Summoner Master Forum
March 29, 2024, 04:02:13 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 40 เครื่องสังเวยบูชายัญ @@  (Read 8138 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: February 09, 2006, 07:02:29 PM »

Chapter 40 เครื่องสังเวยบูชายัญ


                      หลังจากที่เหตุการณ์ต่าง ๆ สงบลง   เผ่าฟูดินันได้รับความเสียหายไปถึงครึ่งเผ่า   แต่กลับมีจำนวนสมาชิกในเผ่าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว   เนื่องจากบรรดาเผ่าเล็กเผ่าน้อยทั้งหลายที่ถูกทำลายและปล้นสะดมจนไม่มีแม้ที่อยู่อาศัย   ต่างก็พากันเดินทางมาขอพึ่งความเอื้ออารีของเผ่าฟูดินัน   จนทำให้เผ่าฟูดินันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอยู่แล้วยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นไปอีก
                       ที่พักชั่วคราวหลังแล้วหลังเล่าถูกสร้างขึ้นในเขตเผ่าและบริเวณโดยรอบเขตฟูดินันจนแลดูแน่นขนัดไปหมด   ทำให้อาณาเขตของเผ่าฟูดินันขยายใหญ่อีกเกือบเท่าตัวและมีทีท่าว่าจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ    ทุกคนต่างก็เร่งสร้างที่พักอาศัยที่มั่นคงให้เสร็จก่อนที่ฤดูหนาวจะมาเยือน   ทว่าแม้จะมีคนอพยพมาอยู่ในฟูดินันมากขึ้น   แต่บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความเครียด ความหดหู่ ความกลัว และสิ้นหวัง   ไม่มีเสียงหัวเราะหยอกล้อเล่นหัวกันเหมือนเมื่อก่อน   บรรดาชาวบ้านมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดผวา   แม้แต่ครอบครัวบันดาราเองเสียงหัวเราะก็ยังเหือดหายไป
                       ขณะที่ฮารีซันกำลังช่วยชาวบ้านสร้างบ้านหลังหนึ่ง   โดยมีวานาอันยืนประคองผู้เฒ่าวูจินที่ออกมาเดินเยี่ยมบรรดาสมาชิกเผ่าและแวะเวียนมาดูการสร้างบ้านของพวกผู้ชายในเผ่าอยู่นั้นเอง   จู่ ๆ ดามิก้าก็ขี่อลูปัสสัตว์เลี้ยงคู่ใจเข้ามาหาอย่างรวดเร็วทำให้ทุกคนพากันหยุดมือมองผู้เข้ามาใหม่ด้วยความตกใจ   บางคนก็กลัวจนขวัญหนีดีฝ่อเพราะคิดว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นอีก   ฮารีซันรีบวางมือจากงานที่ทำก่อนจะเดินเข้ามาสมทบกับผู้เฒ่าวูจิน   ทันทีที่ดามิก้าลงจากหลังอลูปัสได้ก็รีบกล่าวอย่างร้อนรน
                       “ท่านผู้เฒ่า  ท่านฮารีซัน  เกิด...” ดามิก้าต้องหยุดพูดในทันทีทันใดเมื่อเห็นวูจินยกมือขึ้นปรามไว้
                       “เราไปคุยกันในบ้านดีกว่า   ปล่อยให้พวกคนหนุ่ม ๆ เขาทำงานกันไป” วูจินพูดยิ้ม ๆ กวาดตามองชาวบ้านที่กำลังจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น “วานาอัน ฮารีซัน พวกหลานช่วยพยุงปู่เข้าบ้านหน่อยเถอะ   ปู่เหนื่อยแล้ว” วูจินพูดเหมือนคนแก่ขี้เมื่อยก่อนจะยื่นมือให้หลาน ๆ
   
                       เป็นเคราะห์ดีของครอบครัวบันดาราที่บ้านของพวกเขาได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยจึงไม่ต้องเสียเวลาซ่อมแซมมากนัก   ครั้นเมื่อทุกคนเข้ามาในบ้านเรียบร้อยแล้ววูจินก็ทำท่าตกใจหันไปหาหลานสาว
                       “วานาอันเอ้ย   ปู่ลืมเก็บสมุนไพรที่ตากผึ่งลมไว้หลังบ้าน   ป่านนี้คงแห้งได้ที่แล้ว   เจ้าไปเก็บเข้าห้องอบยาให้ปู่หน่อยนะหลานรัก”
                       “ค่ะ ท่านปู่” วานาอันยิ้มตอบน้อย ๆ ก่อนจะเดินออกไปเงียบ ๆ   หลังจากเหตุการณ์ที่ค่ายอพยพ   วานาอันก็ยิ้มน้อยลงมาก   ทำให้วูจินไม่อยากให้หลานสาวต้องกังวลเรื่องใด ๆ อีกในช่วงนี้
                       “เกิดอะไรขึ้นหรือ ดามิก้า?” ฮารีซันถามด้วยความหวั่นวิตกทันทีที่วานาอันเดินคล้อยหลังไป   ในขณะที่วูจินก็นั่งเงียบรอฟังอยู่ด้วยความรู้สึกไม่ต่างกันมากนัก
                       “ที่เผ่าของข้ากำลังจะมีพิธีบูชายัญนะสิ   ซ้ำยังจะลามไปถึงเผ่าอื่น ๆ ด้วย” ดามิก้าพูดเร็วปรื๋อ   น้ำเสียงเต็มไปด้วยความร้อนใจ “เด็ก ๆ กำลังจะถูกฆ่า   ข้าไม่รู้จะทำยังไงดี   จึงรีบมาปรึกษาพวกท่านนี่แหละ”
                       “การบูชายัญเด็กอย่างนั้นรึ?” วูจินถามอย่างตกใจ
