Summoner Master Forum
April 16, 2024, 03:06:53 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 45 ศักดิ์ศรีแห่งโอดิลอน @@  (Read 9661 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: June 23, 2006, 06:17:21 AM »

Chapter 45 ศักดิ์ศรีแห่งโอดิลอน
[/size]


                          ภายในห้องรับรองซึ่งถูกจัดเตรียมไว้สำหรับการประมูลครั้งสำคัญแห่งเมืองท่าแอนดิซอง   เก้าอี้กว่าสองร้อยตัวที่ถูกจัดเตรียมไว้เต็มจนไม่มีที่ว่างเหลือ   บรรดาผู้ที่ได้รับเชิญล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่อันจะกิน ผู้มีหน้ามีตาในวงสังคม หรือไม่ก็เป็นเหล่าขุนนางชั้นสูง   แม้ว่ามีหลายคนที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาเพื่อประมูลของล้ำค่าอย่างจริงจังนัก   แต่ทุกคนหวังที่จะได้ยลโฉมน้ำตานางเงือกเพชรน้ำเอกของกำนัลจากตระกูลโอดิลอนด้วยกันทั้งนั้น
                      เสียงแข่งราคาและเสียงค้อนที่ทุบลงเพื่อยุติการแข่งราคาดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า   ทว่าราคาที่ได้กลับไม่สูงเท่าที่ควรจะเป็นเลยสักชิ้นเดียว   เจ้าหญิงอลาน่าผู้นั่งเป็นประธานในการประมูลอยู่บนบัลลังก์ทองทรงปิดเปลือกตาลงประสานมือไว้บนตักอย่างสงบเสงี่ยมคล้ายกำลังสวดภาวนาอยู่บนบัลลังก์นั้นเอง
                      ที่แถวหน้าสุดของเวทีประมูล   วิโอเรียในชุดสีเงินครามเปลือยไหล่และคว้านคอลึกอย่างน่าหวาดเสียวกำลังนั่งไขว่ห้างกอดอกกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างสะใจ   ในมือถือพัดที่ทำจากขนนกโฟรวิรอส (Phoaviros) ซึ่งเป็นนกห้าสีพันธุ์หายากในแอนดิซอง   หญิงสาวคอยโบกพัดเป็นจังหวะให้สัญญาณบรรดาผู้ประมูลเป็นระยะ ๆ   ดวงตาคมงามที่แฝงไว้ด้วยความถือดีและไม่ยอมใครคอยลอบสบตากับพ่อค้าใหญ่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างรู้กัน   เมื่อมีของล้ำค่าชิ้นใหม่ถูกนำขึ้นมา   พอราคาที่ถูกเสนอเริ่มสูงขึ้นรูฟัสก็จะแกล้งยกคทาเพชรของตนเคาะที่ไหล่ซ้าย   ส่วนวิโอเรียก็จะโบกพัดบอกเป็นนัยว่าไม่พอใจ   ใครที่เสนอราคาเกินกว่านี้เป็นได้เห็นดีกัน   บรรดาผู้เข้าร่วมประมูลซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการนัดแนะจากทั้งวิโอเรียและรูฟัสก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด   ก็ใครเล่าอยากจะมีเรื่องกับรูฟัสและวิโอเรีย   คนหนึ่งก็เป็นผู้กว้างขวางในวงการค้า   อีกคนรึก็กุมบรรดาขุนนางหนุ่ม ๆ ไว้เป็นพวกมากมาย   ยิ่งเมื่อทั้งสองมาร่วมมือกันเช่นนี้ก็ยิ่งอันตรายหากคิดจะต่อต้านหรือขัดขืน   ส่วนคนที่ไม่ยอมร่วมมือกับแผนของทั้งสองก็ถูกแกล้งขัดขวางทำให้ไม่สามารถเข้ามาร่วมประมูลในครั้งนี้ได้   บรรดาผู้เข้าร่วมประมูลในวันนี้จึงแทบจะเป็นพวกของวิโอเรียและรูฟัสทั้งสิ้น  
                      “อันดับต่อไป   ชิ้นที่ห้าสิบเอ็ด และเป็นชิ้นสุดท้ายของวันนี้” เสียงนายประมูลประกาศก้อง “น้ำตานางเงือก”
                      สิ้นเสียงประกาศเจ้าหน้าที่ก็บรรจงถือหมอนกำมะหยี่สีขาวขนาดใหญ่   บนหมอนนั้นมีผ้าสีขาวปักด้วยดิ้นเงินและทองอย่างประณีตที่สุดคลุมทับอยู่บนวัตถุซึ่งก็คงจะเป็นอัญมณีล้ำค่าที่ทุกคนรอคอยนั่นเอง “ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ   น้ำตานางเงือก” นายประมูลกล่าวพร้อมกับกระตุกผ้าขึ้นทันที
                      เพชรสีน้ำเงินเข้มรูปหยดน้ำขนาดเท่าสองอุ้งมือปรากฏโฉมหยอกล้อกับแสงไฟจนแสงวูบวาบสีน้ำเงินส่องประกายสะท้อนไปทั่วทั้งห้องประมูล   เสียงฮือฮาด้วยเพราะตกตะลึงในความงดงามของเพชรสีน้ำเงินขนาดใหญ่และน้ำงามที่สุดก็ดังอื้ออึงไปทั่ว   แม้แต่วิโอเรียและรูฟัสก็ยังอดตะลึงจนตาค้างไม่ได้   รูฟัสถึงขนาดอ้าปากค้างจนน้ำลายหกออกมา   ขนาดนายประมูลเองก็ยังถือผ้าขาวปักดิ้นค้างอยู่ท่าเดิมด้วยความตกตะลึงเช่นกัน  
                      “นายประมูล” เจ้าหญิงอลาน่าทรงเรียกเมื่อเห็นว่านายประมูลไม่ดำเนินการประมูลสักที
                       โครม!
                      นายประมูลตกใจจนทำค้อนหลุดจากมือร่วงลงกระแทกโต๊ะดังโครมใหญ่ “อะ...เออ...พ่ะย่ะค่ะ...”
                      “เริ่มเลยจ๊ะ”
                      “ข้า! ข้า! ข้าซื้อ ๆ “ รูฟัสที่ได้สติร้องโหวกเหวกขึ้นมาทันที
                      “ข้าด้วย” “ขายให้ข้า” “ข้า ให้ข้า” เสียงตะโกนดังแข่งกันจนดังเซ็งแซ่ไปทั้งห้องประมูล
                      “โครม ๆ ๆ ๆ” นายประมูลต้องใช้ค้อนกระแทกโต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อบังคับให้ที่ประชุมอยู่ในความสงบ “กรุณาอยู่ในความสงบด้วยครับ   เรากำลังจะเริ่มต้นประมูลกันแล้ว”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: June 23, 2006, 06:19:26 AM »

