Summoner Master Forum
April 26, 2024, 05:52:25 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 49 ธอร์ เทพแห่งสายฟ้า @@  (Read 9973 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: October 22, 2006, 09:23:01 PM »

  Chapter 49 ธอร์ เทพแห่งสายฟ้า


                             สามเดือนหลังจากที่กองทัพร่วมระหว่างฟีเลเซียและฟูดินันยึดเมืองทั้งหมดคืนจากกองทัพเพลิงของจักรวรรดิซาโลมได้สำเร็จและจัดการดูแลความเรียบร้อยต่าง ๆ จนสามารถวางใจในความแข็งแกร่งของกำแพงเมืองอันเป็นปราการด่านสำคัญตลอดจนความพร้อมของกองทัพได้แล้ว   กษัตริย์ซิกมันด์จึงทรงจัดเตรียมพลเปกาซัสจำนวนสิบนายเป็นทหารผู้ติดตามร่วมเดินทางไปยังเนินเขาวาฮาล   ระหว่างนั่นเองข่าวจากบิชอปเกรเกอรี่ก็ส่งมาถึงมือกษัตริย์ซิกมันด์ในวันก่อนเดินทางนั่นเอง   กษัตริย์ซิกมันด์ทรงรีบเปิดสารอ่านทันที   เพราะกษัตริย์ซิกมันด์ก็ทรงเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย   เพราะนับตั้งแต่ที่บิชอปเกรเกอรี่เดินทางกลับฟีเลเซียนั้นก็กินเวลาถึงหกเดือนแล้ว   ทว่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าบิชอปจะเดินทางกลับมาเพื่อเป็นขวัญกำลังให้แก่ทหารและเป็นเหมือนเกราะป้องกันการรุกรานจากซาโลมได้อีกทางหนึ่ง   ทว่าใจความภายในสารนั้นกลับทำให้กษัตริย์ซิกมันด์ทรงรู้สึกหนักใจยิ่งขึ้น   เพราะสารของบิชอปเกรเกอรี่นั้นกล่าวถึงว่าเวลานี้ขวัญและกำลังใจของประชาชนชาวเมืองฟีเลเซียและตามหัวเมืองต่าง ๆ ทั่วอาณาจักรลดน้อยถอยลงไปมาก   เพราะตลอดระยะเวลากว่าเกือบสองปีแล้วนับตั้งแต่เริ่มสงคราม   ทว่าทหารของฟีเลเซียกลับต้องพลีชีพไปเป็นจำนวนมาก และหน่ำซ้ำก็ยังไม่มีทีท่าว่าสงครามจะสามารถยุติลงได้โดยเร็ว   ดังนั้นบิชอปเกรเกอรี่จึงต้องออกเดินทางไปตามหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อปลุกขวัญและกำลังใจให้ประชนตามคำขอร้องของราชินีอลิเซียและตามความประสงค์ของตัวของเขาเองด้วย   ซึ่งกษัตริย์ซิกมันด์ก็ทรงเห็นดีด้วยที่จะทำเช่นนั้น   แต่ก็เป็นข่าวที่ทำร้ายศักดิ์ศรีของพระองค์อย่างยิ่งเช่นกัน   เพราะมันยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความไร้ความสามารถในการปกครองประเทศของพระองค์   ดังนั้นการออกเดินทางสู่เนินเขาวาฮาลของพระองค์จึงเป็นยิ่งกว่าการออกเดินทางไปขอหยิบยืมสัตว์สักตัวจากเทพเจ้า   แต่มันคือภาระที่หนักอึ้งที่พระองค์ต้องแบ่งรับและจะต้องทำให้สำเร็จให้จงได้     
   
                             เป็นเวลาบ่ายแล้วเมื่อกษัติย์ซิกมันด์และคณะเดินทางมาถึงเนินเขาวาฮาล   เนินเขาวาฮาลนั้น   แม้จะถูกเรียกว่า ’เนินเขา’ แต่ทุกคนในฟีเลเซียนั้นทราบดีว่าวาฮาลไม่ใช่เนินเขาอย่างที่ถูกเรียกเลยสักนิด   ตามตำนานที่เล่าขานนั้นกล่าวไว้ว่า วาฮาล คือส่วนหนึ่งของแผ่นดินสวรรค์ที่ตกลงมายังพื้นโลกเมื่อสมัยโบราณกาล   ดินแดนส่วนนี้จึงเหมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลือจากโลกในยุคอดีต   ซึ่งมนุษย์น้อยคนนักที่จะกล้าย่างกรายเข้าไป   ลักษณะของเนินเขาวาฮาลเมื่อมองดูแล้วจะเห็นว่ามีอยู่สามชั้นด้วยกัน   ชั้นแรกมีรูปร่างเหมือนเนินดินอันเกิดจากแท่นภูผาขนาดมหึมาซึ่งดูคล้ายกับถูกใครสักคนขว้างมันลงมาบนพื้นโลก   จนทำให้แผ่นดินโดยรอบดันตัวสูงขึ้นกลายเป็นเนินเขาเตี้ย ๆ ขนาดใหญ่   ชั้นที่สองซึ่งเริ่มตั้งแต่ยอดเนินขึ้นไปนั้นกลับเป็นภูผารูปทรงคล้ายจุกไม้ก๊อกที่ขอบผนังตั้งสูงชันเหมือนหน้าผาตลอดโดยรอบ   และที่ใจกลางแผ่นดินซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของชั้นที่สามนั้นคือยอดเขาอีกลูกที่ซ้อนทับอยู่   เป็นยอดเขาที่ตั้งตระหง่านสูงจนเสียดฟ้าและมีชั้นเมฆลอยมาบดบังยอดเขาอยู่ตลอดทั้งปี     อีกทั้งบนชั้นเมฆนี้ก็มีฟ้าแลบและฟ้าผ่าอยู่เกือบตลอดเวลาเช่นกัน   นี่เองจึงเป็นเหตุให้กษัตริย์ซิกมันด์สามารถขี่เปกาซัสมาได้ไกลสุดเพียงแค่ปลายขอบผาสูงชันของชั้นที่สองเท่านั้น   แม้จะอยากขึ้นไปสูงกว่านี้อีกสักหน่อยแต่บรรดาเปกาซัสก็เหมือนจะพร้อมใจกันฝืนคำสั่งไม่ยอมบินขึ้นไปสูงกว่านั้นคล้ายหวาดกลัวอะไรบางอย่างที่อยู่เหนือขึ้นไป
                             กษัตริย์ซิกมันด์เหวี่ยงตัวลงจากหลังเปกาซัสด้วยท่าทางองอาจ   พระองค์ทรงยืนมองยอดเขาสูงเสียดฟ้าเบื้องหน้าด้วยสีหน้าไม่ใคร่สบายใจนัก   ในขณะที่นายทหารคนอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ ทยอยกันลงจากหลังม้าบิน   ภายในใจของพระองค์หวนคิดถึงการล่ำลากันระหว่างพระองค์และเจ้าหญิงเรจิน่า   พระองค์ยังทรงจำได้ดีถึงสายตาเป็นห่วงและคำพูดทุกถ้อยคำของผู้เป็นพี่ได้อย่างแม่นยำ   ซึ่งในตอนนั้นเพราะความหยิ่งทะนงของพระองค์และความกังวลที่เพิ่งก่อตัวขึ้นหลังจากอ่านสารของบิชอปเกรเกอรี่ทำให้ทรงแปลความเป็นห่วงของพี่สาวผิดไปกลายเป็นความไม่มั่นใจในความสามารถของพระองค์   พระองค์จึงทรงกระแทกเสียงตอบด้วยศักดิ์ศรีทั้งหมดที่มีว่าพระองค์จะไปและกลับมาพร้อมนกธันเดอร์ริคในเวลารวดเร็วปานใด  ซึ่งด้วยสายตาเคลือบแคลงของเจ้าหญิงก็ยิ่งทำให้พระองค์โกรธมากขึ้นไปอีก   ทำให้การล่ำลากันระหว่างพี่น้องผู้สูงศักดิ์ทั้งสองดูไม่ค่อยน่ารื่นรมย์สักเท่าใดนัก   
                             คณะของกษัตริย์ซิกมันด์ใช้เวลาในการเดินทางสองวันจึงถึงเนินเขาวาฮาล   ในการเดินทางวันแรกนั้น พระองค์ยังเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวและทรงหงุดหงิดทุกครั้งที่นึกถึงพี่สาวของพระองค์   แต่ในวันที่สองนั้นพระองค์ก็มีเวลาคิดทบทวนและยอมรับว่าพี่สาวของพระองค์พูดเพราะเป็นห่วงพระองค์โดยแท้จริง   แม้จะเป็นความห่วงใยที่ทำให้พระองค์ไม่ชอบใจและอึดอัด   แต่เวลานี้เมื่อพระองค์มายืนต่อหน้ายอดเขาที่สูงเสียดฟ้าแห่งนี้   ซึ่งพระองค์ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่จึงจะไต่ไปถึงยอดเขาได้   มาบัดนี้ความเป็นห่วงของเจ้าหญิงเรจิน่าก็ไม่ได้เกินความจริงไปมากนัก   การที่พระองค์ได้ทรงลั่นวาจากำหนดระยะเวลาในการเดินทางกลับไว้จึงเป็นเหมือนการขุดหลุมฝั่งตัวเอง   และด้วยศักดิ์ศรีเท่านั้นที่จะผลักดันให้พระองค์ต้องทำให้สำเร็จตามที่ลั่นวาจาไว้ให้ได้
                             ขณะที่พระองค์ทรงกำลังพิจารณาเลือกทหารที่จะร่วมเดินทางไปกับพระองค์   โดยทิ้งอีกสองคนไว้คอยดูแลเหล่าเปกาซัสที่วาฮาลชั้นที่สองอยู่นั้น   พลันสายตาของพระองค์ก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งในชุดผ้าคลุมสีเทาดำในมือถือไม้เท้าที่ทำจากไม้เนื้อดีสีน้ำตาลทอง   ซึ่งลักษณะเหมือนพวกนักเวทย์ที่ชอบถือสันโดษกำลังเดินตรงเข้ามาหาพระองค์   พระองค์ทรงแน่ใจอย่างเหลือเกินว่า   ก่อนหน้านี้พระองค์ไม่เห็นใครสักคนบนวาฮาลชั้นที่สองนี่   แม้อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาจะหลบซ่อนอยู่หลังต้นไม้หรืออาจมีที่กำบังให้พ้นจากสายตาของพระองค์อยู่บ้าง   แต่ถึงอย่างไรก็ไม่น่าจะมีใครปีนขอบผานี้ขึ้นมาได้ง่าย ๆ ยิ่งสังเกตจากมือที่มีผิวหนังเหี่ยวย่นแบบคนแก่ที่โผล่พ้นจากผ้าคลุมเนื่องจากการจับไม้เท้าก็ยิ่งไม่น่าเชื่อเข้าไปใหญ่ว่าคนแก่ในวัยขนาดนี้จะปีนหน้าผาสูงชันขึ้นมาได้
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: October 22, 2006, 09:24:43 PM »