                       “นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ฮารีซันมองดามิก้าด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
                       “พวกท่านได้ยินถูกแล้ว   ข้าหมายถึงการฆ่าเด็ก ๆ สังเวยนั่นแหละ   หลังจากเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นมากมาย   หมอผีแห่งป่าทมิฬ(Black wood Shaman) ก็บอกว่าเหตุอาเพศทั้งหลายที่เกิดขึ้น   จะแก้ไขได้ด้วยการบูชายัญเด็กชายหญิงเจ็ดคู่ให้แก่เทพแห่งภูเขาและเทพแห่งไฟในคืนเดือนมืดที่กำลังจะถึงนี้   อีกทั้งเผ่าอื่น ๆ ก็ต้องทำอย่างเดียวกันเหตุอาเพศจึงจะผ่านพ้นไปได้   ตอนนี้หลายเผ่าที่อยู่ข้างเคียงกับเผ่าป่าทมิฬก็เริ่มคัดเลือกเด็กชายหญิงจากเผ่าของตนแล้ว”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: February 09, 2006, 07:04:21 PM »

                     “เหลวไหลที่สุด   นี่เรายังสูญเสียไม่พออีกหรือ?” วูจินเอ็ดเสียงดังด้วยความโกรธ
                      “เราจะทำอย่างไรกันดีครับท่านปู่?   ลงเมื่อชาวบ้านเชื่อเช่นนั้นแล้ว   เราจะห้ามยังไงก็คงไม่ฟังแน่” ฮารีซันขมวดคิ้วพยายามหาวิธีด้วยความร้อนรน
                      “ข้าก็คิดหาทางจนหัวจะระเบิดอยู่แล้ว” ดามิก้ากล่าวใช้มือทั้งสองเท้าเอวอย่างหงุดหงิด  
                      “พวกเจ้ายิ่งร้อนใจก็ยิ่งคิดไม่ออก” ผู้เฒ่าปลอบเตือนก่อนจะหลับตาขมวดคิ้วพลางใช้มือเคาะไม้เท้าเป็นจังหวะอย่างคนกำลังใช้ความคิด “มันต้องมีทางออกสิ... ใครที่ยิ่งใหญ่กว่าเทพแห่งภูเขาและเทพแห่งไฟของพวกเจ้า   ใครที่ทุกเผ่าเคารพและนับถือมากที่สุด”
                      “เทพบารามัน” “เทพบารามัน!” ฮารีซันและดามิก้าหันหน้ามาหาผู้เฒ่าวูจินพูดแทบจะพร้อมกัน
                      “อืม” วูจินลืมตาขึ้น “ปู่ก็คิดถึงท่านเทพบารามันเช่นเดียวกัน   ถ้าเช่นนั้นเรารีบเดินทางไปที่วิหารของเทพบารามันกันเถอะ   ถ้าเรารีบหน่อยก็คงจะไปถึงก่อนค่ำ”
                      เมื่อตกลงกันได้ดังนั้น   ทั้งสามก็รีบออกจากบ้านบันดารามุ่งหน้าเดินทางไปยังวิหารแห่งเทพบารามันที่อยู่ในป่าลึกทางทิศตะวันออก  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเผ่าฟูดินันนักทันที

                      ดวงตะวันกำลังคล้อยต่ำใกล้จะลับแสงแล้วเมื่อบุคคลทั้งสามมาถึงวิหารของเทพบารามัน   ตัววิหารไม่ใหญ่โตมากนักแต่ก็งดงามวิจิตรผิดกับความเป็นอยู่อันแสนธรรมดาของพวกชาวป่า   วิหารก่อด้วยอิฐและหินสีขาวแกะสลักลวดลายสวยงาม   แสงสีส้มอ่อน ๆ อาบย้อมตัววิหารทั้งหลังให้แลดูลึกลับเหมือนอยู่ในเมืองลับแล   มีเสียงดนตรีอันแสนไพเราะดังแว่วออกมาจากภายในวิหารซึ่งชวนให้เคลิบเคลิ้มและจิตใจสงบ   ภายในวิหารแห่งนี้ไม่มีนักบวชหรือนักพรตอาศัยอยู่   มีแต่เพียงบรรดานักดนตรีหญิงพรหมจรรย์(Musician Maiden)และเหล่านางระบำแห่งเทพบารามัน(Baraman Dancer) ซึ่งทุกนางต่างเป็นหญิงสาวที่เป็นเอกด้านการดนตรีและการร่ายรำผู้ถูกคัดเลือกมาจากเผ่าต่าง ๆ เพื่อมาถวายตัวเป็นนางระบำขับกล่อมเสียงดนตรีและการร่ายรำถวายเทพสูงสุดของบรรดาชาวป่านั่นเอง
                      วิหารแห่งนี้ก็รอดพ้นจากการบุกของกองทัพเพลิงเช่นกัน   ทั้งนี้เพราะอยู่ในเขตป่าที่ค่อนข้างลึกลับเส้นทางคดเคี้ยว   ซึ่งถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่ก็มักจะหาทางเข้ามาในเขตวิหารไม่เจอนั่นเอง   บุคคลทั้งสามยืนอยู่ที่หน้าวิหารอยู่พักใหญ่เพราะไม่อยากเข้าไปรบกวนขณะที่นางรำกำลังร่ายรำถวายเทพ   แต่เพียงสักพักก็มีนางรำคนหนึ่งออกมาต้อนรับ
                      นางรำแห่งเทพบารามันสวมใส่เสื้อเกาะอกโทนสีฟ้า   กระโปรงยาวสีน้ำเงินเข้มชายกระโปรงบานพลิ้วออกเหมือนหางปลา มีผ้าสีฟ้าครามยาวคล้องแขนเพื่อเพิ่มความพลิ้วไหวยามร่ายรำ   นางผายมือเชื้อเชิญบุคคลทั้งสามเข้ามาภายในวิหารอย่างเงียบ ๆ ด้วยท่าทางเป็นมิตรก่อนจะแนะนำตัวเอง
                      “ฉันเป็นหัวหน้านางรำแห่งวิหารเทพบารามัน   ท่านผู้เฒ่าแห่งฟูดินัน   หัวหน้าเผ่าแห่งฟูดินัน และนักรบแห่งเผ่าป่าทมิฬ   พวกท่านมีธุระอะไรหรือคะถึงมาพร้อมกันในเวลาเช่นนี้?”
