ้านเรือนก็ถูกทำลายและเผาจนแทบใช้การไม่ได้   ทำให้การป้องกันเมืองจากกองทัพผีเต็มไปด้วยความยากลำบากอย่างที่สุด  
                       ฟีเลเซียนั้น   นอกจากจะต้องรับศึกหนักถึงสองด้านแล้ว   กองทัพยังต้องแบ่งกำลังทหารบางส่วนเพื่อตรึงกำลังในเขตทุ่งคีราด้วยเช่นกัน   ซ้ำซากศพของทหารที่ตายไปในสนามรบยังถูกพวกซาโลมนำกลับไปเป็นวัตถุดิบในการสร้างกองทัพปีศาจจนปริมาณของกองทัพผีนรกเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย  ๆ  อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น  
   
                       ณ โถงกว้างภายในปราสาทของเจ้าเมืองเอรีมซึ่งถูกใช้เป็นที่บัญชาการรบของกองทัพฟีเลเซีย   บรรดาแม่ทัพนายกองล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียดและขุ่นเคือง   สถานการณ์ในขณะนี้ฟีเลเซียกำลังตกเป็นรองศัตรูและอาจจะต้องเสียเมืองวอลเนียไปนั้นยากนักที่ทุกคนจะทำใจยอมรับได้
                       บนบัลลังก์นั้นกษัตริย์ซิกมันต์ที่สามและเจ้าหญิงเรจิน่าประทับอยู่ด้วยอารมณ์ที่ไม่แตกต่างจากเหล่าแม่ทัพนายกองเท่าไหร่นัก   โดยเฉพาะกษัตริย์ซิกมันต์ดูจะทรงเคร่งเครียดและขุ่นเคืองใจยิ่งกว่าใคร   พระองค์ทรงนั่งอย่างไม่เป็นสุขอยู่บนที่ประทับ กรามขบกันแน่น  ดวงเนตรแข็งกร้าว   การที่ต้องยอมรับว่าพระองค์อาจไม่สามารถรักษาเมืองวอลเนียได้นั้นสร้างความอับอายและเคืองแค้นจนตัวสั่น   เจ้าหญิงเรจิน่าเองก็ทรงอยู่ในอาการเคร่งเครียดจนแทบจะกลายเป็นคนเงียบขรึม   ทรงเม้มริมฝีปากแน่นพยายามคิดหาวิธีที่จะรักษาเมืองวอลเนียไว้ให้ได้   ฝ่ายแม่ทัพชาร์ล คลาแรนซ์ก็ดูมีอาการกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด   สีหน้าของเขาดูเหน็ดเหนื่อยและอิดโรยจากการสู้รบที่ต่อเนื่องยาวนานตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเพราะเขาแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลย   เนื่องจากกองทัพซาโลมบุกเข้าโจมตีเมืองวอลเนียเกือบทั้งวันทั้งคืน
                       “หน่วยสอดแนมรายงานมาว่าฝ่ายซาโลมเตรียมส่งกองทัพปีศาจกว่าหกหมื่นตัวและทหารมนุษย์อีกกว่าแปดหมื่นนายเข้ามาเสริมทัพที่วอลเนียพ่ะย่ะค่ะ   ครั้งนี้กษัตริย์ซาดินยกทัพมาเอง   อีกไม่เกินหนึ่งวันคงเข้าประชิดเมืองวอลเนียแน่” ทหารนายหนึ่งรีบเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว
                       “บ้าชะมัด!พวกมันเพิ่มจำนวนได้รวดเร็วอย่างกับเชื้อโรคแหนะ” ชาร์ลสบถด้วยความหงุดหงิดและเคร่งเครียด
                       “ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปเราคงลำบาก   ทหารที่เมืองวอลเนียแทบจะไม่ได้พักรบกันเลย   ศึกที่เอรีมนี้ก็หนักหนาจนไม่สามารถแบ่งทัพไปช่วยเสริมกำลังได้อีกแล้ว” เจ้าหญิงตรัสเสียงเครียด
                       “ไอ้แม่ทัพทมิฬนั่นก็หนังเหนียวเป็นบ้า   ตกจากที่สูงขนาดนั้นยังมีชีวิตอยู่ได้   ซ้ำยังเสนอหน้ามานำทัพบุกเมืองเอรีมอีก   น่าโมโหจริง  ๆ  ”  กษัตริย์ซิกมันต์ตรัสเสียงกร้าว
                       “ฝ่าบาท กษัตริย์เถื่อนนำทัพมาเอง   ดูท่าคราวนี้คงหมายจะยึดเอาเมืองวอลเนียให้ได้” เจ้าเมืองเอรีมกล่าวด้วยความหวั่นวิตก
                       “กษัตริย์ซาโลมนอกจากจะมีฝีมือร้ายกาจแล้วยังมีความทรหดอย่างยิ่งอีกต่างหาก   ที่ทุ่งคีรากษัตริย์เถื่อนคนเดียวก็จัดการทหารเปกาซัสไปเกือบร้อยนาย   ขนาดสู้กับแม่ทัพโรน่าเป็นชั่วโมง  ๆ  ยังไม่มีอาการเหนื่อยอ่อน   ซ้ำยังสามารถทำร้ายนางได้ถึงขนาดนั้น” แม่ทัพมังกรวิเคราะห์
« Last Edit: December 01, 2005, 05:49:35 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: December 01, 2005, 05:50:56 AM »

                        “ดีที่นางเอี้ยวตัวหลบกระบองได้ทันจึงแค่บาดเจ็บ   มิฉะนั้นเราคงเสียแม่ทัพเปกาซัสฝีมือดีไปแล้ว” แม่ทัพผู้ฝึกมังกรหญิงกล่าว “หากกษัตริย์เถื่อนผู้นี้ยกทัพมาถึงวอลเนียได้กองทัพเราคงเจอศึกหนักแน่”
