Summoner Master Forum
April 19, 2024, 08:40:21 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 46 เมล็ดพันธุ์แห่งมิตรภาพงอกเงย @@  (Read 9088 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: July 21, 2006, 05:41:53 PM »

Chapter 46 เมล็ดพันธุ์แห่งมิตรภาพงอกเงย


                    ล่วงเข้าวันที่หกแล้วหลังจากวันที่กองทัพฟูดินันเคลื่อนทัพมาถึงเมืองคามินยาร์ด   แต่จนแล้วจนรอดฮารีซันก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้ากษัตริย์ซิกมันต์แห่งฟีเลเซียเลย   ทั้งนี้เพราะมีราชโองการให้กองทัพฟูดินันตัดเครื่องแบบให้แก่ทหารทุกคนให้แล้วเสร็จเสียก่อน   โดยฟูดินันได้รับคำอธิบายว่าเพื่อความเป็นระเบียบและเป็นการช่วยแบ่งแยกได้ชัดเจนว่าเป็นทหารฝ่ายใดในยามออกรบ   หากยังไม่มีเครื่องแบบก็จะยังไม่มีการพบปะพูดคุยใด ๆ ทั้งสิ้น   คำสั่งนี้นอกจากจะสร้างความลำบากให้แก่นักรบชาวป่าแล้วยังสร้างความไม่พอใจให้อีกด้วย   หลายคนเริ่มรู้สึกถึงความไม่เป็นมิตรจากการต้อนรับของฟีเลเซียไม่ว่าจะด้วยสายตาหรือการกระทำ   
                    กระนั้นก็ดี โดยการนำของฮารีซันและการยินยอมพร้อมใจของบรรดายอดขุนพลจากเผ่าใหญ่ทั้งสามก็ทำให้กองทัพชาวป่าช่วยกันแก้ไขและตัดเย็บเครื่องแบบจนรุดหน้าอย่างรวดเร็ว   โลหะจากชุดเกราะถูกชุบด้วยแร่สีน้ำตาลทองหม่นซึ่งได้ความช่วยเหลือจากเหล่านักประดิษฐ์ในกองทัพฟีเลเซียตามคำบัญชาของเจ้าหญิงเรจิน่า   ในขณะที่เสื้อผ้าส่วนใหญ่ทุกคนต่างก็เห็นชอบที่จะใช้สีโทนน้ำตาลและเขียวมะกอกเหมือนกับสีของดินตามลักษณะของชาวป่าที่ผูกพันกับจิตวิญญาณของผืนดิน
                    เย็นวันนั้น   หลังจากที่ฮารีซันและบรรดาขุนพลแห่งฟูดินันดูแลการทำงานของกองทัพจนเย็น   ทุกคนจึงนั่งล้อมวงกันคุยเล่นเพื่อพักผ่อน   จู่ ๆ ดามิก้าก็มองออกไปไกลพร้อมกับพูดทีเล่นทีจริงออกมา
                    “พวกท่านคิดว่าสิ่งสุดท้ายที่ข้าหวังจะได้เห็นในวันนี้คืออะไร?”
                    “ข้าละมั๊ง?” คาร์นกล่าวด้วยท่าทางเฉยเมยขณะที่กำลังง่วนอยู่กับการลับดาบของตน   แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะจากฮารีซันและทราเฮิร์นได้อย่างดี   นี่เป็นบุคลิกที่โดดเด่นอีกอย่างของสมิงสายพันธุ์ราชสีห์ตนนี้   ด้วยคำพูดและท่าทางที่นิ่งเฉยแต่กลับสามารถสร้างเสียงหัวเราะให้คนรอบข้างได้ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
                    “ไม่ใช่” ดามิก้าอดหัวเราะไม่ได้แต่สายตายังคงมองอยู่ที่เดิม “ท่านน่ะรองสุดท้าย”
                    คาร์นไม่ตอบอะไร  แต่ใช้วิธีถอนหายใจแรง ๆ แทน   ซึ่งก็ทำให้ทั้งสามหัวเราะออกมาอีกครั้ง
                    “สิ่งสุดท้ายที่ข้าหวังจะได้เห็นก็คือเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียในค่ายของเรา...   ท่านมาทำอะไรที่นี่?” ดามิก้าพูดรัวแทบจะไม่หายใจพร้อมกับที่มีร่างของคนสองคนมาหยุดอยู่ตรงหน้าทุกคน   ผู้มาใหม่ทั้งสองสวมผ้าคลุมเนื้อดีสีน้ำตาลพร้อมหมวกที่ติดกับผ้าคลุมซ่อนเรือนผมและใบหน้าไว้ใต้เงามืดไว้ครึ่งหนึ่ง   มือข้างหนึ่งยกขึ้นปัดหมวกลงเพื่อให้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
                    ทุกคนดูจะหยุดชะงักด้วยความไม่คาดฝันเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียเสด็จมาในค่ายของฟูดินันพร้อมกับนางกำนัลคนสนิทเพียงลำพังเช่นนี้   ฮารีซันและบรรดาขุนพลต่างก็ขยับตัวจะลุกขึ้นตามมารยาทอันควรพึงปฏิบัติต่อผู้สูงศักดิ์ที่ดูเหมือนจะถูกบอกกล่าวจากบรรดานายทหารฟีเลเซียหลายครั้งหลายหน
                    “ไม่เป็นไร   ตามสบายเถอะ” เจ้าหญิงเรจิน่ารีบตรัสเมื่อเห็นดังนั้น   พระองค์ทรงพอจะทราบดีว่ากฎระเบียบและมารยาทต่าง ๆ ของฟีเลเซียสร้างความลำบากและความไม่ชอบใจให้กองทัพฟูดินันไม่น้อย   ดังนั้นเมื่อพระองค์อยู่เพียงลำพัง   พระองค์ก็ไม่ปรารถนาที่จะสร้างความตึงเครียดให้พวกชาวป่าอีก
                    “พระองค์แน่พระทัยแล้วหรือเพคะ?   คนพวกนี้ต้องเรียนรู้ที่จะมีมารยาทต่อพระองค์นะเพคะ” นางกำนัลคนสนิทแอบกระซิบเสียงเบาด้วยความร้อนใจที่นายของตนไม่ได้รับเกียรติเหมือนที่ควรจะเป็น
                    “เจ้าอยู่เฉย ๆ เถอะ” เจ้าหญิงตรัสสั่งเบา ๆ
                    “แต่...แต่...” นางกำนัลสะดุ้งและเงียบเสียงลงทันทีที่ได้ยินเสียงคาร์นครางต่ำ ๆ   จริง ๆ แล้วคาร์นครางด้วยความรู้สึกอ่อนใจกับนิสัยของชาวฟีเลเซียเพราะความที่หูของเขาไวกว่ามนุษย์ธรรมดา   เขาจึงได้ยินบทสนทนากระซิบกระซาบของสตรีทั้งสองอย่างชัดเจน   และเขาก็เริ่มมองเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียต่างจากที่เคยมอง     
                    เหล่าขุนพลเมื่อได้ยินเจ้าหญิงตรัสเช่นนั้นก็ชะงักลังเลอยู่เล็กน้อย   ทราเฮิร์นก็ยัก ไหล่ขึ้นเร็ว ๆ เหมือนจะบอกว่าสำหรับเขานั้นจะยังไงก็ได้   แต่ในที่สุดทุกคนก็นั่งลงและมองเจ้าหญิงด้วยสายตาเป็นคำถามแทน   
                    “ข้าเพียงแต่มาพบท่านฮารีซันเท่านั้น”
                    ดามิก้าได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความประหลาดใจหันไปมองฮารีซันด้วยความสงสัย   ขณะที่คนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันไปมาด้วยความสงสัยไม่ต่างกัน   ฮารีซันก็ประหลาดใจไม่น้อยไปกว่าทุก ๆ คนเช่นกัน   เขามองทุกคนก่อนจะค่อย ๆ หยัดตัวขึ้น
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: July 21, 2006, 05:43:50 PM »

                    “เจ้าหญิงมีธุระกับข้าหรือ?”
