Summoner Master Forum
March 29, 2024, 09:35:44 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายEpi9 Chapter 3 @@  (Read 7466 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: October 13, 2008, 08:16:24 PM »

Chapter 3

                     ณ เมืองอาวีเลียแห่งอาณาจักรฟีเลเซีย   ซึ่งมีกองกำลังทหารทั้งฝ่ายฟูดินันและฟีเลเซียจำนวนหลายแสนนายประจำการณ์อยู่   ทำให้ทั้งเมืองค่อนข้างที่จะแออัดยัดเยียดกัน และแลดูไม่เหลือเค้าเมืองชนบทอันสวยงามอีกแล้ว   รอบกำแพงเมืองอาวีเลียที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ภายในเวลาไม่กี่เดือน   เวลานี้สูงลิ่วและแน่นหนาแข็งแรงยิ่งกว่าเมืองใด ๆ ในอาณาจักรฟีเลเซีย   หากใครสักคนจะมองดูยอดกำแพงเมืองก็ต้องเงยหน้าจนคอตั้งบ่าจึงจะมองเห็นได้ และความหนาของกำแพงก็กว้างขวางเสียจนสามารถนำมังกรขนาดโตเต็มวัยขึ้นไปยืนได้อย่างสบาย ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการโจมตีที่แสนจะหนักหน่วงของกองทัพเพลิงแห่งซาโลมนั้นเอง หากเป็นกองทัพจากอาณาจักรขนาดกลางและขนาดเล็กได้มาเห็นความแข็งแกร่งของกำแพงเมืองแห่งอาวีเลียก็คงแทบสิ้นหวังและถอดใจ    ถ้าจะต้องทลายกำแพงนี้เพื่อพิชิตเมืองอาวีเลียที่อยู่ภายใน   แต่กับมหากองทัพที่มีจำนวนมากมายมหาศาล และแปลกประหลาดราวกับกองทัพจากขุมนรกของจักรวรรดิซาโลมซึ่งไม่กลัวแม้ความตาย   ทำให้กำแพงเมืองแห่งนี้ต้องรับศึกหนักมากมายหลายครั้งหลายครา   จนปรากฏร่องรอยการสู้รบมากมายที่ผิวกำแพงด้านนอก และต้องทำการซ่อมแซมอยู่เสมอทุกครั้งที่มีโอกาส
                     ที่อีกฟากของเมืองอันเป็นที่ตั้งของจวนเจ้าเมือง   ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นศูนย์บัญชาการรบของกองทัพฟีเลเซียตั้งแต่กองทัพร่วมฟีเลเซียและฟูดินันสามารถยึดเมืองคืนจากกองทัพซาโลมได้สำเร็จ   เวลานี้ภายในห้องโถงใหญ่เนืองแน่นไปด้วยบรรดาแม่ทัพนายกองจากทั้งฝ่ายฟีเลเซียและฟูดินัน   เสียงพูดคุยถึงข่าวสารการรบต่าง ๆ ดังเซ็งแซ่ไม่หยุด
                     “กษัตริย์ซิกมันด์ที่สามเสด็จแล้ว” เสียงแจ้งการมาถึงของกษัตริย์ซิกมันด์ที่สามทำให้เสียงเซ็งแซ่ภายในห้องโถงสงบลง
                     กษัตริย์ซิกมันด์ที่สามเสด็จเข้ามาอย่างรวดเร็วจนชายผ้าคลุมสีเหลืองโบกสะบัด   สีพระพักตร์ยังคงฉายแววหยิ่งทะนง และภาคภูมิใจในเลือดสีน้ำเงินของพระองค์   เฉกเช่นสายลมโหมกล้าที่พัดผ่านอาณาจักรฟีเลเซียไม่เคยเปลี่ยน
                     “ถวายบังคม ฝ่าบาท” เสียงจากเหล่าแม่ทัพทหารดังขึ้นแทบจะพร้อมกันเพื่อรับเสด็จ
                     กษัตริย์ซิกมันด์ที่สามทรงก้าวขึ้นประทับบนบัลลังก์อย่างองอาจท่ามกลางรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจในองค์กษัตริย์ของตนจากบรรดาแม่ทัพนายกองฟีเลเซีย
                     “ข่าวจากหน่วยสอดแนมยังมาไม่ถึงอีกหรือ?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเสียงเฉียบ
                     “ทูลฝ่าบาท คงใกล้จะมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะหัวหน้าหน่วยสอดแนมให้คนมาแจ้งตั้งแต่ชั่วยามที่แล้ว   ว่าสายสืบที่ส่งไปจวนจะเข้าเขตเมืองอาวีเลียแล้ว” จอมทัพชาร์ล คาร์แลนซ์ ทูลในขณะที่องค์กษัตริย์ทรงพยักพระพักตร์ตอบ
                     “แล้วสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นอย่างไรบ้าง ? ทุกอย่างเรียบร้อยดีอยู่หรือไม่?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถาม
                     “ฝ่าบาท ปีกกำแพงฝั่งซ้ายที่ถูกโจมตีอย่างหนักเมื่อการศึกที่แล้ว   เวลานี้เราสามารถซ่อมแซมจนเกือบสมบูรณ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” กองแม่ทัพทูลขึ้น
                     “ในส่วนของเสบียงคลัง   ขณะนี้ลดน้อยลงไปมากพ่ะย่ะค่ะ   เพราะเราเพิ่งจะผ่านฤดูหนาวมา   ทำให้การปลูกพืชเก็บเกี่ยวไม่ค่อยได้ผลดีนัก   แต่กระหม่อมเพิ่งจะสั่งการเร่งด่วนให้พวกชาวบ้านในเขตทางใต้เร่งการเพาะปลูกให้ทันฤดูเก็บเกี่ยวในอีกสามเดือนข้างหน้านี้   หากได้ผลผลิตตรงตามเป้า   เราก็น่าจะมีเสบียงพอเลี้ยงกองทัพจนถึงฤดูหนาวหน้า” แม่ทัพฝ่ายเสบียงคลังทูล
                     “ข้าต้องการความมั่นใจจากเจ้าว่า   เราจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ตามจำนวนที่วางไว้   และหากเก็บเกี่ยวไม่ได้ตามที่คาดไว้   เจ้าจะทำอย่างไร?   จงหาเสบียงสำรองเผื่อไว้ด้วย   ข้าต้องการแน่ใจว่ากองทัพของเราจะไม่ต้องอดอยากในฤดูหนาวหน้า” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเสียงเฉียบอีกครั้ง
                     “พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพฝ่ายเสบียงคลังขานรับเสียงหนักแน่น
                     “ฝ่าบาท กระหม่อมกำลังเตรียมประกาศเกณฑ์ไพร่พลเพิ่มอีกหลายหมื่นนายเพื่อเสริมกำลังทัพ เพราะการศึกที่ยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เราเสียกำลังพลไปไม่น้อยเลยทีเดียว” แม่ทัพชาร์ลกล่าวทูล
                     “มันน่าโมโหนัก ไอ้พวกเถื่อนนั่น   แทนที่กษัตริย์ของพวกมันตายจะทำให้กองทัพอ่อนแอลง   ที่ไหนได้! กลับกลายเป็นมีกองทัพแปลกประหลาดและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม   ซ้ำยังมีแม่ทัพประหลาดที่ให้ความรู้สึกชวนขนลุกนั้นอีก   แทนที่เราจะสามารถตีโต้ผลักดันพวกกองทัพเพลิงนี่ออกจากเขตแดนของเรา   กลับต้องมาผลัดกันรุกผลัดกันรับแย่งชิงดินแดนกันไปมาอยู่เช่นนี้” ตรัสพลางก็ทรงทุบพระหัตถ์ลงกับที่เท้าแขนด้วยความกริ้วโกรธ
                     “หัวหน้าหน่วยสอดแนม ฟลอคเนอร์ ขอเข้าเฝ้า” เสียงประกาศการมาถึงของหัวหน้าหน่วยสอดแนมยังความยินดีมาให้ทุกคน   เพราะต่างก็อยากรู้ความเป็นไปของฝ่ายศัตรูเพื่อหาข้อได้เปรียบ
                     ฟลอคเนอร์ชายวัยหนุ่มฉกรรจ์ในชุดเกราะครึ่งท่อนสีเขียวอ่อนแค่ช่วงอก   มีผ้าสีแดงสดพันอยู่รอบคอ   สวมกางเกงผ้าเนื้อหนาสีน้ำตาล   ใบหน้ามีรอยบากเหนือตาขวาอันบ่งบอกถึงการผ่านสถานการณ์คับขันมาแล้วไม่น้อย
                     ฟลอคเนอร์ก้าวเท้าเข้ามาอย่างเงียบเชียบจนไม่มีใครได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา   หากทุกคนในห้องนี้ปิดตาลง คงยากที่ใครจะบอกได้ว่าชายผู้นี้เดินมาถึงส่วนใดของห้องแล้ว   ฟลอคเนอร์ถวายความเคารพก่อนจะยืนตัวขึ้นตามสัญญาณมือของกษัตริย์ซิกมันด์
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: October 13, 2008, 08:21:30 PM »

