Summoner Master Forum
April 26, 2024, 10:45:30 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 51 นกสายฟ้าธันเดอริก @@  (Read 8963 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: December 13, 2006, 07:08:48 PM »

Chapter 51 นกสายฟ้าธันเดอริก

                           เช้าวันใหม่บนวาฮาลชั้นที่สองนั้นช่างสดชื่น   แสงแดดอ่อน ๆ ที่สาดส่องผ่านม่านหมอกบาง ๆ ทำให้ยามเช้าบนเนินเขาแห่งนี้ดูราวกับสวนสวรรค์   เจ้าหญิงเรจิน่าทรงตื่นจากบรรทมมาได้ครู่ใหญ่แล้ว   และกำลังรอฮารีซันซึ่งตระเตรียมมื้อเช้าสำหรับทั้งคู่อยู่   เมื่อวานนี้กว่าที่ทั้งคู่จะขึ้นมาถึงวาฮาลชั้นที่สองได้ก็ล่วงเข้าไปมืดค่ำแล้ว   จึงต้องยุติการเดินทางและจัดเตรียมที่พักนอนเอาแรง   เพื่อวันนี้จะได้มีแรงออกติดตามหากษัตริย์ซิกมันด์ได้ทั้งวัน
                           ขณะที่ทั้งคู่กำลังรับประทานอาหารเช้ากันอยู่นั้น   จู่ ๆ เจ้าหญิงเรจิน่าก็เห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ที่หลังพุ่มไม้   เจ้าหญิงจึงรีบดีดตัวลุกขึ้นแทบจะทันใด  ทำเอาฮารีซันสะดุ้งจนตาค้างกับอาการผลุบผลับของเธอ
                           “เกิดอะไรขึ้น?” ฮารีซันรีบถาม
                           “นั่นไง!” เจ้าหญิงทรงชี้มือไปที่ชายป่าอีกด้านส่วนอีกมือก็เตรียมพร้อมอยู่ที่ด้ามดาบคู่ใจ   เมื่อเห็นใครคนหนึ่งในชุดผ้าคลุมยาวสีเทาในมือถือไม้เท้าเดินตรงเข้ามา   ทว่าพอบุคคลลึกลับเดินเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น   บุคคลทั้งสองก็ต้องขมวดคิ้วหน้ายุ่งทันที
                           “หยุดตรงนั้นแหละ!   เจ้าเป็นใคร? มีธุระอะไร?” เจ้าหญิงตรัสเสียงดังหมายจะแสดงให้เห็นว่าพระองค์พร้อมที่จะปกป้องตนเองทันทีถ้าผู้มาใหม่มีเจตนาร้าย   
                           ครั้นผู้มาใหม่เงยหน้าขึ้น   ทั้งสองจึงได้เห็นว่าเป็นหนุ่มน้อยที่ดูแล้วไม่น่าจะอายุเกินสิบหกปีเท่านั้น   เด็กหนุ่มเหลือบมองผู้สูงศักดิ์จากสองอาณาจักรและยิ้มน้อย ๆ
                           “ช้าก่อน   เจ้าหญิง” ฮารีซันรีบออกตัว “ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ได้มาร้าย   และอีกอย่างเขาก็ไม่มีอาวุธด้วย   เก็บดาบของท่านเถอะ”
                           เจ้าหญิงเรจิน่ามองผู้มาใหม่ให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงผ่อนคลายท่าทีลง
                           “มีอะไรให้ช่วยรึเปล่า?   น้องชาย” ฮารีซันถามอย่างเป็นมิตร   
                           หนุ่มน้อยผู้มาใหม่นิ่งมองฮารีซันพักหนึ่งก่อนจะยิ้มร่าออกยียวนน้อย ๆ “ข้ามาช่วยท่านต่างหาก”
                           “เจ้าพูดว่ามาช่วยพวกเรารึ?”  เจ้าหญิงรู้สึกข้องใจและหมั่นไส้ท่าทางยียวนของเด็กหนุ่ม   
                           “เจ้ารู้รึว่าพวกเรามาทำอะไรที่นี่?” ฮารีซันถามอย่างใจเย็น
                           “ข้ารู้ว่าพวกท่านมาตามหาอะไร   และรู้ว่าอยู่ที่ไหน” เด็กหนุ่มกล่าว
                           “เจ้าผิดแล้ว   เราไม่ได้มาตามหาอะไรบนนี้” เจ้าหญิงยิ้มอย่างยียวนบ้าง  คิดจะแกล้งหักหน้าเจ้าเด็กหนุ่มขี้โม้นี่เสียหน่อย “พวกเรากำลัง...”
                           “ใช่ ๆ พวกท่านสองคนมาตามหาใครบางคนต่างหาก” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างเป็นต่อ   “ข้ารู้ว่าอยู่ที่ไหน”
                           “เจ้ารู้รึว่าซิกมันด์อยู่ที่ไหน?” เจ้าหญิงทรงถามอย่างใจร้อนลืมเรื่องความตั้งใจจะดัดนิสัยเด็กหนุ่มเสียสนิท
                           “รู้สิ   ข้านำทางไปได้...ก็แล้วแต่พวกท่านนะ   ถ้าพวกท่านอยากรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนก็ตามมา” เด็กหนุ่มยิ้มร่าและหมุนตัวออกเดิน พลางกล่าวไล่หลังโดยไม่คิดจะหันกลับมาดูอีกว่าทั้งสองจะเดินตามมาหรือไม่
                           “นี่...เดี๋ยวสิ” เจ้าหญิงร้องห้ามแต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้หยุดหรือทำแม้แต่ชะลอฝีเท้าลงเลย 
                           “ท่านจะเอาอย่างไร?” ฮารีซันหันมาถามเจ้าหญิง
                           “ตามไปสิ” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสแทบจะทันที “ที่นี่ออกกว้างใหญ่   ถ้าพวกเราเดินหากันเองโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ก็พาลจะเสียเวลาไปเปล่า ๆ   แต่ถ้าเจ้าเด็กนี่คิดจะแกล้งเราละก็   คอยดูเถอะ! ข้าจะอัดให้น่วมเลย”
                           เจ้าหญิงเรจิน่าและฮารีซันรีบสาวเท้าไปตามทิศทางที่เด็กหนุ่มเดินจากไปในทันที   สักพักจึงได้พบว่าเด็กหนุ่มคนนั้นนั่งรอพวกเขาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว
                           “เจ้ารู้รึว่าพวกเราจะตามมา?” เจ้าหญิงตรัสถามอย่างสงสัย
                           “ท่านมีเรื่องอื่นที่อยากจะถามข้ามากกว่าคำถามตลก ๆ นี่มิใช่รึ?” เด็กหนุ่มหัวเราะถามอย่างอารมณ์ดี  พลางใช้ไม้เท้ายันตัวขึ้นยืน
                           “น้องของข้าอยู่ไหน?”
                           “น้องของท่านก็ถูกเทพเจ้าสายฟ้าคุมขังไว้ ณ ที่ใดที่หนึ่งบนเขาชั้นที่สามนู่นน่ะสิ” เด็กหนุ่มตอบชี้ไม้เท้าไปยังวาฮาลชั้นที่สาม 
                           “เรื่องนั้นข้าก็พอรู้อยู่หรอก   ข้าอยากรู้เส้นทางที่จะไปต่างหาก”
                           “ท่านไม่จำเป็นต้องรู้หรอก   เพราะข้าจะนำทางให้พวกท่านเอง” เด็กหนุ่มตอบหน้าระรื่น
                           “บอกไว้ก่อนนะว่า   ถ้าเจ้านำทางพลาดทำให้ข้าไปช่วยน้องชายล่าช้าละก็   ข้าจะอัดเจ้าให้น่วมก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแน่ ๆ “ เจ้าหญิงตรัสเหมือนอยากจะเอาชนะ   นี่ถ้าพระองค์ไม่ได้กำลังร้อนใจเพราะตามหาซิกมันด์ละก็   ป่านนี้พระองค์คงได้สนุกกับการตั้งคำถามยียวนของเจ้าเด็กหนุ่มนี่แน่ ๆ   
                           เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็หัวเราะก๊ากจนหน้าหงาย   ทำเอาฮารีซันและเจ้าหญิงเรจิน่าต้องมองหน้ากันเพราะคิดว่าเขาเสียสติไปแล้ว   เด็กหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ “ท่านรู้มั้ยว่าท่านพูดเหมือนน้องชายของท่านเปี๊ยบเลย   ต่างกันตรงที่ว่าน้องชายของท่านคิดจะตัดหัวข้าเพื่อลงโทษ   แต่ท่านแค่จะอัดสั่งสอนข้า” เด็กหนุ่มขยิบตาใส่ “ท่านทั้งพี่ทั้งน้องไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจแน่ ๆ “
                           “เจ้าก็เป็นผู้นำทางให้ซิกมันด์ด้วยอย่างนั้นรึ?   ทหารเปกาซัสบอกว่าเป็นชายแก่นี่   ไม่ใช่เด็กหนุ่ม” เจ้าหญิงตั้งข้อสังเกตมองเด็กหนุ่มด้วยความเคลือบแคลงใจในทันใด
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: December 13, 2006, 07:10:42 PM »

