Summoner Master Forum
March 29, 2024, 11:01:31 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter13 ผ้าคลุมขนนกแดง @@  (Read 7113 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: December 19, 2004, 03:15:57 AM »

Chapter13   ผ้าคลุมขนนกแดง  


                        ณ ห้องรับรองในเขตพระราชฐานชั้นใน   เนริมอร์กำลังเดินกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวายใจยิ่งนัก   ใบหน้าของนางดูหมองคล้ำอิดโรย  
                        “ท่านมหาอำมาตย์นาริส   ขอเข้าเฝ้า” เสียงประกาศของทหารยามหน้าประตูดังขึ้น
                        อำมาตย์เฒ่าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วพลางโค้งคำนับ
                        “ทรงเรียกให้เข้าเฝ้าเป็นการด่วน...”
                        “ท่านนาริส   จริงรึที่ว่าซาดินบุกถ้ำวงกตนั่นสำเร็จแล้วและกำลังขนสมบัติทั้งหมดกลับมา” เนริมอร์รีบเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว
                        “พ่ะย่ะค่ะ”
                        “หมายความว่า...” เนริมอร์สีหน้าตื่นตระหนกไม่กล้าแม้จะเอ่ยคำพูดนั้นออกมา
                        “หม่อมฉันพยายามประวิงเวลาอย่างที่สุดแล้วพระนาง   และคงมิอาจประวิงเวลาต่อไปได้อีกแล้ว”
                        “ไม่นะ!   อิสฮานยังไม่แปดขวบดีเลยด้วยซ้ำ   จะให้ข้าทิ้งลูกไปได้อย่างไรกัน  ท่านนาริสโปรดประวิงเวลาต่อไปอีกสักหน่อยเถิด   ขอให้ข้าได้มีเวลาอยู่กับลูกอีกสักนิด...”
                        อำมาตย์เฒ่าได้แต่ส่ายหน้า
                        “ท่านนาริส   ลูกชายข้าช่างอาภัพนัก   มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้ากษัตริย์ผู้คนต่างเคารพรักยกย่องสรรเสริญกันทั่วหล้า   ทรัพย์สมบัติต่างๆก็มีมากกว่าเด็กในวัยเดียวกันเหลือคณานับ   แต่ความรักที่เรียบง่ายและอบอุ่นที่สุดเขากลับได้รับเพียงครึ่งเดียว   มีพ่อก็เหมือนไม่มี   ข้ารู้ดีว่าท่านก็รักอิสฮานราวกับเป็นลูกเป็นหลานของท่านคนหนึ่ง   ท่านทนเห็นอิสฮานที่น่าสงสารต้องขาดแม่ไปอีกคนได้เชียวหรือ   บิดาเปรียบดั่งผืนฟ้า มารดาเปรียบดั่งแผ่นดิน   แม้ฟ้าจะดับชีวิตก็ยังคงดำรงอยู่ได้   แต่หากแผ่นดินม้วยแล้ว   ชีวิตจะยังคงดำรงอยู่ได้อย่างไร  ท่านอย่าให้ลูกข้าต้องขาดแม่ไปอีกคนเลย”
                        “พระนาง   มิใช่ว่าข้าจะใจจืดใจดำไม่ช่วยเหลือท่าน    หากแต่ว่าข้าได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว”
                        “แต่มันยังไม่ดีพอ   ท่านเป็นถึงมหาอำมาตย์ใหญ่...”
