Summoner Master Forum
April 28, 2024, 06:08:14 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: 1 ... 6 7 [8] 9 10  All
  Print  
Author Topic: Legend of The Thaliwilya (Complete 33 ตอน) update บทพิเศษ ครอบครัว  (Read 134588 times)
0 Members and 6 Guests are viewing this topic.
greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #210 on: June 29, 2008, 08:11:23 PM »

บทที่ 24 รัตติกาลที่เปี่ยมด้วยความเมตตา

   ณ อาณาจักรฟีเลเซีย(Felasia)อันเกรียงไกรแห่งนี้ เหล่าราษฎร นั้นต่างยึดมั่นถือมั่นในเกรียติยศ
อันยิ่งยง แห่งชาวฟีเลเซีย ทำให้นักรบในอาณาจักรต่างเป็นนักรบ
เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ ของอัศวิน และทั้งนี้อาณาจักรหาได้เจริญเพียงแค่ทางการทหารไม่
เราระทางการศาสนา นั้นก็ควบคู่กันมากับการทหาร เพื่อให้ทุกคนมีศีลธรรม และยึดมั่นในเกรียติ
แห่งความดีงาม

ราชวงศ์กษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรนี้คือราชวงศ์ อรีธา  ซึ่งกษัตริย์ผู้ทรงครองราชย์
อยู่ในกาลนี้คือ กษัตริย์ซิกมันด์ที่ 3 แต่ก็ได้มีใครหารู้ไม่ว่า บัดนี้อาณาจักรชาตินักรบอันเกรียงไกรนี้
ได้ถูกเปลี่ยนมือผู้ปกครองไปแล้ว เพราะองค์กระษัตริย์ได้ทรงทำสัญญากับ ท่านผู้นั้น
จนตกเป็นเครื่องมือเพื่อใช้ในการเฝ้าจับตาดูความเป็นไปของกองกำลังต่อต้านที่แฝงตัวเอาไว้อยู่

จนถึงบัดนี้ทุกท่านคงจะยังไม่รู้ที่มาของกองกำลังต่อต้านนี้ อันที่จริงกองกำลังต่อต้านนี้
ก็คือกองทัพศาสนจักรที่เคยถูกจัดตั้งขึ้นในสมัยสงครามสี่อาณาจักรที่พึ่งจะสงบลงไป
เมื่อไม่กี่ปี่นี้เอง  โดยกองกำลังต่อต้านนี้ประกอบด้วย ทหารจากแอนดิซองและฟีเลเซียเป็นหลักอีกทั้ง
ยังเครือข่ายและกองกำลังแฝงตัวอยู่ตามทวีปอื่นๆอีกด้วย

แต่ทว่าทั้งที่มีกองกำลังมากมายเหลือคณานับนี้แต่พวกเขากลับไม่สามารถรวมพลได้นั้น
ก็เพราะบัดนี้ได้เกิดโดมน้ำแข็งขนาดยักษ์ปกคลุมไปทั่วทั้งทวีปเมอริเซียแห่งนี้
ตั้งแต่เขตเกาะและเมืองท่าของแอนดิซอง(Annedisonge)ขึ้นไปจนพ้นทะเล อาณาจักรลาซาล (Lazal)
ได้ถูกปิดกั้นด้วยกำแพงน้ำแข็ง ซึ่งก่อตัวสูงขึ้นเสียดฟ้า โดยที่ใจกลางน่านฟ้านั้นมี  ปราการลอยฟ้า เชื่อมวงแหวน
ทรงตัวของมันเข้ากับกำแพงน้ำแข็งที่โน้มเข้ามา  ซึ่งบัดนี้ได้มีบางสิ่งกำลังพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูง

อยู่บนน่านฟ้าภายในโดมแห่งนี้  ซึ่งมันกำลังจะ พุ่งเข้าชนกำแพงน้ำแข็งในไม่ช้านี้

“ พร้อมนะไดน่าเบลด ”
ชายผู้ขี่อยู่บนหลังกริฟฟินปีกสีรุ้ง กล่าวให้จังหวะกับมัน ก่อนที่มัน
กระพือปีกที่สยายอยู่กลางอากาศ อย่างรวดเร็ว ทันทีที่แสงซึ่งส่องทะลุ ลงมาสะท้อนกับขนปีกของมัน
จนเกิดเป็นแสงสีรุ้งกระจายตัวออกมา และเรียงตัวกันราวกับเป็นปีกที่สยายเพิ่มออกมาจาก

ปีกทั้งสองนี่คือ การโจมตีโดยใช้แสงสะท้อนของขนสีรุ้งของมันซึ่งราวกับว่ามันกระจายปีกออกไปโจมตี(Spread Wing)
ทันทีที่ปีกแสงนั้นกระทบเข้ากับกำแพงน้ำแข็งมันก็เริ่มวูบไหวราวกับมันเป็นภาพมายา ก่อนที่กริฟฟิน
และนายของมันจะบินทะลุผ่านกำแพงที่วูบไหวนั้นออกมา
ชายผู้ขี่มันหันกลับไปมอง กำแพงที่วูบไหวเมื่อครู่ซึ่งมันเริ่มกลับมาจับตัวแข็งกันดั่งเดิมอีกครั้ง

ก่อนจะนึกย้อมถึงสิ่งที่ได้รับรู้มาจาก มังกรปราชญ์ อีสควอเทีย

“ ตอนนี้ทั่วทั้งทวีปเมอริเซียถูกปิดกั้นไว้ด้วยกำแพงน้ำแข็งขนาดยักษ์ซึ่งสาเหตุมันก็มาจากพวกโฮลี่ไนท์แมร์นั่นล่ะ ตอนนี้ข้าไม่มีพลังพอที่จะส่งเจ้ากลับไปที่ทวีปคาดาร่าได้ แต่ว่าข้ารู้วิธีที่จะออกไปจากกำแพงน้ำแข็งนี้ได้
ที่ส่วนบนของกำแพงน้ำแข็งจะเป็นจุดที่มีความเข้มแข็งน้อยที่สุด แค่โจมตีใส่นิดหน่อยมันก็จะสลายตัวไป
ก่อนที่มันจะกลับมาแข็งตัวอีกครั้ง ใช้จังหวะนั้นพุ่งผ่านมันออกไปซะ เพราะนี่เป็นวิธีเดียวกับที่ฉัน ให้เทลูมานาไปส่งพวกเขาเมื่อครั้งก่อน ”
คำพูดของอีสควอเทียซึ่งเขาจำมันได้ดี บัดนี้เขาได้ผ่านออกมาจากทวีปเมอริเซียแล้ว

“ เอาล่ะเราบินลงต่ำกว่านี้หน่อยเถอะ ”
 เขากล่าวพร้อมกับ บังคับให้มันบินลง พวกเขาค่อยๆทะยานลงมาอย่างช้า
จนเมื่อลงมาใต้เมฆก็ได้ พบเห็นเรือสินค้ามากมายกำลังลอยลำอยู่เหนือน่านน้ำ
เพราะไม่อาจเดินทางผ่านกำแพงน้ำแข็งเข้าไปได้

“ ทำให้เดือดร้อนกันไปหมดเลยแหะ คงต้องรีบๆทำให้มันจบลงโดยเร็วที่สุดแล้วสินะ ”
เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะละความสนใจและบังคับให้ กริฟฟินปีกสีรุ้ง ทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็ว
สูงอีกครั้ง

“ ยังไงซะตอนนี้เราเองก็ไม่มีเวลามารออยู่ที่นี่แล้วต้องรีบไปให้ถึงก่อนที่นีน่าจะรู้ตัว….ไม่งั้นหมอนั่นต้องตายแน่ๆ 4 ปีก่อนที่นายช่วยเธอเอาไว้ จะให้มันสูญเปล่าไม่ได้…. ”
เขาคิดขณะที่ กำลังทะยานไปกับกริฟฟินคู่ใจ เพื่อมุ่งหน้าไปยัง
หุบเขา ทางเขตเหนืออันเป็นที่ตั้งกองกำลังต่อต้าน ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาลึก และเป็นที่หมายเดียวกับที่พวก Lr
กำลังจะไปในไม่ช้านี้

……………
……………….
…………………..

ณ บ้านริมชายป่าของนักประดิษฐ์สติเฟื่องแห่ง ฟีเลเซีย ได้มีผู้มาเยือนถึงสองคน พวกเขาเปิดประตูบ้านของนักประดิษฐ์ ซึ่งมันไม่ได้ล็คเอาไว้สร้างความแปลกใจให้แก่ทั้งคู่ไม่น้อย ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน
ซึ่งมืดสนิท จากการที่หน้าต่างถูกปิดเอาไว้ด้วย บานพับเหล็ก แสงที่ส่องเข้ามาภายในห้อง
จากประตู ทำให้พอมองเห็นทางได้บ้าง หนึ่งในสองคนนั้น ได้เดินคลำทางภ่ยในห้อง ซึ่งเต็มไปด้วยสารพัดเครื่องมือและสิ่งประดิษฐ์ อย่างยากลำบาก ก่อนเขาจะผลักบานพับหน้าต่างที่ปิดไว้ออกเพื่อให้แสงส่องเข้ามา

“ นี่ท่านบิชอปท่านยังไม่ได้ตอบเราเลยนะว่าทำไมถึงต้องรีบออกมาปุบปับแบบนี้ ”
อีกบุคคลกล่าวพร้อมกับย่างก้าวเข้ามาในห้องนางคือ องค์หญิง เรจิน่า(Regina, the Princess of  Felasia) แห่งฟีเลเซีย  (ที่จริงตอนนี้น่าจะเป็นมหารานีแล้ว แต่ข้อมูลไม่แน่นพอขอให้เป็นองค์หญิงไปก่อนละกันนะครับ) ในขณะที่อีกบุคคลซึ่ง
ก็คือบิชอปเกรเกอรี่ แห่งฟีเลเซีย กำลังมองสำรวจไปรอบๆห้องเพื่อหาใครบางคนที่ควรจะอยู่ที่นี่



“ ไม่อยู่จริงๆรึนี่ ”
บิชอปเกรเกอรี่ พึมพำขึ้นพร้อมกับ ยกมือขึ้นเกาคางพลางใช้ความคิด
โดยที่ยังไม่ได้ตอบคำถามที่เจ้าหญิง ซึ่งนั่นก็ทำให้พระองค์ทอดพระเนตร บิชอปด้วยความ
งุนงง ขณะที่รอคำตอบ ซึ่งบิชอปเกรเกอรี่ ทันทีที่รู้สึกตัวว่า เจ้าหญิงทรงรอคำตอบจากเขาอยู่
จึงรีบหันไปกล่าวกับพระองค์ ทันที

“ โอ้ขออภัยด้วยกระหม่อมลืมตัวไปพะย่ะค่ะ ”
“ อันที่จริงแล้วช่วงนี้กระหม่อนรู้สึกสงสัยกับ ท่าทีของทิโมธีอยู่บ้าง และเมื่อสองสามวันก่อนนี้เขามาถามกระหม่อมถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ แปดปีและสี่ปีก่อนน่ะพะย่ะค่ะ ”
บิชอปเกรเกอรี่กล่าวโดยไม่หยุดพักหายใจเลย ทำให้พระพักต์ของเจ้าหญิงเต็มความไปด้วยความประหลาดใจ
กับความรีบร้อนของเขา แต่ก็พระองค์ก็ทรงฉุกคิดขึ้นมาถึงคำพูดของเขา เกี่ยวกับทิโมธี

“ ท่านหมายถึงเหตุการณ์การล่มสลายของตระกูล ซาราเบลดและลาเซริโอ้น่ะหรือ ”
เจ้าหญิงตรัสถามด้วยความสงสัยซึ่งบิชอปเกรเกอรี่เองก็พยักหน้ารับเป็นเชิง

“ แต่ว่ากระหม่อมเองก็ไม่ค่อยจะทราบรายละเอียดนัก
แต่ตามที่พระองค์ตรัสมาเขาไปถามพระองค์ใช่มั้ยพะย่ะค่ะ ”
เกรเกอรี่กล่าวเสียงเรียบ ซึ่งเจ้าหญิงเองก็ทรงพยายามระลึกถึงเหตุการณ์ณ์เมื่อสองวันก่อน
ซึ่งพระองค์ทรงแอบปลอมตัวเสด็จมาพบเขาโดยลำพัง และถูกถามถึงเรื่องดังกล่าว
ซึ่งพระองค์ก็ได้ตรัสออกไปจนหมด

“ ใช่เราเล่าให้เค้าฟังทั้งหมดไปแล้ว ”
เจ้าหญิงตรัสตอบ ทันทีที่ได้ยินคำตอบเกรเกอรี่ก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยพลางขบคิด
ไปด้วยความสงสัย ก่อนที่มือของเขาจะไปปัดโดนเอาม้วนกระดาษจนหล่นลงพร้อมกับกางออกในทันที
มันเป็นแบบแปลนของสิ่งประดิษฐ์บางอย่างที่รูปร่างเหมือนตัวด้วงหกตัวและเครื่องจักรที่ดูคล้ายกับเข็มขัด
ซึ่งไล่ลงมานั้น ยังมีรูปของชุดเกราะโลหะที่มีรอยต่อแยกประกอบชิ้นส่วน เขียนยาวเป็นทาง

เกรเกอรี่ย่อตัวลงเก็บมันขึ้นมาดู อย่างถี่ถ้วนไล่ตั้งแต่บนลงมาจนสุดแผ่นกระดาษซึ่ง
ที่ตอนท้ายได้มีการบันทึกเอาไว้ด้วย


   ระบบส่วนประกอบชุดเกราะสะสมพลัง
นี่คือระบบที่จะใช้ในการเพิ่มพลังให้กับชุดเกราะ สะสมพลังงานทั้งสองแบบ
โดยการนำเอาสิ่งที่เรียกว่า แอกเตอร์(Actor)มาเป็นวัตถุดิบในการเสริมพลัง
เพื่อสร้างรูบแบบ(Form)ต่างๆขึ้นมา ซึ่งมันจำเป็นต้องใช้พลังของ ชะตากรรมแห่งแสง(Shine Destiny)ในการทำให้ แอกเตอร์สามารถทำงานได้น่าเสียดายที่เข็มขัดอีกเส้นถูกขโมยไปพร้อมกับ แอกเตอร์ แต่ยังดีที่อีกเส้นนั้นยังอยู่ในตอนนี้ แอกเตอร์ ที่เหลืออยู่นี้ก็จะได้ใช้กับเข็มขัดเส้นนี้เสียที พลังทั้งหกรูปแบบจะนำไปสู่พลังเหนือกาลเวลา แอกเตอร์ ออบซิ ….

ส่วนท้ายของบันทึกถูกฉีกขาดไป เกรเกอรี่วางแบบแปลนลงบนโต็ะด้วยความสงสัย แต่
ก็ตัดใจลืมมันไป เพราะตอนนี้เขามีเรื่องสำคัญกว่านั้น

“ ว่าแต่พระองค์จะทรงบอกกระหม่อมได้มั้ยว่าการล่มสลายของสองตระกูลนั้น เกิดจากอะไรกัน ”
เกรเกอรี่กล่าวซึ่งยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ สนทนากันก็มีเสียงปิ้บๆ ดังขึ้นมาจากเครื่องมือสื่อสาร
แบบเดียวกับที่กองกำลังต่อต้านใช้ดังขึ้นมา ก่อนที่มันจะถูกตัดให้รับเองอัตโนมัติ

“ นี่ซิสเตอร์โรซาน่ารายงานจากองกำลังต่อต้านสำนักงานแอนดิซองนะ ตอนนี้กองกำลังทางเหนือถูกโจมตี
โดยพวกโฮลี่ไนท์แมร์แล้วนะ ได้ยินแล้วช่วยตอบกลับด้วย..ตอบกลับด้วย ”
เสียงนั้นดังออกมาจากเครื่องตอบรับ ซึ่งนั่นก็ทำเอาเกรเกอรี่หน้าถอดสีไปทันที

………………….
…………………….
………………………..

ณ  หุบเขาทางเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของกองกำลังต่อต้าน อีกแห่ง ซึ่งบริเวณรอบๆ
ถูกปกคลุมไปด้วยป่าสนและหิมะสีขาวซึ่งโรยตัวลงมา อย่างช้าๆตลอดวันมานี้
ทำให้ ต้นไม้บริเวณรอบๆแทบจะถูกปกคลุมด้วยผงหิมะ อีกทั้งใบยังแข็งตัวเย็น
ราวกับน้ำแข็ง โดยโยกไหวไปตาม ลม ท่ามกลางกองซากปรักของอาคารซึ่งเพิ่งจะถูกทำลายไปไม่นานนี้

ได้เกิดแสงสว่างวาบขึ้นบนพื้นหิมะ พร้อมกับกรปรากฏตัวของ Lr และพวกพ้อง
ทันทีที่พวกเขามาถึงก็สอดส่องสายตาไปรอบๆด้วยความตกตะลึง ใบหน้าซีดจนแทบจะกลมกลืนกับหิมะ
กองซากปรักและซากศพของเหล่าทหารซึ่งเกลื่อนไปบนพื้นหิมะ โดยที่นัยน์ตาของทหาร
ทุกคนยังเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว และตายลงโดยที่ไม่รู้ตัว


Lr ทรุดตัวลงขุกเข่ากับพื้น อย่างสลด เรโค่และเซโร่เองก็อดที่จะสลดตามไม่ได้

“ พวกเรามาไม่ทันรึเนี่ย ”
 เจนัสกล่าวขณะที่สอดส่องสายตามองหาผู้รอดชีวิต จนไปพบเข้ากับนายทหารคนนึงที่ยัง
มีชีวิตอยู่ พวกเขาไปรอช้ารีบเข้าไปหาเขาทันที

Lr ย่อตัวลงนั่งข้างๆนายทหารที่ นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหิมะ ลมหายใจของเขาแผ่วเบาเสียจนแทบ
จะไม่รู้สึก ตามลำตัวของเขาเต็มไปด้วยแผลถูกฟันและแทง โลหิตสีแดงที่ไหลออกมาจากตัวของเขาอาบชะโลม
ไปทั่วพื้นหิมะที่เขานอนอยู่ แขนทั้งสองข้างกอดกล่องสีแดงใบเล็กขนาดพอใส่หนังสือหนึ่งเล่ม
เอาไว้แน่น

“ นี่ทำใจดีๆไว้นะ ”
เซโร่กล่าวขณะที่ย่อตัวลงใกล้ก่อนจะเริ่ม ร่ายเวทย์ทันทีที่มวลน้ำก่อตัวขึ้นที่อุ้งมือเขา
ก็ไม่รอช้ารีบยื่นมือที่มวลน้ำก่อตัวอยู่ ไปสัผัสกับบาดแผลก่อนที่น้ำจะกระจายตัว
ไปทั่วร่างและไม่นานนักบาดแผลก็เริ่มปิดสนิท ทีละน้อยๆ

“ อดทนหน่อยนะอีกนิดเดียว ”
เซโร่กล่าวให้กำลังใจขณะที่พยายามเร่งพลังเวทยืแต่ทว่าการรักษาก็ยังคง
กินเวลาอยู่ดีเพราะสภาพร่างกายของนายทหารเองก็ร่อแร่เต็มทีแล้ว
ทำให้การรักษาดำเนินไปอย่างยากลำบาก

นายทหารพยายามรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายกล่าวออกมา

“ นี่คือบันทึกที่สำคัญมากช่วยนำเอาไปให้กองกำลังต่อต้านสำนักงานอื่นด้วย อย่าให้ศัตรูได้มันไป… ”
เขากล่าวได้ไม่ทันจบดีก็สิ้นใจไปพร้อมกับแขนทั้งสองที่รัดกล่องเอาไว้คลายออก Lr
รับเอากล่องนั้นมาพร้อมกับลูบเปลือกตาของนายทหารลงมาปิดให้สนิท

เซโร่จึงหยุดการรักษาลง พร้อมกับที่เรโค่ทรุดตัวลงอีกคน หยาดน้ำตาที่รินไหลออกมาจากนัยน์ตาของนาง
หยดลงบนร่างของนายทหารที่สิ้นใจ  เซโร่เข้ามาปลอบนางด้วยความเข้าใจว่านางเสียใจเพราะเหตุใด

“ นี่มัน… ”
นีน่าเอ่ยถามขึ้นมาได้ไม่ขาดคำเซโร่ก็แทรกขึ้นมาทันที

“ เรโค่น่ะ สูญเสียพ่อแม่ไปจนหมด ต้องทนเห็นคนในครอบครัวตายไปต่อหน้าต่อตา
ตั้งแต่นั้นมาหากมีใครตายเธอก็ทนไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงเรื่องนั้นอีก… ”
เซโร่ตอบให้พวกเขาฟังราวกับรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่

นีน่าที่ได้ยินคำตอบเอง ก็ก้มหน้าลงด้วยความสลดเพราะนางเองก็ด้วยที่ต้องเห็นญาติพี่น้องตายไป
ต่อหน้าโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย ท่าทีของนางทำให้เจนัสที่มองดูอยู่ห่างๆ หรี่ตาลง

ขณะเดียวกันกาโรห์ที่เข้ามารวมกลุ่มกับพวกเขาเมื่อไม่นานนี้ ก็ถูกเขาจับจ้องเป็นพิเศษเช่นกัน
เช่นเดียวกับนีน่า ที่เริ่มจะสงสัยถึงความทรงจำที่แวบขึ้นมาทุกครั้งที่นางเข้าใกล้เขา

ซึ่งกาโรห์เองแม้ต่อหน้าพวกเขาจะทำเป็น ไม่รู้อะไรแต่ทุกครั้งที่นีน่าเผลอ เขาจะชายตา
มองความเปลี่ยนแปลงของนางอยู่ตลอดเวลาราวกับ จะรอดูอะไรบางอย่าง

ถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคงเงียบกันอยู่ แต่ทว่าก็เกิดลมพายุพัดกระหน่ำไปรอบๆจน
กลายเป็นพายุหิมะพัดกระหน่ำเสียจนขาวโพลนไปทั่ว
และทันทีที่ พายุสงบลง แบล็คไวเซอร์ บลาสเซจ เซอร์เซส และ เครสเซนท์ที่สวมชุดเกราะสีดำก็มาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขา

“ ส่งกล่องสีแดงใบนั้นกับเจ้าเด็ก นั่นมาเดี๋ยวนี้ ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวเสียงกร้าว กว่าทุกครั้งก่อนจะถอนขนของวิหกโลกัณฑ์ และเสกลูกบอลสีดำขึ้นมาลูกนึง
และประกบมันเข้าด้วยกันก่อนจะโยนมันออกไป

“ จงผุดขึ้นมาเดมอนขุมนรก(Deep pit Demon) ”
ทันทีที่ควันสีดำจากดาร์กซีลที่ขว้างออกมา จางไปเดมอนกายสีแดงซึ่งรอบกาย
ของมันมีไอร้อนของเพลิงแห่งนรกแผ่ออกมาทำให้หิมะรอบตัวมันละลายเป็นโคลนไป
ขาขนาดใหญ่ทั้งสองของจมปรักอยู่กับพื้นโคลนแต่ดูเหมือว่านั่นจะไม่เป็นปัญหากับมันเลย
เพราะด้วยพลังอันมหาศาลทำให้มัน เดินลุยโคลนออกมาและละลายหิมะตลอดทางที่มันเดิน
ผ่านมา

“ Icicleric Rain ”
สิ้นเสียง ฝนแท่งผลึกน้ำแข็งก็พุ่งลงมาเสียบแทงเดม่อนขุมนรกจน พินาศสิ้น พร้อมกับ
โคลนหิมะที่ละลายกลับกลายเป็นเป็นธารน้ำแข็งในพริบตา

พวก เขารีบตั้งท่าพร้อมเตรียมรับการบุกของอีกฝ่ายทันที

“ อย่าขยับนะ ”
เสียงดังขึ้นมาจากข้างหลังของพวกเขา
เมื่อหันกลับไป นีน่ากำลังถูกกาโรห์จับรัดโดยเอาดาบดามคอนางไว้ ทำให้พวกเขาต้องหยุดชะงักโดยทำอะไรไม่ถูก

“ กาโรห์นี่มันหมายความว่ายังไง ”
ลากูน่ากล่าวถามด้วยความ ประหลาดใจอย่างที่สุด กาโรห์ซึ่งถูกถาม ก็หัวเราะขึ้นมา
อย่างสะใจ ก่อนจะส่งสายตาอาฆาตพยาบาท มาที่พวกเค้า

“ คิดว่ายังไงล่ะ…ข้าแฝงตัวมาเพื่อจะจับพวกของแกเป็นตัวประกัน และจากที่ประเมินดูแล้ว ยัยนี่จะมีผลต่อ
ลูกพี่มากที่สุดด้วยเพราะถ้าเป็นคนอื่น ลูกพี่ก็คงจะไม่สนใจแล้วบุกเข้ามาอยู่ดี แต่ถ้าเป็นยัยนี่ล่ะก็..หึหึ ”
กาโรห์กล่าวพร้อมกับยิ้มเยาะด้วยความชอบใจ

“ นึกแล้วเชียว ว่ามันบังเอิญเกินไป ”
เจนัสกล่าวเสียงห้วน

“ สมแล้วที่เป็นลูกพี่ ดูออกในทีเดียวเลยนะ เพราะลูกพี่เอาแต่จ้องไม่วางตาเลย กว่าจะหาโอกาสได้ก็แทบแย่
แน่ะ..เอาเป็นว่ารีบทำตามที่บอกจะดีกว่านะไม่งั้นยัยนี่ตาย ”
กาโรห์กล่าวจบก็ออกแรงรัด ดาบที่ดามคอนางเอาไว้ให้แน่นขึ้นจนนางหายใจไม่ออก พวกเขาจึงจำใจต้องทำ
ตามแต่โดยดี

“ ก็าซซซซซ ”(อย่าไปทำตามที่มันสั่ง)
เสียงคำรามดังก้องขึ้นมาจากด้านบน พร้อมกับการปรากฏตัวของ มังกรดำเทียแมตและเมทาไนท์
ที่ตามกันลงมา ขวางไว้ ทำให้พวกแบล็คไวเซอร์ต้องชะงักไป นอฟฮอฟที่ได้เห็นเทียแมตเองก็ถึงกับ
หน้าถอดสีขึ้นมา แต่ก็ไม่มีใครทันสังเกต

“ จัดการเลยแกนเดครอส ”
เสียงของเทียแมตถูกแปลงโดยดราก้อนฮอลลี่ดังก้องขึ้น
พร้อมกับ ร่างมังกรขาวขนาดมหึมา ค่อยๆโยนตัวลงมาจากฟากฟ้า พร้อมกับแสงเจิดจ้า
ส่องวาบลงมา ทำให้พวกแบล็คไวเซอร์ต้องพาถอยหนี
โดยที่กาโรห์ได้จับตัวนีน่า ไปด้วย เจนัสที่คิดจะตามก็กลับถูกพายุหิมะที่เริ่มพัดกระหน่ำอีกครั้ง

ขวางเอาไว้ ก่อนที่จะสงบลงพร้อมกับการจากไปของศัตรู โดยไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย
เขาทรุดตัวลงด้วยความสิ้นหวังทันที

“ นีน่า ”
เขากล่าวออกมาได้เท่านั้นเพราะบัดนี้ เขาสับสนไปหมดแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เสียบันทึกและ Lr ไปแต่ นีน่า ก็ถูกจับตัวไปโดยทำได้เพียงแค่มอง
พวกนั้นพาตัวนางหายวับไปโดยทำอะไรไม่ได้ สร้างความเจ็บแค้นให้เจนัสอย่างมาก
…………
……………….
………………….

ราตรีได้มาเยือนอีกครั้ง พวกเขาก่อกองไฟเพื่อพักค้างคืน
โดยที่ยังเก็บความรู้สึกเจ็บช้ำเมื่อเย็นนั้นเอาไว้ อยู่
ทำให้บรรยากาศรอบๆนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด

“ พวกคุณต้องการอะไรกันแน่ ”
Lr หันไปกล่าวกับ เทียแมต ด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ เพราะเขารู้ดีว่ามังกรที่ฆ่าแม่ของเขา
ก็คือเทียแมตตัวนี้ จากภาพที่ปรากฏในน้ำตกที่ถ้ำปราชญ์มังกร

“ เจ้าคงรู้มาจากอีสควอเทียแล้วสินะ จะแค้นข้าก็เชิญ แต่ว่าจะให้พวกมันได้ตัวเจ้าไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะข้าสัญญากับดีวายดราก้อนเอาไว้แล้ว ”
เทียแมตกล่าวเสียงของมันก็ถูกดราก้อนฮอลลี่แปลง อีกทีหนึ่งทำให้ทุกคนได้รับรู้กันทั่วทั้งหมด
คำพูดของเทียแมตนั้นแม้จะกระตุ้นให้ Lr รู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง แต่เขาก็ข่มมันไว้

“ พวกมันคิดจะทำอะไรกันแน่ บันทึกนี่ยังพอว่าแต่ทำไมพวกมันต้องการจับตัวผมไปด้วยล่ะ
ถ้าไม่ใช่เพราะผมนีน่าก็คงไม่ต้อง… ”
Lr กัดฟันพูดด้วยความคับแค้นใจที่เขาเป็นตัวต้นเหตุให้เพื่อนต้องถูกจับใช้เป็นเครื่องมือและ
ทำให้ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตรายโดยที่ เขาต้องเป็นฝ่ายรับการปกป้องจากทุกคน

“ เรื่องนั้นข้าเองก็ตอบไม่ได้หรอกแต่พวกเจ้าลองนึกถึงคำพูดของอีสควอเทียดูสิเพื่อมันจะทำให้เจ้าเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น ”
เทียแมตกล่าวจบก็ เดินออกจากลุ่มไป หารือกับเมทาไนท์และแกรนเดครอสที่ย่อขนาดของตน
ลงมาเพื่อไม่ให้สะดุดตาศัตรู

“ คำพูดของอาจารย์อีสควอเทียเหรอ ”
Lr ทบทวนคำพูดอีกครั้งก่อนจะพยายามระลึก คำพูดที่อีสควอเทีย กล่าวเอาไว้

“ ไฟร์น่าจะรู้เรื่องราวต่างๆดีเพราะพ่อของเขาที่เป็นนายพลซาลามันเดอร่าได้รับมอบหมายให้สืบเรื่องนี้อยู่ ”

คำพูดนั้นก้องขึ้นมาในใจของเขาทันที Lr ไม่รอช้ารีบหันไปหาไฟร์นิทินโคทันที

“ นี่นิทินโค ”
เขาเรียก ซึ่งนิทินโคก็หันมามองด้วยความสงสัย

“ เรียกไฟร์ก็ได้มั้ง ชั้นไม่ได้โกรธอะไรนายแล้วนา ”
นิทินโคกล่าวซึ่ง Lr เองก็รีบตรงเข้ามาพร้อมกับกล่าวต่อโดยไม่หยุดทันที

“ อ..เอ่อไฟร์พ่อนายเป็นนายพลมังกรซาลามันเดอร่าใช่มั้ย ”
เขากล่าวถามซึ่งไฟร์เองก็พยักหน้า รับเป็นเชิง นั่นทำให้เขานัยน์ตาลุกวาวไปด้วยความ
หวังซึ่งก็ทำเอาเหล่าลูกมังกรตัวอื่น เข้ามสมทบด้วย

“ จริงสิตอนนั้นอาจารย์บอกว่านายน่าจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับพวกมันนี่ เห็นบอกว่าพ่อนายกำลังสืบเรื่องนี้อยู่ไม่ใช่เหรอ ”
วิลกล่าวขึ้นบ้างเมื่อนึกขึ้นได้

“ อ๋อหมายถึงเรื่องที่พวกเราเคยถูกสะกดจิตแล้วรุมทำร้ายลอว์เรนซ์ตอนอยู่โรงเรียนมังกร กับเรื่องที่ลอว์เรนซ์กำลังถูกตามจับตัวน่ะเหรอ ”(* หมายเหตุเรื่องการถูกสะกดจิตให้ย้อนกลับไปดูในช่วงไตเติล ของนิยายนะครับ)
ไฟร์กล่าวซึ่งพวกเขาก็พยักหน้ารับว่าใช่ทันที ซึ่งจากการที่พวกเขาจ้องตัวไฟร์ตาไม่กระพริบ
ทำให้เขาต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทบทวนเรื่องที่จะกล่าว

“ เรื่องนั้นน่ะคงเพราะพวกมันต้องการศิลามังกรที่นายถืออยู่ไปเปิดประตูกักมังกรนั่นล่ะมั้ง
เพราะถึงจะทำให้มังกรทั้งหมดในทุกมิติหายตัวออกมาจากมิติมังกรจนเกิดการเสียสมดุลไปทำให้มิติมังกรบาปถูก
หลอมรวมเข้ากับมิติจนกลายเป็นทางออกก็เถอะแต่มันก้ยังต้องใช้พลังของศิลามังกรช่วยเปิดอยู่ดีนั่นล่ะ
แล้วก็เรื่องที่เจ้าพวกนั้นสะกดจิตเราแล้วก็ได้สร้อยคอที่ วิลห้อยเอาไว้ช่วยน่ะ นั่นพวกมันแค่จะหาทางเข้ามาในมิติเพื่อดำเนินแผนการไงล่ะ ”

ไฟร์กล่าวโดยไม่หยุดหายใจแม้แต่น้อยทำให้เมื่อเขากล่าวจบก็ต้องหอบแฮ่กๆอยู่บ้าง
ซึ่งทันทีที่กล่าวจบพวกเขาก็นิ่งเงียบกันไปทันที




“ จะว่าไปแล้วนอฟฮอฟตอนนั้นเธอก็ถูกเรียกไปคุยกับอาจารย์ด้วยไม่ใช่เหรอ ”
วิลกล่าวถามขึ้นมาซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาหันมาสนใจทันที แต่นอฟฮอฟก็ยังคงนิ่งเฉย
ราวกับเหม่อมองอะไรอยู่ จนวิลต้องเรียกอีกครั้ง เธอจึงหันมาสนใจ


“ ตอนนั้นที่อาจารย์อีสควอเทียเรียกเธอเข้าไปคุยน่ะคือเรื่องอะไรเหรอ ”
วิลถามอีกครั้ง ซึ่งนอฟฮอฟเองก็หันหนีจากพวกเขาราวกับไม่อยากตอบแต่ก่อนที่ใครจะได้
ทันกล่าวอะไรเธอก็กล่าวแทรกขึ้นมาทันที

“ ก็แค่เรื่องในอดีตที่ฉันอยากจะลืมๆมันไปซะที ”
นอฟฮอฟกล่าวตัดไปก่อนจะไม่หันมาพูดอะไรอีกเลย

“ ดูนอฟฮอฟแปลกแปลกไปนะว่าไหม ”
ไลท์ขอความคิดเห็นจาก Lr ซึ่งเขาเองก็พยักหน้าเห็นด้วย

………..
………….
……………..

