Summoner Master Forum
April 26, 2024, 01:18:58 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter24 เคียวปีศาจ @@  (Read 10748 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: February 27, 2004, 04:10:19 AM »

Chapter 24 เคียวปีศาจ

                         บริเวณที่ราบรกร้างนอกเขตเมืองฟอร์เรนเชียเวลานี้คลาคร่ำไปด้วยพลรบของกองทัพเพลิงทมิฬ   ประกอบไปด้วยนักรบเพลิงมารสองพันนาย  กองกำลังนกโมฮาห้าพันนาย ผู้ฝึกสัตว์แห่งซาโลมสามร้อยนาย สุนัขเขาดาบ(Saber Horn Hound)หกร้อยตัว  สุนัขป่าสองหาง (Two Tails Hell Hound)สามร้อยตัว  กริฟฟินดำ(Black night Griffin)ห้าร้อยตัว     มือเพชฌฆาตแห่งซาโลมห้าร้อยนาย   มังกรดำโนฟโฮทิออนสิบตัว ทหารฝีมือดีหนึ่งหมื่นนาย  และทหารชั้นเลวอีกหนึ่งหมื่นห้าพันนาย   ราโชยูนั้นนั่งอยู่ในเพิงพลขนาดใหญ่ที่เพิ่งจะถูกสร้างขึ้นอย่างหยาบๆจากต้นไม้ที่หาได้ในบริเวณนั้น   เพิงนั้นตั้งอยู่บนเนินสูงซึ่งแม่ทัพใหญ่สามารถมองสอดส่องและสั่งการทัพได้อย่างทั่วถึง  
                         แสงทองของรุ่งอรุณที่จับอยู่ตรงเส้นขอบฟ้านั้นสร้างความหงุดหงิดในใจให้กับแม่ทัพทมิฬที่รอคอยการมาของทัพฟีเลเซียอยู่ไม่น้อย   เหล่าทหารแห่งซาโลมที่ตั้งขบวนทัพเป็นทิวแถวต่างก็รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ   ทุกคนต่างจับจ้องไปที่เนินสูงสุดเขตที่ราบอีกฟากหนึ่งอันเป็นจุดที่ทัพฟีเลเซียจะต้องเคลื่อนทัพมาประจัญกับพวกตน   ทั่วทั้งท้องทุ่งนั้นนิ่งสงัดแม้ว่าจะมีทหารนับหมื่นนายประจำการอยู่ทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงใดๆ   แม้แต่นกหรือแมลงที่เคยออกมากินน้ำค้างยอดหญ้าในยามเช้า   มาวันนี้ก็กลับเงียบงัน  
                         ไม่นานนักทั่วทั้งท้องทุ่งราบก็เริ่มรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กๆที่เกิดขึ้น   ก้อนกรวดเล็กๆตามพื้นนั้นสั่นตามแรงสะเทือนจนดูราวกับกำลังเริงระบำ   พลันเหล่าทหารก็ได้ยินเสียงควบของม้านับหมื่นที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆจากที่ใดที่หนึ่งของทุ่งราบ   เสียงแตรก้านยาวหลายร้อยคันดังประสานกังวานจนสะท้อนก้องไปทั่วทั้งบริเวณ   ฝูงสุนัขศึกต่างเริ่มส่งเสียงขู่คำรามไปยังทิศทางเบื้องหน้า   แม่ทัพทมิฬยิ้มน้อยๆอย่างพึงพอใจก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญญาณให้พลกลอง   เสียงกลองก็ดังกระหึ่มระรั่วก้องเพื่อปลุกใจเหล่านักรบเพลิงให้ฮึกเหิมยิ่งขึ้น

                                         
S

                         ชาร์ล คลาแรนซ์ กระชับสายบังเหียนแน่นควบรถศึกขึ้นเนินสูงมุ่งหน้าสู่ที่ราบกว้างอันเป็นที่ตั้งมั่นของกองทัพซาโลม   เสียงกลองและเสียงโห่ร้องของทัพซาโลมดังสนั่นลั่นทุ่ง   แม่ทัพหนุ่มควบรถม้าของตนทะยานขึ้นสู่ยอดเนินก่อนจะยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ   แสงจากดวงอาทิตย์ที่เพิ่งจะเคลื่อนโผล่พ้นเส้นขอบภูเขาสะท้อนกับชุดเกราะสีเงินจนเกิดประกายเจิดจ้า   ผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มที่ต้องลมโบกสะบัดจนดูเหมือนว่าเขามีปีกสีน้ำเงินขนาดใหญ่โอบรอบปกป้องเขาอยู่   การปรากฏตัวของแม่ทัพแห่งฟีเลเซียทำให้ทั่วทั้งท้องทุ่งเกิดความเงียบไปชั่วขณะเลยทีเดียว  
                         ชาร์ลกวาดสายตาประเมินกองทัพข้าศึกอย่างรวดเร็ว    และทันทีที่แม่ทัพใหญ่ตวัดมือลงลูกธนูนับพันดอกก็ถูกยิงข้ามเนินสูงใส่ทัพหน้าของซาโลมดั่งห่าฝน   เสียงดีดของสายเอ็นและเสียงลูกธนูที่ว่ายแหวกอากาศครั้งแล้วครั้งเล่านั้นไม่ต่างกับเสียงเพลงแห่งความตายที่บรรเลงเพื่อประหัตประหารศัตรู
