Summoner Master Forum
April 30, 2024, 11:54:55 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 47 หนักแน่นดุจภูผา โหมกล้าดั่งพายุ @@  (Read 9010 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: August 06, 2006, 06:07:01 AM »

Chapter 47 หนักแน่นดุจภูผา โหมกล้าดั่งพายุ

                         เสียงกลองศึกของจักรวรรดิซาโลมดังขึ้นในสายของวันน็อกซ์ (Nox)วันแห่งธาตุมืดตามคัมภีร์การสร้างโลกที่มีบันทึกไว้ตั้งแต่อดีตกาล   ยอดธงวิหคเพลิงปรากฏขึ้นที่ยอดเนินปลายสุดของสนามรบ   ด้วยความที่เมืองคามินยาร์ดเป็นเมืองที่อยู่ติดเทือกเขาคีรีบันดาจึงทำให้เมืองตั้งอยู่บนเนินสูงและสามารถมองเห็นกองทัพของจักรวรรดิซาโลมได้เกือบทั้งกองทัพอย่างชัดเจน   กษัตริย์ซิกมันด์ เจ้าหญิงเรจิน่าและ ชาร์ล คลาแรนซ์ยืนอยู่เหนือป้อมกำแพงพร้อมกับเหล่านายพลแห่งฟีเลเซีย   เสียงแตรสัญญาณของฟีเลเซียดังรับเป็นทอด ๆ จนกระฮึ่มไปทั่วทั้งเมือง   
                         “ช่างเลือกวันรบได้เหมาะกับความชั่วของพวกมันจริง ๆ “ กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเหยียดปากด้วยความชัง   
                         “นั้นมันตัวอะไรกัน” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสด้วยความตกใจ   ทรงยกกล้องส่องทางไกลขึ้นส่องดูกองทัพของซาโลม   ซึ่งพระองค์เพิ่งจะเคยเห็นทหารผีดิบของซาโลมเป็นครั้งแรก
                         “ดูท่าพวกมันจะเพิ่มจำนวนทหารผีขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเลย” ชาร์ลมองตาม   กล่าวอย่างหนักใจ “พวกซาโลมมีนักเวทย์สายมนต์ดำที่ใช้วิชาสร้างทหารจากซากศพ   ดังนั้นยิ่งมีคนตายมาก   พวกมันก็ยิ่งมีทหารมากขึ้น”
                         “น่าขยะแขยงจริง ๆ “ เจ้าหญิงทรงเบ้ปากเมื่อพิจารณาทหารผีอย่างละเอียด
                         “อย่าว่าแต่พระองค์เลย   กระหม่อมเป็นผู้ชายอกสามศอกยังอดคลื่นไส้ไอ้ตัวพวกนี้ไม่ได้” ชาร์ลกล่าวติดตลก  แต่เจ้าหญิงขำไม่ออกเลยจริง ๆ
                         “ข้ายังไม่เห็นพวกกองทัพคนป่าเลย?” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงยกกล้องขึ้นส่องดู “ไม่ใช่ว่าพวกมันหนีไปกันหมดแล้วหรือ?   หลายวันมานี่พวกมันออกมาทำอะไรกันนอกกำแพงเมืองทุกวัน   ข้าไม่เห็นมีสิ่งใดแตกต่างไปจากเดิมเลย”
                         “พวกเขาก็อยู่ข้างนอกนั่นแหละ” เจ้าหญิงตรัสแม้พระองค์จะไม่เห็นร่องรอยของกองทัพฟูดินันเลย   แต่พระองค์มั่นใจว่าพวกเขาอยู่   เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมา   พระองค์เห็นว่ากองทัพฟูดินันทำงานกันหนักขนาดไหน   พวกเขาแทบจะกินอยู่หลับนอนกันนอกกำแพงเมืองตลอดเวลา   แม้พระองค์จะไม่รู้ว่าพวกฟูดินันกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม 
                         “กระหม่อมก็มั่นใจว่าพวกเขาอยู่พ่ะย่ะค่ะ   สนามรบมันมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม   แต่กระหม่อมก็ไม่อาจทูลได้ว่ามันคืออะไร?” ชาร์ลทูลตอบพลางกวาดตาไปรอบ ๆ สนามรบ
                         “ก็ดี   ข้าจะคอยดู” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก   สายตาก็พลันกวาดมองกองทัพซาโลมที่เคลื่อนใกล้เข้ามา “สั่งพลธนูเตรียมพร้อม   ข้าอยากจะให้มันจบเร็วที่สุด”
                         “พ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลรับคำพร้อมกับให้สัญญาณแก่พลธนู   พร้อมกับเหล่าพลธนูซึ่งเข้าประจำที่ทันที
                         “เดี๋ยวก่อน...นี่มัน!” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสด้วยความโกรธเกรี้ยวเป็นที่สุด   เมื่อกองทัพซาโลมปล่อยทหารผีดิบเป็นทัพหน้าและให้พวกทหารมนุษย์อยู่ทัพหลังโดยปักหลักไกลเกินว่าพลธนูจะยิงไปถึง
                         เพราะความที่ฟีเลเซียรบอย่างเป็นระเบียบแบบแผนทำให้ฝ่ายซาโลมสามารถอ่านกลยุทธของฟีเลเซียได้ไม่ยากนัก   นั่นเองจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟีเลเซียที่แม้จะจู่โจมได้รวดเร็ว ฉับไวและเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ   แต่ก็ไม่สามารถชิงเมืองคืนได้สักที   เพราะฟีเลเซียถูกเดารูปแบบการโจมตีและวางกำลังดักทางได้ตลอด   เวลานี้ดูเหมือนซาโลมจะเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียแล้ว   ในเมื่อซาโลมไม่ต้องห่วงเรื่องการถูกโจมตีจากพลธนูบนกำแพงเมือง   กองทัพก็มีเวลาจัดการกับพวกทัพนก ทัพมังกร และ ทัพเปกาซัสได้ง่ายขึ้น   เหล่าฝูงทหารผีดิบที่ไม่กลัวต่อกองทัพลูกดอกที่พุ่งปักลงจนพรุนก็ดาหน้ากันมาอ้ออยู่ที่ประตูเมืองเพราะรู้ดีว่าอีกไม่นาน   ฟีเลเซียจะต้องส่งเหล่าอัศวินออกมาจากประตูเมืองแน่นอน   พวกมันจึงรอคอยอย่างหื่นกระหายอยากจะฉีกทึ้งกัดกินร่างของมนุษย์จนแทบทนไม่ได้  และเริ่มทุบทำลายบานประตูอันแข็งแกร่งของเมืองคามินยาร์ด