                         “ฝ่าบาท   ทหารของเราลดจำนวนลงเรื่อย ๆ   แต่ทหารของพวกมันกลับเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้   ข้าพระองค์เกรงว่าเราอาจจะไม่สามารถรักษาวอลเนียไว้ได้” แม่ทัพนกกล่าวขึ้น  
                        “เราจะสูญเสียวอลเนียไปไม่ได้” กษัตริย์ซิกมันต์คำรามเสียงลอดไรฟัน   ทรงกระแทกกำปั้นลงบนที่ท้าวแขนอย่างแรง    ทุกคนต่างนิ่งเงียบ   ไม่มีใครอยากเสียเมืองวอลเนียให้ศัตรู   ต่างมองหน้ากันพยายามคิดหาวิธีที่จะป้องกันเมืองไว้ให้ได้   แต่ ณ เวลานี้ความหวังดูจะริบหรี่เต็มที  
                        “อาจยังพอมีวิธี...” จอมทัพชาร์ลเปรยเสียงเบาคล้ายจะพูดกับตัวเองมากกว่าจะเอ่ยให้ใครได้ยิน   แต่เมื่อรู้สึกตัวก็รีบส่ายหน้าเร็ว  ๆ  เหมือนไม่คิดที่จะพูดต่อ
                        “อะไรหรือ ท่านแม่ทัพ?” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงกระตือรือร้น
                        “ไม่มีอะไรหรอก... มันไร้สาระ   อย่าใส่ใจเลย” ชาร์ลบอกปัด
                        “ไม่หรอกท่านแม่ทัพ   โปรดพูดมาเถิด   ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร   มันอาจจะมีประโยชน์ก็ได้” เจ้าเมืองเอรีมคะยั้นคะยอ   แม่ทัพใหญ่จึงหันไปมองกษัตริย์แห่งสายลมเหมือนจะชั่งใจว่าตนควรพูดหรือไม่
                        “ลองว่ามาสิ” กษัตริย์ซิกมันต์ทรงสนับสนุนด้วยอีกแรง   ในขณะที่เจ้าหญิงเรจิน่าก็ทรงพยักพระพักตร์เห็นด้วยเช่นกัน
                        “พ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลค้อมศีรษะน้อย  ๆ  รับคำ  กล่าวไม่เต็มเสียงนักคล้ายมิเต็มใจที่จะกล่าวทูล “หม่อมฉันคิดว่าหากเราสามารถยกวอลเนียขึ้น...”
                        “ยกวอลเนีย?!?” กษัตริย์ซิกมันต์ที่สามและเจ้าหญิงเรจิน่าทรงอุทานออกมาแทบจะทันทีพร้อมกับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกระหึ่มไปทั่วห้อง
                        “ทูลฝ่าบาท” แม่ทัพที่ดูสูงวัยที่สุดวิเคราะห์ขึ้น “จริงอยู่ว่าตามประวัติศาสตร์การตั้งเมืองที่ชาวฟีเลเซียร่ำเรียนกันมาตั้งแต่เด็ก   มีบันทึกไว้ว่าเมืองวอลเนียนั้นตั้งอยู่บนหลังของเต่าบินยักษ์ที่จำศีลมาตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน   ถ้าหากเราสามารถยกวอลเนียขึ้นแล้วย้ายเมืองไปตั้งที่อื่นที่ปลอดภัยแทน   เราก็จะสามารถรักษาเมืองไว้ได้โดยมิตั้งเสียเลือดเนื้อเลย”
                        “ไม่มีทาง   วิธีการที่ไม่ต่างอะไรกับการยกทัพหนีเช่นนี้” กษัตริย์แห่งสายลมตรัสเสียงแข็ง “วิธีการขี้ขลาดเช่นนี้ข้าไม่ทำเด็ดขาด”
                        “เราก็ไม่เห็นด้วย” เจ้าหญิงตรัส “มันเหมือนยอมรับว่ากองทัพของเราอ่อนแอจนต้องยกเมืองหนี   แล้วอย่างนี้พวกทหารจะไปมีกำลังใจต่อสู้ได้อย่างไร?”
                        “มันก็แค่ความคิดหนึ่งเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ   กระหม่อมเองก็ไม่ค่อยชอบใจกับความคิดนี้เช่นกัน   ถ้าเป็นไปได้กระหม่อมก็อยากให้มันเป็นทางเลือกสุดท้ายที่เราจะทำ   แต่กระหม่อมยังไม่เห็นทางไหนที่เราจะสามารถรักษาเมืองวอลเนียไว้ได้อย่างแน่นอนเท่ากับวิธีนี้เลย   ถ้าเราเสียเมืองวอลเนียไป   เหล่าทหารก็จะยิ่งไม่มีกำลังใจต่อสู้เพราะเมืองวอลเนียเป็นที่ตั้งของวิหารฟรานเชสก้า   หากแม้วิหารของนางฟ้าแห่งดาบยังถูกล่วงละเมิด   พวกทหารจะต้องคิดว่านางฟ้าแห่งดาบหันหลังให้พวกเขาแล้ว   แล้วพวกเขาจะเอากำลังใจจากที่ไหนมาต่อสู้ได้อีกเล่า?” แม่ทัพใหญ่กล่าว   ซึ่งทุกคนต่างก็เห็นด้วย   เวลานี้ขวัญและกำลังใจของทหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
                        “แต่ก็ไม่มีใครรู้วิธีปลุกเต่าบินให้ตื่นจากการจำศีลได้มิใช่หรือ?” แม่ทัพมังกรขมวดคิ้วถาม “มันไม่เคยมีบันทึกไว้ที่ไหนทั้งนั้น   แล้วเราจะปลุกมันด้วยวิธีใดกัน?”  
