Summoner Master Forum
April 26, 2024, 09:32:19 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 50 ภูผาที่หยุดสายลม @@  (Read 8239 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: November 20, 2006, 05:48:55 PM »

Chapter 50 ภูผาที่หยุดสายลม

                       เวลาผ่านไปกว่าสองสัปดาห์   ทว่าเจ้าหญิงเรจิน่าก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวใด ๆ จากกษัตริย์น้องชายเลย   ความเป็นห่วงและอาทรร้อนใจทวีขึ้นตามลำดับจนพระองค์เริ่มมีอาการกระสับกระส่าย   ครั้นเมื่อมาถึงวันหนึ่งที่เสียงแตรดังก้องบอกถึงการมาของคณะเดินทางของกษัตริย์ซิกมันด์   เจ้าหญิงจึงยินดีอย่างที่สุดที่ได้ทราบว่าน้องชายของพระองค์กลับมาแล้ว   ทว่าความยินดีของพระองค์รวมทั้งของเหล่าข้าราชบริพารทั้งหลายก็มีอันต้องแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง   เมื่อได้รับแจ้งว่ากษัตริย์ของพวกเขาถูกเทพเจ้าธอร์แห่งเนินเขาวาฮาลจับตัวไว้แล้ว   
                       ดังนั้นการประชุมเพื่อหาทางช่วยเหลือกษัตริย์ซิกมันด์อย่างเคร่งเครียดจึงเริ่มขึ้น   เหล่าแม่ทัพนายกองก็ต่างเสนอตัวผู้ที่เหมาะสมจะไปช่วยกษัตริย์ของตน   แม้แต่ชาร์ล คาร์แลนซ์ก็ร้อนใจอยากจะไปช่วยกษัตริย์ซิกมันด์   ทุกคนต่างก็อยากจะรีบไปช่วยกษัตริย์ซิกมันด์แต่ก็ติดตรงที่ว่าจะต้องอยู่เป็นทัพหน้าคอยรักษาปราการเมืองเพื่อยันกับทัพซาโลม   หากพวกซาโลมรู้ว่ากษัตริย์ซิกมันด์ถูกจับตัวไว้   ก็คงมิวายจะยกทัพมาทำสงครามอีกแน่   ทั้งการยกทัพออกไปเป็นจำนวนมากก็ยิ่งจะทำให้ศัตรูมาฉวยโอกาสเอาได้   ที่สุดเจ้าหญิงเรจิน่าก็ทรงทนเงียบไม่ไหวอีกต่อไปจึงได้เสนอตัวพระองค์เองที่จะเป็นผู้ออกเดินทางไปช่วยกษัตริย์ซิกมันด์   แต่ก็ทรงคิดได้ว่าหากพระองค์เดินทางเพียงลำพังพระองค์เดียวเหล่าแม่ทัพคงไม่ยินยอมแน่   ที่สุดพระองค์จึงทรงเสนอที่พึ่งสุดท้าย นั่นก็คือฮารีซันมิตรจากเผ่าฟูดินันนั่นเอง
                       หลังจากการโต้เถียงในที่ประชุมของเหล่าแม่ทัพกันอยู่นาน   ในที่สุดเหล่าแม่ทัพจึงยินยอมให้เจ้าหญิงออกเดินทางไปกับฮารีซันหัวหน้าเผ่าฟูดินัน   เพราะด้วยฝีมือด้านการยุทธของเขาที่ได้ประจักษ์แก่สายตาของเหล่าแม่ทัพแล้ว   ทั้งยังเชื่อว่าด้วยศักดิ์ศรีที่เป็นถึงจอมทัพของฟูดินันคงไม่ทำอะไรเกินเลยให้เป็นที่เสื่อมเสียถึงเจ้าหญิง   ทั้งการเดินทางไปเพียงลำพังสองคน   ก็ยิ่งสามารถพรางตาพวกสายสืบของฝ่ายศัตรูได้ง่ายขึ้น   ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงได้เดินทางออกจากเมืองอาวีเลียอย่างเงียบ ๆ ในเช้าตรู่วันหนึ่ง
                       เจ้าหญิงเรจิน่าเลือกขี่ม้าสีน้ำตาลธรรมดาเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาใครมากนัก   ในขณะที่ฮารีซันเลือกขี่ม้าสีน้ำตาลเข้ม  ซึ่งก็ไม่ได้มีจุดเด่นอะไรเป็นพิเศษเช่นกัน   และเนื่องจากทั้งสองเดินทางด้วยม้าธรรมดาระยะเวลาในการเดินทางจึงกินเวลาถึงห้าวันกว่าจะไปถึงเนินเขาวาฮาล   แม้จะเร่งฝีเท้าม้าตลอดช่วงเวลาที่ยังมีแสงสว่างบนท้องฟ้าก็ตาม
                       ตลอดการเดินทางของคนทั้งสอง   ก็ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสเรียนรู้นิสัยใจคอกันและกัน   รวมไปถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของทั้งสองชาติกันมากขึ้น   บ่อยครั้งที่ระหว่างอยู่กลางป่าฮารีซันจะล่าสัตว์และนำมาปรุงอาหารตามแบบฟูดินันให้เจ้าหญิงเรจิน่าได้ลิ้มลอง   เช่นเดียวกับที่เวลาทั้งสองต้องผ่านเมืองตามรายทาง   เจ้าหญิงเรจิน่าก็จะเป็นผู้จัดการจองที่พักและสอนวิธีทำตัวให้กลมกลืนไปกับพวกบรรดาชาวบ้านของฟิเลเซียแก่ฮารีซัน   ซึ่งก็แน่นอนว่าต้องมีการปฏิบัติตัวแบบประหลาด ๆ ตามนิสัยที่ชอบแกล้งของเจ้าหญิงมาแกล้งฮารีซันอยู่บ่อย ๆ และแน่นอนว่าการตั้งชื่อประหลาด ๆ ก็รวมอยู่ในการแกล้งอันดับต้น ๆ ของพระองค์ด้วยเช่นกัน