                         “ฝ่าบาท” ชาร์ลกล่าวอย่างร้อนรน “เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว   ก่อนที่พวกมันจะทำลายประตูเมืองเข้ามาได้”
« Last Edit: August 06, 2006, 06:08:43 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: August 06, 2006, 06:08:31 AM »

                           “ไปตามพวกนักบวชมา   เราต้องกำจัดไอ้ผีพวกนี้ให้ห่างจากประตูก่อน   ไม่อย่างนั้นกองทัพอัศวินจะออกจากประตูไม่ได้เลย” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างเร่งรีบ
                          นักบวชหลายร้อยรูปถูกพาขึ้นมาบนยอดกำแพงโดยมีเหล่าอัศวินคอยอารักขาอย่างเต็มที่   เพราะก้อนหินก้อนแล้วกันเล่าที่ทหารฟีเลเซียขว้างลงไปใส่พวกทหารผี   ก็ถูกพวกทหารผีเหวี่ยงคืนกลับมาจนเหล่าทหารบนกำแพงสับสนอลหม่านอยู่ไม่น้อย   ทั้งหินก้อนใหญ่ที่ถูกดีดขึ้นมาจากเครื่องดีดหินของฝ่ายซาโลมก็สร้างความปั่นป่วนให้ฝ่ายฟีเลเซียไม่น้อยเช่นกัน   บรรดานักบวชต่างก็พุ่งเป้าไปที่ทหารผีหน้าประตูเมือง   แสงสีขาวจากพลังเวทย์ของเหล่านักบวชพุ่งใส่ทหารผีที่ออกันอยู่หน้าประตูจนควันโขมงไปทั่วบริเวณนั้น   แต่จำนวนทหารผีที่มีมากเป็นหมื่นนายทำให้ดูเหมือนว่าจำนวนของพวกมันไม่ได้ลดลงเลย   
                          “ซิกมันด์   มันอาจจะฟังดูไม่เข้าท่าในเวลาขับขันอย่างนี้   แต่ในเมื่อผีดิบพวกนี้กลัวของศักดิ์สิทธิ์” เจ้าหญิงเรจิน่าพูดรัวแทบจะไม่หายใจ “เจ้าเคยลองเอาลูกธนูอาบน้ำเสกศักดิ์สิทธิ์(Holy Water)ดูรึยัง?”
                          กษัตริย์ซิกมันด์ทรงมองเจ้าหญิงขมวดคิ้วแน่น “ยัง   เสด็จพี่ไปได้ความคิดนี่มาจากไหน?”
                          “พี่เพิ่งคิดได้เดี๋ยวนี้เอง   จะลองดูไหม?” เจ้าหญิงตรัสถาม
                          “ก็น่าสนใจอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลกล่าวอย่างเร่งรีบ “ลำพังนักบวชเพียงแค่นี้คงไม่พอแน่”
                          “ได้   จัดการเลย” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเสียงเฉียบ
                          เพียงไม่นานถังบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในพิธีกรรมของโบสถ์ถังแล้วถังเล่าจากโบสถ์ทั่วเมืองคามินยาร์ดก็ถูกลำเลียงขึ้นมาถึงบนป้อมกำแพง   ลูกธนูนับพันดอกถูกแช่ลงในถังน้ำศักดิ์สิทธิ์จนมิดดอก   
                          หัวหน้าพลธนูหยิบลูกธนูขึ้นประทับเล็ง   ทันทีที่ลูกธนูพุ่งออกจากคันศรและปักร่างของทหารผีตัวหนึ่งท่ามกลางสายตาคาดหวังจากทุก ๆ คนบนป้อมกำแพง   เสียงร้องแหลมและกลุ่มควันที่พวยพุ่งออกมาก็สร้างความยินดีให้กับทั้งกองทัพ   แต่ฤทธิ์ของลูกธนูมีไม่มากพอจะทำลายร่างขนาดใหญ่ของทหารผีได้   ทำได้แค่สร้างความเสียหายให้กับร่างเนื้อของพวกมันเท่านั้น   หัวหน้าพลธนูเล็งธนูอีกสามดอกเจาะหัวทั้งสามของมันก่อนที่มันจะเดินสะเปะสะปะเพราะขาดหัวที่คอยชี้ทาง
                          “ก็ไม่ถึงกับไร้ประโยชน์เสียทีเดียว   เพียงแต่ใช่ลูกธนูมากหน่อย” กษัตริย์ซิกมันด์กล่าวเสียงเครียด “คงพอจะกันพวกผีพวกนี้ให้ห่างจนประตูเมืองได้”
                          “ทิโมธีน่าจะทำให้มันได้ผลดีกว่านี้ได้ในศึกครั้งต่อไป” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสขณะจ้องมองผลที่เกิดขึ้น “ถ้าเราสามารถใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์มากกว่านี้”
                          “ท่านพร้อมรึยัง?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามจอมทัพแห่งฟีเลเซีย
                          “พ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลรับคำเสียงหนักแน่นพลางค้อมศีรษะขอตัวก่อนจะเดินลงจากป้อมกำแพงไปสมทบกับกองทัพอัศวินที่จัดเตรียมไว้เบื้องล่าง
                          ชาร์ลขึ้นยืนตระหง่านเหนือรถม้าศึก   ดาบคูนิกุนเดส่องประกายวับพร้อมจะฟาดฟันใส่อริศัตรู   เสียงแตรสัญญาณดังขึ้นบอกให้รู้ว่าประตูเมืองพร้อมที่จะเปิดแล้ว   ชาร์ลชูดาบคูนิกุนเดขึ้นเหนือศีรษะ
                          “เพื่อศักดิ์ศรีแห่งฟีเลเซีย!” เสียงตะโกนของเขาดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงตอบรับของกองทัพแห่งฟีเลเซียดังสนั่น “เพื่อศักดิ์ศรีแห่งฟีเลเซีย! เพื่อศักดิ์ศรีแห่งฟีเลเซีย!”