                    “เขาไม่พูดราชาศัพท์กับพระองค์ด้วยนะเพคะ” นางกำนัลยังคงพยายามกระซิบด้วยความตื่นตระหนก   
                    “อยู่เฉย ๆ “ เจ้าหญิงตรัสโดยที่ปากไม่ขยับสักนิด   ทำให้คาร์นต้องแสร้งกระแอมเพื่อกลบเสียงหัวเราะ   แต่เสียงกระแอมของเขาดูเหมือนจะเป็นเสียงคำรามของสัตว์ป่ามากกว่าในความคิดของนางกำนัล   เพราะนางสะดุ้งจนถอยหลังไปหนึ่งก้าวแทบจะทันที   
                    “เออ...ก็ใช่   คือที่จริงข้ามาแจ้งข่าวการเข้าเฝ้าซิกมันต์...กษัตริย์แห่งฟีเลเซีย” เจ้าหญิงเองก็อดสะดุ้งไม่ได้เช่นกัน   แต่ก็ทรงรักษากริยาได้อย่างดี
                    “ทำไมท่านต้องมาเองล่ะ? ทำไมไม่ส่งทหารมาอย่างทุกที?” ดามิก้าอดถามแทรกขึ้นไม่ได้   ซึ่งทุกคนก็คงสงสัยแต่อดใจที่จะไม่ถาม   คงมีแต่ดามิก้าที่คิดอะไรก็พูดทันทีเท่านั้นแหละที่จะกล้าถามอย่างนี้   นางกำนัลถึงกับอ้าปากค้างที่ดามิก้ากล้าถามเช่นนี้กับเจ้าหญิง   ฮารีซันต้องแกล้งกระแอมไอขัดขึ้นพลางเหลือบสายตามองไปยังดามิก้า
                    “ข้าได้รับแต่งตั้งให้มาดูแลและคอยประสานงานกับกองทัพฟูดินันโดยตรง   นั่นจึงเป็นเหตุให้พวกท่านจะได้เจอหน้าข้าบ่อยขึ้น” เจ้าหญิงตรัสยิ้มอย่างไว้องค์
                    “เชิญเจ้าหญิงทางนี้ดีกว่า   เดี๋ยวข้าจะเดินไปส่งท่านที่หน้าค่าย” ฮารีซันไม่กล้าเสี่ยงที่จะให้ดามิก้าโพล่งถามอะไรอีก   จึงคิดจะแยกออกมาคุยธุระเป็นการส่วนตัว   จนเมื่อฮารีซันนำเจ้าหญิงและนางกำนัลเดินห่างไปแล้วดามิก้าจึงเอ่ยถามขึ้น
                    “นี่ข้าทำเรื่องอีกแล้วใช่ไหมนี่?” ดามิก้ามองไปทางที่บุคคลทั้งสามเดินจากไป พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ คาร์นและทราเฮิร์นขณะลดเสียงให้เบาลง
                    “เจ้าพูดถูกเผง   และขอบใจ...ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน” นายพลทราเฮิร์นแสร้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้พูดตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังไม่แพ้กัน   แต่ดวงตากลับมีประกายขบขันเจืออยู่   ซึ่งก็ทำให้คาร์นหัวเราะ หึ หึ ในลำคออย่างชอบใจ
                    “แต่ก็นับว่าเขาให้เกียรติเราเหมือนกันนะ   เพราะเขาให้เจ้าหญิงมาเป็นผู้ดูแลพวกเรา” ดามิก้าเอ่ยขึ้น
                    “ก็ดี   อย่างน้อยพวกฟีเลเซียก็ยังรู้จักคิดอยู่บ้าง” คาร์นกล่าว
                    “งั้นนี่ก็แสดงว่าพวกเราใกล้จะได้ออกรบกันแล้วสินะ” ทราเฮิร์นเปรยขึ้นพลางกระชับทวนในมือ
                    “ข้ารอล้างแค้นแทบไม่ไหวเลยเชียวละ” ดามิก้าเอ่ยอย่างมาดมั่น
                    “อีกไม่นานนี้แหละ” คาร์นกล่าวเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวที่เริ่มปรากฏบนท้องฟ้า   

                   
                    เจ้าหญิงเรจิน่ารู้สึกขอบคุณฮารีซันในใจที่ทำให้พระองค์ไม่ต้องตอบคำถามของดามิก้ามากมายนัก   เพราะพระองค์ก็ยังไม่รู้จะแต่งคำอธิบายเหมาะ ๆ ได้อย่างไร   ก็พระองค์จะบอกได้อย่างไรกันว่าพระองค์มาพบด้วยความรู้สึกผิดที่เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจของพระองค์   โดยเฉพาะน้องชายของพระองค์เองนี่แหละที่ทั้งไม่ให้เกียรติและสร้างความลำบากให้มากที่สุด   ไม่ว่าจะเรื่องเครื่องแต่งกายที่ทำให้วุ่นวายกันไปหมด   เหตุผลที่ว่าเพื่อช่วยแบ่งแยกทหารได้อย่างชัดเจนว่าเป็นฝ่ายใดนั้นเป็นเหตุผลเพียงครึ่งเดียว   แท้จริงแล้วน้องชายของพระองค์ทรงตั้งใจจะแยกกองทัพชาวป่าแห่งฟูดินันออกจากกองทัพอัศวินอันทรงเกียรติแห่งฟีเลเซียต่างหาก   ไหนจะเรื่องการเข้าเฝ้าอีก   ในเมื่อชาวฟูดินันมีน้ำใจอาสามาช่วยรบเช่นนี้   แต่ซิกมันต์กลับยังไม่อนุญาตให้เข้าเฝ้าจนกว่าทั้งกองทัพจะแต่งกายให้ความศิวิไลมากกว่านี้   ซึ่งแน่นอนว่าเหตุผลนี้ไม่ได้ถูกแจ้งให้ทางฟูดินันทราบแต่อย่างใด   ดังนั้นด้วยความรู้สึกผิดและด้วยมิตรภาพที่เริ่มก่อตัวขึ้นสานต่อจากเมื่อครั้งยังเด็กทำให้พระองค์มาอยู่ที่นี่   
                    “ข้ามาแจ้งว่าซิกมันต์อนุญาตให้ท่านเข้าเฝ้าได้ในวันพรุ่งนี้   โดยจะมีนายพลจากเหล่าทัพต่าง ๆ เข้าร่วมด้วย   เตรียมกองทัพของท่านให้พร้อม   เราต้องการเร่งผลักดันกองทัพซาโลมให้ออกจากอาณาจักรของเราโดยเร็วที่สุด”
                    “ทั้งเสื้อผ้าและอาวุธต่าง ๆ ก็เรียบร้อยเกือบหมดแล้ว   ข้าคิดว่าพวกเราคงพร้อมที่จะทำศึกทันทีที่มีคำสั่งลงมา” ฮารีซันกล่าว
เจ้าหญิงเรจิน่าทรงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ในคำตอบนั้น   พระองค์ไม่ตรัสใด ๆ เหมือนทรงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง   สักพักใหญ่ ๆ จึงตรัสออกมาในที่สุด
                    “ข้าคิดว่าพวกท่านอาจจะรู้สึกลำบากใจกับมารยาทต่าง ๆ ของอาณาจักรเรา   เออ...พวกเราอาจจะมองพวกท่านด้วยสายตาแปลก ๆ หรืออาจจะปฏิบัติต่อพวกท่านไม่ค่อยดีนัก...” เจ้าหญิงตรัสพลางเหลือบมองไปทางนางกำนัลคนสนิทที่ส่งสายตาไม่ชอบใจเป็นระยะ ๆ ไปทางฮารีซันเมื่อเห็นว่าเขายังคงไม่พูดราชาศัพท์กับเจ้าหญิง   และพระองค์ก็ทรงตั้งใจจะเอ่ยรวมไปถึงเรื่องในวันพรุ่งนี้ที่ฮารีซันจะได้เข้าเฝ้าซิกมันต์ด้วย   คงไม่มีใครในฟีเลเซียจะรู้สึกรังเกียจพวกชาวป่ามากเท่ากับซิกมันต์อีกแล้ว   