                        “ท่านเนริมอร์   การตระเตรียมการในส่วนต่างๆนั้นพร้อมสรรพจนแทบจะเกินความจำเป็นแล้วเสียด้วยซ้ำ  จะเหลือก็แต่สมบัติที่จะนำมาซื้ออาวุธและเสบียงเท่านั้น  ท่านเองก็ทราบดีมิใช่หรือ ”
                        เนริมอร์กัดริมฝีปากแน่น   น้ำตาเอ่อคลอขึ้น “ข้ามีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่”
                        “หลังจากที่ฝ่าบาทกลับมาอย่างน้อยสองอาทิตย์   อย่างมากก็ไม่ถึงหนึ่งเดือน”
                        “ไม่!! มันเร็วเกินไป”  เนอริเมอร์ดวงตาเบิกกว้าง  นางแทบไม่เชื่อหูตัวเอง  
                        “ไม่มากไปกว่านี้แล้วพระองค์”
                        “หึหึ  ท่านหยอกข้าเล่นใช่หรือไม่” เนริมอร์พยายามเค้นเสียงหัวเราะกลบเกลื่อนความตะหนก   แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอำมาตย์แล้ว รอยยิ้มของนางก็ค่อยๆเลือนหายไป    เนริมอร์ส่ายหน้าช้าๆดวงตาเบิกกว้าง  ปากขยับเหมือนจะพูดแต่กลับไม่มีเสียงใดๆเล็ดรอดออกมา  
                        “ลูกแม่...” พูดได้เพียงเท่านั้นเนริมอร์ก็รีบวิ่งถลาไปผลักประตูห้องรับรองออกอย่างรวดเร็ว “พระโอรสอยู่ที่ไหน   รีบนำตัวพระโอรสมาหาเราเดี๋ยวนี้!!”



                        ณ อุทยานกลางพระราชวังแห่งซาโลม   พระโอรสองค์น้อยกำลังเดินไปตามทางที่ปูด้วยแผ่นหินลวดลายแปลกตาอยู่พระองค์เดียว   สีหน้าดูซึมเศร้าหงอยเหงา   อิสฮานกัดริมฝีปากล่างแน่น   ดวงตาคมคู่น้อยจ้องมองแต่ปลายเท้าตนเองที่ย่างก้าวกึ่งกระโดดไปตามลวดลายของแผ่นหิน   เด็กน้อยมองไปยังอุทยานอีกฟากก็ทันได้เห็นทหารยามสองนายเดินลาดตระเวนอยู่ไกลๆ   จึงรีบวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว  
                        “พวกเจ้า   มาเล่นกับเราหน่อยสิ ”
ทหารทั้งสองสะดุ้งสุดตัว   ต่างมองหน้ากันไปมา “พระอาญามิพ้นเกล้า   ข้าพระองค์มิบังอาจ”
                        โอรสน้อยยิ้มให้อย่างมีความหวัง   ดวงตาคมพราวระยับ
                        “มาเถิด   ไม่เป็นไร   เราไม่ว่าอะไรพวกเจ้าหรอก   อยู่เป็นเพื่อนเล่นกับเราก่อนนะ   ไม่มีใครเล่นกับเราเลย”
                        ทหารทั้งสองมองหน้ากันอีกครั้ง  สีหน้าเริ่มตึงเครียด “ฝ่าบาทได้โปรดเถิด   พวกข้าพระองค์มีหน้าที่ต้องเดินเวรยาม   หากไม่รีบกลับไปรายงานตัวกับนายทวารใหญ่แล้ว...”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: December 19, 2004, 03:17:53 AM »

                      อิสฮานน้อยสีหน้าสลดลง   ยิ้มเศร้าๆ “เอาเถอะ   เราเข้าใจ   พวกเจ้ารีบไปเถิด”
                      “พ่ะย่ะค่ะ” ทหารทั้งสองรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง    
                      “เกือบไปแล้วสิ   ใครจะกล้าไปเล่นด้วยเล่า   วันดีคืนดีเกิดเป็นอะไรขึ้นมา   คงได้หัวหลุดจากบ่าเป็นแน่”
                      “เฮ้ย   เบาๆสิเดี๋ยวก็ทรงได้ยินหรอก....”