                   “เป็นอย่างไรบ้าง?  ข้าต้องการรู้ทั้งหมดเดี๋ยวนี้” กษัตริย์ซิกมันด์ไม่ทรงรีรอแม้เสี้ยววินาที
                   “ทูลฝ่าบาท เวลานี้อุปราชเบลซ เซจ กำลังเตรียมสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของจักรวรรดิซาโลมพ่ะย่ะค่ะ”
                   “เจ้าหมายถึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนอย่างนั้นรึ?” จอมทัพชาร์ล อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้
                   “มิใช่เช่นนั้น ท่านแม่ทัพ   ข้าหมายถึงกษัตริย์องค์ใหม่จากราชวงศ์ใหม่” ฟลอคเนอร์กล่าวแก้
                   “อะไรกัน? ข้าได้ยินมาว่ากษัตริย์ซาดิน อิบริด มีโอรสที่เกิดกับมเหสีมิใช่หรือ?” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงทักทวงขึ้น
                   “พ่ะย่ะค่ะ รัชทายาท ซาร์ อิสฮาน   ซึ่งเกิดจากราชินีเนริมอร์   ทว่าทั้งพระโอรสและพระมเหสีหายสาบสูญไปพ่ะย่ะค่ะ”
                   “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ที่ว่าหายสาบสูญ?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสด้วยความสงสัย
                   “ทูลฝ่าบาท จากเสียงร่ำลือกันในหมู่ขุนนาง มหาดเล็กและนางกำนัลในปราสาท   ว่ากันว่าในวันที่พระศพของกษัตริย์ซาดินเคลื่อนมาถึงพระราชวัง พร้อมกับอุปราชเบลซ เซจ   ได้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นหลายครั้งภายในตัวปราสาททำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ไฟไหม้รุนแรง   จนปราสาททั้งหลังพังราบเป็นหน้ากลอง และไม่มีใครพบเห็นองค์รัชทายาทและราชินีอีกเลย”
                   “น่าแปลก เป็นการลักพาตัว หรือหลบหนีเพราะถูกปองร้ายรึ?   แต่ราชินีแห่งซาโลมก็มีฝีมือร้ายกาจ   นางสามารถถล่มเมืองหน้าด่านของเราได้ถึงสามเมืองในวันเดียว   นางไม่น่าจะเสียทีง่าย ๆ” กษัตริย์ซิกมันด์วิเคราะห์
                   “ยังมีข่างลืออีกว่า   การระเบิดนั้นเกิดจากการต่อสู้ระหว่างอุปราชเบลซ เซจ และราชินีพ่ะย่ะค่ะ   เพราะก่อนที่ขบวนพระศพจะเคลื่อนมาถึงเขตตัวเมือง   ราชินีเนริมอร์ ได้สั่งอพยพข้าราชบริพารออกจากตัวปราสาททั้งหมด เหลือไว้เพียงที่มีหน้าที่จำเป็นเท่านั้น   ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วในวันนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น   แต่เป็นที่รู้กันทั่วไปอยู่แล้วว่า   ราชินีเนริมอร์และอุปราชเบลซ เซจ ไม่กินเส้นกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว   จึงสันนิษฐานได้ว่าน่าจะเกิดการปะทะกันระหว่างคนทั้งสอง และฝ่ายอุปราชเป็นผู้ได้รับชัยชนะ”
                   “ซึ่งก็อาจหมายความว่า   เจ้าอุปราชนี่ อาจสังหารราชินีไปแล้ว และก็อาจจะกำจัดโอรสของนางไปแล้วด้วยใช่หรือไม่?” แม่ทัพชาร์ลตั้งข้อสันนิษฐาน
                   “ไม่ถูกเสียทั้งหมดขอรับท่านแม่ทัพ   จริงอยู่ว่าราชินีอาจถูกกำจัดไปแล้ว ทว่าโอรสของพระนางหายสาบสูญไปเฉย ๆ เพราะอุปราชเบลซ เซจ ก็ได้ลอบสั่งกำลังพลออกติดตามค้นหาตัวองคืรัชทายาทอยู่เช่นกัน”
                   “อืม” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักพระพักตร์ “แล้วเหตุการณ์อื่น ๆ ล่ะ?”
                   “พ่ะย่ะค่ะ” เวลานี้บรรดาขั้วอำนาจเก่าที่ยังคงจงรักภักดีกับกษัตริย์ซาดิน ก็เริ่มมีอาการกระด้างกระเดื่องต่ออุปราชเบลซ เซจ   เพราะเริ่มมีการจำคุกและประหารขุนนางบางคนแล้ว   แต่มีอีกผู้หนึ่งที่มีตำแหน่งใหญ่คานอำนาจของเบลซ เซจ ได้   คือมหาอำมาตย์นาริส สุไลมาน   ซึ่งได้ชื่อว่ามีความจงรักภักดีกับราชวงศ์อิบริดมาก   ทว่าเวลานี้ไม่ได้อยู่ภายในเมืองเพราะยกทัพไปปราบแคว้นหนึ่งทางเหนือ   แต่ก็ลือกันว่ามหาอำมาตย์ผู้นี้กำลังยกทัพกลับมาทวงบัลลังก์   ดังนั้นจึงอาจมีการปะทะกันระหว่างทั้งสองฝ่ายในเร็ววันนี้”
                   กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักพระพักตร์รับทราบข้อมูลอีกครั้ง “ความวุ่นวายภายในอาณาจักรนั้นเป็นผลดีกับเรา   กองทัพเพลิงคงจะทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะขาดการสั่งการที่ต่อเนื่อง และจากที่สายของเรารายงานมาว่าในกองเพลิงเอง  เวลานี้ก็มีความขัดแย้งระหว่างแม่ทัพราโชยูกับแม่ทัพประหลาดนั่นด้วยเช่นกัน   นับว่าพระเจ้ายังเมตตาเราอยู่บ้าง   อย่างน้อยก็ให้เรามีเวลาเตรียมกำลังเสริมทัพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
กษัตริย์ซิกมันด์ทรงโบกพระหัตถ์ให้หัวหน้าหน่วยสอดแนม “ให้สายสืบเฝ้าจับตาดูสถานการณ์ในซาโลมต่อไป   มีอะไรไม่ชอบมาพากลให้รีบรายงานทันที   เจ้าไปได้แล้ว”
                   หัวหน้าหน่วยฟลอคเนอร์ กล่าวถวายพรพร้อมกับทำความเคารพก่อนจะเดินออกจากห้องโถงไป   ท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบจากบรรดาแม่ทัพนายกองถึงข่าวใหม่ที่เพิ่งได้ยิน