                           ครั้นเมื่อบุคคลลึกลับในชุดผ้าคลุมสีเทาดำเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ กษัตริย์ซิกมันด์จึงตรัสด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
                           “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยการวางอำนาจอย่างแท้จริง “เจ้าเป็นใครกัน?   ขึ้นมาทำอะไรบนนี้?   แล้วทำไมต้องใส่ผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาอย่างนั้น?”
                            “แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร?   ขึ้นมาทำอะไรบนนี้?   แล้วทำไมต้องพาคนมาด้วยตั้งมากมาย?”   ชายแก่ลึกลับย้อนคำถามของพระองค์ออกมาทันควัน   เสียงที่ตอบกลับมาแทบไม่มีความสะทกสะท้าน จนกษัตริย์ซิกมันด์ผงะกับความกล้าดีของเขา   พระองค์ทรงมองดูชายแก่ด้วยความแคลงใจอยู่พักหนึ่ง   แต่เมื่อทรงคิดได้ว่าชายแก่ไม่รู้จักพระองค์เลยสักนิดจึงทำให้ปากกล้าเช่นนี้   พระองค์จึงทรงชักดาบประจำตำแหน่งขึ้นชูพร้อมกับขานพระนามของพระองค์อย่างภาคภูมิใจ
                           “เราคือ กษัตริย์ ซิกมันด์ที่สาม แห่งอาณาจักรฟีเลเซีย   ผู้เป็นนายเหนือทุกสิ่งทุกอย่างในอาณาจักรฟีเลเซีย รวมถึงเนินเขานี้และชีวิตของเจ้าด้วย”
                           “โอ้...ใช่ ๆ ข้าน่าจะรู้   ก็ท่านน่ะมีคิ้วเหมือนปู่ของท่านอย่างกับแกะ   แล้วปากที่เม้มเครียดอยู่ตลอดเวลาก็เหมือนพ่อของท่านอย่างกับถอดแบบกันมาอย่างไงอย่างนั้น” ชายแก่พยักหน้าหงึก ๆ เหมือนรำพึงกับตัวเองเสียงดัง
                           “ข้าจะยินดีมาก   ถ้าเจ้าจะพูดราชาศัพท์กับข้า” กษัตริย์แห่งสายลมทรงท้วงก่อนจะตรัสถามด้วยความประหลาดใจ   “แล้วเจ้ารู้จักเสด็จปู่และเสด็จพ่อของข้าอย่างนั้นรึ?”
                           “ข้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาพูดราชาศัพท์ไม่เป็นหรอก   แล้วอีกอย่าง...ข้าจะไปรู้จักกษัตริย์แห่งฟีเลเซียได้ยังไงกัน?   แต่จมูกของท่านไม่เหมือนทั้งสองคนเลย   คงจะถอดแบบของแม่มาสินะ”
                           ชายแก่ส่ายหน้าแต่ก็ยังคงพูดต่อทำให้พระองค์ไม่แน่ใจว่าเขาจะปฏิเสธหรือจะยอมรับกันแน่ “เจ้าพูดยังไงของเจ้า   ตกลงว่ารู้จักหรือไม่รู้จัก”
                           “แล้วท่านคิดว่าข้าควรรู้จักหรือไม่รู้จักล่ะ?” ชายแก่ย้อนถามหน้าซื่อ   ถึงตอนนี้พระองค์สามารถเห็นใบหน้าของชายแก่ได้ถนัดขึ้น   เขามีผมสีเทาเงิน   ใบหน้านั้นดูเหี่ยวย่นทว่าก็เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง   ดวงตาสีน้ำตาลทองมีประกายสดใสและฉายความเฉลียวฉลาด   พระองค์พยายามนึกว่าเคยเห็นชายชราผู้นี้หรือไม่   แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก   
                           “ข้าจะไปรู้ได้ยังไงเล่าว่าเจ้ารู้จักหรือไม่รู้จักกันแน่” กษัตริย์ซิกมันด์ชักหงุดหงิด “ช่างมันเถอะ   ข้าก็ไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่นักหรอก   แต่ที่ข้าอยากรู้มากกว่าคือเจ้าเป็นใครกัน? แล้วขึ้นมาทำอะไรบนนี้?”
                           “ข้าก็แค่ตาแก่ธรรมดา ๆ คนหนึ่งไม่มีอะไรน่าสนใจนักหรอก   และข้าก็ไม่ได้ขึ้นมาบนนี้เพื่อตามหานกสายฟ้าธันเดอร์ริคด้วย   ท่านสบายใจได้” ชายแก่โบกมือตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
                            “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้ามาตามหานกธันเดอร์ริค?!” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสด้วยความตกใจและเคลือบแคลงทันที
                           “ข้าก็แค่เดาเอา   ทุกคนที่ขึ้นมาบนนี้ก็เพราะจะมาตามหามันทั้งนั้นแหละ” ชายแก่หัวเราะร่าด้วยหน้าตาใสซื่อ
                            “เจ้าพูดเองว่าทุกคนที่ขึ้นมาเพราะจะตามหามัน   ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนั้นด้วยสิ” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงท้าทาย
                           “ไม่ ๆ “ ชายแก่ส่ายหน้ายังคงยิ้มอยู่ “ยกเว้นข้าคนหนึ่ง   ข้าแค่ชอบมาปลีกวิเวกบนนี้   เพราะบนนี้เงียบสงบดี...ก็เท่านั้น”
                           “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็รู้จักวาฮาลดีน่ะสิ” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างยินดี
                           “ก็พอจะรู้ที่ทางอยู่บ้างหรอก   ถ้าท่านหมายถึงทางที่จะไปตามหานกธันเดอร์ริคล่ะก็”
                           “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงนำทางข้าไปเดี๋ยวนี้” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงออกคำสั่งทันที
                           “ทำไมข้าจะต้องพาท่านไปด้วยล่ะ?” ชายแก่ถามพลางส่ายหน้ากับท่าทีวางอำนาจของพระองค์
                           “เพราะข้าสั่งนะสิ” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างวางอำนาจ
                           “ถ้าเช่นนั้นก็เสียใจด้วย   ข้าจะทำหรือไม่ทำก็ด้วยความพอใจของข้า   ไม่ใช่ให้ใครมาสั่ง”
                           กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเม้มปากแน่นหน้าตาบูดบึ้งเมื่อได้ยินดังนั้น   ตาแก่นี้กล้าดีอย่างไรถึงขัดคำสั่งพระองค์เช่นนี้   พระองค์อยากจะสั่งประหารเสียตรงนี้เลย   แต่กับแค่ตาแก่คนเดียวซึ่งอาจจะเป็นคนสติไม่ดีก็ได้  เพราะพูดจาวกไปเวียนมาเดี๋ยวใช่เดี๋ยวไม่ใช่   การสั่งประหารก็รังแต่จะทำให้พระองค์เสื่อมเกียรติที่มาวุ่นวายกับชายแก่สติฟั่นเฟือน   คิดได้ดังนั้นจึงยอมข่มอารมณ์โกรธของพระองค์
                           “คิดว่าข้าจะอ้อนวอนเจ้าอย่างนั้นรึ? ข้าไปหามันด้วยตัวเองก็ได้” ตรัสแล้วก็ทรงหมุนตัวสาวเท้าออกไปทันที
                           “งั้นข้าพาไปก็ได้” ชายแก่กลับคำทันทีโดยไม่สะทกสะท้านกับการกลับคำพูดของตัวเองสักนิด
                           “เจ้า!?” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเริ่มหงุดหงิดและชักจะไม่เข้าใจชายแก่มากขึ้นทุกที เดี๋ยวก็ไม่ไป เดี๋ยวก็ไป เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย ”แล้วมั่นใจรึว่าเจ้ารู้ทางจริง ๆ ไม่ใช่ว่าอีกประเดี๋ยวก็มาบอกว่าไม่รู้จักทางหรือเปลี่ยนใจไม่นำทางอีกนะ“ พระองค์ทรงถามย้ำเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง
                           “รู้สิ” ชายแก่กล่าวเสียงหนักแน่นโดยไม่สนใจความไม่แน่ใจของอีกฝ่าย “มันมีสองทางให้ท่านเลือกว่าจะไปทางที่มีวาลคิเร่บริจิตต์(Brigitte, the Valkyie)เฝ้าปากทางอยู่ หรือจะไปทางที่มีมังกรสวรรค์(Divine Dragon)เฝ้าปากทาง ซึ่งอยู่ใกล้กับอาณาจักรของแฟรี่(Realm of Fairy)”
                           “อาณาจักรแฟรี่? เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน? นั่นมันเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: October 22, 2006, 09:27:37 PM »

