Summoner Master Forum
April 25, 2024, 01:43:32 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter21 สัญญาณจากสวรรค์ @@  (Read 12075 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: September 05, 2003, 04:53:09 AM »

Chapter 21 สัญญาณจากสวรรค์

                      ณ กระโจมที่ซึ่งเหล่าแม่ทัพนายกองแห่งอาณาจักรซาโลมกำลังชุมนุมกันอยู่   บรรยากาศภายในนั้นชวนให้อึดอัดและตึงเครียดยิ่งนัก   ไม่มีใครกล้าปริปากถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแม้เพียงสักคนเดียว
                      หน้าบัลลังก์ที่ประทับ   ราชินีแห่งซาโลมยืนขบกรามแน่น  มือของนางกำคฑาคู่ใจไว้แน่นจนนิ้วทั้งห้านั้นซีดขาว   ความรู้สึกต่างๆประดังเข้ามาหานางจนร่างทั้งร่างสั่นเทิ่ม   ทั้งอับอายขายหน้าสามีและข้าราชบริพาร ทั้งโกรธแค้นชาวฟูดินัน ทั้งใจหายที่จะไม่ได้กลับไปพบหน้าลูกชายได้ดั่งใจหมาย   ภาพเปลวเพลิงที่ค่อยๆมอดดับยังความอัปยศเหลือที่จะกล่าว   เสียงไชโยโห่ร้องด้วยความดีใจของบรรดาชาวป่าที่ก้องสะท้อนไปทั่วทั้งป่าเป็นดั่งคำสบประมาทและท้าทายนาง  
                      “เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เราคงต้องเปลี่ยนแผนการรบเสียใหม่” อุปราชเฒ่าเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบในที่สุด
                      เนอริมอร์หันควับไปจ้องบลาสเซจด้วยสายตาเกรี้ยวกราดทันที   สิ่งที่จะปกปิดความอัปยศอดสูของนางได้ดีที่สุดก็ไม่พ้นความเกรี้ยวกราดของนางนั่นเองและมันก็ใช้ได้ผลดีมากเสียด้วย   เพราะบรรดาแม่ทัพนายกองต่างก็ไม่มีใครกล้าสบตากับนางแม้เพียงสักคนเดียว   ข้างซาดินเองก็อึดอัดใจอยู่มิใช่น้อย   เมื่อเห็นได้ชัดว่านางพร้อมจะระเบิดอารมณ์ใส่ใครก็ตามที่พลาดท่าจุดชนวนในครั้งนี้
                      “เอาเถิดเนอริมอร์   เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นความผิดพลาดของเจ้า   ถ้าไม่ใช่เพราะเทพเจ้าของพวกมันช่วยเหลือแล้ว   มีรึที่พวกมันจะอาจหาญต่อกรกับเราได้” อารมณ์ของซาดินเองก็เริ่มที่จะคุกรุ่นขึ้นมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “บัดซบนัก! ข้าเองก็รบทัพจับศึกมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง  แต่มีครั้งนี้แหละที่จะต้องมาสู้กับเทพเจ้า   ไอ้ต้นไม้บ้านั่น...ข้ารึสู้อุตส่าห์คิดสารพัดวิธีกว่าที่จะผ่านไอ้มังกรสองหัวงี่เง่านั่นได้   ยังต้องมาเจอกับไอ้ต้นไม้บ้านี่อีก   นี่มันอะไรกันนักหนานะ”    
                      ทุกคนในที่ประชุมต่างเงียบกริบเมื่อได้ฟังกษัตริย์ของตนกล่าวเช่นนี้   ความรู้สึกของแต่ละคนก็แตกต่างประสมปนเปกันไป   ทั้งโกรธแค้นตามผู้นำของตน   บ้างก็กลัวโทสะที่จู่ๆก็พุ่งขึ้นมาอย่างไม่มีสัญญาณเตือนของซาดิน   บ้างก็รู้สึกสิ้นหวังในการรบที่แทบจะไม่เห็นหนทางชนะในครั้งนี้  
                      “ฝ่าบาท   นี่อาจจะเป็นชะตาที่ฟ้ากำหนดให้พวกฟูดินันได้ครองดินแดนที่อุดมสมบูรณ์นี้   พวกมันถึงได้มีเทพเจ้ามากมายคอยช่วยเหลือ...”  บลาสเซจกล่าวยังไม่ทันจบก็ต้องสะดุดสุดตัวเมื่อซาดินโกรธจนใช้แขนฟาดโต๊ะที่อยู่ข้างกายจนแตกเป็นเสี่ยงๆ   ดวงตาถตัวเองทึงจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า