                          ทันใดนั้นบานประตูก็เปิดออกพร้อมกับกองทัพอัศวินที่พุ่งทะยานออกไปอย่างไม่กลัวเกรง

                          เสียงศัตราวุธกระแทกเข้าใส่กันดังอย่างดุเดือด   กองทัพอัศวินพุ่งทะลวงผ่านกองทัพหน้าของซาโลมไปจนถึงกองทัพตอนกลาง   ทั้งสองกองทัพต่างเข้าห่ำหันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร   ทว่ากองทัพซาโลมดูจะอ่านเกมของฝ่ายฟีเลเซียออกเมื่อกองทัพผีนรกกลับหยุดโจมตีกำแพงเมืองเสียดื้อ ๆ และหันกลับมาตลบหลังกองทัพอัศวินแทน   ทำให้กองทัพของฟีเลเซียตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูโดยสมบูรณ์   กองทัพซาโลมคงจะหวังกำจัดกองทัพอัศวินเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีกองทัพอัศวินคอยต้านในเมืองอีก
                          ในเวลาที่ดูเหมือนจะย่ำแย่ลงทุกขณะ   แต่แล้วจู่ ๆ เสียงแตรเขาสัตว์ก็ดังระงมไปทั่วทั้งสนามรบ   เสียงขู่คำรามของสัตว์ป่าและเสียงเป่าใบไม้ดังหวีดหวิวมาจากทุกทิศทุกทาง   และในทันใดนั้นเองผืนดินทั่วทั้งสนามรบก็ดูเหมือนจะยุบฮวบและเคลื่อนไหวได้   แม้แต่ก้อนหินโดยรอบก็ยังขยับเขยื้อน   เพียงชั่วเสี้ยววินาทีกองทัพแห่งฟูดินันก็กระโจนออกมาจากใต้ผืนดินบ้าง ก้อนหินบ้าง บนต้นไม้บ้าง   ต่างพุ่งเข้าโรมรันพันตูใส่กองทัพซาโลมจากทุกทิศทุกทางจนทั้งสนามรบมองดูสับสนและยุ่งเหยิงไปหมด
                          “นี่มันการรบอะไรนี่?   ไร้ระเบียบที่สุด” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงกวาดตาไปทั่วทั้งสนามรบ   ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะดูการต่อสู้ที่จุดไหนดี
                          เจ้าหญิงเรจิน่าทรงพยายามกวาดตามองหาเหล่าขุนพลแห่งฟูดินันและฮารีซัน   พระองค์ปรารถนาจะเห็นการรบของพวกเขาเป็นที่สุด   เพียงครู่เดียวพระองค์ก็ได้เห็นดามิก้าบนหลังอาลูปัสสัตว์หน้าขนขนาดใหญ่สีขาวปลอดของเธอซึ่งบัดนี้ขนของมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูอมแดงเพราะเลือดของศัตรูที่สาดกระเซ็น   ดามิก้าควบอาลูปัสตรงเข้าใกล้กำแพงเมืองอย่างรวดเร็วโดยมีทหารซาโลมบนหลังนกโมฮาวิ่งตามติด ๆ   และดูเหมือนว่าเจ้านกพวกนั้นไม่ได้ฟังคำสั่งของทหารซาโลมเลยสักนิด   เพราะเห็นได้ชัดว่าพวกทหารควบคุมพวกมันไม่ได้เลย   และเพียงพริบตาเดียวอาลูปัสก็ควบขึ้นกำแพงเมืองจนเหมือนมันไต่กำแพงได้แล้วจึงกระโจนกลับหลังข้ามศีรษะพวกทหารซาโลมไป   และในเสี้ยววินาทีนั้นทหารซาโลมก็ถูกคมดาบสะบัดฟันจะกลิ้งตกจากหลังนก   ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่อาลูปัสก็ขย้ำคอนกโมฮาตัวแล้วตัวเล่าอย่างรวดเร็ว   ก่อนที่ทั้งสองจะพุ่งตัวหายเข้าไปในคลื่นสงครามอีกครั้ง   ซึ่งตลอดทางที่ผ่านไปก็มีอันต้องเห็นอาวุธหรือชิ้นส่วนของร่างกายใครบางคนลอยขึ้นมาเหนือหัว
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: August 06, 2006, 06:09:42 AM »

                           เสียงคำรามของนักรบเผ่าสมิงดังขู่คำรามสร้างความตื่นตกใจให้ทหารที่อยู่ใกล้ได้ตลอดเวลา   การจู่โจมแบบเผ่าสมิงยิ่งสร้างความหลากหลายให้แก่การรบจนยากที่จะบอกได้ว่าเป็นการรบชนิดใด   คาร์นนั้นด้วยกำลังและกล้ามเนื้อที่เหนือว่ามนุษย์จนมีความคล่องตัวสูงผนวกกับการจู่โจมที่มีกลิ่นอายของสัตว์ป่าเยี่ยงราชสีห์   ทำให้การจู่โจมนั้นดูดุดันรุนแรงราวกับโถมเข้าใส่อย่างไม่ปรานี   ดาบ โล่ กงเล็บ และคมเขี้ยว ถูกใช้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด   ทั้งกระโจนขึ้นจู่โจมจากที่สูง โถมเข้าใส่จากระยะประชิด หมอบต่ำก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่   สารพัดวิธีการจู่โจมจนไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะป้องกันและต่อกรด้วยวิธีใด
                           เซนทอร์ทราเฮิร์นควงทวนผ่านกองทัพเพลิงไปอย่างคล่องแคล่ว   ทวนขนาดใหญ่ตวัดเข้าใส่ทหารซาโลมอย่างพลิ้วไหวราวกับมีชีวิต   ความคล่องแคล่วในการใช้ทวนของเขาทำให้ทหารซาโลมไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้เลย   แต่แล้วสายตาเขาก็พลันได้เห็นอัศวินคนหนึ่งถูกจู่โจมจนพลาดตกจากหลังม้า   ขาของเขาคงจะหักและกำลังจะตกเป็นเหยื่อของกงเล็บพิฆาตของมือเพชฌฆาตแห่งซาโลม   ด้วยการตวัดทวนเพียงครั้งเดียวนายพลทราเฮิร์นก็สังหารมือเพชฌฆาตได้ทันก่อนที่เขาจะถูกเด็ดหัว   
                           “ท่านมาช่วยข้าทำไม?” อัศวินแห่งฟีเลเซียมองเขาด้วยความงุนงง