                          “เหลวไหล! ท่านเชื่อคำโกหกพวกนั้นรึ?” ชายแก่มองกษัตริย์ซิกมันด์เหมือนตัวประหลาดก่อนจะพูดต่อ “ข้ายังเคยเจอพระราชินีไททาเนีย(Titania)ราชินีของพวกแฟรี่เลย   แต่ก็ถูกของท่านที่ท่านจะไม่เชื่อ   ก็นางน่ะร้ายไม่ใช่เล่นเพราะชอบแปลงร่างมาเป็นมนุษย์แกล้งหลอกมนุษย์ที่หลงย่างกรายไปแถวอาณาจักรของนางอยู่บ่อย ๆ “
                          กษัตริย์ซิกมันด์ทรงมองชายแก่อย่างชั่งใจไม่แน่ใจว่าจะเชื่อดีหรือไม่   แต่พระองค์ก็ไม่มีทางเลือกมากนัก “คำพูดของเจ้าฟังเหมือนคำโกหกมากกว่าเสียอีก   แต่เอาเถอะ   ข้าไม่สนใจไอ้อาณาจักรแฟรี่นั่นหรอก   แต่ถ้าจะให้สู้กับผู้หญิง...ข้าสู้กับมังกรดีกว่า   ชนะผู้หญิงได้จะมีเกียรติอะไรต่อให้เป็นวาลคิเร่ก็เถอะ”
                          “หึ หึ ใช่สินะ   เกียรติและศักดิ์ศรีต้องมาก่อน   แต่ก็ดี...เลือกมังกรแห่งแสง” ชายแก่เริ่มออกเดินทำให้กษัตริย์ซิกมันด์ต้องทรงรีบให้สัญญาณเหล่าทหารให้เคลื่อนพลทันที “เมื่อครั้งที่สวรรค์เกิดสงครามระหว่างทูตสวรรค์ของพระเจ้ากับบรรดาปีศาจของซิน   มังกรแสงเป็นพวกแรกที่เข้าร่วมกับอัศวินสวรรค์ต่อสู้กับพวกปีศาจและมังกรธาตุอื่น ๆ   เมื่อสิ้นสุดสงครามมังกรธาตุต่าง ๆ ถูกอิสราเฟล ทูตสวรรค์แห่งมังกร(Israfel, the Angel of Dragon)กำหนดให้มีความอ่อนแอกับธาตุบางธาตุเพื่อควบคุมพลังของเหล่ามังกร   มีเพียงมังกรแสงที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับบรรดาอัศวินสวรรค์เท่านั้นที่ได้รับการยกเว้น   ดังนั้นมังกรแสงจึงให้เกียรติเหล่าอัศวินเสมอมา   อัศวินอย่างท่านก็คงจะได้รับการยั้งมือจากมังกรสวรรค์...”
                          “ข้าไม่ได้อยากรู้ประวัติของพวกมังกรนั่น   และข้าไม่ต้องการให้ใครหน้าไหนหรือเจ้ามังกรนั่นมาออมมือให้ข้า” กษัตริย์ซิกมันด์ต้องหงุดหงิดอีกครั้งเมื่อได้ยินดังนั้น   ทำไมถึงไม่ปล่อยให้พระองค์สู้อย่างสมศักดิ์ศรีนะ   บ้าจริง!คนอื่น ๆ จะคิดอย่างไรถ้ารู้ว่าพระองค์ได้นกธันเดอร์ริคมาเพราะการอ่อนข้อให้ของมังกร   พระองค์สาวเท้าเร็วขึ้นไปตามทางขรุขระที่อากาศรอบตัวเริ่มเย็นขึ้น
                          “มันไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก” ชายแก่พูดปลอบแต่สีหน้ากลับยิ้มร่าเหมือนรู้อยู่แล้วว่าพระองค์จะต้องคิดอย่างไร
                          “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้ารู้สึกอย่าง...” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงหยุดพูดเมื่อจู่ ๆ ชายแก่ก็หยุดเดินและหันหน้ามาหาในทันที
                          “ต่อจากนี้เราจะต้องขึ้นเขาที่สูงชันขึ้นเรื่อย ๆ  ข้าคิดว่าเราหยุดพูดออมแรงไว้จะดีกว่า” ชายแก่พูดแล้วก็ออกเดินต่อโดยไม่สนใจคำถามของกษัตริย์แห่งสายลมที่ยังคงไม่ได้รับคำตอบ
                          “นี่!   เดี๋ยว” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเรียก   แต่ชายแก่ก็เดินไกลออกไปทุกที ๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด “ฝากไว้ก่อนเถอะ   ถ้ามันพาไปไม่ถึงที่หมายละก็   ข้าสั่งประหารมันแน่” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสกับเหล่าทหารที่เดินตามหลังมา   จากนั้นทั้งคณะจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อให้ทันกับชายแก่
                          ชายแก่พาทั้งคณะเดินทางผ่านป่าสนที่ขึ้นสูงและเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้แปลกตาที่ไม่เคยเห็นตามเขาสูงทั่วไปในฟีเลเซีย   ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ถึงความแตกต่างของเนินเขาวาฮาลกับเขาสูงทั่วไปที่มีดาษดื่นในอาณาจักรฟีเลเซีย   ชายแก่ยังคงเดินนำหน้าด้วยจังหวะฝีเท้าที่เท่าเดิมแม้จะพาคณะของกษัตริย์แห่งฟีเลเซียเดินทางมาแล้วหลายชั่วยาม   จนทุกคนอดสงสัยไม่ได้ว่าชายแก่ผู้นี้ไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเลยหรืออย่างไร   แม้พวกเขาจะเป็นอัศวินซึ่งก็มีร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนปกติธรรมดาอยู่แล้ว   แต่พวกเขายังมีอาการเหนื่อยหอบเมื่อต้องเดินขึ้นเขาเป็นเวลานาน ๆ  แต่ชายแก่กลับเดินเหินได้อย่างคล่องแคล้วจนดูน่าหมั่นไส้
                          “นี่!ตาแก่   เมื่อไหร่จะถึง?” ทหารคนหนึ่งตะโกนถาม
                          “ใกล้แล้ว” ชายแก่เอ่ยตอบพลางก้าวขาข้ามท่อนไม้ที่วางพาดขวางอยู่
                          “ถ้าเช่นนั้นก็หยุดพักก่อนได้ไหม? เราเดินทางมาทั้งวันแล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย” ทหารอีกคนตะโกนบอก
                          ชายแก่หันมามองกษัตริย์ซิกมันด์ยิ้ม ๆ “แล้วท่านล่ะหิวไหม?”
                          กษัตริย์แห่งฟีเลเซียเมื่อเจอคำถามนี้ก็ถึงกับเงียบอึ้งไป   หากพระองค์ยอมรับว่าหิวจะเป็นการแสดงถึงความอ่อนแอให้ชายแก่เห็นหรือไม่   แต่พระองค์ก็หิวจริง ๆ นั่นแหละ   ครั้นดูท่าทางชายแก่จะไม่มีความรู้สึกหิวเลยสักนิด   ถ้าพระองค์ยอมรับว่าหิว   ชายแก่คนนี้คงจะต้องหัวเราะเยาะพระองค์เป็นแน่
                          “ข้าไม่หิว” กษัตริย์แห่งฟีเลเซียตรัสเสียงดังฟังชัดในขณะที่ทหารคนอื่น ๆ ก็ต้องกลืนอากาศแทนอาหาร   ในเมื่อเจ้าเหนือหัวไม่หิวพวกเขาจะหิวได้อย่างไรกัน
                          ชายแก่เห็นดังนั้นก็ส่ายหน้าบ่นงึมงำคนเดียว “จะทรมานตัวเองไปทำไมกัน?”
                          “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
                          “ท่านไม่หิวแต่ข้าหิว” ชายแก่พูดจบก็เดินตรงไปยังโค่นต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วนั่งลง “ทหารพวกนั้นน่ะ   มีขนมปังแบ่งให้ข้าสักก้อนไหมล่ะ?”
                          บรรดานายทหารมีสีหน้าเบิกบานขึ้น   พลางเหลือบมองเจ้าเหนือหัว  ทันทีที่ได้รับการอนุญาตนายทหารนายหนึ่งก็นำขนมปังก้อนหนึ่งกับเนื้อแห้งและน้ำไปให้ชายแก่ในขณะที่คนอื่น ๆ เริ่มนั่งลง   กษัตริย์ซิกมันด์ทรงดำเนินเข้าไปใกล้ชายแก่มองท่าทางการแทะเล็มขนมปังแบบเนิบ ๆ ของเขาก่อนจะทรงนั่งลงหยิบเสบียงของพระองค์ขึ้นมาเสวยบ้าง
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: October 22, 2006, 09:29:26 PM »