                      “ชะตาฟ้าบ้าบออะไรกัน!!  ข้านี่แหละจะเป็นผู้เปลี่ยนชะตาเอง   หุบปากของเจ้าซะแล้วใช้สมองคิดแผนการรบใหม่เสียที” กษัตริย์หนุ่มหันไปทางภรรยาของตนแล้วกล่าวว่า “เจ้าก็อย่าหัวเสียให้มากนักเลย   มาช่วยกันคิดแผนบุกพวกมันใหม่จะดีกว่า”  
                      ริ้วแห่งความกระดากและตระหนกปรากฎบนสีหน้าของราชินีแห่งซาโลมเล็กน้อยก่อนที่นางจะก้าวขึ้นที่ประทับที่ถูกจัดเตรียมไว้   เนอริมอร์เองก็รับอารมณ์โกรธที่พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วของสามีไม่ทันจนนางลืมความโกรธของตัวเองไปเสียสนิท   เวลานี้อารมณ์ที่สับสนปนเปผนวกกับความเหนื่อยล้าทำให้นางอยากจะกลับที่พักและซ่อนตัวอยู่ในกระโจม มากกว่าจะมานั่งที่ประชุมเพื่อตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าข้าราชบริพารอยู่เช่นนี้
                      “เนอริมอร์!”
                      เนอริมอร์หันไปทางต้นเสียงด้วยความตกใจ   ซาดินนั่นเองที่เป็นคนเรียกนาง    เขามองนางด้วยสีหน้าประหลาดใจและรวมไปถึงคนอื่นๆ ด้วย นี่นางนั่งใจลอยไปนานเท่าไรกัน
                      “เจ้าพร้อมที่จะฟังรึยัง” ซาดินถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจนัก    เนอริมอร์รีบพยักหน้ารับ   อุปราชเฒ่าจึงเริ่มต้นกล่าวสรุปแผนการทั้งหมด
                      “เป็นอันว่าเราจะบุกฟีเลเซียโดยเริ่มโจมตีตามตะเข็บชายแดนที่ติดกับเทือกเขาคีรีบันดา” บลาสเซจใช้ไม้ปลายแหลมชี้ไปตามหัวเมืองต่างๆที่อยู่ตามแนวชายแดนของฟีเลเซีย “เราจะตียาวไปจนสุดชายฝั่งเพื่อตัดขาดการติดต่อระหว่างฟูดินันและฟีเลเซีย   แล้วเริ่มตีโอบฟีเลเซียเป็นหน้ากระดานพร้อมกัน   นี่จะทำให้พวกฟีเลเซียรวมทัพใหญ่ได้ลำบากมากขึ้นเพราะต้องแบ่งกำลังส่วนหนึ่งไว้ป้องกันหัวเมืองของตนเอง   การโจมตีในครั้งนี้ต้องรุกให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้พวกฟีเลเซียจัดทัพได้ทัน   ดังนั้นเราจะต้องยึดแต่ละหัวเมืองให้ได้โดยไม่ควรใช้เวลาเกินเมืองละสามวัน”
                      เกิดเสียงถกเถียงขึ้นในหมู่แม่ทัพนายกองทันทีที่สิ้นคำของบลาสเซจ  
                      “มันจะไม่ไหวเอานะท่านอุปราช   ถ้าทำเช่นนั้นทหารก็แทบจะไม่ได้หยุดพักเลย   แล้วจะรบกันไหวได้อย่างไร” แม่ทัพคนหนึ่งท้วงขึ้น       ���
« Last Edit: November 10, 2003, 04:50:10 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: September 05, 2003, 04:54:19 AM »

                      “อย่าเพิ่งรีบตีโพยตีพายนักสิ   หากพวกท่านทำตามที่ข้าบอก   เหล่าทหารก็แทบจะไม่ต้องเหนื่อยเลย  ซ้ำยังอาจยึดหัวเมืองต่างๆได้ง่ายและเร็วกว่าที่กำหนดเสียอีก” บลาสเซจกล่าวสำทับอย่างมั่นอกมั่นใจ
                      “เจ้ามีวิธีดีๆอย่างนั้นรึ” ซาดินถามอย่างตื่นเต้น