                     ทุกคนที่ตะโกนโหวกเหวกต่างรู้สึกกระดากที่เผลอลืมตัวไปชั่วขณะ   รูฟัสนั้นหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดด้วยความอับอายรีบเช็ดคราบน้ำลายที่ไหลหกออกมา   สร้างความขบขันให้กับคนรอบข้างอย่างช่วยไม่ได้
                      “ราคาเริ่มต้นของน้ำตานางเงือก คือ หนึ่งแสนออเรียส” เสียงประกาศของนายประมูลดังขึ้น  ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นเป็นครั้งที่สอง
                      “บ้าแล้ว   หนึ่งแสนออเรียสงั้นเหรอ” รูฟัสตะโกนอย่างไม่เชื่อหู   หนึ่งแสนเหรียญทองนั่นเกือบจะเท่ากับเงินกำไรตลอดทั้งปีที่เขาหาได้เชียว   รูฟัสเหลือบตาไปมองผู้คนโดยรอบก็เห็นว่าบรรดาคนที่คิดอยากจะได้ครอบครองน้ำตานางเงือกก็ถึงกับหัวหดเมื่อได้ยินราคาเริ่มต้นของเพชรสีน้ำเงินชิ้นนี้   ระดับคนพวกนี้หากใครที่อยากจะได้ไว้ในครอบครองคงต้องขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีเพื่อเป็นเจ้าของมันเป็นแน่   รูฟัสเริ่มยิ้มออก   เมื่อไม่มีคู่แข่ง   ราคาก็ไม่น่าจะสูงไปมากกว่านี้สักเท่าไหร่
                      “หนึ่ง...หนึ่งแสนหนึ่งพัน” รูฟัสเสนอราคาหยั่งเชิง
                      “หนึ่งแสนสองพัน” เสียงวิโอเรียประกาศก้องพร้อมกับโบกพัดเป็นสัญญาณว่าใครก็อย่าเสนอหน้ามาแข่งราคาด้วย
                      “หนึ่งแสนสองพันห้าร้อย” รูฟัสเสียดายเงินแต่ก็อยากจะได้เพชรใจจะขาด
                      “หนึ่ง! แสน! สาม! พัน!” วิโอเรียประกาศย้ำทีละคำ จ้องหน้ารูฟัสและยิ้มมุมปากอย่างเอาเรื่องพร้อมกับขมุบขมิบปากว่า ‘ของข้า’
                      “หนึ่งแสน...” รูฟัสอ้าปาก
                      “หนึ่งแสนหนึ่งหมื่น” เสียงของชายคนหนึ่งดังก้องไปทั่วทั้งห้องประมูล   เสียงฮือฮาดังขึ้นทันที   ทุกคนต่างตกใจเหลียวไปมองต้นเสียงเป็นตาเดียว   วิโอเรียหันไปถลึงตาจ้องอย่างแทบจะกินเลือดกินเนื้อ   ในขณะที่รูฟัสตาเหลือกด้วยความตกใจ   เมื่อคนที่อาจหาญขัดคำสั่งของวิโอเรียและรูฟัสคือเสนาบดีกระทรวงศึกษาจากตระกูลโอดิลอนนั่นเอง
                      ‘เจ้าโอดิลอน   แกทำบ้าอะไรของแก’ รูฟัสขมุบขมิบปากอย่างด้วยความโกรธพยายามเอาคทาเคาะที่ไหล่ซ้ายตามสัญญาณที่ตกลงกันไว้  
                      ตลอดการประมูลวันนี้ขุนนางจากตระกูลโอดิลอนผู้นี้ดูเหมือนจะทำให้ทั้งรูฟัสและวิโอเรียขัดใจอยู่ตลอดเวลา   ทุกครั้งที่วิโอเรียหรือรูฟัสเสนอราคาขึ้น   เขาก็จะต้องเสนอราคาโดดขึ้นไปมากบ้างน้อยบ้างอยู่เรื่อย   ครั้นพอเห็นสัญญาณเคาะคทาหรือโบกพัด   เขาก็จะทำท่าตกอกตกใจขอโทษขอโพยไม่กล้าเสนอราคาสู้ทุกครั้งไป   จนรูฟัสคิดว่าขุนนางผู้นี้คงจะต้องมีความผิดปกติทางสมองหรือไม่ก็อาจจะป่วยหนักอะไรสักอย่าง   แต่เวลานี้พ่อค้าร่างยักษ์ชักจะแน่ใจแล้วว่ากำลังถูกเสนาบดีผู้นี้หักหลัง  
                      “หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นหนึ่งพัน” วิโอเรียประกาศแม้จะยังคงจ้องหน้าขุนนางจากตระกูลโอดิลอนอย่างเอาเรื่อง
                      “หนึ่งแสน...หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อย” รูฟัสเสนอราคาเสียงเบาลงเรื่อย ๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะขบขันในความงกของรูฟัสจากคนรอบข้าง
                      “หนึ่งแสนสองหมื่น” เสนาบดีโอดิลอนประกาศและยังคงยิ้มให้วิโอเรียและรูฟัสอย่างไม่สะทกสะท้าน   ในขณะที่ราคาที่เสนอก็เรียกเสียงฮือฮาให้ดังขึ้นอีกครั้ง
                      รูฟัสเริ่มนั่งไม่ติด   ตาก็มองเพชรสีน้ำเงินอย่างเว้าวอนละห้อยหา   ปากก็พึมพำคำด่าไม่หยุด “หนึ่งแสนสองหมื่น...หมื่น....ห้าร้อย”
                      “หนึ่งแสนสองหมื่นห้าพัน” วิโอเรียเค้นเสียงรอดไรฟันอย่างขุ่นเคืองที่สุด   ทั้งไม่อยากให้อลาน่าได้ราคาค่าประมูลสูงทั้งอยากจะเอาชนะอลาน่าและขุนนางจากตระกูลโอดิลอน   ในขณะที่รูฟัสก็ต้องจิกทึ้งเสื้อตัวเองด้วยความอัดอั้นเมื่อได้ยินราคาที่วิโอเรียประกาศ
                      “หนึ่งแสนห้าหมื่น” การประกาศราคาของโอดิลอนคราวนี้ยิ่งเรียกเสียงฮือฮาด้วยความตกใจดังมากขึ้นไปอีก   วิโอเรียถึงกับทะลึ่งพรวดลุกขึ้นจ้องหน้าเสนาบดีด้วยความโกรธจัด   ข้างฝ่ายรูฟัสก็ฉีกเสื้อนอกจนขาดวิ่นด้วยความคลั่งแค้นก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดออกจากห้องประมูลไปทันที
                      “หนึ่งแสนหกหมื่น” วิโอเรียประกาศทำให้เสียงฮือฮาดังไม่หยุด
                      “หนึ่งแสนเจ็ด”
                      “หนึ่งแสนแปด”
                      “หนึ่งแสนเก้า”
                      “สองแสน”
                      เสียงแข่งราคาดังสู้กันไม่หยุดจนทุกคนต่างก็ต้องตกตะลึงไปตาม ๆ กัน   ทุกคนต่างลุ้นกันสุดตัว   อยากจะรู้ว่าที่สุดแล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไร?   เมื่อราคาขึ้นไปถึงสองแสนออเรียสวิโอเรียก็เริ่มวิตก   เพราะเป็นเงินจำนวนมากจนตัวเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีพอจ่ายในทันทีหรือไม่?   แต่เมื่อวิโอเรียเห็นว่าฝ่ายเสนาบดีเงียบไปก็กระหยิ่มอย่างลำพองในชัยชนะที่มองเห็นอยู่รำไร   เสียงร้องย้ำราคาที่วิโอเรียเสนอจากนายประมูลดังก้องขึ้นเป็นครั้งที่สอง   พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจของวิโอเรียเริ่มปรากฏบนใบหน้าขณะที่ส่งสายตาเหยียดหยามไปทางเสนาบดีโอดิลอน   ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับค่อย ๆ เลือนหายไปเพราะรอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนใบหน้าของเสนาบดีโอดิลอนนั้นบ่งบอกถึงความเป็นต่อและไม่สะทกสะท้านใด ๆ ทั้งสิ้น  
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: June 23, 2006, 06:20:27 AM »