                           “บอกข้าหน่อยสิ   เจ้าไม่ได้หิวจริง ๆ ใช่ไหม?”
                           ชายแก่เหลือบมองพระองค์ยิ้ม ๆ แต่ก็ยังคงแทะเล็มขนมปังในมือไม่ตอบอะไร
                           “เคยมีใครบอกเจ้าไหมว่า เจ้าน่ะนอกจากจะประหลาด พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอยแล้ว ยังกวนโมโหมากอีกด้วย   ถ้าเจ้าพาข้าไปไม่ถูกทางละก็   ข้าสาบานกับดาบเล่มนี้เลยว่าข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง”
                           ชายแก่หัวเราะพลางยักไหล่ “ท่านไม่ได้ใช้ดาบนั่นกับข้าแน่ เศร้าใจได้เลย   แล้วเรื่องนิสัยของข้า   ยังมีอีกหลายคนที่จาระไนนิสัยของข้าประหลาดกว่าที่ท่านพูดเยอะ   ท่านเดาไม่ถูกหรอกว่าเขาพูดว่าอะไรกันบ้าง”
                           “เจ้าแน่ใจรึว่ายังสติดีอยู่?” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงขมวดคิ้วยุ่งชักไม่แน่ใจในตัวชายแก่ที่ยอมรับคำสมประมาทอย่างหน้าระรื่น
                            “ข้ายังไม่ถึงขั้นเสียสติเลยหรอก   ข้ายังไม่ประหลาดขนาดนั้น   ฮ่า ฮ่า” ชายแก่หัวเราะร่วนเงยหน้าขึ้นฟ้า   แต่เมื่อเห็นแสงอาทิตย์เริ่มหรี่แสงลงจึงกล่าวต่อว่า
                           “นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว   ตั้งแคมป์ไฟที่นี่เลยไหมล่ะ?”
                           “แถวนี้นะรึ?”   กษัตริย์แห่งฟิเลเซียทรงมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง
                           “แถวนี้ไม่มีสัตว์ร้ายอะไรหรอกน่า   ปลอดภัยจากพวกครุฑแห่งยอดเขาวาฮาล  (Vahal Peak Garuda) ด้วยจะมีก็แต่พวกแฟรี่ที่เข้ามาแหย่เล่นสนุก ๆ ตามประสาของพวกนาง   เพราะนาน ๆ จะมีมนุษย์อาจหาญเข้ามาใกล้ถิ่นของพวกนางสักที”   
                           ชายแก่มองไปที่กลุ่มดอกไม้ป่าที่ขึ้นเป็นช่ออยู่ใกล้พุ่มไม้พลางหัวเราะเหมือนขบขันอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงนั้น   แต่เมื่อกษัตริย์ซิกมันด์ทรงหันไปมองแล้วไม่พบอะไรนอกจากดอกไม้ที่วูบไหวไปตามลม   ก็ทรงคิดว่าชายแก่เริ่มสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกแล้ว   พระองค์ทรงคิดผิดรึเปล่าที่ยอมให้ชายแก่ประหลาดเป็นผู้นำทาง   แต่แล้วพระองค์ก็ทรงตัดสินใจว่าควรจะเลิกให้ความสนใจกับชายแก่ก่อนที่พระองค์จะทรงเสียสติเสียเอง   พระองค์ใช้เวลาเพียงไม่นานก็หาที่เหมาะ ๆ ที่จะใช้เอนกายได้   เหล่าทหารเริ่มก่อกองไฟและนั่งล้อมวงกัน   ทุกคนต่างนึกวาดภาพการต่อสู้อันใกล้ที่จะต้องเผชิญเป็นเหมือนเพลงขับกล่อมยามนิทรา