                    “จริง ๆ แล้วข้ารู้สึกขอบคุณเหตุการณ์เหล่านี้อยู่ไม่น้อย” ฮารีซันตอบและยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าหญิงเรจิน่ามองเขาเหมือนไม่แน่ใจว่าพระองค์ฟังผิดหรือฮารีซันเสียสติกันแน่   ในขณะที่นางกำนัลมองเขาเหมือนเป็นตัวประหลาด
                    “ข้าเกรงว่าข้าจะไม่เข้าใจที่ท่านพูด”
                    “ข้าหมายถึงข้ารู้สึกขอบคุณเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่   เพราะมันทำให้ข้าได้เข้าใจความรู้สึกของชาวเผ่าป่าทมิฬมากยิ่งขึ้น   เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้วที่ชาวป่าทมิฬถูกมองด้วยสายตารังเกียจเหยียดหยาม   ไม่ว่าจะเพราะการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์จนประสมปนเปกันไปหมด   หรือจะเพราะลักษณะนิสัยความป่าเถื่อนโหดร้ายและพิธีกรรมหรือการปฏิบัติที่รุนแรงซึ่งแปลกประหลาดกว่าเผ่าอื่น ๆ   ทำให้เผ่าต่าง ๆ ตั้งข้อรังเกียจและไม่คบค้าสมาคมกับเผ่าป่าทมิฬ” ฮารีซันกล่าวตอบ
                    เจ้าหญิงเรจิน่าทรงมองด้วยความประหลาดใจในความคิดของผู้นำแห่งฟูดินันผู้นี้   มุมมองในเรื่องต่าง ๆ ของฮารีซันช่างแตกต่างจากพระองค์และจากชาวฟีเลเซียทั้งหลายเหลือเกิน   ความรู้สึกของผู้ที่ถูกมองด้วยสายตารังเกียจหรือ?   พระองค์เคยคิดถึงมันบ้างไหมนะ?   ชาวฟีเลเซียมีแต่ถูกสอนให้หยิ่งในศักดิ์ศรีภาคภูมิในเกียรติยศ   และประณามคนที่ต่ำต้อยไร้เกียรติและศักดิ์ศรี   เพิ่งจะมีฮารีซันเป็นคนแรกที่สอนให้พระองค์มองในจุดที่พระองค์ไม่เคยสังเกตนี้   ฝ่ายนางกำนัลเมื่อได้ยินดังนั้นก็เริ่มเกิดความละอายใจจนต้องเดินก้มหน้ามองแต่พื้นหญ้า
                    “ข้ายินดีที่ท่านคิดเช่นนั้น   และหวังว่าเมื่อการเข้าเฝ้าในวันพรุ่งนี้เสร็จสิ้นลง   ท่านจะยังคิดเช่นนี้อยู่” เจ้าหญิงตรัส
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: July 21, 2006, 05:46:06 PM »

                             “พรุ่งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นหรือ?” ฮารีซันอดถามไม่ได้
                             “พรุ่งนี้ท่านก็จะรู้เอง   นี่ก็เย็นมากแล้...” เจ้าหญิงตรัส   แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อกลิ่นของอาหารที่กำลังปรุงโชยมาเข้าจมูก   พระองค์เพิ่งจะทรงสังเกตเห็นว่ากองทัพฟูดินันรอบตัวกำลังเริ่มปรุงอาหารมื้อค่ำกันอยู่
                             “เจ้าหญิง?!” ฮารีซันสงสัยที่จู่ ๆ เจ้าหญิงก็หยุดพูดกลางคัน
                             “กลิ่นอาหารนี่หอมจัง   ข้าบอกไม่ถูกว่าหอมยังไง? “ เจ้าหญิงตรัสพลางก็เดินดุ่ม ๆ ตรงไปยังกลุ่มทหารที่กำลังปรุงอาหารอยู่ใกล้ที่สุดทันที
                             “ตายแล้ว! เจ้าหญิง   เจ้าหญิงเพคะ” นางกำนัลหน้าซีดวิ่งตามไปอย่างเร็วทำให้ฮารีซันต้องรีบวิ่งตามไปด้วย
                             เจ้าหญิงทรงยื่นหน้าเข้าไปมองเหนือหม้อต้มซุปที่กำลังเดือดปุด ๆ อย่างรวดเร็วด้วยความสนอกสนใจ   ทันทีที่ทหารฟูดินันเห็นเจ้าหญิงมาปรากฏตัวในทันทีทันใดก็พากันตกใจลุกขึ้นยืนและถอยห่างออกจากหม้อซุป   ต่างยืนเก้ ๆ กัง ๆ ทำอะไรกันไม่ถูก   ครั้นเมื่อเห็นฮารีซันเดินเข้ามาก็รีบส่งสายตาตื่น ๆ เหมือนจะให้ฮารีซันบอกว่าพวกเขาควรจะทำตัวอย่างไรกับเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซีย   ฮารีซันมองพวกเขาอย่างเข้าใจเพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะรับมือกับเจ้าหญิงที่มีความคิดและบุคลิกที่เกินกว่าจะคาดเดาผู้นี้อย่างไร
                             “เออ...เจ้าหญิง...” ฮารีซันเอ่ยขึ้น แต่ก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะพูดอะไรดีเพื่อให้สถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้นี้ผ่านไปได้ด้วยดี   
                             “พวกเจ้ากำลังปรุงอะไรกันอยู่?” เจ้าหญิงตรัสถามน้ำเสียงกระตือรือร้น   
                             ซึ่งฮารีซันเองก็มองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นแวววับอยู่ภายในดวงตาสีมรกตนั้น   เขายิ้มออกมาในที่สุดก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับกลุ่มทหารเพื่อจะให้ความมั่นใจกับเหล่าทหารชาวป่า
                             “สกาโล่ต้ม” นายทหารตอบสายตายังคงเหลือบมองฮารีซันเป็นพัก ๆ 
                             “พระเจ้าช่วย! พวกเขากินหนอน” นางกำนัลคนสนิทร้องเสียงหลงจนทุกคนตกใจ   
                             “แต่...แต่พวกเราหาสกาโล่ไม่ค่อยได้ที่นี่   เลยไม่ได้ใส่   พวกเราใส่อะไรที่รสชาติคล้าย ๆ กันแทน” ทหารอีกคนรีบพูดด้วยความตกใจ   ในขณะที่นางกำนัลยกมือขึ้นทาบอกและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
                             “ใส่อะไรเหรอ? ” เจ้าหญิงอยากรู้
                             “พวกเราใส่สกาลิโอ้” นายทหารกล่าวตอบหน้าตาเฉย
                             “พระเจ้าช่วย! พวกเขากินแมลง” คราวนี้นางกำนัลร้องเสียงแหลมปรี๊ด   สายตามองเจ้าหญิงด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด “นี่เป็นการกินที่ระ....”                             