                        “ขออภัยท่านแม่ทัพ   ท่านแน่ใจหรือว่าใต้เมืองวอลเนียเป็นเต่าบินจริง  ๆ  ?   ข้าไม่เห็นหลักฐานใด  ๆ  บ่งชี้ว่าข้างใต้นั้นเป็นเต่ายักษ์เลย   นอกจากความรู้ที่ร่ำเรียนและเรื่องเล่าที่ได้รับการบอกต่อ  ๆ  กันมา” แม่ทัพอีกคนหนึ่งถามด้วยความแคลงใจ
                        “ก็เพราะเหตุนี้ข้าจึงไม่คิดจะพูดถึงมันอย่างไรล่ะ” ชาร์ลถอนหายใจแรง “มันอาจจะเป็นแค่ตำนานโบราณก็ได้”
                        กษัตริย์ซิกมันต์ทรงทอดพระเนตรไปทางทิศที่ตั้งเมืองวอลเนีย สมองเหมือนจะขบคิดบางสิ่งบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนดวงเนตรดูแข็งกร้าว   ฟันขบแน่นด้วยอารมณ์กรุ่น   พระองค์ทรงระบายหายใจแรงด้วยความขัดเคืองก่อนจะทรงปิดเปลือกตาลงตรัสเสียงหนัก “ข้ารู้วิธี”
                        ทุกคนแทบจะหันมามองกษัตริย์ซิกมันต์เป็นตาเดียว   ดวงตาทุกคู่เต็มไปด้วยคำถามที่ดูราวกับคิดออกมาจากสมองเดียวกัน   เจ้าหญิงเรจิน่าผู้ชึ่งก็ทรงรู้คำตอบดีพอ  ๆ  กับกษัตริย์ซิกมันต์จึงเป็นผู้ไขข้อข้องใจให้  
                        “วิธีปลุกเต่ายักษ์เป็นความลับที่ถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นเฉพาะคนในราชวงศ์เท่านั้น”
                        “เมืองวอลเนียตั้งอยู่บนหลังของเต่ายักษ์จริง  ๆ  รึนี่?” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความพิศวง   ในขณะที่คนอื่น  ๆ  ก็อยู่ในอาการไม่ต่างกันเท่าไหร่   เพราะแม้ว่าชาวฟีเลเซียทุกคนจะรู้และเคยได้ยินเรื่องตำนานเต่าบินยักษ์จำศีล   แต่เพราะไม่เคยมีใครเห็นเต่าบินจริง  ๆ  เลยสักครั้ง   หรือรู้สึกถึงความมีตัวตนของเต่ายักษ์ใต้ฝ่าเท้าของตน   จึงไม่มีใครเชื่ออย่างหมดใจว่าจะเป็นเรื่องจริงและต่างก็คิดว่าเป็นเพียงตำนานเก่าแก่โบราณอีกเรื่องหนึ่งเท่านั้น
                        “ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงและข้าจะรู้วิธีปลุกเต่าบินจากการจำศีล   แต่วิธีอ่อนแอและไร้เกียรติเช่นนี้...” ซิกมันต์กล่าวอย่างหงุดหงิด
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: December 01, 2005, 05:52:06 AM »

                      “ฝ่าบาท   นี่อาจจะเป็นวิธีที่จะทำให้เรารักษาเมืองไว้ได้โดยเสียกำลังพลน้อยที่สุดนะพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพนกกล่าวขึ้น
                      “กระหม่อมทราบดีว่าพระองค์รู้สึกเช่นไร   แต่เวลานี้กองทัพซาโลมเคลื่อนทัพใกล้เข้ามาทุกที   เมืองวอลเนียแทบจะไม่เหลือกำแพงไว้ป้องกันเมืองได้แล้ว   หากการยกวอลเนียขึ้นจะสามารถรักษาวิหารนางฟ้าแห่งดาบและชีวิตทหารฟีเลเซียอีกนับหมื่นชีวิตไว้ได้   ข้าพระองค์เห็นว่ามันก็เป็นการสมควรอยู่” เจ้าเมืองเอรีมเสนอ
                      “นอกจากนั้น   เหล่าทหารยังไม่ต้องถูกแบ่งกำลังไปเนื่องจากการรบทัพจับศึกหลายด้าน   ทำให้การหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกำลังพลในกองทัพทำได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้นด้วย” แม่ทัพอีกนายกล่าวเสริม
                      “หากคิดในอีกแง่หนึ่ง   การยกวอลเนียขึ้นจะทำให้เรามีที่โล่งแจ้งขนาดใหญ่   เราอาจจะสามารถใช้มันเป็นสนามรบและหลอกล่อให้กองทัพซาโลมมารบกับเราที่บริเวณนี้แทน   ซึ่งมีโอกาสสูงที่เมืองอื่น ๆ จะปลอดภัยจากการรุกรานของจักรวรรดิซาโลม” ชาร์ลออกความเห็น