                           “ก็เรารบร่วมกันไม่ใช่หรือ?” ทราเฮิร์นมองเขาด้วยความประหลาดใจพอกัน “ม้าของเจ้าวิ่งเตลิดไปแล้ว   ข้าจะพาเจ้าไปส่งที่ประตูเมืองแล้วกัน” นายพลเซนทอร์ดึงเขาขึ้นมานั่งบนหลัง
                           “เอาข้าขึ้นไว้บนหลังอย่างนี้จะทำให้ท่านโดนโจมตีได้ง่ายไม่ใช่รึ?” อัศวินมองทราเฮิร์นด้วยสีหน้าประหลาดใจมากขึ้นกับการกระทำของนายทัพเซนทอร์
                           “เจ้าก็ระวังหลังให้ข้าก็แล้วกัน” พูดเสร็จทราเฮิร์นก็ควบกลับมุ่งสู่กำแพงเมืองคามินยาร์ด
                           ตลอดทางอัศวินแห่งฟีเลเซียบนหลังทราเฮิร์นสังเกตเห็นว่าพวกชาวป่าช่วยชีวิตเหล่าอัศวินไว้หลายคราด้วยกัน   และมีหลายครั้งที่ทวนของทราเฮิร์นสังหารศัตรูที่พุ่งเข้าทำร้ายอัศวินหรือชาวป่าจากทางเบื้องหลัง   ซึ่งแม้จะดูไม่มีแบบแผนที่แน่นอนในการรบแต่ดูจะเป็นการรบที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างแท้จริง   ผิดกับนักรบแห่งฟีเลเซียที่จะสู้จนตัวตายโดยไม่สนใจอย่างอื่นรอบตัว   พวกเขาจะสนใจแต่คำสั่งของผู้บังคับบัญชาและศัตรูตรงหน้าเท่านั้น
                           เมื่อมาถึงริมกำแพงเมือง   อัศวินแห่งฟีเลเซียก็ได้เห็นว่าบรรดานักรบชาวป่าค่อย ๆ ลำเลียงคนเจ็บออกมาจากสนามรบบ้างก็หิ้วปีกกันมา   บ้างก็แบกขึ้นหลัง   เมื่อมาส่งถึงหน้ากำแพงแล้วต่างก็แยกย้ายกันเข้าไปในสนามรบอีก   บรรดานายทหารต่างก็งงงวยและประหลาดใจอย่างยิ่งเพราะไม่คิดว่าพวกตนจะได้รับความช่วยเหลือจากนักรบชาวป่าหลังจากที่ชาวฟีเลเซียดูถูกดูแคลนพวกเขา   แม้แต่พวกทหารบนป้อมกำแพงก็ยังอดประหลาดใจกับการกระทำของชาวฟูดินันไม่ได้   ทหารที่บาดเจ็บถูกลำเลียงมาเรื่อย ๆ จนมีเป็นร้อยคน   ประตูเมืองค่อย ๆ เปิดออกเพื่อลำเลียงผู้บาดเจ็บเข้าไปรักษาในเมือง   แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อทหารผีดิบกว่าร้อยตัวฉวยโอกาสที่ประตูเปิดพุ่งเข้ามาหมายจะอาศัยจังหวะนี้เข้าไปภายในเมือง   ด้านหน้าประตูก็มีแต่ทหารที่บาดเจ็บออกันอยู่ทำให้ไม่สามารถส่งกองกำลังออกมาขวางไว้ได้   เสียงแตรสัญญาณปกป้องประตูเมืองดังขึ้นทันที     
                           ขณะที่ชาร์ล คลาแรนซ์กำลังโรมรันพันตูอยู่กับทหารซาโลมที่ทัพหลัง   แต่เมื่อได้ยินเสียงแตรสัญญาณนั่นก็ชักม้าตะบึงฮ้อกลับมาทันที   เขาไม่เสี่ยงที่จะให้ทหารผีเข้าเมืองไปได้   แค่ที่เมืองวอลเนียก็มากเกินพอแล้ว
                           ระหว่างที่ทุกคนกำลังตกตะลึงนั้นเอง   พลันทุกคนก็ได้ยินเสียงร่ายเวทย์จากทุกทิศทุกทางซึ่งดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน   ใกล้กับกำแพงนั้นนักเวทย์ชาวฟูดินันประมาณห้าคนหรืออาจจะมากกว่านั้นยืนกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณโดยรอบกำแพง   คนหนึ่งยืนขวางทางระหว่างทหารที่บาดเจ็บของฟีเลเซียและทหารผีดิบของซาโลม   เสียงเป่าใบไม้ซึ่งเหมือนจะเป็นสัญญาณอะไรสักอย่างดังขึ้นจากบริเวณใกล้ ๆ นั้น   ซึ่งก็ไม่อาจเห็นตัวคนเป่าได้   นักเวทย์ชาวป่าชูไม้เท้าขึ้นสูงจนสุดแขน   และทันทีที่กระแทกไม้เท้าลงบนผืนดิน   แผ่นดินบริเวณนั้นก็ดูเหมือนจะอัดแน่นเข้าและเปลี่ยนสีเป็นสีเทาเหมือนก้อนหินไม่มีผิดเพี้ยน   และไม่ใช่เพียงแค่พื้นดินเท่านั้น   แม้แต่กายเนื้อของทหารผีดิบแห่งซาโลมก็ยังถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นสีเทาเหมือนหินและแข็งค้างหยุดนิ่งอยู่ในข่ายเวทย์ที่ถูกกางขึ้น   และแล้วเสียงเป่าใบไม้ก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวของฮารีซัน   ที่แท้สัญญาณนี้เป็นสัญญาณแจ้งข่าวแก่ฮารีซันนั่นเอง
                           ฮารีซันซึ่งได้ยินสัญญาณแจ้งข่าวฉุกเฉินจากเสียงเป่าใบไม้ก็รีบตรงมายังหน้ากำแพงเมืองทันที   ดีที่เขาซุ่มวางกำลังส่วนหนึ่งไว้ค่อยป้องกันประตูเมือง   ไม่เช่นนั้นหากพวกซาโลมเข้าประตูเมืองไปได้   การฆ่าล้างเมืองอย่างโหดเหี๊ยมเหมือนที่พวกซาโลมทำกับค่ายผู้อพยพชาวป่าคงต้องเกิดขึ้นอีกแน่   
                           ฮารีซันยืนอยู่หน้ากองทัพผีดิบที่ถูกนักเวทย์สาปให้เป็นหินไปชั่วขณะ   วิธีที่จะทำลายปีศาจกระหายเลือดพวกนี้ได้  คงไม่มีทางไหนที่ดีไปกว่าทำให้พวกมันแหลกเป็นผุยผง   คิดได้ดังนั้นก็หลับตาลงยกกำปั้นขึ้นสูง   เพ่งฌาณเป็นหนึ่งเดียวกับผืนดิน(Geo Meditation)   ก่อนจะรวบรวมสมาธิทั้งสิ้นไว้ที่มือของเขาจนเกร็งสั่น   มัดกล้ามขยายตัวและแข็งขึ้นราวกับหินผา   ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นสามารถรู้สึกได้ว่าพื้นรอบ ๆ ตัวสั่นสะเทือน   ก้อนหินเล็ก ๆ บริเวณนั้นเริ่มเต้นและสั่นระริก     