                             เจ้าหญิงเรจิน่าทรงยกมือขึ้นบีบแก้มทั้งสองข้างของนางกำนัลคนสนิทก่อนจะทันพูดคำว่า ‘ไร้วัฒนธรรมที่สุดในโลก’ จบ   ซึ่งทั้งฮารีซันและนายทหารต่างก็ยืนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า   เจ้าหญิงทรงหันกลับมายิ้มทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้   
                             “ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าสกาโล่และสกาลิโอ้…ใช้แทนกันได้” เจ้าหญิงทรงอยากจะหมายถึงกินได้ด้วย
                             “สกาลิโอ้มันตัวเล็กกว่า   แต่รสชาติก็คล้าย ๆ กัน” นายทหารอีกคนตอบแม้จะยังมองนางกำนัลด้วยสีหน้างง ๆ   
                             “แล้วมีอะไรในหม้อนี้บ้างล่ะ?” เจ้าหญิงตรัสถามต่อ
                             “สกาโล่ต้มที่ฟูดินันจะทำกินเวลาหนาวหน่ะ   เพราะใส่สมุนไพรหลายชนิดและมีรสชาติที่เผ็ดออกเปรี้ยวนิด ๆ   ทำให้รู้สึกอบอุ่นสดชื่นและบำรุงร่างกายด้วย” ฮารีซันกล่าวยิ้ม ๆ พลางหยิบเศษใบสมุนไพรบางส่วนที่เหลือให้เจ้าหญิงดู
                             “โอ้...อันนี้ข้ารู้จัก” เจ้าหญิงทรงร้องอย่างตื่นเต้นและหยิบใบไม้ใบเล็ก ๆ ที่มีสีเขียวเข้มอมแดงขึ้นมา “พวกเราใช้ดมเวลาไม่สบาย   กลิ่นของมันทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น”
                             “มันให้ประโยชน์มากกว่าถ้าท่านกินมันเข้าไปแทนที่จะใช้ดมเฉย ๆ “ ฮารีซันกล่าวยิ้ม ๆ
                             “ข้าไม่ยักรู้ว่ามันกินได้ด้วย” เจ้าหญิงทรงขมวดคิ้วยกใบไม้ขึ้นมาดม “รสชาติมันเป็นยังไง?”
                             “ใบนี้ถ้าถูกทำให้สุกแล้วจะให้รสชาติเผ็ดซ่าที่ลิ้นและเปรี้ยวหน่อย ๆ   เจ้าหญิงจะลองชิมดูไหม?” ฮารีซันเอ่ยชวน
                             “ชิมเหรอ?” เจ้าหญิงทรงมองซุปในหม้ออย่างชั่งใจ
                             “ไม่ได้นะเพคะ   มันอาจจะเป็นยาพิษก็ได้” นางกำนัลพูดอย่างตกใจ   เจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียจะกินแมลงได้อย่างไร?
                             “เหลวไหล   ถ้าเป็นยาพิษพวกเขาจะกินกันได้รึ?” เจ้าหญิงตรัสตอบยิ้มขำ พอจะเข้าใจความกลัวของนางกำนัล
                             “พระองค์อาจจะอาหารเป็นพิษหรือ..หรืออาจจะป่วยก็ได้   นั่นมันแมลงนะเพคะ   ไม่มีใครในฟีเลเซียกินแมลง” นางกำนัลพูด   แค่คิดว่าต้องกินซุปในหม้อนั่นนางก็ตัวสั่นและขนลุกด้วยความขยะแขยงแล้ว
                             “พวกเจ้าจะว่าอะไรหรือเปล่า? ถ้าข้าจะชิมสกาลิโอ้ต้มของพวกเจ้า” เจ้าหญิงถาม แม้จะยังคงมีความลังเลอยู่   ซึ่งเหล่าทหารก็ส่ายหน้าอย่างยินดี   ไม่แสดงอาการรังเกียจเลยแม้แต่น้อย   ในขณะที่นางกำนัลหน้าซีดลงไปทุกขณะ
                             “พระองค์ทรงคิดแล้วหรือเพคะ?   นั่นมันสกาลิโอ้นะเพคะ” นางกำนัลกระซิบใกล้ ๆ อย่างสิ้นหวัง “แมลงนะเพคะ”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: July 21, 2006, 05:47:40 PM »

                           “ตักเลย   ข้าอยากลองชิมดู” เจ้าหญิงตรัสอย่างเด็ดเดี่ยวเมื่อตัดสินใจได้ในที่สุด   ฝ่ายนางกำนัลก็ทำเสียงแหลมแปลก ๆ เหมือนจะเป็นการร้องห้ามเล็ดรอดออกมา
                           ฮารีซันยิ้มกว้างในขณะที่นายทหารรีบกุลีกุจอตักสกาลิโอ้ต้มให้ทันที   เจ้าหญิงทรงรับชามซุปมาพิจารณาเป็นครั้งสุดท้าย   ซุปก็ไม่ได้หน้าตาเลวร้ายนัก   สกาลิโอ้ก็ไม่มีปีกหัวหรือขาให้เห็นแล้ว   พระองค์ยกชามซุปขึ้นดมกลิ่น   ที่จริงมันหอมมากเสียด้วย   ซ้ำกลิ่นสมุนไพรที่คุ้นเคยยังส่งกลิ่นขึ้นมาเตะจมูก   เมื่อไม่มีช้อนซุปให้ใช้ก็คงต้องยกดื่มจากชามโดยตรง   เจ้าหญิงคิดได้ดังนั้นแล้วก็ยกขึ้นดื่มเข้าไปอึกใหญ่พร้อมกับเสียงร้องแหลมของนางกำนัลที่ทำท่าเหมือนจะเป็นลม