                         ทัพหน้าของซาโลมที่มั่วแต่ตกตะลึงต่างก็วิ่งหลบพลางใช้อาวุธและโล่ปัดป้องฝนธนูเป็นพัลวัน   บ้างก็วิ่งหลบฝนธนูจนชนกันล้มลุกคลุกคลาน   บ้างก็ถูกลูกธนูล้มตายเสียก็มาก   เมื่อแม่ทัพหนุ่มเห็นว่าทัพหน้าของซาโลมเริ่มระส่ำระสายจนไม่เป็นขบวนแล้วจึงได้ให้สัญญาณอีกครั้ง   ฝูงนกซอร์วิง  ซอร์กริฟฟิน และ นกร็อคแดงก็โผทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบนด้วยความเร็วสูงก่อนจะพุ่งตัวลงจิกทึ้งเหล่าทหารซาโลมและฝูงสุนัขศึกอย่างเต็มกำลัง   บ้างก็โฉบเอาเหล่าข้าศึกไม่ว่าจะเป็นทหารหรือสุนัขศึกขึ้นสูงสู่ห้วงอากาศก่อนจะจิกทึ้งนับครั้งไม่ถ้วน   บนท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งแผ่นดินให้เหยียบยืนเหยื่อที่เคราะห์ร้ายแทบจะไม่มีทางต่อกรกับนกยักษ์ได้เลย   เมื่อจิกทึ้งจนหน่ำใจแล้วมันก็ปล่อยเหยื่อทิ้งกลางอากาศ   ร่างเหยื่อก็ดิ่งลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างรวดเร็วจนร่างกายแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี   ซอร์วิงบางตัวเสียท่าถูกสุนัขศึกตะครุบตัวไว้ได้ก็ถูกกัดกินจนตายไปก็มาก   เมื่อซาโลมดูเหมือนจะเสียเปรียบเหล่าทัพนก   กองทัพก็รีบส่งมังกรดำโนฟโฮทิออนออกมาจัดการกับเหล่านกยักษ์ทั้งหลาย   ซึ่งฟีเลเซียก็ไม่รอช้าที่จะส่งมังกรดิมมินูวเลี่ยนเข้าต่อกรด้วย   ทำให้การสู้รบทวีความรุนแรงและดุเดือดยิ่งขึ้น
« Last Edit: February 27, 2004, 04:12:55 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: February 27, 2004, 04:14:44 AM »

                          แม่ทัพแห่งฟีเลเซียไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่าแม้เพียงเสี้ยววินาที   เขาเอื้อมมือจับดาบคู่กายตวัดอย่างรวดเร็วชี้ไปยังกองทัพศัตรูเบื้องล่าง   ทันใดนั้นเสียงโห่ร้องของทหารหาญแห่งฟีเลเซียก็ดังกึกก้องพร้อมกับเหล่าอัศวินนับพันนับหมื่นที่ควบม้ากระโจนข้ามเนินตรงเข้าฟาดฟันศัตรู   ทัพซาโลมที่ถูกจู่โจมอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบทั้งทางอากาศและทางพื้นดินจนตั้งตัวไม่ทันทำให้ถูกรุกไล่จนต้องถอยร่นไม่เป็นขบวน   เสียงอาวุธปะทะกันดังไปทั่วพร้อมกันการบุกทะลวงทำลายแนวทัพของซาโลมจากเหล่าอัศวินแห่งฟีเลเซีย
                          เมื่อตั้งสติได้ราโชยูก็รีบสั่งรั่วกลองแปรขบวนทัพเพื่อรับมือกับทัพฟีเลเซียอย่างเต็มกำลัง   เหล่ามือเพชฌฆาตแห่งซาโลมต่างกระโจนเข้าหาอัศวินบนหลังม้าก่อนจะใช้กงเล็บเหล็กอันใหญ่โตเด็ดหัวศัตรู   กองกำลังนกโมฮาที่มีทวนขนาดใหญ่และยาวกว่าก็ทำให้ได้เปรียบฝ่ายฟีเลเซียอยู่ไม่น้อย   กระนั้นก็ดีความรวดเร็วและความชำนาญศึกของฟีเลเซียก็ช่วยเอื้อให้กองทัพไม่ตกเป็นรองมากนัก   ซ้ำยังมีทัพนกและพลธนูคอยสนันสนุนตลอดเวลาซึ่งก็สามารถก่อกวนทัพซาโลมได้อย่างดีทีเดียว
                          ชาร์ลมองตรงไปยังเพิงพลบนเนินสูงอันเป็นที่มั่นของแม่ทัพใหญ่แห่งซาโลม   มีธงรูปวิหคเพลิงขนาดใหญ่โบกสะบัดเหนือเพิงพลนั้น   เขาพยายามเพ่งมองผู้ที่อยู่ภายใน   แม้จะมองเห็นไม่ถนัดนักแต่ก็รู้ได้ว่าเขามีรูปร่างสูงใหญ่มากเมื่อเทียบกับนายทหารที่อยู่โดยรอบ   แม่ทัพหนุ่มกวาดตามองสภาพโดยรอบเพิงพลอีกครั้งราวกับจะจดจำรายละเอียดและตำแหน่งการวางกำลังพลของฝ่ายตรงข้าม   เขามองไล่ละการจัดวางแนวรบของศัตรูตลอดจนตำแหน่งของพวกมังกร   แม่ทัพหนุ่มให้สัญญาณรองแม่ทัพนายหนึ่งให้ขึ้นคุมบังเหียนม้าแทนตน
                          “นี่ท่านคิดจะฝ่าดงศัตรูไปเด็ดหัวแม่ทัพฝ่ายนั้นอีกแล้วหรือ?”