« Last Edit: August 25, 2006, 10:53:20 PM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: August 06, 2006, 06:11:14 AM »

                             “ย้ากกกกกกกกกกกก”            
                             ตูม!!!   ฮารีซันตะโกนสุดเสียงก่อนจะกระแทกกำปั่นใส่พื้นสุดแรงเกิด   จนเสียงดังราวกับเสียงระเบิด   แรงกระแทกอันมหาศาลทำให้ทุกคนที่อยู่บนกำแพงรู้สึกว่าพื้นสะเทือน   ร่างหินของทหารผีดิบสั่นเหมือนกับเกิดแผ่นดินไหวที่พื้นใต้เท้าที่ยืนอยู่   ร่างที่เป็นหินเหล่านั้นค่อย ๆ แตกออกจากกัน   และด้วยแรงสั่นสะเทือนที่ดูเหมือนจะยังไม่ยอมหยุดง่าย ๆ นั้นทำให้ก้อนหินก้อนใหญ่ ๆ ค่อย ๆ แตกออกเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยลงเรื่อย ๆ
                             “ย้ากกกกกกกกกกกก”            
                              ตูม!!!    ฮารีซันกระแทกหมัดใส่พื้นดินอีกครั้ง   คราวนี้แรงสั่นสะเทือนที่เกิดถึงขนาดทำให้ก้อนหินแตกละเอียดจนกลายเป็นผงทรายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน   
                             ชาวฟีเลเซียที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับตะลึงงันพูดไม่ออกกันเป็นแถว   ต่างเงียบสนิทจ้องมองฮารีซันเป็นตาเดียว   แม้แต่กษัตริย์ซิกมันด์และเจ้าหญิงเรจิน่า หรือแม้แต่ชาร์ลที่ควบรถศึกจนกลับมาทันได้เห็นเหตุการณ์นี้ก็ถึงกับตะลึงงันกับสิ่งที่ได้เห็น   วิชายุทธของพวกชาวป่ารุนแรงร้ายกาจอย่างคาดไม่ถึงจริง ๆ   แม้แต่ทหารซาโลมที่อยู่บริเวณนั้นก็อดประหวั่นไม่ได้           
                             ทว่าเสียงไชโยโห่ร้องอย่างยินดีของพวกชาวป่าทำให้พวกเขาได้สติอีกครั้ง   แม้แต่พวกทหารฟีเลเซียหลาย ๆ คนก็อดทึ่งในฝีมือของผู้นำทัพชาวฟูดินันและร่วมไชโยโห่ร้องไปกับพวกชาวป่าด้วย   เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็ทำให้ขวัญและกำลังใจของทหารทั้งฟูดินันและฟีเลเซียเพิ่มขึ้นทันที   ในขณะที่ทหารของซาโลมกลับถูกบั่นทอนกำลังใจจนแพ้ไม่เป็นท่า   และเริ่มแตกทัพถอยร่นไปในที่สุด
                             การรบของฟีเลเซียที่เป็นระเบียบและแบบแผน   แม้จะทำให้การรบเกิดประสิทธิภาพสูงแต่ก็ถูกอ่านเกมได้อย่างง่ายดาย   ทว่าเพราะกองทัพของฟูดินันที่มีวิธีการรบที่ดูจะไม่มีระเบียบแบบแผน   แต่ที่จริงแล้วนี่คือแบบแผนการรบที่เป็นระบบระเบียบในแบบของชาวป่าเอง   ฝ่ายซาโลมจึงไม่สามารถอ่านเกมการรบได้ออก   เพราะการรบของกองทัพฟูดินันได้ปิดจุดอ่อนของกองทัพฟีเลเซีย   ทำให้กองทัพร่วมระหว่างฟีเลเซียและฟูดินันเวลานี้กลายเป็นกองทัพที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพสูงสุดอย่างแท้จริง

s

                             เวลาเช้าตรู่ซึ่งเป็นเวลาสิบสองวันหลังจากการรบที่เมืองคามินยาร์ด   ทหารซาโลมที่เพิ่งเดินทางมาถึงเมืองโครีธาต่างช่วยกันลำเลียงซากศพที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่าเดินเข้าประตูเมืองจนแถวยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา   จุดหมายปลายทางของซากศพเหล่านี้คือค่ายทำทหารผีดิบที่เมืองอาวีเลีย   เมืองหน้าด่านที่อยู่ติดกับดินแดนทะเลทรายนั่นเอง   ส่วนบรรดาทหารที่บาดเจ็บต่างมุ่งเดินหน้าผ่านประตูเมืองไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย อ่อนระโหยโรยแรงราวกับซากศพ   ทุกคนหิวและต้องการการรักษาพยาบาลโดยด่วน   แต่การรักษาก็คงไม่ได้มีให้มากนักเพราะแบล็ค ไวเซอร์อยากได้ทหารที่ตายมากกว่าทหารที่บาดเจ็บ   กองทัพเพลิงที่เป็นหนึ่งในดินแดนทะเลทรายไม่เคยพ่ายแพ้ให้ศัตรูหน้าไหนกลับต้องมาพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า   สิ่งเหล่านี้บั่นทอนกำลังใจของเหล่าทหารหาญของซาโลมลงไปเรื่อย ๆ   แม้รบจนตัวตายก็เหมือนไม่ตายเพราะวิญญาณก็ยังถูกกักเก็บมาทำเป็นทหารผีดิบ   ต้องวนเวียนอยู่กับการฆ่าฟันที่ไม่รู้จบ   คำกล่าวที่ว่าความกดดันทำให้คนคลุ้มคลั่งและขาดสตินั้นไม่ไกลจากความเป็นจริงเลย   ทหารซาโลมเวลานี้จิตใจเริ่มห่างไกลจากความเป็นมนุษย์เข้าไปทุกทีแล้ว
                             ระหว่างที่เหล่าทหารซาโลมกำลังลำเลียงซากศพเข้าประตูเมืองอยู่นั้น   พลันทุกคนก็ได้ยินเสียงร้อง ปี๊บ ปี๊บ จากเกวียนสามเล่มที่กำลังถูกเข็นผ่านประตูเมือง
                             ปี๊บบบบบบบบบบบบบ ๆ ๆ  ตูม! ตูม! ตูม!