                         “สองแสนห้าหมื่น” เสนาบดีประกาศเสียงเรียบในขณะที่วิโอเรียแทบจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ   พัดในมือหักสะบั้นเป็นสองท่อน   หญิงสาวหายใจหอบถี่ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก   ดวงตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งด้วยความอาฆาตมาดร้าย   ฝ่ายผู้ร่วมประมูลทั้งหลายก็ถึงกับอุทานด้วยความตื่นตะลึงกับราคาที่เพิ่งถูกประกาศ
                          “สองแสนห้าหมื่นออเรียส ครั้งที่หนึ่ง” นายประมูลประกาศ   พร้อมกับรอดูท่าทีของวิโอเรียว่าจะเสนอราคาสูงกว่านี้อีกหรือไม่
                          “สองแสนห้าหมื่นออเรียส ครั้งที่สอง” ทั้งห้องประมูลยังคงเงียบสนิท
                          “สองแสนห้าหมื่นออเรียส ครั้งที่สาม” เสียงนายประมูลประกาศพร้อมกับใช้ค้อนทุบโต๊ะเป็นสัญญาณยุติการประมูล “น้ำตานางเงือกตกเป็นของท่านโอดิลอน เสนาบดีกระทรวงศึกษา ด้วยราคาสองแสนห้าหมื่นออเรียสครับ”
                          เสียงปรบมือแสดงความยินดีดังสนั่นกึกก้องไปทั้งห้องประมูล   วิโอเรียซึ่งแทบจะเดินกระทึบเท้าก็ก้าวฉับ ๆ ไปถึงตัวเสนาบดีกระทรวงศึกษาอย่างรวดเร็ว
                          “ดีใจไปเถอะ   ระวังตัวไว้ให้ดีแล้วกัน” หญิงสาวกล่าวอย่างมาดร้ายและเคียดแค้น
                          เสนาบดีจากโอดิลอนเตรียมใจที่จะต้องชนกับวิโอเรียและรูฟัสมาตั้งแต่ได้รับมอบหมายหน้าที่นี้จากที่ประชุมของตระกูลแล้ว   ตระกูลโอดิลอนทุกคนล้วนแต่รับราชการรับใช้ราชวงศ์มาโดยตลอด   และไม่มีสักครั้งที่จะอ่อนข้อหรือเกรงกลัวต่อผู้มีอิทธิพล   ช่างน่าขำเหลือเกินที่วิโอเรียและรูฟัสคิดว่าจะซื้อเขาได้ด้วยสมบัติของตระกูลเขาเอง  
                          “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านเป็นห่วง” เสนาบดียิ้มน้อย ๆ ทำหน้าซื่อ และแสร้งค้อมศีรษะให้  
                          คราวนี้วิโอเรียถึงกับกัดฟันจนตัวสั่นเทิ้ม   เค้นเสียงรอดไรฟัน “แล้วเราจะได้เห็นดีกัน” กล่าวจบแล้วก็สะบัดหน้าก้าวออกจากห้องไปอย่างกับพายุบุแคม
                          เมื่อวิโอเรียจากไปแล้วทุกคนต่างก็เข้าไปแสดงความยินดีกับขุนนางแห่งตระกูลโอดิลอนทันที   เพราะความที่กลัวอิทธิพลของวิโอเรียและรูฟัสจึงทำให้ไม่มีใครกล้าประมูลแข่ง   แต่เสนาบดีผู้นี้กลับแข่งราคาอย่างไม่กลัวเกรงจึงทำให้ขุนนางจากตระกูลโอดิลอนมองดูเหมือนเป็นวีรบุรุษก็ไม่ปาน  
                          เสียงปรบมือจากผู้ร่วมประมูลดังกึกก้อง   เสนาบดีโอดิลอนเหลือบมองไปทางเวทีประมูล   ที่บนเวทีนั้นเจ้าหญิงอลาน่าประทับยืนอยู่ทรงปรบมือด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและดวงตาที่ฉ่ำชื้นด้วยน้ำตา   พระองค์ทรงขมุบขมิบปากเป็นคำพูดที่อ่านได้ว่า ‘ขอบคุณค่ะ’  
ขุนนางวัยกลางคนยิ้มตอบพร้อมกับค้อมศีรษะรับคำก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูฝั่งซ้ายเพื่อรับน้ำตานางเงือกกลับคืนสู่ตระกูลโอดิลอนดังเดิม