                      แม่ทัพทุกฝ่ายต่างก็เห็นด้วยกับผลประโยชน์ทางการทหารที่จะได้รับจากการยกวอลเนียขึ้น   กษัตริย์ซิกมันต์ทรงเงียบขรึมลงและอยู่ในอารมณ์เคร่งเครียดอีกครั้ง   เจ้าหญิงเรจิน่าทรงถอนหายใจแรงก่อนจะรับสั่ง
                      “ที่พวกท่านกล่าวมาก็จริง   สิ่งที่จะได้จากการยกวอลเนียขึ้นล้วนแต่เป็นประโยชน์กับกองทัพทั้งสิ้น  เราไม่มีข้อโต้แย้งใด  ๆ  ในเรื่องนี้” เจ้าหญิงทรงยอมรับในที่สุด   แต่ก็ทรงมองไปทางน้องชายด้วยความเป็นห่วง   ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่น้องชายผู้หยิ่งทะนงของพระองค์จะยอมรับวิธีที่ดูเหมือนคนใจเสาะเช่นนี้
                      กษัตริย์ซิกมันต์ทรงเหลือบดวงเนตรที่ฉายแววแข็งกร้าวมาสบตาพี่สาว   ความเครียดดูจะก่อตัวเป็นกระแสลมพัดกระพืดเป็นระลอกอยู่รอบตัว   พระองค์ทรงใช้เวลาอยู่นานกว่าจะรับสั่งออกมา
                      “เสด็จพี่คิดว่าข้าจะปฏิเสธได้หรือ?” กษัตริย์ซิกมันต์ตรัสเหมือนจะเย้ยหยันตัวพระองค์เอง   พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมเสียงไม่ให้กลายเป็นตะคอก “แม้ข้าจะไม่อยากยกวอลเนียขึ้น   เพราะมันเหมือนกับเป็นการยอมรับว่าข้าไร้ความสามารถที่จะปกป้องวอลเนีย   แต่การเสียวอลเนียนั้นน่าอดสูยิ่งกว่า”
                      เจ้าหญิงทรงทราบดีว่าน้องชายของพระองค์ต้องทนข่มความอับอายมากเพียงไหน   พระองค์จึงทรงหันไปยิ้มให้กำลังใจ  “น้องตัดสินใจได้กล้าหาญมากจ๊ะ”
                      กษัตริย์ซิกมันต์ทรงพยักพระพักตร์รับคำแม้จะไม่เต็มใจนัก   ทรงสูดหายใจเข้าลึก รับสั่งเสียงเข้ม “สั่งการลงไป   เตรียมเปกาซัสที่เร็วที่สุดไว้ให้ข้า   ข้าจะเดินทางไปวอลเนียทันที”



                      กองทัพฟีเลเซียได้รับคำสั่งให้ระดมกำลังขนาดใหญ่ขับไล่ทหารปีศาจและทหารมนุษย์ของทัพซาโลมออกนอกเขตเมืองวอลเนียโดยเร็วที่สุด   จอมทัพชาร์ลซึ่งนำทัพทั้งพลมังกร พลนก รถรบ อัศวินและเหล่านักบวช เข้ารุกไล่ฟาดฟันกองทัพปีศาจและทหารซาโลมอย่างดุเดือด   ในเวลาไม่ถึงชั่วโมงกษัตริย์ซิกมันต์ที่สามพร้อมกองทัพเปกาซัสกว่าสามร้อยนายก็เดินทางมาถึงเมืองวอลเนียด้วยความรวดเร็วปานสายลม   กษัตริย์แห่งสายลมบนหลังบลู สกาย เปกาซัส(Blue Sky Pegasus)ม้าบินสีฟ้าขนแผงคอขาวสะอาดรูปร่างปราดเปรียวก็โผร่อนลงสู่ลานหน้าวิหารฟรานเชสก้าอย่างรวดเร็ว   โดยมีกองกำลังเปกาซัสที่บินคุ้มกันร่อนตามมาติด  ๆ
                      “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่   คอยระวังอย่าให้ไอ้พวกสวะนอกรีตเข้ามาในเขตวิหาร   เมื่อเต่ายักษ์เริ่มทะยานขึ้น   พวกเจ้าก็ขึ้นบินสำรวจรอบ ๆ เมืองได้ทันที   ถ้าเจอทหารสวะที่ไหนก็กำจัดมันอย่าให้เหลือ   แล้วก็โยนศพมันทิ้งไปด้วย   ข้าไม่อยากเอาพวกขยะติดไปด้วยเมื่อถึงที่ตั้งของเมืองใหม่” กษัตริย์แห่งสายลมรับสั่งเสียงเฉียบก่อนจะทรงหมุนตัวก้าวเข้าประตูวิหารไปทันทีโดยมีเสียงขานรับอันเข้มแข็งของทัพเปกาซัสกระหึ่มอยู่เบื้องหลัง