                           “ถูกต้อง!   ข้าเป็นผู้นำทางให้เขา   ส่วนเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยอย่างเรื่องความหนุ่มหรือแก่   ท่านจะไปสนใจทำไมกัน?” เด็กหนุ่มหัวเราะร่าอีกครั้ง
                           “ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าถึงรอดมาได้   ในขณะที่ซิกมันด์ถูกจับล่ะ?” เจ้าหญิงทรงไม่ยอมเชื่อง่าย ๆ
                           “ก็เพราะเราแยกทางกันไปก่อนนะสิ” เด็กหนุ่มตอบหน้าตาเฉย “เอาเป็นว่าเวลานี้ข้ามีสองทางให้ท่านเลือกว่าจะไปทางไหน?   ทั้งสองทางก็ไปถึงที่หมายได้เหมือนกัน   แต่มีอุปสรรคขวางทางไม่เหมือนกัน   ทางหนึ่งมีมังกรสวรรค์เฝ้าปากทางไว้   ส่วนอีกทางมีวาลคิเร่นามว่า บริจิตต์ คอยปกป้องทางเข้าอยู่   เลือกโชคชะตาของท่านเสีย”
                           เมื่อจู่ ๆ เจ้าหญิงเรจิน่าถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจกะทันหัน   จึงนิ่งอึ้งเพราะตัดสินใจไม่ถูก   พลางหันหน้าไปหาฮารีซันเหมือนจะขอความคิดเห็น   ฮารีซันใช้เวลาตัดสินใจไม่นานนักก็ได้คำตอบ
                           “ข้าเลือกทางวาลคิเร่ บริจิตต์” ฮารีซันตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น   เด็กหนุ่มมองหน้าฮารีซันเหมือนประเมินความคิดก่อนจะยิ้มถามด้วยความสนใจอย่างแท้จริง
                           “ขอทราบเหตุผลของท่านได้หรือไม่? ข้าคิดว่านางก็คงอยากรู้เหมือนกัน”
                           เจ้าหญิงเรจิน่าหันไปมองเด็กหนุ่มทันที   พระองค์เพิ่งจะรู้สึกว่าพระองค์กับเด็กหนุ่มเป็นฝ่ายเดียวกันก็คราวนี้แหละ   ถ้าเด็กหนุ่มนี่จะโดนอัดเพราะนำทางผิดละก็   พระองค์จะออมมือให้หน่อยก็แล้วกัน
                           “ข้าเพียงแต่คิดว่านางเป็นวาลคิเร่   คงจะสามารถพูดคุยกับนางและอธิบายให้นางเข้าใจได้ถึงเหตุจำเป็นของพวกเราที่จะต้องผ่านทางที่นางพิทักษ์อยู่” ฮารีซันกล่าวตอบ
                           เด็กหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจ   ในขณะที่เจ้าหญิงเรจิน่ามองฮารีซันด้วยความประหลาดใจแกมชื่นชม    เขาช่างมีความคิดที่แตกต่างจากทุกคนที่พระองค์ทรงรู้จักจริง ๆ       
                           “ดี   ถ้าเช่นนั้นก็ออกเดินทาง...โอ๊ะ!” เด็กหนุ่มพูดยังไม่ทันจบ   เจ้าทารอตโต้ก็โผล่หัวออกมาจากชายผ้าคลุมแทบจะทันที   มันเหลือบมองเจ้าหญิงแวบหนึ่งก่อนจะหันมามองฮารีซันนิ่ง ๆ   เด็กหนุ่มหัวเราะร่า “ฮ่า ฮ่า เพราะเหตุผลในการเลือกของท่าน   ทำให้แม้แต่เจ้านี่ยังอยากจะเห็นหน้า”
                           “เจ้ามีแมวมาด้วย?”  ฮารีซันอุทานอย่างยินดี    ในขณะที่เจ้าหญิงยิ้มออกมาอย่างชอบใจและเขยิบเข้าไปใกล้
                           “แมวของเจ้าสีประหลาดจริง   แถมมีขนยาวที่กลางกระหม่อมดูเหมือนผมเลย” เจ้าหญิงทรงยกมือขึ้นเกาปอยผมก่อนจะเลี้ยวลงมาเกาที่ปลายคาง   ซึ่งเจ้าสัตว์สีม่วงก็เอียงคอหลับตาพริ้มด้วยสีหน้าเพลิดเพลิน
                           “เจ้านี่ชื่ออะไรรึ?” ฮารีซันถามยิ้ม ๆ
                           “ทารอตโต้...ท่านชอบแมวรึ?” เด็กหนุ่มยิงคำถามใส่ฮารีซันด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
                           “ข้าชอบสัตว์ทุกประเภทนั่นแหละ...แมวก็ด้วย” ฮารีซันตอบ
                           “งั้นท่านก็เหมาะกับนาง” เด็กหนุ่มยิ้มตอบหน้าตาเฉยทำเอาทั้งสองหนุ่มสาวหยุดชะงักใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นทันที 
                           “จะ...เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” เจ้าหญิงได้สติก่อนรีบตรัสถามอย่างตะกุกตะกัก
                           “ข้าพูดว่า เขาเหมาะกับท่าน” เด็กหนุ่มตอบฉีกยิ้มแฉ่ง
                           “เจ้านี่ พูดจาแก่แดดเหลือเกิน   ตกลงว่าเจ้านินทาพวกเราหรือมาวิเคราะห์พวกเรากันแน่” เจ้าหญิงทรงยกมือขึ้นกอดอก   มองจ้องเด็กหนุ่ม   ซึ่งเขาก็เป้ปากยักไหล่   ก่อนจะหัวเราะหึหึในลำคอและออกเดินนำ
                           เจ้าหญิงส่ายหน้ากับท่าทียียวนของเด็กหนุ่มก่อนจะเหลือบมองฮารีซันที่มองตามหลังเด็กหนุ่มด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อพลางหันกลับมาหาเจ้าหญิง   แต่ทันทีที่สายตาทั้งคู่ประสานกัน   ใบหน้าก็กลับแดงระเรื่อขึ้นมาใหม่ราวกับว่าได้ยินคำพูดนั้นอีกรอบ   ทั้งสองต่างก้มหน้าก้มตาออกเดินตามเด็กหนุ่มไป   โดยที่ต่างก็ไม่ได้สังเกตว่ามีรอยยิ้มอาย ๆ  แตะแต้มอยู่บนริมฝีปากของอีกฝ่าย
                           ยิ่งสูงหนทางก็ยิ่งลำบากมากขึ้น   บุคคลทั้งสามเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ต้นแล้วต้นเล่า   ลำธารแล้วลำธารเล่า   จนกระทั่งดวงอาทิตย์เริ่มโรยลาจากขอบฟ้าและสองหนุ่มสาวแทบจะไม่มีแรงก้าวเท้าอีกต่อไป   เด็กหนุ่มก็ประกาศยุติการเดินทางและมองหาที่หาทางที่จะใช้เอนกายพักผ่อนในคืนนั้น
                           เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นบุคคลทั้งสามก็ต้องสะดุ้งตื่นด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่น   เช้านี้หมอกลงไม่หนามากนัก   ทุกคนจึงตัดสินใจออกเดินทางต่อทันที   การเดินทางในวันนี้ค่อนข้างราบรื่นเพราะเส้นทางไม่ลาดชันนัก   อีกทั้งเด็กหนุ่มก็เจื้อยแจ้วเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้เพลิดเพลินจนลืมเหนื่อยไปได้   จนเมื่อแม้ช่วงเวลาหยุดพักเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน   ทั้งสามก็ยังคุยแบ่งปันกันถึงเรื่องอาณาจักรของแต่ละคน   ซึ่งก็ดูทีท่าว่าเด็กนุ่มจะรู้จักอาณาจักรทั้งฟูดินันและฟีเลเซียเป็นอย่างดี   จนทั้งฮารีซันและเจ้าหญิงเรจิน่ายังอดประหลาดใจไม่ได้
                           “เจ้าดูเหมือนชาวฟีเลเซียนะ   แต่เจ้ากลับรู้จักอะไรต่าง ๆ ในฟูดินันดีทีเดียว” เจ้าหญิงอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้
                           “ข้าเติบโตในฟีเลเซีย   แต่ระยะนี้ข้าชอบความสงบเงียบในฟูดินัน” เด็กหนุ่มกล่าวตอบ
                           “เจ้าเพิ่งอายุเท่าไหร่กัน?   แต่กลับพูดราวกับว่าใช้ชีวิตมาสักสามสิบ สี่สิบปีมาแล้วอย่างนั้นแหละ” เจ้าหญิง
เรจิน่าแสร้งเหน็บอย่างอารมณ์ดี   ทำให้ฮารีซันอดหัวเราะขำไปด้วยไม่ได้
                           “ความจริง อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ตาเห็นก็ได้” เด็กหนุ่มพูดปนหัวเราะอย่างทีเล่นทีจริง
                           “เออ จริงสิน้องชาย” ฮารีซันพูดเหมือนนึกได้ “จนป่านนี้เจ้ายังไม่ได้บอกนามของเจ้ากับพวกเราเลยนะ”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: December 13, 2006, 07:12:59 PM »