                           เสียงนกร้องที่ออกหากินในยามเช้าตรู่ปลุกพระองค์จากการบรรทมที่ไม่น่าพิสมัยนัก   แม้จะมีหญ้านุ่มรองรับแต่ก็ไม่สบายเนื้อสบายตัวเท่าไหร่   อีกทั้งบรรดาแมลงที่ส่งเสียงร้องในยามค่ำคืนก็ทำให้พระองค์รำคาญจนนอนหลับไม่สนิท   แต่ที่ยิ่งน่าหงุดหงิดยิ่งขึ้นคือ   ทุกครั้งที่พระองค์เหลือบไปมองชายแก่   พระองค์จะต้องเห็นเขาหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุขแถมบางครั้งยังกรนเสียงดังด้วยซ้ำ   พอนอนหลับไม่เต็มที่อารมณ์ของพระองค์ก็ยิ่งหงุดหงิดง่ายเข้าไปใหญ่   ครั้นพอใกล้เที่ยงอารมณ์ของพระองค์ก็ยิ่งบูดหนัก   เพราะคำพูดจาของชายแก่ที่พูดเกี่ยวกับมังกรและปากทางเข้าซ้ำไปซ้ำมา   ไม่นับรวมเรื่องแฟรี่ที่เล่าแล้วก็เปลี่ยนเรื่องไปเล่าเรื่องนกสายฟ้าแล้วก็กลับไปเล่าเรื่องแฟรี่อีก   จนเมื่อพระองค์ใกล้จะทนไม่ได้อีกต่อไป   จู่ ๆ ชายแก่ก็หันมาพูดจริงจังเรื่องเส้นทางที่จะนำไปถึงเทพเจ้าธอร์และย้ำกำชับให้พระองค์จำให้แม่นก่อนจะไม่พูดอะไรอีกเลย   จนพระองค์อดไม่ได้ที่จะทรงลอบมองชายแก่เพื่อจับสังเกตด้วยความระแวงตลอดเวลา
ล่วงเข้าเวลาเย็นหลังจากที่ทุกคนเตรียมที่พักของตนเรียบร้อยแล้วและเริ่มลงมือกินอาหารที่ตระเตรียมมา  กษัตริย์ซิกมันด์ก็ทรงเดินตรงเข้าไปหาชายชราที่นั่งแยกตัวห่างจากกลุ่มไปพอสมควร   ทันทีที่ชายแก่เห็นพระองค์เดินเข้ามาใกล้ก็ยิ้มร่า   กล่าวด้วยความขบขัน
                           “น่าแปลกที่ท่านเดินมาหาข้าเอง   ข้านึกว่าท่านจะไม่อยากคุยกับข้าเสียอีก”
                           “ข้าก็ไม่ได้อยากคุยอะไรกับเจ้านักหรอกแต่ตลอดบ่ายนี้เจ้าเงียบเกินไปจนน่าสงสัย”
                           “ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่   ข้าแค่ขี้เกียจจะพูดกับท่าน” ชายแก่ยักไหล่เหมือนไม่แยแส
                           “นี่เจ้า !...........นั่นอะไรน่ะ?” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเปลี่ยนเรื่องทันทีที่ทรงเห็นอะไรบางอย่างขยับอยู่ใต้ผ้าคลุม
                           “โอ้...น่ารักใช่ไหมล่ะ? เพื่อนที่น่ารักของข้าเอง” ชายแก่ขยับมือใต้ผ้าคลุมเล็กน้อยก่อนที่จะมีแมวตัวหนึ่งโผล่หัวพ้นผ้าคลุมออกมา
                           “แมวรึ? ตั้งแต่ข้าพบกับเจ้าข้าไม่เห็นได้ยินเสียงแมวร้องเลย” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพิจารณาแมวที่เห็นแค่หัวโผล่ออกมาจากผ้าคลุม
                           “เสียงร้องของแมวรึ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า“ ชายแก่หัวเราะก๊าก “นั่นสิ...ข้าก็ไม่เคยได้ยินมันร้องอย่างแมวเหมือนกัน”
                           “ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีแมวที่เป็นใบ้...” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพิจารณามันอีกครั้งจึงได้เห็นชัดว่า แมวตัวนี้มีขนสีม่วงซ้ำบนหัวยังมีขนที่ยาวปุยเป็นพิเศษจนดูเหมือนแมวมีผม แต่แมวจะมีผมได้อย่างไรกัน? “แมวของเจ้าสีประหลาดดี ดูไม่ค่อยเหมือนแมวทั่วไป”
                           “ท่านชอบแมวรึ?” ขายแก่ถาม
                           “ไม่ล่ะ ข้าชอบหมามากกว่า”
                           “จริงสินะ  ท่านคงไม่ชอบแมว เพราะมันจะไม่มาเชื่อฟังคำสั่งท่านหรือคอยรับใช้ท่านแถมมันอยากไปไหนมันก็ไป ไม่อยู่ติดที่เลย แต่กับสุนัขที่เชื่อฟังคำสั่งและซื่อสัตย์แถมวิ่งเข้ามาหาทุกครั้งที่เรียกย่อมถูกใจท่านเป็นธรรมดา  คนที่เหมาะกับแมวน่าจะเป็นพี่สาวของท่านมากกว่า”
                           “เจ้ารู้จักพี่ของข้าด้วยรึ?!” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงมองชายแก่อย่างเคลือบแคลงอีกครั้ง   ดูเหมือนว่าชายแก่คนนี้รู้จักสมาชิกในครอบครัวของพระองค์มากเกินไปแล้ว
                           “ไม่หรอก   ข้าแค่เคยเห็นพี่สาวของท่านออกมาเดินเที่ยวในตลาดที่ฟีเลเซียบ่อย ๆ “ ชายแก่ยิ้มร่า
                           “เหลวไหล! พี่สาวข้าไม่เคยออกไปเดินในที่ชั้นต่ำแบบนั้น” กษัตริย์ซิกมันด์เสียงแข็งทันที
                           “ไม่เคยก็ไม่เคย   ข้าคงดูผิด” ชายแก่คล้อยตามทันทีแม้จะยังคงยิ้มอย่างชอบใจ “เราเลิกพูดเรื่องแมว ๆ หมา ๆ กันเถอะ   ข้าอยากจะให้ท่านดูนั่น” ชายแก่ยกไม้เท้าขึ้นชี้สูงขึ้นไปบนยอดเขาวาฮาล   ท่านเห็นก้อนหินสีขาวก้อนใหญ่จนดูเหมือนเชิงผานั่นไหมล่ะ?   จากหินก้อนนั้นเดินอ้อมเขาไปทางซ้ายประมาณหนึ่งชั่วยาม   ก็จะพบเชิงผาสีขาวที่คล้าย ๆ กับเชิงผานี้   ไต่ข้ามชะง่อนหินไปแล้วมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ ไม่นานท่านก็จะพบกับสิ่งที่ต้องการ”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: October 22, 2006, 09:30:58 PM »