s

                       ครั้นเมื่อวันเวลาล่วงเลยไปถึงวันที่ห้า   บุคคลทั้งสองจึงได้เดินทางมาถึงเนินเขาวาฮาลในที่สุด   ทั้งสองต่างตะลึงงันมองหนทางอันแสนลำบากเบื้องหน้า   ไม่มีทางใดที่จะสามารถขึ้นไปยังวาฮาลส่วนที่สองได้เลยนอกเสียจากว่าต้องไต่หน้าผาสูงชันขึ้นไป   เมฆที่ปกคลุมยอดวาฮาลเป็นสีเทาเข้มพร้อมกับมีเสียงฟ้าร้องเป็นระยะ ๆ   ฮารีซันซึ่งนั่งบนหลังม้าครุ่นคิดอยู่เป็นครู่ก่อนจะหันมาหาเจ้าหญิงเรจิน่า   แต่ยังไม่ทันที่ฮารีซันจะกล่าวใด ๆ   เจ้าหญิงก็ชิงเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้าเสียก่อน และก้าวเดินไปด้วยจิตใจที่เป็นห่วงน้องชาย
                       “เจ้าหญิง...”   ฮารีซันรีบเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้า “ท่านไม่ควรอยู่ห่างข้าเกินไป”   
                       พอฮารีซันพูดแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเจ้าหญิงหัวเราะคิกคักและแววตาแห่งความซุกซน   เจ้าหญิงแสร้งเดินก้าวเข้าไปใกล้ฮารีซันจนเหลือพื้นที่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน
                       “ตลอดระยะเวลาห้าวันมานี้   ข้าก็คิดว่าไม่ได้อยู่ห่างท่านสักเท่าไหร่   และบนนั้นก็คงไม่มีอะไรน่าสนใจพอที่จะทำให้ข้าเถลไถลไปไหนได้ไกลจากท่านนักหรอก”
                       ฮารีซันได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหม่าหน้าแดงขึ้นมาทันที     “เออ...ข้าหมายถึงเวลาที่มีอะไรไม่ชอบมาพากล   ก็อย่าอยู่ห่างจากข้า   ข้าจะได้อารักขาท่านได้”
                       “ข้ารู้แล้วล่ะน่า   ข้าแค่แหย่ท่านเล่นเท่านั้นเอง”   เจ้าหญิงหัวเราะร่วนถอยหลังออกมามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาซุกซน   ก่อนจะแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นอย่างชอบใจที่แกล้งฮารีซันได้อีกครั้ง “เอาล่ะ   แล้วเราจะขึ้นไปกันยังไงดี?“ เจ้าหญิงถามอย่างร่าเริง
                       “ปีน”   ฮารีซันยิ้มขำไปกับเจ้าหญิงพลางคิดว่า   เธอผู้นี้นี่ช่างล้อช่างเล่นแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยพบเจอในฟูดินันจริง ๆ   ฮารีซันส่ายหน้ายิ้ม ๆ หันไปหยิบขดเชือกจากกระเป๋าสัมภาระ   ก่อนจะออกเดินมุ่งหน้าไปที่เชิงผา   ซึ่งเจ้าหญิงเรจิน่าก็สาวเท้าตามไปติด ๆ อย่างกระตือรือร้น
                       “เจ้าหญิงพอจะรู้วิธีปีนหน้าผาหรือไม่?”   ฮารีซันถามด้วยความกังวลเมื่อเงยหน้ามองความสูงชันของหน้าผาตรงหน้า
« Last Edit: December 04, 2006, 06:13:51 PM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: November 20, 2006, 05:52:17 PM »

                      “ข้าปีนต้นไม้ได้   มันคงไม่ต่างกันมากนักหรอก” เจ้าหญิงตรัส   แต่เมื่อเห็นว่าฮารีซันมีสีหน้าประหลาดใจจึงรีบตรัสต่อ “เมื่อสมัยเป็นเด็กน่ะ“ นี่ถ้าเขารู้ว่าทุกวันนี้พระองค์ยังคงแอบปีนต้นไม้อยู่มีหวังตาต้องหลุดออกมาจากเบ้าแน่ ๆ
                      “ตลอดเวลาที่อยู่ในฟีเลเซีย   ข้าสังเกตว่าชนชั้นสูงในฟีเลเซียไม่ชอบทำกิจกรรมทั่วไปของพวกชาวบ้าน   อย่างเช่นการปีนต้นไม้นี้...ท่านมักจะทำให้ข้าประหลาดใจเสมอ” ฮารีซันตั้งข้อสังเกตยิ้ม ๆ
                      “ข้าถือว่านั่นเป็นคำชม   ขอบคุณ” เจ้าหญิงทรงยิ้มร่า “ทีนี้ก็บอกวิธีปีนหน้าผาให้ข้า   ดูสิว่าข้าจะเรียนรู้ได้ไวพอจะทำให้ท่านประหลาดใจได้อีกไหม?”