                           เด็กหนุ่มยิ้ม  ก้มลงมองเจ้าทารอตโต้เหมือนรู้กัน “ที่จริงก็ดูเหมือนท่านพยายามถามข้าหลายครั้งแล้ว   แต่ข้าไม่มีความประสงค์จะตอบท่านเท่านั้นเอง   ทีข้ายังไม่ถามนามพวกท่านทั้งสองเลยไม่ใช่รึ? อย่าสนใจข้านักเลย   ท่านมีเรื่องให้สนใจมากกว่านั้น   ลองดูที่ต้นไม้สามต้นที่ขึ้นเรียงกันที่เชิงหินฟากโน้นสิ” เด็กหนุ่มชี้ให้หนุ่มสาวทั้งสองดู “เดินจากตรงนั้นไปอีกสักสามชั่วยามก็จะถึงเขตแดนที่บริจิตต์เฝ้าพิทักษ์อยู่แล้ว   เอ...ข้าได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับนางให้ฟังรึยัง?”
                           “ถ้าไม่นับเรื่องลมฟ้าอากาศบนวาฮาลและแฟรี่ละก็   เจ้าจะต้องพูดถึงแต่ทารอตโต้ของเจ้า” ฮารีซันตอบยิ้มขำ
                           “โอ้ ข้าลืมเล่าส่วนที่สำคัญที่สุดไปได้ยังไงกัน?” เด็กหนุ่มใช้นิ้วเกาคางอย่างคนที่กำลังนึกอะไรสักอย่าง” ทำไมท่านไม่เตือนข้า?”
                           “เตือนเจ้าน่ะรึ?” เจ้าหญิงทรงกรอกตาขึ้นมองฟ้า “เราจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้ารู้เรื่องวาลคิเร่ด้วย   เจ้ารู้เรื่องอะไรของนางบ้างล่ะ?”
                           “เป็นการเริ่มต้นคำถามที่ดี” เด็กหนุ่มกล่าวชม   ทำให้เจ้าหญิงต้องแสร้งยกมือทั้งสองขึ้นฟ้าเหมือนเหลือทนกับเด็กหนุ่ม   ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากเผ่าฟูดินันได้ไม่น้อยทีเดียว
                           “เอาละ” เด็กหนุ่มตั้งท่าเล่า “กำเนิดวาลคิเร่นั้นก็มาจากเมื่อคราวที่แผ่นดินสวรรค์บางส่วนตกมายังโลก   ทูตสวรรค์องค์หนึ่งจึงแยกร่างของตนออกเป็นส่วน ๆ ก่อกำเนิดเป็นวาลคิเร่สิบสองนางเพื่อคอยพิทักษ์ชิ้นส่วนและของศักดิ์สิทธิ์ที่กระจัดกระจายไปตามที่ต่าง ๆ บนพื้นโลก   บริจิตต์นั้นกำเนิดจากส่วนขาขวาของทูตสวรรค์นางนั้น   นางมีหอกทองคำชื่อไลท์แลนท์ (Light Lance) เป็นอาวุธคู่กาย   และขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าฝีมือของนางเท่าที่ข้ารู้ยังไม่เป็นรองใครเลย” เด็กหนุ่มกล่าวเตือนแต่ก็เหมือนข่มขวัญในที
                           “ถึงอย่างไร   ข้าก็ยังเชื่อว่าเราสามารถเจรจาให้นางเข้าใจได้” ฮารีซันกล่าวอย่างมีความหวัง
                           “ดี   ถ้าเช่นนั้นเราก็ออกเดินทางกันต่อได้แล้ว   มาดูกันสิว่าเจ้าจะเจรจาสำเร็จไหม?” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างร่าเริงลุกขึ้นในทันใด
                           ทั้งสามจึงออกเดินทางมุ่งสู่เชิงผาที่มีต้นไม้ขึ้นเรียงกันสามต้น   เส้นทางนั้นเป็นเนินสูงสลับกับทางลาดชันทำให้การเดินทางลำบากมากกว่าเดิม   หนทางที่ดูเหมือนจะใกล้   แต่ความยากลำบากในการเดินทางทำให้ต้องเสียเวลาทั้งวันกว่าจะไปถึงยอดเชิงผานั้นได้   ทั้งสามจึงต้องตัดสินใจหยุดตั้งที่พักที่ใต้ต้นไม้สามต้นนั้น   และในคืนนั้นเองที่เด็กหนุ่มบอกเส้นทางที่จะไปถึงที่พำนักของธอร์อย่างละเอียดให้บุคคลทั้งสองได้รู้   แม้ทั้งสองจะสงสัยว่าเด็กหนุ่มจะรีบบอกเส้นทางล่วงหน้าทำไม   แต่ก็กลับได้รับคำตอบแสนยียวนว่า   เขาพอใจที่จะร่วมทางเท่าที่เขาต้องการเท่านั้น   จึงบอกทางไว้ก่อนเพื่อทั้งสองจะได้เดินทางต่อไปเพียงลำพังได้   คืนนั้นทั้งสามเข้านอนท่ามกลางเสียงฟ้าร้องที่ดังแผ่ว ๆ เหมือนเสียงคำราม   พร้อมด้วยความหวังเต็มเปี่ยมที่จะไปให้ถึงที่พำนักของเทพเจ้าธอร์ให้เร็วที่สุด


s

                           “นี่เราจะกลับกันได้รึยังเนี่ย? ข้าเบื่อที่จะต้องนอนกลางป่าแล้วนะ   แมลงมันคอยแต่จะเข้ามาวิ่งเล่นในหู
ข้า” ทารอตโต้บ่นอุบอิบพลางเอียงคอยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเกาหู
                           “เจ้าเป็นถึงผู้นำโชคชะตา (Dark Destiny) แมลงป่าธรรมดาทั่วไปจะทำอะไรเจ้าได้” เด็กหนุ่มพูดอย่างอารมณ์ดีท่ามกลางแสงจันทร์
                           “ข้าก็แค่หาข้ออ้างกลับไปนอนเล่นที่บ้านนั่นแหละ” ทารอตโต้ยิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็ก ๆ ที่มุมปาก แล้วจึงกระพือปีกเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยขบระหว่างเดินไปตามทางลาด
                           “เจ้าว่าคราวนี้จะสำเร็จไหม?” เด็กหนุ่มที่รูปร่างค่อย ๆ สูงใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นหนุ่มฉกรรจ์โตเต็มวัยเอ่ยปากถาม
                           ทารอตโต้กระพือปีกบินขึ้นไปเกาะบนไหล่ของชายหนุ่มอย่างนุ่มนวลและเงียบกริบ   ก่อนจะแลบลิ้นเลียอุ้งเท้าข้างหนึ่งและลูบปอยผมบนกระหม่อม “ท่านเดาเหตุการณ์ต่อไปได้อยู่แล้วนิ   ไม่เห็นจะต้องถามข้าเลย”
                           เสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่มดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่ร่างของทั้งคู่หายไปในเงาไม้ยามราตรี