ครู่ต่อมา ความเหนื่อยล้าจากการสู้ต่อเนื่อง ทั้งที่เมืองทีนวาแลนจนถึงหุบเขาแห่งนี้ ก็ทำเอา Lr
และเหล่าลูกมังกร หลับสนิทชนิดปลุกไม่ตื่น ซึ่งลากูน่า เรโค่ เซโร่ เองก็เช่นกันจากการที่
ใช้พลังไปมากทำให้พวกหมดแรงไปด้วย พวกเทียแมตเองก็ได้พากันออกไปที่ไหน ซักแห่ง

บัดนี้เหลือเพียงเจนัสเท่านั้นที่ยังไม่ได้นอน เขายังคงยืนพิงอยู่ใต้ต้นไม้ มองดูหินสีเขียว
ที่ห้อยคอไว้ ด้วยสายตาที่ราวกับโหยหาอะไรซักอย่าง

“ นี่เธอรู้ตัวไปถึงขั้นไหนกันแล้วนะ ”
เขาพึมพำขึ้นมา ขณะที่กำลังนึกย้อนไปถึงเรื่องในอดีต
แต่ทว่าก็ต้องชะงักไป เมื่อมีใครบางคนลอบมาปรากฏตัวต่อหน้าเขา
เขารีบตั้งท่าสู้ทันทีแต่อีกฝ่ายกลับยังยืนเฉยอยู่ดดยไม่มีทีท่าจะสู้ด้วย


“ รุ่งเช้าวันพรุ่งนี้จงไปที่ทุ่งหิมะที่อยู่บนยอดเขาจากนี้ไปทางตะวันออก ข้าจะรอแกอยู่ที่นั่นถ้าอยากช่วยนังคนทรยศนั่นก็จงมาตัวคนเดียวเท่านั้น ”
สิ้นคำอีกฝ่ายก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงคำพูดท้าทาย ให้เขาตัดสินใจ

………..
……………..
…………………..



Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #211 on: June 29, 2008, 08:11:48 PM »

เช้าวันต่อมา บนพื้นหิมะ ได้มีข้อความถูกเขียนทิ้งไว้พร้อมเสื้อแจ็คเก็ตสีดำของเจนัส ซึ่งสร้างความระทึกใจให้กับพวกเขามาก
ซึ่งทันทีที่พวกเมทาไนท์กลับมาก็ได้ถูกพวกเขาเรียกมาดูข้อความนั้นทันที

   มันจับนีน่าไว้ที่ยอดเขาทางตะวันออกพวกมันบอกให้ชั้นต้องไปคนเดียว
เพราะฉนั้นไม่ต้องตามมาถ้าชั้นไม่กลับไปในวันนี้ล่ะก็ให้ ใช้มนต์เคลื่อนย้ายหนีไปซะ
ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา …เจนัส

“ เจ้าบ้านั่นคิดอะไรอยู่นะ ถึงได้ไปตามคำชวนของศัตรูเนี่ย ”
Lr กล่าวด้วยความเจ็บใจที่ปล่อยให้เพื่อนของตนออกไปเผชิญหน้ากับศัตรู
โดยไม่อาจห้ามไว้ได้

“ งั้นเรารีบตามไปช่วยท่านพี่เถอะที่ยอดเขานั่นน่ะ ”
ลากูน่ากล่าวด้วยความร้อนใจ ที่พี่ชายของตน ออกไปสู้กับศัตรูตามลำพัง

“ งั้นจะมัวมารีรออยู่ทำไมล่ะไปกันเลยสิ ”
เสียงคำรามของแกรนเดครอสดังลั่นขึ้น พวกเขาทุกคนซึ่งเห็นพ้องกันแล้วจึง
พากันมุ่งหน้าออกเดินทางในทันที แต่ทว่าแบล็คไวเซอร์และบลาสเชจก็มาขวางไว้

“ อย่าได้หวังจะไปไหนเลย เจ้าคนทรยศนั่นจะต้องตายอยู่บนนั้นแหล่ะ
 ส่วนพวกแก ข้าจะบรรเลงเพลงสวดศพให้เอง ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวเสียงแหบ นัยตาอาฆาตหรี่แคบลงด้วยความพอใจ

“ ยังงี้นี่เองถ้าแยกตัวเทพขุนพลฝ่ายเราออกไป กำลังรบของเราก็ตกลงไปมากแล้ว ”
เมทาไนท์กล่าวขณะที่กำลังคิดหาวิธีที่จะไปช่วยทางพวกเจนัส

“ แต่ทางนั้นก็คงปล่อยไว้ไม่ได้เหมือนกัน..ถ้ายังงั้น
เจ้าหนูครึ่งสมิงไปช่วยพี่ชายซะทางนี้พวกเราจะต้านไว้เองส่วนลอว์เรนซ์อยู่ที่นี่ซะเพราะ
ถ้ากำลังคนน้อยไปกว่านี้จะไม่เป็นผลดีต่อเรานัก ”

สิ้นคำของเมทาไนท์ พวกเขาก็เข้าประจัญบาน เพื่อให้ลากูน่าล่วงหน้าไปช่วยเจนัสและนีน่า
ลากูน่าที่เข้าใจถึงแผนการดีแล้วจึงรีบวิ่งนำออกไปทางตะวันออก แต่ก็ถูกเทอเรี่ยนสีดำพุ่งเข้ามาขวางไว้
พร้อมกับลูคเรเทียที่ ขี่อยู่บนหลังของมันกระโดดลง มาขวางทางหนีทั้งหมด

แต่แล้วเส้นลวดเส้นบางๆจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าพันแขนขาของทั้งสอง และชุดกระชากจนเสียหลัก
ล้มลงไปทั้งตัวนางและเทอเรี่ยนของนาง

“ รีบไปเร็ว ”
เรโค่ตะโกน ขณะที่มืออกแรงรั้งเส้นเอ็นเอาไว้ ลากูน่าที่ทางเปิดออก
แล้วจึงรีบพุ่งตัวออกไปโดยไม่เหลียวกลับมามอง


“ ย้ากกกกก ”
ลูคเรเทีย ตะคอกเสียงก้องพร้อมกับออกแรงกระชากจนเส้นลวดขาดออกจากกัน

“ แล้วพวกแกจะต้องเสียใจที่ คิดเป็นศัตรูกับพวกเรา ”
ลูคเรเทียกล่าวเสียงกร้าว เพราะบัดนี้พวกเขาถูกล้อม เอาไว้หมดแล้ว

“ พร้อมนะพวกนายน่ะ ”
Lr หันมาถามกับเหล่าลูกมังกรเพื่อขอความเห็นซึ่งทุกตัวก็พยักหน้ารับเป็นเชิง
และทันทีที่เริ่มการต่อสู้แสงสว่างก็ส่องวาบออกจากดราก้อนฮอลลี่ ก่อนที่จะจางลงไป
พร้อมกับการปรากฏตัวของ ทาลิควาส (Thaliquas, the Dragoon of Thaliwilya)


………
………….
………………

ย้อนกลับไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน

ณ ยอดเขาทางตะวันออกบนยอดของเขาแห่งนี้ เป็นทุ่งหิมะ กว้างใหญ่ไพศาล
เสียจนแทบจะสุดลูกหูลูกตา จนราวกับว่าด้านล่างของยอดเขานี่เป็นอีกดินแดนเลยก็ไม่ปาน ดวงตะวันยังคงไม่ฉายแสง ในเช้ามืดนี้

บนทุ่งหิมะนี้ เซอร์เซส กาโรห์ นักประดิษฐ์ และ เครสเซนท์ที่ไม่ได้สวมชุดเกราะเอาไว้กำลังรอคอยการมาของ
ศัตรูผู้ถูกรับเชิญให้มาตายด้วยน้ำมือของตน

“ นี่พวกแกคิดจะเอายังไงกันแน่ ”
นีน่ากล่าวเสียงหอบ นางถูกมนตรา ของเซอร์เซสตรึงเอาไว้กลางอากาศ ทำให้นางไม่อาจขยับหนีไปไหนได้

“ อยู่เป็นตัวประกันเงียบๆไปเถอะ เพราะประเดี๋ยวพอเจ้าคนทรยศนั่นมาช่วยเธอ
เราก็จะเก็บมันไปพร้อมๆกับเธอด้วยเลยยังไงล่ะสาวน้อย ”
กาโรห์กล่าวยั่วนางพร้อมกับเอามือ เกาคางนางด้วยสีหน้าเหยียดหยาม ซึ่งนั่นทำให้นางฉุนเฉียวขึ้นมาทันที

“ ยังไงซะหมอนั่นก็ไม่หลงกลพวกแกหรอกและ..ถึงยังไงหมอนั่นก็คงไม่คิดที่จะมาช่วยฉันอยู่แล้ว.. ”
นีน่ากล่าวสะดุดไปเพราะความคิดที่ว่ายังไงๆก็คงไม่มีใครมาช่วยนาง แต่ทว่าคำสัญญาที่เจนัสเคย
ให้ไว้กับนางก็ผุดขึ้นมา พร้อมกับความทรงจำในอดีตที่แวบผ่านเข้ามานั้นอีกครั้ง

“ จริงสิ..นี่ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยในฐานะอดีตลูกศิษย์ของท่านน่ะ ”
นีน่ากล่าวกับเซอร์เซส โดยที่ในใจก็เตรียมรอคำตอบไว้แล้วว่า อีกฝ่ายคงไม่ยอมตอบเป็นแน่
เซอร์เซสที่ถูกถามเช่นก็หันมาสบนางเพียงชั่วครู่ เขาก็เดินเข้ามาหานาง

“ เรื่องที่เจ้าจะถามก็คงไม่พ้นเรื่องความทรงจำที่มันแวบไปแวบมานี่ใช่มั้ยล่ะ ”
เซอร์เซสกล่าว ซึ่งนั่นทำให้นางถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที

“ งั้นครึ่งสมิงที่สังหารครอบครัวฉันในตอนนั้นก็คือแกสินะ..กาโรห์ ”
นีน่าหนไปกล่าวใส่กาโรห์ที่ยืนอยู่ข้าง ด้วยความคิดที่ว่าหากเซอร์เซสรู้มาตลอดว่า
ความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัวของนางเริ่มจะกลับคืนมากับความรู้สึก
บางอย่างที่คุ้นเคยตอนที่เข้าใกล้กาโรห์นั้น ทำให้ไม่มีข้อสันนิษฐานใดจะอธิบายไปได้ดีกว่านี้แล้ว

กาโรห์ที่ได้ยินคำถามของนางก็เลิกคิ้วขึ้นข้างนึงด้วยความสงสัย
ก่อนจะหันมามองนางด้วยความงุนงง

“ หา…นี่เจ้าจำอะไรสับสนรึเปล่าเนี่ย ข้าไม่ได้ทำอะไรกับครอบครัวของเจ้าซักหน่อย อ๋อคงจะสับสน
เพราะตอนที่ข้าแกล้งเล่นละครช่วยเจ้าไว้ มันคงจะเหมือนมากสินะ กับที่เจ้านั่น ช่วยแกไว้น่ะ ”
กาโรห์กล่าว ซึ่งนั่นทำให้นางรู้สึกสับสนไปหมด

“ หมายความว่ายังไงกัน นี่แกจะบอกว่าใครเป็นคนทำกันแน่ ”
นีน่าตะหวาดอย่างฉุนเฉียว พยายามจะคลายพันธนาการออกแต่ก็ไม่เป็นผล

“ จะจำอะไรไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกเพราะคนที่ขอให้ข้า ปิดผนึกความทรงจำนั่นก็คือเจ้าเองนี่ ”
เซอร์เซสกล่าวเสียงเรียบสีหน้าเมินเฉย นั่นทำให้นางยิ่งสับสนลงไปอีก

“ เอาล่ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เท่านี้ระบบแอกเตอร์(Actor System)ก็สมบูรณ์แล้ว ”
นักประดิษฐ์กล่าวอย่างเบิกบานขณะที่ หยิบเอา วัตถุซึ่งเปล่งแสงสีต่างๆออกมาจากกรงของ
ดาร์คเดสทินี่สีขาว อย่างช้าๆก่อนที่ วัตถุเหล่านั้นจะพากันบินหายลับไปจากมือของเขาอย่างรวดเร็ว

“ ต้องขอบใจเจ้า ชะตากรรมแห่งแสง(Shine Destiny) หัวหน้าแบล็คไวเซอร์อุตส่าห์ไปจับมาให้จริงๆ
ไม่งั้นระบบนี่คงจะไม่สมบูรณ์เสียดายที่อีกเส้นกับ แอกเตอร์(Actor) อันนั้นดันถูกขโมยไปซะก่อน ”
นักประดิษฐ์พูดไม่หยุดปาก ขณ.ะที่ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย ซึ่งเรื่องที่เขาพูดทำให้นีน่า

หันมาสนใจอยู่บ้าง เพราะทั้งแคริอุส และปืนกระบอกที่เธอพกอยู่ต่างก็เป็นของที่
นางได้จากนักประดิษฐ์ทั้งนั้น ดังนั้นหากสิ่งที่เขาประดิษฐ์คืออาวุธที่จะใช้สู้กับเจนัส
นั่นก็เท่ากับว่า หากเจนัสมา ทั้งนางและเค้าก็ต้องตายทั้งคู่เป็นแน่

เครสเซนท์ที่เห็นนีน่าซึ่งมีสีหน้าซีดเซียว ด้วยความกังวลว่าเจนัสจะมาตาย ก็แกล้งกล่าวย้ำขึ้นมา

“ นี่คงจะไม่ลืมนะ ระหว่างที่ข้าสู้กับเจ้านั่นอย่าเข้ามายุ่งซะล่ะ ข้าต้องตัดสินกับมันตัวต่อตัวเท่านั้น ”
เครสเซนท์กล่าว คำพูดนั้น ทำให้นีน่ารู้แปลกใจที่ทำไมเขาต้องเลือกทางที่อาจจะเสียเปรียบมากที่สุด
อย่างนี้ด้วย เพราะหากแพ้เจนัสก็มีโอกาสที่จะช่วยนางได้ทันที

“ นี่จะเอาจริง ง่ะถ้าแพ้ขึ้นมาเรามิซวยกันหมดหรือ ”
กาโรห์หันไปถามหยอกๆ

“ ข้าไม่แพ้มันหรอกน่า อีกอย่างระบบแอกตอร์ก็เสร็จสมบูรณแล้วนี่ไว้ถึงตอนนั้นค่อยใช้มันก็ได้ ”
เครสเซนท์ กล่าวอย่างมั่นใจ

“ แต่ก็อย่าใช้มันให้เกินกำลังนักล่ะเพราะมันก็มีขีดจำกดอยู่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นนอกจาก จะไม่ชนะแล้ว
ร่างจิตมารของแกตอนนี้ก็จะโดนเผาไปด้วย ถึงตอนนั้นคงได้วุ่นกันน่าดู ถ้าแกกลายเป็นคนทรยศไปอีกคนน่ะ ”
นักประดิษฐ์กล่าว ซึ่งคำพูดของเขาก็ทำให้นีน่ามีหวังขึ้นมาบ้าง ถ้าหาก ร่างจิตมารของเครสเซนท์ถูกทำลายเขาก็จะกลับมาเป็น ริคุ อีกครั้ง แต่อีกใจนึงก็ไม่อยากให้เจนัสมา เพราะโอกาสที่จะชนะนั้นเป็นไปได้ต่ำมาก

“ โอ้ดูเหมือนจะมาแล้วนะ ”
กาโรห์กล่าวเสียงใส นีน่าที่ได้ยินก็เหลือบไปมองในทันที เงาของใครบางคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
ทันทีที่ดวงตะวันเริ่มฉายแสงร่างนั้นก็ปรากฏชัด เจนัสซึงสวมเสื้อยืดสีขาวตัวในเพียงตัวเดียว
เดินฝ่าหิมะมาราวกับไม่ได้รับความหนาวเย็นจากสภาพอากาศใดๆเลย

“ ตาบ้ามาทำไมกันนี่มันเป็นกับดัก นะรู้ทั้งรู้แล้วยังจะมาอีก ”
นีน่าตะคอกใส่ซึ่งเจนัสที่ได้ยินก็ยังคงเดินหน้าต่อมาดดยไม่หยุด

“ กลับไปสิอย่ามานะ ถ้ามานายจะตายนะกลับไปซะ ”
นีน่าตะคอกใส่อีกครั้งขณะที่พยายามจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ

“ ชั้นสัญญาไว้แล้วนี่ว่าจะปกป้องเธอจะไม่ให้เธอต้องอยู่คนเดียวอีก ”
 เจนัสกล่าวแววตามุ่งมั่นอย่างที่สุด ซึ่งนั่นก็ทำให้นางยอมสงบลง
ในตอนนี้เจนัสต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้เพียงลำพัง

“ แหมสมเป็นลูกพี่จริงๆยังเด็ดเดี่ยวไม่เคยเปลี่ยนเลยนะเนี่ย ”
กาโรห์กล่าวเหน็บ

“ แกก็เหมือนกันนะ ยังคอยตามประจบคนโน้นคนนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ นี่คงจะไปได้ข้อเสนอจาก
ท่านผู้นั้นมาสินะ อย่างเช่นว่าถ้าชั้นถูกกำจัดไปแล้วแกจะได้เลื่อนขั้นเป็นเทพขุนพลแทนน่ะ ”
เจนัสโต้กลับไปบ้าง ซึ่งนั่นก็แทงใจดำกาโรห์เข้าเต็มๆ

“ ไม่ใช่แค่เสนอหรอกแต่ข้าได้เป็นแล้วต่างหาก…เทพขุนพลน่ะ ”
กาโรห์กล่าวด้วยความกระหยิ่มจองหอง

“ เพราะตอนนี้ข้าคือ 1ใน12 เทพขุนศึกที่ขึ้นมาแทนเจ้าแล้วยังไงล่ะ ”
กาโรห์กล่าวพร้อมกับยิ้มเยาะไปด้วย

แต่เจนัสก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะตอนนี้ที่เขาต้องพะวงด้วยก็คือคู่ต่อสู้ที่
มายืนประจันหน้ากับเขาอยู่ในตอนนี้

“ เมื่อคืนที่มาท้าทายก็เพื่อจะตัดสินกับชั้นสินะ ”
เจนัสกล่าว

“ หึ..ตลอดมามีแกคนเดียวเท่านั้นที่ข้าล้มไม่ได้ แค่แกเท่านั้นที่ข้าจะต้องล้มให้ได้ ”
เครสเซนท์กล่าวเสียงกร้าว พร้อมกับกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วดูซีดขาว

“ วันนี้นายกับชั้นต้องแหลกกันไปข้างล่ะ ”
สิ้นคำทั้งคู่ก็เข้าปะทะกันทันที

การต่อสู้ของทั้งสองรวดเร็วเสียจนแทบจะมองตามไม่ทัน
เครสเซนท์ที่พยายามจะชกด้วยคลื่นสูญญากาศ ซึ่งในทุกดครั้งที่ผ่านมา
นั้นก็สร้างความเสียหายให้แก่เขาอย่างมากมาตลอดแต่ในครั้งนี้

หมัดของเครสเซนท์นั้นเขาสามารถหลบและรับไว้ได้ทั้งหมด ทำให้เครสเซนท์
ทึ่งความเร็วที่เพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้อย่างมาก

“ เร็วขึ้นนี่แต่ว่านั่นมันก็ยังช้าเกินไป ”
สิ้นคำเขาก็ถูกเครสเซนท์เตะตวัดขา จนล้มลง ก่อนจะซ้ำด้วยลูกเตะอีกชุดแต่ทว่าเขาก็กลิ้งตัวหลบ 
ออกมาได้ทัน ก่อนที่จะถูกถีบ เมื่อเขายันตัวขึ้นมายังไม่ทันที่จะตั้งตัว เขาก็ถูกเตะอักเข้าท้อง
อย่างจังจนกระเด็นกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ ความจุกเสียดแล่นผ่านไปทั่วร่าง

เขารู้สึกระบบไปหมดลูกเตะเมื่อครู่นั้นรุนแรงราวกับถูกฟาดด้วยท่อนซุง
เขาพยายามยันตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่เครสเซนท์ ก็ไม่ปล่อยโอกาสให้ เขาได้ตั้งท่า
เข้ามาเตะซ้ำต่ออีกสามครั้งซ้อนยังไม่ทันที่ตัวเขาจะล้มลง ถึงพื้นก็ถูกคลื่นสูญญากาศ
ตวัดเฉือนร่างจนเป็นแผลไปทั่ว โลหิตสีแดงสดไหลหยดลงบนพื้นหิมะ จนแดงฉาน

เขาพยายามจะยันตัวขึ้นอีกครั้งแต่ทว่าบาดแผลก็ทำให้เขา เชื่องช้าลง
เครสเซนท์ไม่รอช้าเข้ากระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาซ้อมต่อไม่วางมือ ก่อนจะถีบส่งอีกครั้ง
จนร่างของเขาลอยละลิ่วไปไกล เขายันตัวขึ้นอีกครั้งพร้มกับสำลักเลือดออกมา ใบหน้าบอบช้ำ ริมฝีปากยังคงที
เลือดอังอยู่ เขาเอามือกุมหน้าท้องด้วยความจุก ก่อนที่เคสเซนท์จะได้ทันเข้ามาซ้ำต่ออีกครั้ง

เขาก็กำเอาศิลาจันทราที่คอเอาไว้แน่น ก่อนที่แสงตะวันจะถูกบดบัง พร้อมกับแสงสีครามที่ถูกยิงลงมา
จากจันทราสีคราม ยังตัวเครสเซนท์ แม้จะหลบได้ทันแต่แขนขาก็ถูกแสงแช่เย็นไปบ้าง
บวกกับสภาพอากาศรอบๆนั้นเย็นอยู่แล้วจึงทำให้ ความเร็วในการจับตัวของผลึกน้ำแข็งเร็วขึ้น
จนเครสเซนท์ไม่สามรถขยับแขนขาของตนได้

“ ชิช่วยไม่ได้งั้นข้าขอเหยื่อตัวนี้ไปละกัน ”
กาโรห์ที่มองดูอยู่กล่าวจบก็ชักดาบพุ่งตัวออกไป
หาเจนัสหมายจะจบชีวิตของเขา

“ อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องน่า ”
เครสเซนท์ตะหวาด พร้อมกับเร่งพลังมนตราจนอากาศรอบๆตัว หมุนวน ตัดเซาะผลึกน้ำแข็งจนแตกออก
พร้อมกับที่จะพุ่งเข้าไปหยุดกาโรห์แต่ทว่ามันก็สายเกินกว่าจะไปทัน
ก่อนที่ดาบของกาโรห์จะถูกฟันลงใส่ตัวเขาที่ ไม่มีแรงจะจะขยับหนีได้ทัน
ก็มีแสงสีเงินตวัดขึ้นอย่างรวดเร็วจนดาบในมือของกาโรห์หลุดออกไป

“ ลากูน่า…. ”
เจนัสกล่าว ซึ่งแสงสีเงินที่ตวัดขึ้นมาคือกงเล็บที่ถูกเหี่ยวอย่างรวดเร็วของลากุน่านั่นเอง

“ นั่งฟังมาต้องนานแล้วล่ะ อย่างแกน่ะเหรอเป็นเทพขุนพล คนที่คอยแต่จะสร้างภาพเอาหน้าอย่างแก
น่ะไม่มีทางเทียบชั้นพวกเราได้หรอก ”
ลากูน่ากล่าวเสียงแข็งซึ่งกาโรห์ที่ฟันพลาดไปต้องผงะถอยมาเก็บดาบของตน

“ ลากูน่ามาที่นี่ทำไมกัน..พี่เขียนทิ้งไว้แล้วนี่ว่าอย่ามาน่ะ…อุบ แค่ก แค่ก ”
เจนัสกล่าวได้ไม่จบประโยคดีก็สำลักเลือดอีกครั้ง
ลากูน่าที่เห็นพี่ชายของตน สะบักสะบอมอย่างมาก ก็เริ่มร่ายคาถาให้ศิลาจันทราของตนทำงาน
จันทราสีเลือดปรากฏออกมาพร้อมแสงของมันที่รักษาบาดแผลให้เขา

“ พี่คนเดียวไม่ไหวหรอกครับให้ผมช่วยเถอะ ”
ลากูน่ากล่าวแววตาเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นซึ่งนั้นก็ทำให้เขา ปฏิเสธไม่ลง

“ ก็ได้งั้นน้องจัดการ กาโรห์ซะส่วนเครสเซนท์ให้เป็นหน้าที่พี่เอง ”
เจนัสกล่าวจบ พวกเขาก็แยกกันจัดการกับคู่ต่อสู้ของตน

“ เรามาต่อกันเลย เครสเซนท์ ”
เจนัสกล่าวจบทั้งคู่ก็เข้าปะทะอีกครั้งแต่ทว่าในครั้งนี้
เครสเซนท์กลับเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนเสียเอง เพราะจันทราสีเลือดที่ส่องลงเสริมพลังให้ทำให้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ
โดยที่เครสเซนท์ได้แต่คอยปัดป้องและหาโอกาส สวนเท่านั้นแต่ทุกครั้งที่สวนไปการโจมตีก็ถูกสกัดเอาไว้
ด้วยเกราะมนตรา ของเจนัสทั้งหมด





“ ดาบย้อนอัสนีบาต(Reverse Blade Lightning) ”
สิ้นคำของกาโรห์ ดาบของเขาก็ถูกเหวี่ยงขึ้นฟ้าไป ก่อนที่สายฟ้า
 สามสายจะฟาดลงมาแต่ลากูน่าก็หลบได้ทั้งหมด พร้อมกับซัดเข้าที่ท้องของเขาอย่างจังจน
ตัวของเขาคู้ลงตามแรงชก  ก่อนที่จะถูกฟาดลงด้วยสันมือเข้าที่ท้ายทอย จนล้มลง
ทันทีที่กาโรห์ล้มลงไป ลากูน่าก็ทะยานตัวออกไปอย่างรวดเร็วจนอ้อมไปด้านหลังของเซอร์เซส
ที่เฝ้านีน่าเอาไว้ และปลดผนึกมนตราออก

“ หนอยแก เอานี่ไป ”
เซอร์เซสกล่าวจบก็หันคฑาไปยังทั้งสองก่อนที่จะร่ายเวทย์จู่โจมใส่

“ ไม่ยอมให้ทำหรอกน่า ”
นีน่าตวัดขาเตะคฑาของเซอร์เซสจนหลุดจากมือ

“ ลากุ ไปเอาปืนของฉันมาจากเจ้านักประดิษฐ์นั่นที ”
นีน่าสั่ง พร้อมกับจัดการถีบเซอร์เซสจนกลิ้งไป

“ ก็บอกว่าอย่าเรียก ลากุ เฉยๆไงล่ะคร้าบ ”
ลากูน่ากล่าวน้ำเสียงไม่พอใจก่อนจะตวัดกรงเล็บใส่ นักปรดิษฐ์จนล้มลงและ
คว้าเอาปืนของนีน่าออกมาส่งให้นาง
ทันทีที่รับปืนมา นีน่าก็บรรจุกระสุนทันที และเล็งเป้ามายังเซอร์เซส
ในขณะที่ลากูน่าก็จ่อกรงเล็บไว้ที่คอของนักประดิษฐ์

บัดนี้พวกเขากลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบแล้ว
เครสเซนท์ที่เริ่มกระวนกระวายกับสภาพโดยรอบทำให้เสียสมาธิในการต่อสู้
จนถูกเจนัสซัดหมอบลงไปทันที

“ อัก…พวกแก ”
เครสเซนท์กล่าวด้วยความกระอักกระอ่วน  ก่อนจะค่อยๆยันตัวขึ้นมา
และพุ่งทะยานอ้อมไปตลบหลัง แต่ทว่าเจนัสก็ไหวตัวทันจึงหมุนตัวเตะเครสเซนท์จนกระเด็นไปพร้อมกับร่ายคาถาให้จันทราสีคราม แช่แข็งทั้งเป็น

แต่ก่อนที่ลำแสงจะได้ทันกระทบตัว เครสเซนท์ ก็ดันสลักที่เข็มขัดกลับไปหนึ่งที

“ Push On ”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากเข็มขัดพร้อมกับชิ้นส่วนเกราะปรากฏขึ้นมาและประกอบเข้าด้วยกัน
เป็นชุดเกราะ และสะท้อนลำแสงนั้นออกไปจนหมด ก่อนที่เขาจะดันสลักกลับไปมาอีกครั้ง

“ Stand By ”
“ Push Off ”
สองเสียงดังขึ้นไล่เลี่ยกันมาพร้อมกับชุดเกราะที่แยกชิ้นส่วนและระเบิดออก
 แรงดันพลังเวทยืที่เพิ่มมากขึ้นของเครสเซนท์ ส่งผลให้เขาฟื้นคืนสภาพกลับมาสู้ต่อได้อีกครั้ง

“ จงดูซะต่อจากนี้ไปนี่คือของจริงล่ะ ”
เครสเซนท์กล่าวหลังจากที่ ทรงตัวได้แล้ว ก็เอามือกุมสลักที่เข็มขัดพร้อมกับบิดมันให้ตั้งขึ้นและดันไปอีกครั้ง

“ Set up ”
เสียงทุ้มแหลมดังออกมาจากเข็มขัด พร้อมกับชิ้นส่วนชุเกราะที่ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ก่อนจะประกอบกันเป็นชุดใหม่

………………..
…………………
…………………..

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #212 on: June 29, 2008, 08:12:01 PM »

“ Great of Dragon ”
สิ้นเสียงมังกรพลังงานสีฟ้าก็พวยพุ่งขึ้นมา กองหิมะ และทะยานเข้าใส่ วหกเพลิงฟีนิกซ์และวิหกโลกัณฑ์
ที่บินโฉบเฉี่ยวไปมา และพวกมันก็หลบการโจมตีของมังกรพลังได้ทั้งหมดอย่างคล่องแคล่ว

“ ชิพวกมันไวจริงๆ ”
ทาลิควาสกล่าวขณะที่ตวัดดาบไปมา เพื่อการจู่โจมจากปีกเพลิงของวิหกเพลิง
ในขณะที่เหล่าลูกมังกร ก็พากันช่วยยิงสกัดพวกมันไว้อย่างสุดกำลัง

“ ลองนี่ดู Ventus et Dragos ”
สิ้นคำทาลิควาสก็ควงดาบในมือจนเกิดลมพายุหมุนพัดเข้าถาโถมใส่วิหกทั้งสอง
ซึ่งนี่คือกระบรวนท่าเดียวกันกับของ ทาเวนทอส ซึ่งเป็นอัศวินมังกรในอีกร่าง

“ เฮลลิค Dark Dance ”
แบล็คไวเซอร์สั่งวิหกโลกัณฑ์ของตน ทันทีที่ได้รับคำสั่งมันก็เริ่มบินฉวัดเฉวียนไปมาอย่างรวดเร็ว
ราวกับเริงระบำ วิหกโลกัณฑ์ที่ได้เห็นการร่ายรำนั้น ไฟรอบตัวของมันก็ลุกโหมและพุ่งทะยานเข้า
ใส่พายุหมุนโดยไม่หวั่นเกรง ทันทีที่พายุกระทบเข้ากับมัน ไฟจากลำตัวลุกโหมไปกับพายุ
จนกลายเป็นพายุเพลิงและสลายไป พร้อมกับร่างของมันที่กลายเป็นเถ้าถ่าน

“ จงคืนชีพขึ้นมาฟีนิกซ์ ”
บลาสเซจที่กำลังรับมือกับพวกเมทาไนท์กล่าวขึ้น กองขี้เถ้านั้นก็ผลันเปล่งแสงและลุกโชติช่วง
เป็นเปลวเพลิง ก่อนที่วิหกเพลิงจะพุ่งทะยานออกมาจาก กองไฟนั้น ความร้อนจากเพลิงชีวิตของมันทำให้หิมะรอบๆเริ่มละลาย  สัตว์น้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในรัศมีนั้นต่างพากัน อพยพอย่างแตกตื่น สะเก็ดเพลิงที่กระเด็นไป
โดนต้นสน ก็เริ่มลุกไหม้เพราะอุณหภูมิที่เริ่มร้อนระอุ

“ หนอยมันเป็นอมตะรึนี่ ”
ทาลิควาสเปรยด้วยความทึ่ง
ขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กองเพลิงซึ่งยังลุกโหมอยู่
“ ดีล่ะถ้างั้นไฟก็ต้องเจอกับไฟ ลอว์เรนซ์ร่วมร่างกับฉันที ”
ไฟร์กล่าวซึ่งทาลิควาสเองก็เห็นด้วยเพราะพลังที่มีอยู่คงไม่อาจเอาชนะได้
แต่หากเป็นทาลิกนัสที่มีพลังในการรุกสูง อาจจะพอมีทางชนะ เมื่อคิดได้ดังนั้น
ทาลิควาสจึงสลายพลังแยกกลับเป็น Lr กับอควาตามเดิม

“ งั้นเราก็มาเปลี่ยนกันเลย ”
Lr กล่าว ซึ่งก่อนที่ไฟร์จะได้ ทันกล่าวอะไรนอฟฮอฟก็แทรกขึ้นมาทันที

“ ไม่ได้นะถ้าใช้ไฟีกล่ะก็ที่นี่ต้องกลายเป็นทะเลเพลิงแน่ พวกสัตว์ที่อยู่ที่นี่ก้จะต้องเสียบ้านของพวกมันไปนะ ”
นอฟฮอฟกล่าวขอร้องในขณะที่ชี้ไปยังพวกสรรพสัตว์น้อยใหญ่ต่างพากันวิ่งหนีไปเพราะเพลิงที่กำลัง
ลุกโหม

“ แต่ว่าถ้าไม่เป็นทาลิกนัสล่ะก็เราก็คงสู้พวกมันไม่ได้แน่ เราคงต้องยอมเสียสละบ้างล่ะ ”
เอิธท์แย้งแต่ทว่าไฟร์ยกมือขึ้นปรามทั้งคู่ไว้

“ ไม่หรอกชั้นเห็นด้วยกับนอฟฮอฟนะ จะให้ใครต้องมาเสียสละเพราะพวกเราไม่ได้เป็นอันขาด เพราะนั้น
มันไม่ใช่คุณธรรมหรอกใช่มั้ย ลอว์เรนซ์ ”
ไฟร์กล่าวขณะที่หันไปขอความเห็นจาก Lr ซึ่งเขาก็เห็นด้วยที่ไม่ควรจะไปเบียดเบียนใครเพื่อ
ความถูกต้อง ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ต่างไปจากชาวเมือง ทีนวาแลนที่ถูกหลอกใช้

“ งั้นเราก็ใช้ทาโซรอสก็ละกันอย่างน้อยๆโคลนหิมะพวกนี้ก็น่าจะช่วยดับไฟพวกนี้ได้ ”
ลอว์เรนซ์กล่าวซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย

“ ขอบใจนะ ลอว์เรนซ์ที่ยอมรับฟังฉันน่ะ ”
นอฟฮอฟกล่าวขอบคุณซึ่งนั่นทำให้ Lr เลิกคิ้วขึนด้วยความฉงน

“ ทำไมพูดยังงั้นล่ะก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา ”
Lr กล่าวจบ ก็เข้าไปหาเอิธท์ก่อนที่ทั้งสองจะรวมร่างกันเป็นทาโซรอสและออกไปประจันหน้ากับ วิหกทั้งสอง

“ ลอว์เรนซ์ ”
นอฟฮอฟเปรยเสียงเบาอยู่ตรงนั้นในขณะที่ มองดูพวกเพื่อนๆต่อสู้ ขณะนั้นเองก็ได้มีลูกนกเหยี่ยวเผือก(Albino Hawk) ร้องกระจิบ
ดังลงมาจากกิ่งไม้ของต้นสนที่กำลังไหม้ไฟ นอฟออฟไม่รอช้ารีบบินขึ้นไปช่วยทันที



แต่ทว่าทาโซรอสที่รับมือกับวิหกเพลิงอยู่ ก็พลาดปล่อยให้วิหกโลกัณฑ์ ซึ่งเห็นนอฟฮอฟที่บินไปช่วย
ลูกนก พุ่งไปหาเธอ