S
« Last Edit: June 23, 2006, 06:23:15 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: June 23, 2006, 06:22:44 AM »

                       ดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลงแล้วเมื่อทัพเสริมแห่งฟีเลเซียและกองทัพแห่งฟูดินันเดินทางมาถึงประตูเมืองทางทิศใต้ของเมืองคามินยาร์ด   ประตูเมืองด้านนี้ยังมีร่องรอยความเสียหายจากการถูกโจมตีอย่างหนักปรากฏให้เห็นอยู่ตลอดแนวกำแพง   เสียงแตรให้สัญญาณเปิดประตูดังก้องขานรับกันเป็นช่วง ๆ และทันทีที่ประตูเมืองเปิดออก   ภาพของแถวประชาชนทั้งชายหญิงที่ออกมายืนต้อนรับก็ยาวเหยียดไปจนสุดลูกหูลูกตา   กองทัพแห่งฟีเลเซียเดินนำเข้าไปเป็นกองทัพแรกโดยการนำของเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียบนหลังอาชาสีขาวปลอด   ท่ามกลางเสียงร้องสรรเสริญที่ดังก้องไปทั่ว   แต่แล้วทันทีที่กองทัพของฟูดินันก้าวผ่านประตูเมือง   เสียงอุทานด้วยความตกใจและเสียงซุบซิบก็ดังเซ็งแซ่ไปตลอดทาง
                        บรรดานักรบของฟูดินันเหลียวมองบ้านเรือนที่เรียงต่อกันเป็นชั้นสูงด้วยความตื่นตา   บ้านเรือนยังแลดูสวยงามตระการตาในสายตาของพวกชาวป่าแม้จะถูกทำลายไปเพราะสงคราม   แต่ไม่นานนักทุกคนก็เริ่มรู้สึกตัวและเริ่มอึดอัดกับสายตาของประชาชนชาวเมืองคามินยาร์ดและบรรดาทหารรักษาการณ์ที่จ้องมองพวกตน   สายตาตื่นตระหนกและสมเพชที่ทำให้พวกเขารู้สึกไร้ค่าและต่ำต้อย
                        “สายตาแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงกัน?” นายพลทราเฮิร์นอดพูดไม่ได้เมื่อถูกจ้องมองมาก ๆ เข้า
                        “เอาเถอะ   อีกเดี๋ยวเราก็จะพ้นจากคนพวกนี้แล้ว” ฮารีซันที่เดินอยู่ใกล้ ๆ พูดให้กำลังใจ
                        “พวกท่านไม่รู้สึกอะไรเลยรึ?” แม่ทัพเซนทอร์ถามต่อ   แต่เมื่อมองเห็นหน้าของแต่ละคนก็รู้ว่าต่างก็รู้สึกอัดอึดอยู่ไม่น้อยเช่นกัน  
                        “ข้าพยายามจะไม่สนใจสายตาของคนพวกนี้” คาร์นคำรามเบา ๆ ก้มหน้าก้มตาเดินเหมือนกับพยายามสะกดใจอยู่   ทว่าดูเหมือนดามิก้าซึ่งนั่งบนหลังอาลูปัสจะมีสีหน้าเรียบเฉยมากที่สุด
                        “ท่านดูจะไม่ทุกข์ไม่ร้อนมากที่สุดในหมู่พวกเรานะ” เซนทอร์ทราเฮิร์นเอ่ยทักเมื่อเห็นดังนั้น
                        “ก็อาจจะใช่” ดามิก้าบนหลังอาลูปัสหันมาตอบอย่างไม่จริงจังนัก “ข้าคงจะชินแล้วละมั๊ง?”
                        “ชินแล้วเหรอ? ดูท่านจะปรับตัวได้เร็วกว่าพวกเราอีกนะ” ทราเฮิร์นเอ่ยด้วยความประหลาดใจแกมชื่นชม
                        “หึ ใครว่า...สายตาแบบนี้มันก็เหมือนกับที่เวลาเผ่าอื่น ๆ จ้องมองเผ่าทมิฬนั่นแหละ   ข้าถึงรู้สึกชินกับมันไงละ” คำพูดของสาวชาวป่าทมิฬทำให้ชายทั้งสามต้องหันมามองจนดามิก้าอดหัวเราะไม่ได้ “เฮ้ เฮ้ ไม่ต้องมองข้าแบบนั้นหรอก   ข้าไม่ได้ติดใจอะไรหรือตั้งใจจะโทษใครนะ”
                        “เจ้าเป็นเผ่าทมิฬที่ดี” คาร์นกล่าวพร้อมกับตบหลังดามิก้าเบา ๆ  ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็ยิ้มให้อย่างเห็นด้วย   “เสียตรงที่พูดตรงไปหน่อยเท่านั้นแหละ” คาร์นเสริมด้วยใบหน้านิ่งเฉยแต่ก็เรียกเสียงขบขันจากฮารีซันและทราเฮิร์นได้อย่างดี
                        “ขอบใจ” ดามิก้ายิ้มหยอก “ถ้าเป็นคนอื่นพูด   คงได้มีการออกกำลังกันกลางเมืองแน่   แต่เพราะเป็นท่านพูด...ข้าจะถือว่าเป็นคำชมแล้วกัน”
                        “เอาน่า...พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายหรอก   อย่างน้อยก็ทำให้ข้าก็ลืมสนใจสายตาพวกนี้ได้ไปชั่วขณะ” ทราเฮิร์นพูดเสริม
                        “เร่งฝีเท้ากันอีกนิดเถอะ   เราใกล้จะถึงค่ายพักแล้ว” ฮารีซันกล่าวยิ้ม ๆ  ทำให้ทุกคนมองตรงไปยังที่ว่างที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับพวกเขา
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: June 23, 2006, 06:25:02 AM »