s

                          เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าหญิงถูกปลุกด้วยเสียงเรียกเบา ๆ ของฮารีซัน  พร้อม ๆ กับคำพูดที่น่าใจหายว่าเด็กหนุ่มได้จากไปแล้ว    แม้จะโมโหและเต็มไปด้วยความสงสัยต่อพฤติกรรมของเด็กหนุ่ม   แต่ก็ทรงยอมรับว่าพระองค์ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะไปตามหาเขาได้ที่ไหน   นอกจากมุ่งหน้าต่อไปตามทางที่เด็กหนุ่มได้บอกเอาไว้
                           ทั้งสองหนุ่มสาวจึงได้ออกเดินทางตามลำพังอีกครั้ง   เส้นทางที่ทั้งสองมุ่งหน้าไปนั้น   ในวันนี้ดูสดใสไร้ม่านหมอกใด ๆ                            พื้นลาดแต่ไม่ชันมากเท่ากับเมื่อวันก่อน   จึงทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นมาก   เมื่อทั้งสองเดินทางมาจนถึงช่วงสายของวัน   ฮารีซันจึงได้สังเกตว่าพวกตนเดินกลับมาที่เดิม   แม้ตอนแรกเจ้าหญิงจะยังไม่ยอมเชื่อเพราะคิดว่าต้นไม้เหมือน ๆ กันอาจทำให้สับสนได้   แต่เมื่อฮารีซันยืนยันหนักแน่นพร้อมทั้งชี้จุดสังเกตที่ตนเห็นให้เจ้าหญิงได้ทราบ   เจ้าหญิงจึงเริ่มตระหนักว่าพวกตนกำลังหลงป่า
                           “ไม่ใช่   เราไม่ได้กำลังหลง   ข้าอยู่กับป่ามาทั้งชีวิตและไม่เคยหลงป่า” ฮารีซันบอกเสียงเบาอย่างระมัดระวัง “มีอะไรสักอย่างทำให้เราเข้าใจเช่นนั้น”
                           เจ้าหญิงเรจิน่าเชื่อในสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าพูดแทบจะทันที   แม้แต่ตัวพระองค์ยังอดประหลาดใจไม่ได้   เดี๋ยวนี้พระองค์ไม่สงสัยในความสามารถของเขาอีกแล้ว   ในเมื่อมีอะไรหรือใครก็ตามที่ทำให้พวกตนไม่สามารถเดินทางต่อไปได้   สิ่งนั้นก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้ที่เฝ้าดินแดนแห่งนี้ไว้นั่นเอง
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: December 13, 2006, 07:16:32 PM »

                           “บริจิตต์ ท่านอยู่แถวนี้ใช่ไหม?” เจ้าหญิงทรงตรัสถามเสียงก้อง
                           ฉับพลันนั้นเอง   ต้นไม้หลายต้นก็หดหายลงไปในพื้นดิน   ม่านหมอกค่อย ๆ โรยตัวลงมา   ครั้นพอลมพัดหอบเอาม่านหมอกหายไปก็ปรากฏทัศนียภาพที่แปลกตาออกไปจากเดิม   พร้อม ๆ กับมีร่างของสตรีนางหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง   สองหนุ่มสาวรู้ได้ทันทีว่านางคือ วาลคิเร่บริจิตต์ นั่นเอง   นางมีใบหน้าคมหมดจด   ผมหยักสลวยสีน้ำตาลทองยาวถึงกลางหลัง   นางอยู่ในชุดเกราะเยี่ยงนักรบหญิง   หมวกเกราะประดับด้วยขนนกในมือถือหอกทองคำปลายหอกเป็นทรงเหลี่ยม   ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่ามันคมกริบเพียงใด
                           “ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่มนุษย์เช่นพวกเจ้าจะย่างกรายเข้ามา   จงกลับไปเสีย” วาลคิเร่บริจิตต์ กล่าวเสียงเรียบ
                           “แต่พวกเรามีความจำเป็นต้องผ่านทางนี้” เจ้าหญิงตรัสอย่างร้อนรน   และตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องผ่านไปให้ได้
                           “ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถผ่านดินแดนเขตนี้ไปได้เว้นเสียแต่ว่า   พวกเจ้าจะชนะเราให้ได้เสียก่อน” วาลคิเร่สาวกล่าวพลางดันหอกมาข้างหน้าแสดงให้เห็นว่าพร้อมจะสู้แล้ว
                           “ช้าก่อนท่านวาลคิเร่   พวกเราอยากจะขอความเห็นใจและความเข้าใจจากท่าน“ ฮารีซันกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม   ทำให้บริจิตต์มีท่าทางที่ผ่อนคลายลง   ฮารีซันจึงเริ่มต้นเล่าถึงเรื่องความจำเป็นของกษัตริย์ซิกมันด์ที่จะต้องมาขอยืมนกธันเดอริก   การที่พระองค์ถูกเทพเจ้าธอร์จับกุมไว้และความสำคัญของกษัตริย์ซิกมันด์ต่อสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน   เมื่อได้ฟังจบ   บริจิตต์ก็ทำหน้าเศร้าแสดงความเห็นใจ   
                           “เราเข้าใจและเห็นใจพวกเจ้า   แต่กฎย่อมต้องเป็นกฎ   จงสู้กับเรา   หากเจ้าชนะ   เราจะชี้ทางที่จะไปพบธอร์ให้เจ้า” บริจิตต์กล่าวจบก็ตวัดหอกในท่าเตรียมจู่โจมแม้สีหน้ายังคงเจือแววเห็นใจอยู่ในที
                           “ท่านผ่อนปรนสักครั้งไม่ได้เชียวหรือ?” ฮารีซันถาม   ยังอยากที่จะหวังในความเห็นใจที่ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของบริจิตต์   
                           “เราถือกำเนิดมาเพื่อหน้าที่นี้   เตรียมตัว” วาลคิเร่ส่ายหน้าช้า ๆ อย่างเสียใจที่แม้จะอยากช่วยแต่ก็ไม่อาจทำได้ 
                           และแล้วการโจมตีของวาลคิเร่สาวก็เริ่มต้นขึ้น   เสียงหอกกระทบกับโล่ห์ดังสนั่นครั้งแล้วครั้งเล่า   บริจิตต์พุ่งโจมตีใส่ฮารีซันจากทุกทิศทุกทางด้วยความรวดเร็ว   ฮารีซันได้แต่ยกโล่ห์ขึ้นรับปลายหอกอย่างสุดกำลัง   แต่จะด้วยเหตุผลกลใดก็มิอาจทราบได้   ฮารีซันจึงไม่สามารถรุกเข้าใส่บริจิตต์เลยสักครั้งเป็นแต่เพียงฝ่ายตั้งรับอยู่เป็นเวลานาน   ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าใครเป็นรอง   จนในที่สุดเมื่อความอดทนของเจ้าหญิงสิ้นสุดลงในชั่วเสี้ยววินาทีนั้น   ปลายดาบของเจ้าหญิงก็ตวัดคมหอกของบริจิตต์จนพลาดเป้าปักลงพื้น   ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ประลองทั้งสอง
                           “เปลี่ยนตัว” เจ้าหญิงยิ้มแต่ดวงตาฉายแววจริงจังชัดเจน “ข้าจะเป็นผู้ประลองกับท่านเอง”
                           “เจ้าหญิง?!” ฮารีซันตกใจจนพูดไม่ออก
                           “ข้ามั่นใจว่าข้าเร็วกว่านาง   อย่าห่วงเลย” เจ้าหญิงทรงขยับตั้งท่าเตรียมพร้อม   ในขณะที่บริจิตต์ก็ยิ้มอย่างพอใจพร้อมกับตวัดหอกเตรียมพร้อมเช่นกัน   ฮารีซันจึงต้องยอมถอยออกมาและมองเจ้าหญิงด้วยความเป็นห่วง
                           คมดาบที่ตวัดเข้าใส่บริจิตต์นั้นรวดเร็วและฉับไวจนแม้ความได้เปรียบจากความยาวของหอกก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้าหญิงได้เลย   หญิงสาวทั้งสองต่างฟัดฟันอาวุธใส่กันอย่างดุเดือด   ทว่ายิ่งสู้กันนานไปเจ้าหญิงเรจิน่ากลับเพิ่มจังหวะในการออกดาบเร็วขึ้นเรื่อย ๆ    กระทั่งกลายเป็นว่าวาลคิเร่บริจิตต์ทำได้แต่เพียงเป็นฝ่ายตั้งรับเท่านั้น   จนที่สุดเมื่อการออกอาวุธของเจ้าหญิงไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า   ในวินาทีที่เจ้าหญิงทรงเข้าประชิดตัวของบริจิตต์   ชั่วเวลานั้นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจเมื่อเจ้าหญิงทรงแนบคมดาบไว้ที่ลำคอของนางวาลคิเร่   หญิงสาวทั้งสองยังคงจ้องมองดวงตาของกันและกันอยู่อีกชั่วระยะหนึ่ง   จนเมื่อบริจิตต์ระบายลมหายใจออกช้า ๆ   
                           “เราแพ้แล้ว” บริจิตต์เอ่ยเสียงเรียบ   ยอมรับความพ่ายแพ้ของตนต่อเจ้าหญิงเรจิน่า “เราจะชี้ทางลัดที่สามารถไปหาเทพเจ้าธอร์ได้เร็วขึ้นให้พวกเจ้า”
                           เจ้าหญิงเรจิน่าคลี่ยิ้มอย่างเต็มที่ปล่อยดาบลงพร้อมกับสวมกอดบริจิตต์ด้วยความดีใจอย่างที่สุด   ปากก็พร่ำขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า   บริจิตต์ลังเลอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะสวมกอดเจ้าหญิงอย่างเก้อเขิน   บริจิตต์ชี้เส้นทางที่จะไปถึงเทพเจ้าธอร์ให้บุคคลทั้งสอง   ซึ่งทั้งเจ้าหญิงเรจิน่าและฮารีซันต่างก็ขอบคุณวาลคิเร่บริจิตต์เป็นการใหญ่ก่อนจะร่ำลาบริจิตต์และออกเดินทางต่อไป