                   ขณะนี้เด็กชายลึกลับที่วานาอันได้พบ   แข็งแรงพอที่จะเดินเหินไปไหนมาไหนรอบ ๆ บริเวณบ้านบันดาราได้แล้ว   บรรดาชาวบ้านบริเวณนั้นที่ได้พบเห็นเด็กชายแปลกหน้าต่างก็มองอยู่ไกล ๆ ด้วยความสงสัย และอยากรู้อยากเห็น   ทุกคนต่างเรียกเขาว่าเด็กบ้านบันดารา   เนื่องจากไม่มีใครรู้ชื่อของเขา   เพียงแต่ได้ยินสมาชิกบ้านบันดาราเรียกเขาว่าเจ้าหนูบ้างบางครั้ง   แรกทีเดียวบรรดาชาวบ้านดูจะสงสัยในตัวของเด็กชาย   ทั้งรูปร่างหน้าตาที่ไม่อาจระบุได้ว่ามาจากเผ่าใด และพฤติกรรมของเขา   เพราะนอกจากจะไม่ยอมพูดจาแล้ว   บางครั้งก็เหมือนเขาพยายามฟังและระแวดระวังบุคคลที่เข้ามาใกล้อยู่บ้าง   แต่พอผ่านไปได้สองอาทิตย์   บรรดาชาวบ้านก็เริ่มชินกับการมีเด็กชายเพิ่มเข้ามาในบ้านบันดารา   เพราะหลังจากการโจมตีของกองทัพซาโลมเมื่อสองปีก่อน   ทำให้เกิดเด็กกำพร้ามากมาย ที่ครอบครัวหลาย ๆ ครอบครัวในฟูดินันรับเลี้ยงไว้   จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บ้านบันดาราจะรับเลี้ยงไว้สักคน   และอีกสิ่งหนึ่งที่เริ่มกลายเป็นภาพชินตาของบรรดาชาวบ้าน คือ   ภาพเด็กบ้านบันดาราเดินตามวานาอันไปแทบทุกที่ราวกับเงาตามตัวนั่นเอง
                   เช้าวันหนึ่งที่บรรยากาศแสนสดชื่น   วานาอันจัดเตรียมตะกร้าเปล่าใบใหญ่พร้อมกับหยิบอาหารแห้งห่อด้วยใบไม้สองห่อใส่ลงไปในตะกร้า   หญิงสาวยิ้มอย่างยินดี เพราะหลายวันมาแล้วที่ไม่ได้ออกไปเก็บใบสีเงินของมหาพฤกษาอิกดราซิล   การเก็บใบไม้สีเงินเพื่อมาทำเป็นยาสมุนไพรนั้นเป็นหน้าที่ที่เธอชื่นชอบ   เพราะเธอชอบบรรยากาศอันแสนอบอุ่นอ่อนโยนที่เธอสัมผัสได้จากมหาพฤกษา
                   ที่จริงวันนี้เธอตั้งใจจะไปคนเดียว   เพราะเห็นว่าเด็กชายเพิ่งจะหายดี   อาจจะยังไม่แข็งแรงพอที่จะเดินไปถึงเขตของมหาพฤกษา   แต่ถ้าจะทิ้งไว้ลำพังที่บ้านก็ดูจะน่าสงสารเกินไป   เพราะถ้าเป็นเธอเป็นเขา   เธอก็คงจะรู้สึกเหงาที่ต้องอยุ่บ้านคนเดียว   หญิงสาวจึงคิดจะหยุดพักกลางทาง   คิดแล้วก็เงยหน้าส่งยิ้มให้เด็กชายที่นั่งรอเธออย่างอดทนที่อีกฟากหนึ่งของห้อง   ทันทีที่เห็นเธอหันมาเด็กชายก็จะยิ้มอย่างยินดีทุกครั้ง   ซึ่งทำให้เธอรู้ว่าเด็กชายไว้วางใจเธอมากกว่าใคร ๆ และนั่นก็ทำให้เธออดภาคภูมิใจไม่ได้ว่า   บัดนี้เธอไม่ได้เป็นน้องคนเล็กอีกแล้ว   แต่เป็นพี่สาวที่น้องชายไว้วางใจ   หญิงสาวยิ้มกว้างหยิบตะกร้าขึ้นพลางกวักมือเรียก
                   “ไปกันเถอะ”

Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: October 13, 2008, 08:22:50 PM »

                   เด็กชายลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว   เขาคิดว่าวันนี้หญิงสาวคงจะเดินทางไปไกลสักหน่อย   เพราะเธอเตรียมอาหารไปด้วย   เขาเดินอย่างยินดีเพราะอยากจะสำรวจสถานที่ต่าง ๆ ในฟูดินันให้มากขึ้น   ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาแข็งแรงพอจะเดินเล่นรอบ ๆ บ้านบันดารา   เขาก็ต้องอ้าปากค้างยืนนิ่งเมื่อเห็นความเขียวชอุ่ม ชุ่มชื้น และร่มรื่น จนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้   เขาไม่เคยนึกภาพอาณาจักรฟูดินันออกเมื่อเวลาท่านนาริส เอ่ยถึงอาณาจักรแห่งนี้แล้วอธิบายสภาพความเป็นอยู่ของบ้านเมือง และภูมิประเทศ   แต่เวลานี้เขาสามารถบอกได้เลยว่า แม้แต่ท่านนาริสก็ไม่อาจบรรยายถึงความอุดมสมบูรณ์และสวยงามของอาณาจักรฟูดินันได้ครบถ้วน
                   แต่เมื่อได้หวนคิดถึงความทรงจำเก่า ๆ   ความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียพระมารดาก็กลับมาเชือดเฉือนหัวใจของเขาอีกครั้งจนทำให้น้ำตาไหลทุกครั้ง  เพราะเขาเองทำให้เสด็จแม่ต้องตาย   การเกิดมาของเขาเป็นเหตุให้คนจำนวนมากต้องตาย   ยิ่งคิดก็ยิ่งโศกเศร้า ชิงชังตัวเองเหลือจะกล่าว   และในวันนั้นเองที่เขาตัดสินใจละทิ้งชีวิตขององค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิซาโลม จะมีเพียงเด็กชายธรรมดาที่ชื่ออิสฮานเท่านั้น
                   อิสฮานเมื่อตัดสินใจละทิ้งตัวตนแล้ว ก็พยายามเรียนรู้ทุกอย่างรอบตัวให้ได้มากที่สุด   เพื่อที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในอาณาจักรฟูดินันอันแสนสวยงามนี้ให้ได้   เขาพยายามสังเกต จดจำคำพูดและการดำรงชีวิตต่าง ๆ ภายในครอบครัวบันดารา   แต่บุคคลที่เขาให้ความไว้วางใจมากที่สุดก็คือวานาอัน   เพราะนอกจากกิริยาท่าทางการพูดจา และรอยยิ้มที่อ่อนหวานในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน   หญิงสาวยังดูแลเขาอย่างดีคอยเป็นห่วงเป็นใย   ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนแปลกหน้า   ทำให้อิสฮานซาบซึ้งในความมีน้ำใจและความจริงใจของเธอ   ซ้ำตั้งแต่เห็นใบหน้าของหญิงสาวจนกระทั้งเวลานี้   ใบหน้าของเธอจะอมยิ้มตลอดเวลา   ไม่ว่าจะหงุดหงิด สนุกสนาน โกรธ เศร้า มีความสุข เมื่ออารมณ์ต่าง ๆ แสดงออกมาทางสีหน้าแล้ว   ใบหน้าของเธอก็จะกลับมาอมยิ้มอีก   ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างรวมทั้งตัวเขามีความสุขและสบายใจเมื่อได้อยู่ใกล้