                      ฮารีซันยิ้มขำเอ็นดูกับวาจาห้าวหาญและความมั่นอกมั่นใจของเจ้าหญิง   พลางส่ายหน้าช้า ๆ เหลือบสายตามองช่วงแขนและขาของเจ้าหญิง   อย่างน้อยเธอก็อยู่ในชุดที่เหมาะสมและดูทะมัดทะแมงพอที่จะทำให้เขาเชื่อว่าเจ้าหญิงคงจะทำได้อย่างที่พูด   เขามองไล่ขึ้นเรื่อย ๆ จนที่สุดมาสบตาคู่งามสีเขียวมรกตของเจ้าหญิงที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว   ฮารีซันรีบเสสายตาไปทางอื่นเมื่อรู้ตัวว่าตนจ้องมองเจ้าหญิงนานเกินควรพลางกล่าวแก้เก้อ “เจ้าหญิงคอยปีนตามข้าก็แล้วกัน   เอาเชือกนี้มัดไว้กับตัว   ถ้าเหนื่อยหรือต้องการพักก็บอกข้า”
                      “ดูท่านชำนิชำนาญมาก” เจ้าหญิงเอ่ยปากชมอย่างจริงใจ   โดยแสร้งทำเป็นไม่สนใจที่ตนถูกมองประเมินเมื่อสักครู่ “ที่ฟูดินัน  ท่านปีนหน้าผาบ่อยไหม?”
                      “สมัยที่ข้าฝึกวิชาการต่อสู้กับอาจารย์อาร์โซอิน(ARZOIN INZU)    อาจารย์เป็นครูฝึกวิชาการต่อสู้ด้วยหมัดมวยที่มีฝีมือฉกรรจ์ในระดับแนวหน้าของฟูดินันทีเดียว   ซึ่งอาจารย์มักจะให้พวกเราฝึกความแข็งแกร่งของมือ แขน และ ขาด้วยการปีนหน้าผา”
                      “ข้าเดาว่า ‘หมัดทำลายภูผา’ ของท่านก็ฝึกฝนจากที่นี่ด้วยสินะ” เจ้าหญิงเดาต่อได้อย่างรวดเร็วซึ่งก็ต้องตบมือเข้าด้วยกันอย่างพอใจอีกครั้งเมื่อฮารีซันพยักหน้ายิ้ม ๆ รับคำขณะง่วนอยู่กับการมัดเงื่อนเชือก   เจ้าหญิงจึงมองท่าทางการมัดเงื่อนเชือกของเขาด้วยความสนใจ   ฮารีซันเงยหน้าขึ้นมองตอบเมื่อเห็นว่าเจ้าหญิงทรงเงียบเสียงไป   จึงได้เห็นว่าเจ้าหญิงมองจ้องตนอยู่
                      “เจ้าหญิง?” ฮารีซันเรียกด้วยความไม่แน่ใจ
                      “โอ...เออ....ข้า” เจ้าหญิงก็อดตกใจไม่ได้เมื่อรู้สึกตัวว่าทรงจ้องมองชายหนุ่มนานเกินไป “ข้าเพียงแต่กำลังคิดว่า...” เจ้าหญิงตรัส “ข้าคิดถูกที่ตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากท่าน”
                      “ขอบคุณ” ฮารีซันตอบเสียงเบา   ยิ้มรับด้วยความเขินอายเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าตนได้รับความไว้วางใจจากปากของเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียโดยตรง   ก่อนจะรีบสาวเท้าออกเดินสำรวจมองหาเส้นทางที่จะใช้ปีนขึ้นสู่ยอดผาเป็นครั้งสุดท้าย
                      “ถ้าเราเร่งมือสักหน่อยก็คงสามารถขึ้นไปถึงยอดผาได้ก่อนเวลาพลบค่ำ” ฮารีซันเอ่ยก่อนจะสำรวจความพร้อมของทั้งคู่   
                      เมื่อเห็นว่าทุกอย่างพร้อมแล้วฮารีซันจึงเริ่มต้นปีนนำขึ้นไปก่อน   โดยเริ่มอย่างช้า ๆ ทีละก้าว ๆ อย่างมั่นคง เพื่อให้เจ้าหญิงสามารถทำตามได้อย่างง่ายที่สุด   มือทั้งสองคอยเอื้อมหาร่องหินที่แข็งแกร่งพอจะรับน้ำหนักของตนได้   และไม่ลืมที่จะคอยแนะนำเจ้าหญิงตลอดเวลา   ทั้งคู่ปีนขึ้นไปทีละขั้น ๆ เป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้   หลบก้อนหินที่แตกร่วนและไม่แข็งแรงพอที่จะยึดเกาะไปจนถึงแง่งหินที่ใหญ่โตขนาดพอ ๆ กับมังกรที่โตเต็มที่นอนขดอยู่ในหิน   ท่ามกลางบรรยากาศที่ค่อย ๆ ทุเลาความร้อนแรงของดวงอาทิตย์ลง
                      ระหว่างการปีนที่แสนลำบาก   มีอยู่ถึงสองครั้งที่เจ้าหญิงเกิดพลาดท่าครั้งหนึ่งเป็นเพราะลมที่กรรโชกแรงจนเจ้าหญิงเกาะก้อนหินไว้ไม่อยู่ และอีกครั้งที่พระองค์เหยียดก้อนหินที่ไม่มั่นคงทำให้เกือบจะตกจากหน้าผาที่ยึดเกาะไว้   แต่ฮารีซันก็สามารถดึงเชือกไว้ได้ทันทุกครั้งทำให้เจ้าหญิงไม่ร่วงลงไปห้อยค้างอยู่กลางอากาศ   ทั้งคู่ยังคงปีนต่อไปอย่างไม่ปริปากบ่น   จนเมื่อลมเย็นจากเขาสูงเริ่มพัดโชยคลายความร้อนในยามบ่ายแก่   ฮารีซันเห็นว่าเจ้าหญิงทรงล้าเต็มที   อีกทั้งยอดผาอยู่อีกไม่ไกลแล้วจึงตัดสินใจหยุดพัก   ฮารีซันมองสำรวจไปรอบ ๆ หาที่เหมาะ ๆ ที่สามารถจะใช้ทำที่นั่งพักได้   เมื่อพบแล้วจึงให้เจ้าหญิงปีนหลบไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง     