   
s

                           สองหนุ่มสาวเดินลัดเลี้ยวไปตามโขดหินและต้นไม้ใหญ่ตามที่บริจิตต์บอกไว้   จนเวลาล่วงเลยไปหลายชั่วยาม   เมื่อแสงอาทิตย์ลาลับไปจากขอบฟ้าและเริ่มมีดวงดาวประดับทั่วผืนฟ้าสีน้ำเงินเทา   ทั้งสองก็เดินมาถึงช่องเขาที่ดาษดื่นไปด้วยหินก้อนน้อยใหญ่มากมาย   ทั้งคู่เดินไปตามทางขรุขระที่นำไปสู่เวิ้งว่างขนาดใหญ่   ทั้งสองสามารถมองเห็นแสงไฟวูบวาบจากอีกฟากหนึ่งของเวิ้งกว้างพร้อมกับเสียงคำรามประหลาดที่ดังสะท้อนช่องเขาไปมาอยู่ตลอดเวลา   ทว่าทั้งสองไม่อาจมองเห็นต้นตอของเสียงนั้นได้เพราะมันถูกหินขนาดมหึมาบดบังไว้
                           ทั้งสองค่อย ๆ ย่างกรายเข้าไปอย่างเงียบกริบ   จนเมื่อผ่านพ้นช่องเขามาได้จึงเห็นว่าต้นเหตุแห่งแสงและเสียงคำรามนั้นคือกรงสายฟ้าขนาดใหญ่ที่มีกระแสไฟฟ้าวิ่งไปมาอย่างน่ากลัว   ทั้งสองเดินผ่านแท่นบัลลังก์ขนาดใหญ่และต่างก็ชำเลืองมองด้วยความรู้สึกยำเกรงและหวาดระแวง   ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่แห่งนี้ต้องเป็นที่พำนักของเทพเจ้าธอร์อย่างแน่นอน
                           
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: December 13, 2006, 07:19:03 PM »