                      เสียงพูดคุยของทหารทั้งสองดังขึ้นก่อนจะค่อยๆห่างออกไปจนฟังไม่ได้ศัพท์   แต่ก็มากพอที่จะทำร้ายจิตใจของเด็กน้อยให้เจ็บปวดแล้ว   อิสฮานดวงตาแฉะชื้น กัดริมฝีปากแน่นก่อนที่จะก้มหน้าลงและเริ่มต้นกระโดดไปตามแผ่นหินอีกครั้งอย่างหงอยเหงา
                      ที่ปลายอีกฟากของอุทยานมีนางกำนัลสี่คนนั่งหมอบคอยเฝ้าพระโอรสอยู่ไกลๆ   ต่างก็แอบกระซิบกระซาบคุยกันถึงเรื่องพระโอรสองค์น้อย
                      “น่าสงสารพระโอรสจริงๆ   ดูสิพระองค์เหงามากนะ”
                      “งั้นเจ้าก็ไปเล่นกับพระองค์สิ”  นางกำนัลอีกคนพูดขึ้น
                      “ใครจะกล้าเล่า   ก็ตั้งแต่เกิดเรื่องที่พระโอรสบาดเจ็บคราวนั้นก็ไม่มีใครกล้าเล่นกับพระองค์อีกเลย   ท่านเสนาฯอำมาตย์ทั้งหลายก็ไม่กล้าส่งลูกมาเล่นกับพระองค์อีกแล้ว   บ้างก็ว่าป่วย บ้างก็ว่าไปร่ำเรียนต่างเมือง   แต่ใครๆก็รู้กันทั้งนั้นว่าต่างก็กลัวพระพิโรธของพระนางเนริมอร์” นางกำนัลคนแรกพูดไปจับคอตัวเองไป
                      “ข้าก็สงสารพระองค์นะ   แต่ข้ารักชีวิตตัวเองมากกว่า” นางกำนัลอีกคนพูดเสริมขึ้น  สีหน้ายังคงประหวั่นพรั่นพรึงถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
                      “ดูสิพระองค์กระโดดเล่นไปตามแผ่นหินแบบนั้นเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วนะ”  นางกำนัลอีกคนพูดพลางหันไปมองพระโอรสน้อยที่ยังคงกึ่งเดินกึ่งกระโดดไปมาบนแผ่นหิน
                      ไม่นานนักนางกำนัลต้นห้องของเนริมอร์ก็รีบวิ่งเข้ามาหากลุ่มนางกำนัลที่นั่งหมอบอยู่อย่างรวดเร็ว   นางพูดปนหอบ
                      “เร็วเข้า   พระนางตรัสเรียกหาพระโอรสเป็นการด่วนที่สุด”
                      นางกำนัลก็รีบวิ่งไปหาโอรสน้อยอย่างรวดเร็ว  เพื่อแจ้งสารแก่พระองค์    เจ้าชายตัวน้อยยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว   ดวงตาคมกลมโตเปล่งประกายสดใส  
                      “สมเด็จแม่ว่าราชการเสร็จแล้วหรือ”  พูดได้เท่านั้นก็รีบออกวิ่งอย่างเร็วไปยังทิศทางที่นำไปสู่ห้องรับรองในเขตพระราชฐานชั้นในทันที   ทำให้เหล่าบรรดานางกำนัลต่างต้องรีบวิ่งตามหลังไปอย่างทุลักทุเล



                      “สมเด็จแม่”   อิสฮานตะโกนเรียกพลางรีบวิ่งเข้าไปหาเนริมอร์ในห้องรับรองอย่างเร็วราวกับติดปีก   เด็กน้อยยิ้มกว้างกางแขนโผเข้าหาเนริมอร์   บัดนี้ภายในห้องมีเพียงสองแม่ลูกอยู่กันตามลำพังเท่านั้น   เนริมอร์กอดลูกไว้แน่นจนอิสฮานรู้สึกผิดสังเกต   เด็กน้อยเงยหน้าขึ้น   น้ำตาหยดน้อยก็ตกสู่ใบหน้าของตน
   “สมเด็จแม่  สมเด็จแม่เป็นอะไร  ใครทำให้พระองค์ร้องไห้”