                             เสียงระเบิดดังขึ้นติด ๆ กันถึงสามครั้ง   ประตูเมืองทั้งบานหักพับและแตกเป็นเสี่ยง ๆ   คานประตูยุบตัวและถล่มลงมาอย่างรวดเร็วจนเกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งเมือง   ทหารซาโลมถูกเกณฑ์ให้มาลำเลียงซากปรักหักพัง   บางส่วนก็ถูกส่งออกไปไล่ล่าหามือวางระเบิด  บางส่วนก็ต้องรีบลำเลียงคนเจ็บและซากศพที่มีเพิ่มมากขึ้น   จนดูวุ่นวายและชุลมุนไปหมดทั้งบริเวณ
                             แต่แล้วพลันเสียงแตรก้านยาวก็แผดดังประสานกับเสียงแตรเขาสัตว์จนดังระงมทุ่ง   กองทัพฟีเลเซียและกองทัพฟูดินันที่เคลื่อนทัพหลังจากชัยชนะที่เมืองคามินยาร์ดสามวันก็สามารถไล่ทันกองทัพซาโลมในที่สุด   กองทัพแห่งสายลมพุ่งทะยานเต็มอัตราศึกหมายจะทะลวงผ่านช่องประตูเมืองที่ถูกเปิดออกเข้าจู่โจมกองทัพเพลิงภายในเมืองแบบม้วนเดียวจบ   ทหารซาโลมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวต่างวิ่งหาอาวุธไว้ป้องกันตัวกันอลหม่าน   
                             ชาร์ล คลาแรนซ์ออกนำขบวนรถศึกควบฮ้อผ่านประตูเมืองไปอย่างรวดเร็ว  กองทัพฟีเลเซียทะยานผ่านแถวทหารซาโลมภายในกำแพงเมืองราวกับสายลมแห่งความตายที่พัดกระชากวิญญาณของทหารเพลิงไปอย่างไม่ทันรู้ตัว   ขณะเดียวกัน   บรรดานักรบแห่งฟูดินันทันทีที่ไปถึงกำแพงเมืองก็กระจายตัวกันเข้าจัดการทหารซาโลม   บรรดาเผ่าสมิงวิ่งไต่ผนังขึ้นไปถึงยอดกำแพงตรงเข้าจัดการพลธนูของซาโลมราวกับมีพลังวิเศษ   ขณะที่บางพวกก็กระโดดลงจากหลังกริฟฟินพุ่งเข้าจู่โจมทหารเพลิงจากทางอากาศ   บ้างก็มุดดินรอดกำแพงเข้าไปได้อย่างน่าประหลาด   
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: August 06, 2006, 06:12:36 AM »

                           ดามิก้าขี่อาลูปัสซึ่งกระโจนเพียงสองครั้งก็ไปถึงยอดกำแพงได้อย่างง่ายดายตรงเข้าสังหารทหารซาโลมบนป้อมกำแพงทันทีเพื่อเปิดทางให้กองทัพเข้าเมืองได้สะดวกยิ่งขึ้น   อีกฟากของกำแพงเมืองคาร์นซึ่งก็กำลังฟาดฟันทหารซาโลมอย่างดุเดือดก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกัน   ทหารซาโลมถูกฟาดตะปบกระเด็นออกจากยอดกำแพงเป็นว่าเล่น   ใครที่รอดผ่านการจู่โจมด้วยกงเล็บของเขาไปได้ก็ต้องโดนคมดาบฟันแทงอยู่ดี   จนดูเหมือนเหยื่อที่ไม่เคยรอดพ้นจากการไล่ล่าของพญาราชสีห์   กองทัพเซนทอร์ซึ่งนำโดยทราเฮิร์นก็ควบวิ่งไปทั่วภายในกำแพงเมืองไล่ดักบรรดาทหารซาโลมจากทุกทิศทุกทางก่อนจะพลัดกันพุ่งเข้าจู่โจมจนไม่อาจหนีไปทางไหนได้   ในขณะที่เสียงรัวหมัดของฮารีซันก็ดังไม่หยุดเลยเช่นกัน   และบ่อยครั้งที่ทุกคนสามารถรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้นดิน   
                           ฝ่ายจอมทัพชาร์ลนำทัพอัศวินพุ่งควบทะยานรถศึกลัดเลาะถนนต่าง ๆ ไปอย่างรวดเร็ว   ผ่านอาคารบ้านเรือนที่มีร่องรอยของความเสียหายจากการทำลายล้างตั้งแต่เมื่อคราถูกราชินีเนริมอร์จู่โจมด้วยกองทัพมังกรไฟครั้งแรก   เมืองที่เคยเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างที่เรียบสง่าและทิวทัศน์ที่เห็นเทือกเขาลดหลั่นซ้อนตัวกันอย่างสวยงาม   บัดนี้เหลือเพียงซากกองอิฐ กองขยะและความเลอะเทอะสกปรกที่ทหารซาโลมทำไว้   จอมทัพแห่งฟีเลเซียควบฮ้อรถศึกให้เร็วขึ้น   เป้าหมายของเขามีเพียงที่เดียวเท่านั้นคือจวนของเจ้าเมืองแห่งโครีธา   เขาหวังจะได้เห็นแม่ทัพราโชยูที่นั่น   ความหวังที่จะได้กุ้ศักดิ์ศรีที่สูญเสียไปเพราะแม่ทัพทมิฬชิงหนีการประลองไปถึงสองครั้งนั้นมีมากจนคับอก
                           ทันทีที่มาถึงจวนของเจ้าเมือง   เสียงแตรเขาสัตว์ก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าสามารถยึดกำแพงเมืองและเมืองส่วนหน้าไว้ได้แล้ว   ชาร์ลตวัดดาบคูนิกุนเดด้วยความฮึกเหิม   ถ้าปราบแม่ทัพที่คุมเมืองนี้และยึดจวนได้เมื่อไหร่?   เมืองในส่วนที่เหลือก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ   คิดเพียงเท่านั้นทหารผีดิบก็วิ่งพรวดพราดออกมาจากประตูของจวนเจ้าเมืองตรงเข้าจู่โจมกองทัพอัศวินแห่งฟีเลเซียทันที