                           เจ้าหญิงเรจิน่าสามารถวิ่งไปถึงกรงสายฟ้าได้ก่อน   พระองค์ทรงมองลอดเข้าไประหว่างซี่กรงสายฟ้า   เสียงสายฟ้าที่ดังคำรามเป็นระยะ ๆ ฟังดูน่ากลัวไม่น้อยทีเดียวเมื่อมาอยู่ใกล้ ๆ อย่างนี้   ภายในกรงนั้นสว่างจนเกือบจ้าและอาบทุกอย่างในนั้นจนดูขาวโพลนไปหมด   เจ้าหญิงทรงหรี่สายตาเพ่งมองสำรวจไปเรื่อย ๆ   ซึ่งภายในดูเหมือนจะไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่าและก้อนหินเล็กใหญ่มากมาย   แต่เมื่อสายตาเริ่มชินกับความสว่างของสายฟ้าแล้ว   พระองค์จึงได้สังเกตเห็นว่ามีก้อนหินก้อนหนึ่งซึ่งแตกต่างจากก้อนหินทั้งหมดภายในกรงนั้น   ครั้นเมื่อทรงเพ่งมองให้ถี่ถ้วนมากขึ้นก็ต้องตกใจจนแทบควบคุมตัวไม่ได้
                           “พระเจ้าช่วย!   ซิกมันด์!” ตรัสแล้วก็แทบจะถลาเข้าไปหากรงสายฟ้านั่น   แต่ก็ถูกฮารีซันคว้าตัวไว้ได้ทัน
                           “ซิกมันด์!  ซิกมันด์!”  เจ้าหญิงทรงตะโกนเรียกแข่งกับเสียงคำรามของสายฟ้าจนสุดเสียง
                           ก้อนหินนั้นกระตุกเล็กน้อยแต่ก็นิ่งไป   ทว่าเมื่อเสียงเรียกตะโกนยังดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า   ก้อนหินนั้นก็ทะลึ่งตัวพรวดขึ้นยืนในทันใด   
                           ที่แท้แล้วนั่นก็คือกษัตริย์ซิกมันด์ซึ่งนอนคู้กายด้วยเพราะหมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะดิ้นรนให้รอดจากกรงสายฟ้านั่นเอง   แรกทีเดียวพระองค์ทรงคิดว่าหูแว่วไปทำให้ได้ยินเสียงเรียกเหมือนที่พระองค์ทรงได้ยินอยู่บ่อย  ๆ ตลอดเวลาที่ถูกขังอยู่ในกรงสายฟ้านี่   แต่เมื่อเสียงเรียกนั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ  จนพระองค์รำคาญและทรงทนไม่ได้อีกต่อไปทั้งยังไม่อยากจะทรงเชื่อหูตัวของตนเองอีกด้วย   จึงอยากดูให้เห็นกับตาว่าที่ตนได้ยินนั้นไม่ผิดเพี้ยน   พระองค์ทรงตัวโงนเงนอยู่พักหนึ่งเพราะไม่ได้กินนอนมาหลายวัน   แต่ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นกษัตริย์พระองค์จะแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นไม่ได้พระองค์จึงกัดฟันรวบรวมแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มีเหยียดตัวตั้งตรงและยืดอกอย่างผึ่งผาย   ปั้นสีหน้าเย่อหยิ่งที่สุดมองไปยังทิศทางของเสียงเรียกนั้น   แต่แล้วพระองค์ก็ต้องตกใจจนตาค้างแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นตรงหน้า   ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังกันเข้ามาจนพระองค์เกือบจะทรงตัวไม่อยู่   ทำไมเสด็จพี่ถึงอยู่ที่นี่? แล้วทำไมถึงมากับไอ้คนป่าไร้การศึกษา?
                           “นี่มันอะไรกัน!” กษัตริย์ซิกมันด์มองด้วยความขึงโกรธกระแทกเสียงตรัสถามอย่างเกรี้ยวกราด “ทำไมเสด็จพี่ถึงเสด็จมากับเจ้าคนป่านี่?”
                           เจ้าหญิงเรจิน่าถึงกับนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดของกษัตริย์น้องชาย   ครั้นเมื่อตั้งสติได้ก็รีบตรัสละล่ำละลัก   “นี่เจ้าพูดอะไรออกมารู้ตัวรึเปล่า?   พี่และฮารีซันอุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่เพื่อช่วยเจ้านะ”
                           “ใครขอให้มันมาช่วยข้ากัน   มันมาเพื่อเยาะเย้ยข้าละสิ   ข้าจะไม่ยอมให้เกียรติของกษัตริย์แห่งฟีเลเซียต้องมัวหมองเพราะเจ้าคนไพรนี่”
                           “หยุดนะ ซิกมันด์   พี่จะไม่ยอมให้เจ้าแสดงกิริยาที่น่าอับอายใส่ผู้ที่มีน้ำใจดีกับเจ้าเช่นนี้” เจ้าหญิงเรจิน่าทั้งโกรธทั้งอายที่น้องชายของพระองค์ถูกความทะนงในเกียรติและศักดิ์ศรีบดบังตาจนมืดบอด
                           “ไม่เป็นไรหรอกเจ้าหญิง” ฮารีซันแตะไหล่ของเจ้าหญิงเบา ๆ คล้ายจะปรามให้เจ้าหญิงสงบใจลง   เขามีความอดทนสูงพอที่จะทนต่อพฤติกรรมอันแสนเย่อหยิ่งของกษัตริย์แห่งฟีเลเซียได้
                           “อย่าบังอาจมาแตะต้องเสด็จพี่ของข้านะเจ้าคนป่าสกปรก!”
                           “ซิกมันด์!” เจ้าหญิงทรงอุทานเสียงดังลั่นไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง   ทว่าฉับพลันนั้นเองก็มีเสียงสายฟ้าฟาดสะเทือนเลื่อนลั่นดังกึกก้องเหนือบริเวณนั้น   พร้อมทั้งมีสายฟ้าขนาดใหญ่ฟาดเปรี้ยงเข้าใส่บัลลังก์หินใกล้ ๆ จนทุกคนสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนของพื้นดินทั่วบริเวณ
                           “ใครบังอาจมาส่งเสียงโหวกเหวกในเขตแดนของข้า” เสียงอันกึกก้องกัมปนาทของเทพธอร์ไม่ต่างกับเสียงฟ้าฟาดดังขึ้น   ใบหน้าของเทพธอร์ดูทะตัวเองถึงดวงตาโตเข้มสว่างโลดจ้องมองผู้มาใหม่ทั้งสอง
                           “เราคือเจ้าหญิงเรจิน่าแห่งอาณาจักรฟีเลเซีย   จงปล่อยน้องชายของ....” ตรัสไม่ทันจบก็มีสายฟ้าฟาดใส่ก้อนหินที่อยู่ใกล้ ๆ อย่างแรงจนก้อนหินแตกเป็นเสี่ยง ๆ และรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินใต้เท้า
                           เจ้าหญิงเรจิน่าดวงตาเบิกกว้างมองเทพสายฟ้าด้วยความกริ่งเกรง   แม้พระองค์จะไม่ได้นับถือเทพโบราณอย่างธอร์   ทว่าการสร้างสายฟ้าที่รุนแรงขนาดทำให้แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นเช่นนี้   ก็ทำให้พระองค์เห็นถึงฤทธิ์อำนาจที่เทพเจ้าโบราณผู้นี้มีเหนือตนอย่างสิ้นเชิง   ภายในสมองของพระองค์ก็คิดหาวิธีเจรจาต่อรองอย่างนักการทูตที่ดีตามที่เรียนรู้มา   ทว่าก็ไม่มีวิธีไหนเลยที่เหมาะสำหรับใช้ต่อรองกับเทพเจ้าโบราณ
                           ขณะที่เจ้าหญิงเรจิน่ากำลังมืดแปดด้านไม่รู้แม้แต่จะตอบเทพเจ้าธอร์ว่าอย่างไร   ฮารีซันก็ก้าวเข้ามายืนขั้นระหว่างพระองค์กับเทพเจ้าธอร์   และทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดทั้งสิ้น   ฮารีซันย่อเข่าลงก้มคารวะเทพธอร์จนศีรษะจรดพื้น   ทุกคนต่างตกตะลึงซึ่งแม้แต่เทพเจ้าธอร์ก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้
                           “เจ้าเป็นใครกัน?” เทพเจ้าธอร์ถามด้วยเสียงเบาลงอย่างเห็นได้ชัด   แสงเจิดจ้าที่เกิดจากสายฟ้าแลบปลาบก็หรี่ลงจนสามารถมองด้วยสายตาในสภาพปรกติ
                           “ข้าคือฮารีซัน บันดารา  หัวหน้าเผ่าฟูดินัน”
                           “เจ้าไม่ใช่ชาวฟีเลเซีย ทำไมถึงเดินทางมากับนาง เจ้าเป็นอะไรกับนาง?” เทพธอร์ถามอย่างสนใจ
                           “นางเป็น...นางเป็นสหายของข้า   เมื่อสหายเดือดร้อนมาขอความช่วยเหลือ   ก็เป็นธรรมดาที่สหายจะยื่นมือเข้าช่วยทันที”
                           “ไอ้คนสามหาว   เจ้ากล้าแอบอ้างว่าเป็นสหายของเสด็จพี่รึ? แล้วเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียอย่างเสด็จพี่ของข้าก็ไม่ลดตัวลงไปขอความช่วยเหลือคนอย่างเจ้าหรอก” กษัตริย์ซิกมันด์ตะโกนอย่างเดือดดาล    ไม่ต้องการให้ฮารีซันมาตีตนเสมอพี่สาวของพระองค์และไม่อาจยอมรับได้ถ้าพี่สาวของพระองค์ทำอย่างที่หัวหน้าชาวป่ากล่าวจริง ๆ
                           “ซิกมันด์!!” เจ้าหญิงทรงอุทานด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน   ฉับพลันนั้นสายฟ้าก็ฟาดพาดท้องฟ้าในระยะใกล้จนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: December 13, 2006, 07:20:34 PM »