                      บลาสเซจคำนับรับคำพลางแสยะยิ้มทูลว่า  “หากฝ่าบาทโจมตีหัวเมืองแรกอย่างรวดเร็ว รุนแรง และ อำมหิตที่สุด   เมืองต่างๆที่เหลือนอกจากจะเตรียมทัพไม่ทันแล้วยังแทบจะไม่มีจิตใจที่จะสู้อีกด้วย   เพราะคำร่ำลือถึงความหฤโหดของการโจมตีในครั้งแรกนั้นจะกระจายไปทั่วทั้งอาณาจักรอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง   ยิ่งร่ำลือกันมากเหตุการณ์ก็จะยิ่งถูกแต่งเติมให้เลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ   แล้วทีนี้จะมีใครที่ไหนกันเล่าที่จะหาญกล้าสู้กับกองทัพปีศาจกระหายเลือดที่ชั่วร้ายและอำมหิตที่สุด”
                      ซาดินพยักหน้าช้าๆ และยิ้มอย่างพออกพอใจกับแผนการนี้   บลาสเซจกล่าวสำทับอีกว่า
                      “ที่เมืองหน้าด่านแห่งนี้เป็นเมืองชนบทที่ห่างไกลจากเมืองหลวงมากที่สุด   ซ้ำยังมีประชากรไม่มากเท่าใดนัก   อีกทั้งส่วนใหญ่ก็ประกอบอาชีพกสิกรรม   พวกที่เป็นอัศวินส่วนใหญ่ก็จะเข้าประจำการในเมืองหลวงกันเสียมาก   ดังนั้นการจะบุกเมืองนี้ก็ไม่น่าจะยากเย็นเท่าไหร่”
                      “ดี !   ถ้าเช่นนั้นเจ้าเห็นว่าใครเหมาะสมที่จะนำทัพบุกยึดเมืองแรกนี้” ซาดินถามขึ้น
                      “ข้าเอง”   ทุกคนในห้องต่างตกตะลึงหันไปมองเป็นตาเดียว   เมื่อราชินีแห่งซาโลมลุกขึ้นรับอาสาออกรบในครั้งนี้
                      “เจ้ารึ”   ซาดินเองก็ประหลาดใจไม่แพ้คนอื่นๆเพราะเนอริมอร์เป็นบุคคลเดียวในกองทัพที่ไม่มีกะจิดกะใจที่จะรบที่สุด   แต่ก็พอที่จะรู้ว่านางต้องการใช้เหตุการณ์นี้กู้หน้าของตน   จึงไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้านแต่อย่างใด   “แล้วพวกเจ้าล่ะเห็นว่าอย่างใด”      
                      บรรดาแม่ทัพนายกองต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าฝีมือการทำลายล้างขององค์ราชินีนั้นยากนักที่จะหาใครต้านทานได้   ซ้ำการโจมตีของนางแต่ละครั้งยังแทบไม่มีการสูญเสียไพร่พลเลย   เพราะนางโจมตีด้วยพลังเวทย์  และ  ฝูงมังกรจากที่สูง
                      “ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมมีเวลา  2 ชั่วยามให้พระนางก่อนที่เหล่าทหารราบจะเข้ายึดเมือง”   บลาสเซจเอ่ยขึ้น
                      “เหลือเฟือ!!”   กล่าวเสียงสะบัดด้วยความรำคาญ  
                      “ดี!  พรุ่งนี้เช้าสั่งเคลื่อนทัพสู่ฟีเลเซียทันที”   ซาดินประกาศก้อง
« Last Edit: September 05, 2003, 05:09:19 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: September 05, 2003, 04:55:38 AM »

                      ในคืนหนึ่งที่เงียบสงัด   ประชาชนชาวฟีเลเซียในเมืองหลวงต่างก็หลับใหลอย่างอบอุ่นในบ้านของตน   ณ  ที่พำนักของนักบวชชั้นสูงใกล้กับวิหารหลวง   สู่ห้องชั้นบนสุดฝั่งทิศตะวันออกอันเป็นที่พักของประมุขศาสนจักรแห่งฟีเลเซีย   ภายในห้องนั้นถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนโทนสีอ่อนและขาว   สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมีไม่มากนัก   เว้นเสียแต่ของใช้ที่จำเป็นต่อกิจวัตรประจำวันเท่านั้น   ที่ผนังด้านหนึ่งมีตู้หนังสือขนาดใหญ่สูงจนจรดเพดาน   ทุกๆชั้นล้วนเต็มไปด้วยหนังสือปรัชญาและศาสนา   