                          “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบการรบที่ยืดเยื้อ   จัดการตัวหัวหน้าได้  พวกที่เหลือก็ไร้ค่า   เจ้าขับไปส่งข้าถึงบริเวณสนามรบก็พอ   ที่เหลือข้าจัดการเอง”

                          รถม้าศึกห้อควบลงเนินราวกับติดปีกโดยมีแม่ทัพใหญ่ยืนตระหง่านอยู่บนรถศึก   ทันทีที่รถวิ่งมาถึงสนามรบ แม่ทัพใหญ่ก็กระโดดลงจากรถก่อนจะพุ่งตัวตวัดดาบใส่ศัตรูอย่างรวดเร็ว   ด้วยความใหญ่โตของดาบและความเร็วของแม่ทัพหนุ่ม   แค่ตวัดดาบเพียงครั้งเดียวทหารซาโลมนับสิบก็ถูกคมดาบตัดจนตัวขาดเป็นสองท่อน   โล่และชุดเกราะถูกตัดขาดไม่ต่างกับกระดาษบางๆ   ชาร์ลวิ่งซิกแซกหลบหลีกพวกสัตว์ใหญ่ได้อย่างคล่องแคล้ว   ด้วยเพราะการจดจำตำแหน่งทัพที่แม่นยำตั้งแต่อยู่บนเนินสูง   ทหารซาโลมที่อยู่ในเส้นทางผ่านของแม่ทัพแห่งฟีเลเซียล้วนถูกสังหารล้มตายดั่งใบไม้ร่วง   เศษชิ้นส่วนที่ถูกฟัดจนขาดไม่ว่าจะเป็นแขนบ้าง ขาบ้าง ศีรษะบ้างต่างก็กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง   เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดของทหารดังระงมตลอดทางที่ชาร์ลผ่านไป   ทหารบางคนถูกคมดาบสังหารก่อนที่จะทันรู้ตัว   ก็พาร่างไร้วิญญาณวิ่งเข้าหาศัตรู และเพียงไม่กี่ก้าวร่างกายก็ขาดออกจากกันจนกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ

                          “ปกป้องท่านแม่ทัพ!!”
                          เหล่าทหารองครักษ์แห่งซาโลมเมื่อเห็นแม่ทัพฟีเลเซียที่มุ่งตรงมายังเพิงพลอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อเช่นนี้ก็เดาเจตนาของแม่ทัพฝ่ายศัตรูได้ไม่ยาก   ทว่าความเร็วของแม่ทัพชาวฟีเลเซียนั้นรวดเร็วจนเหล่าองครักษ์ประหวั่นพรั่นพรึง เพราะเพียงเห็นอยู่ไกลๆแต่ฉับพลันดาบมหึมาก็ฟาดมาถึงตัวเองแล้ว  จะขยับไปทางใดก็ไม่แคล้วเป็นเหยื่อคมดาบของแม่ทัพฟีเลเซีย   ไม่มีใคร มีเวลาแม้จะยกโล่หรืออาวุธขึ้นปกป้องตัวเอง   ผ้าคลุมที่พริ้วพุ่งผ่านแผงกองทัพจากทะเลทราย   เวลานี้ดุจดังภาพของอินทรียักษ์ที่บินพุ่งแหวกเมฆสีแดง อย่างง่ายดาย และรวดเร็วยิ่งนัก
                          เหล่าทหารองครักษ์ตั้งแถวเรียงหน้ากระดานซ้อนกันถึงห้าแถว พร้อมตั้งหอกขนาดใหญ่คอยต้านแม่ทัพฟีเลเซียโดยมีโล่เหล็กตั้งเรียงรายเป็นเกราะคุ้มกันอีกห้าชั้นล้อมรอบเพิงพลของราโชยูไว้   เหล่าทหารชั้นในต่างก็อุ่นใจที่ตนมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าพวกที่อยู่แถวหน้า   แต่คิดได้เพียงเท่านั้นรัศมีจากคมดาบขนาดใหญ่ก็กวาดเอาทหารแถวในนับสิบล้มตายลงโดยที่คมดาบเจาะผ่านทหารแถวหน้าสุดไปเพียงสองคนเท่านั้น    เหล่าทหารต่างก็ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนมองซากชิ้นส่วนที่ระเกะระกะจมกองเลือดอยู่บนพื้น
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: February 27, 2004, 04:15:56 AM »

                          ชาร์ลตวัดดาบของตนกลับพลางมองผ่านแถวทหารที่ตนเพิ่งจะเบิกทางด้วยความตายไปยังแม่ทัพแห่งซาโลมที่กำลังมองตรงมายังตนอยู่ด้วยเช่นกัน  
                          “ฝีมือของแม่ทัพใหญ่แห่งฟีเลเซียนี้น่าดูชมจริงๆ   ข้าประทับใจมาก” ราโชยูกล่าวอย่างยินดี