                           “ใครอนุญาตให้เจ้าพูดแทรก” เทพเจ้าตวาดเสียงดังใส่กษัตริย์ซิกมันด์จนทุกคนหูอื้อไปชั่วขณะ
เจ้าหญิงเรจิน่าทรงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะก้าวเขยิบเข้ามาใกล้   จากการที่ได้ใกล้ชิดกับฮารีซันตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้เจ้าหญิงได้เรียนรู้แล้วว่าพระองค์ควรจะทำตัวอย่างไร   พระองค์ขยับเข้าไปจนเมื่อระยะใกล้พอ
                           “ข้าต้องขออภัยท่านแทนน้องชายของข้าด้วยที่ได้เสียมารยาทกับท่าน”
                           “เสด็จพี่!” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงอุทานอย่างตกใจ   ไม่คิดว่าพี่สาวของตนจะกล่าวเช่นนั้น   แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกเพราะเกรงว่าธอร์จะทวีความโกรธเกรี้ยวมากยิ่งขึ้น   จึงได้แต่กล้ำกลืนคำพูดต่าง ๆ ลงไปและแสดงความฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียดอยู่ในกรงสายฟ้า
                           เทพธอร์เหลือบมองเจ้าหญิงแวบหนึ่ง   ก่อนจะเหลือบไปมองกษัตริย์ซิกมันด์ภายในกรงพลางยิ้มเยาะหมายจะยั่วกษัตริย์ซิกมันด์
                           “เจ้ายังรู้จักคิดมากกว่าน้องของเจ้า   น่าเสียดายที่อาณาจักรของเจ้าสืบต่ออำนาจผ่านทางลูกชายเท่านั้น”
                           กษัตริย์ซิกมันด์ทรงได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม   ทรงกำหมัดแน่นจนนิ้วแทบจะแหลกคามือ   แต่ก็ต้องทนนิ่งเงียบไว้เพราะเกรงว่าธอร์จะรอจังหวะให้พระองค์ควบคุมอารมณ์พระองค์เองไม่ได้และระเบิดอารมณ์ออกมา   เพื่อจะทำให้พระองค์ต้องอับอายและหัวเราะเยาะพระองค์   
                           เมื่อเทพธอร์ได้เห็นดังนั้นก็ยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ   พลางหันกลับมาทางฮารีซันที่ยังคงคุกเข่าอยู่เช่นนั้นและจ้องชายหนุ่มเขม็งพลางส่ายหน้าแม้จะยังคงมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของธอร์อยู่ “ไม่ใช่สหายทุกคนหรอกที่จะช่วยสหายของตนทันทีที่เขาร้องขอ  ฮารีซันจากเผ่าฟูดินัน” เทพธอร์นิ่งเงียบคล้ายจะพิจารณาชายหนุ่มตรงหน้าอยู่นาน ที่สุดจึงเอ่ยขึ้น “เจ้ามาที่นี่ทำไมฮารีซันจากเผ่าฟูดินัน”
                           ฮารีซันได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นกล่าวตอบ “ข้าแต่เทพธอร์ผู้ยิ่งใหญ่ ข้ามาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านปล่อยตัวกษัตริย์ซิกมันด์ให้เป็นอิสระและขอยืมนกสายฟ้าธันเดอริกจากท่าน   เวลานี้บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟ   ประชาชนกำลังล้มตายเป็นใบไม้ร่วง   หากไม่มีกษัตริย์ซิกมันด์คอยนำทัพและได้นกธันเดอริกจากท่านไปช่วยรบ   ทวีปเมอริเซียนี้คงจะมอดไหม้เพราะกองทัพเพลิงเป็นแน่”
                           เทพธอร์นิ่งเงียบไปและจ้องมองฮารีซันอีกครั้ง   ทุกคนต่างรู้สึกอึดอัดกับปฏิกิริยาของเทพเจ้าองค์นี้และรอฟังการตัดสินใจที่เหมือนจะเป็นการชี้เป็นชี้ตายอนาคตของฟีเลเซียและฟูดินัน   กษัตริย์ซิกมันด์นั้นแม้จะโกรธหัวหน้าชาวป่าที่บังอาจเสนอหน้ามาช่วยพระองค์ให้เสื่อมเกียรติ   แต่ลึก ๆ แล้วก็แอบหวังว่าเทพธอร์จะปล่อยพระองค์ให้เป็นอิสระ   เพราะทรงเห็นว่าเทพธอร์นั้นดูจะสนอกสนใจชาวบ้านป่าผู้นี้อยู่ไม่น้อย   ด้านเจ้าหญิงเรจิน่านั้นก็ใจเต้นระทึกด้วยความกระวนกระวายใจอย่างที่สุด   กลัวคำตอบที่จะออกจากปากของเทพธอร์จนแทบจะรอฟังไม่ได้   ในขณะที่ฮารีซันก็พยายามสงบใจให้นิ่งและอดทนฟังเทพธอร์อย่างตั้งใจ
                           เทพธอร์ยกเท้าขวาวางพาดบนเข่าซ้าย ตั้งศอกไว้บนเข่าขวาแล้วใช้มือเกยคางอย่างผู้ที่ใช้ความคิดพิจารณา
                           “เจ้าไม่คิดว่าการก้มลงกราบกรานอ้อนวอนข้าเพื่อคนอื่นแบบนี้ จะทำให้เจ้าเสียศักดิ์ศรีหรือ? เจ้าเป็นถึงหัวหน้าเผ่าของพวกมนุษย์”
                           ธอร์พูดขึ้นแต่สายตากลับจ้องไปทางกรงสายฟ้า จนดูเหมือนเจตนาพูดกระทบกระเทียบซิกมันด์มากกว่า
                           “สำหรับข้าแล้ว   ชีวิตคนสำคัญกว่าศักดิ์ศรี และกษัตริย์ซิกมันด์ก็คือคนที่มีความสำคัญต่อชีวิตคนอีกเป็นจำนวนมาก   ข้าไม่ได้อ้อนวอนเพื่อเขาเท่านั้น   แต่เพื่อคนจำนวนมากที่ฝากความหวังในตัวเขาด้วย”
                           ด้วยคำพูดนี้ ทำให้เทพเจ้าร่างยักษ์เลื่อนสายตากลับมาจ้องมองที่หนุ่มชาวป่าผู้นอบน้อมเบื้องหน้าอีกครั้ง   แววตาและสีหน้าที่เป็นมิตรเริ่มฉายออกมาแทนสีหน้าอันน่าเกรงขามเมื่อสักครู่   ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงที่เรียบเบาลงแต่ยังแฝงด้วยความทรงอำนาจ
                           “ตอบข้าสิ ฮารีซันจากเผ่าฟูดินัน   ทำไมข้าจะต้องทำตามที่เจ้าต้องการ?”
                           ฮารีซันค้อมศีรษะอย่างนอบน้อมอีกครั้งก่อนกล่าวตอบ “ไม่มีเหตุผลอื่นใดเลย   นอกเสียจากความเมตตาปราณีของท่านที่จะมีต่อเหล่ามนุษย์บนทวีปเมอริเซียนี้”
                           “ฮ่า! ฮ่า!ฮ่า!” เทพธอร์หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ “ถ้าข้าไม่ได้มีอำนาจหยั่งรู้ถึงจิตมนุษย์ได้   ข้าคงคิดว่าเจ้าเป็นคนช่างประจบ   แต่นี่เจ้าพูดจากจิตใจที่แท้จริงของเจ้า  ซึ่งทำให้ข้าพอใจมาก   มนุษย์ที่จิตใจดีอย่างเจ้า   ข้าไม่ได้เห็นมาหลายร้อยปีแล้ว” เทพธอร์โบกมือขึ้นครั้งหนึ่งกรงสายฟ้าก็อ่อนแสงลงและค่อย ๆ จางหายไปในที่สุด
                           “ซิกมันด์” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงร้องอย่างยินดีโผเข้าสวมกอดกษัตริย์ซิกมันด์   ซึ่งพระองค์ก็สวมกอดตอบด้วยความยินดีเพราะความลืมพระองค์   แต่เมื่อทรงระลึกขึ้นได้ว่าอาจดูไม่เหมาะสมก็รีบดันตัวพี่สาวของพระองค์ออกห่างทันทีด้วยความกระดากอาย   เจ้าหญิงเรจิน่าใช้สายตาสำรวจดูน้องชายอย่างรวดเร็วพร้อมถามด้วยความห่วงใย
                           “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม? บาดเจ็บตรงไหนรึไม่?” ซิกมันด์แม้จะเจ็บปวดไปทั้งตัวแต่ก็ส่ายหน้าเบา ๆ อย่างรวดเร็วแทนคำตอบ
                           ในขณะที่ฮารีซันยังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเทพธอร์ก็โค้งลงคารวะจนศีรษะจรดพื้นอีกครั้งเพื่อเป็นการขอบคุณ  ซึ่งเทพธอร์ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ   ก่อนจะยกมือขวาขึ้นกางออกระดับไหล่   มีเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นไปทั่วบริเวณ   และในฉับพลันนั้นเสียงร้องแหลมอย่างเสียงของนกก็ดังขึ้นเหนือช่องเขาพร้อม ๆ กับแสงแลบแปลบปลาบเหนือท้องฟ้า   กลุ่มเมฆดำเหนือช่องเขาเริ่มหมุนวนและสว่างวูบวาบเพราะสายฟ้า   และแล้วในชั่วเสี้ยววินาทีก็มีพญานกสีทองบินโฉบมาเกาะบนแขนของเทพธอร์พร้อม ๆ กับสายฟ้าฟาดถึงห้าสายที่ฟาดใส่พื้นบริเวณโดยรอบจนช่องเขาทั้งช่องสว่างจ้าในชั่วพริบตา   พญานกสีทองยืนผงาดสยายปีกจนสุดอย่างสง่างาม   ซึ่งขนาดของปีกนั้นมีขนาดกว้างถึงเจ็ดช่วงแขนของบุรุษที่โตเต็มวัย
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: December 13, 2006, 07:22:02 PM »