ใกล้กันนั้นมีโต๊ะหนังสือสีน้ำตาลเข้มที่ทำจากไม้เนื้อแข็งตั้งอยู่    บนโต๊ะนั้นมีหนังสือปกแข็งและม้วนกระดาษวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ   ไม่ใกล้ไม่ไกลนักมีห้องเล็กๆที่ถูกกั้นแบ่งด้วยฉากไม้ฉลุสีครีม    ภายในนั้นมีแท่นคุกเข่าสำหรับอธิษฐานภาวนา   บนแท่นนั้นมีหนังสือคัมภีร์ที่ถูกอ่านค้างไว้วางอยู่   ลึกเข้าไปอีกฟากหนึ่งของห้องมีเตียงเดี่ยวสี่เสาที่ทำจากไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลเข้มปูด้วยผ้าเนื้อนุ่มสีขาวสะอาด   บนเตียงนั้นบิช็อปเกรเกอรี่กำลังนอนหลับแต่ทว่าไม่สนิท   เหมือนกำลังหลับแต่ก็ตื่นในเวลาเดียวกัน   เหตุการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
                      แทบจะทันทีบิช็อปหนุ่มก็สะดุ้งตื่นขึ้น   เขามองไปรอบๆอย่างงุนงง   ภาพในฝันของเขาดูสมจริงจนเขาสับสน   เมื่อตั้งสติได้เขาจึงทรุดกายลงคุกเขาอธิษฐานภาวนาข้างเตียง และ ทบทวนความฝันนั้นอีกครั้ง   เมื่อขอความสว่างจากเบื้องบน   ในจิตก็ได้ตระหนักแน่ว่านั่นคือนิมิตบอกเหตุนั่นเอง   เขารีบลุกขึ้นและตรงไปยังโต๊ะหนังสือทันที   เขารีบจุดตะเกียงและคว้าสมุดบันทึกเล่มหนึ่งจากชั้นหนังสือบนโต๊ะแล้วเริ่มบันทึกดังนี้
                      ‘ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั้น   ข้าพเจ้าได้เห็นนิมิตที่บอกถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
                      ข้าพเจ้านิมิตว่าข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่บนระเบียงของวิหารหนึ่งในฟีเลเซียและกำลังมองดูความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรภายใต้ท้องฟ้าสีฟ้าใสกระจ่าง   ทันใดนั้นก็เกิดเหตุอาเพทท้องฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่นทำให้ท้องฟ้าตอนบนเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานราวกับโลหิต  
                      ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังตระหนกกับเหตุการณ์ตรงหน้า   จู่ๆบนท้องฟ้านั้นก็เกิดแสงสว่าง และปรากฏร่างของนางฟ้าผู้แสนสง่าและงดงาม   ข้าพเจ้าจึงตระหนักได้ว่านางคือ นางฟ้าแห่งดาบผู้เป็นอารักขเทวดาแห่งประเทศฟีเลเซีย ผู้มีนามว่า ฟรานเชสก้า (Francessca, the Angel of Swords)   นางอยู่ในชุดเสื้อเกราะขลิบทอง   ผมสีทองยาวสยาย   ท่วงท่าของนางสง่างามและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ   ปีกสีขาวงดงามนั้นกางแผ่กว้าง   ใบหน้าที่สวยงามของนางหันไปทางเหนือ สายตาของนางทอดยาวออกไปไกลจนดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด   มีดาบขนาดมหึมาที่สลักเสลาด้วยลวดลายแสนวิจิตรอย่างที่ข้าพเจ้ามิเคยพบเห็นในที่ใดมาก่อน   ด้ามจับของดาบนั้นทำด้วยโลหะชั้นดีขลิบทองพันเป็นเกลียวล้อมด้าม   ลวดลายที่คอด้ามนั้นก็แปลกเพราะมีลักษณะคล้ายกริชอีกเล่มวางขวางระหว่างตัวดาบและด้ามจับ   มีอัญมณีสีฟ้าใสเปล่งประกายแวววาวประดับทั่วทั้งตัวดาบและด้ามจับ  ดาบนั้นลอยอยู่ใกล้ตัวของนาง  และยังมีดาบอีกเล่มหนึ่งขนาดเล็กว่าและงดงามน้อยกว่าเล่มแรกมากเหน็บไว้ข้างกาย   ในนิมิตนั้นนางมิได้กล่าวคำพูดใดๆเลย   เป็นภาพที่งดงามและทรงอำนาจ แต่มีความน่าหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน และนี่คือนิมิตทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้เห็น’