                        เหนือขึ้นไปบนเนินสูงมีอาคารขนาดใหญ่ที่ถูกใช้เป็นที่บัญชาการชั่วคราว   กษัตริย์ซิกมันต์ที่ 3 ทรงใช้กล้องส่องทางไกลที่ทำให้สามารถมองได้ไกลและคมชัดขึ้น   ซึ่งได้จากการประดิษฐ์ของทิโมธี   พระองค์ทรงใช้มันส่องสำรวจกองทัพฟูดินันจากระเบียงอาคาร  
                         “นี่มันกองทัพอะไรกัน?” กษัตริย์ซิกมันต์ทรงเหยียดปากอย่างดูแคลน  ขณะส่งกล้องให้แม่ทัพชาร์ล   ทันทีที่ชาร์ลยกกล้องขึ้นส่องดูก็ต้องรีบกระแอมเพื่อกลบเสียงหัวเราะ
                         “มันไม่ตลกเลยสักนิด   ข้าจะให้กองทัพประหลาดเหมือนพวกละครสัตว์อย่างนั้นออกรบได้ยังไง?” กษัตริย์ซิกมันต์ตรัสอย่างเหยียดหยาม
                         “ขออภัยฝ่าบาท   กระหม่อมไม่เคยเห็น   เออ...จะเรียกว่าอย่างไรดี... กองทัพที่แต่งตัวกันด้วยสีสันฉูดฉาดสารพัดสีและเอาแต่อ้าปากหวอหันรีหันขวางมองดูบ้านเมืองของเราราวกับเห็นแดนมายาอย่างนี้”  
                         “แล้วนั่น...” กษัตริย์ซิกมันต์ทรงชี้ลงไปยังเผ่าสมิง “นั่นมันคนหรือสัตว์กันแน่!”
                         ชาร์ลยกกล้องส่องดูตามที่ซิกมันต์ชี้ “อืม... รูปร่างเหมือนสัตว์แต่เดินสองขา   อาจจะเป็นพวกเผ่าสมิงก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ   กระหม่อมก็เพิ่งจะเคยเห็นตัวจริงก็วันนี้เอง”
                         “ฝ่าบาท” แม่ทัพนายหนึ่งเดินเข้ามาสมทบด้วย “เราทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะว่ากองทัพลึกลับที่ลอบโจมตีกองทัพซาโลมคือพวกไหน?   ตอนนี้หน่วยสอดแนมรอถวายรายงานอยู่ที่ห้องบัญชาการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
                         ดวงตาของกษัตริย์ซิกมันต์แข็งกร้าวขึ้นทันที   วันนี้จะได้รู้กันเสียทีว่าใครคือสุนัขลอบกัดที่สร้างความเสื่อมเสียให้แก่ฟีเลเซีย   พระองค์ทรงเหลือบมองกองทัพเบื้องล่างด้วยดวงตาที่หรี่แคบและใบหน้าที่บึ้งตึง   นั่นก็เป็นอีกปัญหาที่น่าหนักใจที่พระองค์จะต้องจัดการ   คิดดังนั้นแล้วก็สะบัดผ้าคลุมออกเดินตรงไปยังห้องบัญชาการทันที  


                         ณ ห้องบัญชาการของกองทัพแห่งฟีเลเซีย   ประตูห้องถูกกระแทกเปิดออกอย่างแรงพร้อม ๆ กับที่กษัตริย์ซิกมันต์ทรงก้าวเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
                         “พวกมันเป็นใคร?” กษัตริย์ซิกมันต์ทรงถามทันทีที่เห็นหน้าหน่วยสอดแนมทั้ง ๆ ที่ยังเดินไปไม่ถึงบัลลังก์
                         “ทูลฝ่าบาท” นายทหารกราบทูล “เป็นพวกนักฆ่าแห่งฟีเลเซีย(Felasia Assassin)พ่ะย่ะค่ะ”
                         กษัตริย์ซิกมันต์เกือบจะเดินไปถึงบัลลังก์แล้วแต่ก็ต้องทรงหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น   สีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกของพระองค์ทำให้ทั่วทั้งห้องต้องเงียบสนิท      
                         “ไอ้พวก...” กษัตริย์ซิกมันต์ทั้งประหลาดใจทั้งโกรธจนสรรหาคำมาอธิบายไม่ได้   ความโกรธที่ทำให้พระองค์อยากจะทำลายกำแพงเมืองโครีธาให้ราบเป็นหน้ากลองแล้วลากคอพวกนักฆ่าเหล่านี้มาสำเร็จโทษด้วยมือของพระองค์เอง   พระองค์ต้องหยุดพูดแล้วสูดหายใจเข้าอย่างแรงก่อนที่จะทรงสามารถตรัสใด ๆ ได้อีกครั้ง “ไอ้พวกสวะนอกกฎหมายพวกนี้เสนอหน้าเข้ามายุ่งเกี่ยวในการรบของเหล่าอัศวินแห่งฟีเลเซียทำไม?”
                         “ฝ่าบาท” นายทัพนายหนึ่งทูลตอบ “พวกโจรเถื่อนนอกกฎหมายพวกนี้พยายามขอสมัครเข้าร่วมกับกองทัพอัศวินตั้งแต่เมื่อครั้งที่สงครามเพิ่งเริ่มต้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
                         “ไร้สาระ!   จะให้พวกคนนอกกฎหมายไร้เกียรติพวกนี้เข้าร่วมในกองทัพอันทรงเกียรติแห่งฟีเลเซียได้อย่างไร?”
                         “พ่ะย่ะค่ะ   นั่นเป็นเหตุให้กองทัพไม่รับคนพวกนี้เข้ามาตั้งแต่แรก” นายทัพอีกคนหนึ่งเสริมขึ้น “เพราะยุทธวิธีการรบแบบดักซุ่มและลอบโจมตีเหมือนโจรของพวกมันนั้นเป็นเรื่องที่กองทัพไม่อาจยอมรับได้”
                         “พวกเจ้าทำถูกต้องแล้ว   วิธีการของพวกมันไม่ต่างอะไรกับโจรชั้นต่ำ   ไร้เกียรติและศักดิ์ศรีที่สุด!” กษัตริย์ซิกมันต์ทรงประณามอย่างดุเดือด
                         “นี่คงเป็นความพยายามที่จะทำให้กองทัพยอมรับ” แม่ทัพชาร์ลออกความเห็นอย่างไม่ชอบใจนัก
                         “พวกมันคงอยากจะได้สิทธิ์การยอมรับเป็นพลเมืองของเรา” นายพลมังกรกล่าว
                         “ความพยายามโง่ ๆ “ กษัตริย์ซิกมันต์ตรัสอย่างเผ็ดร้อน “ข้าไม่มีวันยอมรับพวกนอกกฎหมายพวกนี้เข้าเป็นพลเมืองให้เสื่อมเกียรติของประเทศชาติเด็ดขาด”
                         “ถ้าเช่นนั้นเราจะทำอย่างไรกับพวกนักฆ่าพวกนี้ดี?” นายทัพอีกคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
                         “ต้องหาวิธีหยุดพวกมันให้ได้   เพื่อไม่ให้เกียรติของกองทัพต้องเสื่อมเสียไปมากกว่านี้” แม่ทัพชาร์ลพยายามคิดหาทางที่จะกอบกู้ชื่อเสียงของกองทัพชาตินักรบ
                         ทั่วทั้งห้องบัญชาการต่างก็เงียบเสียงลงพยายามหาวิธียุติการกระทำของพวกนักฆ่าแห่งฟีเลเซีย   แต่แล้วในที่สุดที่ประชุมก็ดูเหมือนจะรอคอยคำสั่งเด็ดขาดจากองค์กษัตริย์ซึ่งถือว่าเป็นการชี้ขาดที่ดีที่สุด
                         “ส่งหน่วยไล่ล่าออกไป” กษัตริย์ซิกมันต์ทรงประกาศเสียงกร้าว “เจอพวกนอกฎหมายพวกนี้เมื่อไหร่ให้จัดการได้ทันที”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: June 23, 2006, 06:27:07 AM »