                      ฮารีซันเคลื่อนตัวเข้าไปหาหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่ฝั่งอยู่ในหน้าผาแกร่ง   เขากำหมัดแน่นสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะพุ่งหมัดใส่หินก้อนนั้นอย่างแรง   ก้อนหินสะเทือนอย่างแรงก่อนจะแหลกเป็นผุยผงล่วงลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง   ฝุ่นหินฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ
                      “ท่านทำอะไรของท่านน่ะ!” เจ้าหญิงตกใจ   ทำตาปริบ ๆ มองจ้องหน้าผาที่เว้าลึกเข้าไปเป็นช่องตามรูปร่างของหินก้อนที่เพิ่งถูกทำลายไป
                      “ทำที่นั่งพักให้ท่านไง”
                      ฮารีซันตอบหน้าตาเฉยทำเอาเจ้าหญิงเรจิน่าพูดไม่ออก   ตอนที่ฮารีซันบอกให้พระองค์ปีนหลบไปอีกข้าง   พระองค์ไม่ได้มีความคิดสักนิดว่าเขาจะทำอะไรเช่นนี้   พระองค์เพียงแต่คิดว่าเขาคงจะบอกให้ปีนหลบหลีกก้อนหินธรรมดา   อีกอย่างพระองค์แน่ใจเหลือเกินว่าพระองค์มิได้ปริปากบ่นหรือแสดงอะไรเป็นนัยว่าพระองค์เหนื่อยและแขนขาเริ่มล้าลง   ที่จริงพระองค์แขนขาล้ามาได้พักใหญ่แล้ว   แต่พระองค์เห็นว่าบนหน้าผาเช่นนี้คงไม่มีที่ให้หยุดพัก   อีกทั้งด้วยศักดิ์ศรีและความที่อยากจะไปถึงยอดผาโดยเร็วของพระองค์ทำให้พระองค์ไม่ยอมปริปากและไม่สนใจกล้ามเนื้อแขนและขาที่เริ่มประท้วงด้วยอาการสั่นเทา   การที่ฮารีซันสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าของพระองค์และเจาะช่องหินให้พระองค์ได้หยุดพักนั้นสร้างความประทับใจให้พระองค์ไม่น้อยทีเดียว         
                      เมื่อครั้งที่รู้จักฮารีซันในฐานะผู้นำทัพใหม่ ๆ  เจ้าหญิงทรงเคยคิดถึงความเหมาะสมของเขา   จริงอยู่ว่าเขามีความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน   แต่ก็แลดูจะขาดความเป็นผู้นำ   ทว่าเมื่อได้รู้จักกันนานวันเข้า   พระองค์ก็ได้เห็นความดีมากมายในตัวของเขา   แม้แต่ความเป็นผู้นำที่ดีซึ่งเจ้าหญิงคิดว่าเขาขาดไป   แต่เขาก็ได้พิสูจน์ให้ประจักษ์หลายครั้งหลายคราถึงความเป็นผู้นำของเขา  โดยเฉพาะเรื่องการเอาใจใส่สนใจดูแลผู้ที่อยู่ใต้อาณัติของตนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง   ซึ่งครั้งนี้ก็คือการที่เขาสังเกตเห็นถึงความเหนื่อยล้าของพระองค์ได้และทำสิ่งที่ดีที่สุดคือการทำที่พักให้เพื่อไม่เป็นการฝืนกำลังของพระองค์จนเกินไป
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: November 20, 2006, 05:54:42 PM »

                      ฮารีซันส่งมือให้เจ้าหญิงก่อนจะดึงตัวพระองค์ขึ้นมานั่งพักบนช่องหินที่เขาทำไว้ได้อย่างง่ายดาย   เจ้าหญิงหย่อนตัวลงข้าง ๆ เขา   นั่งห้อยขาทั้งสองข้างออกมาจากช่องหิน   ทันทีที่สายตากวาดมองทิวทัศน์อันงดงามโดยรอบก็แย้มยิ้มอย่างมีความสุขแทบจะลืมความเหนื่อยล้าไปจนหมดสิ้น   ดวงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำสาดแสงสีส้มอาบอาณาจักรฟีเลเซียแลดูสงบแปลกตาเหมือนอยู่อีกสถานที่หนึ่งซึ่งห่างไกลจากสงครามที่แสนโหดร้าย   รอยยิ้มค่อย ๆ คลี่ออกแต่งแต้มเรียวปากให้ดูละมุนละไม   แสงสีส้มอ่อน ๆ อาบไล้ใบหน้าเรียวงามของเจ้าหญิงให้แลดูอ่อนหวานยิ่งขึ้น
                      “อภัยให้ข้าด้วยที่ไม่ได้สังเกตเห็นความเหนื่อยล้าของเจ้าหญิงให้เร็วกว่านี้”
                      ชายหนุ่มเอ่ยพลางส่งถุงหนังที่บรรจุน้ำดื่มให้เจ้าหญิง   แต่ทันทีที่ดวงตาของเขาเห็นใบหน้างามของเจ้าหญิง   เขาก็ถึงกับถือถุงหนังค้างอยู่อย่างนั้น   การที่เจ้าหญิงออกกำลังในการปีนหน้าผา   ทำให้เลือดสูบฉีดจนริมฝีปากและแก้มนวลเปล่งปลั่งเป็นสีแดงระเรื่อ   ทั้งแสงยามเย็นที่ไล้ใบหน้าของหญิงสาวก็ยิ่งทำให้ใบหน้างามนั้นยิ่งงดงามและน่ารักชวนมองยิ่งกว่าเคย