                      เกรเกอรี่หยุดบันทึกแล้วเริ่มอ่านสิ่งที่เขียนอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อตีความหมาย   ความวิตกกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจของเขาอย่างรวดเร็ว   เขาจรดปากกาลงอีกครั้ง
                      ‘หากการตีความหมายของข้าพเจ้าไม่ผิดพลาด   ในอนาคตอันใกล้นี้จะเกิดสงครามครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟีเลเซียขึ้นอย่างแน่นอน   สายตาที่ทอดยาวไปไกลของนางฟ้าแห่งดาบบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าสงครามครั้งนี้จะกินเวลายาวนานและยังไม่มีการไขแสดงจากสวรรค์ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้กำชัยชนะ
                      ข้าพเจ้าหวังเหลือเกินว่านิมิตในครั้งนี้จะเป็นเพียงความฝันธรรมดาที่ข้าพเจ้าวิตกมากเกินไปเอง’
��������������������                                              �ขอพระเจ้าทรงประทานพรแก่ฟีเลเซีย
������������������������                                                              บี.  เกรเกอรี่
                      เกรเกอรี่วางปากกาลงก่อนจะเลื่อนตัวลุกขึ้นจากโต๊ะตรงไปยังห้องอธิษฐาน   เขาย่อตัวลงช้าๆบนแท่นคุกเข่าและเริ่มอธิษฐานภาวนาอีกครั้ง���
« Last Edit: September 07, 2003, 02:12:12 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: September 05, 2003, 04:58:17 AM »

                          หลังจากเคลื่อนทัพสู่ฟีเลเซียได้เพียงสามสัปดาห์   ราชินีแห่งซาโลมก็บุกเข้าโจมตีเมืองหน้าด่านของฟีเลเซียทันที   ในเวลาเพียงสองชั่วยามเนอริมอร์พร้อมทัพมังกรไฟ  300 ตัว ก็ทำลายเมืองหน้าด่านของฟีเลเซียจนย่อยยับไปถึงสามเมือง   เมืองหน้าด่านที่มีทิวทัศน์ที่สวยงามแวดล้อมไปด้วยทิวเขาเขียวชะอุ่ม  และ  ดอกไม้นานาพันธุ์ทั้งบ้านเรือนที่ปลูกกระจายตัวอยู่ทั่วไปล้วนแล้วแต่ถูกสร้างอย่างงดงามเพราะเป็นเมืองที่ขุนนางทั้งหลายชอบมาปลูกบ้านไว้พักผ่อนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ   ทว่าเวลานี้เหลือเพียงซากปรักหักพังที่ดำเป็นตอตะโกและควันไฟกระจายไปทั่ว   ความหายนะแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกที่ไม่มีชาวเมืองคนใดหนีรอดจากการโจมตีในครั้งนี้แม้เพียงสักคนเดียว   ไม่มีแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตใดๆเหลืออยู่ในเมือง
               

                         “ฮา!ฮา!ฮา!   ดีมาก   เจ้าทำได้ดีมากเนอริมอร์”   ซาดินตบเข่าหัวเราะชอบใจหลังจากฟังรายงานผลการรบของภรรยา
                         “ข้าเห็นว่ามันเป็นเพียงแค่เมืองชนบทไม่มีอะไรมากมายนัก   ข้าจึงตีเพิ่มให้ท่านอีกสองเมืองหวังว่าท่านคงจะพอใจ” เนอริมอร์กล่าวเสียงเรียบทว่าแววตานั้นฉายแววแห่งความภาคภูมิใจไว้เต็มเปี่ยม