                   รวมถึงในวันนี้เช่นกันที่เขาตั้งใจจะติดตามเธอไปทุกที่ เพราะแม้เธอจะไม่เหมือนมารดาของเขา   แต่เธอก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและเป็นคนพิเศษเหมือนเวลาอยู่กับมารดา   ตลอดหนทางที่เดินไป   เธอจะหันมาพูดคุยและยิ้มให้เขาเป็นระยะ ๆ   แม้เขาจะฟังไม่เข้าใจแต่เขาก็จะยิ้มตอบเธอทุกครั้ง   เพื่อให้เธอเข้าใจว่า เขามีความสุขที่จะฟังแม้จะไม่เข้าใจเลยก็ตาม    เพราะอย่างน้อยเสียงและใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอก็ทำให้เขาไม่เหงา
                   ระหว่างทางนอกจากหญิงสาวจะหันมาพูดคุยกับเขาบ้าง   เธอก็มักจะพูดทักทายสัตว์ป่าหน้าตาประหลาด ๆ ในแบบที่ไม่เคยเห็นที่ซาโลมมาก่อน   หรือบางครั้งก็พูดทักทายต้นไม้   เขาเชื่อเช่นนั้น   เพราะทิศทางที่หญิงสาวพูดทักทายนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ นอกจากต้นไม้ที่โบกสะบัดไปมาเบา ๆ ตามแรงลม   ทำให้เขาทั้งประหลาดใจและพิศวงอยู่ไม่น้อยที่เธอสามารถพูดกับต้นไม้ได้ด้วย เขาไม่เคยเห็นใครที่ทำแบบนี้ที่ซาโลมเลย
                   ขณะที่เดินไปเขาก็มองธรรมชาติ รอบ ๆ ตัวไปด้วยเช่นกัน   ความชุ่มชื่นและความอุดมสมบูรณ์ทำให้เข้ารู้สึกสดชื่นเย็นสบาย   ช่างแตกต่างจากที่ ๆ เขาจากมาเหลือเกิน   เขาอยากจะให้เสด็จแม่และท่านนาริสได้มาเห็นอย่างที่เขาได้เห็นนี้เหลือเกิน   เมื่อคิดดังนั้นความเศร้าเสียใจก็เข้าจู่โจมเขาอีกครั้ง   ทำให้เด็กชายหยุดเดินเสียดื้อ ๆ
                   วานาอันรู้สึกว่าเด็กชายไม่ได้เดินตามเธออีกแล้ว   จึงได้หันกลับไปดู   เด็กชายยืนนิ่งอยู่ห่างจากเธอประมาณ 5 - 6 ก้าว   ในขณะที่ใบหน้ามีสีหน้าเศร้าสลดลงและเริ่มก้มลงต่ำ   หญิงสาวสามารถสัมผัสได้ถึงความทุกข์ใจใหญ่หลวงที่แผ่ออกมาจากตัวของเด็กชาย   แต่เธอไม่เข้าใจว่าความทุกข์นั้นคืออะไร   เธอเคยสัมผัสได้ถึงความทุกข์ของผู้คนที่ประสบภัยสงคราม ครอบครัวที่พลัดพราก   แต่เด็กชายคนนี้ดูเหมือนจะมีความทุกข์มากกว่า   เหมือนเขาแบกความทุกข์มากมายมหาศาลไว้   ทำให้เธอรู้สึกสงสารเขาเหลือเกิน   วานาอันเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของเด็กชาย    เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองเธอ   แต่ดูเหมือนจิตใจของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่   ตาของเขาว่างเปล่าเหมือนมองไม่เห็นเธอด้วยซ้ำ   ทว่าเพียงพริบตาเดียวก็เหมือนกับห้วงแห่งความทุกข์นั้นหลบหายเข้าไปซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจอีกครั้ง   เพราะเด็กชายเอียงคอมองเธอพร้อมกับส่งยิ้มให้
                   “อีกนิดเดียวเราก็จะถึงเขตของมหาพฤกษาอิกดราซิลแล้ว แข็งใจเดินอีกนิดเดียวนะจ๊ะ” วานาอันกล่าวพลางชี้นิ้วขึ้นเหนือยอดไม้ที่เปิดโล่ง เพื่อให้เด็กชายมองเห็น
                   เด็กชายมองตามก่อนจะเบิกตากว้างพร้อมกับอ้าปากตกตะลึงในความใหญ่โตของต้นไม้ยักษ์ ที่ปรากฏเพียงบางส่วนผ่านช่องว่างที่เปิดออกของยอดไม้   วานาอันเห็นดังนั้นก็ยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ
                   “มาซิ ถ้าเจ้าเห็นท่านมหาพฤกษาใกล้กว่านี้เจ้าจะยิ่งตกตะลึงในความยิ่งใหญ่ของท่านอิกดราซิล   แต่เจ้าจะสามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและใจดีของท่านด้วย   แม้แต่สัตว์ที่ดุร้ายก็ยังสงบลงได้เมื่ออยู่ใต้ร่มเงาของท่านอิกดราซิล”
                   วานาอันยิ้มและเริ่มออกเดินอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าเด็กชายยังคงเงยหน้ามองความใหญ่โตของต้นไม้ยักษ์อยู่จึงยิ้มกว้างและคว้ามือเด็กชายแล้วจูงเดิน   ปล่อยให้เด็กชายเงยหน้ามองเหนือยอดไม้ต่อไป
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: October 13, 2008, 08:24:28 PM »

                  ทันทีที่เดินเข้ามาในเขตของมหาพฤกษา   เด็กชายก็ยิ่งตกตะลึงในความใหญ่โตมโหฬารของมหาพฤกษาที่กินอาณาเขตกว้างไกล และสูงลิบเทียมฟ้า   จนดูเหมือนภูเขาสีเงินลูกโตที่เปล่งประกายระยิบระยับหยอกล้อแสงอาทิตย์ตลอดเวลา   ใบสีเงินที่ร่วงโรยหลุดจากต้นลงมามองดูเหมือนละอองดาวที่ปรายลงมาจากท้องฟ้าสีเงินยวง   บรรยากาศรอบ ๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสงบอย่างน่าประหลาด   แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันให้ความรู้สึกที่แสนคุ้นเคยอย่างเหลือเกินกับเขา   เด็กชายเดินตามหญิงสาวไปเรื่อย ๆ จนเดินมาหยุดที่รากแขนงหนึ่งของอิกดราซิล   วานาอันหย่อนตัวลงนั่งพร้อมกับดึงเด็กชายลงนั่งด้วย
                   “เจ้าหิวรึยัง? นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เรามากินอาหารกันก่อนดีไหม ?” วานาอันชวนพลางก้มลงง่วนกับการจัดสำรับอาหารที่เตรียมมา
                   อิสฮานลงเดินไปที่แขนงรากที่ใกล้ที่สุด และวางมือสัมผัสแขนงรากนั้น   เขาลูบมันช้า ๆ เพื่อซึมซับความรู้สึกที่แสนคุ้นเคยนี้   มันทำให้เขารู้สึกสงบลงและอบอุ่นใจเหลือเกิน   และแล้วเด็กชายก็ยิ้มกว้าง   ใช่แล้วเปลไม้สลักขนาดใหญ่ที่เขาเคยใช้จนถึงสี่ขวบ   และยังแอบเข้าไปนอนเล่นเสมอ ๆ เวลาที่คิดถึงเสด็จแม่   เขารู้แต่ว่าเปลหลังนั้นทำมาจากไม้พิเศษมาก ๆ   ที่แท้ก็ทำมาจากต้นไม้นี้นี่เอง   เขาแนบใบหน้ากับแขนงรากด้วยความคิดถึงและขอบคุณเสด็จแม่ที่เสาะหาสิ่งที่แสนพิเศษนี้ให้เขา   โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเป็นกษัตริย์ซาดินต่างหากที่ฆ่าล้างเมืองทั้งเมือง เพื่อชิงเปลหลังนั้นมาให้เขา  