                      “พวกเรามีเรื่องอยากจะขอให้พวกท่านขอร้องท่านเทพให้ช่วยเหลือพวกเรา” ฮารีซันกล่าว และเริ่มต้นเล่าเรื่องการบูชายัญให้หัวหน้านางรำฟัง   เมื่อหัวหน้านางรำฟังจบก็มีสีหน้าตกใจและไม่สบายใจอย่างมาก
                      “น่ากลัวเหลือเกิน   แต่ท่านจะให้พวกเราช่วยอย่างไร?” หัวหน้านางรำกล่าว “พวกเราเป็นเพียงนักดนตรีและนางรำ   เราไม่สามารถสื่อสารกับเทพบารามันให้พวกท่านได้”
                      “ถ้าเราขอให้พวกท่านไปร่ายรำถวายเทพบารามันแล้วให้พวกท่านกล่าวคำแก้การบูชายัญล่ะ?” ดามิก้าเสนอ
                      “พวกเราไม่อาจโกหกได้   นักรบหญิง   พวกเราถือความบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ   ยิ่งเป็นการอ้างคำพูดของท่านเทพแล้ว   เรายิ่งไม่อาจเอื้อม” หัวหน้านางรำกล่าวด้วยความเสียใจ
                      “แล้วถ้าหากเราจัดประรำพิธีให้ท่านระบำถวายเทพบารามันเท่านั้น   ส่วนเรื่องวิธีแก้การบูชายัญเด็ก ๆ เราจะให้หมอผีของเผ่าฟูดินัน(Fudenun Shaman) เป็นผู้จัดการเอง   ท่านเห็นว่าอย่างไร?   อย่างน้อยก็เพื่อช่วยชีวิตเด็ก ๆ อีกหลายสิบชีวิต” วูจินเสนอขึ้นบ้าง
                      หัวหน้านางรำนิ่งคิดอยู่พักใหญ่   นางเองก็ไม่อยากเห็นเด็ก ๆ ต้องถูกบูชายัญอย่างไร้เหตุผลเช่นกัน   ในที่สุดนางจึงเอ่ยขึ้น
                      “แล้วพวกท่านจะเริ่มตั้งประรำพิธีเมื่อไหร่และที่ไหนล่ะคะ?”  
                      “เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้   และคงเป็นที่เผ่าฟูดินันเพราะอยู่ใกล้วิหารนี้ที่สุด” วูจินยิ้มอย่างยินดี “ขอบคุณท่านมาก”
                      “ข้าหวังว่าความคิดของท่านจะสำเร็จ” หัวหน้านางรำกล่าว
                      “พวกเราก็หวังเช่นนั้น” ฮารีซันกล่าวตอบ “ข้าจะส่งคนมาแจ้งข่าวพวกท่านอีกครั้งเมื่อเราได้วันเวลาที่แน่นอน”
                      หัวหน้านางรำโค้งตอบ  ก่อนจะกล่าวต่อ “นี่ก็ค่ำแล้ว   พวกท่านจะพักที่นี่ก่อนหรือไม่?   เรามีเรือนรับรองอยู่หลังหนึ่งที่หลังวิหาร”
                      “เราไม่รบกวนพวกท่านจะดีกว่า   อีกอย่างข้าทิ้งหลานสาวไว้ที่บ้าน   เดี๋ยวนางจะเป็นห่วง” วูจินตอบก่อนจะโค้งขอบคุณ     
                      “ถ้าเช่นนั้นพวกท่านก็รีบเดินทางจะดีกว่า  เพราะนี้ก็ค่ำมากแล้ว” หัวหน้านางรำเดินออกมาส่งบุคคลทั้งสามที่หน้าวิหาร   ในขณะที่ทั้งสามก็กล่าวขอบคุณในความช่วยเหลือของหัวหน้านางรำแล้วจึงร่ำลาเพื่อเดินทางกลับเผ่าของตน         
   
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: February 09, 2006, 07:07:01 PM »

                     หลังจากที่ฮารีซันได้ส่งเทียบเชิญไปยังเผ่าต่าง ๆ   เวลานี้ที่ประรำพิธีที่จัดขึ้นภายใต้ร่มเงาของมหาพฤกษาอิกดราซิลจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจากหลากหลายเผ่าที่มาร่วมชุมนุมกันอยู่หลายพันคน   ทุกคนต่างก็ใจจดใจจ่อรอการรำบวงสรวงเทพจากเหล่านางระบำแห่งวิหารเทพบารามัน   ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปยากนักที่จะมีโอกาสได้ชมการร่ายรำของพวกนาง   อีกทั้งจะมีการรับสารจากเทพบารามันผ่านทางหมอผีแห่งฟูดินันอีกด้วย   ดังนั้นพิธีบวงสรวงในครั้งนี้จึงได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ
                      บนประรำพิธีขนาดใหญ่ทรงกลมมีรูปดาวหน้าแฉกและต้นไม้อยู่ในใจกลางวงกลมอันเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าฟูดินันถูกตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้นานาพันธุ์อย่างสวยงาม   หน้าประรำพิธีถูกจัดให้เป็นที่นั่งของบรรดาผู้นำและผู้อาวุโสจากเผ่าต่าง ๆ   โดยผู้นำเผ่าที่ดูจะได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษก็คือสมาชิกชาวป่าเผ่าใหม่อย่างเผ่าสมิงนั่นเอง