                         “ข้าพอใจมากเนอริมอร์”  ซาดินกล่าวสำทับอีกครั้ง
                         “ถ้าเช่นนั้น...ข้าอยากจะขออะไรท่านสักอย่าง   ท่านเคยเอ่ยปากให้ข้าแล้วแต่ข้ายังไม่ได้รับ”  เนอริมอร์กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
                         “ได้สิ   เจ้าอยากได้อะไรก็ว่ามาเลย” ซาดินตอบรับอย่างอารมณ์ดี
                         “ข้าอยากจะกลับซาโลมตามสัญญาที่เราเคยตกลงกันไว้   ท่านคงยังจำได้” เนอริมอร์เตือนความจำของสามี
                         ซาดินขมวดคิ้วลงแทบจะทันที   เขาเกลียดความปากไวของตนเองนัก   อีกทั้งเขาก็มิใคร่อยากจะให้นางทิ้งกองทัพไปสักเท่าไรเพราะแค่มีนางอยู่ก็เหมือนมีกองทัพอีกหนึ่งกองเลยทีเดียว   แต่ผลงานของนางในครั้งนี้ก็สมควรที่จะได้รับบำเหน็จรางวัล
                         “ก็ได้   แต่อย่าลืมสัญญาของเจ้าล่ะ   สามเดือนเท่านั้น” ซาดินกำชับเหมือนเกรงว่าภรรยาของตนจะแสร้งลืมกำหนดเวลาและอาจกลับมาช่วยรบช้ากว่ากำหนด
                         “ข้าไม่ลืมแน่นอน”  เนอริมอร์กล่าวด้วยความโลดเต้นยินดี   “ถ้าเช่นนั้นข้าขอลาท่านเลย”  เนอริมอร์โค้งคำนับแล้วหมุนตัวกลับก้าวเดินออกไปทันที   นางแทบจะทนรอพบหน้าลูกชายไม่ไหว
                         “เจ้าจะไปเดี๋ยวนี้เลยรึ” ซาดินตกใจกับความเร่งรีบของภรรยา
                         “ยิ่งไปเร็วเท่าไหร่   ข้าก็ยิ่งกลับมาเร็วขึ้นเท่านั้นมิใช่หรือ” เนอริมอร์กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว



                         ท่ามกลางหมู่แมกไม้และธรรมชาติอันร่มรื่น   ต้นไม้หลากหลายพันธุ์ทั่วทั้งผืนป่าเพิ่งจะแทงยอดสีเขียวอ่อนจนทั้งบริเวณนั้นแลดูสดใสด้วยสีเขียวอ่อนของใบไม้เล็กๆมากมาย   มวลดอกไม้นับร้อยนับพันก็เริ่มแย้มกลีบดอกหลากสี   เหล่าแมลงตัวน้อยไม่ว่าจะเป็น สกาลีโอ(Sgaleo), เกล แกรบ(Gale Grub) และ สกาไลท์ (Scalight) ต่างก็บินหยอกล้อสายลมและมวลไม้ดอกอย่างปรีดิ์เปรม   แม้ว่าสภาพป่าโดยรอบยังคงปรากฏให้เห็นร่องรอยอันโหดร้ายของไฟป่าครั้งใหญ่อยู่ทั่วไป   แต่สัญลักษณ์ของชีวิตใหม่เหล่านี้ก็ช่วยบรรเทาจิตใจชาวฟูดินันและชาวป่าเผ่าต่างๆได้มากทีเดียว
                         เผ่าฟูดินันนั้นแม้ไม่ได้ถูกโจมตีหนักเท่าเผ่าอื่นๆ   แต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นก็ยังความเสียหายให้แก่บ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวบ้านไปถึงเจ็ดในสิบส่วน   ทว่าอุปนิสัยที่มีมิตรจิตมิตรใจของชาวฟูดินันก็ทำให้การบูรณะเผ่าดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว
                         เมื่อตะวันเริ่มคล้อยลงต่ำ   บ้านหลังสุดท้ายที่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจกันของชาวฟูดินันก็ได้รับการบูรณะจนสำเร็จ  เสียงไชโยโห่ร้องด้วยความดีใจดังสะท้อนก้องป่า
                         ฮารีซันเดินออกมายืนอยู่ต่อหน้าทุกคนในเผ่าโดยมีวานาอันยืนประคองวูจินอยู่ข้างหลัง
                         “ผมขอขอบคุณในความมีน้ำใจและความสามัคคีของชาวฟูดินันทุกๆท่านที่ทำให้การบูรณะเผ่าของพวกเราดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้”