                      เนริมอร์ส่ายหน้าช้าๆ    น้ำตาหยาดใสๆยังคงไหลออกมาจากดวงตาคู่งามนั้น “ลูกรัก   หัวใจแม่นี้เจ็บปวดนัก   ดั่งถูกเข็มแหลมแทงทะลุหัวใจแม่เป็นร้อยเป็นพันเล่ม   ทรมานเหมือนถูกควักหัวใจออกจากร่างทั้งเป็น   แม่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรกัน”
                      เสียงขมขื่นของนางเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ  โอรสน้อยเบะปากน้ำตาไหลอาบแก้ม   สองมือน้อยๆเช็ดน้ำตาของผู้เป็นแม่พูดเสียงสั่นเครือ“เสด็จแม่   ใครบังอาจทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวดทรมานถึงเพียงนี้”
                      เนริมอร์ส่ายหน้าไม่ตอบใดๆเอาแต่ร้องไห้   เสียงสะอื้นของนางบาดลึกลงในหัวใจของเด็กน้อย  
                      “เสด็จแม่อย่าร้องไห้เสียใจอีกเลย   ลูกเห็นเสด็จแม่เจ็บปวดแบบนี้แล้วลูกก็เจ็บปวดด้วย”
                      เนริมอร์ได้ฟังก็ยิ่งร้องไห้หนัก “ลูกที่น่ารักของแม่   เจ้าจะอยู่คนเดียวได้อย่างไร   ใครจะกล่อมเจ้านอนยามค่ำคืน  ใครจะกอดเจ้าให้อุ่นยามหนาว   ใครจะคอยพัดให้เจ้าเวลาร้อน   ใครจะคอยปลอบเจ้าเวลาร้องไห้    ใครจะให้ความรักกับเจ้าแทนแม่คนนี้”
                      เด็กน้อยได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนหน้าซีด   สองมือน้อยเขย่าแขนของมารดาร้องไห้เสียงจ้า “เสด็จแม่จะไปไหน   ไม่!ลูกไม่ให้พระองค์ไป   ลูกไม่ให้เสด็จแม่ไปไหนเด็ดขาด   เสด็จแม่อย่าทิ้งลูกไปนะ”
                      ราชินีแห่งซาโลมบัดนี้ไม่เหลือท่าทางอันองอาจและน่าเกรงขามอีกแล้ว   นางสะอื้นไห้อย่างโศกเศร้าเวทนาลูกน้อยอย่างเหลือประมาณ “โอ้  ลูกรักของแม่   การแยกแม่ไปจากเจ้านั้นก็เหมือนผลักแม่ไปสู่ไฟนรก   ดวงใจแม่มอดไหม้จนแทบจะเป็นผุยผงอยู่แล้ว”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: December 19, 2004, 03:19:43 AM »

                       อิสฮานทรุดเข่าลงกอดขาเนริมอร์ไว้แน่น  น้ำตานองหน้า “สมเด็จแม่   พระองค์จะไปไหนให้ลูกไปด้วย   ลูกจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนจะเชื่อฟังพระองค์ทุกอย่าง   ให้ลูกไปกับพระองค์ด้วยเถิด   ได้โปรดเถิดสมเด็จแม่”
                       เนริมอร์ส่ายหน้าช้าๆ น้ำตายังคงไหลอาบแก้ม“หากแม่เลือกได้   แม่เลือกที่จะอยู่กับเจ้าที่นี่   ดีกว่าจะให้เจ้าไปที่นั่นกับแม่”
                       “ให้ลูกไปกับพระองค์ด้วย   ให้ลูกไปกับพระองค์ด้วย”
                       ทั้งสองแม่ลูกต่างร้องไห้คร่ำครวญถึงกันอย่างน่าเวทนานัก   