                          “เจ้าเลิกส่งทหารไร้ฝีมือพวกนี้มาเป็นเหยื่อคมดาบของข้าเสียทีเถิด   ลงมาสู้กันให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลยไม่ดีกว่าหรือ   ข้า ชาร์ล คราแรนซ์  จอมทัพแห่งฟีเลเซีย ให้เวลาเจ้าหนึ่งตวัดดาบว่าจะจัดที่ประลองเองหรือจะให้ข้าจัดให้”
พลันสายตาของแม่ทัพหนุ่มก็เหลือบไปเห็นธงแห่งฟีเลเซียถูกนำมาเป็นผ้ารองเท้าให้แก่แม่ทัพทมิฬ   ชาร์ลกัดกรามแน่นเมื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรีแห่งฟีเลเซียต้องมาถูกหยามเหยียดเยื่ยงนี้   ชาร์ลพุ่งตัวไปข้างหน้าสู่ช่องว่างของแถวทหารที่ตนเป็นผู้เบิกทางไว้เมื่อสักครู่อย่างรวดเร็ว   เขาย่อตัวลงต่ำและในเสี้ยววินาทีนั้นเขาก็ตวัดดาบเหนือศีรษะเป็นวงกว้างจนสุดแขน   ความรวดเร็วของเขาทำให้ดูเหมือนว่าเขาขยับตัวเพียงนิดหน่อยเท่านั้น
                          ชาร์ลยึดตัวขึ้นช้าๆในขณะที่ทหารรอบตัวของเขาโดยเริ่มจากคนที่อยู่แถวในสุดก็ล้มลงตัวขาดออกจากกันไปชนคนถัดมาเรื่อยๆทั้งทางซ้ายและขวากว่ายี่สิบนาย   เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นเจิ่งนองไปทั่ว  
                          ณ บัดนี้ เหล่าทหารซาโลมชั้นผู้น้อยตระหนักว่าต่อหน้าแม่ทัพผู้องอาจแห่งฟีเลเซีย   พวกตนเป็นดั่งแมลงที่อยู่ต่อหน้าพญาอินทรีมีแต่จะถูกขยี้เป็นทางผ่านเท่านั้น
                          “นี่มนุษย์หรือเทพสงครามกันนี่” เสียงทหารซาโลมคนหนึ่งที่ยืนเพื่อปกป้องแม่ทัพของตนอยู่แถวในสุดบริเวณด้านหน้าของราโชยูกล่าวออกมาแผ่วเบาก่อนกายท่อนบนจะตกลงบนพื้น และกายท่อนล่างค่อยๆล้มลงตาม
เมื่อแม่ทัพแห่งฟีเลเซียเหลือบตามองรอบๆตัวก็เห็นว่าทหารจากอาณาจักรทะเลทรายที่เหลือถอยตัวแตกฮืออย่างตื่นตระหนกออกห่างเป็นวงกว้าง   จึงยิ้มขันกล่าวเย้ยแม่ทัพทมิฬ “ดูเหมือนทหารของเจ้าจะพูดรู้ภาษากว่า   ถึงได้รีบจัดที่ให้ข้าก่อนที่เจ้าจะสั่งเสียอีก”
                          ถึงคราวนี้ ราโชยูก็เริ่มมีอารมณ์โกรธขึ้นมาบ้าง   เมื่อทหารเสียขวัญจนสร้างความอับอายมาสู่ตนและกองทัพ   ราโชยูคว้าเคียวคู่ใจกระโดดลงจากเพิงพลพุ่งตัวเข้าใส่ชาร์ลอย่างเร็ว   เสียงอาวุธต่ออาวุธกระทบกันดังก้อง  เสียงเท้าของขุนพลร่างยักษ์กระทบพื้นที่บัดนี้เจิ่งนองไปด้วยโลหิตสีแดงและเศษชิ้นร่างมนุษย์สาดกระเซ็นเป็นวงกว้าง   นัยน์ตาถตัวเองจ้องผ่านหมวกเกราะไปยังนักรบหนุ่มผู้งามสง่า   ในใจของแม่ทัพซาโลมเกิดความฮึกเหิมมาทันทีเมื่อได้ประดาบแรกกับคู่ดวลที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้   ทั้งคู่ต่างก็ยันอาวุธกันไปมาเพื่อหยั่งเชิงและกำลังของอีกฝ่าย   ทว่าพอเท้าของราโชยูย่ำอยู่ในแอ่งเลือดที่เจิ่งนอง   เคียวของเขาก็เริ่มแผ่กระจายรังสีแห่งความกระหายเลือดออกมาอย่างรุนแรงจนทุกคนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ   ข้างฝ่ายแม่ทัพหนุ่มแห่งฟีเลเซียทันทีที่อาวุธของเขาสัมผัสกับเคียวนั้นก็รู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของอาวุธนี้   เขารู้สึกว่ามีพลังบางอย่างค่อยๆไหลเข้าสู่ดาบจากบริเวณที่เคียวและดาบสัมผัสกัน และมันกำลังเริ่มคืบคลานเข้าสู่ปลายนิ้วของเขา   เขาขมวดคิ้วเข้าหากันทันที มองตรงไปยังเคียวนั้นและเริ่มสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างกลอกกลิ้งไปมาตรงบริเวณรอยแยกเล็กๆด้านท้ายของคมเคียว   ชาร์ลจึงรีบผละถอยออกทันที