“ นอฟฮอฟระวัง ”
ไลท์ตะโกน แต่สายไปแล้วนอฟฮอฟถูกวิหกโลกัณฑ์เฉี่ยวใส่จนร่วงหล่นลงสู่กองเพลิง
“ ซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ ”
สิ้นเสียงซอสมะเขือเทศสีแดงก็พุ่งทะลักออกมาท่วมจนดับเปลวไฟที่ลุกโชนจนมอดสิ้น
พร้อมกับฝูงปลาซาร์ดีนปีกค้าวคาวพุ่งเข้าชนวิหกโลกัณฑ์ จนมันเสียหลักตกลงมาหัวฟาดถูกกิ่งต้นสนคอหัก
ตายคาที่อยู่ ณ ที่นั้นนอฟฮอฟที่ร่วงหล่นลงมา กอดลูกนกไว้ในอ้อมอก เพื่อปกป้องมันก็ถูกหัวฝักทองบินได้
ซึ่งก็คือแจ็คนั่นเองที่บินมารับเธอเอาไว้

“ เคาท์เพนกวิน ”
ทาโซรอสอุทานสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของผู้มาเยือน ซึ่งก็คือเคาท์เพนกวินที่
พวกเขาเคยพบกันที่คฤหาสน์ร้างนั่นเอง

“ รู้สึกว่าจะมาถูกจังหวะพอดีเลยนะนี่ ”
แจ็คกล่าวขณะที่วางนอฟออฟลงจากหัวของตน

“ เฮลลิค..พวกแก ”
แบล็คไวเซอร์ ร้องเสียงหลงขณะที่เห็นวิหกโลกัณฑ์ของตน ตายอย่างน่าอนาถ

“ แกเองก็จงจบสิ้นตามมันไปด้วยเลย Paladin Saber ”
สิ้นคำเมทาไนท์ก็ตวัดดาบ ผ่าร่างของแบล็คไวเซอร์จนขาดสองท่อนก่อนที่จะสลายกลายเป็นควันสีดำไปพร้อมกับวิหกโลกัณฑ์ของตน

“ ต่อไปก็ตาแกล่ะ Promineo Sanctus ”
แกรนเดครอสคำรามก้อง ก่อนที่จะอุ้งเล็บขนาดยักษ์ของตนออกไปขยี้ร่างของบลาสเซจ

“ ฟีนิกซ์ ”
บลาสเซจเรียกวิหกเพลิงให้มาเป็นโล่รับการโจมตีแทนตนเอง

“ ถึงมันจะตายก็จะคืนชีพกลับมาปกป้องข้าได้อยู่แล้ว ”
บลาสเซจกล่าวอย่างเย็นใจ

“ ไม่มีทางหรอกน่าจงรับพลังแห่งแสงนี้แล้วสูญสิ้นไปซะ Lux et Dragos ”
ทาลูคูสซึ่งเปลี่ยนตัวกับทาโซรอสเมื่อครู่ก็ตวัดคลื่นดาบจันทร์เสี้ยว ใส่วิหกเพลิงทันทีที่
วิหกเพลิงกระทบกับแสงนั้น ร่างของมันก็ขาดเป็นสองท่อนก่อนจะ สลายกลายเป็นควันปะทุไป
ไม่กลับฟื้นคืน(โดน Remove เลยคืนชีพไม่ได้)

“ ไม่…. ”
บลาสเซจร้องเสียงหลงก่อนที่จะถูกอุ้งเล็บของแกรนเดครอสบดขยี้จนแหลกสลายไปเช่นกัน

“ มันไม่ง่ายนักหรอกน่า ”
เสียงนึงดังขึ้นจากอุ้งเล็บของแกรนเดครอสที่ขยี้ร่างของบลาสเซจ จนแหลกไปดังขึ้น
ก่อนที่แสงสีแดงฉานจะสาดส่องออกมาจากมือของแกรนเดครอส อุ้งเล็บของมันก็ถูกพลังบางอย่างผลักออก
จนกระเด็นออกไป

“ นี่คือร่างที่แท้จริงของข้า บลาสเซจราชันย์แห่งเหล่าคนบาป(Blaze Sage, Rex Peccata) ”
ร่างซึ่งลุกโหมด้วยเพลิงนรกแดงฉาน ปีกที่ดวงตาขนาดยักษ์งอกออกมาจากหลังของมันถึงสี่ดวง
ขาทั้งสองหลอมเข้ากันด้วยเนื้อเยื่อตะปุ่มตะป่ำ ที่ปลายนั้นปรากฏดวงตากลมดตดวงใหญ่



ซึ่งหยาดเยิ้มไปด้วยน้ำตาแห่งวิญญาณของเหล่าวิญญาณที่ทุกขเวทนาจากการไม่ได้ไปผุดไปเกิด
เหนือหัวของมันลุกโชนด้วยเพลิงนรกซึ่งกำลังมอดไหม้ด้วยวิญญาณของเหล่าคนบาป

ปีศาจที่น่าสยดสยองนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากร่างบลาสเซจที่สลายไป นี่คือร่างอวตารแห่งบาป
ในอดีตเมื่อครั้งสงคราม สี่อาณาจักรที่รวมไปถึงสงครามซึ่งก่อเกิดจากเหล่าบาป (Sin)
 
“ Sinner One ” (คนบาปเป็นหนึ่ง)
สิ้นคำเพลิงนรกพุ่งพล่านออกมาเผา ผลาญพวกเขา

“ Magnus Templus ”
สิ้นคำแกรนเดครอส ก็ประสานอุ้งเล็บเข้าด้วยกระก่อนที่จะตวัดมันออกพร้อมกับเกราะพลัง
งานแบบเดียวกับที่เคยป้องกันพวกเขาจากการโจมตีของแบล็คไวเซอร์
ทันทีที่เพลิงนรกนี้ลุกโชนไปทั่วจนสลายสิ้น ทุกชีวิตที่อยู่ในบรเวณนั้นแทบจะต้องสูญสิ้น

“ พวก ลอว์เรนซ์จะเป็นยังไงกันมั่งนะ ”
เรโค่กล่าวขึ้นด้วยความเป็นห่วงขณะที่ ตรึงร่างของเทอเรี่ยนสีดำเอาไว้และให้ภูตรับใช้
ทั้งสองของเธอ โจมตีใส่มัน

“ เปลวเพลิงที่ลุกโหมเมื่อครู่น่าเป็นห่วงจริงๆเราควรรีบกลับไปช่วยพวกเขานะ ”
เซโร่กล่าวขณะที่ยืนประเมินสถานการณ์ จากบนยอดผาด้านล่างของยอดเขาที่พวกเจนัสอยู่
พวกเขาทั้งสองได้ล่วงหน้าตามมาช่วยลากูน่า ตามคำขอร้องของ Lr หลังจากที่ลากูน่าล่วงหน้าไปแล้ว
ระหว่างทางลูคเรเทียก็ตามขัดขวางมาจนถึงยอดผานี้ แต่ทว่าบัดนี้รแม้แต่เงาของนางก็ไม่เหลือให้
เห็นแล้วมีเพียง ดาบสีเงินเล่มใหญ์ของนางซึ่ง หักเป็นสองท่อนปักทิ้งไว้บนพื้นหิมะเท่านั้น

“ แต่ว่าเค้าให้เราไปช่วย สามคนนั่นก่อนนะ เอาไงดีล่ะ ”
เรโค่ถามขณะที่สั่งให้ภูตทั้งสองหยุดการโจมตี และตวัดเส้นลวดที่ตรึงไว้ ให้
สับเจ้าเทอเรี่ยนจนละเอียดเป็นชิ้นๆ 

“ งั้นก็ไปช่วยสามคนนั่นก่อนก็แล้วกัน จากนั้นค่อยรีบกลับไปช่วยคง
ไม่สายเกินหรอกทางนั้นมีคนตั้งเยอะกว่านี่นะ ”
เซโร่กล่าวจบพวกเขาทั้งสองลอยตัวขึ้นสู่ยอดผาทันที



ป่าสนซึ่งเคยถูกปกคลุมด้วยหิมะในหุบเขาแห่งนี้บัดนี้ ได้ลุกโหมไปด้วยเพลิงนรก
เกราะพลังงานที่แกรนเดครอสกางต้านไว้ ก็ไม่อาจจะทนกับโจมตีของบลาสเซจได้
ทันทีที่เพลิงหยุดกระจาย ร่างอันใหญ่โตของแกรนเดครอสก็ล้มลง

พร้อมกับเทียแมตที่เข้าไปช่วยเสริมพลังของเกราะ เพราะใช้พลังไปจนหมดสิ้น
แม้แต่เหล่าลูกมังกรที่ได้รับการปกป้องอีกชั้นจาก เมทาไนท์ซึ่งยกโล่สีทอง ซึ่งประดับด้วยอัญมณีที่
กลางโล่ ขึ้นมาป้องกันไว้ซึ่งมันก็พอจะช่วยสะท้อนเปลวเพลิงออกไปได้บ้างจากพลังอำนาจของมัน

แต่พวกเขาก็ยังคงได้รับบาดเจ็บอยู่ดี ตามเนื้อตัวมีแผลพุพองบ้างเล็กน้อย
ส่วน Lr กับไลท์นั้นได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด เพราะพวกเขาอยู่ในร่างของทาลูคูส แต่ก็หมดแรงจากการ
ที่ต้องป้องกันเปลวเพลิงไปด้วย จนแยกกลับสู่ร่างเดิม

“ ไม่เป็นไรนะ ”
เมทาไนท์ซึ่งสะบักสะบอมไม่แพ้กัน กล่าวขึ้นขณะที่ยกโล่ออก ซึ่งบลาสเซจนั้นกำลังจะโจมตีระลอกใหม่มาอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาไม่มีเกราะกำบังใดๆจะต้านไว้ได้อีกแล้ว เปลวเพลิงนรกพุ่งผล่านออกมาอีกครั้ง
และกำลัง จะเผาผลาญร่างของพวกเขา

“ Penguin Power ”
สิ้นคำของเคาท์เพนกวิน ตัวเคาท์เพนกวินและแจ็คหัวฝักทองก็บินเข้าไปขวางเปลวเพลิงไว้
ออร่าแสงที่เปล่งออกมาจากตัวก็ดูดซับเปลวเพลิงเหล่านั้นไว้แต่ทว่าพลังนั้นก็ไม่พอที่จะต่อกร
กับเปลวเพลิงอันร้อนแรงนี้ได้ สุดท้ายแม้แต่ตัวเคาท์เพนกวินเองก็ถูกเปลวเพลิงเผาผลาญไปแต่ทว่าแจ็ค
ก็เอาตัวเข้าขวางไว้โดยใช้พลังเฮือกสุดท้ายคุ้มครองเจ้านาย ก่อนจะไหม้สลายไป

เปลวเพลงทั้งหมดที่สาดมายังพวกเขาได้ มอดลง แต่ก็มีลูกไฟลูกหนึ่งกระดอนตรง
ไปยังนอฟฮอฟที่ยังกอดลูกนกเอาไว้อยู่ เธอหลับตาลงด้วยความกลัวโดยที่หันหลังรับเปลวเพลิงนั้นเอาไว้
เพื่อปกป้องลูกนก ภาพนั้น ทำให้เมทาไนท์หวน นึกถึงแม่ของเขาที่เอาชีวิตของตนปกป้องน้องชายซึ่งเป็นลูกเอาไว้

เปลวเพลิงกำลังจะเข้าไปถึงตัวของทั้งสอง

“ ซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ ”
เคาท์เพนกวินที่รอดมาได้ใช้พลังเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่เสกซอสมะเขือเทศ
ดับเปลวเพลิงนั้น โดยเอาตัวเข้าขวางไว้ระหว่างนอฟฮอฟและเปลวเพลิง
ทว่าพลังนั้นก็ไม่พอที่จะดับเพลิงนรกได้ เปลวไปจึงเข้าครอกร่างของเคาท์เพนกวินในที่สุด

ร่างของเคาท์เพนกวินล้มลงดดยที่ลมหายใจนั้นไม่มีอยู่เพราะตนเป็นผีดิบ แม้จะเป็นอมตะ
แต่เมื่อถูกเพลิงนรกเผาวิญญาณจนมอดไหม้ก็ เปรียบเสมือนคนใกล้ตายเต็มที


นอฟฮอฟ ที่ได้รับการปกป้องทรุดตัวลง น้ำตาไหรินลงมาจากดวงตาหยดลงบน
ร่างของ เคาท์เพนกวินที่นอนแน่นิ่งอยู่

“ พวกนายทำไมถึงต้องทำเพื่อฉันถึงขนาดนี้… ”
“ ทั้งแจ็ค ทั้งนาย ทำไมถึงต้องเอาชีวิตเข้าแลกแบบนี้ ”
นอฟฮอฟกล่าวด้วยความปวดร้าวที่ตนเป็นต้นเหตุให้ แจ็คต้องตาย

เคาท์เพนกวินที่เห็นเธอร้องไห้ ด้วยความเสียใจก็ยกปีกสั้นๆของตน ขึ้นปาดน้ำตา
ออกจากใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน

“ ตลอดมาปีศาจอย่างพวกเราถูกหาว่าไร้จิตใจเลือดเย็นและถูกดูถูกเหยียดหยามมาตลอด
แต่กับเจ้ามันไม่เหมือนกันเจ้าเท่านั้นที่มองข้าเป็นเหมือนคนอื่นทั่วไป ตอนที่อยู่ที่คฤหาสน์
นั่นน่ะ เจ้าปฏิบัติกับข้าราวกับ เป็นสิ่งมีชีวิต มีจิตใจ ข้าจึงอยากจะตอบแทนเจ้าบ้าง อีกอย่าง ….. ”
เคาท์เพนกวินกล่าวไม่หยุดปากราวกับว่าบาดแผลเหล่านี้ไม่มีผลใดๆเลย
แต่ทว่าลึกๆแล้ววิญญาณของเขากำลังจะสูญสลาย

“ เพราะข้าอยากจะเห็นความเมตตาที่ส่องประกายในสายตาเจ้าอีกซักครั้งน่ะสิ ”
เคาท์เพนกวินกล่าวจบดวงตาของเขาก็ปิดสนิทลง ก่อนจะสลายกลายเป็นเถ้าไป

“ เคาท์เพนกวิน ”
นอฟฮอฟร้องเสียงหลง

“ เพื่อฉันที่เย็นชาคนนี้น่ะเหรอ บ้าที่สุดเอาชีวิตของตัวเองมาปกป้องคนไร้ค่าอย่างฉันเนี่ยนะ… ”
นอฟฮอฟรำพันด้วยความโศกเศร้า ลอว์เรนซ์ซึ่งมองดูเหตุการณ์ณ์ด้วยความเวทนานั้นเข้าใจดี
ว่าตลอดมานั้นแม้จะทำเป็นเย็นชาแต่แท้จริงแล้วนอฟฮอฟเป็นมังกรที่ มีจิตใจ
อ่อนโยนคนหนึ่ง เขาจึงเดินเข้าไปปลอบเธอ

“ ไม่หรอกนอฟฮอฟชั้นว่าเขาพอใจในสิ่งที่เขาทำแล้วล่ะ และอีกอย่างเธอก็ไม่ได้เป็นคนที่เย็นชาซักหน่อยนี่
ลูกนกตัวนี้น่ะเธอยังปกป้องมันด้วยชีวิตเลยไม่ใช่รึ งั้นเธอก็น่าจะเข้าใจดีนี่ว่าเพราะอะไรเขาถึงต้องเสี่ยงชีวิตปกป้องเธอ ”
Lr กล่าว ซึ่งคำพูดของเขานั้นทำให้นอฟฮอฟ เริ่มจะเข้าใจถึงความหมายที่เคาท์เพนกวินสละชีวิตช่วยเธอเอาไว้

“ ตั้งแต่เด็กๆแล้วพ่อของฉันหายตัวไปและทิ้งฉันซึ่งเสียแม่ไปให้อยู่กับ ญาติๆ ฉันเลยคิดไปเองว่าเพราะพ่อไม่รักฉันแล้วเลยทิ้งฉันไป แต่ว่า อาจารย์อีสควอเทียก็..ก็บอกกับฉันว่า ท่านไม่ได้ทิ้งฉันไปแต่ เพราะได้รับโทษจากการที่ปกป้องฉันและแม่ไว้จนทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน จึงต้องจากฉันไป ตอนนี้ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นแล้วล่ะ ”
นอฟฮอฟรำพัน ก่อนจะวางลูกนกลงบนพื้น

“ เป็นตัวของตัวเองเถอะเพราะชั้นรู้ดีแม้ว่าเธอจะปกปิดมาตลอดก็ตาม ”
“ แต่นั่นก็คือตัวตนของเธอนะ จะปฏิเสธไปทำไม กัน ที่แล้วมาเธอช่วยพวกเราไว้ตั้งหลายครั้งคราวนี้ถึงตาพวกเราตอบแทนบ้างมันจะเป็นไรไป เปิดใจรับมันซะเถอะดาร์ค ”
Lr กล่าวชื่อของเธอในตอนท้ายนั้นทำให้เธอยอมที่เชื่อเขาและเปิดใจรับ

บลาสเซจที่สะสมพลังงานเพื่อจะโจมตีระลอกต่อไปก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

“ ช่างที่น่าประทับใจเสียงจริงนะ แต่สำหรับข้ามันจะน่าประทับใจกว่านี้ยามที่มันถูกเผาจนวอดวาย
เพราะความสิ้นหวัง ”
บลาสเซจกล่าวจบเพลงนรกก็พุ่งผลาญออกมาอีกครั้ง
ผลันแสงสีดำก็ส่องวาบออกจากดราก้อนฮอลลี่ เวลาในช่วงนั้นราวกับหยุดลงชั่วครู่

“ ถึงตาฉันจะร่วมรบไปกับเธอด้วยแล้วนะ ลอว์เรนซ์ ”
“ อื้ม..อย่ามัวรอช้าเลยมาทำให้เรื่องนี้มันจบลงไปเสียที ”
เสียงของทั้งสองที่สื่อถึงกันในใจ
ก่อนที่เวลาจะเริ่มเดินอีกครั้ง ความมืดสีดำที่แผ่ออกมาจากดราก้อนฮอลลี่
ได้พวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้ากระจายตัวเป็นละอองพลังงานดดยทิ้งวงแหวนสีดำเอาไว้กลางนภา

เปลวเพลิงที่ค่อยๆทะยานลงสู่ร่างของพวกเขากับวงแหวนแสงสีดำที่หมุนวนละออง ความมืด
กลับสู่วงแหวนและยิงส่งลง สู่ร่างของทั้งสอง พร้อมกับเปลวเพลิงนรกที่สาดใส่พวกเขา

แต่ทว่าเพลิงทั้งหมดนั้นก็ถูกความมืดกลืนกิน เข้าไป ก่อนจะหดตัวลง และ
ปรากฏร่างของอัศวินมังกรกายสีดำ ลิ้นที่ยาวเรียวแลบออกมา เลียริมฝีปากราวกับพึ่งทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
มา ก่อนที่จะหันขึ้นไปยังบลาสเซจ นัยตาของอัศวินมังกรตนนี้สร้างความหวาดหวั่นให้แก่บลาสเซจอย่างมาก

“ เมื่อความกลัวเข้าครอบงำ ความมืดจะเป็นผู้ปลอบโยนจิตใจที่หวาดหวั่นนั้นเอง นามของฉันคือ ทาไนซ (Thanyx, the Dragoon of Thaliwilya) ”



โปรดติดตามตอนต่อไป

ในตอนหน้า

ในที่สุดอัศวินมังกรแห่งตำนานตนสุดท้ายก็ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว การตัดสินระหว่างเจนัสกับเครสเซนท์
ซึ่งดุเดือดขึ้นทุกวินาที

อดีตที่ลืมเลือน

“ ข้าจะคืนความทรงจำของเจ้าที่ปิดผนึกไว้และเมื่อนั้นเจ้าจะต้องทุกทรมานกับ ความแค้นนั้นไปจนตาย ”
ผนึกที่ถูกคลายความทรงจำที่กลับมา

“ คนที่ช่วยฉันไว้และทำลายครอบครัวของฉันเมื่อสี่ปีก่อนคือนายงั้นเหรอ… ”

อดีตที่ทำร้ายจิตใจของทั้งคู่จนสิ้น

คนที่อยากพบ

“ หรือว่าคุณก็คือ ”

“ ถูกแล้วนอฟฮอฟแม้จะพูดไม่ได้เต็มปากนักแต่ข้าคือพ่อของเจ้า ”

ความผิดที่แบกรับไว้ ในอดีต และคำทำนายที่ดำเนินมาจนถึงบัดนี้

“ ทำไม…..ทำไมกัน..ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ”
พลังด้านมืดที่ถูกปลดปล่อยออกมา

“ เมื่อใดที่ความกลัวแข็งแกร่งไม่ว่าเทพหรือปีศาจก็ล้วนต้องสยบ นามกรของข้าคือ มุรามาสะโซล ”
ทูตสวรรค์แห่งความกลัว

โชคชะตาที่ไขว้กันนี้จะนำไปสู่บทสรุปที่แท้จริงหรือไม่ ปริศนาทั้งหมดจะถูกคลี่คลายออกจนสิ้นหรือไม่

ในบทหน้าตอนสุดท้ายของภาค Dragoon Age’ 

บทที่ 25 ความผิดและโทษทัณฑ์

End Time 1

โอยกว่าจะเสร็จอาทิตย์นี้ก็แทบแย่เลยครับ มีข่าวร้ายมาบอกครับอาทิตย์ตอนมันส์แท้ๆแต่จะต้อง งดนะครับเพราะต้องอ่านหนังสือสอบดังนั้นจะเลื่อนไปเป็นอีกอาทิตย์นะครับ เอาละบทหน้าจะได้รู้กันเสียทีว่าอะไรเป็นอะไร

« Last Edit: June 29, 2008, 10:37:26 PM by greamon » Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #213 on: June 29, 2008, 09:40:10 PM »

ใกล้จบแล้วสินะ  ว่าแต่พระเอกของเรา(ลอเรนซ์หรือเปล่านะ)แปลงเป็นมุรามาซะโซลอีกแล้วเหรอเนี่ย 
Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #214 on: June 29, 2008, 10:32:24 PM »

จบช่วงที่สองจ้ายังไม่อวสานยังเหลือช่วงสามอีกช่วงจ้า นิยายเรามีมหากาพยสามภาค
จ้ะ อ้อมาถึงก็แจ้ ฉอดๆลืมแนะนำตัว เดี้ยน การูรูม่อนผู้ช่วยของเกรม่อนจ้า (Garurumon, the Assit of Greamon)
ตั้งแต่นี้ไปขอฝากตัวด้วยน้า
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #215 on: June 29, 2008, 10:40:28 PM »

ยินดีที่รู้จักคร้าบ  พี่การูรูม่อน   
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #216 on: July 09, 2008, 07:09:39 PM »

โอยอาทิตย์ที่แล้วหยุดอ่านหนังสือหนักซะจนหัวเบลอเลย เจ้าการูรูม่อนมันว่างนักรึไงนะ
บอกให้วาดภาพประกอบตั้งนานแล้ว มันดันวาดสัปดารห์ที่เราหยุดซะงั้น มันไม่อ่านหนังสือสอบรึไงก็ไม่รู้

เอ้อช่างเถอะก็คงจะรู้จักกับผู้ช่วยผมไปแล้วนะครับ อีกอย่างบทที่25 สัปดาห์นี้จะรูปบางส่วนที่ต้องวาดมือ
(เพราะหาจากอนิเมะไม่ได้ T_T ) ก็คงจะไม่ได้ลงสีหรอกครับ

คนวาดคือเจ้าผู้ช่วยผมนี่แหละครั้งนี้พยายามขอไม่ให้มันวาดเหมือนกันดั้มแต่ก็นั่นปะไร
ช่างเถอะมันเป็นพล็อตที่ไม่สำคัญนักหรอกครับ

แต่มีความรู้สึกจะไปมล้ายคล้ายการ์ตูนอีกแย้วเพราะระบบชุดเกราะ
ที่เครสเซนท์กับเมทาไนท์มีอยู่กันคนละอันมันดันไม่ได้มีดีแค่ประกบแล้วระเบิดน่ะดิ

เอาเป็นว่ารอดูอาทิตย์นี้ดีกว่าครับ บทนี้บอกก่อนเลยว่ายาวมาก ประมาณสองตอนควบ ควบสัปดาห์ก่อนกับสัปดาห์นี้
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #217 on: July 13, 2008, 06:44:17 PM »

บทที่ 25 ความผิดและโทษทัณฑ์

      เมื่อครั้งนานแสนนานมาแล้ว อัศวินมังกรแท้คนแรกแห่งเมอริเซีย ได้ถือกำเนิดขึ้น
นามของเขาถูกขนานกันในชื่อทาลิวิลย่า ทว่าชื่อจริงของเขานั้นกลับหามีผู้ใดรู้ไม่
หากแต่มีเพียงตระกูลอันยิ่งใหญ่สองตระกูลซึ่งปกปักรักษาความลับของตระกูล
นักรบมังกรทาลิวิลย่า เอาไว้ ซึ่งทำให้ตระกูลทั้งสามนั้น ต่างมีความสัมพันธ์
ในการรักษาและสืบทอดหน้าที่นี้แก่ลูกหลาน ตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน

หนึ่งคือตระกูลแห่งเผ่าพันธุ์ครึ่งสมิงแท้อันเป็นต้นกำเนิดจากเชื้อสายของสมิงกับเอลฟ์
อีกตระกูลคือ ตระกูลอัศวินผู้ขับขี่กริฟฟินอันสูงส่งแห่งฟีเลเซีย ทว่าตระกูลทั้งสามนี้
ก็ได้ล่มสลายลงไป ในเวลาที่ไม่ห่างกันมากนักเหลือเพียงเหล่าทายาทที่ยังรอดชีวิตมาได้
บางส่วนเท่านั้น และเรื่องราวทั้งหมดก็ได้กลายเป็นเงื่อนงำที่ไม่มีใครกล่าวถึงอีก

ทว่า ณ บัดนี้เงื่อนงำนั้นกำลังจะถูกคลี่คลายออกในวันนี้…………


ท่ามกลางป่าสนในหุบเขาลึกที่ปกคลุมด้วยหิมะ บัดนี้ พื้นที่ป่าจำนวนไม่น้อยถูกเผาทำลายจนเหี้ยนเตียนกลาย
เป็นทุ่งไปแล้ว ร่างของอัศวินครึ่งมังกรกายสีดำ และ ราชันย์แห่งคนบาป ทั้งสอง
กำลังฟาดฟันอย่างรวดเร็วและรุนแรงอยู่เหนือผืนแผ่นดิน ทุกครั้งที่ปะทะเข้ากัน
สะเก็ดเปลวเพลิงนรกที่วาบขึ้นมาในทุกคราก็จะถูกความมืดซึ่ง
ไหลออกมาจากดาบของอัศวินมังกรและกลืนกินเปลวไฟนั้นเข้าไป


“ Nox et Dragos ”
สิ้นคำของอัศวินมังกร เขาก็ทะยานออกไปอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพร่างของเขาทับซ้อนกันไปเรื่อยๆขณะที่
พุ่งเข้ามาราวกับภาพติดตา จนทำให้บลาสเซจในร่างราชันย์แห่งคนบาปต้องผงะไป
ราวกับโดนมนต์สะกด ก่อนจะได้ทันรู้ตัวว่า อัศวินมังกรได้ย่างกรายมาใกล้แล้ว

ก็ถูกฟันด้วยคมดาบสีทองเหลืองคลิบลายดำ  แต่แม้ว่าจะถูกฟันจนร่างขาดสะบั้น เพียงชั่วครู่
ท่อนลำตัวที่ขาดไปก็กลับมาเชื่อมกันอีก ก่อนที่ดวงตาขนาดใหญ่ที่อยู่บนหลังของบลาสเซจ จะ
ส่องแสงและยิงเปลวเพลิงออกมา แต่ทว่าอัศวินมังกรทาไนซก็ ตวัดดาบผ่าเปลวเพลิงนั้นทันที
พร้อมกับที่ความมืดได้ไหลออกมาจากดาบและกลืนกินเปลวเพลิงนั้นเข้าไป

“ เมทาไนท์ท่านช่วยไปสนับสนุนพวกเจนัสทีนะ ทางนี้ข้าจะรับมือเอง ”
ทาไนซ กล่าวจบ เมทาไนท์ก็พยักรับคำก่อนจะพุ่งตรงไปยังภูเขาทางทิศตะวันออก

“ เอาล่ะทีนี้แกกับฉันเรามาต่อกันเลย ”
ทาไนซที่เห็นว่าเมทาไนท์ไปไกลแล้ว จึงหันไปกล่าวกับบลาสเซจ ก่อนจะไล่ต้อนฟัน บลาสเซจ
จนหลุดออกจากระยะที่เปลวเพลิงจะเข้าไปทำร้ายพวกลูกมังกร กับเทียแมตและแกรนเดครอสที่บาดเจ็บอยู่

“ ทีนี้ก็ลงมือได้ไม่ยั้งแล้ว Great of Dragon ”
 สิ้นคำทาไนซ ก็ร่ายดาบไปทางซ้ายมืออย่างช้าๆก่อนจะหยุดลง ทันทีที่ดาบเลื่อนไปอยู่
บริเวณเอวซ้าย ตัวดาบถูกปกคลุมด้วยออร่าสีดำ และลุกโชนราวกับเปลวเพลิง
ทันทีที่ทาไนซตวัดมันออกไป คลื่นพลังงานสีดำก็ก่อตัวเป็นรูปมังกรพลัง
สีดำ และทะยานเข้าชนใส่ร่างของบลาสเซจ จนร่างทะลุกลวง และทันทีที่ร่างของบลาสเซจ

สมานตัวอีกครั้ง ร่างของมันกลับถูกเปลวไฟสีดำที่ยังคงหลงเหลือจากการพุ่งผ่านของ
มังกรพลังงานเมื่อครู่ ก็เริ่มลุกไหม้จนบาดแผลไม่อาจ สมาน กลับได้ จนเมื่อมันพยายามจะดับไฟนั้น
โดยปัดให้มันดับ มือที่ไปสัมผัสโดนก็ ติดไฟและลุกโหมไปทั่วร่าง บลาสเซจกรีดร้องออกมาด้วย
ทุกทรมาน ก่อนจะมอดไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีดำ จนร่างกลายเป็นตอตะโก

“ และนี่คือส่วนของเธอ เคาท์แวมไพร์เพนกวิน ฉันจะล้างแค้นให้เอง ”
ทาไนซกล่าวก้องออกมาขณะที่ทะยานเข้า ฟันตอตะโกนั้นจน ขาดสะบั้นเป็นสองท่อน
และมอดไหม้เป็นขี้เถ้าไปในที่สุด
………………
…………………..
……………………….