                           ฮารีซันซึ่งสังเกตท่าทางของเจ้าหญิงตลอดตั้งแต่ต้น   ทำให้เขาต้องมองเจ้าหญิงด้วยความทึ่งอีกครั้ง   เมื่อเทียบกับนางกำนัลหรือชาวฟีเลเซียคนอื่น ๆ แล้ว   เห็นได้ชัดว่าเจ้าหญิงแตกต่างจากชาวฟีเลเซียทั่วไปเหลือเกิน   เจ้าหญิงมีความคิดเป็นของตัวเองไม่ติดกับกรอบวัฒนธรรมของชาวฟีเลเซีย   รักที่จะเรียนรู้และกล้าที่จะลองทำอะไรที่ไม่รู้จัก   สนอกสนใจในทุกสิ่งที่แปลกใหม่รอบตัวอยู่เสมอ   แต่ตอนนี้เขาอยากรู้ว่าเจ้าหญิงจะรู้สึกอย่างไรกับซุปชามนี้     
                           “อืม” เจ้าหญิงทรงทำเสียงขึ้นจมูก “อืม” พระองค์ทำเสียงอีกครั้งก่อนจะกลืนซุปลงคอแล้วหัวเราะร่วน   ดวงตาเต้นระริกอย่างร่าเริง “ข้าบอกตรง ๆ เลยนะว่ามันอร่อยดีทีเดียว   แม้จะรสจัดไปนิดสำหรับข้า   ข้าไม่เคยคิดเลยว่าสกาลิโอ้จะทำเป็นอาหารที่อร่อยได้   ข้าชักจะอยากไปทดลองกินสกาโล่ต้มของแท้ที่ฟูดินันดูซะแล้ว”
                           ฮารีซันและนายทหารต่างก็ยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจในอาหารพื้นบ้านของพวกตน   ทว่านางกำนัลกลับทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตรงนั้น   เจ้าหญิงเห็นดังนั้นก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
                           “เจ้าลองดูสักคำสิ” ว่าแล้วเจ้าหญิงก็ทรงยื่นชามซุปเข้าไปใกล้ปากของนางกำนัล   นางกำนัลร้องเสียงหลงรีบถอยหลังก่อนจะก้าวพลาดสะดุดก้อนหินล้มหงายหลังลงไปนอนแผ่กับพื้น   เจ้าหญิงอดไม่ได้ระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น   คนอื่น ๆ เมื่อเห็นดังนั้นก็หัวเราะตามเจ้าหญิงไปด้วย
                           ฮารีซันเม้มปากพยายามกลั้นหัวเราะขณะยื่นมือไปให้นางกำนัลเพื่อช่วยดึงเธอขึ้น   นางกำนัลอายจนหน้าแดงที่หงายหลังลงไปนอนกับพื้นต่อหน้าชาวป่า   เมื่อฮารีซันยื่นมือให้นางก็มองอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง   แต่คิดว่านี้คงเป็นทางออกเดียวที่จะทำให้อายน้อยลง   อย่างน้อยก็ไม่ต้องตะเกียกตะกายลุกขึ้นเอง   คิดแล้วก็ยื่นมือไปให้   ฮารีซันกระตุกเบา ๆ เพียงครั้งเดียวนางก็ตัวลอยขึ้นทันทีจนอดร้องออกมาด้วยความตกใจไม่ได้   ทำให้คนอื่น ๆ หัวเราะหนักกว่าเดิมในขณะที่นางกำนัลหน้าแดงหนักกว่าเดิมเช่นกัน   คราวนี้แดงไปถึงใบหูเลยทีเดียว
                           “เอาล่ะ...” เจ้าหญิงพยายามสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อหยุดหัวเราะ   เมื่อคิดว่าน้ำเสียงมั่นคงดีแล้วจึงตรัสขึ้น “ข้าคิดว่าพวกเราไปกันต่อดีกว่า   เดียวพาลจะค่ำมืดเสียก่อน” ตรัสแล้วก็ทรงยกชามซุปขึ้นดื่มอีกครั้งก่อนจะส่งชามคืนให้พวกทหาร “ขอบใจนะ   เอาไว้ข้าจะมาลองชิมอาหารชนิดอื่นดูบ้าง” 
                           พวกทหารรับชามซุปกลับมาพร้อมกับยิ้มกว้าง   ใครจะคิดว่าชาวฟีเลเซียที่แสนเย่อหยิ่งจะอยากมากินอาหารของพวกชาวป่า   แถมยังเป็นถึงเจ้าหญิงอีกด้วย   ฮารีซันกล่าวขอบใจกลุ่มทหารแล้วจึงพาเจ้าหญิงออกเดินต่อ
                           “ข้าพูดจริง ๆ นะ   ถ้ามีเวลามากกว่านี้อีกสักหน่อยข้าก็อยากจะลองชิมอาหารชนิดอื่น ๆ ของพวกท่านดู” เจ้าหญิงตรัสอย่างอารมณ์ดี   ดวงตายังเป็นประกายสดใสจากการได้หัวเราะอย่างสุดเสียงเมื่อสักครู่   พระองค์เหลือบมองท้องฟ้าที่เย็นค่ำด้วยความเสียดายน้อย ๆ แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อรู้สึกว่าถูกจ้องมอง “หน้าของข้ามีอะไรผิดปกติหรือ?”