                           “ช่างขวัญอ่อนเสียจริง...” ราโชยูแสยะยิ้มบ้าง
                           พูดยังไม่ทันจบนกซอร์วิงตัวหนึ่งก็ร้องเสียงดังจากทางเบื้องบนของคนทั้งคู่   นกซอร์วิงบินวนเหนือพวกเขาสองรอบก่อนจะบินกลับไปอย่างรวดเร็ว   ชาร์ลรู้ได้ทันทีว่าเป็นฟอล์คเนอร์นั่นเองที่ส่งนกซอร์วิงตัวนี้มา   นั่นก็หมายความว่ามีข่าวสารสำคัญมาถึง   ทันทีที่ชาร์ลหันกลับมาก็ได้เห็นนายทหารนายหนึ่งวิ่งมากระซิบอะไรบางอย่างกับแม่ทัพทมิฬ   ราโชยูมีสีหน้าไม่ใคร่จะพอใจนักก่อนที่จะมองกลับมาทางตน   แม่ทัพทมิฬแสร้งยิ้มให้พลางกล่าวว่า
                          “วันนี้ท่าทางจะไม่ใช่วันของเราเสียแล้ว   เจอกันครั้งหน้าข้าจะไม่รอให้เจ้าบุกมาเชิญถึงที่แน่”
                          สิ้นคำแม่ทัพทมิฬก็ให้สัญญาณถอนทัพพร้อมเรียกมังกรดำโนฟโฮทิออนของตนออกมา  ก่อนจะขี่มันจากไป   ท่ามกลางเสียงชัยโยโห่ร้องในชัยชนะของเหล่าอัศวินแห่งฟีเลเซีย  
                          ชาร์ล เองก็ไม่คิดจะตามไล่ล่าไปเช่นกัน เพราะเขาเองนั้นห่วงทางเมืองฟอร์เรนเชียมากกว่า  จึงสั่งเร่งรวบร่วมคนเจ็บก่อนจะเคลื่อนขบวนเข้าสู่เมืองฟอร์เรนเชียทันที
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: February 27, 2004, 04:17:23 AM »

                          ณ วังหลวงแห่งอาณาจักรซาโลม
                          หลังจากที่ซาดินยกทัพออกจากซาโลมและได้ฝากฝังอิสฮาน โอรสแต่องค์เดียวของตนไว้ในความดูแลของนาริส สุไลมาน   มหาอำมาตย์ผู้นี้ก็ทุ่มเทอบรมสั่งสอนวิชาความรู้ต่างๆให้มากมาย ทั้งศาสตร์ ศิลป์ เชิงยุทธ์ ปรัชญา ตลอดจนคุณธรรม จริยธรรมให้แก่พระโอรสอย่างเต็มที่
                          ช่วงเวลาบ่ายของทุกวันที่ห้องทรงหนังสือจะเป็นเวลาร่ำเรียนขององค์รัชทายาท   ซึ่งเป็นช่วงที่อิสฮานชอบมากที่สุดเลยทีเดียว   และในวันนี้ก็เช่นกันที่พระโอรสองค์น้อยวัยแปดปีผู้นี้รีบเข้ามานั่งรอในห้องทรงหนังสือก่อนที่นาริสจะเข้าสอนเสียอีก
                          “ท่านนาริส   วันนี้ท่านจะเล่าเรื่องอะไรให้เราฟัง?” เจ้าชายน้อยในชุดเสื้อตัวโปร่งสีขาวเบาสบายเอ่ยถามอย่างกระตือรือล้นเมื่อเห็นนาริสเดินเข้าห้องมา
                          นาริสยิ้มให้อย่างเอ็นดู   การที่จะทำให้เด็กๆรักที่จะเรียนรู้นั้น  เพียงแค่รู้จักปรับเนื้อหาวิชาความรู้ให้ง่าย สนุกน่าติดตาม และคอยสอดแทรกสาระต่างๆให้   เท่านี้เด็กๆก็ไม่อยากจะพลาดการเรียนแม้เพียงสักวัน
                          “วันนี้เรามาเรียนเรื่องประวัติศาสตร์กันดีมั๊ยพะย่ะค่ะ   ฝ่าบาทจะได้รู้ว่าก่อนหน้าที่เราจะตั้งอาณาจักรซาโลมที่นี่   พวกเราเคยเป็นชนเผ่าเร่ร่อนที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนในทะเลทรายจนกระทั่งถึงรุ่นของเสด็จปู่ของพระองค์”
                          “เรามีเสด็จปู่ด้วยเหรอ?” อิสฮานถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
                          “มีสิพะย่ะค่ะ  ทุกๆคนย่อมมีปู่กันทั้งนั้น” นาริสยิ้ม
                          “ท่านก็มีหรือ?”