                            “เจ้าบอกข้าอย่างนี้   หมายความว่าเจ้าจะไม่ร่วมทางไปด้วยแล้วใช่ไหมล่ะ?   กลัวที่จะตายเพราะนำทางไปผิดรึยังไง?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเยาะ ๆ
                            “ข้าก็แค่บอกเผื่อไว้   เพราะข้าเดินทางไปกับท่านแค่เท่าที่ข้าอยากจะไปด้วยเท่านั้น” ชายแก่ยักไหล่เบา ๆ ใช้นิ้วเขี่ยปอยผมของเจ้าแมวสีม่วงเล่น
                            “แล้วมังกรสวรรค์ที่เจ้าว่าล่ะ?” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงหรี่ตามองชายแก่ด้วยความไม่แน่ใจ
                            “ก็อยู่ที่ไหนสักแห่งตามทางที่ข้าบอกเมื่อกี้นั่นแหละ   ไม่ต้องห่วงถ้าท่านเข้าไปใกล้ปากทางมากพอ   ท่านก็จะได้พบมังกรสวรรค์เองนั่นแหละ   อาจจะเร็วกว่าที่ท่านคิดไว้ด้วยซ้ำ” ชายแก่เริ่มเปลี่ยนมาเกาคางเจ้าแมว   ซึ่งมันก็หลับตาเอียงคออย่างชอบใจ   ก่อนจะเหลือบตามองจ้องพร้อมกับยกปากขึ้นจนเห็นเขี้ยวขาว   
“แมวของเจ้านี่ให้ความรู้สึกแปลก ๆ เหมือนมันจะฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง   แถมเมื่อกี้ยังยิ้มเยาะให้ข้าด้วย” ทว่าตรัสแล้วก็ทรงต้องส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “เหลวไหล! แมวจะยิ้มและฟังภาษามนุษย์เข้าใจได้ยังไงกัน   ต้องเป็นเพราะข้าคุยกับเจ้ามากเกินไป   จนสมองเริ่มจะผิดปรกติ....เพราะเจ้าแท้ ๆ เชียว” ตรัสแล้วก็ทรงหมุนตัวเดินจากไปโดยไม่หันมามองชายแก่อีกเลย   ปล่อยให้ชายแก่ก้มลงสบตากับเจ้าแมวสีม่วงพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ยิ่งไปเร่งอารมณ์กรุ่นของกษัตริย์แห่งฟีเลเซียให้โหยกระพือยิ่งขึ้น

                            เช้าวันใหม่คืบคลานเข้ามาพร้อม ๆ กับหมอกยามเช้าที่หนาจนมองได้ไม่ไกลเกินกว่าสี่ช่วงแขน   แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือชายแก่ได้หายไปแล้ว   แม้ว่ากษัตริย์ซิกมันด์จะทรงให้ทหารออกตามหาไปทั่วบริเวณแล้วแต่ก็ไม่พบแม้กระทั่งรอยเท้าของเขา   จนเมื่อเวลาผ่านไปสองชั่วยามไอหมอกเริ่มจางลงจนทัศนะวิสัยเริ่มดีขึ้น   พระองค์จึงตัดสินใจออกเดินทางต่อโดยไม่มีชายแก่   ซึ่งตลอดการเดินทางพระองค์ก็ได้แต่ขุ่นเคืองและก่นด่าชายแก่เกือบตลอดเวลา
                            ล่วงเข้าเวลาเที่ยงวัน   ทว่าบรรยากาศโดยรอบกลับมาอึมครึมอีกครั้ง   แสงแดดแทบจะส่องผ่านหมอกหนาลงมาไม่ได้   เสียงฟ้าแลบฟ้าร้องดังชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ   ครั้นเมื่อพระองค์เดินลัดเลาะป่าตามทางที่ชายแก่ได้บอกไว้ไปสักครู่   จู่ ๆ ก็มีลำแสงสีขาวเจิดจ้าหลายลำวูบไหวผ่านหน้าพระองค์และคณะก่อนจะดับหายไป   ทุกคนต่างก็มองหน้ากันเพราะแน่ใจอย่างยิ่งว่าไม่ใช่แสงอาทิตย์แน่นอน   เพราะแสงไม่ได้มาจากทางด้านบน   แต่กลับส่องมาจากทางด้านข้างเหนือยอดไม้ไกล ๆ
                            “นั่นมันอะไรกัน?” ทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้น
                            “เป็นอุบายของตาเฒ่าประหลาดนั่นที่คิดจะแกล้งหลอกพวกเราให้ตกใจรึเปล่า?” ทหารอีกนายตอบ
                            “ถ้าใช่ละก็...ข้าจะสั่งลงโทษเสียให้เข็ด” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสรอดไรฟันก้าวตรงไปยังทิศทางนั้นทันที
                            ก๊าซซซซซซซซซ
                            เสียงร้องของมังกรดังสนั่นขึ้นพร้อม ๆ กับลำแสงเจิดจ้าที่สาดส่องแรงกล้ากว่าเดิม   ทุกคนต่างรีบปิดหูมองตากันด้วยความตกใจ  เพราะเสียงร้องนั้นใกล้เหลือเกิน      
                            “ท่าทางเราจะเจอมังกรสวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ทหารนายหนึ่งทูลพลางกระชับอาวุธในมือมั่น
                            “สั่งทุกคนเตรียมตัวคอยระวังไว้ให้ดี   เราคงใกล้จะถึงปากทางที่จะนำเราไปหาเจ้านกธันเดอริคแล้ว”
                            ทุกคนต่างชะลอฝีเท้า พยายามย่างก้าวให้เบาที่สุด   และเริ่มใช้สัญญาณมือแทนการสั่งการด้วยเสียง   ไอหมอกที่โรยตัวลงมาทำให้ยากแก่การกำหนดทิศทางและการดักซุ่มโจมตี   แต่แล้วในฉับพลันนั้นจู่ ๆ ลมแรงก็พัดกล้าหอบเอาหมอกหนาทึบไปจนเกือบหมดหลงเหลือไว้แต่เพียงไอบาง ๆ    ทุกคนต่างหยุดนิ่งอยู่กับที่กวาดตามองไปทางเบื้องหน้าของตนเพื่อหาต้นตอของลำแสงประหลาดและเสียงร้องเมื่อครู่   จึงต่างได้พบว่าพวกเขาได้มายืนอยู่ใกล้ชะง่อนหินแล้ว
                            ก๊าซซซซซซซซซซซซซซซ
                            ทันใดนั้นทุกคนก็ต้องตกใจสุดขีด   เมื่อเสียงร้องของเจ้ามังกรสวรรค์นั้นดังมาจากทางด้านหลังและยังใกล้มากอีกด้วย   ยังไม่ทันที่ทุกคนจะเหลียวหลังกลับไป   เปลวแสงสีขาวก็พวยพุ่งเผาต้นไม้ข้างหน้าพวกเขาเฉียดกษัตริย์ซิกมันด์ไปเพียงนิดเดียว
                            กษัตริย์แห่งฟีเลเซียทรงเอี้ยวตัวหลบอย่างหวุดหวิด   สายตาของพระองค์เหลือบไปมองทางด้านหลังในทันที   ภาพที่ปรากฏต่อสายตาคือมังกรสีขาวสูงเกือบท่วมยอดไม้   ตามลำตัวมีรูกลมขอบฟ้าที่กำลังเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้าเป็นลำ   ซึ่งหากพระองค์ถูกลำแสงนี้สาดเข้านัยน์ตาโดยตรงคงไม่พ้นต้องตาบอดอย่างแน่นอน   อีกทั้งเปลวไฟที่เจิดจ้าจนกลายเป็นสีขาวก็มีอานุภาพร้ายกาจขนาดเผาต้นไม้ให้กลายเป็นเถ้าถ่านสีขาวได้ในพริบตา   พระองค์ทรงมองสบตากับเจ้ามังกรสวรรค์เพียงชั่วแวบเดียวพลันก็เกิดความเข้าใจในจิตใจขึ้นทันทีว่าเมื่อสักครู่มังกรสวรรค์จงใจจะพ่นเปลวแสงให้เฉียดพระองค์เท่านั้น    เพื่อเป็นการเตือนเพราะเห็นแก่ความเป็นอัศวินของพระองค์   ความกริ้วทวีขึ้นแทบจะทันที   พระองค์ทรงฉวยหอกปลายแหลมของทหารที่อยู่ใกล้พุ่งใส่มังกรสวรรค์อย่างสุดแรง   หอกลอยพุ่งไปจนเกือบจะถูกช่วงท้องของมังกรขาวอยู่แล้ว   แต่ก็ถูกเปลวแสงที่พ้นออกมาจากปากของมันแผดเผาจนสลายไปในบัดดลนั้นเอง   เจ้ามังกรเลื้อยเข้าใส่ทันที   กษัตริย์ซิกมันด์จึงทรงรีบให้สัญญาณทหารเพื่อกระจายกำลังอย่างรวดเร็ว   พระองค์ทรงรีบมุ่งไปที่ชะง่อนหินเพื่อยึดเป็นที่มั่นในการต่อสู้กับมังกรสวรรค์ ทหารแต่ละนายก็พยายามหาที่มั่นของตนเพื่อล้อมกรอบมังกรสวรรค์อย่างสุดกำลัง   แต่ไม่ว่าจะพยายามบุกโจมตีสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจปราบมังกรสวรรค์ลงได้เลยเพราะลำแสงเจิดจ้าที่พุ่งออกมาจากรูตามตัวของมันทำให้เหล่าอัศวินยากที่จะเข้าถึงตัวมันได้   ยิ่งสู้กันนานเข้าอัศวินที่บาดเจ็บและถูกลำแสงจ้าแผดเผาจนตาบอดก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ จากหนึ่งเป็นสองจากสองเป็นสาม   อัศวินทุกนายแม้จะเป็นผู้มีฝีมือในการรบเจนจัดปราบมังกรและสัตว์ร้ายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน   แต่ต่างก็รู้ดีว่าการจะสู้รบกับศัตรูที่มีพิษสงรอบตัวเช่นนี้ต้องใช้ความเร็วเพื่อความได้เปรียบ  ทว่าเหล่าเปกาซัสก็อยู่ไกลเกินกว่าจะหวังพึ่งพาได้   
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: October 22, 2006, 09:32:06 PM »