                      สักพักเสียงกลองจากเหล่า นักกลองแห่งฟูดินัน (Fudenun Drummer) ก็ดังขึ้นพร้อมกับการร่ายรำของ นักเต้นแห่งฟูดินัน (Fudenun Dancer) ที่ร่ายรำสะบัดผ้าอย่างพลิ้วไหวอยู่บนประรำพิธีด้วยจังหวะที่รุนแรงเร้าใจ   เพื่อเป็นการโหมโรงเรียกให้บรรดาชาวป่าที่ยืนกระจัดกระจายกันอยู่บริเวณโดยรอบให้เขยิบเข้ามาชิดประรำพิธีมากยิ่งขึ้น
                      เมื่อเสียงกลองสิ้นสุดลงพร้อมกับนางรำแห่งฟูดินันที่ร่ายรำจบท่าสุดท้ายพอดีก็เรียกเสียงปรบมือดังสนั่นด้วยความสนุกสนานและตื่นเต้นจากบรรดาชาวบ้านได้เป็นอย่างดี   และแล้วช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง   บริเวณประรำพิธีนั้นเงียบกริบ   บรรดาชาวบ้านต่างรอคอยกันอย่างใจจดใจจ่อ
                      ทันทีที่เสียงดีดของสายเอ็นจากนักดนตรีผู้บริสุทธิ์แห่งบาราบันเริ่มบรรเลงด้วยท่วงทำนองที่แผ่วเบาอ่อนหวาน   สรรพสิ่งต่าง ๆ ก็ดูจะเงียบสงบลงเพื่อฟังดนตรีของพวกนาง   เสียงปรบมือดังเป็นจังหวะดังขึ้นเป็นสัญญาณที่กลางประรำพิธี   ทุกคนจึงได้เห็นว่าเหล่านางระบำแห่งบารามันปรากฏตัวขึ้นที่กลางประรำพิธีแล้วโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าพวกนางขึ้นมาบนประรำพิธีตั้งแต่เมื่อไหร่   เหล่านางระบำร่ายรำอย่างอ่อนช้อยงดงามจนทุกคนเหมือนตกอยู่ในภวังค์   สมกับที่เป็นการร่ายรำเพื่อถวายแด่เทพเจ้า   ซึ่งต้องใช้นางรำที่ฝีมือดีที่สุดจากแต่ละเผ่ามาฝึกร่ายรำท่วงท่าพิเศษที่มีไว้สำหรับรำถวายเทพบารามันเท่านั้น   การร่ายรำดำเนินต่อไปในขณะที่ใบสีเงินยวงของอิกดราซิลค่อย ๆ ร่วงหล่นลงมาสะท้อนกับแสงแห่งดวงอาทิตย์จนทั่วทั้งประรำพิธีเหมือนเปล่งประกายระยิบระยับ   ยิ่งทำให้การร่ายรำนี้ดูงดงามมากยิ่งขึ้น   เมื่อการร่ายรำอันแสนอ่อนหวานจบลงก็ทำให้หลาย ๆ คนถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้งใจ
                      จากนั้นก็ถึงช่วงเวลาของแม่หมอประจำเผ่าฟูดินันที่จะอัญเชิญสารจากเทพเจ้าสูงสุดของชาวป่าทุกเผ่า   นางอยู่ในชุดขาวคลุมทับด้วยเสื้อนอกสีฟ้าและน้ำเงิน   แม่หมอก้าวขึ้นมายืนอยู่กลางประรำพิธี ณ จุดกึ่งกลางของดาวห้าแฉก   นางมีลูกแก้วผลึกอยู่ในมือ   นางยกลูกแก้วขึ้นด้วยมือทั้งสองข้างตั้งจิตให้ใจสงบ   ทันใดนั้นละอองสีขาวเล็ก ๆ ส่องประกาบระยิบระยับก็ค่อย ๆ ล่องลอยจากที่ต่าง ๆ เข้าไปอยู่ในลูกแก้วนั้นจนกระทั่งลูกแก้วเริ่มส่องประกายเป็นสีฟ้าเรืองรอง
                      “สารจากท่านเทพถึงชาวเผ่าต่าง ๆ ว่าดังนี้” เสียงของแม่หมอดังขึ้นโดยละเว้นการเอ่ยชื่อของเทพเจ้าอย่างจงใจ “เหตุอาเพศต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะยุติลงได้มีเพียงทางเดียวเท่านั้น   คือให้แต่ละเผ่าจัดพิธีบูชายัญด้วยแพะภูเขา (Mountain Goat) ที่เพิ่งเกิดและมีสีขาวปรอดทั้งตัวจำนวนเจ็ดคู่ในคือวันนิล(Nil)ที่จะถึงนี้   เมื่อทำดังนี้แล้วเผ่าต่าง ๆ จึงจะพ้นภัย”
                      เมื่อกล่าวจบพร้อมกับดวงแก้วที่ดับแสงลง   เสียงกระซิบกระซาบจากบรรดาชาวบ้านที่มาชุมนุมกันก็ดังกระหึ่มไปทั่ว   บรรดาผู้อาวุโสและผู้นำเผ่าต่าง ๆ ต่างก็หันมองหน้ากันไปมา   บ้างก็ซุบซิบถึงเรื่องที่ได้ยินจนเสียงดังเซ็งแซ่   ทั้งวูจิน ฮารีซัน ดามิก้า ตลอดจนแม่หมอและเหล่านางรำแห่งเทพบารามันต่างก็ลอบสบตากัน   รอคอยปฏิกิริยาจากบรรดาผู้นำเผ่าต่าง ๆ ด้วยใจลุ้นระทึก
                      “เราไม่ต้องบูชายัญเด็ก ๆ แล้วใช่ไหมนี่?” ผู้เฒ่าจากเผ่าหนึ่งกล่าวเสียงดังอย่างยินดี
                      “เทพบารามันบอกว่าวิธียุติเหตุอาเพศมีทางเดียวคือบูชายัญแพะภูเขา   ท่านไม่ได้บอกว่าให้บูชายัญเด็กนี่” หัวหน้าเผ่าอีกเผ่ากล่าวย้ำด้วยความดีใจ
                      “ไชโย ไชโย!”