                      เจ้าหญิงเรจิน่ายิ้มกว้างคว้าถุงน้ำไปจากมือฮารีซัน   ไม่ทันได้สังเกตปฏิกิริยาที่หยุดชะงักไปของชายหนุ่ม     
                       “ไม่เลย   ข้าต้องขอบใจท่านต่างหากที่อุตส่าห์สังเกตเห็น   ทั้ง ๆ ที่ข้าพยายามซ่อนมันไว้” เจ้าหญิงหันมายิ้มให้อย่างน่ารัก
                      “เจ้าหญิงจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร?” ฮารีซันขมวดคิ้วสีน้ำตาลเข้มถามด้วยความตกใจ
                      “เพราะข้าไม่อยากเป็นตัวถ่วงนะสิ   และข้าก็ไม่คิดว่าท่านจะทำลายหินเป็นช่องให้เรานั่งพักกันแบบนี้ได้ด้วย” เจ้าหญิงหัวเราะคิกคักชอบใจพลางแกว่งเท้าเล่นอย่างสบายอารมณ์   ก่อนจะหันหน้าที่แต้มรอยยิ้มมาหาชายหนุ่ม “ขอบใจท่านมากทีเดียวที่ทำให้ข้าได้พักแล้วยังได้ชมทัศนียภาพที่แสนงดงามนี้” 
                      ฮารีซันยิ้มขณะมองลงไปในดวงตาสีเขียวดั่งมรกตของเจ้าหญิงเรจิน่า   เธอช่างต่างกับเจ้าหญิงจากดินแดนอันสูงส่งที่เขาคาดไว้   เธอไม่เย่อหยิ่ง ไม่ถือตัว ไม่เรื่องมากเอาแต่ใจ   แต่เธอเหมือนดั่งสาวแรกรุ่นทั่วไปที่ตามหาความฝัน ซุกซน อยากรู้อยากเห็น ร่าเริงและเป็นตัวของตัวเอง   ดวงตาสีเขียวของเธอดูราวกับค้นหาอะไรบางอย่างที่ยากจะเข้าใจ   คงมีเพียงความงามของเธอเท่านั้นที่บ่งบอกความเป็นเจ้าหญิงที่เจิดจรัสออกมา
                      "เจ้าหญิงช่างเหมือนสายลม" ฮาริซันรำพึง
                      "ใช่ ฟีเลเซียของเราเปรียบเป็นสายลมเป็นความสูงส่ง เป็นดั่งที่รองพระบาทพระเจ้า..." เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสตอบพร้อมยิ้มซุกซนเมื่อเห็นว่าจู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องพูดกะทันหัน
                      "ไม่ใช่เช่นนั้น...ข้าหมายถึง เจ้าหญิงเหมือนสายลมที่พัดเย็นโชยผ่านมา   เปี่ยมด้วยความสดชื่น สดใส แต่ไม่อาจจับสายลมอันเย็นสดชื่นนี้ไว้ได้   ได้แต่ปล่อยให้พัดผ่านไป   จนข้าคิดว่าหากได้พัดผ่านมาอีกครั้ง   ข้าคงรีบต้องสูดเข้าเป็นลมหายใจ ให้เจ้าหญิงอยู่ในใจข้าไม่พัดหนีไปไหนอีก"
                      เจ้าหญิงทรงนิ่งงัน   แก้มอิ่มของเธอกลายเป็นสีแดงระเรื่อยิ่งขึ้นเมื่อจับต้องกับแสงอาทิตย์ยามเย็นช่างน่าจุมพิตยิ่งนัก   แม้ไม่มีคำพูดออกมาจากปากงามของเธอ   แต่ในใจกลับสับสนและเต็มไปด้วยคำพูดมากมาย
                      ‘ชายคนนี้นี่ช่างกระไร เกี้ยวอิสตรีได้หน้าตาเฉย นี่เขาพูดจากใจจริงหรือ?...แววตาคมเข้มสะท้อนออกมาแต่ความซื่อตรง   สีหน้าสุขุมของเขาไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อยยิ่งทำให้เราแทบลืมหายใจ   คนบ้าอะไรเนี่ย?!   เขาตรงไปตรงมาจนน่าใจหาย   น้ำเสียงนุ่มทุ้มแสดงความหนักแน่นมั่นคง   แล้วรอยยิ้มที่อ่อนโยนนั่นอีกเล่า   โอ้...พระเจ้า มันเกิดขึ้นกับลูกจริงหรือนี่? ลูกจะห้ามใจตัวเองอย่างไรไหว?...’
                      ความเงียบงันเป็นเวลานานเริ่มสร้างความกังวลให้ชายหนุ่ม เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป เขาก็แทบหัวใจวายพลางนึกในใจ ‘...เมื่อครู่นี้...ข้าพูดออกไปได้อย่างไรกัน?   ความงามของเจ้าหญิง ความน่ารักของเจ้าหญิงทำให้ข้าลืมตัวจนพูดความในใจที่ข้าไม่อาจเอื้อมออกไปได้หรือนี่?   เจ้าหญิงโกรธข้ารึเปล่านะ?   ยิ่งเวลานี้...เธอจะหาว่าข้าฉวยโอกาสตอนเธอมาขอความช่วยเหลือเพื่อสร้างความลำบากใจให้กับเธอรึเปล่า?...แล้วถ้าเจ้าหญิงรังเกียจข้าล่ะ?...ไม่นะ   แค่คิดข้าก็ใจหายวูบ ชาไปทั้งตัว   ได้โปรดพูดอะไรออกมาบ้างเถอะเจ้าหญิง...โอย ทำไมข้ามันปากพล่อยอย่างนี้นะ?’