                             เมื่อประเมินสถานการณ์แล้วทุกคนจึงตกลงใจที่จะให้กษัตริย์ซิกมันด์ล่วงหน้าไปก่อนโดยที่พวกทหารที่เหลือจะเป็นผู้ต้านมังกรสวรรค์ถ่วงเวลาไว้   แต่สำหรับกษัตริย์ซิกมันด์แล้วเรื่องที่เหมือนกับการหนีเอาตัวรอดเช่นนี้ทำลายความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของพระองค์อย่างมาก   กว่าที่พระองค์จะทรงยอมก็ต้องเสียทหารไปอีกถึงสองนาย
กษัตริย์ซิกมันด์ทรงจากสมรภูมิย่อยมุ่งหน้าต่อไปด้วยความอับอายและกริ้วโกรธเป็นกำลัง   เกียรติและศักดิ์ศรีของพระองค์ดูจะถูกกระทำย่ำยีมากขึ้น ๆ ทุกวัน   ทรงอดคิดไม่ได้ว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ที่ต่ำต้อยและน่าสมเพชที่สุดของราชวงศ์อรีธา   ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธเคืองเรี่ยวแรงทั้งหมดที่ทำให้พระองค์ยังคงมุ่งหน้าต่อไปในเวลานี้คือความกริ้วโกรธและศักดิ์ศรีเท่านั้น
                             พระองค์ทรงเดินไต่ยอดเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ อีกเป็นเวลานาน   นานจนพระองค์เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด   ไม่มีสรรพเสียงใด ๆ  ให้ได้ยินนอกจากเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าที่ดังชัดขึ้นเรื่อย ๆ  ซึ่งก็ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจของกษัตริย์ซิกมันด์เมื่อทรงนึกว่าพระองค์เข้าใกล้นกธันเดอร์ริคแล้วนั่นเอง
                             จนกระทั่งพระองค์ทรงเดินมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง   เป็นสถานที่ที่กว้างขวางทว่าเต็มไปด้วยหินขนาดมหึมาวางกองระเกะระกะ   พระองค์ทรงก้าวลึกเข้าไปเรื่อย ๆ พยายามมองหาสัญญาณใด ๆ ของสิ่งมีชีวิตแต่ก็ไม่พบแม้แต่แมลงสักตัว   เมื่อทรงเดินต่อมาอีกครู่หนึ่งก็ทรงพบกับแท่นหินสลักขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายบัลลังก์สีขาวสะอาดตา   ตัวบัลลังก์นั้นมองดูให้รู้สึกถึงความแข็งแกร่งและน่าเกรงขามอยู่ในที   บัลลังก์นี้ต้องเป็นของธอร์อย่างแน่นอนพระองค์ทรงมาถูกทางแล้ว   ตาแก่ประหลาดนั่นไม่ได้โกหก   พระองค์เดินเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ภายในใจก็เริ่มมีความรู้สึกว่าอยากจะลองนั่งบนบัลลังก์ขาวนี้สักครั้ง      ก็ใครเล่าจะเหมาะสมที่จะนั่งบนบัลลังก์นี้นอกจากพระองค์เอง   คิดแล้วก็ทรงประทับนั่งลงบนบัลลังก์ในทันที   ความรู้สึกเมื่อประทับอยู่บนบัลลังก์นั้นช่างหอมหวานและทวีความเห่อเหิมให้กับพระองค์มากยิ่งขึ้น
                             “ธอร์! “ พระองค์ทรงตะโกนเรียกจนสุดเสียง “ธอร์! เจ้าอยู่ที่ไหน? ข้าอุตส่าห์เดินทางมาหาเจ้าด้วยความยากลำบาก  จงออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้”
                             เปรี้ยง!!
                             เสียงฟ้าผ่าดังสั่นเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งผืนฟ้าเหนือพระองค์ก่อนที่สายฟ้าขนาดใหญ่จะฟาดตรงลงมายังบัลลังก์ที่ประทับ   ด้วยความฉับไหวเพียงเสี้ยววินาทีกษัตริย์แห่งสายลมก็รีบดีดตัวพ้นจากบัลลังก์ได้อย่างหวุดหวิดแต่ผ้าคลุมของพระองค์ก็ต้องขาดวิ่นและไหม้เกรียม   พระองค์หมอบซบหน้าลงกับพื้นหูยังอื้อกับเสียงฟ้าผ่าที่ดังก้อง   ร่างกายสั่นชาและยังรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมา
                             “เจ้าเป็นใครจึงบังอาจมานั่งบนบัลลังก์ของข้าและเรียกร้องข้าด้วยกริยาและวาจาสามหาวเช่นนี้”   เสียงของเทพธอร์ประกาศก้องราวกับเสียงฟ้าผ่าแผดกังวานอย่างดุดัน
                             กษัตริย์แห่งสายลมรีบยันตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว   หัวใจยังคงเต้นเร็วรัวจากเหตุการณ์เฉียดตายเมื่อสักครู่   หากไม่ใช่เพราะปฏิกิริยาโต้ตอบที่ฉับไวของพระองค์ป่านนี้พระองค์คงตายไปแล้ว   กษัตริย์ซิกมันด์ค่อย ๆ หันหน้าไปเผชิญกับเทพธอร์อย่างระมัดระวัง   เทพเจ้าธอร์นั้นมีร่างกายใหญ่โตกำยำและสูงใหญ่กว่ามนุษย์ธรรมดาถึงสองเท่า   ใบหน้าขตัวเองตึงและมีดวงตาเป็นประกายกล้า   พระองค์ยังคงจ้องมองพิจารณาเทพเจ้าธอร์อยู่อย่างนั้น   เพราะไม่เคยเห็นเทพเจ้าโบราณมาก่อน   นับตั้งแต่อาณาจักรฟิเลเซียเริ่มหันมานับถือพระเจ้าสูงสุดเมื่อหลายร้อยปีก่อน   เทพเจ้าโบราณอย่างเทพเจ้าธอร์ก็เริ่มถูกลืมหายไปจากกาลเวลา   ดังนั้นเมื่อกษัตริย์ซิกมันด์ผู้ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับเทพเจ้าโบราณเพียงน้อยนิดจึงอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจ
                             “ข้าถามเจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร? เจ้ามนุษย์”   เทพเจ้าธอร์เปล่งเสียงราวฟ้าคำราม
                             กษัตริย์ซิกมันด์ผู้ไม่เคยชินกับการถูกสั่งก็ทรงเริ่มมีอาการขึงโกรธทันที   “ข้าคือกษัตริย์ซิกมันด์ที่ 3 แห่งฟีเลเซีย   ผู้เป็นเจ้าของดินแดนฝั่งตะวันตกทั้งหมดของทวีปเมอริเซียนี้รวมถึงเนินเขาวาฮาลนี้ด้วย”
                             “ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!”  เสียงหัวเราะดังราวกับสายฟ้าฟาดสะท้อนไปทั้งยอดเขา    “น่าขำ   สำหรับข้า   เจ้ามันก็แค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น    บอกข้ามาสิเจ้ามาล่วงเกินข้าถึงที่พำนักของข้าด้วยเหตุอันใด   กษัตริย์แห่งฟีเลเซีย”
                             “ข้าไม่ได้มาล่วงเกินเจ้า   ข้ามีธุระกับเจ้าต่างหาก”   กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสด้วยความหยิ่งผยอง   “ข้าจะมาขอยืมนกสายฟ้าจากเจ้า   เวลานี้อาณาจักรฟีเลเซียกำลังมีภัยจำเป็นจะต้องมีกำลังเสริมที่แข็งแกร่งมาช่วยเสริมทัพ   ดังนั้นเจ้าควรจะรีบส่งนกสายฟ้ามาให้ข้าแต่โดยดี   มิฉะนั้นหากศัตรูบุกเข้ามาได้   แม้แต่เนินเขาวาฮาลหรือเทพเจ้าโบราณอย่างเจ้าก็อาจจะอยู่ไม่ได้”
                             “สามหาว!”   พลันสายฟ้าถึงสามสายก็ฟาดเปรี้ยงไปรอบตัวกษัตริย์แห่งสายลม 
                             “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดจาจองหองอวดดีกับข้าเยี่ยงนี้   แม้แต่บรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าที่เจ้านับถือยังให้เกียรติข้า   แล้วเจ้ามนุษย์กระจ้อยร่อยเหมือนมดปลวกอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า”   ฟ้าแลบแปลบปลาบและมีลมกรรโชกแรงยิ่งขึ้น   เมื่อเทพเจ้าธอร์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับค้อนยักษ์ในมือด้วยความเกรี้ยวกราด   “เห็นทีข้าจะต้องสั่งสอนมนุษย์จองหองอย่างเจ้าให้รู้สำนึกเสียแล้ว”
                             ในทันทีที่เทพเจ้าสายฟ้าฟาดค้อนลงมา   สายฟ้านับสิบก็ผ่าเปรี้ยงลงมารอบตัวกษัตริย์ซิกมันด์และกลายเป็นกรงสายฟ้าล้อมกรอบพระองค์ไว้   พระองค์ได้แต่ตกตะลึงจนตาค้างทำอะไรไม่ถูกเป็นครู่ใหญ่
                             “เจ้า...เจ้า...เจ้าทำอย่างนี้กับข้าไม่ได้นะ   ข้าเป็นถึงกษัตริย์แห่งฟีเลเซีย   และข้ามีหน้าที่ต้องปกป้องบ้านเมืองจากพวกคนเถื่อน   เจ้าขังข้าไว้อย่างนี้ไม่ได้นะ”   กษัตริย์ซิกมันด์ทรงขว้างโล่ใส่กรงสายฟ้าเต็มแรง   ก่อนที่โล่ซึ่งกระแทกเข้าใส่สายฟ้าอย่างแรงจนเกิดประกายไฟระเบิดขึ้นส่งให้โล่พุ่งกลับไปกระแทกใส่กษัตริย์ซิกมันด์เข้าเต็มแรงจนทรงล้มลงไปนอนกับพื้น
                             “จงนั่งอยู่ในนั้นแล้วสำนึกตนซะ!”   เทพเจ้าธอร์สั่งด้วยกังวานเสียงดุจดังสายฟ้าพร้อม ๆ  กับร่างที่กลายเป็นสายฟ้าพุ่งทะยานเข้าไปในกลีบเมฆ
                             “ปล่อยข้าออกไป ! ปล่อยข้าออกไป !”   เสียงร้องตะโกนที่สิ้นหวังของกษัตริย์แห่งฟีเลเซียดังก้องไปทั่วบริเวณ