“ Set Up ”
เสียงทุ้มแหลมที่ดังออกมาจากเข็มขัดของเครสเซนท์ พร้อมกับชิ้นส่วนชุดเกราะสีดำ
ที่ปรากฏขึ้นรอบๆตัวของเขาก่อนจะประกอบกันเป็นชุดเกราะรูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนกับ
ชุดก่อนนี้

“ Exchange Giga Mode ”
เสียงทุ้มแหลมดังออกมาจากเข็มขัดอีกครั้งทันทีที่ชุดเกราะประกอบเข้ากับตัวของเขา
เสร็จเรียบร้อย มันเป็นชุดเกราะที่ประกอบไปด้วยกลไกไฟฟ้า
ต่างๆทากทายราวกับเครื่องจักรก็ไม่ปาน ท่อสายต่างๆ ถูกโยงระยา มาต่อติดเข้ากับชิ้นส่วน
ของเกราะจากชิ้นต่อชิ้น



“ นั่นมัน… ”
นีน่าที่อดหันไปมองไม่ได้ อุทานขึ้นมาด้วยความตะลึง

“ นั่นคือกีก้าโหมดที่เป็นต้นแบบร่างอวตารของระบบแอกเตอร์ยังไงล่ะอีกเดี๋ยวพวกแกก็จะได้รับรู้ถึง
ความเหนือชั้นด้านพลังนั้นด้วยตาของเจ้าแล้ว ”
นักประดิษฐ์ที่ถูกลากูน่าจับล็อคเอาไว้กล่าวด้วยความผยอง
นีน่าที่เล็งปืนไปยังเซอร์เซสเริ่มจะหวั่นใจขึ้นมาแล้วว่า สิ่งที่นักประดิษฐ์
กล่าวนั้นคือ พลังที่พวกเครสเซนท์ กล่าวถึงเมื่อรุ่งเช้าหรือไม่

จนเปิดโอกาสให้เซอร์เซส คว้าคฑามาได้ และระดมยิงคลื่นมนตราใส่นางกับลากูน่าจนต้องหลบเป็นพลันวัน

และทันทีที่ลากูน่าตั้งตัวได้เขาก็ถูกกาโรห์ที่โดนซัดสลบไปเมื่อครู่ เตะลำตัวกระเด็นออกมา
ลากูน่าที่กระเด็นไปตามแรงเตะจนกลิ้งไปหลายตลบ จึงค่อยๆยันตัวขึ้นมาก่อนส่ายหน้า
ด้วยความมึนจากการเตะเมื่อครู่

ส่วนนีน่าที่ ตั้งตัวได้แล้วนั้น เมื่อคิดที่จะไปช่วยลากูน่านางก็ถูก เซอร์เซสเข้ามาขวางไว้


“ แก… ”
นีน่ากล่าวก่อนจะหันกระบอกปืน เข้าใส่พร้อมกับลั่นไกทันที
แต่เซอร์เซสก็หลบ วิถีกระสุนได้อย่างง่ายดาย
ก่อนจะ ซัดคลื่นพลังเวทย์ใส่นางจนล้มคลุกลงไปกับพื้นหลายตลบ

เจนัสที่เห็นทั้งสองกำลังรับมือกับคู่ต่อสู้ที่เกินกำลังนั้น ก็คิดจะเข้าไปช่วยแต่ก็ถูก
แสงสีต่างๆหกสีพุ่งตัดผ่านหน้าเขาไปจนต้องหยุดชะงัก แสงทั้งหกนั้น
บินทะยานไปวนอยู่รอบๆตัวของเครสเซนท์ ที่สวมชุดเกราะใหม่นั้นอยู่



“ เอาล่ะขอข้าชมพลังของระบบแอกเตอร์เป็นขวัญตาหน่อยเถอะ ”
นักประดิษฐ์ กล่าวพร้อมกับเท้าคางด้วยแขนขวาในขณะที่มือซ้ายยังคง
หิ้วกรงที่ขังชะตากรรมแห่งแสงเอาไว้อยู่

“ เริ่มจาก นี่ก่อนเลยก็แล้วกัน ”
เครสเซนท์ กล่าวจบก็ยื่นมือ ออกไป หนึ่งในแสงทั้งหกที่ บินวนอยู่
นั้นแสงสีเขียวก็ได้บินเข้าไปหาเข้า ก่อนที่เขาจะคว้ามันไว้ด้วย
มือขวา แสงนั้นเมื่อมันหยุดนิ่งอยู่ในมือของเครสเซนท์ ก็ปรากฏรูปออกมาอย่าง
ชัดเจนมันคือตัวด้วงสีเขียวมรกต (Emerald Beetle)



“ Set Up ”
เสียงทุ้มแหลมนั้นดังขึ้นอีกครั้งจากเข็มขัดที่ของเครสเซนท์ ก่อนที่ตัวด้วงจะค่อยๆ
บิดเกลียวและ สลายกลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อย พร้อมกับถูกชุดเกราะดูดเศษเหล่านั้น
เข้าหา ทันทีที่เศษชิ้นส่วนนั้นกระทบกับเกราะ สีเขียวมรกตของตัวด้วงก็กระจาย
เข้าสู่ตัวชุดเกราะ จนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเดียวกัน เกราะส่วนหัวก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
เขาโลหะที่ยื่นออกมานั้น ยื่นตัวออกไปจากกลไก ที่ชักออกมานั้นก่อนเชิดขึ้นตั้ง
ในแนวเฉียงจนเกือบตั้ง  ก่อนจะเปลี่ยนรูปไปคล้ายกับคมดาบ พร้อมกัยที่ชิ้นส่วนชุดเกราะต่าง
เริ่มแยกตัวออกและหมุนวนไปรอบๆเหมือนกับพายุหมุน ก่อนจะประกอบเข้าสู่
ร่างใหม่

“ Change Emerald Form ”
เสียงทุ้มแหลมดังก้องออกมาจากชุดเกราะ ซึ่งเปลี่ยนรูปไปเป็นสีเขียว
และดูปราดเปรียวกว่าในร่างก่อนนี้นัก ที่ข้อมือมี ทวนโลหะยื่นออกมา
ทั้งสองข้าง หลังติดเครื่องจกัรที่คล้ายกับปีก เอาไว้ ก่อนที่มันจะกางตั้งขึ้น

และพ่นไอร้อนออกมา ร่างนั้นทะยานตัวออกไปอย่างรวดเร็วจนแม้แต่เจนัสยัง
มองตามไม่ทัน เพียงชั่วครู่ร่างของเจนัส ก็เกิดบาดแผลขึ้นไปทั่วทั้งร่าง
พร้อมกับร่างบิดไปมา ราวกับถูกอะไรบางอย่างที่เร็วมากพุ่งเข้าโฉบโจมตี
ไปมา ก่อนจะถูกชนกระเด็นล้มลงไป พร้อมกับร่างของเครสเซนท์ที่หยุดต่อหน้าเขา



“ นั่นคือ เอเมอรอลฟอร์ม (Emerald Form) ฟอร์มที่มีความเร็วสูงสุดในระบบแอกเตอร์ของเข็มขัดเส้นนี้ยังไงล่ะทึ่งไปเลยสิกับพลังของมันน่ะ ”
นักประดิษฐ์ กล่าวด้วยท่าทีจองหอง ซึ่งยังไม่ทันขาดคำ แสงสีแดงก็พุ่งออกจากกลุ่มแสงที่บินวน
กันอยู่ออกมาหาเครสเซนท์ และทันทีที่เขาคว้ามันไว้ รูปร่างที่ปรากฏก็คือ ด้วงสีแดงทับทิม (Ruby Beetle)



“ Set Up ”
เสียงทุ้มแหลมดังขึ้น พร้อมร่างของตัวด้วงบิดเกลียวอีกครั้ง และสลายเข้าแทรกซึมใส่ชุดเกราะก่อนมันจะเปลี่ยนรูปไปอีกครั้ง เขาดาบที่ยื่นอยู่บนเกราะหมวกถูกพับเก็บลง ก่อนจะหดตัวลงและ ชิ้นส่วนของชุดเกราะ
บางส่วนหลุดออกมาติดประกบเข้าที่ด้านข้างคอปกเสื้อเกราะ ก่อนที่จะยืดเขา ออกมาด้วยกลไกของมัน
จนดูราวกับเขาวัว ประกบติดเข้ากับเกราะหมวก พร้อมกับที่ชุดเกราะเริ่มแยกตัวออกเพื่อจัดเรียงตัว
ใหม่อีกครั้ง

“ Change Ruby Form ”
เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นพร้อมกับชุดเกราะที่เปลี่ยนรูปไป ต่างจากก่อนหน้านี้ทั้งสามชุด
ดูเทอะทะกว่า แขนที่ถูกประกอบด้วย ชิ้นส่วนเกราะจนขยายขนาด และกลายเป็นแขนกลไป



“ และนั่นก็คือ รูบี้ฟอร์ม (Ruby Form) ฟอร์มที่มีพลังจู่โจมสูงอีกเช่นกัน ”
นักประดิษฐ์อธิบาย ขณะที่ทุกคนได้แต่เฝ้ามอง ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้
เจนัสที่ถูก รูบี้ฟอร์มเข้าซัดโจมตีจนสะบักสะบอมโดยไม่สามารถโต้ตอบได้

ก่อนที่ตัวด้วงตัวใหม่จะถูกเรียกออกมาจากกลุ่มแสงที่ยังคงบินวนอยู่
คราวนี้เป็นด้วงสีฟ้าครามไพลิน(Sapphire Beetle)



“ Set Up ”
เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นพร้อมกับชุดเกราะที่เปลี่ยนกับไปอยู่ในฟอร์มที่ดูปราดเปรียวอันเดียวกับ
เอเมอรอลฟอร์มก่อนหน้านี้ ต่างกันตรงที่ ฟอร์มนี้เป็นสีฟ้า


“ Change Sapphire Form ”
เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นอีกครั้ง  ทันทีที่เปลี่ยนร่างเสร็จ
เครสเซนท์ในฟอร์มใหม่นี้ ก็ตวัดเขาดาบที่หัว ออกไปอย่างแรง มันเหวี่ยงเป็นกงจักรทะยาน

เข้าไปทำลาย ดวงจันทราสีเลือดและจันทราสีคราม อันเกิดจากพลังของศิลา เขาดาบถูกเหวี่ยง
ปั่นทำลายทั้งสองดวงจนสิ้นสลาย ก่อนจะวก กลับมาติดที่หมวกเกราะอีกครั้ง

“ นั่นก็คือ ฟอร์มที่มีพลังด้านมนตราสูง แซฟไฟร์ฟอร์ม ”
นักประดิษฐ์อธิบายอีกครั้ง ซึ่งนีน่า และ ลากูน่านั้นทำได้เพียงแค่มองดู เจนัสถูกซ้อม
ขณะที่ อธิบายอยู่นั่นเอง เจนัสก็อาศัยช่วงจังหวะที่เครสเซนท์ หยุดรอเขาดาบกลับมา
นั้น ลุกขึ้นมาและพุ่งเข้าใส่แต่ทว่าทันทีที่ เขาดาบถูกประกบติดกับเกราะแล้วนั้น

ด้วงตัวใหม่ซึ่งเป็นด้วงสีน้ำตาลบุษราคัม (Topaz Beetle) ก็บินออกมาจากกลุ่ม และเข้าไปเครสเซนท์ได้ก่อนเจนัสเพียงชั่วพริบตา
 ชุดเกราะก็ถูกเปลี่ยนอีกครั้งโดยคราวนี้กลับไปอยู่ในรูปของเกราะที่ดูเทอะทะซึ่ง
เป็นชุดเดียวกันกับ รูบี้ฟอร์ม เพียงแต่คราวนี้เป็นสีน้ำตาล



“ Change Topaz Form ”
สิ้นเสียง หมัดของเจนัสก็กระแทกเข้ากับเกราะเต็มแรง ทว่าตัวของเครสเซนท์นั้นกลับ
ขยับเลยสักนิดกลายเป็นว่าตัวของเขาเอง แทบจะต้องสั่นสะท้านกับแรงสะท้อน
ที่เด้งกลับใส่ร่าง

“ นี่ก็คงฟอร์ม ที่มีพลังป้องกันเป็นเลิศอีกสิ ”
ลากูน่าประชดขณะที่ คอยเอี้ยวตัวหลบดาบของกาโรห์ที่ไล่ตวัดใส่เขาไม่หยุดหย่อน

“ โฮ่ถูกเผงเลย ช่างสังเกตดีนี่ งั้นข้าจะบอกอะไรเพิ่มเติมให้  การเปลี่ยนรูปแบบในแต่ละครั้งนั้น ตอนนี้มีอยู่สองรูปแบบใหญ่ๆ หนึ่งก็คือร่างที่ปราดเปรียว และรวดเร็วอันเป็นพื้นฐานของเอเมรอล และ แซฟไฟร์นั้น
จะมีรูปร่างแบบเดียวกัน ต่างกันแค่สีกับพลังที่ได้รับ เช่นกัน รูบี้กับโทแพส นั้นก็ใช้ร่างที่เทอะทะและมีพลังมาก
เป็นหลัก เช่นกัน หรือกล่าวคือ จะสังเกตได้จากเขาของด้วงแต่ละตัว หากมีเขาเดียวชุดเกราะก็จะเป็น ชนิดเขายาว(Long Horn Type) และ เขาคู่นั้นก็คือชนิดเขากันไกร (Scissors Horn Type) ยังไงล่ะ ”
นักประดิษฐ์กล่าวไม่หยุดปาก ด้วยความเมามันส์ กับการอธิบายความสามารถของผลงานตน

ทำเอาเซอร์เซสเอือมระอากับ ความช่างพูดของนักประดิษฐ์ในขณะที่สมาธินั้นยังคงอยู่กับนีน่า
ซึ่งนางเองก็ถูกต้อน จากการซัดคลื่นเวทย์มน รัวใส่ไม่ยั้ง
โดยนางพยายามยิงสวนกลับ แต่ทว่ากระสุนก็เข้าไม่ถึงตัว เพราะมีเกราะมนตรากั้นขวางเอาไว้ทุกครั้ง

ด้านเจนัสนั้น พยายามจะหาทางต่อกรกับชุดเกราะกลายร่างของเครสเซนท์ ที่ได้รับการเสริมพลังป้องกัน
ทุกวิถีทางแต่ไม่ว่าจะ โจมตีใส่ยังไงแรงที่กระทำไปก็สะท้อนกลับใส่ จนเริ่มอ่อนแรง
วินาทีนั้น เจนัสจึงคิดที่กลายร่างจำแลงเป็นสมิง จึงถอยออกมาตั้งหลัก ก่อนจะกระเสื้อยืดซึ่งขาดวิ่นไปหมดออก

และเริ่มเร่งพลังมนตราจนเกิดควันสีดำพวยพุ่งออกมาปกคลุมร่างเอาไว้ ซึ่งเครสเซนท์ที่
เห็นดังนั้นจึงเรียกด้วงมาใหม่อีกตัวจากกลุ่มแสงของด้วงซึ่งเหลือแสงสีดำกับแสงสีขาวที่บินไล่กันอยู่
แสงสีขาวบินเข้าไปหาเขา มันเป็นด้วงสีทองเหลือง สะท้อนกับแสงจนเกิดประกายแสงขาว

มันคือด้วงสีทองอำพัน(Amber Beetle) ทันทีที่เครสเซนท์คว้ามันไว้ เจนัสในร่าง
ของสมิงหมาป่าแสงจันทร์(Moonshine Werewolf )ก็พุ่งเข้าตวัดกรงเล็บใส่
อย่างรวดเร็วแต่ทว่า ด้วงสีทองอำพันก็ได้รวมร่างเข้ากับชุเกราะเป็นที่เรียบร้อยเสียแล้ว



“ Set Up ”
เสียงทุ้มแหลงดังขึ้นพร้อมกับที่ชุดเกราะเริ่มเปลี่ยนรูปอีกครั้งโดยคราวนี้
กลับไปอยู่ใน ชุดปราดเปรียว ซึ่งก็คือรูปแบบ Long Horn Type (ขอใช้ภาษา Eng ละกัน เรียกชื่อไทยมันกระดากปากยังไงไม่รุ) เพียงแต่ครั้งนี้เป็นสีทองเหลือง เขารีบยกทวนยาวที่ข้อมือขึ้นมา กันการโจมตีของเจนัส

พร้อมกับที่ตวัดทวนออกอย่างแรงจนเจนัสเสียหลักเซไปมา ไม่ทันไรเจนัสก็ถูกทวนของ
ชุดเกราะซึ่งเรืองแสงเสียบทะลุลึกลงไปยังสีข้างของเขา ก่อนที่เครสเซนท์จะปลดข้อทวนออกให้ฝังคาอยู่กับร่างของเจนัส ไม่นานนักทวนแสงก็จมลึกลงไปในร่างแต่โดยไม่เกิดบาดแผลขึ้น เจนัสเองก็ไม่รับบาดเจ็บหรือเจ็บปวดอะไรแต่อย่างใด จึงได้แต่ตีหน้าสงสัยกับการโจมตีนี้ ทว่าไม่นานนักเขาก็ได้รู้ว่ามันคืออะไร

ควันสีดำพวยออกมาจาร่างของเขาพร้อมกับแรงดันพลังเวทย์ที่ลดลง อย่างกระทันหัน เขากลับร่างเป็นครึ่งสมิงตามเดิมแล้ว

“ Change Amber Form ”
เสียงทุ้มแหลมดังสวนขึ้นมาหลังจากที่เจนัสทรุดตัวล้มลงขุกเข่าด้วยความอ่อนแรง
ทำเอานีน่าและลากูน่า เสียขวัญไปทันที

“ นั่นก็คือ ความสามารถในการผนึกพลังของศัตรู ซึ่งเป็นพลังของแอมเบอร์ฟอร์ม นี้ยังไงล่ะ
ตอนนี้เจ้านั่นถูกผนึกความสามารถในการแปลงเป็นสมิงไปแล้วแต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น ”
 นักประดิษฐ์อธิบายขณะที่ยิ้มเยาะด้วยงความหยิ่งผยอง

“ แค่ชั่วคราวก็พอแล้ว เพราะข้าจะส่งมันลงนรกด้วยฟอาร์มถัดไปนี้ล่ะ ไม่ต้องถึง
กับใช้ระดับแอกเตอร์ขั้นสมบูรณ์หรอก ”
เครสเซนท์กล่าวจบก็ยื่นมืออกไปรับแสงสีดำที่ ทะยานเข้ามาหา มันเป็นตัวด้วงสีดำนิลแร่เหล็ก
(Hematite Beetle)



“ Set Up ”
เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นพร้อมกับ ด้วงสีนิลบิดเกลียวเป็นเศษส่วน เข้าสู่ชุดเกราะก่อนจะเปลี่ยนรูปกลับไปอยู่ใน
แบบ Scissors Horn Type อีกครั้งโดยมีกายเป็นสีดำ

“ Change Hematite Form ”
เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นพร้อมกับที่ เครสเซนท์ยกแขนกลขึ้นกุมหัวของเจนัสและยกร่างของ
เขาขึ้นมาทั้งอย่างนั้น โดยที่ไม่อาจโต้ตอบได้


“ ฟอร์มนี้มีพลังเด่นในการโจมตีจิตใจ และบั่นทอนพลังของศัตรู ที่จริงข้าจะบีบ
หัวแกให้แหลกคามือเสียตอนนี้ก็ย่อมได้แต่ก่อนตายข้าจะให้แกได้ ทุกทรมานกับความทรงจำของแกก่อนตาย ”
เครสเซนท์กล่าวจบ ภาพความทรงจำของเจนัสก็เริ่มที่จะย้อนขึ้นมาทำร้าย
ความทรงจำที่ทุกทรมานยิ่งกว่าใดนั้นได้หวนขึ้นมา ทั้งตอนที่แอสต้าตายและการสูญเสียครอบครัวของเขา

ทุกอย่างแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่ง ความทรงจำหนึ่งได้แล่นผ่านเข้ามา ท่ามกลางกองเพลิงและซากปรัก
เด็กชายครึ่งสมิงซึ่งยืนหันหลังให้เขาอยู่ท่ามกลางกองเพลิงนั้น และเด็กหญิงครึ่งสมิงที่ ขุกเข่าร้องไห้อยู่ต่อหน้าครึ่งสมิงเด็กชาย ภาพความทรงจำนี้ ทำให้อารมณ์ของเขาครุกรุ่นขึ้นมาทันที

เจนัสกำมือแน่นเสียจนข้อซีดขาวไป พร้อมกับขบกรามแน่นด้วยความเกรี้ยวกราด จิตสังหารและแรงโทสะ
ที่พุ่งผล่าน อกมาจนสัมผัสได้ ทำเอาทุกคนแทบจะหยุดนิ่งไปทันที  ไม่นานนักเจนัสก็ยกมือขึ้น
กุมข้อแขนกลของเครสเซนท์ ที่กุมหัวเขาเอาไว้อยู่

“ นี่แก… ”
เครสเซนท์อุทานด้วยความตะลึงเพราะแขนกลที่เขาใช้อยู่ตอนนี้เริ่มจะปริ ร้าวออก จากแรงกุมของเจนัส
ซึ่งเจนัสเองแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย

“ ใช่..การโจมตีจิตใจด้วยอดีตที่รันทดน่ะมันอาจจะใช้กับคนอื่นได้และกับชั้นก็ด้วยแต่ไอ้ความทรงจำ
ที่ไม่ควรไปขุดมันขึ้นมาแกกลับทำให้มันผุดขึ้นมาซะได้ กรอดดด…จะไม่ปล่อยให้ทำตามใจชอบอีกแล้ว ”
เจนัสกล่าวขณะที่ขบกรามกรอดๆ ด้วยความโกรธ ก่อนจะออกแรงบีบจนเกราะแขนกลที่เครสเซนท์สวมอยู่
ระเบิดแตกออก

“ อ็าคคคค…นี่แก ”
เครสเซนท์ ร้องด้วยความเจ็บปวดขณะที่ชักแขนกลับมาเกราะแขนของเขาถูกทำลายไปข้างหนึ่งแล้ว
แต่ เจนัส เองก็ยังไม่ยอมหยุด เขาเดินเข้าไปซัดเครสเซนท์ อย่างรุนแรงเสียสองสามหมัดก่อนจะ
เตะทิ้งจนเกลือกลิ้งไปกับพื้นหิมะ

นีน่า และลากูน่าที่ได้เห็น ท่าทีของเจนัสนั้นถึงกับนิ่งอึ้งไม่ไหวติ่ง ซึ่งก็พอๆกับเซอร์เซสที่
ยืนตาค้างด้วยความตะลึง ทว่านักประดิษฐ์กับหัวเราะออกมา สร้างความประหลาดใจแกพวกเขายิ่งนัก

“ หึหึหึ ทีแรกนึกว่าจะไม่ได้เห็นขั้นสมบูรณ์ของแอกเตอร์นี้แล้วเสียอีก แต่ต้องขอบใจเจ้าจริงๆเอาล่ะเครสเซนท์
ใช้มันซะ แอกเตอร์ขั้นสมบูรณ์นั่นน่ะ ”
นักประดิษฐ์กล่าวจบ เครสเซนท์ก็ยันตัวลุกขึ้นมา

“ Push Off ”
“ Exchange Giga Mode ”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากชุดเกราะก่อนที่ชิ้นส่วนทุกชิ้นจะ ประกอบเข้ากันกลับคืนสู่ ชุดเกราะร่างก่อนที่
ใช้ตัวด้วงในการเปลี่ยนร่าง พร้อมกับที่ตัวด้วงทั้งหก พุ่งผ่านออกมาจากร่างของเขา และกลับไปบินวน
กันอีกครั้ง

“ เอาล่ะจงรวมตัวกันเป็นขั้นสมบูรณ์เสียแอกเตอร์ Insect Type ”
นักประดิษฐ์กล่าวจบ เหล่าตัวด้วงทั้งหกก็ บินวนทะยานเข้าหากันกลางอากาศ
ก่อนจะรวมตัวกันกลายเป็นด้วงตัวใหม่มันเป็น ด้วงสีดำสนิทมีขาแขนเหมือนกับมนุษย์
และมี จงอย ที่แขนทั้งสองข้าง ตัวมันมีขนาดเพียงเท่าฝ่ามือ เหมือนกับด้วงตัวอื่นๆแต่มันก็คือด้วง
หินเหล็กไฟ (Obsidian Beetle) ขนาดย่อส่วนและยังเป็นจักรกลอีกด้วย



มันบินเข้าไปหาเครสเซนท์ ก่อนจะบิดเกลียวกลายเป็นเศษๆเหมือนกับที่แล้วมา
และแทรกเข้ากับตัวเกราะทันที

“ Set up ”
เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นมาจากเข็มขัดอีกครั้ง พร้อมกับเขาดาบที่พับเก็บไว้ที่ส่วนหัว
ถูกชักออกและเขาเล็กๆที่เกราะไหล่ทั้งสองข้าง จะยกตัวออกมาพร้อม
กับประกบติดเป็นเกราะหมวกส่วนใหม่และเลื่อนย้ายไปอยู่ใกล้กับเขาดาบ จนแลดู
เป็นสามเขา ก่อนที่เขาทั้งสองจะเปลี่ยนเป็นใบดาบไป พร้อมๆกับที่ชิ้นส่วนเกราะส่วนอื่นเริ่ม
ประกบติดกันใหม่อีกครั้ง

“ Change Obsidian Form ”
เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นพร้อมกับฟอร์มใหม่ที่ ปรากฏแก่สายตาของพวกเขา
ชุดเกราะได้เปลี่ยน ไปในครั้งนี้มีรูปร่างที่ปราดเปรียวแม้จะดูเทอะทะไปบ้างเกราะที่ข้อแขน
ติดใบดาบยื่นออกมา ทั้งสองข้างตัวเกราะเป็นสีดำ



“ นี่คือแอกเตอร์ที่อยู่ในขั้นสมบูรณ์แล้วมันคือฟอร์ม ที่มีแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาฟอร์มทั้งหกฟอร์ม ก่อนนี้
ชื่อของมันคือ ออบซิเดียนฟอร์ม(Obsidian Form) ”
นักประดิษฐ์กล่าวด้วยความลิงโลดขณะที่ ปรบมือไปด้วยความพอ อกพอใจกับ
ผลงานของตน ในขณะที่เจนัสเองก็ไม่รอ ให้อีกฝ่ายบุกก่อนเหมือนอย่างที่ผ่านมา
จึงเป็นฝ่ายบุกเข้าไปเอง หมัดรวมเวทย์ของเขาถูกชกนำออกไปแต่ทว่า..


Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #218 on: July 13, 2008, 06:45:05 PM »

“ Time Walk ”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากตัวเกราะก่อนที่เครสเซนท์จะหายไป จากตรงหน้าเขา
หมัดของเขาชกพลาดไป ทำให้เซจนเสียหลัก ทว่าเพียงชั่วพริบตาเครสเซนท์
ก็ไปโผล่ข้างหลังเขา ทันทีที่เขาจะหันกลับมา โลหิตสีแดงฉานก็พุ่งพรวด
ออกมาจากบาดแผลที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“ ตั้ง…แต่เมื่อ..อึก ”
เจนัสครวณไม่ทันจบประโยคก็ทรุดล้มลงไป จากพิษบาดแผล

“ นี่มันเคลื่อนย้ายพริบตางั้นเหรอ ”
นีน่าอุทาน

“ ไม่..ไม่ใช่นั่นมันไม่ใช่ทั้งการเคลื่อนย้ายพริบตาหรือเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงเลยแต่ว่า…มันเหมือนกับว่า
หายไปในชั่วพริบตาน่ะ ”
ลากูน่ากล่าวโดยที่ไม่สามารถอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้


“ ถูกของแกมันไม่ใช่ทั้งการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงหรืออะไรเลย แต่มันเป็นการเดินทางในห้วงเวลาอย่างอิสระ
หรือจะพูดให้ถูกก็คือ การเคลื่อนไหวเหนือกาลเวลายังไงล่ะ เพราะฉะนั้นหากไม่ตามเข้าไปในห้วงเวลาเดียวกัน
ก็ไม่มีทางรับมือการโจมตีเหล่านั้นได้หรอก ”
นักประดิษฐ์แก้ให้พวกเขาฟังซึ่งทั้งสองที่ได้ยินคำตอบนั้นก็ถึงกับ นิ่งอึ้งไปทันที

“ ช่างเป็นพลังที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ”
เซอร์เซสเปรยขึ้นด้วยความทึ่ง ซึ่งกาโรห์เองก็ไม่อาจกล่าวอะไรออกมาได้เพราะ
สายตายังคงจับจ้องภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
เครสเซนท์ เดินเข้าไปหาเจนัสที่ขุกเข่าอยู่กับพื้น ก่อนจะเอาใบดาบไปวางประทับไว้กับบ่าของเขา

“ ได้เวลาตายแล้วเพื่อนเอ๋ย….หึหึหึ ”
เครสเซนท์กล่าวอย่างมีชัย ในขณะที่อีกด้านของจิตใจซึ่งก็คือริคุนั้นกำลังพยายาม
จะออกมาด้านหน้าให้ได้เพื่อหยุดการ กระทำของอีกจิตใจ แต่ทว่าก็ไม่อาจสู้กับพลัง
จิตของจิตใจอีกด้านได้

“ อย่านะแกจะฆ่าเค้าไม่ได้… ”
เสียงของริคุดังขึ้นมาในใจของเครสเซนท์ พวกเขาทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ภายในจิตใจ
ของตน

“ อย่ามาขวางข้าซะให้ยากเลย อย่างเจ้าไม่มีทางหยุดข้าได้หรอก ”
เสียงของเครสเซนท์ดังก้องขึ้นในใจ เพื่ตอบโต้กับ อีกจิตใจ
ก่อนที่เขาจะรีบรัดรวบ ออกแรงกดใบดาบลง เพื่อให้จบเรื่องไปนั้น

“ Push Off ”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากด้านบน ทำให้เขาชะงักหันขึ้นไปมองด้วยความสงสัย
ชิ้นส่วนชุดเกราะจำนวนมากปลิวกระเด็นตกลงมา ใส่เขาจนต้องหลบลี้หนีออก

“ ไม่เป็นไรใช่มั้ยเจ้าหนู ”
เมทาไนท์ที่กระโจนลงมาในสภาพที่ไม่ได้สวมเกราะถาม แต่เจนัสเองก็
ล้าเกินกว่าจะตอบคำถามของเขาแล้ว

“ แก..เจ้าเด็กที่โขมยเข็มขัดอีกเส้นไปแก..อ่ะ ”
นักประดิษฐ์สบถขึ้นก่อนจะหยุดไปกลางคันเพราะ ความรู้สึกว่ามือที่ถือกรงซึ่งขัง
ชะตาแห่งแสงเอาไว้มันเบาขึ้น เขาจึงยกมันขึ้นมาดู ก่อนจะหน้าถอดสีด้วยความวิตก
 เพราะบัดนี้กรงได้ถูกผ่าจนขาดท่อน พร้อมกับชะตาแห่งแสงได้อันตธานหายไปด้วยกันนั้นเลย

ก่อนที่นักประดิษฐ์จะได้ทันหันไปสังเกตว่า ที่เกาะไหล่ของเมทาไนท์อยู่ ก็คือเจ้าแมวสีขาวที่เป็นชะตาแห่งแสง
ซึ่งหายไปจากกรงนั่นเอง

“ นี่แกเอาไปตั้งแต่ตอนไหนกัน ”
นักประดิษฐ์ กล่าวเสียงกร้าวซึ่งเมทาไนท์เองก็แอบแสยะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
ก่อนจะปลดเอาเข็มขัดจักรกลที่สวมอยู่ส่งให้เจนัส

“ สวมซะไม่มีเวลาอธิบายแล้ว ”
เมทาไนท์กล่าวทันทีที่เจนัสรับมาสวมไว้เมทาไนท์ก็ควักเอาผลึกสีขาวปลอด
ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและส่งให้เจ้าแมวขาวซึ่งเป็นชะตาแห่งแสง

“ เอาล่ะช่วยหน่อยนะชะตาแห่งแสง ”
เขากล่าวกับมัน ซึ่งมันเองก็ยอมทำตามแต่โดยดีราวกับจะตอบแทนที่ช่วยมันออกมา
ตัวของมันเรืองแสงขึ้นก่อนที่ละอองแสงจากตัวของมันจะเข้ารวมอัดกับผลึก จนหมด
ทันทีที่ตัวของมันหยุดเรืองแสง มันก็ทะยานบินขึ้นหายลับไปในขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว
ทิ้งให้นักประดิษฐ์ยืนจ้องตาค้างโดยที่ทำอะไรไม่ได้

ส่วนผลึกที่เมทาไนท์ถือเอาไว้นั้นก็พุ่งทะยานออกจากมือของเขาก่อน
หายลับไปบนฟากฟ้า เขาจึงหันกลับไปหาเจนัส

“ เอาล่ะทีนี้เธอก็จะมีพลังพอที่จะต่อกรกับมันแล้วที่เหลือชั้นคงไม่ต้องอธิบายนะ ”
เมทาไนท์กล่าวจบก็พุ่งตัวออกไปตวัดดาบใส่เซอร์เซส ทันทีโดยปล่อยเขาทิ้งไว้กับเครสเซนท์
และนักประดิษฐ์ในขณะที่ลากูน่าเอง ก็ยังคงรับมือกับกาโรห์อยู่ส่วนนีน่า
ทันทีที่ได้เมทาไนท์มาช่วย สกัดเซอร์เซสไว้ให้นางก็สามารถบรรจุ
กระสุนเพื่อยิงต่อได้ ทำให้เซอร์เซสเริ่มจะต้องตก เป็นฝ่ายรับบ้างแล้ว


“ เชอะ…ทำเอาใจหายหมด สุดท้ายก็ไม่มีใครช่วยแกได้สินะ ”
เครสเซสนท์หันมากล่าวกับเขาก่อนจะต้องเบิกตากว้าง
เมื่อเจนัสลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้งทั้งที่ไม่น่าจะมีแรงเหลือแล้ว

“ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยทั้งนั้นเพราะชั้นได้พลังมาไว้ในครอบครองแล้ว ”
เจนัสกล่าวจบก็เอามือบิดสลักด้านข้างให้ตั้งขึ้นแบบเดียวกับที่เครสเซนท์ทำ

“ Set Up ”
เสียงทุ้มแหลมยานคางดังออกมาจาก เข็มขัด พร้อมกับชิ้นส่วน เกราะที่ปรากฏขึ้นมารอบตัวเขา
ก่อนจะประกอบเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นชุดแบบเดียวกับที่เครสเซนท์สวมก่อนจะใช้แอกเตอร์

“ Exchange Giga Mode ”
เสียงทุ้มแหลมยานคางดังขึ้นจากตัวเกราะ ก่อนที่ จะมีแสงสีขาวพุ่งทะยานลงมาจาก
ฟ้าตรงจุดเดียวกับที่ผลึก แสงนั้นหายไป แสงนั้นพุ่งลงมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา
ก่อนจะจางลงจนเห็นได้ชัดในร่างของ หมาป่าสีขาวขนาดเล็กขนของมันเป็นโลหะสะท้อนกับแสงตะวัน
ระยิบระยับดวงตาเรืองแสงจ้า เขี้ยวใสประดุจเพชร มันมีรูปร่างเหมือนกับ หมาป่าขาว(Hoary Wolf)
เมื่อเจนัสยื่นมืออกมามันก็กระโดดขึ้นไปอยู่ บนฝ่ามือของเขา



“ Set Up ”
เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นก่อนที่เจ้าหมาป่าโลหะตัวนี้ จะบิดเกลียวเป็นเศษเช่นเดียวกับที่เหล่าตัวด้วง
เคยทำ เศษชิ้นส่วนนั้นแทรกชึมเข้าไปในเกราะและเปลี่ยนสีของชุดเกราะเป็นสีขาวปรอด
หนามแหลมที่เกราะไหล่ทั้งสองข้างหดตัวเข้าไปในเกราะก่อนจะยื่นเอาใบโลหะชื้นเรียวยาวออกมา

ส่วนเกราะไหล่นั้นก็เลื่อนตัวขึ้นไปประกบเข้ากับ เกราะหมวก เขาใบดาบที่พับเก็บไว้ถูกเลื่อนไปด้านหลัง
ทำให้เกราะหมวกนั้นเปิดส่วนล่างของหมวกอ้าขึ้นมา ก่อนจะประกบชิ้นกันใหม่จนแลดู
เป็นหัวสุนัข เช่นเดียวกับส่วนอื่อนๆของเกราะที่เริ่มย้ายส่วนและประกอบกันใหม่

“ Change Hoary Form ”
เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นพร้อมกับที่ชุดเกราะประกอบตัวกันใหม่เสร็จสิ้น
ที่ข้อมือนั้นถูกประกบด้วยเกราะแขนซึ่งที่ปลายข้อนั้นมี สนับเหล็กอ้าค้างไว้อยู่
บัดนี้เจนัสเองก็ได้ใช้ระบบแอกเตอร์ เปลี่ยนร่างของตนให้มีพลังทัดเทียมกันกับเครสเซนท์
ขึ้นมาแล้ว



“ นี่มัน แอกเตอร์ขั้นสมบูรณ์ ฮอลี่ฟอร์มที่มีพลังทัดเทียมกับออบซิเดียน ”
นักประดิษฐ์อุทานขึ้นก่อนที่ทั้งสองจะเข้าประจันหน้ากัน

“ Time Walk ”
สิ้นเสียงจากชุดเกราะของทั้งสองที่ดังขึ้นพร้อมกัน
การเคลื่อนไหวรอบๆ ทั้งหมดของพวกเขาทั้งสองคนก็ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า
จนราวกับหยุดนิ่ง  มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น ที่ยังคงขยับได้อย่างเป็นปกติ
นี่มิได้เป็นเพราะ เวลารอบข้างนั้นหยุดลง หากแต่เป็นพวกเขาที่ได้ก้าวข้ามขีดจำกัด
แห่งกาลเวลาจนสามารถที่จะเคลื่อนที่ได้เหนือกระแสเวลาแล้ว สนับเหล็กที่ข้อมือของเจนัสซึ่ง
เปิดอ้าเอาไว้นั้นบัดนี้ ได้เลื่อนลงประกบเข้ากับหมัด ของเขาเป็นที่เรียบร้อย

ก่อนที่การปะทะกันจะเกิดขึ้นโดยที่ พวกเขาทั้งคู่สูสีกันมาก
หมัดของเจนัสที่ชกออกไปในแต่ล่ะครั้งนั้นแหวกอากาศด้วยความเร็วสูง จากการเคลื่อนไหวเหนือกระแสเวลา
ซึ่งไม่ต่างจากใบดาบของเครสเซนท์เท่าไหร่นักเพราะต่างก็ต้องแหวกฝ่าแรงดันอากาศ
เพื่อ ซัดอาวุธใส่อีกฝ่าย ซึ่งมันทำให้พวกเขาเสียพลังงานเป็นอย่างยิ่ง

เครสเซนท์ฟาดดาบใส่เจนัสอย่างไม่ลดละ แต่ทว่าแม้จะฟันมา กี่ครั้งก็ตาม
เจนัสก็จะหลบและปัดการโจมตีนั้นทิ้งก่อนจะชกสวนกลับไป แต่ก็ชนเข้ากับใบดาบอีกเล่มของเครสเซนท์
ที่ยกขึ้นมาปัดป้องไว้ ทั้งสองฝ่ายยังคงผลัดกันรุกและรับโดยที่ ในห้วงเวลาจริงตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นการต่อสู้ของพวกเขาเป็นเพียงแสงที่ วิ่งตวัดไปมา และผลุบๆโผล่ๆ ไปทั่ว

จนเมื่อเวลาล่วงเลยไป 3 นาที ในห้วงเวลาจริง ในขณะที่ในห้วงเวลาของทั้งสองนั้นราวกับผ่านไปหลายสิบนาทีแล้ว

“ Time Walk ” 
เสียงดังจากชุดเกราะของพวกเขาอีกครั้งก่อนที่ ทุกอย่างรอบตัวพวกเขาจะกลับมาเคลื่อนไหวตามเดิม
บัดนี้พวกเขาได้กลับสู่ห้วงเวลาปกติแล้ว ทั้งสองต่างเหนื่อยหอบกับการต่อสู้ในอีกห้วงเวลา
ทั้งนี้เพราะการต่อสู้โดยต้องรักษา สภาพเหนือกาลเวลาเอาไว้นั้นจำเป็นต้องใช้พลังมหาศาล