                      สีหน้าของฮารีซันกลายเป็นความกังวล   คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน มือไม้เกะกะเริ่มทำอะไรไม่ถูก   ทั้งความกังวลและความอายเริ่มเข้ามาสับสนในใจของเขา
                      ท่าทีของฮารีซันทำให้เจ้าหญิงเรจิน่าได้สติและเริ่มขบขัน   เธอเริ่มยิ้มอย่างซุกซนอีกครั้ง   แต่คราวนี้ใบหน้าแดงระเรื่อของเธอทำให้เธอยิ่งดูงดงามน่ารักกว่าปกติ   ในใจเกิดความคิด
                      “ตายจริง พูดออกมาเองแท้ ๆ   เริ่มจะเขินเองแล้วเหรอนี่?   ดูสิ!ผู้ชายตัวโตทำท่าเงอะงะดูน่ารักดีจริง   ต้องแกล้งคืนเสียหน่อย”
                      เจ้าหญิงยื่นใบหน้างามของเธอเข้าไปใกล้คว้าแขนชายหนุ่มไว้   สัมผัสนี้แม้เธอจะเป็นผู้กระทำแต่สร้างความหวั่นไหวในใจหญิงสาวอยู่ไม่น้อย   แต่ชายหนุ่มที่ถูกมือนุ่มบอบบางของเธอประคองจับที่แขนกำยำนี่สิ หัวใจเขาแทบระเบิดออกมา  ริมฝีปากงามก็เอื้อนเอ่ยคำหยอกเย้า
                      "ชายชาวฟูดินันดื่มน้ำผึ้งแทนน้ำหรืออย่างไร?   ถึงได้ปากหวานแบบนี้"
                      ฮารีซันตัวสั่นด้วยความเขินอาย   ริมฝีปากสั่น สมองหยุดทำงาน ไม่อาจหาคำตอบใด ๆ ออกมาได้   ดวงตาสีเขียวคู่งามของเจ้าหญิงจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาอย่างไม่หวาดหวั่น   คำตอบที่ไม่คาดคิด ทั้งสับสนระคนกับความดีใจ   เขาอยากกอดเธอเสียตรงนี้   แต่สมองอันเรือนรางยังเตือนให้เขาตั้งสติอยู่ได้   ท่าทางของเขาทำให้เจ้าหญิงเรจิน่าทั้งขำทั้งสงสาร   และความรักก็เริ่มก่อตัวอย่างเงียบ ๆ ในใจหญิงสาว
                      "ข้าล้อเล่นหรอก...คิก คิก..." เจ้าหญิงหัวเราะเสียงใสอย่างน่ารัก   ก่อนจะจ้องมองดวงตาชายหนุ่มจนเขาแทบละลายลงไปตรงนั้น
                      "ถ้าข้าคือสายลม ...ท่านคงเป็นภูผา ที่หยุดสายลมนี้ไว้ได้..." ฮารีซันหยุดหายใจไปชั่วขณะ สมองที่สับสนหยุดชะงักกับคำพูดที่ออกมาจากริมฝีปากเรียวงามของเจ้าหญิง   เหมือนเวลาได้หยุดอยู่ตรงนั้น แสงสีทองของยามเย็นที่สาดส่องพร่าพราว จนราวกับเป็นสวรรค์...
« Last Edit: November 29, 2006, 06:06:19 AM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: November 20, 2006, 05:59:48 PM »

                        บ่ายคล้อยวันหนึ่งที่ใต้ต้นมหาพฤกษาอิกดราซิล   วานาอันกำลังนั่งเหม่อใจลอยท่ามกลางใบสีเงินและรากไม้บางชนิดใส่อยู่ในตะกร้าข้างตัวจนเกือบเต็ม   มีใบสีเงินสองสามใบวางอยู่บนตัก   ในขณะที่มือทั้งสองกำลังเช็ดฝุ่นดินที่ติดอยู่บนใบสีเงินบนตักอย่างใจลอย
                        “ปู่คิดว่าใบที่อยู่ในมือเจ้ามันสะอาดจนขึ้นเงาแล้วนะ” เสียงพูดล้ออย่างอารมณ์ดีของผู้เฒ่าแห่งฟูดินันดังขึ้นเบื้องหลัง   แต่ก็ทำให้วานาอันตกใจพลุบพลับรีบลุกจนตะกร้าคว่ำ   ใบไม้สีเงินจึงเทออกมากองกับพื้น
                        “โอ   ปู่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าตกใจ” วูจินกล่าวแสดงความเสียใจ
                        “ท่านปู่ออกมาที่นี่ทำไมคะ?  มันอันตราย”  วานาอันตื่นตระหนกรีบพูด
                        วูจินยิ้มเดินเข้าไปใกล้   พลางส่ายหน้าช้า ๆ “มันผ่านมากว่าหกเดือนแล้วนะ  นับตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้น และหลานก็รับรู้ด้วยสัมผัสของหลานเองว่าเวลานี้พวกเผ่าครุฑและมังกรมารัคอยู่อย่างสงบแล้ว   ภาพในความทรงจำของเจ้าเองต่างหากที่คอยทำให้เจ้าหวาดกลัวและคิดว่ามันยังไม่ปลอดภัย”
                        วานาอันตริตรองคำพูดของท่านปู่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มเศร้า ๆ ออกมา “ท่านปู่พูดถูกค่ะ   แต่บางครั้งภาพเหล่านั้นก็มาหลอกหลอนแม้กระทั่งในยามหลับ”
                        นี่เป็นสาเหตุให้เจ้าใจลอยจนสะดุ้งเพราะเสียงปู่เมื่อตะกี้ใช่หรือเปล่า?”   วูจินมองใบหน้าของหลานสาวอย่างค้นหา