                           “ไม่มีอะไรผิดปกติหรอก   เพียงแต่ข้าสังเกตมานานแล้ว   ข้าคิดว่าดวงตาของเจ้าหญิงมีสีเขียวที่สวยมาก   เวลาปกติก็ดูเป็นสีเขียวมรกต   แต่พอกระทบกับแสงยามเย็นเช่นนี้กลับกลายเป็นสีเขียวอ่อนอมส้มไม่เหมือนกับพวกเราชาวฟูดินันที่มีแต่ดวงตาสีน้ำตาลและดำเท่านั้น   ข้าคิดว่าดวงตาของท่านสวยมากทีเดียว”
                           ฮารีซันพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้เจ้าหญิงเรจิน่าถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ   ได้แต่ทรงขมวดคิ้วน้อย ๆ มองหัวหน้าเผ่าฟูดินันด้วยความสงสัย  พยายามหาความนัยที่แอบแฝงในคำพูดของเขาแต่ก็ไม่พบ
                           “ขอบคุณ” เจ้าหญิงตรัสออกมาในที่สุด
                           “สามหาว   เจ้าช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง   เจ้าพูดอะไรออกมารู้ตัวรึเปล่า?” นางกำนัลลืมความอายเมื่อสักครู่ไปแล้ว   รีบก้าวออกมายืนขวางเจ้าหญิงไว้   
                           “ทำไมหรือ?   ข้าไม่ได้บอกว่าดวงตาของเจ้าหญิงน่าเกลียดเสียหน่อย   ข้าชมว่าสวยนะ   ทำไมเจ้าถึงต้องโกรธด้วยละ?” ฮารีซันมองนางกำนัลตาปริบ ๆ ถามด้วยความประหลาดใจในปฏิกิริยาของนางกำนัลอย่างที่สุด   ไม่เข้าใจสักนิดว่าตนทำผิดอะไร
                           “แนนซี่ (Nancy, the Maid of Regina)   เจ้าอยู่เงียบ ๆ สักพักหนึ่งได้ไหม?”  เจ้าหญิงเรจิน่าแกล้งเรียกชื่อนางกำนัลเสียงดังเพื่อให้นางหยุดพูด   นางกำนัลถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินชื่อที่เจ้าหญิงทรงเรียก   
                           “หม่อมฉันไม่ได้ชื่อ’แนนซี่’นะเพคะ   หม่อมฉันชื่อแนนเนต(Nannette)ต่างหาก” แนนเนตระล่ำระลักบอก   เมื่อเจ้าหญิงทรงเปลี่ยนชื่อของเธออีกแล้ว
                           “แนนซี่ก็เป็นคำเรียกสั้น ๆ ของแนนเนตยังไงละ” เจ้าหญิงยิ้มร่าเมื่อได้ที
                           “เรียกสั้น ๆ อะไรกันเพคะ   มันก็สองพยางค์เท่ากันไม่ใช่หรือเพคะ?   ชื่อแนนซี่ฟังดูธรรมดาจะตาย”
                           “แล้วชื่อแนนเนตไม่ธรรมดารึ?   งั้นเจ้าจะเรียกข้าว่า’เรจี้’ก็ได้นิ   จะได้เสมอกัน” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงยิ้มยิงฟันทำหน้าเป็นใส่   เมื่อได้แกล้งแนนซี่ทีไร   พระองค์ก็ทรงหยุดไมได้ทุกที   
                           “ข้าชื่อ’แนนเนต’นะ” นางกำนัลรีบหันไปบอกฮารีซันเพราะเกรงว่าเขาจะเข้าใจผิด   
                           ทว่าฮารีซันกลับยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น   เขาตามความคิดของเจ้าหญิงและนางกำนัลไม่ทันจริง ๆ   เมื่อครู่ก็เพิ่งจะโกรธเขา   ตอนนี้กลับมาเถียงกันเองเสียแล้ว   
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: July 21, 2006, 05:50:46 PM »

                              “ข้าเกรงว่าจะตามความคิดของพวกท่านไม่ทัน” ฮารีซันพูดพลางหันไปมองเจ้าหญิงที นางกำนัลที “และข้ายังไม่เข้าใจว่าข้าพูดอะไรผิดไปหรือ?”
                              “โอ...   ขออภัย   เรื่องเมื่อครู่ท่านอย่าถือสาเลย” เจ้าหญิงบอกปัด
                              “ไม่ได้นะเพคะ   ไม่มีผู้หญิงฟีเลเซียคนไหนที่ได้ยินคำพูดแบบเมื่อกี้แล้วจะทนเฉยอยู่ได้   เขาจะต้องโดดตบสักฉาดสองฉาดแน่ ๆ “ แนนเนตออกโรงปกป้องเจ้านายเต็มที่
                              “แล้วเจ้าหญิงไม่ใช่ผู้หญิงฟีเลเซียหรือ?” ฮารีซันถามต่อด้วยความสงสัยหนักเข้าไปใหญ่
                              แนนเนตอ้าปากพูดไม่ออกในขณะที่เจ้าหญิงเรจิน่าหัวเราะลั่น
                              “ข้าเป็นผู้หญิงฟีเลเซีย...ที่ออกจะแปลกกว่าผู้หญิงทั่วไปสักหน่อย” 
                              เจ้าหญิงเรจิน่าทรงหยุดคิดชั่งใจกับความลืมตัวของพระองค์เมื่อครู่   แต่เมื่อคิดได้ว่าชาวป่าผู้แทบจะไม่มีจริตมารยาและไม่ได้สนใจในเกียรติยศอันสูงส่งของฟีเลเซียเลยผู้นี้   ก็ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่พระองค์จะต้องวางตัวราวกับเจ้าหญิงผู้สูงส่งให้เหนื่อยแรง   อยู่ในค่ายของฟูดินันโดยไม่ต้องคอยระวังกิริยาท่าทางจากสายตาคาดหวังของชาวฟีเลเซีย   ได้มีโอกาสผ่อนคลายอิริยาบถมากขึ้นก็ดีเหมือนกัน   เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ยิ้มกว้าง
                              “ข้าเป็นคนที่ทำอะไรก็ไวไปหมดเช่นนี้แหละ   อีกหน่อยท่านก็คงจะชินไปเอง” เจ้าหญิงตรัส “เอาล่ะ   อีกเดี๋ยวก็ถึงประตูค่ายแล้ว   จากนี้ไปเดี๋ยวข้าจะเดินไปเอง   ท่านกลับไปทำธุระต่อเถอะ   สายันต์สวัสดิ์”
                              “อ่า...เออ...สา...สายันต์สวัสดิ์” ฮารีซันเอ่ยตอบงง ๆ มองเจ้าหญิงที่ตัดสินใจอะไรปุบปับจนทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง   แต่ก็เอ่ยลาในที่สุด

                              เจ้าหญิงทรงออกเดินต่อไปพลางอดยิ้มขำเมื่อนึกถึงใบหน้าของฮารีซันไม่ได้   แกล้งเขาก็สนุกดีเหมือนกันแฮะ   มีเรื่องสนุก ๆ ให้ทำอีกแล้ว
                              “...ทรงนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไรเพคะ?” เสียงแนนซี่ดังแว่วเข้ามาขัดจังหวะความคิดของพระองค์
                              “เจ้าพูดว่าอะไรนะ   แนนซี่?” เจ้าหญิงตรัสถามอีกครั้ง
                              “แนนเนตเพคะ” นางกำนัลไม่ลืมทักท้วง “หม่อมฉันหมายความว่าพระองค์ยอมให้เจ้าหัวหน้าคนป่านั่นล่วงเกินพระองค์ได้อย่างไร?   ช่างพูดจาเกี้ยวพาราสีพระองค์อย่างไม่มียางอาย   ถ้าใคร...”