                          “พะย่ะค่ะ”
                          “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ด้วย?”
                          “พะย่ะค่ะ”
                          “ถ้าอย่างนั้น   ทำไมเราไม่เคยได้ยินเรื่องของเสด็จปู่เลยละท่านนาริส?” ฮิสฮานสงสัย
                          “ก็เพราะองค์ซาดินไม่ชอบให้ใครพูดถึงน่ะสิพะย่ะค่ะ”
                          “เสด็จพ่อเกลียดเสด็จปู่เหรอ?” คำถามของอิสฮานทำเอานาริสนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “เหมือนเราเลย   เราก็เกลียดเสด็จพ่อ  เสด็จพ่อใจร้าย...”  
                          นาริสรีบปรามเจ้าชายน้อยทันที   เพราะเป็นการไม่เหมาะสมนักที่บุตรจะพูดถึงบิดาเยี่ยงนี้   ทั้งยังไม่เหมาะอย่างยิ่งหากเหล่าข้าราชบริพารมาได้ยินเข้า “ฝ่าบาทไม่ควรใช้วาจาแบบนี้นะพะย่ะค่ะ   พระบิดาของพระองค์ก็มีรูปแบบความรักในแบบของเขา   องค์ซาดินอาจจะไม่รู้จักการแสดงความรัก   แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพระบิดาจะไม่ทรงรักฝ่าบาทนะพะย่ะค่ะ”
                          อิสฮานเบ้ปากจนแก้มป่อง   คำพูดของมหาอำมาตย์นั้นเชื่อได้ยากเหลือเกิน   ถ้าท่านพ่อรักเขาจริง   ทำไมถึงต้องพรากเสด็จแม่ไป   ทำไมถึงไม่เคยมาเยี่ยมเวลาที่เขาไม่สบาย   ทำไมไม่เคยกอดเขาสักครั้งเล่า   แต่ก็ดี...เขาก็ไม่ได้อยากจะให้เสด็จพ่อกอดนักหรอก   แค่มีเสด็จแม่ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา
                          นาริสเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจดีว่าพระโอรสคิดอะไรอยู่จึงพูดตัดบทว่า “เอาเถิดพระโอรส   เวลานี้พระองค์คงยังไม่ทรงเชื่อที่หม่อมฉันทูล   แต่สักวันหนึ่งเมื่อพระองค์เติบใหญ่   พระองค์ก็จะทรงเข้าใจในสิ่งที่หม่อมฉันทูลในวันนี้”
                          อิสฮานพยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักแต่เขาก็ยอมรับฟังแต่โดยดี   เพราะสำหรับเขาแล้วนาริสเป็นยิ่งกว่ามหาอำมาตย์หรือราชครู   นาริสรอบรู้ทุกเรื่อง สอนเขาทุกอย่างตั้งแต่สิ่งต่างๆในชีวิตประจำวันตลอดจนวิชาความรู้ทั้งหลาย   นาริสคือครูใจดี ดูแลเขาอย่างดี  อีกทั้งยังรู้ใจและเข้าใจเขาไปเสียทุกอย่าง
                          “เอาล่ะ   ถ้าเช่นนั้นเรามาเริ่มเรียนกันต่อดีกว่านะพะย่ะค่ะ   ในสมัยนั้นทั่วทั้งทะเลทรายมีเผ่าเล็กเผ่าน้อยกระจายอยู่มากมายหนึ่งในนั้นก็มีเผ่าซาโลมของเราอยู่ด้วย   เผ่าของเราค่อนข้างใหญ่ทีเดียวและเราได้ครอบครองโอเอซิสที่สมบูรณ์ที่สุดอีกด้วย” นาริสเล่าพลางชี้แผนที่หนังที่ติดอยู่ตรงกำแพงใกล้ๆให้พระโอรสดู   ซึ่งพระโอรสก็ตั้งใจฟังอย่างดี
                          “หัวหน้าเผ่าแต่ละรุ่นก็ล้วนแต่ปฎิบัติหน้าที่ของตนอย่างดี   จนกระทั่งมาถึงรุ่นเสด็จปู่ของพระองค์...”