s

                             “เขาคิดว่าฉันเป็นใบ้เพราะไม่ได้ยินเสียงร้องอย่างแมวจากฉันเนี่ยนะ” เจ้าสัตว์ตัวสีม่วงบ่นทำเสียงฟุดฟิดขึ้นจมูก “ฉันจะร้องได้ยังไง? ก็ฉันไม่ใช่แมว”
                             “เจ้าคิดว่าพ่อหนุ่มน้อยนั่นจะทำสำเร็จไหม? ทารอตโต้(Tarotto)” ชายแก่ก้มหน้าลงคุยกับสัตว์เลี้ยงในอ้อมแขน
                             “ไม่สำเร็จอยู่แล้ว   นิสัยที่เย่อหยิ่งของเขาได้กำหนดโชคชะตาของเขาแล้ว” ทารอตโต้เงยหน้าขึ้นตอบถูศีรษะกับอกเสื้อของชายแก่อย่างเอาใจพลางบิดตัวอย่างขี้เกียจจนผ้าคลุมเลื่อนหลุดจากตัวเผยให้เห็นปีกค้างคาวสีม่วงโผล่พ้นผ้าคลุมออกมา   หางยาวอย่างนากกวัดแกว่งไปมาอย่างสบายอารมณ์   ชายแก่จึงต้องจับผ้าคลุมขึ้นมาคลุมให้ใหม่
                              “เราลงไปรอคนที่กำลังจะมากันดีกว่า” ชายแก่พูดอย่างอารมณ์ดีพลางเดินมุ่งตรงไปยังเนินเขาเบื้องล่าง


Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: October 31, 2006, 10:24:33 PM »

มาเม้าท์ที่นี่นะคะ 

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=25778.0
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.094 seconds with 21 queries.