                     “ช้าก่อนฝ่าบาท” ชาร์ลท้วงขึ้นแทบจะทันที “กระหม่อมเห็นว่าเราไม่ควรจะรีบกำจัดพวกนักฆ่าเวลานี้   การที่เราจะแบ่งกองทัพออกไปเพื่อจะรบทั้งศึกในศึกนอกจะทำให้เราเสียกำลังพลไปโดยใช่เหตุ   กระหม่อมไม่อยากให้เราสูญเสียทหารกับการนี้ทั้ง ๆ ที่หน่วยไล่ล่านี้อาจจะสามารถปลิดชีพพวกซาโลมได้เป็นร้อยในสนามรบ” ลึก ๆ ในใจแล้วชาร์ลก็มองเห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับจากเหล่านักฆ่าแห่งฟีเลเซียอยู่ไม่น้อย
                      “จริงอย่างที่ท่านแม่ทัพว่านะพ่ะย่ะค่ะ   อย่างน้อยคนพวกนี้ก็ไม่ได้หันมาโจมตีเรา” บรรดาแม่ทัพต่างก็เห็นด้วยและในใจหลาย ๆ คนก็คิดว่าจะใช้ประโยชน์จากเหล่านักฆ่าพวกนี้ไปอีกสักระยะ
                      “อย่างน้อยก็ให้เราสามารถยึดเมืองทั้งสองคืนได้เสียก่อน” แม่ทัพอีกคนกล่าวเสริม
                      “ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะให้ข้าทนบากหน้ายอมรับสภาพที่น่าอัปยศที่พวกมันก่อนขึ้นรึยังไง?” ซิกมันกษัตริย์ทรงตะคอกด้วยความโกรธ
                      “กระหม่อมเห็นว่าในเบื้องต้นนี้   เราอาจจะทำประกาศไม่ยอมรับการกระทำของบุคคลกลุ่มนี้   เป็นการบ่งบอกที่ชัดเจนว่าเรากับพวกนักฆ่าพวกนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน” ชาร์ลออกความเห็น  
                      กษัตริย์ซิกมันต์ทรงยกมือขึ้นบีบขมับตนเองกรามขบแน่นและนิ่งเงียบอยู่นาน   พระองค์ทรงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตรัสเสียงหนัก ๆ ด้วยความขุ่นเคือง
                      “ทำไมอะไร ๆ ก็ประเดประดังกันเข้ามาในชีวิตข้าอย่างนี้นะ   เอาตามที่พวกท่านว่าไปก่อนแล้วกัน   ถ้ามีทางออกที่ดีกว่านี้แล้วเราค่อยว่ากันทีหลัง” ตรัสจบก็ทรงลุกขึ้นสาวเท้ายาว ๆ ออกจากห้องไปทันที  
                      ชาร์ล คาร์แลนซ์ มองดูกษัตริย์ซิกมันต์ด้วยความวิตก   ในใจก็คิดถึงสถานการณ์ของกษัตริย์ซิกมันต์ในเวลานี้   นี่เป็นศึกใหญ่ครั้งแรกที่พระองค์ในฐานะกษัตริย์ที่ทรงเป็นแม่ทัพสูงสุดโดยไม่มีกษัตริย์ซิกมันต์ที่ 2 คอยนำเหมือนเมื่อกาลก่อนอีกแล้ว   แต่กลับมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันและปัญหาเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน   ไม่ว่าจะด้วยเรื่องการรบร่วมกับฟูดินันหรือการมีพวกนอกกฎหมายมาคอยยื่นมือเข้ามาแทรกแซงในการรบ   และด้วยเลือดสีน้ำเงินที่เข้มข้นไปด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของพระองค์จะทำให้พระองค์ฝ่าฟันการสงครามครั้งนี้ไปได้ด้วยวิธีใดกัน   ลำพังตัวเขาเองก็คงช่วยได้แค่ในระดับหนึ่ง   เห็นทีเขาจะต้องหาผู้ช่วยเหลือเหมาะ ๆ อีกสักคนที่ช่วยแบ่งเบาภาระปัญหาของพระองค์ไป   และต้องเป็นคนที่มีความกล้าพอที่จะขัดหรือโต้แย้งกับกษัตริย์ซิกมันต์ได้