                      ทันทีที่เข้ามาในพระวิหาร   กษัตริย์ซิกมันต์ก็ทรงตรงไปที่รูปปั้นของนางฟ้าแห่งดาบทันที   ตรงฐานรูปปั้นทางด้านหลังนั้นกษัตริย์ซิกมันต์ทรงมองหากระเบื้องหินอ่อนแผ่นหนึ่งซึ่งดูแทบไม่แตกต่างจากกระเบื้องแผ่นอื่น  ๆ  เลย   เว้นแต่รอยจาง  ๆ  เล็ก  ๆ  คล้ายปีกนกตรงมุมกระเบื้องที่ดูเหมือนรอยขูดขีดธรรมดาทั่วไปเสียมากกว่า   พระองค์ทรงใช้เวลาไม่นานก็สามารถยกกระเบื้องแผ่นนั้นขึ้นมาได้   ใต้กระเบื้องแผ่นนั้นมีช่องคล้ายรอยแตกเล็ก  ๆ  ขนาดยาวประมาณคืบหนึ่ง   กษัตริย์ซิกมันต์ทรงทอดพระเนตรรอยแยกนั้นอยู่ครู่หนึ่ง   หวังว่าพระองค์จะยังสามารถจดจำสิ่งที่บรรพกษัตริย์ถ่ายทอดกันมาได้อย่างถูกต้อง   กษัตริย์แห่งสายลมทรงชักดาบของพระองค์ออกมาและเสียบดาบลงไปในช่องรอยแยกนั้นทันที   ดาบประจำพระองค์นั้นเสียบเข้าได้กับรอยแยกพอดิบพอดี   และทันใดนั้นเองรูปปั้นนางฟ้าฟรานเชสก้าก็เริ่มจมลงไปใต้พื้นวิหาร   เกิดแรงสั่นสะเทือนไปรอบบริเวณพื้นวิหาร   กษัตริย์ซิกมันต์ทรงรีบขยับเท้าให้ยืนได้ถนัดขึ้นเพื่อให้สามารถทรงตัวอยู่ได้   จนเมื่อรูปปั้นนั้นจมลงเกือบครึ่งองค์จึงเผยให้เห็นบานประตูสีน้ำตาลที่มีสัญลักษณ์แห่งแสงขนาดใหญ่สีทองจรดขอบประตูทั้งสี่ด้านบานหนึ่งตรงผนังด้านในหลุมนั้น
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: December 01, 2005, 05:52:56 AM »

                       กษัตริย์หนุ่มหายใจเข้าลึก  ๆ  คว้าดาบคู่กายกระโดดลงไปพลางผลักประตูโดยแรง   สงสัยนักว่าพระองค์เป็นกษัตริย์องค์แรกที่เปิดประตูบานนี้หลังจากการสร้างวิหารนางฟ้าแห่งดาบสิ้นสุดลงหรือไม่?   กษัตริย์ซิกมันต์ทรงก้าวผ่านบานประตูเข้ามาอย่างระแวดระวัง   ความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีที่มีมากล้นในกายเท่านั้นที่เป็นพลังผลักดันให้พระองค์ยังคงมุ่งหน้าต่อไป   เบื้องหลังบานประตูนั้นมีแสงน้อยและค่อนข้างมีกลิ่นอับคล้ายไม่เคยมีใครเข้าออกมาเป็นเวลาหลายร้อยปี   พระองค์ทรงปิดประตูตามหลัง   และทันใดนั้นเสียงรูปปั้นขนาดใหญ่เขยื้อนก็ดังขึ้นคล้ายกับกำลังเคลื่อนที่กลับไปยังที่ที่มันเคยอยู่   หัวใจของพระองค์เต้นแรงขึ้นโดยอัตโนมัติ   ทันทีที่มีเสียงกระแทกทางเบื้องหลังบอกให้รู้ว่ารูปปั้นได้เคลื่อนเข้าสู่ที่ของมันแล้ว   จู่  ๆ  ทั่วทั้งห้องก็พลันสว่างวาบขึ้นทันทีด้วยไฟเวทย์ตลอดความยาวของผนัง   อากาศบริสุทธิ์เริ่มไหลเข้ามาทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น   แสงสว่างทำให้มองเห็นบรรยากาศรอบตัวได้ชัดเจนจนพระองค์รู้สึกผ่อนคลายขึ้นจึงได้เริ่มออกเดิน   ภาพเบื้องหน้าขององค์กษัตริย์คือทางกว้างที่ทอดยาวไปไกลโดยจุดหมายคือจุดที่อยู่ลึกที่สุดของชั้นใต้ดินใต้วิหารแห่งนี้นั่นเอง   กำแพงทั้งสองข้างตลอดแนวทางเดินถูกวาดด้วยภาพศิลปะสมัยเก่าโดยการใช้สีที่เน้นหนักไปทางสีน้ำตาลและทอง   ด้านหนึ่งบอกถึงเรื่องราวการบุกเบิกและตั้งรกรากของชาวฟีเลเซีย   ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาและนางฟ้าแห่งดาบ ฟรานเชสก้า  
                       พระองค์ทรงเสด็จไปตามทางที่คดเคี้ยวและบันไดวนที่ค่อย  ๆ  ลึกลงไปผ่านชั้นใต้ดินชั้นต่าง  ๆ  ที่ดูเหมือนมีไว้สำหรับใช้งานบางอย่าง   บางชั้นก็เหมือนเอาไว้ใช้สะสมเสบียงอาหาร   บางชั้นก็เหมือนมีไว้เก็บหนังสือเก่าแก่โบราณ   พระองค์ยังคงเสด็จลงตามทางไปเรื่อย  ๆ  ชั้นแล้วชั้นเล่าจนกระทั่งทางได้มาสิ้นสุดลงที่ประตูบานหนึ่ง   ประตูนี้มีลักษณะคล้ายกับประตูบานแรกที่พระองค์เห็น   ทว่าบานประตูนี้ทั่วทั้งบานทำจากเงินและทอง   โดยสัญลักษณ์แห่งแสงทำจากเงินกางแผ่อยู่บนบานประตูทองคำ   พระองค์ทรงผลักบานประตูเข้าไปและก็ได้เห็นบรรยากาศวิหารที่เหมือนกับวิหารข้างบนไม่มีผิด   เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่าหลายเท่าและตรงกลางวิหารก็ไม่มีรูปปั้นนางฟ้าแห่งดาบ   หากแต่กลับมีก้อนทองคำขนาดหนึ่งคนโอบที่แกะเป็นรูปกระดองเต่าวางไว้อยู่แทน   