                              เจ้าหญิงทรงยกมือขึ้นบีบจมูกแนนซี่จนต้องหยุดพูดในทันที   เมื่อรออยู่นานแต่ก็ยังทรงบีบจมูกไม่ปล่อย   นางกำนัลก็เริ่มจะทนไม่ไหวและต้องใช้ปากหายใจแทน 
                              “อืม...หยุดพูดแล้ว” เจ้าหญิงทรงปล่อยขณะพูดไปยิ้มไป   “ข้าเห็นเจ้าพูดเยอะแยะเหลือเกิน   จนข้านึกว่าเจ้าพูดได้โดยไม่ต้องหายใจเสียอีก”
                              “ฝ่าบาทอ่ะ” แนนซี่ยกมือขึ้นลูบจมูกป้อย ๆ
                              “เขาดูไม่ได้มีเจตนาจะเกี้ยวพาราสีข้าเสียหน่อย   ใบหน้าเขาก็ดูซื่อ ๆ ไม่มีอะไรแอบแฝง   ข้าคิดว่าเป็นอุปนิสัยของพวกเขามากกว่าที่คิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น   ไม่มีมารยา”
                              “พระองค์ทรงคิดอย่างนั้นหรือเพคะ?” นางกำนัลยังคงเคลือบแคลงด้วยนิสัยของชาวฟีเลเซียที่ไม่ยอมไว้ใจคนแปลกหน้า
                              “เจ้าก็รอดูไปแล้วกันว่าจริงอย่างที่ข้าพูดรึเปล่า?” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสขณะที่เดินไปถึงม้าสีขาวปลอดสองตัวที่ทรงผูกไว้ที่หน้าค่ายพร้อมกับแนนซี่   ทรงเหวี่ยงตัวขึ้นบนหลังม้า “ไปเถอะ   ได้เวลากลับกันเสียที”
   

s
[/b]


                              การพบปะระหว่างกษัตริย์ซิกมันต์ที่สามแห่งฟีเลเซียและฮารีซันแห่งฟูดินันกินเวลาล่วงเลยไปกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว   ฮารีซันเลือกเซนทอร์ทราเฮิร์นมาเข้าเฝ้าด้วยเท่านั้น   เพราะด้วยคำแนะนำของเจ้าหญิง   เขาแน่ใจว่าหากนำดามิก้าและคาร์นมาด้วย   ปฏิกิริยาที่ทั้งสองฝ่ายจะมีให้กันคงจะรุนแรงยิ่งขึ้น   
                              แม้การเข้าเฝ้าจะล่วงเลยไปถึงช่วงวางแผนการรบแล้ว   แต่ทุกคนที่เข้าร่วมประชุมต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่ากษัตริย์ของพวกชาวป่ายังสร้างความประทับใจใด ๆ ให้แก่กษัตริย์ซิกมันต์ผู้เย่อหยิ่งได้ไม่มากนัก   พระองค์ดูจะยังคงไม่พอใจการแต่งตัวรวมไปถึงมารยาทต่อชนชั้นสูงของเขา   กระนั้นก็ดี   ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าหญิงเรจิน่าและจอมทัพชาร์ลจึงทำให้การประชุมยังคงดำเนินต่อไปได้
                              “ดังที่ท่านเห็นจากสนามรบจำลองนี้” ชาร์ลอธิบายถึงผังเมืองของเมืองโครีธาและการวางค่ายของพวกซาโลม   โดยที่สายตาของฮารีซันและทราเฮิร์นดูจะตื่นตากับสนามรบจำลองที่ดูเหมือนเมืองจริง ๆ ที่ถูกย่อขนาดลง   หากเป็นการรบที่เผ่าของพวกเขา   อย่างดีก็คงเป็นแค่แผนที่หนังสัตว์ที่มีตัวหมากหินหรือไม้สลักแทนค่ายและกองทัพของศัตรูเท่านั้น   เสียงกระแอมของชาร์ลที่พยายามจะเรียกความสนใจของคนทั้งสองให้กลับมาอยู่ที่การอธิบายของเขาทำให้เหล่านายพลแห่งฟีเลเซียต้องแอบหัวเราะด้วยความขบขันคนป่าทั้งสอง   ในขณะที่กษัตริย์ซิกมันต์ซึ่งนั่งเท้าแขนอยู่บนบัลลังก์ก็ทรงเค้นเสียงหัวเราะขึ้นจมูกอย่างดูแคลน
                              “ขอโทษนะ   ข้าเพียงแต่คิดว่าแบบจำลองสนามรบพวกนี้ดูสวยงามและสมจริงมาก   เชิญท่านพูดต่อเถอะ” ฮารีซันพูดตามตรงด้วยรอยยิ้มที่เจืออยู่บนใบหน้าทำให้ชาร์ลเองรู้สึกผิดคาดอยู่เหมือนกัน   เพราะเขาคาดหวังว่าจะได้เห็นความกระดากอายหรือไม่ก็ความโกรธเคืองตามแบบฉบับชายชาตินักรบที่ถูกดูถูก
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: July 21, 2006, 05:52:15 PM »

                          “เออ... ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา   ฟีเลเซียและซาโลมต่างผลัดกันเข้าโจมตีอีกฝ่ายเพื่อชิงเมืองคืน   แต่ก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จ   เวลานี้หน่วยสอดแนมของเรารายงานมาว่าพวกซาโลมกำลังเตรียมกองทัพเพื่อบุกโจมตีระลอกใหม่   ซึ่งเราเองก็เตรียมจะบุกชิงเมืองทั้งสองของเราคืนเช่นกัน   แต่ดูท่าว่าทางฝ่ายซาโลมคงจะบุกมาถึงก่อน   ดังนั้นเราจึงต้องเป็นฝ่ายตั้งรับในครั้งนี้   ซึ่งเราคาดว่ากองทัพซาโลมอาจจะเคลื่อนทัพมาถึงในอีกสิบวันข้างหน้า” ชาร์ลอธิบายสถานการณ์เสียงเครียด
                          “แล้วพวกท่านมีแผนจะรับมืออย่างไร?” ฮารีซันเอ่ยถาม
                          “ฟีเลเซียจะเป็นกองทัพหน้าและเป็นกองทัพหลักในการรบ” ซิกมันต์ประกาศ “ส่วนพวกเจ้าจะเป็นกองกำลังเสริมที่ออกไปหนุนทัพอัศวินที่จะออกไปรบนอกกำแพงเมือง”
                          ทราเฮิร์นเหลือบมองกษัตริย์ซิกมันต์ทันที   ฮารีซันถามถึงแผนรับมือ   แต่กษัตริย์องค์นี้กลับรีบกล่าวถึงลำดับความสำคัญของกองทัพ   เขาเคยรู้ว่าชาวฟีเลเซียให้เกียรติและศักดิ์ศรีมาเหนือสิ่งอื่นใด   แต่กษัตริย์องค์นี้กังวลเรื่องเกียรติและศักดิ์ศรีมากที่สุดในอาณาจักรเลย   หรือจะเรียกว่าคลั่งดี?  นายทัพเซนทอร์ได้แต่คิดในใจ