                          “เกิดอะไรขึ้นหรือ?” อิสฮานถามอย่างสงสัยใคร่รู้
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: February 27, 2004, 04:19:39 AM »

                          “ครั้งนั้นจะเรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งความแร้นแค้นเลยก็ว่าได้   เกิดความแห้งแล้งกันดารอย่างรุนแรง   ฝนไม่ตกเป็นปีๆ  ทำให้เผ่าต่างๆพยายามเอาชีวิตรอดด้วยการรุกรานแย่งชิงโอเอซิสของเผ่าอื่น   ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าหากตนพ่ายแพ้ย่อมหมายถึงการ อดตายในนรกทะเลทราย   จึงเข้าห่ำหั่นกันอย่างรุนแรง ป่าเถื่อน และโหดเหี้ยมอย่างที่สุด   และเป็นธรรมดาว่าโอเอซิสที่สมบูรณ์ที่สุดย่อมเป็นที่ถูกหมายตามากที่สุดเช่นกัน”
                          “แล้วเสด็จปู่ก็ต่อสู้เพื่อปกป้องโอเอซิสอย่างกล้าหาญใช่มั๊ย?” อิสฮานถามอย่างตื่นเต้น
                          นาริสยิ้ม ตอบว่า “ตรงกันข้ามพะย่ะค่ะ   เสด็จปู่ของพระองค์ทรงแบ่งโอเอซิสให้เผ่าต่างๆใช้ด้วยกัน”
                          อิสฮานจ้องนาริสด้วยดวงตาคมโต แสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด   การแบ่งโอเอซิสให้เผ่าต่างๆได้ใช้   หมายความว่าตนเองก็อาจจะมีไม่พอใช้ในอนาคตอันใกล้มิใช่หรือ
                          “แต่ทว่าเมื่อความโลภเข้าครอบงำ  มิตรก็กลายเป็นศัตรูได้เพียงชั่วข้ามคืน   หลังจากที่เสด็จปู่ของพระองค์แบ่งที่ให้เผ่าต่างๆได้ร่วมโอเอซิส   พวกเขาก็ร่วมมือกันขับไล่เผ่าของเราออกจากโอเอซิสของเราเอง”
                          “พวกขี้โกง !  เสด็จปู่ต่อสู้กับพวกนั้นอย่างกล้าหาญแล้วสิคราวนี้?” อิสฮานถามอย่างมีความหวัง
                          นาริส ส่ายหน้าช้าๆ “เพราะเสด็จปู่ของพระองค์ทรงรักสันติ เกลียดสงคราม และเป็นคนไม่สู้คน  เขายอมก้มหน้ารับชะตากรรมทุกอย่างที่ฟ้าจะมอบให้เขา   เมื่อพบโอเอซิสแห่งใหม่ได้ไม่นานก็ถูกรุกรานอีก   เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า   จนกระทั่งสุดท้ายผู้รุกรานก็ได้สังหารพระองค์และชาวเผ่าไปมากมาย   ตอนนั้นองค์ซาดินและพระนางเนอริมอร์ก็ยังทรงพระเยาว์นักจึงได้แต่หนีหัวซุกหัวซุนและต้องอยู่อย่างอดอยากในทะเลทรายที่สุดแสนกันดาร”
                          “เสด็จพ่อไม่เหมือนเสด็จปู่เลย...........?” อิสฮานพูดอย่างครุ่นคิด
                          “พะย่ะค่ะ ต่างกันราวกับแสงสว่างกับความมืด..........”นาริสกล่าวสายตาทอดไกลไปยังภาพอดีต
                          “องค์ซาดินในขณะนั้นต้องพบกับภาพอันโหดร้ายต่อหน้าต่อตา   พระองค์ทรงทำลายความอ่อนแอทุกอย่างในจิตใจจนหมดสิ้น   จนแม้แต่การกำจัดภาพบิดาผู้อ่อนแอในสายตาของตนออกจากความทรงจำของตัวเองจนไม่มีเหลือ…จนดูราวกับว่า ณ วันที่สิ้นบิดาของพระองค์   พระองค์ก็ได้กำเนิดเป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งเด็ดขาดยิ่งนัก   สภาพการณ์ในขณะนั้นบีบคั้นให้ต้องเป็นหัวหน้าเผ่าตั้งแต่อายุยังน้อย   ทรงต่อสู้กับเผ่าต่างๆอย่างกล้าหาญตรงข้ามกับเสด็จปู่ของพระองค์ และทรงโจมตีก่อนเสมอ   โดยเฉพาะเผ่าใดที่มีทีท่าอันตราย   องค์ซาดินจะเข้าโจมตีเผ่านั้นทันที ไม่ให้ได้ตั้งตัวซ่องสุมกำลังพลได้ทัน   ด้วยว่าจะไม่ยอมเป็นผู้ถูกแย่งชิง   แต่จะเป็นผู้ที่แย่งชิงเสียเอง   จนในเวลาเพียงห้าปีก็สามารถปราบชนเผ่าทั้งสิบหกเผ่าจากสิบเจ็ดเผ่าในทะเลทรายเหนือ และสถาปาณาจักรวรรดิซาโลมขึ้น   ทั้งยังทรงขยายพระราชอาณาจักรอย่างไม่หยุดหย่อนเลยตั้งแต่ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิ์แห่งซาโลม   ทรงทุ่มเทชีวิตให้ราชกิจจนอาจจะหลงลืมพระโอรส หรือพระนางเนอริมอร์ไปบ้าง   แต่ทั้งหมดก็เพื่อพระโอรสจะได้ไม่ต้องประสบกับการไร้แผ่นดินอยู่อย่างที่พระองค์เคยประสบนะพะย่ะค่ะ”
                          อิสฮานคิดถึงหลักการปกครองที่เรียนรู้มาก่อนเปรยออกมาเบาๆ“เสด็จปู่เป็นกษัตริย์ที่สู้เสด็จพ่อไม่ได้สินะ”
                          “หม่อมฉันกลับชอบวิธีการของเสด็จปู่ของพระองค์มากกว่านะพะย่ะค่ะ”
                          “ทำไมล่ะ   เสด็จปู่ทำให้เผ่าอดอยาก และชาวเผ่าถูกฆ่าตายไปมากมายไม่ใช่หรือ?”