                       ในพระราชวังซาโลมเวลานี้มีงานเฉลิมฉลองชัยชนะเหนือถ้ำวงกตของซาดินและให้แก่สมบัติล้ำค่าอันมากมายมหาศาล   ที่กลางท้องพระโรงนั้นมีสมบัติวางกองเรียงกันอยู่   กองหีบสมบัติตั้งสูงเกือบจรดเพดาน   เหล่าเสนาอำมาตย์น้อยใหญ่ต่างดื่มกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ   มีกองสมบัติที่อยู่เบื้องหน้าเป็นดั่งนางระบำที่ร่ายรำอวดประกายแสงระยิบระยับจับตา   มีเสียงประกาศรายการสมบัติเป็นดั่งดนตรีขับกล่อม   ใบรายนามของสมบัตินั้นยาวจรดพื้น   ปลายของกระดาษที่จดรายนามสมบัตินั้นม้วนเป็นขดใหญ่อยู่ที่แทบเท้าของนายทะเบียนท้องพระคลัง      มีนายทหารคอยยกสมบัติที่ถูกขานชื่อออกมาวางไว้เบื้องหน้าบัลลังก์    เวลาผ่านไปถึงสามชั่วโมง   ในที่สุดสมบัติชิ้นสุดท้ายก็ถูกยกออกมา
                       “และชิ้นที่   24,753    ผ้าคลุมขนนก”  
                       เสียงนายทะเบียนท้องพระคลังดังก้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่นายทหารจะนำผ้าคลุมขนนกออกมา   มันเป็นผ้าคลุมขนนกสีขาวปลายแดงเก่าๆผืนหนึ่ง   ขนนกสีขาวบริสุทธิ์ปลายแดงทุกก้านเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบและมีสภาพสมบูรณ์   ถึงแม้ว่ามันจะดูเก่ามากแล้วแต่ก็มีเค้าว่ามันเคยเป็นผ้าคลุมที่งดงามมากมาก่อน   ทุกคนที่อยู่ภายในห้องนั้นต่างก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับผ้าคลุมเก่าๆผืนนี้นักเพราะมัวแต่สาละวนอยู่แต่กับแสงระยิบระยับของเพชรนิลจินดาที่อยู่เบื้องหน้า   จะมีก็แต่มหาอำมาตย์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จ้องเขม็งไปยังผ้าคลุมเก่าๆนั้น   สายตาของเขามองที่ผ้าคลุมขนนกนี้อย่างพินิจพิเคราะห์   คิ้วขมวดเล็กน้อยสีหน้าครุ่นคิด    
                       ซาดินค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ    ทำให้เสียงที่ดังกระหึ่มภายในท้องพระโรงนั้นค่อยเบาลงจนกลายเป็นเงียบสนิท
                       “บัดนี้   ความหวังของพวกเราใกล้จะเป็นความจริงแล้ว   อีกไม่นานทวีปเมอริเซียอันอุดมสมบูรณ์จะกลายเป็นของเราชาวซาโลมทุกคน   เราจะไม่ต้องทรมานในขุมนรกทะเลทรายนี้อีกต่อไปแล้ว”
                       เสียงโห่ร้องของเหล่าทหารและเสนาฯอำมาตย์น้อยใหญ่ก็ดังก้องขึ้นขานรับคำของซาดิน
                       “และชัยชนะของข้าเหนือถ้ำวงกตนั้นคงเป็นไปไม่ได้   หากไม่มีผู้ดูแลปกครองแผ่นดินแทนข้า”  ซาดินหันหน้าไปหาเนริมอร์  พูดอย่างอารมณ์ดี “ข้าจะให้รางวัลแก่เจ้า   จงเลือกสิ่งที่เจ้าถูกใจ......”
                       “ข้าไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น” เนริมอร์พูดอย่างเศร้าสร้อยและเฉยเมย
                       “ถ้าเช่นนั้นก็จงเลือกอะไรก็ได้ไปเสียอย่างหนึ่งก็แล้วกัน”
                       “ข้าไม่...”
                       “ทูลฝ่าบาท”  นาริสโค้งคำนับ
                       “มีอะไรหรือท่านนาริส”
                       “ข้าพระองค์เห็นว่าฝ่าบาทน่าจะประทานผ้าคลุมขนนกแก่พระนาง”
                       “ผ้าขนนกเก่าๆนั่นนะรึ”
                       เนริมอร์ขมวดคิ้วอย่างรำคาญใจ กล่าวว่า  “ท่านนาริส   ข้าไม่...”