                          “หากเทียบกองกำลังที่ซาโลมยกมาในครั้งนี้   ถือว่าเรามีกองทัพที่ได้เปรียบกว่า   ดังนั้นถ้าทำได้เราจะรวบหัวรวบหางพวกซาโลมเสียเลย   เราจะให้กองทัพฟูดินันซุ่มอยู่นอกกำแพงเมือง   เมื่อกองทัพซาโลมมาถึง   พลธนูบนป้อมกำแพงจะจัดการทัพหน้าของพวกมัน   ทัพนก ทัพมังกรและทัพเปกาซัสจะโจมตีจากด้านบน   เพื่อคอยป้องกันทัพอัศวินที่ทะยานออกจากประตูเมืองอย่างรวดเร็วที่สุด   เราจะทะลวงฝ่ากองทัพผีเข้าไปจัดการกับพวกที่เป็นมนุษย์” ชาร์ลชี้ตำแหน่งต่าง ๆ ในแผนที่จำลองอย่างรวดเร็ว “ส่วนกองทัพฟูดินัน พวกท่านจะเป็นกองทัพเสริมคอยระวังหลังและเปิดทางให้ทัพอัศวินเวลาถอนกำลัง   เพราะเราจะปล่อยให้พวกมันบางส่วนหนีโดยจะปะปนบอมเบอร์แมชชีนหุ่นระเบิดสังหารที่นักประดิษฐ์ทิโมธีประดิษฐ์ขึ้นรวมไปกับซากศพที่พวกมันนำกลับไปด้วย   ถ้าเป็นดังคาดหุ่นสังหารจะถูกสั่งการให้ระเบิดตัวเองที่ประตูเมืองและคงสร้างความเสียหายมากพอให้กับประตูเมือง   จากนั้นเราจะยกทัพใหญ่ตามออกไปและบุกตีเมืองคืนทันที   พวกซาโลมคงไม่คาดว่าเราจะบุกตีเมืองทันทีหลังจากที่เพิ่งโดนพวกมันบุก   ดังนั้นการป้องกันน่าจะหละหลวมกว่าที่ควรจะเป็น”
                          “ฟังดูเป็นระเบียบแบบแผน…” ฮารีซันเปรย
                          “แน่นอนอยู่แล้ว” กษัตริย์ซิกมันต์ได้จังหวะตรัสข่มทันที “เพราะกองทัพแห่งฟีเลเซียมีมาตรฐานเรื่องระเบียบและวินัยสูง   และข้าหวังว่ากองทัพของเจ้าจะมีเช่นกัน” กษัตริย์ซิกมันต์ตรัสโดยไม่ได้คิดว่ากองทัพฟูดินันจะมีระเบียบวินัยสักนิด   แค่ที่พระองค์เห็นก็เกินพอแล้ว
                          “ได้โปรดเถอะ ซิกมันต์” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงกระซิบเสียงเบาแค่พอได้ยินกันสองคน
                          “ข้าไม่ได้ขอให้พวกมันมาช่วยรบนะ” กษัตริย์ซิกมันต์ตรัสตอบด้วยเสียงเบาพอกัน   แต่ก็เต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองที่พี่สาวเข้าข้างพวกคนป่า
                          “เรื่องการวางกำลังและวางแผนการรบของกองทัพฟูดินัน   กองทัพฟีเลเซียคงไม่เข้าไปก้าวก่าย   เพราะท่านคงจะเข้าใจอุปนิสัยและความถนัดของทหารของท่านเอง” ชาร์ลกล่าวเสริมเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น           
                          “ข้าเข้าใจ   ข้าจะจัดวางกำลังกองทัพให้สอดคล้องกับที่พวกท่านวางแผนไว้” ฮารีซันตอบอย่างใจเย็น
                          “ในส่วนของข้าคงมีเท่านี้แหละ   ส่วนเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ ของกองทัพซาโลม   ข้าจะให้คนนำรายงานไปให้ท่านศึกษาที่ค่าย” ชาร์ลกล่าวถึงรายงานและรูปแบบของกองทัพรวมถึงจุดอ่อนจุดแข็งของทหารในกองทัพซาโลมตามที่เขาและเหล่าแม่ทัพศึกษามา
                          “ขอบคุณ   มันคงเป็นประโยชน์มาทีเดียว” ฮารีซันตอบอย่างจริงใจ   ซึ่งชาร์ลก็พยักหน้ารับคำเงียบ ๆ “ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวไปจัดเตรียมกองทัพก่อน   สิบวันสำหรับเตรียมกองทัพให้ทำความคุ้นเคยกับสนามรบและภูมิประเทศแถบนี้ถือว่าสั้นไปหน่อย   ดังนั้นยิ่งเริ่มทำความคุ้นเคยเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”
                          “เชิญใช้เวลาของพวกเจ้าให้เต็มที่   ข้าก็อยากจะดูฝีมือการรบของพวกคนป่าดูเหมือนกัน” กษัตริย์ซิกมันต์กล่าวเสียงเรียบแต่ใบหน้าแสดงถึงความยโสอย่างไม่ปิดบัง
                          ทราเฮิร์นยืดตัวขึ้นทันที   ทว่าฮารีซันนั้นไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมาเลยทำให้ทราเฮิร์นยอมอยู่นิ่ง ๆ   ฮารีซันค้อมศีรษะให้ทุกคนเพื่อบอกลาก่อนจะเดินนำทราเฮิร์นออกจากห้องไป
                          ชาร์ลมองตามหลังผู้นำชาวป่าไปประหลาดใจกับความอดทนอดกลั้นของฮารีซันเป็นที่สุด   ชาวฟีเลเซียไม่มีใครยอมถูกหยามเช่นนี้แน่   ทำไมชาวบ้านป่าผู้นี้ถึงทนได้ถึงขนาดนี้?         
                          ฝ่ายเจ้าหญิงเรจิน่าผู้ทรงคอยสังเกตปฏิกิริยาของฮารีซันตลอดการเข้าเฝ้าในครั้งนี้   ทั้งความรู้สึกสีหน้าท่าทาง   การแสดงออกหรือแม้แต่คำพูดจา   เพราะทรงอดเป็นห่วงนิสัยของซิกมันต์ไม่ได้ว่าจะทำให้ผู้นำชาวป่าขุ่นเคืองขึ้นเมื่อใด   โดยไม่รู้ตัวว่าพระองค์ไม่ได้ละสายตาไปจากเขาเลยตลอดการเข้าเฝ้า   และนั้นทำให้พระองค์ได้เห็นความอดทนอดกลั้นอย่างไม่น่าเชื่อจากเขา   นอกจากเขาจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนและมีความสุภาพแล้ว   เขายังมีความอดทนอดกลั้นสูงอีกด้วย   ความรู้สึกดี ๆ ต่อผู้ชายคนนี้เริ่มก่อตัวขึ้นภายในจิตใจของพระองค์   มันทำให้พระองค์อยากรู้จักผู้ชายคนนี้มากขึ้น   ฮารีซันแห่งฟูดินัน       
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: July 28, 2006, 03:01:53 PM »

มาเม้าส์กันต่อที่นี่ค่ะ


http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=23000.0
« Last Edit: July 28, 2006, 03:03:24 PM by Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.088 seconds with 21 queries.