                           “ธันเดอริกตัวนี้ น่าจะเหมาะกับสถานการณ์ที่พวกเจ้ากำลังเผชิญ” เทพธอร์เอ่ยขณะมองนกสายฟ้าอย่างพอใจก่อนจะหันไปทางกษัตริย์ซิกมันด์ “เจ้ามนุษย์ผู้โอหัง”
                           กษัตริย์ซิกมันด์เมื่อทรงได้ยินดังนั้นก็ยืดตัวขึ้นและทรงมองดูเทพธอร์อย่างระแวดระวังทันที
                           “จงระลึกไว้ว่าข้า! ธอร์  เทพแห่งสายฟ้า   ปลดปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระและมอบธันเดอริกให้เจ้าหยิบยืมเพราะเห็นแก่ความนอบน้อมของฮารีซันแห่งฟูดินันผู้นี้   เมื่อสงครามสงบลงเจ้าจะต้องคืนธันเดอริกตัวนี้ให้ข้าทันที” กล่าวแล้วก็ยื่นแขนไปทางกษัตริย์ซิกมันด์   ซึ่งธันเดอริกก็กระพือปีกบินร่อนตรงไปเกาะแขนของกษัตริย์ซิกมันด์ที่รีบยื่นออกรับทันที   ทว่าใบหน้าของพระองค์กลับเต็มไปด้วยความอับอายและเคืองแค้นกับคำพูดของเทพธอร์อย่างที่สุด
                           “กษัตริย์เอ๋ย   จงเรียกมันด้วยชื่อที่เจ้าอยากเรียก   แต่ชื่อที่แท้จริงของมันนั้นเจ้าอย่าหมายได้รู้ เพราะข้าผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงเท่านั้นที่ใช้เรียกมัน” เมื่อธอร์กล่าวจบนกสีทองก็ส่งเสียงร้องขึ้นเหมือนยอมรับการไปอยู่กับเจ้านายใหม่เป็นการชั่วคราวของมัน

                           เมื่อเทพธอร์ได้จากไปทิ้งบุคคลทั้งสามไว้เพียงลำพังแล้ว   กษัตริย์ซิกมันด์จึงทรงหันมามองฮารีซันด้วยสายตาเครียดขึง   ความเจ็บแค้นที่ถูกดูแคลน   ทั้งอึดอัดที่ต้องทนเงียบให้ธอร์มาพูดจาถากถาง   ทั้งความรู้สึกสูญเสียศักดิ์ศรีที่ต้องถูกจองจำไม่ต่างจากทาสสงคราม  แล้วยังต้องเสื่อมเกียรติถึงขนาดให้ชาวป่ามาช่วยเหลือ ซิกมันด์ผู้ถูกสอนมาให้รักเกียรติและศักดิ์ศรียิ่งกว่าสิ่งใด ไม่เคยรู้สึกอับอายเท่านี้มาก่อนในชีวิต  ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นเคืองจนเกือบจะคลั่ง 
                           “เจ้าคนป่า   อย่าแม้แต่จะคิดว่าเจ้ามีบุญคุณกับข้า  หรือข้าจะขอบใจเจ้าด้วยความซาบซึ้ง   การกระทำของเจ้ามีแต่ทำให้ข้ารู้สึกอดสูและน่าสมเพท” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเสียงสะบัดและแผ่วเบาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน  “หากเจ้ากลับไปถึงที่ค่าย  เจ้าคงจะรีบโพทะนาเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ละสิ   เจ้าคงอยากจะรีบประกาศตัวว่าเป็นผู้มีบุญต่อกษัตริย์แห่งฟีเลเซียจนตัวสั่นเลยใช่มั๊ย?”
                           “ซิกมันด์! เจ้าเลิกพูดจาดูถูกฮารีซันเสียที   เจ้าพูดกับผู้ที่อุตส่าห์มาช่วยเจ้าอย่างนี้ได้อย่างไร?   ไม่มีแม้แต่คำขอบคุณด้วยซ้ำ?” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงอดที่จะโมโหไม่ได้   
                           “ใช่มั๊ย?!” กษัตริย์ซิกมันด์ยังทรงไม่ยอมลดราวาศอกโดยไม่สนใจคำพูดของเจ้าหญิงเรจิน่าแม้แต่น้อย
                           “ถ้านั่นเป็นสิ่งที่ท่านกำลังกังวลอยู่   ข้าจะไม่พูดใด ๆ เลยแม้แต่คำเดียว” ฮารีซันกล่าวเสียงเรียบ
                           “ข้าจะเชื่อคำพูดคนป่าอย่างเจ้าได้อย่างไร?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างขุ่นเคือง “เจ้ากล้าสาบานต่อเกียรติและศักดิ์ศรีของเจ้าหรือไม่?”
                           “ข้าสาบาน” ฮารีซันยอมกล่าวแต่โดยดี
                           “พูดให้จบสิ!” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเร่งด้วยใจร้อน   ทำให้นกธันเดอริกที่เกาะอยู่บนไหล่ของซิกมันด์หันไปมองตามด้วยความสนใจ
                           “ข้าสาบานต่อเกียรติและศักดิ์ศรีของข้าว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นบนเขานี้กับใคร”
                           เมื่อฮารีซันกล่าวจบ กษัตริย์ซิกมันด์ก็ทรงลอบระบายลมหายใจอย่าโล่งอกและดูมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง   แต่แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกด้วยความกังวล
                           “เสด็จพี่   สาบานสิ!” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงหันมาหาเจ้าหญิงเรจิน่ารับสั่งทันที
                           “อ๊ะ... ข้าด้วยรึ?” เจ้าหญิงอดถามไม่ได้
                           “สาบานสิ” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเร่ง ก้มหน้าคิ้วขมวด   ฮารีซันเองอดคิดไม่ได้ว่าสีหน้าของซิกมันด์ตอนนี้ดูเหมือนเด็ก ๆ ที่อ้อนเอาของจากพี่สาวทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งวางท่าใหญ่โตกับตน
                           “ก็ได้ ๆ ข้าสาบานว่าจะไม่พูดเรื่องที่เกิดขึ้นบนนี้กับใคร” เจ้าหญิงตรัสเร็วปรื๋อ  แต่มือซ้ายก็ยกขึ้นแอบไขว้นิ้วไว้ข้างหลังแบบอัตโนมัติทันทีเช่นกัน   ทำเอาฮารีซันต้องแสร้งกระแอมเพื่อกลบเกลื่อนความขำ
                           แต่กษัตริย์ซิกมันด์ที่ทั้งเหนื่อยและอิดโรยมัวแต่กังวลที่จะให้ทุกคนสาบาน   จึงไม่ทันได้สังเกตอะไรนอกจากฟังให้แน่ใจว่าทั้งคู่สาบานเรียบร้อยหรือไม่   เมื่อทรงเห็นว่าเรียบร้อยแล้วจึงส่งสัญญาณขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อรอทัพย่อยที่จะเดินทางมารับทันที
                           “เสด็จพี่ไปกันเถอะ” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงกลับหลังหันและฉวยแขนของเจ้าหญิงออกเดินออกจากช่องเขาทันทีโดยไม่หันไปมองฮารีซันอีก
                           “เดี๋ยวสิ ซิกมันด์” เจ้าหญิงทรงเร่งฝีเท้าให้ทันพลางหันกลับไปมองฮารีซันที่ยังคงยืนนิ่งมองสองพี่น้องผู้สูงศักดิ์ที่เดินห่างออกไป
                           “ขอทีเถอะ   ข้าเหนื่อยและก็ล้าเต็มทนแล้ว   อย่าพูดอะไรให้ข้าต้องอารมณ์เสียไปมากกว่านี้เลย” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนอย่างแท้จริง   เมื่อแน่ใจว่าเดินห่างฮารีซันมามากพอที่เขาจะไม่ได้ยินการสนทนา
                           เจ้าหญิงเรจิน่าทรงเงียบเสียงลงทันที   น้อยครั้งนักที่น้องชายของพระองค์จะยอมรับถึงความเหนื่อยอ่อนของเขา   เมื่อเขาพูดถึงขนาดนี้แสดงว่าเขาเหน็ดเหนื่อยจนแทบจะถึงขีดสุดแล้ว   พระองค์จึงยอมทำตามที่น้องชายขอแต่โดยดีพลางหันไปมองฮารีซันด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเสียใจและรู้สึกผิดต่อการกระทำของซิกมันด์   ในขณะที่ฮารีซันก็พยักหน้าให้เจ้าหญิงอย่างเข้าใจ   สายตาของคนทั้งคู่ประสานกันเหมือนจะสื่อสารกันภายในจิตใจ   ก่อนที่กษัตริย์ซิกมันด์จะกึ่งลากกึ่งจูงเจ้าหญิงเรจิน่าหายลับไปจากช่องเขานั้น





Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #7 on: December 28, 2006, 05:12:40 PM »

มาเม้าส์กันต่อที่นี่นะจ๊า

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=26582.0
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.098 seconds with 21 queries.