                        “ไม่ใช่หรอกค่ะ”   วานาอันยิ้มกว้างหมายจะทำให้ท่านปู่คลายกังวล “จริง ๆ แล้วหลานกำลังคิดถึงพี่ฮารีซันที่ไปออกรบ   ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง   นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนเหลือเกินแล้ว   หลานเป็นห่วงเหลือเกินค่ะ” ครั้นเมื่อพูดถึงการรบจิตใจของสาวน้อยวานาอันก็ห่อเหี่ยวลงไปอีก
                        “หลานก็เลยขยันออกมาเก็บสมุนไพรจะเอาไปทำยาสมานแผลให้พี่เจ้าละสิ   ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เจ้าแทบจะไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้มหาพฤกษาเป็นพักใหญ่”   วูจินกล่าวอย่างรู้ทัน
                        “หลานเพียงแต่คิดว่าอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้างเพราะหลานไม่มีกำลังพอที่จะไปช่วยพวกเขารบ   แล้วอีกอย่างหลานก็คิดถึงท่านมหาพฤกษา   ช่วงนี้มีเหตุการณ์ร้าย ๆ เกิดขึ้นมากมายทำให้ท่านมหาพฤกษาต้องเศร้าเสียใจ   หลานก็เลยอยากมาเยี่ยมท่านบ่อย ๆ “ วานาอันตอบอาย ๆ
วูจินเงยหน้าขึ้นมองร่มเงาสีเงินยวงที่โบกไหวไปกับสายลมอ่อน ๆ พลางยิ้มอย่างพอใจ
                        “ท่านมหาพฤกษาคงมีความสุขที่มีเด็กดีอย่างเจ้าคอยเป็นห่วง   แม้หลานจะเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียว   ทว่าการกระทำที่เล็กน้อยแต่หากทำด้วยหัวใจมันก็มีค่ายิ่งใหญ่นัก”   วูจินลูบผมหลานสาวอย่างรักใคร่
                        สาวน้อยแก้มแดงระเรื่อเมื่อถูกชม   แต่ก็ไม่ลืมถามถึงธุระของผู้เฒ่าจิน  “ท่านปู่มีธุระอะไรรึเปล่าคะ?  ถึงออกมาหาหลานที่นี่”
                        “อ้อ! ปู่เกือบลืมไปเสียสนิท” วูจินหัวเราะร่วน “ปู่จะมาตามเจ้ากลับบ้านน่ะสิ   เพราะปู่จะออกไปประชุมกับพวกผู้เฒ่าจากเผ่าต่าง ๆ เกิดเจ้าอยู่ที่นี่จนเย็นแล้วกลับไปไม่เห็นปู่   เดี๋ยวจะพาลตกอกตกใจไป”
                        “เกิดอะไรขึ้นอีกรึคะ?”  วานาอันได้ยินว่ามีประชุมบรรดาผู้เฒ่าจึงเกิดความสงสัย
                        “มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเราโดยตรงหรอก   เกี่ยวกับเผ่าป่าทมิฬมากกว่า” วูจินตอบปัดกราย ๆ เพื่อให้หลานสาวสบายใจ   “เอาล่ะ! มาเก็บตะกร้าของหลานกันเถอะ”
                        สาวน้อยวานาอันรีบก้มลงรวบรวมของทุกอย่างใส่ในตะกร้าอย่างรวดเร็ว   พร้อมทั้งโกยใบไม้สีเงินทั่วบริเวณใส่ในตะกร้าจนเต็ม
                        “เรียบร้อยแล้วค่ะท่านปู่” วานาอันรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว   แขนข้างหนึ่งคล้องกับหูตะกร้า อีกข้างหนึ่งคล้องกับแขนของวูจิน ”นี่เป็นการเก็บสมุนไพรที่เร็วที่สุดในชีวิตของหลานเลยค่ะ”
                        คำพูดและท่าทางของวานาอันทำให้วูจินต้องหัวเราะอย่างชอบใจ   “ปู่ก็เห็นว่าอย่างนั้นเหมือนกัน”
                        สองตาหลานออกเดินลัดเลาะตามทางเดินที่นำไปสู่บริเวณชายเผ่าฟูดินัน   ระหว่างที่เดินไปสาวน้อยวานาอันก็เหลือบมองปู่ของตนเป็นระยะ ๆ  จนวูจินต้องยิ้มกว้าง
                        “เอ้า   อยากจะถามอะไรปู่?”   
                        “ท่านปู่จะประชุมเรื่องอะไรรึคะ?”
                        วูจินชะงักเท้าเหลือบสายตามองหลานสาวก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อ
                        “อภัยให้หลานด้วยนะคะ   ที่ถามเหมือนสอดรู้สอดเห็น   แต่ช่วงนี้มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย   หลานคิดว่าถ้ารู้อะไรบ้างก็คงจะดี   อย่างน้อยก็จะพอรู้ทางหนีทีไล่บ้าง” วานาอันก้มหน้าพูดเสียงเบา
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: November 20, 2006, 06:01:45 PM »

                      “ปู่เห็นว่าช่วงนี้เจ้าไม่ค่อยสบายใจ   จึงไม่อยากพูดอะไรที่ทำให้เจ้ายิ่งวิตกกังวลหนักมากขึ้นเท่านั้นเอง   แต่ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล   รู้ความเป็นไปรอบ ๆ เผ่าไว้บ้างก็ดี” วูจินพูดยิ้ม ๆ ทำให้วานาอันมีสีหน้าเบิกบานขึ้นทันที
                      “เมื่อตอนสาย   หลังจากที่เจ้าออกมาที่นี่ได้สักพัก   หัวหน้าเผ่าป่าทมิฬก็ส่งคนมาแจ้งข่าวด่วน   หลานจำฟูมินจากเผ่าป่าทมิฬได้ไหม?”