                       นางพูดพลางหันหน้าไปทางอำมาตย์เฒ่า   จึงได้เห็นสายตาที่แฝงความนัยของมหาอำมาตย์   ถึงแม้ว่าจะยังมิรู้ความหมายนัก   แต่ก็นางก็รีบคล้อยตามทันที
                       “ข้าไม่...ข้าไม่รู้จะขอบใจอย่างไร   ท่านช่างรู้ใจข้าเสียจริง”
                       นาริสโค้งตัวเล็กน้อย   ในขณะที่ซาดินพยักหน้ารับ กล่าวว่า “เจ้าถูกใจก็ดีแล้ว”
                       ซาดินส่งสัญญาณให้ทหารนำผ้าคลุมนั้นมาวางไว้แทบเท้าเนริมอร์   ก่อนที่จะประกาศต่อ “และ  ท่านนาริส สำหรับการเตรียมการรบอย่างดี    เรามอบสมบัติและทองคำเจ็ดหีบให้ท่าน”
                       “ขอบพระทัยฝ่าบาท” นาริสกล่าวพลางโค้งคำนับ
                       “และสำหรับเจ้า  บลาส เซจ  หากไม่ได้คบเพลิงเวทย์ของเจ้าช่วย   ป่านนี้ข้าคงยังวนเวียนอยู่ในถ้ำวงกตนั่น   เรามอบสมบัติและทองคำให้เจ้าเจ็ดหีบ”
                       “ขอบพระทัยฝ่าบาท”  บลาส เซจก้าวออกมาโค้งคำนับบ้าง   หากแต่สายตากลับมองไปที่ผ้าคลุมที่นาริสทีด้วยสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย   ในขณะที่นาริสก็ตีหน้าซื่อยิ้มกลับไปให้บลาส เซจ
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: December 19, 2004, 03:21:05 AM »

                       เช้าวันรุ่งขึ้น   อำมาตย์เฒ่าก็ถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าองค์ราชินีแห่งซาโลมทันที   เมื่อนาริสเดินทางมาถึงห้องรับรองในเขตพระราชฐานชั้นในก็ได้พบว่าเนริมอร์ได้รออยู่ก่อนแล้ว   นาริสเพียงแต่โค้งคำนับยังไม่ทันจะเอ่ยคำใดๆ  เนริมอร์ก็ชิงถามคำถามเสียก่อน
                       “ ใยท่านจึงจงใจขอผ้าคลุมเก่าๆผืนนี้ให้ข้า   ท่านก็ทราบดีว่าเวลานี้ข้าไม่อยากได้สิ่งใดๆทั้งนั้น   นอกจากการอยู่กับลูกของข้า” เนริมอร์ พูดเสียงกร้าว   นางชี้มือไปทางถาดที่วางผ้าคลุมผืนนั้น   ซึ่งยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนเมื่อตอนที่มันถูกยกมาที่ห้องนี้
                       “พระนางก็ทรงทราบดีไม่ใช่หรือว่า    ข้าไม่เคยทำสิ่งใดโดยไร้เหตุผล    ข้าขอพระราชทานผ้าคลุมนี้ให้แก่พระองค์   ทั้งนี้ก็เพื่อตัวพระองค์เองนั่นแหละ”
                       “ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ว่าเพื่อตัวข้าเอง”
                       “ข้าคิดว่าผ้าคลุมขนนกผืนนี้ทำมาจากขนของนกร็อคแดง(Red Roc) ที่มีถิ่นฐานอยู่บนยอดเขาสูงเท่านั้น   น้อยคนนักที่จะรู้จักสัตว์ชนิดนี้เพราะมันไม่เคยบินลงมาหากินบนพื้นราบ   แม้แต่เจ้าอุปราชเฒ่าก็คงจะไม่รู้เกี่ยวกับผ้าคลุมนี้สักเท่าไรนัก  ข้าเคยอ่านพบในตำราเวทย์โบราณว่าผ้าคลุมเวทย์ที่ทำจากขนนกร็อคแดงนั้นสามารถใช้เคลื่อนย้ายคนจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้โดยใช้เวลาเพียงชั่วเสี้ยววินาที   และเมื่อคืนนี้ขณะที่ทหารยกถาดใส่ผ้าคลุมเข้ามา   ข้าได้เผอิญเห็นบางส่วนของอักขระโบราณจากชายผ้าคลุมด้านในที่เผยอเปิดเพราะแรงลมพอดี”