                           “เรียงแถวกันเข้ามาเลย!” ชาร์ลกระโดดออกจากรถศึกพุ่งเข้าฟาดฟันใส่ทหารผีดิบในชั่วเสี้ยววินาที   เพียงพริบตาเดียวทหารผีดิบก็สลายกลายเป็นไอเดือดร่างแหลกเหลวเจิ่งนองไปทั่วลานหน้าจวน 
                           ชาร์ล คลาแรนซ์พร้อมกับเหล่าอัศวินต่างวิ่งกรูกันเข้าไปในจวนทันที   ที่ห้องชั้นบนสุดนั้นเอง   เมื่อประตูถูกกระแทกเปิดออก   ผู้ที่คุมเมืองโครีธาหาใช่ราโชยูแต่กลับเป็นบลาส เซจ อุปราชเฒ่าแห่งซาโลมคอยท่า   อยู่ข้างกายนั้นมีทหารสองนายที่ดูเหมือนกึ่งเป็นกึ่งตายยืนตาขวางจ้องเขม็งมาทางชาร์ล   เสียงลมหายใจฟืดฟาดเหมือนคนเสียจริต
                           “เก่งนี่ที่ขึ้นมาถึงที่นี่ได้   แม่ทัพแห่งฟีเลเซีย” บลาส เซจเอ่ยชมแต่สีหน้าไม่รู้สึกชื่นชมเหมือนปากพูดเลยสักนิด
                           “เจ้าคือ...บลาส เซจ?” ชาร์ลเอ่ยชื่ออุปราชของซาโลมออกมาตามที่หน่วยสอดแนมรายงาน
                           “ถูกต้อง” บลาส เซจกระแทกเสียงตอบอย่างกร้าวกระด้าง “และรางวัลของเจ้าที่ทายถูกคือความตาย   ฆ่ามัน!   ทหารต้องสาป(Last Dance Soldier)ของข้า” บลาส เซจ ตะโกนสั่งสุดเสียงพร้อมกับที่ทหารต้องสาปทั้งสองพุ่งเข้าใส่จอมทัพแห่งฟีเลเซียอย่างบ้าคลั่งทันที   
                           ชาร์ลขยับหลบอย่างรวดเร็วพลางสะบัดคูนิกุนเดเพียงไม่กี่ครั้ง   ร่างทหารต้องสาปก็ถูกตัดเป็นท่อน ๆ ร่วงลงกองอยู่แทบเท้า   บลาส เซจตะลึงงันไปชั่วขณะที่ทหารต้องสาปของตนถูกกำจัดอย่างง่ายดาย   ดูท่าเขาคงจะประมาทจอมทัพแห่งฟีเลเซียมากเกินไป   นี่ถ้าไม่ใช่เพราะความงี่เง่าโลภมากของกษัตริย์ซาดินที่ไม่ยอมฟังคำทัดทานที่จะให้บุกฟีเลเซียต่อไปของเขาตอนที่อยู่ในเขตป่าฟูดินัน   ป่านนี้ฟีเลเซียคงแตกพ่ายไปนานแล้ว   และไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
                           “แม่ทัพราโชยูอยู่ที่ไหน?” ชาร์ลถามขณะกระชับคูนิกุนเดก้าวอย่างระมัดระวังเข้าไปใกล้บลาส เซจ   
                           บลาส เซจใบหน้าบึ้งตึงมากขึ้น   ไอ้แม่ทัพร่างยักษ์ไร้ประโยชน์นั่นก็เหมือนกัน   เพราะความงี่เง่าของมันถึงทำให้เสียเมืองไปถึงสองเมืองอย่างน่าเสียดาย   ทหารซาโลมหลายแสนนายจึงไม่อาจจะอยู่กันอย่างแออัดในเมืองอาวีเลียและเมืองโครีธาเมืองที่ตีมาได้ซึ่งเหลือเพียงแค่สองเมือง   จึงต้องแบ่งกำลังบางส่วนออกไปนอกกำแพงเมืองอาวีเลีย   โดยที่แม่ทัพร่างยักษ์นั่นออกไปควบคุมการตั้งค่าย   แต่ที่น่าทุเรศที่สุดก็เห็นจะเป็นความไร้สมองของกษัตริย์ซาดินอีกนั่นแหละ   ไม่รู้ว่าไปเอาความคิดมาจากไหนที่ต้องให้ข้ามาตีเมืองคืนเพื่อกุ้หน้าที่พ่ายแพ้พวกกองทัพฟูดินันกลางป่านั่น   บลาส เซจคิดอย่างฉุนเฉียว   ข้าเป็นอุปราชนะไม่ใช่แม่ทัพ   ให้ข้าเป็นคนวางแผนการรบทั้งหมดเสียเองยังจะดีซะกว่า   ความคิดที่อยากจะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในกองทัพเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ   จู่ ๆ ภาพเขานั่งบนบัลลังก์เหนืออาณาจักรทั้งปวงก็ปรากฏบนมโนจิตของเขา   บลาส เซจ หัวเราะลั่น   ตั้งแต่เขาเริ่มฝึกวิชามารกับแบล็ค ไวเซอร์ เขารู้สึกว่าบ่อยครั้งที่จู่ ๆ ก็มีความคิดหรือภาพต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมาในสมองของเขาเองโดยอัตโนมัติ   แต่ช่วงนี้มันถี่ขึ้นเรื่อย ๆ   นี่จะต้องเป็นภาพที่จะต้องเกิดขึ้นในอนาคตแน่ ๆ การฝึกวิชามารคงทำให้เขามองเห็นอนาคตได้   แต่ก่อนอื่นเขาต้องกำจัดเสี้ยนหนามข้างหน้านี่ให้ได้เสียก่อน   บลาส เซจจมอยู่ในความคิดอันชั่วร้ายและสับสน