 
S

                     “เจ้าหญิงเรจิน่า   พระองค์จะเสด็จไปไหนอีกแล้วเพคะ?” นางกำนัลคนสนิทของเจ้าหญิงเรจิน่าอดถามอย่างอ่อนใจไม่ได้ขณะที่วิ่งตามเจ้าหญิงออกมาถึงห้องรับรองแขกภายในจวนที่พักของเจ้าเมือง   ที่ซึ่งถูกใช้เป็นที่พักสำหรับเจ้าหญิงเรจิน่า   ภายในห้องมีการจัดเตรียมโต๊ะเข็นที่ใส่สำรับสำหรับรับรองแขกไว้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นกาน้ำชา ขนมปังสดใหม่ หรือแม้แต่ขนมอบนานาชนิด “คราวที่แล้วพระองค์ก็แอบหลบไปที่ค่ายของฟูดินันพระองค์เดียว   ทรงทราบไหมเพคะว่าหม่อมฉันกระวนกระวายตามหาพระองค์ด้วยความร้อนใจขนาดไหน?   นี่ถ้าอุ๊บ!” นางกำนัลกระพริบตาปริบ ๆ เงียบเสียงลงทันทีที่มีขนมปังก้อนใหญ่อุดเต็มปากพร้อม ๆ กับเสียงระเบิดหัวเราะดังลั่นของเจ้าหญิง
                      “ข้าคิดว่าการที่เจ้าพูดมากขนาดนี้   จะต้องเสียพลังงานไปมากแน่ ๆ   เติมกระเพาะเสียหน่อยจะได้มีแรงพูดต่อ” เจ้าหญิงตรัสพยายามหยุดหัวเราะ   แต่พอเห็นหน้าของนางกำนัลที่ยังคงจ้องมองพระองค์ตาปริบ ๆ พร้อมกับขนมปังในปาก   ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอีกครั้ง
                      “ฝ่าบาท   ทรงแกล้งหม่อมฉันอีกแล้ว” นางกำนัลวางขนมปังลงบนโต๊ะ “นี่ก็ค่ำลงแล้ว   พระองค์ไม่ควรจะเสด็จออกไปจากจวนที่พักเพื่อแอบไปเที่ยวเล่นที่ไหนอีกแล้วนะเพคะ”
                      “ใครว่าข้าจะออกไปจากจวนกันละ?” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงมองหาขนมปังชิ้นต่อไป “อีกเดี๋ยวชาร์ลจะมาพบข้าต่างหากล่ะ”
                      “พระองค์หมายถึงแม่ทัพชาร์ล คลาแรนซ์รึเพคะ?” นางกำนัลทูลถามอย่างตื่นเต้น   มือก็ยกขึ้นจัดแต่งผมโดยอัตโนมัติ  
                      “ดูท่าเจ้าจะชื่นชอบชาร์ลอยู่ไม่น้อยเลยนะ” เจ้าหญิงทรงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์หรี่ตามองแสร้งขยับแว่นตาสมมุติด้วยท่าทางเหมือนอาจารย์ผู้ภูมิในสถาบันการศึกษา
                      “ฝ่าบาท   หม่อมฉันก็แค่ชื่นชมท่านชาร์ลที่เพียบพร้อมและเก่งกล้าสามารถในฐานะอัศวินและจอมทัพเท่านั้นแหละเพคะ   แต่ถ้าพูดถึงความเหมาะสมกันแล้ว   พระองค์กับ อุ๊บ!” คราวนี้นางกำนัลต้องหยุดพูดเพราะขนมปังที่ก้อนใหญ่กว่าเดิม
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: June 23, 2006, 06:28:43 AM »