จึงดึงเอาไว้ได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นก็จะหมดพลังไปเอง แต่แม้ว่าพวกเขาจะเหนื่อยล้า
เพียงใดทั้งคู่ ก็ยังคง เข้าปะทะกันอย่างลดละความพยายาม
จนในที่สุดเมื่อ แรงของทั้งคู่เริ่มหย่อนลง การหลบหลีกจึงไม่เกิดขึ้นทั้งคู่ต่างผลัดกันรับ
การโจมตี หากแต่ความเสียหายที่ได้รับนั้น เกราะที่พวกเขาสวมก็ได้รับมันไว้จนถึงขีดสุด
แล้ว

“ Mega Punch ”
เสียงทุ้มต่ำดังออกมาจากชุดเกราะของเจนัส พร้อมกับที่ส่วนตาของหัวเกราะจะเรืองแสงขึ้นมาเพียวแวบเดียว
กับแรงดันไฟฟ้าที่ไหลจากส่วนหัวลงไปยัง ส่วนของสนับมือขวา เจนัสชกมันออกไปทั้งอย่างนั้น
แรงปะทะจากหมัดบวกด้วยแรงดันไฟฟ้า ที่ไหลมารวมกันทำให้เกิดแรงระเบิดพุ่งทะยาน

สู่ร่างของเครสเซนท์ ซึ่งเขาเองก็ได้เตรียมการตั้งรับไว้แล้ว

“ Mega Slash ”
เสียงทุ้มแหลมดังขึ้น ก่อนที่จะเกิดไฟฟ้าสถิตขึ้นระหว่างเขาทั้งสาม จนเกิดเป็นแรงดันไฟฟ้า
ไหลไปที่ใบดาบทั้งสองข้าง เครสเซนท์จึงตวัดฟันมันออกมาทั้งอย่างนั้น แรงดันไฟฟ้าที่
พุ่งออกไปตามแรงตวัดนั้นก่อตัวเป็นคลื่นพลังงาน เสี้ยวโค้ง ตัดกันเป็นกากบาท

พลังงานทังสองเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดแสงจ้าไปทั่วก่อนจะค่อยๆสลายตัวไป

“ Time Walk ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกันอีกครั้งก่อนที่ทั้งคู่จะหายไปจากตรงนั้นและ เกิดแสงตวัดไปมารอบๆอันเกิดจากการ
ต่อสูกันด้วยความเร็วเหนือกระแสเวลา

“ ทำไม…ทำไมแกถึงได้ไล่ตามข้ามาทันตลอดเลย ”
เครสเซนท์กล่าวออกมาขณะที่ยังคงยกดาบปัดป้องการโจมตี โดยสวนกลับด้วยใบดาบที่อีกมือ
ตลอดเวลา เจนัสที่ได้ยินดังนั้นก็ นึกสงสัยขึ้นมา แต่ก็ไม่มีเวลาจะมานั่งคิด
คลื่นดาบแรงดันไฟฟ้าได้พุ่งตรงมาหาเขาแล้ว ซึ่งแม้จะเฉียดฉิวไปบ้างแต่ เขาก็สะสมพลังงานได้พอที่

ใช้หมัดแรงดันไฟฟ้า สวนการโจมตีออกไปได้ในที่สุด ทั้งคู่ต่างถอยผงะออกจากกัน

“ ข้าอุตส่าทิ้งห่างแกมาด้วยพลังเท่าที่จะหาได้แล้วแท้ๆแต่แกก็ยังตามทันข้าได้อยู่ดีมันเพราะอะไรกัน ”
เครสเซนท์กล่าวจบก็พุ่งทะยานเข้าลงดาบใส่เจนัสโดยไม่เป็นโอกาสให้เขาคิดเลย

“ ทำไม..อะไรคือแรงผลักดันให้แกตามข้ามาทันตลอด.. ”
เครสเซนท์กล่าวขณะที่ฟันดาบลงไปแต่เจนัสก็ยกแขนขึ้นรับไว้ทัน ซึ่งเครสเซนท์เองก็กะเอาไว้แล้ว
ทันทีที่เจนัสชกสวนออกมาเขาจึงหมุนตัว หลบไปด้านหลังของเจนัส พร้อม
กับอาศัยแรงเหวี่ยงช่วยส่งมือออกไปฟันใส่ แต่เจนัสก็ก้นตัวหลบไปได้ก่อนจะ

เด้งตัวกลับเข้าไปกระแทกใส่หน้าของเครสเซนท์อย่างจัง เสียงเกราะกระทบกันดังเกร้งกร้าง สนั่นไป
ทั้งหัวของเครสเซนท์ ทำเอาเขามึนไปบ้าง ทว่าเจนัสก็ใช้จังหวะนี้ สะสมแรงดันไฟฟ้าทันที

“ Mega Punch ”
สิ้นเสียงทุ้มต่ำที่ดังออกจากชุดเกราะ เจนัสก็ชกหมัดซึ่งสะสมแรงดันไฟฟ้า
เข้าไปที่ลำตัวของเครสเซนท์อย่างจังจนกลิ้งกระเด็นไปตามพื้น ก่อนที่จะยันตัว
ลุกขึ้นมาทันทีโดยที่เอามือกุมหน้าอก ก่อนจะสำลักจากอาการจุก
หมัดที่เจนัสซัดเข้าไปเมื่อครู่ทำเอากระดูกซี่โครงของเขาแทบจะหักสลาย
หากไม่มีชุดเกราะนี้อยู่ เขาคงตายไปแล้ว เกราะลำตัวบริเวณที่ถูกชกไปนั้น
เริ่มมีรอยร้าวเกิดขึ้น

ส่วนเกราะของเจนัสเองก็มีร่องรอยความเสียหายจากการถูกฟันอยู่ไม่น้อย

“ เมื่อกี้ แกถามใช่ไหมว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้ชั้นต้องดั้นด้นมาสู้กับแกด้วย..คำตอบก็คือเพื่อช่วยเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมากับชั้นที่แกสิงร่างเขาอยู่ไงล่ะ ”
เจนัสกล่าวพร้อมกับชี้หน้าเขา สายตาส่องประกายความมุ่งมั่นเต็มที่


“ เพื่อเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมางั้นรึ..อึก ”
เครสเซนท์ย้อนก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืน โดยที่ยังเซไปมาจากอาการบาดเจ็บอยู่
บ้างแต่เขาก็กัดฟันทนฝืนพูดออกไป

“ งั้นขอข้าดูหน่อยละกันพลังที่แกขุนมาเพื่อจะช่วยจิตของเพื่อนแกน่ะ ”
เครสเซนท์กล่าว เขาก็ยกใบดาบขึ้นไขว้กัน ทันทีที่ใบดาบสีถูกกัน
ด้ามดาบที่เป็นปลอกแขนก็ปล่อยไอน้ำสีขาวออกมาตามร่องของปลอกแขน

“ Hyper Blade Dance ”
เสียงทุ้มแหลมดังออกมาจากชุดเกราะของเครสเซนท์ พร้อมกับ เขาทั้งสามที่ส่วนหัวเรืองแสงขึ้นพร้อมๆกับใบดาบที่เปล่งรัศมีเต็มที่ในขณะนี้  ดวงตาของชุดเกราะที่ปิดสนิทมีเพียงร่องเล็กให้มองลอดออกมาจนถึงบัดนี้
ได้เบิกออก ดวงตาของมันเป็นส่องประกายแสงแดงฉาน เจนัสที่เห็นดังนั้นจึงเอื้อมมือไปปลดสนับทั้ง
สองข้างที่ประกบอยู่ที่ข้อมือ ให้อ้าขึ้นอีกครั้งก่อนจะประสานมือเข้ากัน

“ Hyper Combo Strike ”
เสียงทุ้มต่ำดังจากเกราะของเขาเช่นกัน ก่อนที่เขาจะแยกมือ ออกจากกันมาตั้งขนานไว้ที่ข้างเอว
พร้อมกับสนับเลื่อนลงมาประกบอีกครั้งกรงเล็บเหล็กที่เกราะขาซึ่งยื่นออกมานั้นกางกว้างขึ้น
สัญลักษญ์ที่เกราะอกเรืองแสงขึ้นมา ในตอนนี้ทั้งคู่เตรียมพร้อมที่
จะปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่แล้ว

บัดนี้การเคลื่อนไหวรอบๆตัวพวกเขาเริ่มจะเดินต่ออีกครั้งแล้ว พวกเขากำลังค่อยๆลดความเร็ว
เหนือกระแสเวลาลงเพื่อกลับสู่เวลาปกติ

“ Time Walk ”
สิ้นเสียงจากชุดเกราะของทั้งสอง เครสเซนท์ก็ตวัดดาบออกพร้อมกับ
หมุนตัวป็นจังหวะร่ายรำ ก่อนจะหยุดเกร็งไปพร้อมกับร่างเงาจำนวนมากมายจะ
พุ่งทะยานออกไป  โดยมีกระบรวนท่าฟันที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่เจนัส

เองก็ชกหมัดทั้งสองข้างออกไปเต็มแรง จนเกิดเป็นคลื่นพลังงาน พุ่งเข้าปะทะกับร่างเงา

จนสลายและเบนออกไป จำนวนหนึ่ง ทันทีที่การปะทะกันของคลื่นพลังหยุดลง
ทั้งสองก็วิ่งเข้าหากัน โดยเครสเซนท์ตวัดใบดาบไปมา ขณะที่เจนัสเมื่อวิ่งมาได้ครึ่งทาง

ก็หยุดเพื่อตั้งท่าเตรียม ทันทีที่เครสเซนท์เข้ามาใกล้ เขาก็กระโดดหมุนหลัง ตวัดขาเตะก้านคออีกฝ่ายทันที
โดยที่กรงเล็บที่เกราะขานั้นกางออกเพื่อจะสร้างความเสียหายให้แก่อีกฝ่ายในขณะที่
ดาบของเครสเซนท์ ถูกใช้เข้ามาปัดป้องลูกเตะในครั้งแรก จนใบดาบหักกระเด็นไปคนละทิศ

ทันทีที่เท้าข้างแรกของเจนัสเหยียบพื้นลูกเตะอีกข้างซึ่งอาศัยแรงเหวี่ยวจากการหมุนตัวเมื่อครู่ก็ยกขึ้นมา
เตะต่อทันที ซึ่งเครสเซนท์เองก็ เตรียมการโจมตีในขั้นสุดท้ายไว้แล้วโดย เอาเขาทั้งสาม
ซึ่งตอนนี้ยังมีแรงดันไฟฟ้า วิ่งอยู่ กระแทกเข้าที่ลำตัวของเจนัส เขาทั้งสามกางออกทันที

และเจาะทะลุเกราะเขาไปถึงเนื้อในเช่นกันกรงเล็บเท้ามที่เจนัสตวัดเตะไป ก็ตวัดหักเอา
เขาส่วนหัวหลุดกระเด็นไปบ้าง ผลันแรงดันไฟฟ้า จากเขาของเครสเซนท์ และแรงดันไฟฟ้าจากกรงเล็บ
ของเจนัสเกิดลัดวงจรขึ้นจนเกิดแรงดันไฟฟ้าไหลไปทั่วร่างของทั้งสอง ทำให้พวกเขาหยุดนิ่งตัวเกร็ง

จากการถูกคลื่นไฟฟ้าตรึงเอาไว้

“ แย่ล่ะสิ….. ดูเหมือนว่าจะใช้งานแอกเตอร์จนเกินขีดจำกัดซะแล้วสิ ”
นักประดิษฐ์กล่าวด้วยความวิตก

“ จากนี้จะเป็นยังไงต่อล่ะ ”
นีน่าถามเมทาไนท์ที่ช่วยสู้ร่วมกันอยู่ ด้วยความกังวล

“ เดิมทีแอกเตอร์พวกนั้นน่ะได้รับพลังชีวตจากชะตาแห่งแสง มาจึงทำให้มันขยับได้
แต่ถ้าเกิดมัน ถูกใช้งานจนเกินขีดจำกัดล่ะก็… ”
เมทาไนท์กล่าวได้ไม่จประโยคดี นักประดิษฐ์ก็แทรกขึ้นมากลางคัน

“ หากพลังงานไม่พอ มันก็จะดึงพลังงานชีวิตของผู้ใช้มา จนกว่ามันจะได้พลังงานพอที่จะปรับสมดุลลงได้
ซึ่งแอกเตอร์หนึ่งตัวก็ต้องใช้พลังชีวิตครึ่งหนึ่งมีสองก็เท่ากับว่า สองคนนั้นคนใดคนนึงจะต้องเสียชีวิต
โดยหากไม่มีใครยอมเสียสละล่ะก็มันก็จะสุ่มเอาชีวิตของใครคนใดไปนั่นล่ะ ”
นักประดิษฐ์กล่าวโดยไม่หยุดหายใจ ในหัวนั้นเอาแต่คิดหาทางรับมือกับสถานการณ์
ในตอนนี้อยู่

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #219 on: July 13, 2008, 06:53:41 PM »

“ นี่แล้วมันแบ่งกันหารพลังชีวิตของใครของมันไม่ได้เหรอ..แบบว่าแบ่งกันเสียคนละครึ่งน่ะ ”
นีน่าหันไปถามด้วยความหวังว่า คำตอบที่ได้รับนั้นจะทำให้พวกขามีหวังขึ้นบ้าง
แต่นักประดิษฐ์กลับส่ายหัวปฏิเสธ

“ ไม่มีทาง..แอกเตอร์ทั้งสองตัวตอนนี้มันกำลัง เชื่อมต่อพลังงานกันอยู่เพื่อที่จะปรับสมดุลพลังงาน
ถ้ามันเชื่อมต่อกันได้และรู้ว่าไม่มีพลังงาน ล่ะก็มันก็จะเลือกหาเอาจากที่เดียวกัน
หรือถ้ามีใครยอมเสียสละจ่ายพลังชีวิตให้ก่อนล่ะก็ แอกเตอร์ทั้งสองตัวก็จะดูดพลังชีวิตจากที่เดียวกันจนหมด ”
นักประดิษฐ์กล่าว คำพูดของเขาทำเอานางใจเสียไปในทันที ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างหยุดนิ่ง
เพื่อจะคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ หากเครสเซนท์ ถูกดึงเอาพลังชีวิตไป
พวกนางก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบทันที แต่หากเจนัสเป็นฝ่ายถูกดึงพลังชีวิตไปซะเอง

พวกเขาก็จะต้องเสียเปรียบทันที
ในตอนนี้ คลื่นไฟฟ้ายังไหลหากันไปมายังร่างของทั้งสองเพื่อที่จะปรับสมดุลพลังงาน
ทั้งสองที่ได้ยินคำพูดจากรอบข้างก็รู้ตัวแล้วว่าจากนี้จะต้องมีใครคนใดอยู่และอีกคนต้องไป

ความกังวล เริ่มเกิดขึ้นในใจของทั้งคู่และจิตของริคุทันที

“ ถ้าแอกเตอร์เลือกที่จะเอาพลังชีวิตของมันล่ะข้าก็ชนะ..แต่ท่าข้าเป็นฝ่ายถูกพรากไปซะเองล่ะก็… ”
เครสเซนท์คิดในใจ ความวิตกเริ่มทำให้จิตใจของเขาหว้าวุ่นไปหมด

“ ถ้าแอกเตอร์เลือกที่จะใช้พลังชีวิตของเรา..ไม่ได้เราจะตายตอนนี้ไม่ได้ แต่ถ้าอย่างนั้นริคุก็ต้องตายแทนเราอีกครั้ง ”
เจนัสคิดขณะที่ความลังเลเริ่มเกิดขึ้นในใจของเขาเช่นกัน ตอนนี้มีทางเลือกสองทงสำหรับเขานั่นคือ
รอต่อไปว่าแอกเตอร์จะเลือกใครและหากมันเลือกเครสเซนท์เขาก็ต้องเสียริคุไปอีกครั้ง
กับอีกทางคือเขายอมเสียสละ เสียเองเพื่อที่ไม่ให้ริคุต้องมาเสียสละแทนเขาอีก

“ ไม่ได้การแล้วถ้าเป็นอย่างนี้ล่ะก็ เจนัสจะถูกดึงเอาพลังชีวิตไปตอนไหนก็ได้ไม่ทางเลือกแล้ว
งั้นเราจะเป็นคนเสียสละเอง… ”
จิตของริคุที่อยู่ในตัวเครสเซนท์คิดก่อนที่จะพยายาม เชื่อมต่อกับอีกจิตให้ได้

ในวินาทีนั้น จากการลัดวงจรของแอกเตอร์พวกมันได้ประสานจิตของ
พวกเขาเข้าด้วยกัน ภายใน มโนจิตนั้น พวกเขาทั้งสามได้สื่อสารกันผ่านทางใจได้

“ ชั้นจะเป็นคนเสียสละเอง ”
เสียงของริคุดังขึ้นใน มโนจิตนั้น

“ อย่านะ…ถ้าจะไปล่ะก็เอาชีวิตชั้นไปแทนดีกว่าชั้นจะไม่ยอมให้นายเสียสละอีกแล้ว ”
 เสียงของเจนัสก็ดังขึ้นในมโนจิตนั้นเช่นกัน ตอนนี้ภาพในมโนจิตของพวกเขา
เริ่มสว่างขึ้นจนมองเห็นรอบๆได้ พวกเขาทั้งสามยืนอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งขาวโพลนไปทั่ว

ไกลออกไปไม่มากนัก ที่นั่น แมลงด้วงออบซิเดียนและหมาป่าขนขาว พวกมันล้มระเนระนาดซ้อนกันอยู่
เหนือพวกมันนั้นมีวงมิติความมืดขนาด ย่อมราวกับหลุมอากาศลอยเคว้งอยู่พวกเขาจ้องมองมัน
ด้วยสนอกสนใจก่อนที่มันจะเค่อยๆขยายตัวขึ้น ซึ่งนั่นได้ทำให้พวกเขาเข้าใจแล้วว่า

ในที่นี้พวกเขาทั้งสามต้องมีคนใดคนหนึ่ง เสียสละจิตของตน
ไม่เช่นนั้นหลุมดำนั่นก็จะค่อยขายไปเรื่อยๆจนกว่าจะ ดูดเอาจิตของใครคนใดคนหนึ่งไปได้
ริคุ ค่อยๆก้าวเท้าออกไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล ทว่าเขาก็ถูกเจนัสวิ่งเข้าไปล็อคตัวเอาไว้

“ อย่านะปล่อยสิเจนัส ”
ริคุกล่าวขณะที่พยายามขัดขืนเจนัส ซึ่งยิ่งเขาดิ้นเจนัสก็ยิ่งต้องออกแรงรัดเขาให้แน่นมากขึ้น

“ ไม่ชั้นจะยอมให้นายต้องเสียสละอีกถ้าจำเป็นล่ะก็ชั้นจะไปเอง ”
เจนัสกล่าวคำพูดของเขานั้นยิ่งทำให้ริคุดิ้นแรงขึ้น

“ ไม่นะชั้นจะไม่ยอมให้นายต้องมาเสียสละเด็ดขาดชั้นจะไปเอง ”
ริคุกล่าวพร้อมกับออกแรงดิ้นให้  มากขึ้น แต่เจนัสเองก็กัดฟันออกแรง
ล็อคตัวเขาจนล้มลงไปทั้งคู่ เครสเซนท์ยืนจ้องมองการกระทำของทั้งคู่นั้น
รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจ

“ เจ้าพวกนั้นทำไมถึงได้ยอมเสียสละเพื่อกันและกันได้ถึงขนาดนี้ ชีวิตของตัวเอง
ไม่สำคัญรึไง พยายามเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อไปตายแทนกันเนี่ยนะ… ”
เครสเซนท์คิดขณะที่เริ่มมองย้นตัวเองที่ผ่านมานั้น ตั้งตัวเขาเองได้ถือกำเนิดขึ้นจาก
จิตใจของริคุ ตลอดมาเขาไม่เคยไว้ใจใคร และไม่อาจเชื่อใจใครได้
ไม่มีเพื่อนที่ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ได้แต่สู้เพียงลำพังมาตลอด

มาถึงตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าทำไมเจนัสถึงได้ไล่ตามเขามาได้ทันตลอด
สิ่งที่เจนัสมีแต่เขาไม่มี เขาได้ค้นพบมันแล้ว ระหว่างนั้นหลุมดำก็ค่อยๆขยาย
ตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เจนัสกับริคุที่ล้มกลิ้งอยู่นั้น ค่อยๆเข้าใกล้หลุมไปทุกทีๆ

“ ไม่มีเวลาแล้วหนีไปเจนัส งั้นเราสองคนจะไม่รอดทั้งคู่นะ ”
ริคุกล่าวขณะที่พยายามยันตัวเจนัสออกไป

“ ไม่..ชั้นจะไปเอง .. ”
เจนัสกล่าวจบก็ยันตัวขึ้นเพื่อที่จะเข้าไปหาหลุมดำ แต่ทว่า ริคุ ก็กระชากคอเสื้อเขาไว้
และเหวี่ยงออกไป แต่เจนัสก็ไม่ยอมจึงออกแรงยื้อเอาไว้ หลุมดำเริ่มเข้าใกล้พวกเขามาเรื่อยๆ

“ เจ้าบ้าพวกนั้น ขืนไม่รีบถอยออกมาเดี๋ยวก็ได้โดนดูดไปทั้งคู่หรอก ”
เครสเซนท์คิด แต่ทว่าทั้งสองก็ตกลงไปในหลุมดำเสียแล้ว ความมืดค่อยๆดูดทั้งสองลงไปต่อหน้าเขา

“ ความเชื่อใจ พวกพ้องเพื่อนนี่มันอะไรกัน หนอย… ”
เครสเซนท์คิดพลางกำหมัดแน่น จนข้อมือซีดขาว ก่อนจะวิ่งออกไปโดยไม่ลังเล
เขาจับมือของทั้งคู่และเหยี่วงขึ้นมาจากหลุม จนกระเด็นไปไกล จากหลุม
ทว่าตัวเขาเอง กลับเป็นฝ่ายตกลงไปในหลุม ซะเอง

ริคุที่ยันตัวขึ้นมาเห็นว่าเครสเซนท์ตกลงไปจึงคิดจะวิ่งเข้าไปช่วยโดยไม่ลังเล

“ อย่าเข้ามานะ ”
เครสเซนท์ตะคอกเสียงใส่ ทำให้เขาหยุดผงะไป
แต่เจนัสที่เห็นนั้นก็ไม่คิดจะทิ้งเขาให้ถูกดูดลงจึงคิดจะเข้าไปช่วย
ทั้งที่เมื่อครู่พวกเขายังเป็นศัตรูกันอยู่ แต่บางอย่างในใจที่ทำให้เขาไม่อาจทื้งเครสเซนท์ไว้ได้
ก็กระตุ้นให้เขาวิ่งไป แต่ก็อีกเช่นกันเครสเซนท์ ก็ออกปากให้เขาหยุดไว้
ซึ่งเขาเองก็หยุดผงะไป แม้อยากจะเข้าไปช่วยก็ตาม

“ ถ้าไม่รีบออกมาล่ะก็แกจะถูกดูดลงไปนะเป็นแบบนั้นน่ะแกยอมได้เหรอ ”
เจนัสกล่าวซึ่งเครสเซนท์ที่ได้ยินคำพูดนั้น แน่นอนว่าเขาเองก็อยาก
จะบอกปฏิเสธไปแต่ทว่าตอนนี้ได้มีบางอย่างเกิดขึ้นในใจของเขา
มันคือความรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ช่วยเหลือพวกเขา

“ ของมันแน่อยู่แล้ว ไม่มีทางเด็ดขาด ”
เครสเซนท์กล่าว
“ ถ้างั้น… ”
ริคุกล่าวขึ้นไม่ทันจะขาดคำเครสเซนท์ก็แทรกขึ้นทันที

“ แต่ตอนนี้เพราะอะไรก็ไม่รู้สิ ข้ากลับไม่มีความคิดแบบนั้นแล้ว หลังจากได้เห็นแกสองคน
แย่งกันไปตายแทน ข้าก็รู้สึกว่าเป็นแบบนี้หล่ะดีแล้วเพราะข้าไม่ได้มีตัวตนอยู่มาตั้งแต่แรกแล้ว
เป็นแค่จิตปีศาจที่ถูก สร้างขึ้นมาให้ควบคุมร่างของแกเท่านั้นล่ะ ”
เครสเซนท์กล่าวขณะที่ร่างค่อยๆจมลงไปซึ่งหลุมดำก็เริ่มหดตัวลงเรื่อยๆ

“ เครส…เซนท์ ”
ริคุกล่าวออกมาได้เพียงเท่านั้นเพราะประโยคที่เหลือนั้น เขากลืนมันลงไปแล้ว
แต่เครสเซนท์เองก็รู้ดีอยู่แล้วว่า เขาจะพูดอะไร

“ ไม่ต้องมาสมเพชข้าหรอก นี่เป็นทางที่ข้าเลือกเอง..ส่วนแกเจนัสครั้งนี้แกชนะข้าแพ้แล้ว
ถ้าเจอกันครั้งหน้าล่ะก็…หึ ”
เครสเซนท์ กล่าวโดยละที่เหลือไว้ พร้อมกับที่ร่างของจมลงไปจนถึงคอแล้ว

“ เจอกันครั้งหน้าตอนนั้นเราก็คงไม่เป็นศัตรูกันแล้วล่ะ ”
เจนัสกล่าวเสียงเรียบโดยที่ในใจก็คิดแน่ไว้แล้วว่าคงจะไม่มีครั้งหน้าอีก
แต่นี่ก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะตอบแทนการช่วยเหลือของเขาได้

“ หึ ..นั่นสินะถ้ามีครั้งหน้าล่ะก็นะ ”
เครสเซนท์กล่าวก่อนที่ร่างของจะจมลงไปจนมิด

“ เพื่อนงั้นหรือ ความเชื่อใจงั้นหรือ ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากจะลองสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับพวกเจ้าดู
บ้างเหมือนกันมันคงเป็นความรู้สึกที่ดีไม่น้อย ”
ความนึกคิดสุดท้ายของเครสเซนท์ที่หวังจะได้ต่อสู้โดยมีพวกพ้องที่เชื่อใจกันนั้น
คือสิ่งสุดท้ายที่เขาไม่อาจได้สัมผัสจนวาระสุดท้าย หลมุดำได้สลายตัวไปแล้ว
แอกเตอร์ทั้งสอง ก็เริ่มทำงานขึ้นพร้อมกันก่อนที่ จะเกิดแสงสว่างจ้าขึ้น
จิตของพวกเขาแยกจากมโนจิตแล้ว

ในตอนนี้ คลื่นไฟฟ้าที่ตรึงร่างของพวกเขาทั้งคู่เอาไว้ ได้คลายตัวออก พร้อมกันชุดเกราะที่
สลายตัวแยกชิ้นออก จากตัวพวกเขาและจางหายไปเหลือไว้เพียงเข็มขัดที่ตกลงใกล้ๆกับตัวพวกเขา
ก่อนที่เศษเสี้ยวทั้งหลายจะหลอมตัวกลับเป็นแอกเตอร์ตามเดินและบินหายลับไปทิ้งให้ร่างทั้งสอง
ของพวกเขานอนคว่ำสลบอยู่บนพื้นหิมะ

ทุกคนที่อยู่รอบๆต่างยืนนิ่งจนแทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ
นักประดิษฐ์ เดินเข้าไปเก็บเอาเข็มขัดทั้งสองเส้นออกมา อย่างรีบร้อน
แต่ทว่าในตอนที่จะถอยฉากออกมานั้น มือของทั้งคู่ก็ยื่นออกมาจับขา
เขาเอาไว้จนสะดุดล้ม ก่อนที่ร่างของทั้งคู่จะลุกขึ้นยืน
สร้างความแปลกใจให้แก่ทุกผู้ที่ยืนดูอยู่ตรงนั้น

“ ยังมีชีวิตอยู่ทั้งคู่รึ ”
เมทาไนท์เปรยเสียงเรียบ ด้วยความประหลาดใจ

“ บ้าน่าเป็นไปไม่ได้ พวกแกคนใดคนนึงต้องตายไปแล้วนี่ ”
นักประดิษฐ์ กล่าวขณธที่พลิกตัวกลับมามองทั้งสองด้วยความผวา

“ อ๋อรู้แล้ว จิตเจ้าของร่างคนเก่าของเครสเซนท์คงจะถูกดึงไปเป็นเครื่องสังเวยสินะ..งั้นรออะไรอยู่ล่ะจัดการ
เจ้าคนทรยศซะสิ ”
นักประดิษฐ์กล่าวขณธที่ค่อยๆไถลร่างถอยห่างออก

“ แกสั่งใคร.. ”
ริคุกล่าวถามซึ่งทำเอานักประดิษฐ์ งง ไปขณะหนึ่งเลย

“ ก..ก็แกไงล่ะเครสเซนท์รีบๆจัดการเจ้าคนทรยศนี่ซะ ”
นักประดิษฐ์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและเริ่มไม่แน่ใจ กับสถานการณ์
แล้ว

“ งั้นหรือแล้วคนทรยศคนไหนล่ะเพราะตรงนี้ก็ยืนอยู่หน้าเจ้าตั้งสองคนแล้วไง ”
ริคุกล่าวจบนักประดิษฐ์ก็หน้าซีดขึ้นมาทันที

“ ร..หรือว่าแก ”
นักปรดิษฐ์กล่าวเสียงสั่นเครือ ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งหนีไปแต่ริคุก็ตวัดกรงเล็บ
ออกไปทำให้เกิดคลื่นสุญญากาศพุ่งไปเฉี่ยวเอา ขาของนักประดิษฐ์จนล้มลง
ขากางเกงของนักประดิษฐ์ขาดวิ่นและโลหิตสีแดงเริ่มไหลซึมออกมา เขาล้มลงกุมแผลนั้น
ด้วยความเจ็บปวด

“ นี่เครสเซนท์เจ้าคิดจะทรยศด้วยงั้นรึ ”
เซอร์เซสกล่าว

“ เสียใจด้วยนะแต่เครสเซนท์ น่ะได้ตายไปแล้วตอนนี้ชั้นคือ ริคุ เฟ็นเรีย(Riku Fenria)
ผู้รับสืบทอดหน้าที่พิทักษ์ดาบศักดิ์สิทธ์แห่งเฟ็นเรีย ”
ริคุกล่าวคำพูดของเขานั้นทำให้ลากูน่าและนีน่าใจเต้นระทึกด้วยความรู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
บัดนี้พวกเขาได้ตัวริคุกลับคืนมาแล้ว

“ นี่หมายความว่าจิตที่ถูกสังเวยไปแทนก็คือเครสเซนท์งั้นรึ ”
เซอร์เซสกล่าวในหัวกำลังเร่งคิดหาวิธีรับมือกับ เทพขุนพลที่ได้แปลพรรค ไปเข้ากับอีกฝ่าย
อีกคนแล้ว แต่ในขณะนั้นก็เกิดสายฟ้าฟาดลงมาใส่เจนัสและริคุ แม้ว่าเกราะมนตราจะช่วยคุ้มกายให้แก่พวกเขา
แต่ทว่าพวกเขาทั้งคู่ต่างก็เหนื่อยล้าจากการ ปะทะกันจนแทบไม่เหลือพลังกาย
แล้วหลังจากโดนสายฟ้าฟาดเข้าไปพวกเขาทั้งคู่ก็ล้มทรุดลง เจนัสพยายามจะยันตัวขึ้นแต่
ก็ไม่สำเร็จเขาล้มผับลงไปกองกับพื้นทันที เช่นเดียวกับริคุ

ซึ่งสายฟ้าที่ฟาดลงมานั้นก็เกิดจากวิชา ดาบย้อนอัศนีบาตรของกาโรห์นั่นเอง
ลากูน่าหันขวับไปจ้องกาโรห์ด้วยสายตาถมึนถึง แต่ก็ไม่ได้สร้างความหวาดกลัว
ให้แก่กาโรห์แต่อย่างใดเลย

“ ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดข้าก็ล้มพวกแกทั้งคู่ได้แล้วท่านผู้นั้นจะต้องเลื่อนยศให้ข้าแน่
ข้านี่หล่ะเทพขุนพลผู้แข็งแกร่ง ”
กาโรห์กล่าวด้วยผยองโดยหารู้ไม่ว่าเขาได้กระตุ้นโทสะของลากูน่าขึ้นมาแล้ว

“ แข็งแกร่งหรือพูดมาได้ไม่อายปากเลยนะ ใช้วิธีลอบกัดแบบนั้นอย่างแกน่ะ.. ”
ลากูน่ากล่าวยังไม่ทันจะจบคำกรงเล็บของเขาตวัด เจาะทะลุร่างของกาโรห์ไปแล้ว

“ อัก…ก..แก ”
กาโรห์กล่าวไปสำลักไป เลือดของเขาพุ่งกระเด็น เปรอะเปื้อน ไปทั่วร่างของลากูน่า
โดยที่กรงเล็บของลากูน่ายังคาอยู่

“ คิดจะเทียบขั้นท่านพี่น่ะเหรอแค่ชั้นสำหรับแกมันยังเร็วไปร้อยปีเลย ”
ลากูน่ากล่าวจบก็ชักมือ ออกร่างของกาโรห์ค่อยๆร่วงหล่นลงนอนจมกองเลือด
บนพื้นหิมะสีขาวโพลน พร้อมกับที่ดาบซึ่งขว้างขึ้นไป เพื่อประกอบวิชาดาบย้อนอัสนีบาตร
พุ่งลงมาปักร่างของกาโรห์ ก่อนที่เขาจะเหลียวหลังกลับไปโดยทิ้งร่างไร้วิญญาณเอาไว้ตรงนั้น

เซอร์เซสที่เห็นว่ากาโรห์ถูกเก็บไปแล้วก็เริ่มที่จะคุมสติไว้ไม่อยู่ จึงคิดจะหาทาง
จัดการกับสถานการณ์โดยไม่สนวิธีการ ซึ่งในตอนนั้นเขาก็นึกออกขึ้นมาได้วิธีหนึ่ง
เขามองไปหานีน่า ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“ นังศิษย์ทรยศข้าจะให้เจ้าต้องทนทุกข์สาสมกับการที่เจ้าทรยศข้า ”
เซอร์เซส พุ่งตรงเข้าไปหานาง ซึ่งแม้เมทาไนท์จะเข้ามาขวางไว้แต่ก็ถูกคฑาของเซอร์เซส
ฟาดกระเด็นไปข้างทาง เขาพุ่งเข้าไปคว้าของนางเอาไว้ ซึ่งนางแองฏ้ไม่อาจขัดขืนได้

“ ใช่แล้วถ้าเราใช้นังนี่ให้เป็นประโยชน์ล่ะก็… ”
เซอร์เซส คิด ลากูน่าที่คิดจะเข้าไปช่วยก็ต้องผงะไปเพราะนางอยู่ในกำมือของเขา
หากบุ่มบ่ามเข้าไปอาจทำให้นางเป็นอันตรายได้

 “ ข้าจะคืนความทรงจำของเจ้าที่ปิดผนึกไว้และเมื่อนั้นเจ้าจะต้องทุกข์ทรมานกับ ความแค้นนั้นไปจนตาย ”
เซอร์เซสกล่าวจบ ก็ยกคฑาขึ้นร่ายเวทย์ ทันทีที่ร่ายจบก็เกิดวงแหวนแสงขึ้นเหนือหัวของนาง
อยู่ซักครู่ก่อนมันจะสลายไป เซอร์เซสจึงปล่อยมือจากนางซึ่ง