« Last Edit: September 06, 2003, 12:48:25 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: September 05, 2003, 04:59:14 AM »

                       หัวหน้าเผ่าหนุ่มกล่าวขึ้นท่ามกลางเสียงปรบมือแสดงความยินดีของบรรดาชาวเผ่า “ในที่สุดเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆก็ผ่านพ้นไปแล้ว   แม้ว่ามันได้สร้างบาดแผลในใจให้แก่พวกเราทุกคน   แต่มันก็ทำให้เราแข็งแกร่งและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากขึ้น   และจากเหตุการณ์นี้ก็แสดงให้เราเห็นถึงความกล้าหาญของเด็กสาวชาวฟูดินันคนหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้วิกฤตการณ์ครั้งนี้ผ่านไปด้วยดี   ซึ่งควรที่พวกเราชาวฟูดินันจะดูไว้เป็นแบบอย่าง”
                       ฮารีซันหันไปจูงมือน้องสาวของตนให้มายืนต่อหน้าชาวฟูดินันก่อนจะกล่าวว่า “ขอบใจน้องมาก วานาอัน   น้องได้ช่วยชีวิตพวกเราทุกคน   พี่ภูมิใจในตัวน้องมากจริงๆ”
                       ชาวฟูดินันทุกคนต่างก็ปรบมือและส่งเสียงไชโยโห่ร้องเสียงดังสนั่นให้แก่วานาอันจนใบหน้าของเธอแดงก่ำ   สองพวงแก้มขาวนวลเวลานี้เปลี่ยนเป็นสีแดงไม่ต่างกับผลไม้สุกปลั่ง   เด็กสาวได้แต่ยิ้มรับเสียงปรบมือของทุกคนอย่างเอียงอายและพยายามถอยหลังไปหลบข้างหลังพี่ชาย   เมื่อชาวบ้านเห็นดังนั้นก็พากันยิ้มขันด้วยความเอ็นดู   ต่างก็ยิ่งปรบมือและส่งเสียงโห่ร้องอย่างชอบใจทำเอาเด็กสาวอายจนรู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนวูบวาบไปหมด   เธอชำเลืองมองท่านปู่อย่างอายๆริมฝีปากคู่บางเม้มแน่น   แต่ก็แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเธอบังคับริมฝีปากน้อยๆไม่ให้ยิ้มไม่ได้  
                       ครั้นวูจินเห็นท่าทางหลานสาวเข้าก็หัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจแกมเอ็นดู   ผู้เฒ่าโบกมือช้าๆเป็นเชิงให้เบาเสียงลงก่อนจะกล่าวกลั่วเสียงหัวเราะว่า
                       “เอ๊า! พอแล้ว  พอแล้ว    เดี๋ยวข้าก็แยกไม่ออกกันพอดีว่าไหนเป็นดวงอาทิตย์ ไหนเป็นหน้าของหลานข้า”
                       เมื่อชาวบ้านได้ยินเข้าต่างก็หัวเราะชอบใจกันยกใหญ่   ข้างฝ่ายเด็กสาวแม้จะยังอายอยู่แต่ก็อดขำคำปู่ไม่ได้   วูจินยิ้มกว้างกล่าวว่า
                       “วันนี้เรามาจัดงานรื่นเริงกันดีไหม   พวกเราจะได้ลืมเรื่องร้ายๆไปเสีย และก็ฉลองการบูรณะเผ่าของพวกเราที่สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี”
                       เสียงปรบมือไชโยโห่ร้องเห็นด้วยก็ดังสะท้อนก้องป่าอีกครั้ง   ชาวป่าทุกคนต่างก็รีบแยกย้ายไปจัดเตรียมงานฉลองกันอย่างสนุกสนาน
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: December 19, 2004, 04:21:51 AM »

มาเม้าส์กันต่อที่นี่เลยจ๊า~~~~

http://www.smnforum.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=2931;start=0#lastPost

Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.073 seconds with 21 queries.