                      “ไชโยแด่เทพบารามัน”
                      “เราไม่ต้องบูชายัญเด็ก ๆ แล้ว”
                      เสียงโห่ร้องของบรรดาชาวป่าดังกึกก้องด้วยความยินดี   ทุกคนต่างก็เริ่มร้องรำทำเพลงเต้นรำกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางรอยยิ้มและความโล่งใจของพวกวูจิน
                      หลังจากงานบวงสรวงสิ้นสุดลงในเวลาพลบค่ำ   บรรดาชาวบ้านต่างก็ทยอยแยกย้ายกันกลับที่พักของตน   ทว่าบรรดาผู้อาวุโสและผู้นำเผ่าต่าง ๆ กำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดในบ้านของครอบครัวบันดารา   หลายคนมีสีหน้าลำบากใจ   บ้างก็ครุ่นคิดด้วยความวิตกกังวล   บ้างก็นั่งกอดอกนิ่งไม่ไหวติงเหมือนกำลังใช้ความคิด
                      “ข้าและฮารีซันไม่ได้ต้องการทำให้พวกท่านลำบากใจ   และก็ไม่ใช่ว่าพวกข้าจะเป็นพวกกระหายเลือดกระหายสงคราม   แต่การศึกครั้งนี้จะชี้ชะตาชาวเมอริเซียทั้งทวีป   พวกเราก็เห็นอยู่แล้วมิใช่หรือว่าพวกซาโลมต้องการดินแดนของพวกเรามากแค่ไหน?   สงครามในครั้งนี้คงไม่จบลงง่าย ๆ แน่   แล้วเราจะเห็นแก่ตัวหวังพึ่งกำลังของฟีเลเซียโดยไม่ช่วยเหลือพวกเขาเลยได้อย่างไรกัน?” วูจินถามคำถามให้ที่ชุมนุมได้คิด
                      “ต่อให้เราไม่ส่งกองทัพออกไปช่วยรบ   ไม่ช้าก็เร็วพวกซาโลมก็ต้องเข้ามาโจมตีพวกเราอีกอยู่ดี   หลังจากเต่าบินที่ทำให้เกิดช่องเขาขนาดใหญ่นั่น   เราไม่มีปราการที่แข็งแกร่งมาปกป้องเราอีกแล้ว   เวลานี้เราต้องลุกขึ้นปกป้องตัวเอง” ฮารีซันกล่าว
                      “ข้าเห็นด้วยกับท่านผู้เฒ่าและท่านฮารีซัน   ขืนให้พวกกองทัพเพลิงวิ่งพล่านไปทั่วป่าอีกครั้ง   คราวนี้คงไม่มีใครรอดชีวิต   แค่ครั้งที่แล้วครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว” นายพลเซนทอร์ขบกรามแน่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะน้ำมือของกองทัพซาโลม
                      “เผ่าสมิงยินดีร่วมมือกับพวกท่าน” คาร์นประกาศก้องทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วทั้งที่ประชุม   เพราะเผ่าสมิงที่เคยปฏิเสธเผ่า ๆ อื่นตลอดมาเวลานี้กลับเป็นเผ่าแรก ๆ ที่ยอมเข้าร่วมรบ “ครั้งนี้เผ่าสมิงถูกจู่โจมอย่างเจ็บแสบที่สุด   พวกเราไม่ยอมนั่งรอให้พวกมันมาโจมตีง่าย ๆ อย่างนี้อีกแน่   ถ้าพวกเราไม่ได้แก้แค้น   วิญญาณของบรรดาสมิงที่ตามไปรวมไปถึงวิญญาณของท่านหัวหน้าเผ่าคงไม่มีวันสงบสุข” คาร์นคำรามอย่างโกรธแค้น   ครั้งนี้เผ่าสมิงสูญเสียมากมายเกินกว่าจะรับได้
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: February 09, 2006, 07:08:48 PM »

                     “เผ่าป่าทมิฬก็จะเข้าร่วมด้วย” เสียงของดามิก้าดังขึ้นท่ามกลางเสียงพึมพำที่ยิ่งดังขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินว่าเผ่าป่าทมิฬก็จะร่วมในสงครามครั้งนี้อีกเผ่า “เมื่อการโจมตีครั้งแรก   เผ่าของเราถูกโจมตีจนย่อยยับ   ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง   ป่าถูกเผาทำลายด้วยเพลิงเวทย์จนวอดวาย   แม้บัดนี้ต้นไม้ที่งอกขึ้นมาก็ยังกลายเป็นสีดำไม่อาจใช้ประโยชน์ใด ๆ ได้อีกเลย   เราต้องอยู่กันอย่างแร้งแค้น   พวกเราไม่มีวันตายตาหลับแน่ถ้าไม่ได้แก้แค้นพวกมัน”
                      เสียงกระซิบกระซาบค่อยเบาเสียงลงเมื่อหัวหน้าเผ่าเล็ก ๆ เผ่าหนึ่งยืนขึ้น
                      “ถ้าเผ่าใหญ่ทั้งสี่ต่างก็มีความเห็นเช่นนี้   ข้าคิดว่าพวกเราก็คงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ร่วมออกรบด้วย” หัวหน้าเผ่ากล่าว “ไหน ๆ พวกเราก็อยู่ภายใต้ร่มเงาเทพพฤกษาเหมือนกัน   เผ่าของพวกเราก็ถูกรุกรานเหมือนกัน   ก็เหมือนว่าพวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
                      บรรดาผู้นำเผ่าต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