                   “มากินข้าวกันเถอะ” วานาอันกล่าวขึ้นพร้อมกับกวักมือเรียกเด็กชาย
                   อิสฮานมองท่าทางก็เข้าใจจึงเดินกลับมานั่งที่ที่ของตนโดยมีดวงตากลมโตสดใสมองสังเกตท่าทางของเขา   คล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
                   “นี่ พ่อหนูน้อย ข้ารู้ว่าเจ้าพูดได้นะ   แต่ที่เจ้าไม่ยอมพูดเพราะเจ้าพูดภาษาของเราไม่เป็นใช่ไหมหล่ะ?   เพราะทั้งท่านปู่ และพี่ฮารีซันก็บอกว่ารูปร่างหน้าตาของเจ้ารวมถึงเสื้อผ้า ไม่ใช่คนจากเผ่าที่เรารู้จัก   ถ้าอย่างนั้นข้าจะสอนให้เจ้าเองนะ” วานาอันพูดพลางยิ้มอย่างกระตือรือร้น “ข้าจะสอนให้เจ้าพูดภาษาของเราให้ได้   พอเจ้าพูดได้เมื่อไหร่   เจ้าก็ไปพูดกับท่านปู่และพี่ฮารีซัน   ให้พวกเขาตกตะลึงกันไปเลย” วานาอันพูดพลางตบมืออย่างยินดี   ภาพความประหลาดใจระคนยินดีของบุคคลทั้งสอง และเด็กชายที่สามารถติดต่อสื่อสารกับพวกเธอได้ด้วย   ยังความตื่นเต้นยินดีมาให้กับหญิงสาว   เมื่อวานาอันคิดได้ดังนั้นก็เริ่มลงมือทันที
                   “เริ่มจากชื่อเจ้าก่อนดีไหม?   เจ้าอยู่ที่นี่มาตั้งหลายอาทิตย์แล้ว   พวกเรายังเรียกเจ้าว่าเจ้าหนูอยู่เลย   เจ้าคงอยากให้เรียกชื่อของเจ้าเองมากกว่าใช่ไหมล่ะจ๊ะ?” ว่าแล้ววานาอันก็ชี้นิ้วใส่ตัวเอง “ข้าชื่อวานาอัน วา – นา – อัน” แล้วเธอก็ชี้กลับไปที่เด็กชาย
                   อิสฮานยิ้มกว้าง   เขารู้ว่าเธอชื่อวานาอัน เพราะได้ยินคนในบ้านบันดาราเรียกเธอบ่อย   และเข้าใจว่าเธอกำลังต้องการอะไร   เด็กชายลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะตอบเธอดีหรือไม่   หญิงสาวก็พยายามอีก
                   “วา – นา – อัน” หญิงสาวชี้ที่ตัวเธอ แล้วชี้กลับไปที่เด็กชาย
                   “อิส..ฮาน” เด็กชายตอบเสียงเบาเหมือนไม่ค่อยมั่นใจ
                   “อิสฮานเหรอ ?” วานาอันพูดทวนอย่างตื่นเต้น  ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มละไมทำให้เด็กชายพลอยยิ้มไปด้วย  “เจ้าชื่อ อิสฮาน   ข้าชื่อวานาอัน วา – นา – อัน”
                   “วา – นา – อัน” อิสฮานพูดทวนชื่อหญิงสาวช้า ๆ พลางยิ้มและหัวเราะไปกับเธอ เขาไม่เคยคิดเลยว่าชื่อเขาจะนำความตื่นเต้นยินดีมาให้ใครได้นอกจากเสด็จแม่
                   หญิงสาวชี้นิ้วไปที่ตะกร้าบ้าง “ตะกร้า”
                   “ตะ – ก้า” อิสฮานพยายามออกเสียงตาม
                   “ไม่ใช่ ไม่ใช่ ตะ – กร้า” วานาอันพยายามเน้นเสียง
                   “ตะ – กร้า” อิสฮานเน้นเสียงตาม และดูเหมือนวานาอันจะพอใจ จึงเปลี่ยนคำใหม่ โดยการชี้ที่ใบไม้แทน
                   “ใบไม้” หญิงสาวพูดอย่างกระตือรือร้น
                   “ไมไม้”
                   “ไม่ใช่จ๊ะ ใบ – ไม้”
                   “ใบไม้”
                   “ถูกต้อง” หญิงสาวหัวเราะชอบใจ

                   และแล้วตลอดการเก็บสมุนไพรของคนทั้งคู่ในวันนั้นจึงได้ยินแต่เสียงพูดคำศัพท์ต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัว และเสียงหัวเราะ

                   นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วานาอันก็จะพยายามสอนคำศัพท์ใหม่ ๆ ให้อิสฮานทุกวัน   ด้วยความเฉลียวฉลาดของเจ้าชาย และด้วยการพยายามเอาตัวรอดของเขา   เพียงไม่กี่อาทิตย์เขาก็สามารถพูดเป็นประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ และเริ่มพูดคุยกับสมาชิกคนอื่นๆ ในบ้านบันดารา   ซึ่งก็นำความตื่นเต้นยินดีมาให้แก่ทุกคนในครอบครัวบันดาราอย่างยิ่ง   แต่เมื่อถูกถามคำถามยาก ๆ หรือเขาไม่สามารถตอบได้   ก็จะเงียบหรือเลี่ยงออกจากการสนทนานั้น ๆ เสมอ   ทว่าทุกคนก็ไม่ได้ติดใจใด ๆ มากนัก เพราะเด็กชายก็ดูกระตือรือร้นและร่าเริงมากขึ้น   ให้ความสนิทสนมกับทุกคนในบ้าน   เปิดใจยอมรับไมตรีที่ทุกคนยื่นให้   ทุกคนจึงไม่ได้ให้ความสนใจในพฤติกรรมแปลก ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ของเด็กชาย
                   พออยู่ได้ราวสามเดือนเด็กชายก็พูดได้คล่องแคล่ว  แม้จะมีพูดไม่ชัดบ้างบางคำก็ไม่ได้มีใครติดใจ   ทุกคนในเขตบ้านบันดาราก็ไม่รู้สึกแปลกแยกเพราะเด็กชายได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกตนไป   และด้วยความที่เป็นเด็กช่างใฝ่รู้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว   จึงชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ช่างซักช่างถาม และเข้าไปขันอาสาช่วยเหลืองานต่าง ๆ   เพราะสำหรับเขานั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นสิ่งใหม่สำหรับเขาทั้งนั้น   ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลายเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนได้ไม่อยาก

Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: October 13, 2008, 08:25:34 PM »