                       “เคลื่อนย้ายคนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งงั้นรึ   ไม่ว่าจะใกล้ไกลเพียงไรก็ได้ใช่ไหม!!” หัวใจของเนริมอร์นั้นโลดเต้นยินดียิ่งนัก    ทันทีที่นางตระหนักถึงประโยชน์ที่นางจะได้รับจากผ้าคลุมผืนนี้      
                       “ถูกต้องแล้วพระนาง   แม้แต่จากโพ้นทะเลทรายกลับมายังห้องบรรทมของพระโอรสก็เพียงแค่อึดใจเดียว” นาริสเดินเข้าไปใกล้ถาดผ้าคลุมนั้น   พลางโค้งเป็นเชิงขออนุญาตจากเนริมอร์  ซึ่งบัดนี้ความตื่นเต้นดีใจของนางทำให้นางแทบไม่รับรู้สิ่งใดๆแล้ว
                       “หากการสันนิษฐานของข้าไม่ผิดแล้วล่ะก็   ผ้าคลุมขนนกผืนนี้ก็คือผ้าคลุมเวทย์ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่”  อำมาตย์เฒ่าใช้มือทั้งสองข้างหยิบผ้าคลุมออกมาคลี่ดูทันที   เผยให้เห็นอักขระโบราณจารึกไว้ที่ด้านในของผ้าคลุมนั้นทั่วทั้งผืน   เนริมอร์มองอย่างตื่นเต้นและมีความหวัง   นางกวาดตาไปทั่วทั้งผืนผ้าคลุมนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์   แม้จะอ่านอักขระโบราณเหล่านั้นไม่ออกก็ตาม
                       “ว่าอย่างไรท่านนาริส   ใช่หรือไม่?”  เนริมอร์ถามอย่างร้อนรน   สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ผ้าคลุมขนนกนั้น
                       นาริสกวาดตาไปทั่วผ้าคลุม   พลางค่อยๆยิ้มออกมา “ใช่แน่แล้วพระนาง”
                       “มันใช้อย่างไร   บอกข้าเร็วเข้า”
                       “ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจนัก   ข้าจะค่อยๆถอดความของอักษรทั้งหมดนี่ให้พระองค์ฟัง  เพื่อว่าจะได้ไม่มีสิ่งใดผิดพลาดเมื่อเวลาที่พระนางฝึกใช้มัน”
                       “เชิญท่านเริ่มได้เดี๋ยวนี้เลย”  เนริมอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดียิ่งนัก
                       นาริสค่อยๆถอดความอักขระโบราณอย่างช้าๆ   และพูดให้เนริมอร์ฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ
                       “ผ้าคลุมขนนกร็อคแดงผืนนี้   สามารถเคลื่อนย้ายมนุษย์ได้เพียงครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น   ผู้ที่ปรารถนาจะใช้ผ้าคลุมผืนนี้จะต้องปลุกเสกผ้าคลุมด้วยการนำผ้าคลุมออกสัมผัสแสงอาทิตย์วันละหนึ่งครั้ง และต้องท่องคาถาที่อยู่ทางด้านล่างของผ้าคลุมนี้อย่างแน่วแน่ติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งร้อยวัน   ในวันที่ร้อยผ้าคลุมจะเริ่มขยับพลิ้วได้เองแม้ไร้แรงลม   ฤทธิ์อำนาจของผ้าคลุมจะใช้ได้เพียงครั้งเดียวต่อการปลุกเสกหนึ่งครั้ง   เมื่อปลุกเสกแล้วแต่ยังมิได้ใช้  จงเก็บผ้าคลุมนี้ไว้ในที่ที่แสงแดดส่องถึง   แล้วฤทธิ์อำนาจก็จะยังคงอยู่    เมื่อใช้แล้วฤทธิ์อำนาจก็จะหมดไป   หากปรารถนาจะใช้ผ้าคลุมอีก   ก็ให้ปลุกเสกผ้าคลุมใหม่ทุกครั้งไป...”
                       นาริสกวาดตาดูทั่วผ้าคลุมอีกครั้ง   ก่อนจะกล่าวว่า “ที่เหลือทั้งหมดเป็นคาถาที่ใช้ปลุกเสกผ้าคลุมนี้”
                       “ดีล่ะ   ข้าจะเริ่มท่องคาถาตั้งแต่วันนี้เลย”

Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.026 seconds with 21 queries.