                      “ถ้าเช่นนั้น   ข้าเสนอให้เผ่าฟูดินันเป็นผู้นำทัพในครั้งนี้   เพราะเผ่าฟูดินันนั้นถือว่าเป็นเผ่าใหญ่ที่สุด   ยิ่งในเวลานี้จำนวนสมาชิกของเผ่าก็ยิ่งขยายใหญ่กว่าเดิมมากเป็นเท่าตัว   นอกจากนี้เผ่าของข้าเชื่อมั่นในความเป็นผู้นำของเจ้า” ผู้เฒ่าจากเผ่าหนึ่งทางฝั่งตะวันตกเสนอขึ้นพลางมองตรงมาที่ฮารีซัน ผู้นำเผ่ารุ่นเยาว์ที่สุด
                      “ท่านผู้เฒ่า   ข้ายัง...” เด็กเกินไป...ฮารีซันได้แต่กลืนคำพูดที่เหลือลงไปเมื่อถูกปราบไว้เสียก่อน
                      “อ้า...” ผู้เฒ่าโบกมือห้าม “เจ้าไม่ต้องออกตัวหรอก   ตลอดเวลาที่เจ้าเป็นผู้นำเผ่าฟูดินัน   เจ้าก็ได้พิสูจน์ตัวเองหลายครั้งหลายคราแล้วว่าเจ้ามีความเป็นผู้นำที่ดี   มีความอดทนอดกลั้นที่หายากนักในคนวัยเดียวกันกับเจ้า   มีเหตุผล และที่สำคัญ   เจ้ามีความสุภาพนอบน้อมพอที่จะฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเสมอ   เผ่าของข้ายินดีที่จะมีเจ้าเป็นผู้นำในสงครามครั้งนี้”
                      “แต่ท่านฮารีซันจะไม่อ่อนวัยเกินไปที่จะนำทัพหรือ?   ไม่ใช่ว่าข้ามีเจตนาจะสบประมาทความสามารถของท่านหรอกนะ   แต่จะให้เด็กหนุ่มที่ไม่เคยออกรบเลยมานำทัพได้อย่างไร?” ผู้เฒ่าจากเผ่าทางทิศเหนือเอ่ยขึ้นด้วยความข้องใจ   ซึ่งก็มีผู้นำหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย
                      “แล้วพวกท่านคิดว่าใครเหมาะสมล่ะ?” เสียงจากหัวหน้าเผ่าที่ถือข้างฮารีซันคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
                      ต่างคนต่างก็มองหน้ากันไปมา
                      “ดามิก้า จากเผ่าป่าทมิฬไงล่ะ?”
                      “จะให้ผู้หญิงเป็นผู้นำได้ยังไง”
                      “คาร์นล่ะ?”
                      “ทราเฮริ์นล่ะ?”
                      “ไม่ ท่านฮารีซันก็เหมาะสมดีอยู่แล้ว”
                      “ท่านวูจินไงล่ะ?”
                      เสียงทุ่มเถียงกันไปมาเรื่องผู้เหมาะสมก็ดังจนฟังไม่เป็นภาษา   เผ่าสมิงก็ใหม่เกินกว่าจะใครจะกล้าเลือก   เผ่าป่าทมิฬก็มีชื่อเสียงด้านความป่าเถื่อนจนเกินไป   เผ่าเซนทอร์ก็ยืนยันที่จะสนับสนุนฮารีซันเป็นผู้นำมากกว่าจะนำทัพเสียเอง   เผ่าเล็กเผ่าน้อยต่าง ๆ ก็ไม่มีความสามารถพอที่จะดูแลกองทัพที่มีคนจำนวนมากมายได้   หลายคนจึงเริ่มเห็นด้วยที่จะให้ผู้เฒ่าวูจินเป็นผู้นำเพื่อเป็นการยุติการทุ่มเถียงที่ไม่มีทางที่จะตกลงกันได้ง่าย ๆ   จนในที่สุดวูจินก็ต้องโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนสงบ
                      “ข้าเห็นว่าการให้พวกหนุ่ม ๆ นำทัพก็เหมาะสมดีอยู่แล้ว   พวกเจ้าคิดจะให้คนแก่อย่างข้าไปนำทัพออกรบหรืออย่างไร?” วูจินถอนหายใจส่ายหน้าอย่างระอาใจ “ข้าเกรงว่าจะแก่ตายก่อนที่จะถึงสนามรบน่ะสิ” ผู้เฒ่าแห่งฟูดินันแสร้งพูดทีเล่นทีจริงซึ่งทำให้บรรยากาศการประชุมที่ตึงเครียดผ่อนคลายลง
                      “ถ้าพวกเจ้ามีความกังขาในเรื่องความอ่อนวัยและความขาดประสบการณ์ของฮารีซัน   เราจะจัดคณะที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ด้านการรบให้เขา   และข้าเองก็จะช่วยเป็นที่ปรึกษาในเรื่องการรบให้เขาด้วย”
                      เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นต่างก็เห็นด้วยกับความคิดนี้จนเสียงสนับสนุนเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ  แม้แต่เผ่าสมิง เผ่าป่าทมิฬ และ เผ่าเซนทอร์ก็ยังส่งเสียงสนับสนุนอย่างเต็มที่   ทั้งนี้เพราะหลังจากการร่วมกันต้านกองทัพเพลิงเมื่อครั้งที่ผ่านมา   ทุกคนต่างก็ประจักษ์ในน้ำใจและอุปนิสัยใจคอของหัวเผ่าฟูดินันแล้วว่าเป็นคนซื่อตรง จริงใจ มีความอดกลั้นสูง และไม่มีความหยิ่งจองหองหรือถือตัวเลยแม้แต่น้อย   เหล่าขุนพลของทั้งสามเผ่าจึงนับถือน้ำใจของฮารีซันมากจนไม่รังเกียจที่จะให้ฮารีซันเป็นผู้นำแม้จะมีวัยที่อ่อนกว่า   จนในที่สุดทุกเผ่าต่างก็เห็นพ้องต้องกันที่จะให้ฮารีซันเป็นผู้นำทัพชาวป่า  