                  เช้าวันหนึ่ง ขณะที่คนอื่น ๆ ในบ้านบันดารากำลังง่วนอยู่กับงานของตน   เพราะใกล้เวลาที่กองทัพใหญ่ของฟูดินันจะเคลื่อนทัพกลับสู่ชายแดนฝั่งฟีเลเซีย   โดยฮารีซันไปตรวจดูความเรียบร้อยในการตระเตรียมเสบียงอาหาร   ส่วนวูจินและวานาอันก็ยุ่งอยู่กับการปรุงยาสมุนไพรในโรงเก็บยา   อิสฮานซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ทำความสะอาดลานตากสมุนไพร   ซึ่งเวลานี้ไม่มีสมุนไพรใด ๆ เหลือทิ้งค้างอยู่ภายในลานนี้อีกแล้ว   วัตถุดิบต่าง ๆ ถูกเก็บเข้าห้องยาเพื่อใช้ปรุงยาสมุนไพรเพื่อตระเตรียมให้กองทัพนำไปใช้ที่เขตชายแดน   ส่วนลานตากพืชสมุนไพรนี้ ก็ต้องเตรียมเก็บกวาดให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมรับพืชวัตถุดิบจากที่ต่าง ๆ ที่บรรดาชาวบ้านที่มีอาชีพเก็บของป่าจะนำมาส่งให้ครอบครัวบันดารา
                  ที่จริงแล้วไม่ใช่เพียงบ้านบันดาราเท่านั้นที่สามารถปรุงยาสมุนไพรได้   ยังมีครอบครัวอื่นอีกหลายครอบครัวที่มีความสามารถด้านการปรุงยาสมุนไพร   ดังนั้นบรรดาชาวบ้านที่มีอาชีพเก็บของป่าจะทยอยนำวัตถุดิบต่าง ๆ ไปส่งตามบ้านที่อยู่ใกล้ในอาณาบริเวณเขตของแต่ละคน
                  อิสฮานเคยเห็นและช่วยวานาอันทำความสะอาดลานตากยาบ่อย ๆ   จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเด็กชายวัยสิบสองปีเช่นเขาหากจะทำความสะอาดลานว่าง ๆ นี้เพียงลำพัง   หน้าที่ของเขาคือ เก็บกระจาดที่ทำจากไม้สานออกมาจากราวไม้ที่สูงถึงระดับอกของเขา   แล้วนำไปปัดทำความสะอาดจนครบทุกใบ ก่อนจะกวาดทำความสะอาดพื้นลานอีกครั้งก็เป็นอันเสร็จหน้าที่ของเขา
                  เด็กชายพยายามเร่งมือเก็บกวาดอย่างรวดเร็วและกระฉับกระเฉง   เพราะอยากจะเข้าไปนั่งในห้องปรุงยากับวานาอันและท่านปู่มากกว่า   ขณะที่กำลังกวาดลานอย่างขมักเขม่นพลางรวบรวมเศษผงและเศษใบไม้มากองไว้ที่บริเวณกลางลานกว้าง   แต่แล้วพอหันกลับมา เขาก็เห็นว่ามีลูกไม้ประเภทสนตกอยู่ตรงช่องทางเดิน   อิสฮานยักไหล่เบา ๆ   เขาคงจะรีบมากจนมองข้ามเจ้าลูกสนนั้น   อิสฮานเดินไปหยิบมันขึ้นมาก่อนจะออกเดินสองสามก้าว   แล้วเขวี้ยงลูกสนโดยเล็งไปที่กองเศษผงอย่างนึกสนุก   ลูกสนตกลงไปบนกองขยะได้พอดิบพอดี   เรียกรอยยิ้มจากเด็กชายได้ไม่น้อย    แต่แล้วเด็กชายก็ได้ยินเสียงบางอย่างหล่นตุ๊บใกล้ ๆ ตน   จึงรีบหันกลับไปดู   ก็ได้พบว่ามีลูกสนอีกลูกมาอยู่ตรงที่เดิมเมื่อสักครู่   อิสฮานหันกลับไปมองกองเศษผงอีกครั้ง   ทีนี้มันกลับมีลูกสนสองลูกอยู่บนกองขยะ   เด็กชายยืนหันกลับไปกลับมาอยู่เป็นนาน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น   เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าเผื่อว่าจะเป็นเพราะลูกไม้ร่วงลงจากต้น   แต่ยอดไม้ที่แผ่ปกคลุมอยู่บริเวณโดยรอบ   ไม่มียอดไหนแผ่เลยเข้ามาในเขตลานตากยา   เด็กชายเริ่มหันไปมองรอบ ๆ เพราะคิดว่าอาจมีใครกำลังล้อเล่นกับเขา   แต่เขาก็มองไม่เห็นใครสักคนอยู่บริเวณนั้น
                  อิสฮานเดินอย่างลังเลไปที่ลูกสนลูกใหม่   พลางหันซ้ายหันขวาตรวจเช็คให้แน่ใจอีกครั้งว่า   คราวนี้ไม่มีลูกสนอยู่บริเวณนั้นอีกแล้ว   แล้วจึงออกแรงขว้างมันลงกองเศษขยะ   แต่ยังไม่ทันที่ลูกสนจะตกถึงกองขยะ   ก็กลับมีลูกสนอีกลูกพุ่งมากระแทกลูกสนของเขาออกนอกทิศทางจนร่วงหล่นไปตกนอกกองเศษขยะ   ในขณะที่ลูกสนลึกลับนั้นกลับร่วงลงไปบนกองขยะและกลิ้งไปรวมกับสองลูกแรก
                  “นั่นใครน่ะ!?” เวลานี้อิสฮานมั่นใจแล้วว่าต้องมีใครแกล้งเขาแน่นอน   เด็กชายกระโดดหันหน้าเข้าหาทิศทางที่ลูกสนลึกลับพุ่งออกมาด้วยท่าทางเตรียมกับอะไรหรือใครก็ตาม
                  “แฮ่!” จู่ ๆ ก็มีมือมาจับไหล่เขาจากทางด้านหลังพร้อมกับร้องเสียงดัง จนเด็กชายสะดุ้งโหยงร้องเสียงดังลั่นด้วยความตกใจถอยหลังล้มลงไปนั่งอยู่บนกองเศษขยะ   แล้วเสียงหัวเราะของผู้หญิงก็ระเบิดออกมาแทน เด็กชายรีบกระโดดขึ้นพร้อมกับหันกลับไปดู   จึงได้พบหญิงสาวผมสีทองอร่ามอย่างที่เขาไม่เห็นมาก่อน   ก้มหน้ากุมท้องหัวเราะคิกคักจนท้องคัดท้องแข็ง