                          “เสด็จปู่ของพระองค์อาจจะไม่ใช่คนเด็ดขาด และสู้คน  เอาแต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมก็จริง   แต่พระองค์ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำใจ และรักสันติ   สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะยั่งยืนและนำพาผู้คนให้สงบสุขได้   และก็เพราะความดีของพระองค์ท่าน   หม่อมฉันเป็นคนหนึ่งที่ถวายการรับใช้มาตั้งแต่สมัยปู่ของพระองค์   ท่านเป็นคนมีน้ำใจ และอ่อนโยน   ผู้คนในเผ่าทุกคนรักท่านมาก   หม่อมฉันเองขณะนั้นเป็นทหารเอกของท่าน   แต่ท่านก็ถือหม่อมฉันเป็นเสมือนเพื่อนมากกว่าข้ารับใช้   หม่อมฉันเองซาบซึ้งในจิตใจยิ่งจนสาบานต่อหน้าพระศพของพระองค์ท่านว่าหม่อมฉันจะจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านและดูแลลูกหลานของพระองค์ทุกพระองค์ยิ่งกว่าชีวิต จะทำหน้าที่แทนพระองค์จนกว่าชีวิตจะหาไม่”
                          เจ้าชายน้อยนัยน์ตาเป็นประกาย “เช่นนั้น ท่านนาริสก็เสมือนเป็นท่านปู่ของเราน่ะสิ   เราชอบท่านนาริสมาก   รักมากกว่าเสด็จพ่อเสียอีกแต่รองจากเสด็จแม่นะ”
                          อำมาตย์ชรานัยน์ตาตื้นไปด้วยน้ำตาคลอ   มองใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กน้อยอย่างซาบซึ้ง   ทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่ในใจนั้นปลื้มปิติโลดขึ้นสูงแทบจะทะลุเพดาน กล่าวเสียงเครือ
                          “ตาแก่คนนี้มิบังอาจเทียบกับเสด็จปู่ของพระองค์ และองค์ซาดินหรอกพะย่ะค่ะ   หม่อมฉันไม่มีค่าเทียบกับพระบิดาที่ปรีชาสามารถและทรงให้กำเนิด หรือเสด็จปู่ที่น้ำพระทัยล้ำเลิศ   องค์ซาร์ของหม่อมฉัน....... น้ำพระทัยที่ทรงมอบให้เกินกว่าที่หม่อมฉันจะสมควรรับ   คนชราอย่างหม่อมฉันได้ถวายรับใช้เช่นนี้ก็เป็นเกียรติยิ่ง   แต่ถ้าเสด็จปู่ของพระองค์ยังทรงพระชนม์ จะทรงปฏิบัติได้ดีกว่าหม่อมฉันร้อยเท่า   และความรักนี้ ควรจะเป็นของเสด็จปู่ของพระองค์พะย่ะค่ะ”
                           “เราเข้าใจแล้ว” องค์ชายน้อยพยักหน้า  “ถ้าเช่นนั้นเราก็รักท่านนาริส และ เสด็จปู่ด้วย”
                          “นี่เป็นความลับของเรานะพะย่ะค่ะ   จะให้เสด็จพ่อของพระองค์รู้เรื่องนี้ไม่ได้เลยเชียว” นาริสเขย่ามือเด็กน้อยเบาๆ
                          “เขาจะรู้ได้ยังไงล่ะในเมื่อไม่เคยสนใจอะไรเราเลย”เด็กน้อยยิ้มแต่นัยน์ตาเศร้านัก
                          ทันใดนั้น นางกำนัลนางหนึ่งก็วิ่งเข้ามาพลางโค้งขออภัยนาริสอย่างรวดเร็ว  กล่าวระล่ำระลักปนหอบ
                          “พระ...พระโอรส  ทอดพระเนตรสิเพคะว่าใครมา”
                          แทบจะทันที  องค์ราชินีแห่งซาโลมก็สาวเท้าผ่านหน้านางกำนัลไปราวกับโผบิน   แขนทั้งสองอ้าออก   ใบหน้าของนางแต้มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปิติยินดีและน้ำตาแห่งความคิดถึง  
                          “เสด็จแม่!” เด็กน้อยตะโกนสุดเสียง ก่อนจะโผเข้าหาอ้อมกอดของมารดา
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: December 19, 2004, 04:24:40 AM »

เอ๊า......มาเม้าส์กันต่อที่นี่เลยนะจ๊า~~~~~~~~~

http://www.smnforum.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=5003;start=0#lastPost
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.075 seconds with 21 queries.