                      ฮารีซันมีสีหน้าหนักใจอยู่ไม่น้อยที่จะเป็นผู้นำเผ่าชาวป่าทั้งหมดออกสู่สงคราม   ช่างเป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่และเป็นภาระอันหนักอึ้งเหลือเกินสำหรับคนในวัยเพียงสิบแปดปี   วูจินยิ้มอย่างเข้าใจพลางตบไหล่หลานชายอย่างให้กำลังใจ   ฮารีซันยิ้มรับสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะลุกขึ้นโค้งให้กับที่ประชุม
                      “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสและผู้นำเผ่าทุกท่านที่ไว้วางใจมอบหมายตำแหน่งสำคัญเช่นนี้ให้ข้า   ข้ายังอ่อนด้อยประสบการณ์นักคงต้องขอคำชี้แนะจากทุกท่านอีกมาก   แต่ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด   ให้สมกับที่ได้รับความไว้วางใจจากพวกท่าน”
                      เสียงปรบมือสนับสนุนจากที่ประชุมดังกึกก้อง   เช่นเดียวกับผู้เฒ่าวูจินที่ปรบมือมองหลานชายอย่างภาคภูมิใจ   ฮารีซันได้พิสูจน์ตัวเองจนทุกเผ่ายอมรับในที่สุด   เขาเป็นผู้นำเผ่าอย่างสมภาคภูมิแล้ว  


Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: February 09, 2006, 07:10:58 PM »

                     การศึกระหว่างซาโลมและฟีเลเซียยิ่งทวีความดุเดือดรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ   จักรวรรดิซาโลมอันแข็งแกร่งที่ตีเมืองของฟีเลเซียเมืองแล้วเมืองเล่า   ดูเหมือนว่าเวลานี้เริ่มอ่อนกำลังลงและค่อย ๆ ถอยร่นกองทัพ    นอกจากจะตีเมืองเอรีมไม่สำเร็จแล้วกองทัพเพลิงยังเสียเมืองที่ตีมาได้ไปถึงสองเมืองคือฟอร์เรนเชียและคามินยาร์ด   ทั้งนี้ก็เพราะหลังจากที่กษัตริย์ซาดินทรงนำทัพที่เต็มไปด้วยเสบียงอาหารและทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลออกจากแนวช่องเขาวอลเนีย   พระองค์กลับต้องปะทะกับกองทัพเรือนแสนของฟีเลเซียที่ตรึงกำลังคอยท่าอยู่แล้วที่ปากทางนั้นเอง
                      กษัตริย์ซิกมันต์ทรงโกรธจัดที่ถูกกองทัพเพลิงลูบคมและดูถูกศักดิ์ศรีของอาณาจักรนั่นเอง   เนื่องเพราะทันทีที่พระองค์ทรงยกวอลเนียขึ้น   กองทัพเพลิงก็ทะลักเข้าถิ่นของพวกคนป่าทันที   ทำให้พระองค์ทรงมั่นใจว่าเจตนาที่แท้จริงของกองทัพเพลิงก็คือดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ของพวกคนป่า   และเห็นอาณาจักรแห่งสายลมเป็นเพียงแค่ทางผ่านเท่านั้น    พระองค์จึงทรงระดมกองทัพตอบโต้กองทัพซาโลมพร้อมกันทั้งทางบกและทางอากาศอย่างเต็มกำลัง
                      กษัตริย์ซาดินจำต้องถอยร่นกองทัพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  พระองค์ต้องการเลี่ยงการปะทะกันโดยตรง   เนื่องจากไม่ทรงต้องการเสี่ยงที่จะเสียเสบียงอาหารและทรัพย์สมบัติมากมายที่ชิงมาจากเผ่าต่าง ๆ ไปกับการปะทะกับกองทัพซึ่งถนัดการจู่โจมแบบรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ   พระองค์ไม่ได้เตรียมการมาเพื่อพบกับการต้อนรับของฟีเลเซียที่รวดเร็วในทันทีทันใดที่ยกทัพออกมาจากช่องเขาเช่นนั้น   ในขณะที่กองทัพที่เมืองเอรีมซึ่งนำโดยพระราชินีเนริมอร์และจอมทัพราโชยูก็ต้องเสียขบวนรบไปเมื่อไม่มีทัพหนุนช่วยเสริมกำลัง   อีกทั้งยังสับสนกับเหตุการณ์เต่าบินยักษ์ที่ทำให้ขาดการติดต่อกับทัพใหญ่ของซาดินซึ่งหายเข้าไปในป่าลึกทึบ
                      ทว่าเพราะการถอยร่นที่ไม่มีการวางแผนของซาโลมนี้ไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้กองทัพเพลิงต้องเสียเมืองที่ตีมาอย่างรวดเร็วไปถึงสองเมือง   แต่ทั้งนี้ก็เพราะมีกองกำลังลึกลับลอบเข้ามาสร้างความปั่นป่วนภายในค่ายอยู่เสมอ   ไม่ว่าจะเป็นการลอบวางเพลิง   การลอบสังหารหน่วยลาดตระเวนของซาโลม   ซึ่งเป็นสาเหตุให้หน่วยลาดตระเวนของซาโลมหน่วยแล้วหน่วยเล่าหายตัวไปอย่างลึกลับตลอดช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา   ทั้งการปล่อยข่าวลวงและคำสั่งปลอมภายในกองทัพ   หรือแม้กระทั่งลอบระเบิดกำแพงและประตูเมืองในยามวิกาล   เหล่านี้ทำให้กองทัพซาโลมปั่นป่วนและเสียเมืองทั้งสองไปง่าย ๆ อย่างไม่ควรจะเสีย
                      เหตุการณ์นี้สร้างความขุ่นเคืองและคลั่งแค้นให้กับกษัตริย์ซาดินเป็นอย่างมาก   ทรงประณามฟีเลเซียว่าเป็นพวกสุนัขลอบกัดที่สวมหนังมังกรปกปิดสันดานโจร   คำกล่าวนี้ก็สร้างความโกรธเคืองให้แก่กษัตริย์ผู้อ่อนวัยของฟีเลเซียอย่างมากเช่นกัน