                  “ฮา ฮา ฮา ขอโทษที!   แต่...ฮา ฮา ฮา เจ้าเนี่ยมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่ตลกมากเลย” เสียงหญิงสาวฟังดูไพเราะ   แม้จะไม่ค่อยชัดตามสำเนียงของฟูดินัน   แต่เขาก็ไม่อาจจำแนกได้มากมาย   เพราะตัวเขาเองก็ยังพูดไม่ค่อยชัดด้วยเหมือนกัน   ชุดที่หญิงสาวใส่ก็ดูแตกต่างจากชาวบ้านชาวฟูดินันที่อาศัยอยู่รอบ ๆ นี้มากทีเดียว   แต่สิ่งที่โดดเด่นจนทำให้อิสฮานต้องมองจนตาค้างก็คือดวงตาสีเขียวและผมสีทองอร่ามนั่นเอง   เขาไม่เคยเห็นใครที่มีสีผมและสีตาเช่นนี้มาก่อนในซาโลม เด็กชายจึงได้แต่ยืนจ้องมองดูเงียบ ๆ
                  เมื่อเด็กชายยืนนิ่งไม่หัวเราะร่วมไปด้วย   เจ้าหญิงเรจิน่าแห่งอาณาจักรฟีเลเซียจึงเงียบเสียงลง   วันนี้พระองค์เสด็จมาเยี่ยมเยียนแลกเปลี่ยนข่าวสารและรวมไปถึงตรวจดูความเรียบร้อยของกองทัพฟูดินันเพื่อนำกลับไปรายงานทางฝั่งฟีเลเซีย  แต่เมื่อเสด็จมาถึงแล้วไม่พบใครพระองค์จึงทรงออกตามหาและทรงเห็นเด็กชายแปลกหน้ากำลังตั้งหน้าตั้งตาเก็บกวาดลานหลังบ้านอย่างเอาเป็นเอาตาย   จึงนึกสนุกอยากจะทรงหยอกล้อเด็กชายเพื่อฆ่าเวลาระหว่างที่รอครอบครัวบันดารา   เมื่อเด็กชายเงียบเสียงไม่โต้ตอบใด ๆ พระองค์จึงทรงเริ่มคิดว่าพระองค์อาจจะทรงหยอกล้อเล่นมากไปสักหน่อย
                  “ขอโทษนะ เจ้าโกรธหรือเปล่า?” เจ้าหญิงทรงถามด้วยสีพระพักตร์มีแววสลดลงเล็กน้อย
                  “ฮะ...อ่ะ...เปล่าครับ” อิสฮานอึกอักตอบ  เขาไม่ได้ตั้งใจทำให้หญิงผมทองเข้าใจผิดว่าที่เขาเงียบเพราะโกรธ
                  “เจ้ามองอะไรหรือ? หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือไง?” เจ้าหญิงตรัสด้วยความขบขันเมื่อเด็กชายเอาแต่จ้องมองพระองค์
                   “ขออภัยด้วย   ข้าเพียงแต่คิดว่าผมของท่านเหมือนเส้นไหมทองเลย” เด็กชายพูดขึ้นขณะมองแพรผมที่เป็นประกายเพราะแสงแดด
                  เจ้าหญิงทรงได้ยินดังนั้นก็ทรงหัวเราะร่าอย่างชอบพระทัยและทรงเริ่มนึกเอ้นดูเด็กชายหน้าตาคมคายผู้นี้   มิใช่เพราะเขาพูดชมพระองค์หรือเพราะหน้าตาคมคายของเขา   แต่เพราะเขาดูไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมารยา   ทั้งการพูดจาท่าทางก็ดูเรียบร้อยคล้ายได้รับการอบรมมาดี   เจ้าหญิงทรงตบบ่าเด็กชายอย่างเป็นกันเองพลางตรัสถาม
                  “ข้ามีธุระกับท่านวูจินและท่านฮารีซัน   ไว้เสร็จธุระแล้วข้าจะออกมาเล่นกับเจ้าใหม่   บ้านเจ้าอยู่แถวนี้ใช่รึเปล่า?”
                  “ข้าอยู่ที่นี่” เด็กชายยิ้มตอบ   เขากำลังจะมีเพื่อนเล่นเพิ่มขึ้นอีกคนแล้ว   อิสฮานคิดอย่างยินดี
                  “หมายความว่ายังไง?   เจ้าอาศัยอยุ่ในบ้านบันดาราเหรอ?” เจ้าหญิงตรัสถามอย่างแปลกพระทัย   เด็กชายไม่น่าจะเป้นญาติกับครอบครัวบันดาราได้   เขาแทบจะไม่มีเค้าหน้าส่วนใดคล้ายกับครอบครัวบันดารา   แต่ยังไม่ทันจะตรัสถามต่อ   ก็ทรงได้ยินเสียงเปิดบานประตูจากอีกฟากของประตู
                  “อ๊ะ   คงเป็นท่านวูจินหรือไม่ก็ท่านฮารีซัน   งั้นเดี๋ยวข้าไปจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยออกมาเล่นกับเจ้า   อย่าไปไหนเสียล่ะ!” เจ้าหญิงตรัสก่อนจะทรงหันกลับ
                  “เอ่อ...” เด็กชายเอ่ยรั้งหญิงผมทองไว้ “ท่านปู่อยุ่ในห้องปรุงยากับพี่วานาอัน   เสียงนั่นคงจะเป้นพี่ฮารีซัน”
                  เจ้าหญิงทรงยิ้มกว้างก่อนจะทรงทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้   ทรงหยิบถุงผ้าเล็ก ๆ สีเขียวอ่อนที่มัดอยุ่ที่ขอบเข็มขัดของพระองค์   แล้วทรงโยนให้เด็กชาย   ซึ่งเขาก็รับได้ในทันทีเช่นกัน
                  “เอาไว้กินเล่น ๆ ระหว่างรอข้า” ตรัสแล้วก็ก็ฮัมเพลงเสด็จจากไป
                  เด็กชายมองถุงผ้าสีเขียวอ่อนปักลายเล็ก ๆ ที่ขอบทั้งสี่ด้าน   มันแลดูเรียบ ๆ แต่ก็หรูหราต่างจากถุงผ้าทั่ว ๆ ไป   เมื่อเปิดถุงออก   เขาก็เห็นลูกกวาดสีต่าง ๆ อยุ่ในถุงนั้นเกือบเต็มถุง    เด็กชายยิ้มกว้างเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว   ซึ่งบัดนี้เดินหายลับเข้าประตูไปแล้วพลางคิดในใจว่า   เขาจะเก็บลูกกวาดนี้ไว้กินกับพี่วานาอันเวลาไปเก็บสมุนไพรด้วยกัน



Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: October 13, 2008, 08:25:59 PM »

มาเม้ากันที่นี่จ้า


http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=44976.0
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.044 seconds with 22 queries.