                           ชาร์ลมองอุปราชเฒ่าด้วยความงุนงงไม่เข้าใจกับท่าทางที่แสดงออกของเขา   ดวงตาของอุปราชเฒ่าจ้องตรงมาที่เขาแต่กลับดูเหมือนเขามองเห็นอย่างอื่นมากกว่าจะเห็นตัวเขาเอง   ชาร์ลขยับเข้าไปใกล้อีกนิด   แต่แล้วเท้าก็ไปสะดุดกับดาบของทหารต้องสาปที่กองเป็นชิ้น ๆ อยู่บนพื้น   เสียงดาบกระทบกับเกราะที่เท้าดังขึ้นจนบลาส เซจได้สติ
« Last Edit: August 06, 2006, 06:36:31 AM by ฟีโนมีนอน ปาร์ตี้ » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: August 06, 2006, 06:13:14 AM »

                             บลาส เซจ จ้องชาร์ลด้วยดวงตาที่หรี่แคบและแข็งกร้าวก่อนจะตะโกนร่ายมนตร์เสียงดัง และยกขวดพกสีดำสนิทสาดของเหลวบางอย่างใส่แม่ทัพชาร์ลทันที   แต่ชาร์ลมีประสาทตอบรับที่ไวกว่าจึงตวัดคูนิกุนเดขึ้นป้องกันตนเองอย่างรวดเร็วและง่ายดาย   ของเหลวสีดำสนิทกระทบถูกดาบคูนิกุนเดแล้วก็เดือดพล่านพร้อมกับมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งตลบไปหมด   เมื่อบลาส เซจเห็นดังนั้นใบหน้าก็ยิ่งบูดบึ้งขึ้นอีก   ดูท่าทางจะไม่ดีเสียแล้ว   เขาไม่ถนัดการสู้แบบซึ่ง ๆ หน้าเสียด้วย   คิดได้ดังนั้นก็ยกคทาขึ้น   
                             “มีลูกเล่นอะไรอีกล่ะ?” ชาร์ลเอ่ยเยาะ   ขยับเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง
                             บลาส เซจร่ายคาถาเสียงดังอีกครั้งพร้อมกับควงคทาเป็นวง   จู่ ๆ ร่างของบลาส เซจก็เริ่มดูไม่คงรูปเหมือนอย่างเดิม   แล้วร่างกายของอุปราชเฒ่าก็ค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ
                             “เสร็จกัน” ชาร์ลประมาทบลาส เซจเกินไปเสียแล้ว   เขารีบวิ่งตรงเข้าไปหาอย่างรวดเร็วพร้อมกับสะบัดดาบใส่เต็มแรง   ทว่าเขาพบแต่ความว่างเปล่าในร่างที่จางลงนั้น “พวกซาโลมมันทำเป็นแต่หนีหรือยังไงกัน?!” ชาร์ลกระแทกเสียงอย่างหงุดหงิดมองพื้นที่ว่างเปล่าตรงหน้า

                             การเฉลิมฉลองย่อย ๆ ถูกจัดขึ้นกลางลานใหญ่ของเมืองโครีธาในค่ำคืนวันนั้นเอง   กองทัพฟีเลเซียและกองทัพฟูดินันสามารถยึดเมืองคืนได้สำเร็จในบ่ายวันนั้นเอง   เป็นการเข้ายึดเมืองคืนที่รวดเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว    กองทัพแห่งซาโลมที่เคยแต่บุกชิงเมืองต่าง ๆ มาอย่างโชกโชน   แต่กลับไม่เคยได้เป็นฝ่ายตั้งรับปกป้องเมืองจากศัตรูเลย   ทำให้ขาดความชำนาญในการรับมือกับกองทัพร่วมของฟีเลเซียและฟูดินัน   ซ้ำยังถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้เสียเมืองโครีธาคืนให้แก่ฟีเลเซียไปอย่างรวดเร็วเหมือนครั้งที่ซาโลมชิงโครีธามา
                             ทว่าการฉลองนี้กลับเริ่มมีบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป   เพราะไม่ใช่ว่ากองทัพทั้งสองจะต่างคนต่างฉลองชัยชนะของพวกตนอีกแล้ว   แต่เริ่มมีทหารฟีเลเซียบางกลุ่มร่วมฉลองกับฝ่ายกองทัพฟูดินัน   ทหารฟีเลเซียพวกนี้ส่วนมากเป็นคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากทหารฟูดินัน   บ้างก็เป็นพวกที่นิยมชมชอบในฝีมือการสู้รบของนักรบชาวป่า   โดยเฉพาะฮารีซันและเหล่าขุนพลทั้งสาม   ซึ่งเป็นไปตามนิสัยของอัศวินนักรบที่มักชื่นชมและให้เกียรติแก่ผู้ที่ตนประจักษ์ในฝีมือ   แต่ก็ยังมีอีกพวกที่เริ่มจะชิงชังและหมั่นไส้พวกกองทัพชาวป่ามากยิ่งขึ้น   ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกนายทหารที่มียศและตำแหน่งในกองทัพ   เพราะผลงานของกองทัพชาวป่าทำให้พวกเขาเสียหน้าและอับอาย   ความขัดแย้งเหล่านี้ค่อย ๆ เริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ และคงจะเริ่มมีใครสังเกตเห็นในไม่ช้า         
                   
« Last Edit: August 06, 2006, 06:37:59 AM by ฟีโนมีนอน ปาร์ตี้ » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: August 25, 2006, 09:50:05 PM »

มาเม้ากันต่อที่นี่นะตัวเอง

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2.0
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.101 seconds with 21 queries.