นางเองก็ยกมือขึ้นกุมหัวก่อนจะขุกเข่าลงกับพื้น ความทรงจำต่างๆมากมายที่นาง
ไม่เคยนึกออกซึ่งนั่นรวมไปถึง ภาพของเด็กชายครึ่งสมิงที่ช่วยนางไว้เมื่อสี่ปีก่อนและยังเป็นคนที่
ฆ่าคนในครอบครัวของนางจนสิ้นแม้ว่าความทรงจำบางส่วนจะยังคืนมาไม่ไหมด

แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร เซอร์เซสที่เห็นท่าทีของนางเปลี่ยนไปก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ
ก่อนจะหันกลับเพื่อจัดการกับลากูน่า

“ ส่วนแกกับพี่ของแกจะต้องตาย..อ็าคคค ”
เซอร์เซสกล่าวไม่จบดี ก็ถูกลำแสงแปดลำด้วยกันระเบิดจนร่างสลายไป
พร้อมกับคฑาในมือ ผู้ที่จัดการเซอร์เซสให้สิ้นชื่อลงไปนั้นคือนีน่าน่ะเองนาง
ยิงเขาด้วยปืนประดิษฐ์ซึ่งตอนนี้ปากกระบอกมันได้พังยับเยินไปแล้วจากการ
ยิงโดยเร่งพลังเต็มที่ นางถอด หัวกระบอกออกก่อนคว้าเอา ใบมีดมาประกอบกับปืนเพื่อเปลี่ยนมันเป็น
มีด นัยตาย์ของนางแฝงไปด้วยความแค้น เจนัสที่มองเห็นสภาพนั้นจึงเข้นแรงยันตัว

ขึ้นมาในขณะที่รอบๆปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัด ไม่มีใครกล่าวอะไรออกมา ได้แต่ยืนมอง
ความเคลื่อนไหวของนาง บัดนี้นักประดิษฐ์อยู่เพียงลำพังไม่มีใครคุ้มครอง ความกลัวและความหวาดวิตก
เริ่มเข้าถาโถมใส่ นีน่าเดินผ่านเขาไปโดยไม่สนใจใยดีตรงเข้าไปหาเจนัส ที่ลุกขึ้นยืนแล้ว

“ คนที่ช่วยฉันไว้และทำลายครอบครัวของฉันเมื่อสี่ปีก่อนคือนายงั้นเหรอเจนัส ”
นีน่ากล่าวคำพูดของนางทำเอาทุกคนรอบข้างถึงกับ ตาเบิกโผลงด้วยความ
ตะลึง

“ ใช่ชั้นเป็นคนทำเอง ”
เจนัสกล่าวเสียงเรียบ ทันทีที่เขากล่าวจบ ภาพใบหน้าของเด็กหนุ่มครึ่งสมิงที่
นางนึกออกแล้วก็ได้ปรากฏชัดแจ้งขึ้นในหัวของนาง เด็กคนนั้นเป็นครึ่งสมิงหมาป่า
สีดำ ซึ่งก็คือเจนัสนั่นเอง

และแล้วนีน่าก็ได้กระทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด นางแทงเขาด้วยมีดจนเลือดสาด
ก่อนจะชัดมีอ ออกและถีบส่งเขากลิ้งห่างออกไปจากพวกลากูน่า

“ ท่านพี่ ”
ลากูน่า กล่าวพร้อมกับจะวิ่งเข้าไปห้าม

“ อย่าเข้ามานะ.. นี่เป็นเรื่องระหว่างเรา ห้ามใครเข้ามายุ่งเด็ดขาดไม่งั้นชั้นไม่ปล่อยไว้แน่”
เจนัสกล่าวทำให้ลากูน่าต้องหยุดผงะไป

“ ทำไมนายถึงไม่ฆ่าฉันไปตอนนั้นซะด้วยเลยปล่อยให้ฉันต้องทนทุกข์ทรมาน
เร่ร่อนไปเรื่อยจนไปเจอไอ้ตาแก่เซอร์เซสนั่น แล้วก็ต้องให้มันช่วยปิดผนึกความทรงจำเอาไว้ ”
นีน่ากล่าวด้วยความเคียดแค้น นางกำมีดสั้นในมือแน่นเสียจนข้อขาวซีด

เจนัสเอามือกุมบาดแผลเพื่อห้ามเลือดไม่ให้ไหลออกมามากเกิน พร้อมกับยันตัวลุกขึ้น
แต่ทว่าไม่ทันไรเขาก็ถูกนีน่าเฉือนที่แขนจนได้ไปอีกแผล ก่อนจะถูกตวัดเฉือนไปอีกหลายแผล
ซ้ำยังทำให้ปากแผลเก่าที่ได้ตอนที่สู้กับ เครสเซนท์ เปิดอีก

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ยอมตอบโต้หรือหลบเลี่ยงแต่อย่างใดยังคงยืนให้นางฟันใส่
ไปเรื่อยๆจนแผลเต็มตัว

“ ทำไมถึงไม่ตอบโต้ล่ะ สู้สิ ”
นีน่าตะคอกใส่แต่เขาก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่ นางจึงทุบเขาด้วยด้ามมีดจนทรุดล้มลง

“ ทำไมนายถึงไม่สู้จะให้ฉันฟันนายไปถึงไหน ฉันไม่ดีใจหรอกนะ ที่แก้แค้นกับคนที่ไม่สู้น่ะ ”
นีน่าตะหวาดใส่เขา

“ อย่าให้บอกหลายทีได้มั้ย..ชั้นสัญญาไว้แล้วนี่ ว่าจะ..ปกป้องเธอเพราะฉะนั้นชั้นจะไม่ทำร้าย
เธอเด็ดขาด ”
เจนัสกล่าวออกมาด้วยความลำบาก นีน่าที่ได้ยินดังนั้นจึงหยุดลง

“ ทำซะสิให้สาสมกับที่ชั้นทำ ”
คำพูดของเจนัสทำให้นาง คิดถึงคำพูดของพวกเขาทั้งสองในวันนั้น

ท่ามกลางกองเพลิง นางที่กัดแขนของเด็กชายเอาไว้ แต่เด็กชายก็ไม่ได้ขัดขืน
ปล่อยให้นางกัดจนจมเขี้ยว

“ เอาเถอะข้าไม่ว่าหรอก ทำซะให้สาสมกับที่ข้าทำไป นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าจะชดใช้ให้ได้ ”
คำพูดของเด็กชายดังก้องขึ้นมาในใจของนาง

“ คำพูดนี้อีกแล้วนายจะทิ้งให้ชั้นต้องอยู่ตัวคนเดียวรึไง นายยอมให้ฉันฆ่าแล้วกลับมาบอกว่าจะไม่ทิ้งให้ฉันต้องโดดเดี่ยวอีก ถ้านายตายไปแล้วใครจะปกป้องฉันล่ะ จะผิดคำพูดรึไง อย่าทำให้ฉันสับสนนักสิ.. ”
นีน่ากล่าวน้ำเสียงสั่นเครือใขณะที่หยาดน้ำตาของนางก็ค่อยๆไหลรินออกมา
อาบใบหน้า เจนัสที่ยกมือที่เปื้อนไปด้วยเลือด ขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของนาง
โดยพยายามให้เลือดเปรอะน้อยที่สุด

“ อย่าร้องไห้สิ ชั้นไม่ผิดคำพูดเด็ดขาด ถึงชั้นจะยอมให้เธอทำร้าย แต่ชั้นก็ไม่ยอมตายเด็ดขาด
จะอยู่ปกป้องเธอตลอดไป จะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป ”
เจนัสกล่าวเสียงแผ่ว ลมหายใจของเขาเริ่มจะถี่ลง

“ คนบ้า..ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วยฉันมันน่าเวทนานักหรือไงสมเพศคนไร้ค่าอย่างฉันหรือไง ”
นีน่ากล่าวพร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมาจน หยาดน้ำตาหยดลงบนร่างของเจนัส

“ สำหรับคนอื่นเธออาจจะไร้ค่า แต่สำหรับชั้นเธอคือคนสำคัญเลยล่ะ อีกอย่างนอกจากฉันเธอก็ยังมีคนอื่นอีกไม่ใช่เหรอ..ทั้งริคุ ลากูน่า และก็ลอเรนซ์ เธอไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้วนะนีน่า ”
เจนัส กล่าวนี่นับเป็นครั้งแรกที่เขา เรียกชื่อของนางให้ได้ยิน ตอนนี้ดวงตาของเขาหรี่ลงจนแทบจะปิด ลมหายใจแผ่วเบาลงทุกที นีน่า ที่รู้สึกแล้วว่าเจนัสใกล้จะหมดลมลงทุกวินาทีแล้ว นางรีบพยุงตัวเขาไว้

“ จ..เจนัสอย่าตายนะ.. ”
นีน่ากล่าวด้วยความเป็นห่วงความแค้นในใจเมื่อครู่มันได้หายไปหมดสิ้นแล้ว
ตอนนี้นางไม่ต้องการให้เขาตาย ลากูน่าและเมทาไนท์ รีบเข้ามาดูอาการทันที


Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #220 on: July 13, 2008, 06:54:33 PM »

“ ท่านพี่อย่าตายนะ ”
ลากูน่ากล่าวขณะที่เขย่าแขนของผู้เป็นพี่ชาย เพื่อเรียกสติ ริคุที่ค่อยๆคลานเข้ามาหา
ก็มองดูด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน

“ แย่ล่ะสิอาการสาหัสมากเลยถ้าไม่รีบรักษาล่ะก็ ”
เมทาไนท์กล่าวหลังจากที่พิจารณาอาการของเจนัส

“ นายจะตายไม่ได้นะเจนัสไหนบอกว่าจะอยู่ปกป้องฉันไงเจนัส ”
นีน่ากล่าวอย่างเสียขวัญ

“ โธ่เงียบๆหน่อยได้มั้ยขอนอนซักงีบหน่อยเถอะ ”
อยู่ๆเจนัสก็ตะคอกขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ ทำเอาทุกคนรอบข้างอึ้ง
นั่ง งงเป็นไก่ตาแตก

“ ไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว พอสบายใจแล้วหัวมันก็ดล่งไปหมดเลยง่วงขึ้นมาน่ะสิ ”
เจนัสกล่าวก่อนจะอ้าปากหาวหวอด นีน่าที่เห็นเช่นนั้น ก็ปล่อย ตัวเขาให้ร่วงลงไปกระแทกกับพื้น

“ อย่างว่าล่ะนะท่านพี่ใช่ประเภทที่ต้องให้ใครมาห่วงซะที่ไหน ”
ลากูน่ากล่าวด้วยความเหนื่อยใจ กับนิสัยที่ไม่เคยสนใจความเป็นห่วงเป็นใยของคนรอบข้าง

“ เฮ้อนายนี่มันไม่เปลี่ยนไปจากตอนที่ฝึกเลยนะบาดเจ็บหนักทีไรล่ะชอบแกล้งทำให้ชาวบ้านเขาเป็นห่วงเก้อตลอด ”
ริคุกล่าวพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนข้างๆเขา
ส่วนเมทาไนท์เองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก


“ แหมก็ทำไงได้ล่ะ สู้ต่อเนื่องมาตั้งนานแล้ว คนเราจะขอพักบ้างไม่ได้รึไง ”
เจนัสกล่าวขณะที่เอามือกุมหัวจากการที่กระแทกกับพื้นทำให้ปวดเล็กน้อย

นีน่าที่เห็นเขาร่าเริงก็รู้สึกโล่งใจไปด้วย

“ อ็าคคคคค ”
เสียงร้องดังมาจากด้านบนของพวกเขาพร้อมกับร่างของจอมเวทย์เด็กชายและเด็กหญิง
ร่วงหล่นลงมาใกล้กับพวกเขา เรโค่และเซโร่ที่มีบาดแผลเต็มตัวไปทั่ว
พวกเขาถูดซัดร่วงลงมา  ซึ่งผู้ที่จัดการโค่นจอมเวทย์น้อยผู้แข็งแกร่งลงได้ก็ค่อยๆโรยตัวลงมาพร้อมกับ
ดราก้อนเนโครแมนเซอร์(Dragon Necromancer)จำนวนหลายสิบนาย ซ้ำยังมีทัพอัศวิน
มังกรดำ(Black Dragoon)และอัศวินมังกรแดง(Red Dragoon) ทยอยตามลงมาอีกนับสิบ
จนเต็มแทบทั้งทุ่งโล่ง ล้อมกรอบพวกเขาไว้







นักรบครึ่งมังกรที่โบยบินลงมาคนแรก คือแม่ทัพของกองทัพน้อย่างแน่นอน
เขาเป็นนักรบครึ่งมังกรเฉกเช่นเดียวกับอัศวินมังกรทาลิวิลย่า มือซ้ายถือโล่ขนาดเล็ก และมือขวา
ถือดาบยาวประเภทกระบี่ ร่างเป็นเกล็ดมังกรราวกับชุดเกราะ

“ ข้าคือ 1 ใน 12 เทพขุนศึก แม่ทัพอัศวินมังกร(Dragoon General) รับหน้าที่ควบคุมฝ่ายกองการรบ
อย่างที่พวกเจ้าเห็นนั่นล่ะ นี่คือกองทัพของเราที่ได้กระทำการปฏิวัติให้เกิดการล่ามังกรขึ้นมายังไงล่ะ ”
นักรบครึ่งมังกรกล่าว จบก็สั่งให้เหล่าอัศวินมังกรทั้งดำและแดง บุกเข้าโจตี




“ ไร้รูปไม่ไร้ตนเจ้าจงแปรเปลี่ยนไปดั่งใจข้าจงมาเป็นศาสตราให้ได้ทำลายและปกป้อง
Icecleric Rain ”

เสียงของเซโร่ดังกังวานขึ้นก่อนที่จะเกิดวงเวทย์ขึ้น บนท้องฟ้าพร้อมกับที่ ฝนแท่งน้ำพุ่ง
ลงเสียบร่างของเหล่าทหารจนล้มตายไปคนแล้วคนเล่า ดังนั้นพวกดราก้อนเนโครแมนเซอร์
จึงออกมาผนึกเวทย์ สร้างเกราะกำบังให้แก่เหล่าอัศวินมังกร 

“ จงแสดงตน ลูเซียส และจงปกปิดตน ออบสคูรี่ ”
สิ้นเสียงภูตสาวทั้งสองตนก็ลอยตัวออกมา เข้าต่อยตีกับเหล่าอัศวินมังกรในระหว่างนั้นเซโร่
ก็ร่ายเวทย์บทต่อไปทันที

“ ข้าขอวิงวอนต่อ จักรพรรดิแห่งผลึกน้ำแข็ง ด้วยพันธสัญญาอันเป็นนิรันด์ โปรดมอบพลังแก่ข้า
จงเปลี่ยนผืนปฐพีอันเวิ้งว้างเป็นทุ่งหิมะ จงแปรสายน้ำ
ให้เป็นธารน้ำแข็ง… Perfect Arctic(จุดเยือกแข็งสมบูรณ์แบบ) ”

สิ้นเสียง เพียงพริบตาเหล่าอัศวินมังกรและดราก้อนเนโครแมนเซอร์รวมไปถึงซากศพของ
เหล่าอัศวินที่ถูกแท่งผลึกเสียบตายไปแล้ว ก็กลายเป็นน้ำแข็งไป

“ ข้าแต่ราชันย์แห่งวิญญาณ หยาดน้ำตาแห่งความวิบัติ จงกลืนกินทุกสรรพสิ่ง นั่นคือคำพิพากษาสุดท้าย
Final Judgement ”
สิ้นเสียงก็เกิดวงเวทย์ขึ้นที่ใต้เท้าของเรโค่  ภูตทั้งสองของนาง ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีฟ้าก่อนจะ
สลายไปรวมตัวกันที่อุ้งมือของนาง ทันทีที่นางผายมือออกไป ก็เกิดหลุมดำขึ้นในอากาศท่ามกลางร่างน้ำแข็งเหล่านั้นพร้อมกับมีแรงดูดบางอย่างทำให้ทุกสิ่งบริเวญรอบๆถูกดูดเข้าหาหลุมดำ ก่อนที่มันจะระเบิดสลายไป
พร้อมร่างน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้าทุกร่าง ได้อันตธานกลาย ผงตลบอบอวลไปทั่ว

“ สำเร็จมั้ย ”
เรโค่ถาม

“ ชั้นว่าเสร็จไปแล้วมั้งน่ะ ”
ริคุเปรยเสียงเบา ด้วยความไม่อยากเชื่อ กับพลัของทั้งคู่

“ นั่นสิคงเละ ไปตั้งแต่ โดนแช่แข็งแล้วม้างงง ”
ลากูน่าแกล้งลากเสียงยานคาง หน่อยๆ

“ น…นี่มันอะไรกันเนี่ยพริบตาทหารทั้งกองพันของเราก็แพ้ราบคาบเลยรึ เจ้าพวกนี้มันปิศาจ ปิศาจชัดๆ ”
นักประดิษฐ์ กล่าวด้วยความหวาดกลัว ข.ณะที่คลานไปตามพื้นโดยอาศัยผงน้ำแข็งเพื่อจะแอบลอบหนีออกไป
แต่แล้วเขาก็ชนเข้ากับอะไรบางอย่างใน หมอกน้ำแข็งนั่น จนต้องหยุดหันขึ้นไปมอง

ตอนนี้ผงน้ำแข็งเริ่มจางลงเรื่อยแสงตะวันที่ส่องทะลุลงไปสะท้อนเงาของ คนสองคนในหมอกนั้น


“ ยัง…เจ้านั่นมันยังตาย ”
นีน่าเปรยหลังจากที่เห็นเงาสะท้อน ซึ่งในตอนนั้นเจนัสก็รู้ตัวแล้ว ถึงพลังของเทพขุนพลคนนี้
จึงคิดจะเตือนจอมเวทย์ทั้งสองแต่ทว่า ไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปาก ก็มีคลื่นเสียง ดังกังวานออกมา
พร้อมกับคลื่นพลัง ที่รุนแรง เข้ากระแทกถาโถมใส่พวกเขาจนกลิ้งกระเด็นกันไปคนละทิศคนละทาง
หมอกจางลงไปจนหมดจากคลื่นพลังเมื่อครู่ นักประดิษฐ์นั้นตอนนี้ ได้แต่นั่งกุมแผลที่ขา
เอาไว้แน่นริมฝีปากสั่นเครือ แทบเท้าของแม่ทัพมังกร

“ เอาล่ะท่านนักประดิษฐ์ตอนนี้ท่านถอยกลับไปก่อนเถอะ ข้าจะส่งท่านกลับไปด้วยพลังของข้าเอง ”
แม่ทัพมังกรกล่าวจบ ก็เปิดประตูมิติออก นักประดิษฐ์รีบวิ่งเข้าไปในนั้นทันทีโดยไม่คิด
หลังจากที่ส่งนักประดิษฐ์กลับไปแล้ว เขาก็หันมาหาพวกเขา

“ ส่วนพวกเจ้าใครจะเป็นคนแรกว่ามา ”
แม่ทัพมังกรกล่าว ซึ่งในตอนนี้พวกเจนัสเองก็ไม่เหลือแรงจะต่อกรกับ แม่ทัพผู้นี้แล้ว

“ เรโค่คงถึงเวลาแล้วล่ะที่จะใช้มนตราบทนั้น เพราะฉะนั้นช่วยตรึงมันไว้ทีนะ ”
เซโร่กล่าวซึ่งทันทีที่เรโค่ได้ยิน นางก็หน้าซีดเผือกไปแทบจะทันที

“ แต่ถ้าใช้มนต์บทนั้นล่ะเซโร่ก็จะ.. ”
“ ไม่เวลาแล้วถ้าไม่ทำล่ะก็พวกเราได้ตายหมดแน่ ”
เรโค่กล่าวได้ไม่ทันจบประโยคเซโร่ก็ตะหวาดตัดขึ้นมา
แม้นางจะไม่อยากนัก แต่ก็ไม่เห็นทางอื่น แล้วจึงยอมคิดที่จะช่วย

“ เซโร่..คือฉันถ้าต่อจากนี้ไปไม่มีเซโร่แล้ว… ”
เรโค่กล่าวน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความเสียใจ เพราะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากทำตามที่เขาบอก
แต่เซโร่ ก็เข้ามาโอบปลอบเธอด้วยความเข้าใจ

“ ไม่เป็นไรหรอกเรโค่ ถึงเธอจะไม่มีชั้นอยู่เคียงข้างแล้วแต่เธอก็ต้องมีชีวิตต่อไปให้ได้นะ..แล้วซักวันนึง
ชั้นจะกลับมา หาเรโค่อีกแน่นอน จนกว่าจะถึงตอนนั้นช่วยรอชั้นด้วยนะ..  ”
เซโร่กล่าว เรโค่ที่ได้ยินแล้วึงยอมทำตามในที่สุดแม้ในใจจะยังไม่อยากจากเขาไป

“ นี่พวกนายจะทำอะไรกัน ”
เจนัสถามขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทีของทั้งคู่ ที่ดูเหมือนจะกล่าวล่ำลากันยังไงยังงั้น

“ เซโร่จะใช้มนตราผนึกเจ้านั่นให้กลายเป็นน้ำแข็งไปชั่วนิรันด์น่ะสิ… ”
เรโค่กล่าวโดยยังสะอึกสะอื้นไม่หยุด

“ เจ้านั่นน่ะขนาดโดนเวทย์ประสาของเราเข้าไปแล้ว มันยังไม่สะทกสะท้านเลย
หากใช้มนต์พื้นๆล่ะก็คงเอามันไม่อยู่แต่ถ้าใช้มนต์บทนั้นล่ะก็ทั้งชั้นและก็เจ้านั่นก็จะกลายเป็นน้ำแข็งไปทั้งคู่
ไม่มีทางหลุดออกมาได้ชั่วนิรันด์ ”
ทันทีที่เซโร่กล่าวจบเขาก็รีบพุ่
เข้าไปหาแม่ทัพมังกรโดยไม่บอกกล่าวทันที ไม่แม้แต่จะเผื่อเวลาให้พวกเขาคิดหรือตกลงกันซักวินาที

“ จัดการเลยเรโค่ ”
เซโร่สั่ง ซึ่งเรโค่ก็จัดการสะบัดเอ็นให้พุ่งออกไปมัดร่างของแม่ทัพมังกรไว้

“ นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกัน ”
แม่ทัพมังกรกล่าวพร้อมกับพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ

“ ข้าแต่พลังเยือกแข็งอันเป็นอนันต์จงส่งข้าและอริ สู่ความเป็นนิรันด์… ”
สิ้นคำเซโร่ก็เข้าประชิดตัวแม่ทัพมังกร วงเวทย์เกิดใต้เท้าของทั้งคู่ พร้อมกับแสงสีคราม
พุ่งขึ้นมาจากวงเวทย์นั้นร่างของทั้งคู่ค่อยกลายเป็นน้ำแข็งอย่างช้าๆ

“ นี่เจ้าคิดจะแช่แข็งตัวเองไปพร้อมกับข้างั้นรึ ”
แม่ทัพมังกรกล่าวโดยยังพยายามดิ้นรนต่อไป

“ อย่าเสียแรงเปล่าเลย เราไปลงนรกด้วยกันทั้งคู่นี่แหล่ะ ”
เซโร่กล่าว

“ หึ..ลงนรกด้วยกัน..กับเจ้าเนี่ยนะเชิญเจ้าไปคนเดียวเถอะ ”
สิ้นคำของแม่ทัพมังกร เขาก็กระชากเอ็นของเรโค่จนขาดและสลัดตัวออกมา จากวงเวทย์
ปล่อยให้เซโร่ถูกผนึกเป็นน้ำแข็งไปเพียงคนเดียว


“  เซโร่  ”
เรโค่ร้องออกมาสุดเสียงก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะถูก คลื่นพลังเข้าถาโถมเล่นงานอย่างหนัก
…………………………………..
…………………………………………
………………………………………………..

“ ป่านนี้แล้วพวกนั้นยังไม่กลับมาเลยเป็นอะไรรึเปล่าก็ไม่รู้ ”
Lr กล่าวออกมาขณะที่เอาหิมะประคบแผลให้นิทินโคที่โดนไฟลวก
ซึ่งนิทินโคก็ร้องโอดโอย ด้วยความปวดแสบ

ส่วนนอฟฮอฟเองหลังจากที่แยกร่างกับ Lr แล้วก็เอาแต่มองเทียแมตมาซักระยะหนึ่งแล้ว
ซึ่งเทียแมตเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่า นอฟฮอฟกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเดินเข้าไปหานอฟฮอฟ


“ ข้ามีเรื่องที่จะต้องบอกให้รู้คือ… ”
เทียแมตกล่าวออกมาแล้วหยุดชะงักไป เพราะไม่มั้นใจว่าจะพูดดีมั้ย

“ บอกๆ เขาไปเถอะนี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมาปิดนะ ”
แกรนเดครอสกล่าวเทียแทตจึงยอมในที่สุด

“ แปดปีก่อนพ่อของฉันโดนเนรเทศให้ออกจากมิติมังกรทิ้งให้ฉันต้องโตมากับญาติที่รับไปอุปการะ
ถ้ายังไงช่วยเล่าให้ละเอียดด้วยนะคะว่าทำไมถึงต้องทิ้งหนูไว้ทำไมไม่พาหนูไปด้วยอย่างน้อยก็น่าจะ
ส่งจดหมายหรืออะไรมาบ้างสิคะ ”
นอฟฮอฟเปรยเสียงเรียบ คำพูดของเธอทำให้เพื่อๆพากันมองด้วยความ งุนงง

“ รู้อยู่ก่อนแล้วเหรอ ”
เทียแมตถาม

“ แน่สิหนูจะลืมได้ยังไงตลอดแปดปีมานี่ หนูรอคอยที่จะพบคุณมานานแล้วแค่คุณเป็นมังกรพันธุ์อะไรมีจุดสังเกตตรงไหนทำไมจะไม่รู้ล่ะ ”
นอฟฮอฟกล่าว

“ หรือว่าคุณก็คือ ”
Lr กล่าวหลังจากที่ฟังบทสนทนาของทั้งคู่ก่อนจะตีความนัยออกมา

“ ถูกแล้วนอฟฮอฟแม้จะพูดไม่ได้เต็มปากนักแต่ข้าคือพ่อของเจ้า ”
เทียแมตสารภาพ คำพูดของเขาทำเอาพวก Lr นิ่งตะลึง ด้วยความไม่รู้มาก่อน

“ จ..จริงเหรอนอฟฮอฟ ”
เอิธท์หันไปถามซึ่งนอฟฮอฟเองก็พยักหน้ายืนยันว่าใช่

“ แล้วจะบอกได้หรือยังว่าตลอดแปดปีนี่ไปอยู่ไหนมาคะ…คุณพ่อ ”
นอฟฮอฟถาม

“ หึ..ลูกนี่ไม่ต่างจากแม่เลยนะ งอนพ่องั้นเหรอ ”
เทียแมตกล่าวหยอกหวังจะให้ลูกหายหงุดหงิดบ้าง

“ แหมก็พ่อน่ะ เจอหนูทั้งทียังไม่เห็นทักทายเลยครั้งก่อนนู้นก็ด้วย ”
นอฟฮอฟกล่าวโดยย้อนความรวมไปถึงตอนที่เขามาช่วยพวกเธอที่มิติมังกร

“ โทษทีนะพ่อมีความจำเป็นน่ะ อ้อ ลอว์เรนซ์ ถ้ายังไงข้าก็คงต้องบอกให้เธอได้รู้เอาไว้
ข้าไม่ว่าหรอกนะถ้าเจ้าจะยังแค้นเรื่องที่ข้าพรากเจ้าจากครอบครัวไป ”
เทียแมตกล่าวด้วยความสำนึก

“ ไม่เป็นไรหรอกครับนั้นก็นานมาแล้ว อีกอย่างอาจารย์ไม่สิพ่อดีวายดราก้อนก็บอกแล้วว่า
คุณทำลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจและคุณก็ไม่ได้ต้องการด้วยผมเข้าใจ ”
Lr กล่าวโดยพยายามรักษาน้ำใจอีกฝ่ายแต่ถึงกระนั้นเทียแมตก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี

“ งั้นข้าจะเล่าถึงเรื่องเมื่อแปดปีก่อนให้พวกเจ้าได้รับรู้กับเอาไว้ก็แล้วกันเพราะนี่คงเป็นเพียงอย่างเดียวที่ข้าจะ
ทำให้พวกเจ้าได้ ”
เทียแมตกล่าวพร้อมกับเริ่มนึกย้อนไปถึงอดีตในตอนนั้น

 8 ปีก่อน

เทียแมตกับภรรยาของเค้าซึ่งเป็นมังกรดำเทียแมตเพศเมีย พวกเขาได้ออกบินไปยัง บริเวณหมู่เกาะ
แอนดิซอง เพื่อที่จะไปผ่อนคลาย แต่ทว่าระหว่างทางนั้น พวกเขาถูกเหล่าดราก้อนเนโครแมนเซอร์เข้ามา
ระราน พวกเขาพยายามสู้ป้องกันตัวจนถึงที่สุด แต่สุดท้ายภรรยาของเขาก็ถูกพวกมันฆ่าตายและ
ใช้มนต์ควบคุมชักใยร่างของนาง ส่วนเขาก็ถูกจับตัวไว้ คนที่บัญชาการ ในครั้งนั้นคือเซอร์เซส

“ แกจะทำอะไรกับร่างของเธอ ”
เทียแมตคำรามเขาถูกรัดเอาไว้ด้วยวงแหวนทองขนาดใหญ่
ซึ่งเป็นของจาไนท์ซึ่งเป็นลูกสมุนของแบล็คไวเซอร์

“ นี่เป็นคำสั่งของท่านผู้นั้นให้ทำการโค่นล้มตระกูลซาราเบลด เราแค่จะขอยืมใช้ร่างของเจ้านี่ในการล้มล้างเท่านั้นวางใจได้เสร็จงานแล้ว ข้าจะคืนให้ไปเผาผีแน่ ฮ่าฮ่าฮ่า ”
เซอร์เซสกล่าวจบ ก็ออกเคลื่อนพลไป ทิ้งให้เขาถูกรัดเอาไว้กลางทะเล

เขาพยายามคลายมันออกแต่ก็ไม่ได้ผล มันรัดแน่นมาก แต่จู่ๆวงแหวนก็คลายออกหลังจากนั้นไม่นาน
เขาไม่มีเวลามานั่งคิดแล้วว่าทำไมวงแหวนถึงคลายออกเอง เพราะตอนนี้ในหัวของเขามีแต่เรื่องที่ต้องไปช่วยภรรยาให้ได้

เขาบินข้ามทะเลมาอย่างรวดเร็วจนเมื่อขึ้นฝั่งมาจนถึงเขตฟูดินันแล้วเขาก็เห็นควันไฟลอยยออกมา
จากเมืองในเขตอาณาจักรฟีเลเซีย เขาไม่รอช้ารีบตรงดิ่งไปยังที่นั่นแต่ก็ถูกขวางเอาไว้โดยเหล่าดราก้อนเนโครแมนเซอร์อีกครั้ง
แต่พวกมันกลับไม่ทำอะไรเขา ได้แต่คอยบินล่อ เขาไปโดย ที่เขาเองก็พ่นไฟไล่ใส่ไปเรื่อยจนเกิดไฟป่า

ไม่นานนักพวกดราก้อนเนโครแมนเซอร์ก็ล่าถอยกลับลงไปแอบในป่า ด้วยความโกรธแค้นทำให้เขาลงไปอาละวาดโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ทำให้พวกชาวบ้านที่อพยพกันอยู่ถูกเขาฆ่าตายจนหมด
ซึ่งก็รวมไปจนถึง แม่แท้ๆของ ลอว์เรนซ์ด้วย
………..
…………
…………….



“ ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวกับการกระทำนี้หรอกนะ หลังจากนั้นศาลสูงแห่งมิติมังกร ก็ตัดสินลงโทษข้าฐานที่ไปก่อความเสียหายให้มนุษย์โดยเนรเทศข้าอออกจากมิติมังกรเป็นเวลา  8 ปีและได้มอบหมายหน้าที่ให้ข้าตามสืบเรื่องขององค์กรโฮลี่ไนท์แมรืหลังจากนั้นมาข้าก็ได้ร่วมเป็นสมาชิก
ในการปราบปรามพวกโฮลี่ไนท์แมร์ของกองกำลังมังกร ที่นำโดยดีวายดราก้อน และนายพลซารามันเดอร่า พ่อต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกกล่าวอะไรแก่เจ้าเลย ”

เทียแมตกล่าวด้วยกิริยาสลดตอนนี้พวกเขาได้รู้สาเหตุแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีต

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #221 on: July 13, 2008, 06:55:05 PM »

“ ว่าแต่ตอนนี้เราไปช่วยพวกนั้นกันก่อนดีกว่าไหมนี่มันนานมากแล้วนะ ”
วิลถามซึ่งทุกคนเองก็เห็นด้วย พวกเขาจึงขึ้นขี่แกรนเดครอสตรงไปยังยอดเขาที่พวกเจนัส
สู้อยู่

ทว่าทันทีที่ไปถึง ภาพตรงหน้าก็สร้างความสะเทือนใจแก่พวกเขาเป็นอันมาก
แม่ทัพมังกร กำลังสู้อยู่กับเจนัสและริคุ ซ฿งไม่มีพล้งพอที่รับมือได้ต่างก็ล้มพ่ายไป
นีน่าและลากูน่าเองก็ได้รับบาดเจ็บ หนัก โดยลากูน่ามีแผลถูกที่เข้าที่ท้อง ส่วนนีน่า
นั้นถูก ฟันเข้าที่แขนจนเป็นแผลเหอวะ  เรโค่ที่นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงหน้าผลึกน้ำแข็งที่กักขังเซโร่เอาไว้
 แกรนเดครอส และ เทียแมต ไม่รอช้ารีบพุ่งเข้าไปต่อกรกับแม่ทัพมังกรเมื่อเขา คืดจะหันมา
จับตัว ลอว์เรนซ์ โดยที่ลูกมังกรทั้งหกก็เข้าไปช่วยด้วย

“ ทำไม…..ทำไมกัน..ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ”
Lr กล่าวเสียงสั่น พวกเทียแมตที่เข้าไปสกัดเอาไว้นั้น ก็สร้างความ
ลำบากให้แก่แม่ทัพมังกรอยู่บ้าง

แต่ทว่าพวกเขาก็ถูกแม่ทัพมังกรเล่นงานจนแตกพ่ายอยู่ดี ลอว์เรนซ์ที่ได้แต่ยืน
ตาจ้องเขม็ง กับภาพความพ่ายแพ้ ของทุกๆคน เพื่อนๆของเขาถูกทำร้ายจนปางตาย
ภายในตอนนี้หัวของเขาโล่งไปหมดหัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ต่างๆนานา
แม่ทัพมังกรเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ขยับหนี เพื่อนๆของเขาส่งเสียงเรียกให้เขาหนีไป
แต่ว่าเสียงเหล่านั้นก็ไปไม่ถึงเขาเสียแล้ว



“ เราจะไปกันหรือยังล่ะท่านผู้นั้นรออยู่ ”
แม่ทัพมังกรกล่าวพร้อมกับ ยื่นมือไปแตะไหล่ของเขา แต่เขาก็ยังคงนิ่งเงียบ
ตอนนี้แววตาของเขานั้น เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว ดูเย็นชาและไร้อารมณ์ ผมเผ้า
หย่อนลง เขายิ้มอย่างมีเลศนัย

“ อย่ามาแตะตัวข้าไอ้สวะ ”
เขากล่าวเสียงเหี้ยม ก่อนที่จะตวัดดาบซึ่งมีคมเป็นสีแดงรูปร่างแปลกประหลาด
ฟันแขนของแม่ทัพกรจนขาดท่อน แม่ทัพมังกร ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

โลหิตที่ไหลออกมากระเด็นเปรอะเปื้อน ใบหน้าของ Lr นั่นยิ่งทำให้เขาดูน่าหวาดกลัวกว่าที่แล้วมาอีก
ปีกนกสีดำขนาดใหญ่กางออกมาจากหลังของเขา ดราก้อนฮอลลี่ เริ่มปล่อยควันสีดำออกมา
เข้าคลุมร่างของเขาก่อนจะจางออกไป เผยให้เห็นร่างของอัศวินมังกร ร่างของมันหาได้ปกคลุมด้วยเกล็ดมังกรเหมือนอย่างทุกทีไม่ หากแต่เป็นเหล็กไหล ปีกของมันมีรูปร่างคล้ายกับดาบที่ Lr ถือเมื่อครู่ซึ่งตอนนี้
ดาบนั้นได้เปลี่ยนรูปไปเป็นดาบยาวแบบคาตานะของพวกซามูไร

“ เมื่อใดที่ความกลัวแข็งแกร่งไม่ว่าเทพหรือปีศาจก็ล้วนต้องสยบ นามกรของข้าคือ มุรามาซะโซล (Muramasa Soul) ”
ร่างนั้นกล่าวก่อนจะควงดาบยาวในมือพร้อมกับที่มันเปลี่ยนรูปไป กลายเป็นทวนยาว



“ Fear Slash ”
สิ้นเสียงทวนยาวในมือก็สลายตัวกลายเป็น กลีบดอกสีดำจำนวนมาก ก่อนจะพุ่งเข้าโถมใส่
ร่างของแม่ทัพมังกร ทันทีที่พายุกลีบดอกไม้พุ่งผ่านไปร่างของเขา กลายเป็นชิ้นๆและสลายไป
พร้อมกับที่กลีบดอกทั้งหมดกลับมารวมกันเป็นทวนยาวอีกครั้ง

“ ลอว์เรนซ์ ”
ไลท์เอ่ยขึ้นสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของ มุรามาซะโซล ด้วยความตะลึง
ในวิธีการสังหารที่เหี้ยมโหดผิดมนุษย์มนา

“ พวกแกก็จงหายไปด้วยซะเลย ”
มุรามาซะโซล กล่าวจบก็สลายทวนของตนให้เป็นกลีบดอกอีกครั้ง
และสั่งให้มันพุ่งไปหาพวกเขากลีบดอกจำนวนมาก พุ่งตรงเข้าสู่ร่างของนีน่า
แต่เจนัสได้เอาตัวเข้ามาขวางไว้ โดยทำแล้วว่าตนคงไม่รอดแน่

แต่แล้วกลีบดอกทั้งหมดก็ ปลิวว่อนออกจากตัวเขาไปหมด มีกระแสลมซึ่งพัดมาจากด้านบน
กลีบดอกทั้งหมดกลับไปรวมตัวเป็น ทวนยาวอีกครั้ง

มุรามาซะโซลพยายามจะมองหาผู้ที่สกัดการโจมตีของตนและเมื่อหันขึ้นไปบนฟ้ากริฟฟิน
ตัวหนึ่งซึ่งขนของมันทอประกายเป็นสีรุ้ง กำลังบินอยู่เหนือพวกเขา มันโรยตัวลงมา
ขวางพวกเขาเอาไว้จากมุรามาซะโซล  ผู้ที่ขี่กริฟฟินนั้นก็คือกาเทียนั่นเอง

ทันทีที่กาเทียปรากฏต่อหน้าของนีน่า นางก็จำได้ทันทีว่า เขาคือลูกพี่ลูกน้องของนาง
พร้อมกับความทรงจำในวัยเด็กที่นางถูกเหล่าญาติๆพากันเกลียดชัง
มีเพียงกาเทียเท่านั้นที่คอย ปลอบโยนนาง ในวันที่ทำพิธีรับสืบทอด ซึ่งการที่นางได้เป็นผู้รับสืบทอดนั้น
ทำให้เหล่าญาติๆไม่พอใจและคิดจะฆ่านางเสีย ในตอนนั้นเจนัสได้เข้ามาช่วยนางและฆ่าพวกญาติ
ที่จะสังหารนางจนหมด ในวันนั้นกาเทีย ที่คิดจะหนีออกจากตระกูลซึ่งเขาได้คิดจะมาช่วยนางหนีออกไปด้วย

ก็ได้มาพบนางและได้เห็นว่าเจนัส ลงทมือสังหารทุกคน ซึ่งนางเข้าใจว่ากาเทียคงจะคิดว่าเจนัสเป็นศัตรู
ตอนนี้ความวิตกเริ่มเกิดขึ้นมาแล้ว หากพี่ชายเธอเห็นเจนัสก็คงไม่วายที่จะเข้ามาประหัตประหารกันเป็นแน่

(ไมมันสร้างศัตรูเยอะจังวะเนี่ยไอ้เจนัส)


“ นี่นายน่ะเจนัสใช่มั้ย ”
กาเทียถามซึ่งเจนัสเองก็พยักหน้ารับซึ่งนีน่าเองก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่
แต่คำตอบของกาเทียนั้นทำให้นางแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง

“ หนี้ที่นายช่วยนีน่าไว้เมื่อสี่ปีก่อนน่ะชั้นมาใช้คืนให้แล้ว ที่แล้วมาขอบใจมากนะ ”
กาเทียกล่าวสร้างความฉงนให้แก่ทุกคนยิ่งนัก

“ นี่นายรู้แล้วเหรอ ”
เจนัสเปรยเสียงเบา

“ อืม ปราชญ์มังกรชื่ออีสควอทียบอกให้ชั้นรู้หมดแล้วล่ะ รวมถึงเรื่องพลังด้านลบของดราก้อนฮอลลี่
แผ่ออกมาตอนนี้ด้วย แต่ดูเหมือนชั้นจะมาช้าไปนะ ”
กาเทียกล่าวพร้อมกับกระชัดดาบในมือแน่นริคุที่เห็นดาบเล่มนั้นก็ตาเบิกโผลงด้วยความตะลึง

“ นั่นมันดาบศักดิ์สิทธ์แห่งเฟ็นเรีย ชินเซเบอร์(Shin Saber) นี่นายไปเอามาได้ยังไงกัน ”
ริคุถามด้วยความสงสัย

“ อ๋อนี่น่ะเหรอ ชั้นเก็บมันได้ตอนออกเดินทางเมื่อหลายปีก่อนน่ะ แสดงว่านายคือคนของเฟ็นเรียสินะ ”
กาเทียหันมาถามริคุซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ

“ งั้นก็ดีเลยรู้วิธีใช้ใช่ไหม ”
กาเทียถาม

“ อืมแต่การจะปลดปล่อยพลังของชินเซเบอร์น่ะต้องเป็นผู้ที่ถูกเลือกแล้วเท่านั้นโดยต้องตั้ง
จิตมั่นนึกถึงสิ่งที่คิดจะปกป้องเพราะมันเป็นดาบที่เกิดมาเพื่อการนั้น ”
ริคุกล่าว

“ ถ้าเรื่องนั้นไม่มีปัญหาเพราะชั้นได้รับเลือกจากมันแล้ว ”
สิ้นคำกาเทียทำสมาธิของตนให้แน่วแน่ ก่อนที่ดาบจะเปล่งแสงออกมา
เกิดสายฟ้าฟาดลงมาตรงหน้าเขา พร้อมกับการปรากฏตัวของ
มังกรปีกสีขาวขนาดใหญ่ มันเป็นมังกรในตำนานซึ่งคืออาวุธแห่งเหล่าทวยเทพ
โกรอทพาลม่า(Gorothparma , the Weapon of Gods)



“ หึอาวุธเทพโกรอทพาลม่ารึคิดจะเอาไอ้มาสู้กับข้ารึไงกัน ”
มุรามาซะโซล หัวเราะในลำคอด้วยความขบขัน ก่อนจะพุ่งทะยานเข้าปะทะกับโกรอทพาลม่า
ซึ่งแม้โกรอทพาลม่าจะทรงอานุภาพแค่ไหนแต่ก็เคลื่อนไหวได้เชื่องช้าจึงตกเป็นรอง
มุรามาซะโซลในทันที

“ White Thunder ” (สายฟ้าขาว)     (รู้สึกจะเหมือนบีสต์เทพมรณะเข้าไปทุกทีแล้วสิ)
สิ้นเสียงสายฟ้าสีขาวจำนวนห้าสายก็พุ่งลงมาจากฟ้า แต่มุรามาซะโซลก็หลบได้ทั้งหมดก่อน
จะเปลี่ยนทวนให้เป็นกลีบดอกไม้และส่งมันถาโถมใส่โกรอทพาลม่า
แต่กลีบทุกกลีบก็ถูกคลื่นไฟฟ้าจากตัวโกรอทพาลม่า สกัดเอาไว้ก่อนจะถึงตัว
 ทันทีที่กาเทียตวัดดาบ โกรอทพาลม่าก็ส่งแรงดันไฟฟ้าออกมา ทำให้กลีบทั้งหมด
พุ่งเข้าเล่นงานตัวมุรามาซะเสียเอง
แต่กลีบทั้งหมดก็กลับมารวมตัวกลายเป็นทวนก่อนจะถึงตัวเขา

“ สามารถควบคุมโกรอทพาลม่า ได้อย่างคล่องแคล่วจริงข้าขอชมเชย แต่การที่เจ้าต้องประคองพลังอันมหาศาลขนาดนั้นไว้น่ะมันคงจะหนักมาสินะงั้นอีกไม่นานก็จบเกมส์หึๆ ”
มุรามาซะโซล ยิ้มเยาะด้วยความพึงพอใจ ซึ่งนั่นก็จริงเพราะตอนนี้กาเทียเริ่มหอบเหนื่อยขึ้นมาบ้างแล้ว
กับการที่ต้องคุมพลังอันมหาศาลของโกรอทพาลม่า หากยื้อไว้นานเขาอาจสูญเสียการควบคุมได้

“ ปิดฉากซะโกรอทพาลม่า.. ”
กาเทียกล่าวจบก็ตวัดดาบอีกครั้ง โกรอทพาลม่าจึงยกกรงเล็บทั้งสองข้างขึ้นมาประสานกัน
และเริ่มสะสมประจุไฟฟ้าในอากาศ มาเรื่อยๆจนเกิดเป็นคลื่นไฟฟ้าไหลเป็นสายไปมาระหว่างกรงเล็บ

“ Lighting Claw ” (กรงเล็บอัสนีบาต)
สิ้นคำคลื่นแสงสายฟ้าก็ถูกตวัดออกจากกรงเล็บ เข้าถาโถมใส่มุรามาซะโซล
ทว่ามุรามาซะโซลก็ ควงทวนอย่างรวดเร็วจนมันหมุนเป็นใบพัดดูดกลืนเอาแสงเหล่านั้นเข้าไป
จนสิ้นก่อนจะย้อนมันกลับไปยิงใส่โกรอทพาลม่า ที่ใช้พลังไปจนสิ้น จึงไม่อาจขยับได้

ทำให้ต้องรับการโจมตีของตนอย่างจังก่อน จะสลายเป็นแสงกลับขึ้นฟ้าไป
กาเทียได้ใช้พลังของตนจนหมดสิ้นไปแล้ว ก็ทรุดล้มลง มุรามาซะโซลเดินเข้ามาใกล้
พวกเขา ก่อนที่จะยกทวนขึ้นเพื่อจะจบชีวิตของเขา เจนัสก็เข้ามาคว้าขาของเขาไว้


“ อย่านะลอว์เรนซ์ พอได้แล้ว ศัตรูมันก็ไปกันหมดแล้วเราจะมาสู้กันเองทำไม ”
เจนัสกล่าวขณะที่คว้า ขาของเขาเอาไว้แน่น เขามองลงมายังเจนัสที่ร่อแร่เต็มที
ด้วยสายตาดูถูกเหยีดหยาม

“ พวกสวะอย่ามาแตะตัวข้า ปล่อยซะไม่งั้นแกก็ตายคนแรกเลย ”
เขากล่าวจบก็ย้ายทวนมายังเจนัสก่อนที่จะทันได้แทงลงไป
ก็มีเส้นเอ็นพุ่งเข้ามารั้งมือเขาไว้ เรโค่เป็นผู้ที่ยับยั้งเค้าไว้น่ะเอง

“ คิดจะช่วยมันรึ งั้นก็ตายซะ ”
สิ้นคำมุรามาซะก็ สลายทวนให้เป็นกลีบดอกอีกครั้ง
และส่งมันไปพัดร่างของนางและเซโร่ที่ถูกผนึกในน้ำแข็งให้ร่วงหล่นลง
ไปจากยอด และหายลึกลงไปในหุบเหว ก่อนจะเรียกกลีบกลับมา
รวมเป็นทวนอีกครั้ง

“ ลอว์เรนซ์ ”
ลากูน่ากล่าวเสียงอ่อยขณะที่เข้าคว้าขาอีกข้าง
ของเขา


“ หึ..พวกแกนี่อาลัย อาวรณ์กันดีจริงๆนะแต่ก็ต้องขอบใจความเป็นห่วงกันและกันของพวกแกนี่ล่ะเพราะ
ข้าเกิดขึ้นมาจากความกลัวของเจ้าของร่าง  ”
คำพูดของมุรามาซะโซลทำให้พวกเขา สงสัยขึ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับ ลอว์เรนซ์กันแน่

“ กลัวงั้นเหรอ อย่างนายน่ะเหรอกลัว ลอว์เรนซ์ ไม่จริงหรอกกี่ครั้งมาแล้วที่นาย
สู้มาตลอดนายเคยกลัวอะไรซะที่ไหนล่ะลอว์เรนซ์ ”
เจนัสกล่าว ซึ่งมุรามาซะโซลที่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะในลำคอ ก่อนจะกล่าวตอบ

“ จริงของเจ้า เดิมทีเจ้าของร่างข้าไม่เคยกลัวศัตรูหน้าไหนอยู่แล้ว แต่ความกลัวนี้มันไม่ใช่กลัวศัตรู ”
 มุรามาซะตอบ

“ ถ้างั้นกลัวอะไรล่ะ..อะไรที่ทำให้นายกลายเป็นแบบนี้ ลอว์เรนซ์ ”
ลากูน่ากล่าวถามบ้าง

“ กลัวที่จะสูญเสียยังไงล่ะ…ความกลัวที่จะต้องเสียพวกเจ้าที่เป็นเพื่อนไป กลัวที่ไม่อาจช่วยพวกเจ้าได้
ความกลัวนั้นทำให้เกิดความต้องการพลังและมันก็คือที่มาของพลังซึ่งก็คือตัวข้ายังไงล่ะ ”
มุรามาซะโซลกล่าว พวกเจนัสที่ด้ยินดังนั้นจึงปล่อยขาของเขาออก
นั่นทำให้เขา เกิดความสงสัยขึ้นมา

“ หมดอาลัยตายหยากแล้วหรือไง หือ ”
เขาถามด้วยความอยากรู้ แต่เจนัสก็ยันตัว ขึ้นมาพร้อมกันกับที่นีน่าลากูน่า
เองก็ลุกขึ้นมาแล้ว

“ รู้อะไรไหม…พวกชั้นทำไมถึงได้เอาแต่หมอบอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้โดยที่ไม่ลุกขึ้นมาเลย ”
เจนัสเปรยเสียงเรียบ

“ นั่นก็เพราะเรารอเวลาอยู่ไงล่ะ ”
ลากูน่าต่อท้ายให้ ทำให้ความสงสัยของเขายิ่งทวีมากขึ้น

“ พร้อมจะตื่นหรือยังล่พ ลอว์เรนซ์ ”
นีน่ากล่าวจบพวกเขาทั้งสามก็กลายร่างเป็นสมิงทันที ผลจากแอมเบอร์ฟอร์มที่ผนึกพลังกลายร่างของเจนัสได้หายไปแล้ว  พวกเขาทั้งสามพากันรั้งตัวมุรามาซะโซลเอาไว้ ซึ่งแม้มุรามาซะโซลจะมี พลังมากแค่ไหน
แต่การที่ถูกทั้งสามเข้าจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ก็ทำให้เขาไม่อาจรับมือได้ทัน จนในที่สุดพวกเขาก็ล้มลง
ไป มุรามาซะยังคงพยายามดิ้นให้หลุดอยู่อย่างไม่ย่อท้อ

“ ตื่นขึ้นมาซะที ลอว์เรนซ์ ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว ”
เจนัสกล่าวขณะที่ออกแรงรั้งตัวเขาให้มากขึ้น

“ พวกเราไม่เป็นอะไรแล้ว นายไม่ต้องสู้อีกแล้วลอว์เรนซ์ ”
ลากูน่าออกแรงกดให้มากกว่าเดิมขณะที่กล่าวไปด้วย

“ กลับมาได้แล้วเรารอเธออยู่นะลอว์เรนซ์ ”
นีน่ากล่าวขณะเดียวกัน พวกลูกมังกรก็ เข้ามาช่วยรั้งตัวเอาไว้ด้วย

“ หนอยเจ้าพวกสวะน่ารำคาญ ”
มุรามาซะโซล คำรามก้องก่อนจะผลักทุกคนกระเด็นออกไป
ทว่าก็มีเส้นเอ็นลวด พุ่งเข้ามาตรึงเขาไว้อีก เรโค่ที่บินขึ้นมาจากก้นเหว
พร้อมกับเหล่าภูตสาวทั้งสองตนที่ช่วยยก ร่างของเซโร่ที่ยังคงอยูในผลึกน้ำแข็งขึ้นมาด้วย

เทียแมตกับแกรนเดครอสก็เข้าตรึงแขนและขาของเขาเอาไว้เช่นกัน
ตอนนี้เขาไม่อาจดิ้นให้หลุดได้อีกแล้ว

“ แล้วจะทำยังดีล่ะ เรียกเท่าไหร่เค้าก็ไม่รู้สึกตัวซักที ”
เจนัสกล่าวขณะที่ยันตัวขึ้นมา

“ กีซซซซซ ”(จริงสิจี้ห้อยคอที่เราได้มาจากคุณปู่ไง)
วิลเปรยขึ้นขณะที่คิดหาทาง ช่วยเขาก็นึกขึ้นมาถึงคำพูดของปู่ตอนที่รับจี้ห้อยคอนี้มา
ซึ่งมันเป็นของที่เกรเกอรี่มอบให้ ซึ่งมันมีพลังที่จะขับไล่ความชั่วร้าย
ออกจากร่างได้ ในตอนที่ทุกคนโดนมนต์สะกดของจาไนท์ ในวันแรกที่เขาไปเรียน
จี้ห้อยคอนี้ก็ได้ช่วย ลอว์เรนซ์มาไว้ครั้งนึงแล้ว

“ กีซซซซซซซ ”(เออใช่สร้อยของวิลไง เอามันไปใส่ให้ลอว์เรนซ์เร็ว)
นิทินโคกล่าวจบพวกเขาก็เอาจี้ห้อยคอไปคล้องให้มุรามาซะโซล
ซึ่งทันทีที่ ค้องลงไปมุรามาซะโซลก็ ร้องโหยหวนออกมา และดิ้นพล่านมากกว่าเดิมจน
สลัด แกรนเดครอส กับ เทียแมตออกไป แต่เมทาไนท์กับกาเทียก็เข้ามารั้งแขนของเขาไว้
ไม่ให้ดึง จี้ ออก จากนั้นทุกคนก็เข้ามารวบตัวเขาไว้ จนขยับไม่ได้เรโค่ และภูตสาวทั้งสองก็เข้ามาช่วยด้วย

“ กีซซซซ ”(ตอนนี้ล่ะถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็เสียงของพวกเราต้องส่งไปถึงเขาแน่)
อควา กล่าวจบพวกเขาก็ช่วยกันเรียกลอว์เรนซ์ ให้คืนสติ เสียงเรียกของทุกคนดังก้อง
ไปทั่วจนมุรามาซะโซลที่ถูกพลังของจี้เล่นงานอยู่ กับเสียงของทุกคนที่คอยเรียกให้ลอว์เรนซ์
ฟื้นขึ้นมา ทำให้พลังของเขาหมดไป ก่อนที่จะแน่นิ่งไม่ไหวติ่ง ตาเหลือกขึ้นและสลายร่างกลับเป็น
ลอว์เรนซ์(Lr) อีกครั้ง เขาค่อยๆเบิกตาขึ้น  ทุกคนที่เห็นเขาฟื้นต่างก็พากันโล่งใจและโห่ร้องด้วยความ
ปิติยินดี
..............
........................
...............................

หลังจากนั้น กาเทียและนีน่าก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้แก่ทุกคนแต่ว่าตัวนีน่าเอง
ตอนนี้ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ที่เธอทำร้ายเจนัสไป ทั้งที่เจนัสเองก็ไม่ได้ถือโกรธอะไร
ริคุ ที่กลับมาแล้วนั้น ก็ได้ขอแยกทางกับพวกเขาไป โดยไม่ได้บอกกล่าว เพราะไม่อาจ

ละทิ้งความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำกับพวกเจนัสตลอดที่แล้วมาในตอนที่เขาเป็นเครสเซนท์ได้
จึงออกเดินทางไปเพื่อที่จะสำนึกผิด ส่วนนอฟฮอฟก็ได้สนทนากับพ่อของเธอเทียแมต
อย่างเปิดใจ  ทว่า Lr กลับซึมเศร้าไปหลังจากที่ได้กลายเป็นมุรามาซะโซล และ
ทำร้ายเพื่อนๆของตนลงไป เรโค่ได้พาเซโร่ที่ถูกแช่แข็งไว้ ไปที่อื่นด้วยมนต์เคลื่อนย้ายพร้อมกับตัวเธอเอง

โดยไม่บอกอะไรทิ้งไว้ บันทึกที่ได้รับมานั้นกาเทียรับอาสาเป็นคนเอาไปส่งให้แก่เกรเกอรี่เอง
พร้อมกับจะไปแจ้งเรื่องที่ฐานกำลังทางเหนือถูกทำลายไปแล้ว เขาจึงออกเดินทางไปภายในวันนั้นเสีย
ส่วนพวก Lr นั้น ตกลงกันว่าจะเดินทางกลับกันหลังจากที่แผลหายดีและขอเวลาทำใจซักระยะ

ตอนนี้การต่อสู้ของพวกเขาได้จบลงโดยกวาดล้าง เทพขุนพลไปได้หลายคนแล้วเช่นกันบัดนี้เหลือเทพขุนพล
อีกเพียง5 คนเท่านั้น หลังจากนี้ไปการต่อสู้ก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าทุกครั้งเป็นแน่

Endding Dragoon Age’


โปรดติดตามตอนต่อไป

ในตอนหน้าจะเป็นการขึ้นต้นของภาคสุดท้าย The Last Legend of The Thaliwilya

หลังจากที่กรำศึกหนักมาโดยตลอดเหล่านักรบก็ได้ มีโอกาสพักจากการต่อสู้เสียที
พวกเขาได้นึกย้อนรำลึกถึงเรื่องที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้

“ สุขสันต์วันเกิด ”
งานแห่งการระลึกถึงอดีตที่เต็มไปด้วยความเศร้า


“ จากนี้ไปอนาคตที่สดใสคงจะรอพวกเราอยู่.. ”
ความหวังที่ไม่มีวันเป็นจริง

“ ที่รอพวกเจ้าอยู่จากนี้คือนรกต่างหากล่ะ ”
คำตอบจากพญามาร หนทางที่มืดลง

“ คิดจะอยู่กับพวกมดปลวกนี่ไปถึงไหนข้ามารับเจ้าแล้วซาราเบลด ”
“ ท่านผู้นั้น..แกเป็นใครกันแน่ ”

“ ข้าคือคนที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้าดีที่สุดไม่ว่าแม่ของเจ้าเป็นใครและพี่ชายเจ้าเป็นใครรวมไปถึง
เชื้อกำเนิดของเจ้าด้วย ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด ”

“ รู้ว่าเราเป็นใครงั้นเหรอ..นี่รึว่าแกคือ ”

“ ถูกแล้วข้าคือ ? ของเจ้าไงล่ะ  ”
ความจริงที่ปรากฏ ตัวตนที่แท้จริงของท่านผู้นั้นคือ

“ อย่าไปนะ ลอว์เรนซ์ ”
“ ลาก่อนนะ..ทุกคน ”
หนทางที่ไร้ทางเลือก

สุดท้ายแล้วนี้ จากอดีตที่รันทดก็จะนำไปสู่อนาคตที่ไม่มีวันสดใสจริงหรือ
และซาราเบลดคืออะไรติดตามได้ในตอนต่อไป

บทที่ 26 จุดเริ่มต้นแสนเศร้าสู่อนาคตที่หม่นหมอง



รู้สึกบทนี้มันน้ำเน่ามากๆเลย นะครับเจนัสมีบทเยอะกว่าทุกทีเลยแหะ แถมตอนนี้เหมือนมาส์คไรเดอร์คาบูโตะเลยอ่ะนี่ผมคิดไว้นานแล้วนาตั้งแต่ยังไม่เคยดูคาบูโตะเลย ไปๆมาๆไปซ้ำกันซะงั้นช่างเถอะอย่าไปถือเลยครับไม่ใช่ส่วนสำคัญ
ว่าแต่ตอนหน้าเปิดภาคมาก็มันส์เลยท่านผู้นั้นออกโรงเองเลยเหอๆแล้ว
จะสู้ไหวมั้ยเนี่ย







Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #222 on: July 13, 2008, 08:48:52 PM »

พระเอกของเราจะตายอย่างนั้นเหรอ   
ปล.เนื้อเรื่องภายหลังเศร้ามากเลย เหมือนเรื่อง d gray man ยังไงไม่รู้  ความจริงโหดร้ายกว่าที่คิด     
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #223 on: July 13, 2008, 09:00:15 PM »

เอ่อคือตายเลยเหรอครับ อ่านตอนต่อไปมันชวนให้เข้าใจผิดขนาดนี้เลยเหรอ 
ไม่ตายคร้าบตายก็จบสิเอ็ะหรือว่าตายแล้วเปลี่ยนพระเอก
ช่างเถอะว่าแต่บทที่ 26 นี่ผมอัพวันศุกร์เลยนะครับ เพราะมันเป็นวันหยุดยาวสี่วัน เพราะฉนั้น
จะลงให้สองตอนเลยถ้าเป็นไปได้ก็ถ้าทันล่ะนะ
Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #224 on: July 15, 2008, 02:28:32 AM »

โฮ้โฮ่ๆๆๆๆๆ การูรูม่อนมาแว้วววววว  คราวก่อนเราแอบเอาไอดีเจ่าเกรย์มา
ตั้งแบบสอบถามมันก็ดันไปลบ
คราวนี้ล่ะมันลบไม่ได้แน่เพราะเราเอาไอดีตัวเอง 555555+
วันนี้เดี้ยนจะมาขอถามหน่อยฮ้า

ตั้งแต่บทที่24-25มาเนี่ยมีตัวละครล้มหายตายจากไปเยอะจริงๆโดยเฉพาะเทพขุนพลเนี่ยล่ะตายเยอะมาก
ถึงก่อนหน้านี้มาจะน่าหมันไส้มากๆก็เถอะ แต่ในบทที่25นั้นได้มีซีนของเทพขุนพล
คนนึง ที่แสดงมาดเท่ห์ออกมาฮิฮิ รู้สึกบทพูดจะอันนี้นา ถูกใจเดี้ยมมากเลยฮ้า

Quote
“ เพื่อนงั้นหรือ ความเชื่อใจงั้นหรือ ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากจะลองสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับพวกเจ้าดู
บ้างเหมือนกันมันคงเป็นความรู้สึกที่ดีไม่น้อย ”
ความนึกคิดสุดท้ายของเครสเซนท์ที่หวังจะได้ต่อสู้โดยมีพวกพ้องที่เชื่อใจกันนั้น
คือสิ่งสุดท้ายที่เขาไม่อาจได้สัมผัสจนวาระสุดท้าย


ประโยคนี้ล่ะถูกใจสุดๆ แมนอะไรอย่างนี้ ว่าแล้วเดี้ยนก็ขอถามเลยนะฮ้าว่า คุณผู้อ่านทุกๆท่าน
คิดว่าเทพขุนพลคนไหนน่าเห็นใจมากที่สุดในบทที่ 25 ลองเลือกมาซักสองสามคนจากนี้ดูนะฮ้า

1.เจนัส ถูกซ้อมไปหลายดอกเลยตบทนี้

2.นีน่า เข้าใจผิดว่าเจนัสฆ่าญาติๆของเธอเพื่อต้องการให้เธอทรมานทั้งที่จริง
แล้วช่วยเธอเอาไว้จากพวกญาติที่ต้องการจะฆ่าเธอ

3.เครสเซนท์ ยอมสละชีวิตของตนเพื่อช่วยพวกเจนัส

4. เซอร์เซส น่าเห็นใจตรงไหนเนี่ย

5. นักประดิษฐ์เกือบไม่รอด

6. แม่ทัพมังกร Dragon General ถูกฆ่าแบบอำมหิตหลุดเป็นชิ้นๆ อ้าาาา

ชอบตัวถูกใจยังไงก็บอกมาเลยฮ้า

ส่วนสุดท้ายยังจำประโยคนี้ได้ไหมเอ่ย

“ ถูกแล้วข้าคือ ? ของเจ้าไงล่ะ  ”

? เจ้าเครื่องหมายในบทพูดนี้เจ้าเกรย์ม่อนมัน
ละไว้เพื่อไม่ให้เนื้อเรื่องรั่วแต่ก็พอจะเดาได้รางๆว่า นี่คือคำที่จะบอกถึงสถานะ
ของท่านผู้นั้นซึ่งน่าจะมีอะไรเกี่ยวกับ Lr บ้างล่ะน่ะ ถามมันมันไม่บอกด้วยให้รอดูเอาเอง
ก็เลยกะจะมาทายกันเล่นมันบอกใบ้มาให้ด้วย
ลองมาทายกันดีกว่านะ

“ ถูกแล้วข้าคือ ? ของเจ้าไงล่ะ  ” ? ในประโยคคือ

1. คนรัก(สงสัยจะเป็นเทียจัง จากตอนวันวาเลนไทน์)
.
2. คู่เกย์    อ่านะเอ่อ.... โนคอมเม้น พูดไม่ออก

3.แม่ อันนี้สิน่าจะเป็นไปได้

4.ตัวตนด้านมืด ถ้าเป็นอันนี้ล่ะก็ ยูกิเกมกลคนอัจฉริยะชัดๆ

5. คนที่ฆ่าพ่อ...เคาท์พันปี 555+   เอ่อ d Gray Man เหรอ ไม่เคยดูอ่า

6.พี่ชาย ตกลงไม่ใช่เมทาไนท์ใช่มะ 

7. คนเขียนเรื่องนี้  ไม่มีทางตอบข้อนี้ชัวร์


ส่วนตัวแล้วเจ็ ขอเลือกข้อ 1 กะ 3 ดีกว่าน่าจะเป็นไปได้ ส่วนข้ออื่นๆนี่โดยเฉพาะข้อ 2 5 6 และ7
เนี่ยถ้าใช่เราก็เลิกกันเหอะมันคงบ้าไปแล้ว

ถ้ายังไงลองเอาไปทายเล่นดูนะ ต้องรีบชิ่งก่อนเดี๋ยวมันมาบายฮ่ะ


Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #225 on: July 15, 2008, 03:41:35 PM »

คนที่น่าเห็นใจน่าจะเป็นนีน่า  (ขอพ่วงตามด้วยลอเรนซ์)
ส่วนอีกอันน่าจะเป็นคุณพ่อของลอเรนซ์หรือเปล่า   
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #226 on: July 16, 2008, 01:39:59 AM »

โอ้ว เจ้าการูรูม่อนสุดท้ายก็มาป่วนจนได้นะ ไม่อยากเชื่อ คุณ boy ทายถูก
ทั้งที่ไม่มีในช้อยนะน่ะ เจ้าการูรูม่อนก็นะอุตส่าให้ช้อยหลอกๆไปมันยังอุตส่าลำบากมาตั้งเน้อ
 เอาเถอะครับเดี๋ยวรอดูวันศุกร์นี้ดีกว่า เพราะอาทิตย์นี้ว่าจะอัพเพิ่ม2บทเลย
 ที่จริงพูดความสัมพันธ์ของตระกูลสามตระกูลนั้นดูจะยังไม่ค่อยกระจ่างดีเลย

อ่านแล้วยัง งงๆ กันอยู่บ้างไหมครับถ้ายัง งง อยู่ล่ะก็รอดูวันศุกร์นี้ครับ
เพราะจะเกริ่นเรื่องทั้งหมดในอดีตให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบเลยครับ
« Last Edit: July 16, 2008, 11:29:35 AM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #227 on: July 18, 2008, 07:13:15 PM »

Last Legend of The Thaliwilya




บทที่ 26 จุดเริ่มต้นแสนเศร้าสู่อนาคตที่หม่นหมอง

    9 ปีก่อน
ณ อาณาจักรแห่งเกียรติยศอันเกรียงไกรฟีเลเซีย ซึ่งบัดนี้ถูกปกคลุมด้วยเมฆฝน เม็ดฝนหยาดใหญ่
โปรยปรายให้ความชุ่มชื้นแก่ ผืนดินลมอ่อนคอยพัดโชยสายฝนให้สาดกระเซ็นไปต่างหน้าต่าง
ก่อนจะไหลลงสู่ดิน เรื่องราวทั้งหมดได้เริ่มขึ้นจากตรงนี้ ยังคฤหาสน์ ซึ่งตั้งอยู่ ในเมืองเอรีมซึ่งได้บูรณะขึ้นมาหลังจบสงครามสี่อาณาจักรได้ไม่กี่ปี คฤหาสน์หลังนี้ ตั้งอยู่ในสวนซึ่งล้อมรอบด้วย สวนหย่อม

ที่หน้าประตูใหญ่กลุ่มคนซึ่งมีด้วยกันถึงสิบกว่าคนขึ้นไป กำลังชุมนุมกันอยู่หน้าคฤหาสน์โดย
ที่กลุ่มหลังนั้นเป็นนายทหารกว่าสิบคน และกลุ่มด้านหน้าซึ่งสาวรับใช้ สี่โดยแต่คนจะถือ
เสาไม้ยาวเรียวซึ่งขึงผ้าใบสีแดงขลิบทองเอาไว้เหนือหัวจนดูราวกับ เป็นเต็นท์ผ้าใบกันฝนเคลื่อนที่ได้

ที่ใต้ร่มนั้นนอกจากสาวรับใช้ ได้มีกลุ่มคนอีกหก กำลังสนทนากันอยู่ใต้ร่ม
โดยที่ชายวัยกลางคนซึ่งมีผมสีทองสวมชุดเกราะเต็มยศมือทั้งสอง โอบอุ้มหมวกเหล็ก
เอาไว้ และข้างกันนั้น หญิงผมทองสวมชุดผ้าไหมกระโปงจีบเป็นชั้น นางจูงมือเด็กชายซึ่งอายุประมาณห้าปีได้
เขามีผมสีทองเช่นเดียวกับแม่และพ่อของเขา ถัดไปจากนั้น ครึ่งสมิง หมาป่าขนสีดำในชุดเสื้อคลุมใบหน้าของเขาถูกปกคลุมด้วยเคราสีขาว และข้างนางครึ่งสมิงหมาป่าขนสีเงินซึ่ง
มือทั้งสองของนางอุ้มลูกน้อยซึ่งเป็นครึ่งสมิงหมาป่าขนสีดำ เขานอนหลับอยู่ในอ้อมอกของผู้เป็นแม่
ที่ใกล้กันนั้น หญิงชราอีกคนมือทั้งสองของนางกุมหัวไม้เท้าเหล็กซึ่งยันตัวนางเอาไว้ หลังของนางโค้งงอจากความชรา