เมื่อทอดพระเนตรใกล้  ๆ  จึงได้เห็นว่าบนกระดองเต่าทองคำนั้นมีรอยแยกคล้ายสลักขนาดหนึ่งคืบ   พระองค์ทรงชักดาบคู่กายออกมาจากฝักอีกครั้ง   ทรงเม้มปากแน่น พระองค์กำลังจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงแผนที่อาณาจักรฟีเลเซียไปตลอดกาล   พระหัตถ์ที่กำกระชับอยู่ที่ด้ามดาบดูจะสั่นน้อย  ๆ  เมื่อยกอยู่เหนือรอยแยกบนกระดองเต่าทองคำ   พระองค์ทรงกลั้นหายใจก่อนจะเสียบดาบลงไปที่สลักบนหลังเต่าทองคำเต็มแรง          

                       บริเวณชานเมืองวอลเนียฝั่งตะวันตก   ขณะที่เหล่าทหารหาญแห่งฟีเลเซียกำลังทำการขับไล่กองทัพซาโลมอย่างหนัก   การจู่โจมขนาบสามด้านพร้อมกันโดยไม่ให้ศัตรูได้ทันตั้งตัวดูจะได้ผลดี   จอมทัพแห่งฟีเลเซียต้องเร่งทำเวลาให้ทันก่อนที่กษัตริย์ซิกมันต์จะยกวอลเนียได้สำเร็จและต้องก่อนที่ทัพหนุนของซาโลมจะมาถึงด้วย  
                       “บุกเข้าไป   ขับไล่พวกมันออกนอกเขตเมืองวอลเนียให้ได้!” เสียงตะโกนของจอมทัพฟีเลเซียบนหลังรถศึกดังกังวานพร้อมกับกองทัพแห่งสายลมที่ยังคงเข้าประหัตประหารศัตรูเต็มกำลัง   สายตาอันคมปลาบกวาดตามองทั่วสนามรบอย่างรวดเร็ว   กองทัพเสริมของซาโลมคงใกล้จะมาถึงแล้ว   เขาเหลือเวลาอีกไม่มากนัก   ความหวั่นใจก่อตัวอยู่ลึก  ๆ     เขาภาวนาว่ากษัตริย์ซิกมันต์จะสามารถยกวอลเนียขึ้นได้สำเร็จทันเวลา   ดาบคูนิกุนเดในมือยังคงตวัดควงพุ่งผ่านกองทัพผีของซาโลมอย่างไม่คิดที่จะชะลอความเร็วลงเลย  
                       แต่เพียงครู่เดียวเสียงร้องแหลมรั่วของนกซอร์วิงก็ดังขึ้นเหนือสนามรบเลือดอันเป็นสัญญาณสำคัญที่แจ้งให้ทหารฟีเลเซียทั้งหลายทราบว่ากองทัพเสริมของซาโลมมาถึงแล้ว   ชาร์ลขมวดคิ้วตวัดสายตาขึ้นมองนกส่งข่าวด้วยความประหวั่น   ชั่วพริบตานั้นเปลวเพลิงเป็นลำยาวขนาดใหญ่ก็พุ่งอาบร่างของนกซอร์วิงจนลุกไหม้กลายเป็นลูกไฟร่วงลงสู่สนามรบเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว   แม่ทัพใหญ่แห่งฟีเลเซียตวัดสายตามองหาที่มาของลำเพลิงนั้นทันที   ไม่ไกลนักกษัตริย์เพลิงผู้โหดเหี้ยมในชุดเกราะสีแดงมันวาวยืนผงาดบนหลังมังกรซาลามันเดอล่ายักษ์บินอยู่เหนือสนามรบ   ไอควันกรุ่นพวยพุ่งจากปากเหมือนมีลาวาเดือดปะทุอยู่ภายในร่างของมัน   ดวงเนตรเป็นประกายกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างท้าทาย   เนื้อตัวสั่นเทิ้มราวกับกำลังสัญชาตญาณแห่งนักล่ากำลังถูกปลุกกระชากออกมาจากร่างกายนั้น   บางทีอาจจะเป็นครั้งนี้ที่เขาจะได้ประลองยุทธ์กับกษัตริย์เถื่อนแห่งจักรวรรดิซาโลม   ความเครียดเริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจลึก  ๆ    เขาแน่ใจอย่างที่สุดว่ากษัตริย์เถื่อนผู้นี้เก่งกาจกว่าแม่ทัพทมิฬราโชยูแน่   แต่จะแข็งแกร่งกว่าแค่ไหน?   ความรวดเร็วของเขาจะสามารถเอาชนะกษัตริย์จากแดนเถื่อนผู้นี้ได้หรือไม่?   ใครจะอยู่ใครจะม้วยวันนี้อาจจะเป็นวันชี้ชะตาที่สำคัญสำหรับเขา?   ชาร์ลยืดอกขึ้นเหยียดตัวตรงก่อนจะจ้องตอบกษัตริย์ซาดินด้วยแววตาที่คมกล้ายิ่งกว่าเดิม   ทั้งสองจ้องกันและกันอยู่เพียงครู่และวินาทีนั้นเองพื้นแผ่นดินทั่วทั้งสนามรบก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างน่ากลัว
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: December 01, 2005, 05:54:09 AM »