s
[/b]


                      กลางที่ประชุมของเหล่าแม่ทัพภายในปราสาทที่เมืองคามินยาร์ด   หลังจากที่กษัตริย์ซิกมันต์ทรงบังคับเต่ายักษ์วอลเนียไปร่อนลงที่กลางทะเลลึกจนเกิดเป็นเกาะแห่งใหม่กลางทะเลไม่ใกล้ไม่ไกลจากเกาะวาร็อคนัก   พระองค์ก็ทรงร่วมออกรบกับจอมทัพชาร์ลและเหล่าขุนพลฝีมือฉกรรจ์ขับไล่กองทัพซาโลมอย่างเต็มกำลังจนสามารถยึดเมืองฟอร์เรนเชียและคามินยาร์ดคืนมาได้สำเร็จ   โดยมีเจ้าหญิงเรจิน่าคอยดูแลการบูรณะซ่อมแซมเมืองต่าง ๆ ที่ถูกกองทัพเพลิงทำลายและดูแลความเรียบร้อยต่าง ๆ อยู่ที่เมืองเอรีม
                      ขณะที่กษัตริย์ซิกมันต์ที่ 3 ทรงประชุมกับแม่ทัพเหล่าต่าง ๆ   พระองค์ก็ต้องทรงยิ่งขัดเคืองใจมากยิ่งขึ้นกับรายงานข่าวของหน่วยสอดแนมที่รายงานถึงคำพูดดูหมิ่นเกียรติของพระองค์และของฟีเลเซียจากกษัตริย์เมืองเถื่อน
                      “สามหาว!”   กษัตริย์หนุ่มตรัสเสียงกร้าว “พวกมันไร้ฝีมือที่จะปกป้องเมืองเอง   แต่กลับมาหมิ่นเกียรติของข้าและของฟีเลเซีย   มันน่าโมโหนัก”
                      “แต่ตามที่หน่วยสอดแนมข่าวรายงานมา   มีการลอบสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนต่าง ๆ ภายในกองทัพเพลิงอยู่หลายครั้งนะพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพนายหนึ่งทูล
                      “เป็นฝีมือพวกไหนกัน?” กษัตริย์ซิกมันต์ตรัสกับชาร์ลอย่างหงุดหงิด
                      “ยังไม่มีรายงานแน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ   คนกลุ่มนี้มักลงมือในยามวิกาลและยังลงมืออย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอยทุกครั้ง   แม้แต่พวกกองทัพเถื่อนเองก็ยังจับผู้ที่ลงมือไม่ได้เลยสักครั้ง” ชาร์ลทูลตอบ
                      “สืบหาตัวการมาให้ได้   ข้าจะไม่ยอมให้ศักดิ์ศรีแห่งฟีเลเซียต้องมั่วหมองเพราะการกระทำเยี่ยงโจรป่าไร้เกียรติเยี่ยงนี้”
                      “ฝ่าบาท” นายทัพอีกผู้หนึ่งทูลขึ้น “แต่การกระทำของคนกลุ่มนี้ทำให้เราสามารถยึดเมืองคืนมาได้เร็วขึ้นนะพ่ะย่ะค่ะ”
                      แม่ทัพหลายนายเมื่อได้ยินดังนั้นต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยแม้จะไม่ค่อยชอบใจกับความจริงข้อนี้   แต่คนที่ไม่ชอบใจที่สุดก็คือกษัตริย์ซิกมันต์ที่ 3 นั่นเอง
                      “ชาร์ล ท่านเห็นว่าอย่างไร?” กษัตริย์ซิกมันต์ตรัสถามด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
                      “หม่อมฉันเองก็ไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้   แต่อีกสองเมืองที่เหลือนั้นมีปราการที่แน่นหนายากที่จะยึดคืนมาได้   เมื่อคราวที่ซาโลมตีเมืองเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วก็เพราะการจู่โจมอย่างกะทันหันจนไม่มีใครได้ทันตั้งตัว   เราจึงเสียเมืองที่มีปราการที่แข็งแกร่งและแน่นหนาที่สุดไปอย่างง่ายดาย   หากเราจะยึดคืนมา...ลำพังกำลังของกองทัพเพียงอย่างเดียวคงยากลำบากมากทีเดียว”
                      “ท่านจะให้ข้ายอมรับการกระทำเยี่ยงโจรป่าของคนพวกนี้หรือ?”
                      “มิได้พ่ะย่ะค่ะ   เราอาจจะแค่ยืดเวลาในการค้นหาไปอีกสักระยะ   ถึงอย่างไรเวลานี้ก็มีอย่างอื่นที่สำคัญกว่าการมาตามหาว่าเป็นฝีมือของใคร   นั่นก็คือเราจะตีเมืองที่มีปราการที่ได้เปรียบและแข็งแกร่งทั้งสองนี้คืนได้อย่างไร?”
                      “จริงของท่าน” กษัตริย์หนุ่มตรัสพลางถอนหายใจอย่างหงุดหงิด “การหาวิธีชิงเมืองคืนสำคัญกว่า   เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้วข้าจะมาจัดการไล่เบี้ยทีหลัง
Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #5 on: March 03, 2006, 04:59:51 AM »

พูดคุยเกี่ยวกับนิยายบทนี้ที่

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=19617
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.04 seconds with 22 queries.