                      “จำได้ค่ะ   พี่ฮารีซันบอกว่าเขาเกือบจะสู้กับหัวหน้าเผ่าอีกเผ่าในการประชุมครั้งหนึ่ง” วานาอันนึกทบทวนถึงสิ่งที่ได้รับรู้มา
                      “แล้วหลานรู้สาเหตุรึเปล่าว่าเพราะอะไร?” วูจินถามต่อ   เมื่อเห็นว่าสาวน้อยส่ายหน้าไหว ๆ ก็ยิ้มอย่างเอ็นดู
                      “เรื่องครั้งกระโน้นมันจบลงไปแล้ว   ปู่จะไม่ย้อนไปพูดถึงอีก” วานาอันได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าออกอาการผิดหวังน้อย ๆ “แต่เรื่องในครั้งนี้   หลานจะได้รู้และรู้จักระมัดระวังตัวให้มากขึ้น   ถึงแม้ว่าโดยรอบบริเวณนี้จะมีการวางเวรยามไว้คอยลาดตระเวนอยู่แล้ว”
                      “มันเรื่องอะไรกันรึคะ?”
                      “เวลานี้ ฟูมิน พร้อมทั้งสมัครพรรคพวกกลุ่มหนึ่งได้ออกจากป่าทมิฬ   และผันตัวเองไปเป็นโจรป่า   คอยดักปล้นสะดมคนเดินทางและหมู่บ้านเผ่าต่าง ๆ” วูจินบอกด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ
                      “ตายจริง   ทำไมล่ะคะ?” วานาอันถามด้วยความตระหนกและหวั่นใจ
                      “เพราะเขาไม่พอใจและไม่ยอมรับที่เผ่าฟูดินันของเราซึ่งมีฮารีซันเป็นผู้นำได้รับเลือกให้เป็นจอมทัพนำเผ่าต่าง ๆ เข้าร่วมสงครามกับพวกซาโลม”
                      “พี่ฮารีซันไม่เหมาะสมตรงไหนรึคะ?” วานาอันถาม   และเริ่มไม่ชอบใจฟูมินขึ้นมาทันที   “พี่ฮารีซันดีที่สุด   เก่งที่สุด   แข็งแกร่งที่สุด”
                      วูจินเห็นหลานสาวพูดดังนั้นก็หัวเราะร่วน   เขาแทบจะไม่เคยเห็นหลานสาวผู้เรียบร้อยอ่อนหวานมีอารมณ์โกรธสักเท่าไหร่    แต่ถ้าเป็นเรื่องความจงรักภักดีต่อครอบครัวละก็   หลานสาวของเขาก็ไม่ยอมแพ้ใครเช่นกัน
                      “ปู่รู้ ปู่รู้   แต่คนเผ่าอื่น ๆ เขาไม่ได้รู้จักฮารีซันเหมือนเรา   เขาก็เห็นว่าฮารีซันเป็นเพียงชายหนุ่มรุ่นกระทงที่ยังอ่อนด้อยประสบการณ์   ดังนั้นเขาจะไม่ไว้วางใจบ้างก็ไม่แปลกอะไร” วูจินอธิบาย
                      “เขาก็เลยออกจากเผ่าไปเป็นโจรรึคะ?   นั่นไม่เห็นช่วยให้อะไรดีขึ้นตรงไหนเลย” วานาอันถามด้วยไม่เข้าใจความคิดของสมาชิกระดับสูงของเผ่าป่าทมิฬ
                      “ถูกแล้ว   การทำเช่นนี้มีแต่ทำให้สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้วให้ยิ่งแย่หนักขึ้นไปอีก   บางครั้งคนเราก็มักจะใช้อารมณ์คิดแทนสมอง   ทำให้เราตัดสินใจพลาดหลงเดินทางผิดโดยไม่รู้ตัว”
                      “แล้วอย่างนี้เราจะทำอย่างไรกันดีคะ?”
                      “นั่นเป็นปัญหาที่ปู่จะต้องไปประชุมเย็นนี้อย่างไรเล่า”
                      วูจินยิ้มและทักทายชาวบ้านที่เดินสวนไป   ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าทั้งคู่เดินเข้ามาในเขตที่พักอาศัยของเผ่าฟูดินันแล้ว
                      “ส่วนเจ้า   ปู่อยากให้หลานเพิ่มความระมัดระวังตัวให้มากขึ้น   เวลาออกไปข้างนอกเขตที่อยู่อาศัยก็หาใครไปเป็นเพื่อน   หรือถ้าจะไปเพียงลำพังก็อย่าใจลอยบ่อย   คอยสอดส่ายหูตาเอาไว้บ้าง   เปิดจิตของหลานให้ฟังเสียงเตือนของธรรมชาติ   แล้วเอาไว้ปู่จะสอนวิชากางม่านบังตาให้เจ้า   มีวิชาติดตัวไว้บ้างจะได้คุ้มครองตัวเองได้เวลาปู่หรือพี่เจ้าไม่อยู่”
                      วานาอันได้ยินดังนั้นก็หน้าตื่นเกาะแขนของวูจินแน่นขึ้นทันที   วูจินหัวเราะตบหลังมือของหลานสาวเบา ๆ เป็นการปลอบ
                      “ปู่ไม่ได้จะรีบตายจากเจ้าไปไหน   เพียงแต่ปู่พูดเผื่อไว้ในยามคับขันหรือคาดไม่ถึง   เจ้าจะได้ปกป้องตัวเองได้และกลับมาหาปู่อย่างปลอดภัยอย่างไรล่ะ”
                      วานาอันได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออก   ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์หมดจดดูงดงามขึ้นมาทันตา “หลานหวังว่าจะใช้วิชานี้ช่วยปกป้องท่านปู่ด้วยค่ะ”
วูจินยิ้มอย่างปลาบปลื้มจนรู้สึกว่านัยน์ตาเอ่อคลอขึ้น   ยกมือขึ้นลูบผมหลานสาวอย่างรักใคร่
                      “ขอบใจ.... ขอบใจมาก”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: November 29, 2006, 02:35:14 AM »

มาเม้าท์กันที่นี่เลยม๊า

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=26186.0
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.081 seconds with 21 queries.