                    กษัตริย์ซาดินทรงบินอยู่เหนือกองทัพซาโลมอันเกรียงไกรขณะกวาดสายตามองคลื่นสงครามเบื้องล่าง   เสียงนกซอร์วิงที่บินโฉบร้องเสียงแหลมอยู่ใกล้ยังความหงุดหงิดน่ารำคาญใจนัก   พระองค์ทรงใช้กระบองกระทุ้งเบา  ๆ  เป็นสัญญาณก่อนจะบังคับซาลามันเดอล่าไปยังทิศทางที่ต้องการ   เพียงพริบตาเดียวเจ้านกปากเปราะก็มอดไหม้ไปกับตา   พระองค์ทรงเหยียดปากด้วยความขบขันระคนดูแคลนเจ้านกย่างนั่นก่อนจะทรงรู้สึกตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของดวงตาคมกล้ามุ่งมั่นจากใครคนหนึ่งกลางสนามรบเบื้องล่าง   พระองค์ไม่ต้องทรงมองหาเจ้าของสายตาอยู่นานเลย   เพราะกลางสนามรบที่อบอวลไปด้วยจิตสังหารของทหารทั้งสองฝ่าย   ความมุ่งมั่นแรงกล้าที่ส่งออกมาดูจะโดดเด่นจนรู้สึกได้แทบจะทันที   กษัตริย์เถื่อนทอดพระเนตรจับจ้องไปที่จอมทัพแห่งฟีเลเซียผู้อ่อนวัยกว่าอย่างประเมินความคิดของอีกฝ่าย   ก่อนจะทรงเหยียดปากยิ้ม   หรี่เนตรมองจ้องตาแม่ทัพหนุ่มอย่างท้าทาย   ลมหายใจถี่รัวขึ้นเรื่อย  ๆ  หัวใจเริ่มเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น  
                    “อยากประลองกับข้านักหรือ?   งั้นก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลย” กษัตริย์ซาดินตรัสแทบจะหัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้น  
                    พระองค์ควงกระบองอย่างเร็วด้วยมือเพียงข้างเดียวพลางยกชูขึ้นเหนือศีรษะ   แต่แล้วจู่  ๆ  ทั่วทั้งสนามรบก็ดูจะสะเทือนเลื่อนลั่นจนกองทัพเบื้องล่างดูระส่ำระสายไปหมด   ทหารหลายนายถึงกับล้มลุกคลุกคลานไปบนพื้นดิน   เสียงร้องแตกตื่นของทั้งคนและสัตว์ดังสนั่นไปทั่วสนามรบ   กษัตริย์ซาดินทรงทอดพระเนตรกองทัพที่กำลังสับสนอลหม่านเบื้องล่างด้วยความงุนงงและตื่นตระหนกไม่แพ้กัน   แผ่นดินเริ่มเกิดรอยปริแยกยาวเป็นทางและกำลังขยายยาวออกไปไม่หยุด   ดวงเนตรยิ่งเบิกโพรงยิ่งขึ้นเมื่อทรงเห็นเมืองทั้งเมืองกำลังเขยื้อนตัวเหมือนภูเขาทั้งลูกกำลังมีชีวิต  
                    “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันอีกนี่?” กษัตริย์ซาดินตรัสแทบจะไม่รู้ตัว  
เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกของทหารดังไปทั่วสนามรบ   เหล่าทหารต่างวิ่งหนีออกจากบริเวณที่พื้นดินเริ่มยุบตัวและค่อย  ๆ  แผ่ออกเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อย  ๆ    เมืองวอลเนียกำลังยกตัวสูงขึ้นจนดูเหมือนเมืองทั้งเมืองลอยได้   เกิดเสียงดังลั่นสนั่นหวั่นไหวดังมาจากพื้นดินใต้เมืองนั้น   ก่อนที่ทุกสายตาจะเบิกโพรงและอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึงเมื่อเห็นปีกสีขาวขนาดมหึมาคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากใต้เมืองและเริ่มขยับไปมาอย่างเชื่องช้าแต่ก็มีกำลังแรงพอจะทำให้เกิดแรงลมมหาศาลพัดไปทั่วทั้งสนามรบ   เมืองทั้งเมืองเริ่มเอียงตัวสูงขึ้นเรื่อย  ๆ  จนดูเหมือนจะพลิกเมืองทั้งเมืองให้คว่ำไปอีกทาง   ปลายแผ่นดินข้างที่ถูกยกสูงขึ้นค่อย  ๆ  ขยับยืดออกเหมือนว่าแผ่นดินกำลังงอกออกมาและยืดยาวออกไปเรื่อย  ๆ  อย่างน่ากลัว   เกิดรอยแยกบริเวณด้านข้างของแผ่นดินที่งอกมาใหม่ก่อนที่ทุกคนจะได้เห็นว่ามันคือดวงตาสีเขียวอมฟ้าขนาดมหึมาที่กำลังปรือขึ้นและกรอกกลิ้งมองไปรอบ  ๆ    ส่วนที่ดูคล้ายปากอ้าออกช้า  ๆ  พร้อมกับเสียงร้องทุ้มต่ำเย็น  ๆ  ที่กังวานจนแก้วหูสะเทือนก็ดังก้องเขย่าหัวใจของทุกชีวิตให้กระตุกเต้นอย่างแรงจนต้องรีบยกมือขึ้นปิดหู   ดินที่พอกหนาเริ่มปริร้าว   