                       “อย่าแม้แต่จะคิดจับคู่ให้ข้าเชียว   เราเป็นแค่เพื่อนกัน  และวันนี้เขามาเพื่อปรึกษาราชการกับข้าเท่านั้น” เจ้าหญิงทรงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ด้วยใบหน้าจริงจังยิ่งขึ้น “เข้าใจใช่ไหม?”
                        นางกำนัลพยักหน้าหงึก ๆ อย่างว่าง่ายในขณะที่เจ้าหญิงทรงเริ่มยิ้มอย่างซุกซนอีกครั้ง
                        ปัง!
                        เสียงเปิดประตูห้องรับรองดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่ชาร์ล คลาแรนซ์ก้าวเข้ามาผ่านในห้อง  เขาไม่ได้อยู่ในชุดเกราะเต็มยศเหมือนเวลาราชการ   แต่อยู่ในชุดผ้าเนื้อดีสีเขียวเข้มหม่นขลิบดำ   เขาชะงักค้างครู่หนึ่งเมื่อเห็นสตรีทั้งสองในห้องรับรอง   แต่ก็ตัดสินใจเดินเข้ามาหา
                        “ขออภัยฝ่าบาท   กระหม่อมไม่คิดว่าพระองค์จะอยู่ที่ห้องนี้แล้ว   และ....เออ” ชาร์ลลากเสียงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งมองนางกำนัลที่หน้าแดงแล้วก็ซีดสลับกันไปมาโดยที่ก้อนขนมปังยังค้างอยู่ในปาก “ไม่ทราบว่ากระหม่อมมาขัดจังหวะอาหารค่ำหรือเปล่า?”
                        นางกำนัลรีบหยิบขนมปังออกจากปากอย่างรวดเร็วโดยใบหน้าที่แดงก่ำจนถึงใบหูจนเจ้าหญิงเรจิน่าทรงหัวเราะร่ากับท่าทางของเธอ   นางกำนัลรีบก้มหน้าก้มตาจัดเตรียมสำรับของว่างให้บุคคลทั้งสองแล้วก็เลี่ยงออกไปยืนรอรับคำสั่งอีกมุมห้องหนึ่งทันที    
                        “กระหม่อมเดาได้เลยว่าเป็นฝีมือของพระองค์” ชาร์ลอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้พลางแกล้งพูดเสียงเบาเหมือนกลัวใครจะได้ยิน
                        “ท่านไม่ต้องเดาเลย   เป็นฝีมือข้าอยู่แล้ว” เจ้าหญิงตรัสอย่างหนักแน่นด้วยความภาคภูมิในฝีมือเหมือนทหารที่ได้รับคำชมจากแม่ทัพ “ไปนั่งที่เก้าอี้เถอะ   จะได้คุยได้สะดวกหน่อย”
                        เมื่อทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อย   เจ้าหญิงเรจิน่าจึงเริ่มตรัสถาม
                        “เอาล่ะ   มันเรื่องอะไรกัน?”
                        “ก็อย่างที่ฝ่าบาททูลให้ทราบในสารที่ส่งมา   กษัตริย์ซิกมันต์ควรจะมีคนช่วยแบ่งเบาภาระของพระองค์   แค่เรื่องการศึกกับจักรวรรดิซาโลมก็วุ่นวายมากพออยู่แล้ว”
                        “ใช่   ในฐานะกษัตริย์   ซิกมันต์ต้องแบ่งภาระอันหนักอึ้งทันทีที่ขึ้นครองราชย์เลย” เจ้าหญิงตรัส
                         “พ่ะย่ะค่ะ   ไหนจะเรื่องการกองทัพฟูดินัน   ไหนจะยังพวกนักฆ่านอกกฎหมาย” ชาร์ลทูลพลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจมอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้น
                        “เรื่องฟูดินันให้เป็นธุระของเราเอง” เจ้าหญิงเสนอตัวแทบจะทันที
                        ชาร์ลหยุดถ้วยของเขาก่อนที่จะได้ทันดื่มอึกแรก   เขาเหลือบมองเจ้าหญิงผ่านขอบถ้วยชาก่อนจะยิ้มกว้าง “ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา   พระองค์ไม่ทรงพลาดที่จะปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ก็ตามจะทำให้พระองค์สนุกได้   ใช่มั๊ยพ่ะย่ะค่ะ?”
                        “อะไรกันชาร์ล   ท่านยังคิดว่าข้าเป็นเด็กซุกซนที่ปีนต้นไม้ในอุทยานหลวงเล่นอยู่หรือยังไง?” เจ้าหญิงเรจิน่าแสร้งเหน็บอย่างไม่พอใจ
                        “ทูลตามตรง   บางครั้งหม่อมฉันก็ยังเห็นว่าเป็นเช่นนั้นอยู่” ชาร์ลยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงสมัยเด็ก ๆ
                        “ข้าคือสายลมนะ   ถ้าสายลมอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ แล้ว   สายลมจะยังเป็นสายลมอยู่ได้อย่างไรกัน?”    
                        “แต่พระองค์ก็นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นนะพ่ะย่ะค่ะ   อย่างน้อยเวลานี้พระองค์ก็ไม่ได้ปีนต้นไม้ต่อหน้าคนอื่น ๆ “
                        “อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลยชาร์ล”  เจ้าหญิงทรงหัวเราะในลำคอ
                        “เวลาพระองค์อยู่ต่อหน้าคนอื่น ๆ พระองค์ก็จะวางตัวเป็นเจ้าหญิงผู้เพียบพร้อมและงามสง่า   แต่กลับเวลาที่อยู่เพียงลำพังกับคนสนิท...” ชาร์ลยังคงพูดต่อ
                        “ก็ข้ารู้ว่าประชาชนชาวฟีเลเซียต้องการเห็นสิ่งใดจากตัวเจ้าหญิงนะสิ   ข้ารู้ว่าตัวเองเป็นความหวังและเป็นที่ยึดเหนี่ยวของประชาชน   ข้าก็ยินดีจะทำสิ่งนั้นเพื่อประชาชนชาวฟีเลเซีย   เพียงแต่ว่า...ถ้ามีโอกาสให้ข้าได้ผ่อนคลายบ้าง   ข้าก็ไม่ควรพลาดไม่ใช่รึ?” เจ้าหญิงตรัสด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่งขึ้น   ชาร์ลยกถ้วยน้ำชาขึ้นเหมือนยกแก้วเหล้าเวลาดื่มให้เกียรติใครสักคน
                        “ทีนี้ก็เลิกวิจารณ์นิสัยที่ดีของข้าเสียที   แล้วรีบพูดธุระของเรากันดีกว่า...ไม่งั้นท่านจะได้เห็นนิสัยที่ดีของข้าแผลงฤทธิ์เข้าให้แน่ ๆ “ เจ้าหญิงแกล้งขู่ด้วยท่าทางเอาเรื่องก่อนที่จะหัวเราะเสียงดังทำให้ชาร์ลอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้  
                        “เอาน่า   ที่จริงแล้วข้าก็ไม่ได้ทำเพราะมันน่าสนุกอย่างเดียวหรอกนะ” เจ้าหญิงสารภาพ “ข้ารู้สึกผิดนิดหน่อย...เออ...จริง ๆ แล้วมันก็มากอยู่เหมือนกัน”
                        “รู้สึกผิดเรื่องอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ? พระองค์ไปทำอะไรที่ผิดต่อพวกฟูดินันหรือ?” ชาร์ลถามอย่างสงสัย
                        “ไม่ใช่ข้าเสียทีเดียวหรอก   แต่เป็นพวกเราทุกคนต่างหาก   ตั้งแต่เรื่องที่เรายกเมืองวอลเนียขึ้นจนทำให้พวกซาโลมบุกเข้าไปโจมตีฟูดินันแทน   ตอนที่พวกเราตัดสินใจยกวอลเนียก็ไม่มีใครคิดถึงเรื่องเหล่านี้เลย   หรือจะเป็นเรื่องที่เราไปออกกฎห้ามนู่นสั่งนี่กับพวกเขา   ทั้ง ๆ ที่พวกเขามีน้ำใจอาสามาช่วยพวกเรา   แต่พวกเรากลับปฏิบัติกับเขาแย่กว่าที่ควรจะเป็น   และดูสิ...จนป่านนี้ซิกมันต์ยังไม่ยอมพบฮารีซัน ผู้นำกองทัพฟูดินันเลย”
                        “กระหม่อมเข้าใจเหตุผลของพระองค์แล้ว   แม้กระหม่อมจะไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องสำคัญขนาดที่พระองค์จะต้องเอามาใส่ใจถึงเพียงนี้   เอาเป็นว่าพระองค์อาสาจะรับหน้าที่ดูแลกองทัพฟูดินัน   ส่วนเรื่องการเกลี่ยกล่อมให้กษัตริย์ซิกมันต์ทรงยินยอมในเรื่องนี้ปล่อยเป็นหน้าที่ของกระหม่อมเอง”    
                        ความที่ว่าชาร์ล คลาแรนซ์นั้นคลุกคลี่กับราชวงศ์อรีธาตั้งแต่ยังเด็ก   ไม่ว่าจะเรื่องการได้รับแต่งตั้งเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าหญิงและเจ้าชาย   บ่อยครั้งที่ร่วมออกล่าสัตว์ด้วยกัน   ทั้งได้รับแต่งตั้งให้สอนเชิงยุทธให้กับซิกมันต์  ทำให้เขารู้สึกสนิทสนมกับเจ้าหญิงและเจ้าชายมากเป็นพิเศษและได้รับความไว้วางใจจากบุคคลทั้งสองมากเป็นพิเศษเช่นกัน   ทำให้เขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นพี่ชายใหญ่ที่ต้องคอยดูแลอารักขาทั้งสองพระองค์อย่างดี   ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะได้รับความไว้วางใจจากเจ้าหญิงที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้เขาเห็น
                        “ตกลง   เราก็จะเริ่มงานของเราทันที” เจ้าหญิงตรัสให้คำมั่น
                        “พ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลลุกขึ้นยืน “ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมก็ต้องขอตัวไปก่อนเช่นกัน   หวังว่าเราจะสามารถชิงเมืองทั้งสองคืนได้ในเร็ววันนี้” ชาร์ลค้อมศีรษะให้เจ้าหญิงเรจิน่าแล้วจึงเดินจากไป

Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #7 on: June 29, 2006, 06:55:31 PM »

มาเม้ากันที่นี่นะ นะ นะ

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=22304
« Last Edit: June 29, 2006, 06:59:18 PM by Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.086 seconds with 21 queries.