เศษดินเศษหินจำนวนมหาศาลร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสาย   ทันทีที่ฝุ่นดินจางลง   ร่างแท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายในก็ปรากฏแก่สายตาทุกคนที่กำลังจ้องมองด้วยความตระหนกจนแทบไม่หายใจ   เต่ายักษ์ขนาดเท่าภูเขายืนตระหง่านชูคอขึ้นสูงเสียดฟ้า   เหยียดปีกสีขาวขนาดมหึมาแผ่ปกคลุมเหนือสนามรบบังแสงแดดอันแรงกล้าจนดูเหมือนว่ายามเย็นมาถึงเร็วกว่ากำหนด   เต่ายักษ์ส่งเสียงร้องทุ้มกังวานอีกครั้งก่อนจะค่อย  ๆ  ขยับกระพือปีกช้า  ๆ    บรรดาทหารที่อยู่ใต้ปีกคู่มหึมาต่างก็รีบวิ่งหนีกันอย่างไม่คิดชีวิต   แรงลมมหาศาลเริ่มพัดกระหน่ำแรงขึ้นเรื่อย  ๆ  จนฝุ่นดินฟุ้งกระจายไปทั่วราวกับกำลังเกิดพายุทะเลทรายกลางป่าอันเขียวชอุ่ม   และแล้วเมืองวอลเนียทั้งเมืองก็เริ่มลอยตัวสูงขึ้นและเคลื่อนผ่านน่านฟ้าฟีเลเซียไปท่ามกลางความพรั่นพรึงของสายตานับแสนคู่
                    กษัตริย์ซาดินเกือบจะพลัดตกจากหลังมังกรซาลามันเดอล่าเมื่อเต่ายักษ์กระพือปีกผ่านเหนือพระองค์ไปเพียงไม่กี่เมตร   แต่แรงโบกของลมใต้ปีกก็แรงพอจะทำให้มังกรซาลามันเดอล่าแทบจะทรงตัวไม่อยู่   ทันทีที่ทรงตั้งสติได้และก้มลงไปทอดพระเนตรเบื้องล่าง   สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือพื้นที่โล่งกว้างขนาดใหญ่แทบจะสุดลูกหูลูกตากินอาณาบริเวณกว้างจนสุดเขตที่เคยเป็นที่ตั้งส่วนหนึ่งของเทือกเขาคีรีบันดา   ที่ปลายสุดนั้นคือป่าเขียวขจีที่ชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์จนถึงขีดสุดของพวกชาวป่า   กษัตริย์ซาดินทรงเบิกพระเนตรขึ้นด้วยความตื่นตะลึงเมื่อเห็นป่าเขียวชอุ่มเบื้องหน้า   ความเขียวสดมากมายบนพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลชนิดที่เรียกได้ว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิตไม่เคยคิดฝันว่าจะได้เห็น   แม้แต่ชาวซาโลมไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นก็ไม่เคยเห็นป่าไม้ที่หนาแน่นและกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้   ความอุดมสมบูรณ์ที่ชาวทะเลทรายทุกคนแสวงหากันมาตลอดชีวิตเวลานี้อยู่ต่อหน้าพระองค์ใกล้แค่เอื้อม   ความรู้สึกและอารมณ์ต่าง  ๆ  แทบจะแย่งกันออกมาปรากฏบนพระพักตร์ของพระองค์หมุนเวียนกันไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งความตื่นตระหนกกับภาพเบื้องหน้า ความสับสนในจิตใจ ความโกรธแค้นชิงชังในโชคชะตา ความอิจฉาริษยาพวกชาวป่า ความอยากครอบครอง และความละโมบ   พระองค์สู้รบมาตลอดทั้งชีวิตก็เพื่อสิ่งนี้มิใช่หรือ?   ความอุดมสมบูรณ์ที่จะทำให้ชาวซาโลมไม่ต้องลำบากไปชั่วลูกสืบหลาน   กษัตริย์ซาดินควงกระบองเป็นสัญญาณแปรขบวนทัพทันทีโดยไม่มีแก่ใจจะตรัสถามความเห็นของบลาส เซจที่คุมทัพทหารผีนรกอยู่ที่เชิงผา   เสียงกลองระรัวขึ้นในทันใดในขณะที่กองทัพฟีเลเซียก็เร่งแปรขบวนทัพเช่นกัน   กษัตริย์แห่งเพลิงยืนผงาดเหนือมังกรยักษ์ชูกระบองไปยังป่าเขียวชอุ่มเบื้องหน้าโดยไม่สนใจแม่ทัพชาร์ล คลาแรนซ์และกองทัพฟีเลเซียอีกเลย
                    “บุก!!”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: December 01, 2005, 05:54:35 AM »

เชิญเม้าท์แตกจ๊า

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=16909
« Last Edit: December 01, 2005, 05:56:24 AM by Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.077 seconds with 21 queries.