“ ต้องรีบขนาดนี้เลยเหรอคะ ”
หญิงผมทองกล่าวน้ำเสียงอ้อนวอน

“ งานนี้เป็นเรื่องสำคัญมากข้าต้องรีบไปที่วิหาร St. Laurence โดยเร็วที่สุดเลย ” (วิหารนี้เป็นวิหารที่
สร้างขึ้นเเพื่อเป็นเกรียติแด่ อัศวินมังกรทาลิวิลย่า ตามท้องเรื่องครับ)
ชายผมทองกล่าวกับนางซึ่งเป็นภรรยาซึ่งนางเองพอได้ยินเช่นนั้น ก็ก้มสลดลงด้วยความเศร้า

“ อย่าห่วงไปเลยข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด ”
ชายผู้เป็นสามีกล่าวก่อนจะเหลียวไปมองยังบุคคลทั้งสามที่อยู่ ถัดไป

“ ระหว่างที่เราไม่อยู่ขอฝากซาเรีย (Saria) กับกาเร็ท (Garet) ไว้กับพวกท่านด้วยนะ ”
เขากล่าวน้ำเสียงหนักแน่น

“ มิได้..ท่านไม่ต้องห่วงฉัน เซโก้ (Seiko) คนนี้ขอเอาชื่อ ตระกูล ลาเซริโอ้ (Laserio)
เป็นประกันจะปกป้องตระกูลซาราเบลดให้จงได้ ”
หญิงชรากล่าวสำทับเสียงแหลม

“ มิได้ท่านอิเดีย (Idia) พวกเรา รูลเวลล์ (Runevel) ได้คอยช่วยเหลือซาราเบลดมา
ตั้งแต่อดีตแล้วอีกทั้งแม้ตระกูลเราจะล่มสลายไปแล้วจากการโจมตีของพวกสมิงแต่ท่าน อิเดีย
ก็ยังเมตตาคอยอุปการะครอบครัวเราที่เป็นตระกูลหลักมานับว่าเป็นคุณอย่างยิ่งแล้ว
หากมีภัยมาเยือนข้าจอมเวทย์ครึ่งสมิง มาฮา รูลเวลล์ (Maha Runevel) ตนนี้จะขับไล่มันไปเอง  ”
ครึ่งสมิงหมาป่ากล่าว

“ และไม่ต้องเป็นห่วงไปหากมีอะไรเกิดขึ้น ข้า ราซานี รูลเวลล์ (Rasanee Runevel)
ผู้นี้จะใช้พลังทั้งหมดลี้ภัยไปให้ได้โปรดวางใจ.. ”
นางครึ่งสมิงหมาป่าขนสีเงินกล่าว สำทับคำพูดของสามีนาง

“ ข้าต้องขอบคุณพวกท่านมากจริงๆ ”
อิเดีย กล่าว

“ ว่าแต่นะ..ท่านมาฮา ปีนี้ต่อจากเจนัสแล้วลูกคนที่สองท่านจะตั้งชื่อว่าอะไรล่ะฮิฮิฮิ ”
เซโก้กล่าวพร้อมกับหัวเราะด้วยหน้าระรื่น

“ ข้าว่าคนที่สองจะให้ราซานี เป็นคนตั้งน่ะนะเพราะไหนๆข้าเองก็ตั้งให้เจนัสลูกคนแรกไปแล้วนี่ ”
มาฮากล่าว

“ ข้าคิดไว้นานแล้วว่าจะตั้งชื่อเค้าว่าลากูน่าเพราะชื่อนี้ข้าไปขอให้
แอสต้าช่วยดูมาให้ตอนที่พาเจนัสไปเยี่ยมนางน่ะ ”
ราซานีกล่าว



“ จะว่าไปแล้วลูกชายท่านที่พึ่งแต่งกับครึ่งสมิงแมวป่าสาวแห่งตระกูลเฟ็นเรียได้ยินว่าตอนนี้มีลูกสาวมาแล้วนี่ ”
มาฮากล่าวถามซึ่ง เซโก้เองก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่งกว่าจะกล่าวออกมาได้

“ ใช่แต่น่าเสียดายไม่ทันไรทั้งลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ตายไปหมดแล้ว.. ”
นางกล่าวเสียงสลดซึ่งนั้นทำให้ทุกคนรอบข้างถึงกับนิ่งอึ้งไป

“ อ..เอ่อคือต้องขออภัยด้วยข้าไม่รู้ว่า.. ”
มาฮากล่าวละล่ำละลักแก้ตัวไม่ถูก

“ ไม่เป็นไรข้าไม่ถือหรอกอย่าได้ใส่ใจเลยที่จริงมันเร็วเกินกว่าที่ข้าจะตั้งตัวล่ะนะ
 จู่ๆก็มาป่วยตายแล้วก็ทิ้งหลานสาวไว้กับข้าตอนนี้ข้าทำใจได้แล้วล่ะ ”
เซโก้กล่าว

“ จริงสินะได้ยินมาเหมือนกันทางตระกูลเฟ็นเรีย มาร่วมพิธีศพเมื่อเดือนก่อน ”
อิเดียกล่าว ตามความที่จำได้

“ แล้วหลานสาวเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ”
ซาเรียถามด้วยความเป็นห่วง

“ ไม่หรอกเพราะนีน่ายังไร้เดียงสาเลยไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวนักหรอกอ้อ
ข้าลืมบอกไป เจ้าลูกชายตั้งชื่อหลานว่านีน่าน่ะที่จริงแล้วพี่สะใภ้ของทางโน้นก็พึ่งจะคลอดลูกครึ่งสมิงพังพอนคนที่สองมาเหมือนกัน รู้สึกคนพี่จะชื่อริคุ นะ ”
เซโก้ตอบน้ำเสียงเรียบ พวกเขาสนทนากันถึงเรื่องครอบครัวอยู่พักใหญ่ก่อนที่ อิเดียจะเหลือเวลาไม่มากนักทั้งหมดจึงเดินออกไปส่งเขาพร้อมกับเหล่านายทหารด้านหลังเคลื่อนพลตามออกมาให้ความคุ้มครอง

“ คุณคะแล้วชื่อลูกชายของเหล่าอีกคนล่ะคะ ”
ซาเรียกล่าวถามด้วยความอาวร เพราะนางรู้สึกว่าเขาจะไม่ได้กลับมาอีก

“ อืมชื่องั้นหรือ จริงสิ ลูกคนนี้จะเป็นน้องชายของกาเร็ทแล้วสินะงั้นก็เป็นรุ่นที่ ยี่สิบ แล้วสิ ”
อิเดียกล่าวพร้อมกับเกาคางพรางใช้ความคิด

“ จะว่าไปแล้วตระกูลเราเองก็มีธรรมเนียมที่สืบต่อกันมาว่า เมื่อลูกหลานรุ่นที่ยี่สิบถือกำเนิดขึ้น
เขาคือร่างอวตารของอัศวินมังกรแห่งตำนานซึ่งเป็นต้นตระกูลซาราเบลดของเรา ให้ตั้งชื่อเขาว่าลอว์เรนซ์
เอาตามนั้นก็ละกัน ข้าไปก่อนนะที่รัก ”
เขากล่าวจบก็เหวี่ยงตัวขึ้นหลังม้าและควบฝ่าสายฝนออกไปพร้อมกับเหล่า
นายทหารหลายสิบนายที่ควบม้าตามออกไปโดยไม่เปิดโอกาสให้นางและลูกชายของตนได้บอกลา

ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็หายตัวไปและไม่กลับมาอีกเลยจนกระทั่งหนึ่งปีผ่านไปมาฮาและครอบครัวได้ให้กำเนิด
บุตรชายคนที่สองเขาเป็นครึ่งสมิงหมาป่าขนสีเงินและย้ายออกไปอยู่ที่ฟูดินัน หลังจากนั้น ซาเรียได้ให้กำเนิดบุตรคนที่สองขึ้นมาและตั้งชื่อเขาว่าลอว์เรนซ์  ในขณะเดียวกัน ภัยร้ายก็ได้คืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ
หลังจากที่โชคชะตาของลอว์เรนซ์ เริ่มเดินขึ้นมา 8 เดือนต่อมา ได้เกิดการจลาจลขึ้น
ตั้งแต่ชานเมืองจนมาถึงคฤหาสน์ โดยกลุ่มนักรบมังกรนอกรีต ซึ่งกำลังรักษาการณ์ในเมือง
เอรีมตอนนั้น อ่อนแอมาก อีกทั้งกำลังรบของศัตรูยังมากมาย เกินต้านทาน ซึ่งเป้าหมายของพวกนักรบมังกร
นอกรีตเหล่านี้คือ โค่นล้างตระกูลซาราเบลด ทว่าตระกูล ลาเซริโอ้ ได้นำกำลังเข้าช่วยเหลือตระกูลซาราเบลดอย่างสุดกำลังแต่ท้ายสุดแล้วก็ไม่อาจต้านไว้ได้ จนทำให้พวกศัตรูบุกเข้าไปในคฤหาสน์ได้
โชคยังดีที่ในวันนั้นมาฮาและครอบครัวได้แวะมาที่คฤหาสน์พร้อมกับเซโก้ทำให้มีคนพอที่จะคุ้มครองซาเรียและลูกๆได้



“ รีบพาท่านซาเรียหนีออกไปทางด้านหลังที่นี่ข้าจะรับมือเอง ”
หญิงชราเซโก้กล่าวเสียงลั่น ให้ทหารสองนาย กับ มาฮาและราซานีพาลูกของตนและซาเรียกับลูกของนาง
หลบหนีออกไปทางประตูหลัง ทันทีที่พวกนักรบมังกรนอกรีต จะตามออกไป
ทหารของตระกูลลาเซริโอ้ ก็เข้ามาขวางไว้

“ เซโก้ คนนี้สาบานไว้แล้วว่าจะปกป้องตระกูลซาราเบลดด้วยชีวิต พวกนอกรีตทั้งหลายจงดูให้ดี
นี่คือเพลงดาบผ่าตะวันแห่งตระกลู ลาเซริโอ้ ” 
เซโก้กล่าวจบนางก็ยกไม้เท้าที่คำยันเอาไว้ขึ้นมากระชับไว้ทั้งสองมือ ก่อนจะ
ดึงไม้เท้าให้แยกจากกัน ทันทีนั้นตัวดาบที่ซ่อนอยู่ในไม้เท้าก็ถูกชักออกนางทิ้งปลาย
อีกข้างของไม้เท้าไปพร้อมกับกระชับปลายไม้เท้าที่ติดกับใบดาบ

ไว้แน่นก่อนจะพุ่งผ่านศัตรูไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตานักรบมังกรนอกรีตก็ถูก
จัดการไปคนแล้วคนเล่าอย่างรวดเร็ว
ทางพวกมาฮาที่พาซาเรียหนีไปก็ถูก เหล่าดราก้อนเนโครแมนเซอร์ซึ่งควบคุมร่างซากศพ
ของมังกรดำเทียแมตเพศเมีย มาดักรอพวกเขาไว้

“ พาท่านซาเรียหนีไปก่อน ”
มาฮา สั่งให้ทหารทั้งสองพาซาดรียหนีไปส่วนตนและราซานีกับลูกๆก็อยู่รับมือโดยให้ราซานีคอยดูแล
ลูกของตนเอาไว้ ส่วนตัวเขาก็ออกหน้ารับมือกับมังกรดำเสียเอง


“ เอาล่ะจอมเวทย์ครึ่งสมิงมาฮาผู้นี้จะขอแสดงฝีมือล่ะนะ ”
มาฮากล่าวจบก็ร่ายเวทย์ขึ้นทันที เพียงพริบตาดราก้อนเนโครแมนเซอร์ก็ถูกสายฟ้า
ผ่าจนสลายสิ้นไปหลายต่อหลายคน


ทางด้านซาเรียที่หนีไปก็ขึ้นรถม้าลี้ไปยังประตูเมืองที่จะเชื่อมไปยังเขตฟูดินัน

ทันทีที่มาถึงประตูเมืองพวกนักรบมังกรนอกรีตกำลังต่อสู้กับเหล่าทหารรักษาการณ์ จน
กลายเป็นสนามรบ นางต้องลงจากรถม้าและพาลูกทั้งสองหนีอ้อมสนามรบ
ขึ้นเนินไปยังชายป่า เขตฟูดินัน แต่ทว่าภาพตรงหน้านั้นทำให้นางต้องตกตะลึง

มังกรดำเทียแมตเพศผู้ซึ่งกำลังคลุ้มคลั่งอาละวาดได้ไล่กวดชาวป่ามาหานาง จนนางต้องเข้าไปหลบในพุ่มไม้แต่แล้วสุด ท้ายเจ้ามังกรดำก็พ่นไฟเผาทำลายทุกอย่างจนนางต้องเอาชีวิตเข้าปกป้องลูกน้อย
ในอ้อมอก และตายไปต่อหน้าต่อตาลูกชายคนโต…………

ด้านมาฮานั้นหลังจากจัดการ กับศัตรูทั้งหมดลงก็ได้รับข่าวจาก
เหล่าทหารว่าเกิดการรบพุ่งกันในเส้นทางที่ซาเรียหนีไป จึงให้ราซานีใช้เวทย์เคลื่อนย้ายตนและครอบครัวไปที่เขตเผ่าสมิงซึ่งพวกตนได้ย้ายไปอยู่ที่นั่นเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อจะไปขอความช่วยเหลือจากเหล่าสมิง
แต่ทว่าความเรื่องที่พวกเขาใช้ร่างสมิงในการแฝงเข้ามาอยู่นั้นก็ได้แตกลง ก่อนที่พวกเขาจะกลับไปที่คฤหาสน์
ของซาราเบลดในวันนี้ ทำให้พวกเขาต้องลี้ ออกมาเสียเอง จนมาถึงจุดเดียวกับที่ซาเรียสิ้นชีวิตลง

กาเร็ทที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้ก็ได้ฟื้นขึ้นมาพบว่าน้องชายตนหายไปแล้ว
เขาชะเง้อขึ้นมามองหา และพบพวก มาฮา ทว่า เซอร์เซสก็ได้ปรากฏกายขึ้น
และฆ่าพวกเขาทิ้ง ในขณะที่ลูกชายของพวกเขาเจนัสและลากูน่า กำลังจะถูกเหล่าสเปคเตอร์ฆ่า
แอสต้าแม่มดแห่งจันทราก็ได้มาช่วยเอาไว้ ซึ่งนางเองก็รู้จักกับ ราซานีอยู่ก่อนแล้ว

หลังจากนั้นหลายชั่วโมงเทียแมตก็มาพาตัวเขาไป……

ภายหลังจากนั้นสองวัน พวกนักรบมังกรนอกรีตก็ถอยหายกันไป
เซโก้ที่ตาม มาจนพบกับศพของซาเรียและมาฮากับราซานี ก็ได้พาร่างของพวกเขาไปประกอบพิธี
ศพทว่าเหล่าลูกๆของพวกเขาได้หายตัวไปซึ่งเซโก้เองก็ออกคำสั่งให้ค้นหาอยู่จนทั่วแต่ก็ไม่เจอสุดท้าย
ตระกูลซาราเบลดก็ได้ล่มสลายลงไปในปีนั้น


4 ปีต่อมา

เซโก้ได้เสียชีวิตลง พิธีรับสืบทอดตระกูลของลาเซริโอ้ นีน่า ได้รับเลือก
ให้เป็นผู้สืบทอดจากคำสั่งเสียของเซโก้
ภายในงานเลี้ยงเหล่าขุนนางซึ่งเป็นคนในตระกูล ได้มารวมตัวกันเพื่อร่วมพิธี
ทว่าทันทีที่ประกาศชื่อผู้รับสืบทอดตามคำสั่งเสีย พวกญาติทั้งหลาย
ก็พากันซุบซิบนินทา นีน่า กันอย่างไม่ขาดสาย

“ เชอะนี่น่ะรึ ทายาทผู้สืบทอดตระกูลลาเซริโอ้ ”
“ ครึ่งสมิงอย่างพวกรูลเวลส์คิดจะยึดอำนาจของตระกูลเรารึไง ”
“ ใครว่านังนี่เป็นพวกเฟ็นเรียต่างหาก ”
“ ต้ายย..อย่างนี้ยิ่งต้องไม่ควรให้สืบทอดเลยไม่ใช่แม้กระทั้งรูลเวลล์ที่มีความสัมพันธ์กับเราเสียด้วยซ้ำ ”
พวกขุนนางหญิงสามคนกำลังนินทา นางอยู่ ทางด้านขุนนางชายคนหนึ่งซึ่งดูเหมือน
จะแม่ทัพ ในกองทัพ ก็กำลังสนทนาบางอย่างกับขุนนางอีกกลุ่มใหญ่

“ ฆ่ามันทิ้งซะเลยดีกว่าอย่างนังเด็กนี่น่ะมันไม่มีค่าพอจะสืบทอดตระกูลหรอก ”
“ ใช่..เพราะคนที่จะสืบทอดตระกูลได้ก็มีเพียงคุณหนูกาเทีย ที่มีสายเลือดของลาเซริโอ้อย่างแท้จริงเท่านั้นล่ะ ”
“ เพราะท่านคุณ กลับเลือกมันมากกว่าสายเลือดแท้ของตระกูลซะนี่ ดังนั้นไหนๆท่านคุณก็ตายไปแล้ว
งั้นพิธีรับสืบทอดตระกูลวันนี้ เราก็ฆ่ามันซะแล้วให้คุณหนูกาเทียขึ้นรับเป็นผู้สืบทอดซะเลยเป็นไง ”
เสียงเหล่านี้เล็ดรอดออกมาเข้าหูนางในทันที ความกลัวเริ่มเข้ากัดกินจิตใจ
ของนาง นางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่อาจขยับได้ เพราะเหล่าขุนนางทั้งหลายได้ตกลงปลงใจกันแล้วว่าจะฆ่านาง
ทว่าในตอนนั้นเอง ครึ่งสมิงเด็กชาย ซึ่งก็คือเจนัสได้เข้ามาช่วยนาง และด้วยการฝึกฝนจากเซอร์เซส
ทำให้เขาสามารถสังหารขุนนางไปได้ ทีล่ะคนๆ พวกขุนนางที่เป็นแม่ทัพนายพลก็พากันชักดาบเข้ามา
ฟันเขาแต่ก็ไม่อาจสู้กับเจนัสได้ พวกทหารยามของตระกูลถูกกันออกจากบริเวณเพราะต้องทำพิธีสืบทอดจึง
ไม่มีใครอยู่รักษาการณ์ ไม่นานนักเหล่าขุนนางชั่วที่ คิดคด จะฆ่านีน่าก็ถูกเจนัสฆ่าทิ้งเสียหมด

หลังจากวันนั้นนีน่าได้หนีหายไปนางเดินทางร่อนเร่ไปพร้อมกับแบกความทุกข์ใจ
ที่นางเป็นต้นเหตุให้เจนัสต้องมือเปื้อนเลือด ฆ่าคนในครอบครัวที่คิดฆ่าเธอ
นีน่าเดินทางรอนแรมไปเรื่อยๆจนได้พบเข้ากับเซอร์เซส

“ เจ้ากำลังทุกข์ใจอยู่สินะความทรงจำนั่นคงเจ็บปวด ถ้าเจ้ายอมที่จะมารับใช้ข้า
ล่ะก็ข้าจะปิดผนึกความทรงจำที่ทำให้เจ้าเจ็บปวดนั้นเอง ”
เซอร์เซส ยื่นข้อเสนอให้นาง

“ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยผนึกมันไปทีความทรงจำแบบนี้น่ะจะให้ทำอะไรฉันก็ยอม ”
นางกล่าวจบเซอร์เซสก็ทำการร่ายเวทย์ ปิดผนึกความทรงจำของนาง
และพาตัวนางไป

4 ปีต่อมา

อิเดีย ซาเรีย มาฮา ราซานี เซโก้
 บัดนี้ลูกหลานของพวกเขาได้มาพบกันด้วยโชคชะตานำพา ทว่าแล้วอิเดียหายไปไหนล่ะ..
ในตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดเผยแล้วในไม่ช้านี้………….

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #228 on: July 18, 2008, 07:13:37 PM »

……….
…………..
………………

1 วันก่อนการปรากฏตัวของมุรามาซะโซล


ณ บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปจากเมืองซึ่งตั้งอยู่ใกล้ชายป่า ภายในบ้าน ระหว่างที่เจ้าหญิงเรจิน่าและบิชอป
เกรเกอรี่กำลัง สนทนากันนั้น  เครื่องรับส่งสัญญาณก็ดังขึ้น ข้อความจากซิสเตอร์โรซาน่าจากแอนดิซอง
ได้ส่งมาถึงพวกเขา ซึ่งได้แจ้งเรื่องของกองกำลังทางเหนือได้ถูกโจมตี

“ หมายความว่า ตอนนี้กองกำลังทางเหนือถูกโจมตีงั้นเหรอ ”
เกรเกอรี่กล่าวใส่เครื่องรับด้วยความไม่อยากเชื่อ เจ้าหญิงเรจิน่าที่ทรงประทับอยู่ข้างๆ
ก็เอียงพระพักต์ด้วยความ งงพระทัยกับการกระทำของเขา

“ ค่ะ ตอนนี้ทางเรากำลังวุ่นวายอยู่เลยเพราะบันทึกของ
แวร์เลี่ยน เวสเล่ย์ นั้นอยู่ที่ฐานกำลังทางเหนือเสียด้วย ”
เสียงของซิสเตอร์โรซาน่า (Sister Rosana) ดังผ่านลำโพงออกมา



“ แย่ล่ะสิพวก ลอว์เรนซ์ จะเป็นอะไรรึเปล่านะ… ”
เกรเกอรี่คิดขณะนั้น ก็มีเสียงระเบิดดังแทรกเข้ามาในสาย

“ แย่แล้วพวกศัตรูมันบุกมาที่นี่แล้ว..ครืดดด ซ่าาา ”
“ นี่ คาดินัล มาซิลิโอ้ (Marsillio, Cardinal of Annedisonge) พูดเราจะถอยไปทางฟีเลเซียใน สองสามสัปดาห์แค่นี้ล่ะเลิกกัน…..ครืดดด ซ่าาาา ”
เสียงของซิสเตอร์โรซาน่า ขาดไปกลางคันโดยที่มีเสียงปึกดังแทรกเข้ามาก่อนที่เสียงของ
มาซิลิโอ้จะดังขึ้น ซึ่งเขาคงแย่ง เครื่องส่งมาจากนาง และกล่าวอย่างเร่งรีบก่อนจะตัดสายไป



นั่นยิ่งสร้างความวิตกให้แก่เกรเกอรี่เป็นทวีคูณ เพราะสัญญาณที่ส่งมานั้นมาจาก
สภาศาสนาสูงแห่งแอนดิซอง ซึ่งถือเป็นกองบัญชาการสูงสุดของกองกำลังต่อต้าน
หรือกองทัพศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถูกรวบรวมขึ้นมาใหม่นั้นเอง ทว่าบัดนี้
ฐานใหญ่ได้ถูกบุกโจมตีจนต้องร่นถอยมา ได้สร้างความไม่มั่นคงให้แก่กองกำลัง
เสียแล้ว

เกรเกอรี่นั่งนิ่งไปนานเสียจนเจ้าหญิงเรจิน่า ทรงทนไม่ไหวจึงตรัสเรียกขึ้นมา

“ ท่านเกรเกอรี่ ”
เสียงของพระองค์ทำให้เกรเกอรี่ได้สติขึ้น มา

“ ท่านเกรเกอรี่นี่มันเรื่องอะไรกัน เมื่อครู่นั่นมันเสียงของท่านคาดินัลแห่ง
สภาศาสนาแอนดิซองมิใช่หรือ เกิดสงครามขึ้นงั้นหรือ ”
เจ้าหญิงทรงตรัสถาม เกรเกอรี่พยายามตัดสินใจว่า จะบอกหรือไม่ดีแต่สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจ
และยอมเล่าทุกอย่างให้เจ้าหญิงฟังอย่างละเอียด

“ คืออันที่จริงได้มีการจัดตั้งองค์กรขึ้นมาเพื่อต่อกรกับอำนาจมืด
นี่เป็นคำสั่งที่ทางสภาศาสนาแอนดิซองส่งมา ถึงทางเราให้ทำการสนับสนุน
และกระจายกำลังกันออกไปหาแนวร่วมจากทวีปอื่นๆ ในเร็วๆนี้ได้มีคำสั่งระดมพลส่งออกไป
แต่ว่าเหล่าแนวร่วมก็เดินทางเข้ามาในทวีปไม่ได้เพราะบัดนี้ได้มีกำแพงน้ำแข็งขนาดมหึมา
ปิดกั้นเมอริเซียแห่งนี้จากภายนอกโดยสิ้นเชิง ”
เกรเกอรี่อธิบายในขณะที่เจ้าหญิงสดับฟังคำพูดของเขา ก่อนจะไล่ทบทวนมันไปด้วย
เพื่อเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ จนเข้าใจในที่สุด

“ หมายความว่าตอนนี้ได้มีอำนาจมืดอันยิ่งใหญ่กำลังรุกรานพวกเราและทางสภาศาสนาของแอนดิซอง
ก็ได้จัดตั้งกองกำลังขึ้นมาเพื่อต่อต้านกับอำนาจมืดนั้น แต่ว่าเพราะกำแพงน้ำแข็งที่
ปิดล้อมทวีปเมอริเซียเอาไว้ ทำให้กำลังจากภายนอกทวีปและกำลังทหาภายในที่ส่งออกไปหาแนวร่วม
กลับเข้ามาร่วมรบไม่ได้ท่านกำลังจะบอกเช่นนั้นหรือ ”
เจ้าหญิงทรงตรัสไม่หยุดพักหายใจเลย ทำเอาเกรเกอรี่ต้องนั่งลำดับคำพูดของพระองค์
อยู่นานกว่าจะกล่าวตอบได้

“ ถูกแล้วพะย่ะค่ะ  พระองค์ทรงพระปรีชายิ่งนัก ทว่าที่กระหม่อนถามไปเมื่อครู่พระองค์จะทรง
ตรัสให้กระหม่อนฟังได้ไหมพะย่ะค่ะ ”
เกรเกอรี่กล่าวถามถึงสิ่งท่เขาได้ถามถึงเรื่องการล่มสลายของตระกูลซาราเบลด
และลาเซริโอ้

“ โอ้จร้งสิ เราลืมไปเลยต้องขออภัยท่านบิชอปจริงๆ ”
เจ้าหญิงทรงตรัส ด้วยสีพระพักต์เหมือนพึ่งนึกออก

“ ที่จริงเราเองก็ไม่ทราบละเอียดนัก แต่เท่าที่รู้มาคือ เมื่อเก้าปีก่อน อิเดีย
ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลซาราเบลดได้หายตัวไป ปีต่อมาเกิดการจลาจลขึ้นรู้สึกว่าภรรยาของอิเดีย
จะเสียชีวิตไปในครั้งนั้นด้วย ส่วนลูกชายทั้งสองคนก็หายสาบสูญไปเลยไม่มี
ใครสืบทอดตระกูลต่อก็เลยล่มสลายไปส่วนตระกูล ลาเซริโอ้นั้น สี่ปีก่อนในพิธีสืบทอดตระกูล
คนในตระกูลถูกสังหารตายทั้งหมดส่วนทายาทที่รับสืบทอดตระกูลหายตัวไปในวันนั้น
ทั้งสองคนเลยสุดท้ายตระกูลก็ไม่เหลือใครมาสานต่อและล่มสลายไป  ”
เจ้าหญิงตรัสอย่างรวดเร็ว เสียจนเกรเกอรี่จับใจความแทบไม่ทัน

“ ตระกูลซาราเบลดที่ว่ากันว่าสืบสายเลือดมาจากอัศวินมังกรแท้คนแรกน่ะหรือ…
ว่าแต่พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าทั้งสองรายนั้นตายได้อย่างไร ”
เกรเกอรี่กล่าวถามด้วยความสังสัย

“ เท่าที่เราทราบมา ภรรยาของอิเดียชื่อซาเรีย นั้ถูกมังกรดำที่อาละวาดในป่าเขตฟูดินัน
พ่นไฟครอกตาย ส่วนตระกูล ลาเซริโอ้ นั้นเห็นว่าถูกอะไรบางอย่างลอบเข้าไปขณะกำลังทำพิธี
และสังหารพวกเขาทั้งหมดตามศพมีร่องรอยเหมือนกับโดนสุนัขป่าทำร้าย แต่
จากปากคำของทหารรักษาการณ์ในวันนั้นกลับให้การว่าที่บุกเข้าไปเป็นเด็กผู้ชายอายุประมาณห้าปีน่ะ ”
เจ้าหญิงตรัสโดยครั้งนี้ทรงพยายามชะลอให้ช้าลง
“ ถูกมังกรดำเผาตายงั้นหรือนี่รึว่า  ลอว์เรนซ์เป็นลูกชายของอิเดียแล้วอิเดียหายไปไหนกัน
ทำไมถึงได้ทิ้งลูกกับภรรยาไว้แล้วหายตัวไปนะ ”
เกรเกอรี่ครุ่นคิดจนสีหน้าแสดงออกอย่างชัดเจน

“ อืมม..พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าอิเดีย…. ”
เกรเกอรี่ต้องหยุดไปกลางคันเมื่อเสียงประตูถูกกระแทกดังเข้ามา
ทำให้ทั้งสองต้องหันไปยังทิศของเสียง และแล้วพวกเขาก็ต้องตาเบิกโพลงด้วยความตะลึง
เพราะชายหนุ่มผมสีแดงคนหนึ่งถูกเจ้าหุ่นยนต์ทินทอนพยุงเข้ามา
ขาของเขาโชกไปด้วยเลือดที่ไหลรินออกมาจากแผลซึ่งลึกกว้างราวกับถูก
มีดฟันมา

“ ทิโมธี ”
ทั้งสองอุทานขึ้นก่อนจะเข้าช่วยทินทอนพยุงทิโมธีมานั่งบนเก้าอี้

“ ขาเจ้าไปโดนอะไรมาน่ะทิโมธี ”
เจ้าหญิงตรัสด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่เกรเกอรี่
กำลังดูบาดแผลให้เขา

“ อ๋อ คือว่ากระหม่อมไปทำการทดลองในป่ามาแต่ทว่าผิดพลาดไปหน่อยก็เลย
ได้แผลมาพะย่ะค่ะ ”
ทิโมธี กล่าวเสียงสั่นเครือด้วยความเจ็บปวดจากพิษบาดแผล

“ แผลลึกมากถ้ายังไงเราจะรักษาให้เจ้าเลยละกัน ”
เกรเกอรี่กล่าวหลังจากที่ดูแผลให้เขาพร้อมกับร่ายบทสวดสำหรับรักษา
บาดแผลให้แก่เขา

“ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ต้องข้าไม่เป็นไร ”
ทิโมธี กล่าวพร้อมกับชักขาออกห่าง ทว่าทันทีที่บาดแผลของเขาถูก
แสงจากเวทย์รักษา บาดแผลกลับผุพองราวกับถูกไฟไหม้แทนที่จะสมานให้หาย
นั่นทำให้เกรเกอรี่ สะดุ้งด้วยความตกใจ ที่พลังรักษาของเขา
กลับทำให้บาดแผลแย่ลง กว่าเก่า

“ อะไรกันทำไมพลังรักษาถึงได้..อ.. ”
เกรเกอรี่อุทานขึ้นมาก่อนจะเงียบไป เพราะเขาจับสัมผัสบางอย่างได้จากทิโมธี

“ เอาล่ะ ทุกท่านขอเชิญกลับไปก่อนนะแก็ก ทิโมธีต้องการเวลารักษาตัวซักระยะ
ช่วยกลับมาวันหลังละกันแก็ก ”
ทินทอนกล่าวขึ้นโดยไม่มีเสียงสะดุดเลยแม้แต่น้อยสร้างความประหลาดใจให้แก่พวกเขายิ่งนัก
พร้อมกับถูกทินทอน ไล่ดันให้ออกจากบ้านไปก่อนจะปิดประตูใส่หน้าพวกเขา

“ ดูเหมือนพวกเขาพยายามจะปิดบังอะไรเรายังงั้นล่ะ ”
เจ้าหญิงตรัสดสียงขุ่นอย่างไม่พอใจ ในขณะที่เกรเกอรี่ยกนาฬิกาแดด
ที่พกติดตัวขึ้นมาส่องกับแสงอาทิตย์ เพื่อดูเวลา

“ ทางเราเองก็ต้องรีบปิดเช่นแล้วพะย่ะค่ะพระองค์กับกระหม่อม
ลอบออกมานานเกินควรแล้วพะย่ะค่ะโปรดเสด็จกลับวัง
เถิดพะย่ะค่ะ ”
เกรเกอรี่กล่าวพร้อมกับผายมืออกให้เจ้าหญิงเดินนำออกไปซึ่ง เจ้าหญิง
ทรงถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดายแต่ก็จำพระทัยเสด็จกลับไป
กับเขาแต่โดยดี

“ สัมผัสที่เรารู้สึกได้จากทิโมธีเมื่อครู่นี้มันเป็นของปีศาจไม่ใช่รึ ”
เกรเกอรี่รำพันในใจขณะที่เดินตามกลับไป

….
……..
……….

“ ไม่เป็นไรใช่มั้ยทิโมธี..แก็ก ยังเจ็บแผลอยู่รีเปล่า..แก็ก ”
ทินทอนกล่าวขณะที่พันผ้าพันแผลที่ข้าเขาด้วยความประณีต

“ ขอบใจมากทินทอน.. ”
ทิโมธีกล่าวเสียงสลดก่อนจะแกะกระดุมเสื้อแจ็คเก็ตออกสองสามเม็ด
และล้วงเอาสายเข็มขัดที่มีกลไลประกอบอยู่ขึ้นมาสองเส้นจากเสื้อใน
มากองไว้บนโต็ะข้างๆ

“ การทดสอบระบบแอกเตอร์ เป็นไปได้ดีสินะ… แก็ก ”
ทินทอนกล่าวก่อนที่จะมัดปลายผ้าให้แน่น
และลุกขึ้นยืนตรง

“ ใช่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีว่าไปแล้วทินทอนหลังจากได้พลังของชะตาแห่งแสงมาดูเหมือน
กลไลของนายจะทำงานได้สมบูรณ์แล้วสินะ ”
ทิโมธีกล่าวก่อนจะทันเหลือบไปเห็นว่าพิมพ์เขียวของระบบแอกเตอร์ Insect Type
ถูกกางทิ้งไว้บนโต็ะ เขาเอื้อม มือไปคว้ามันมาก่อนจะม้วนเก็บ
และวางกลับที่ไว้

“ ไม่รู้ว่าสองคนนั้นรู้ไปมากขนาดไหนแล้วตอนเข้ามาคงรื้อดู
 แบบแปลนแอกเตอร์นี่ไปแล้ว ”
ทิโมธีกล่าวขณะที่เอื้อมมือไปหยิบเอาม้วนกระดาษอีกม้วนที่วางอยู่ข้างกันกับม้วนแรก
ขึ้นมาคลี่ออก

“ งั้นให้ทินทอนไปจัดการเลยมั้ย….แก็ก ”
ทินทอนกล่าวจบก็คว้าเอาตะไบเหล็กจากโต็ะขึ้นมา แต่ทิโมธีก็ยกมือขึ้นปรามไว้

“ อย่าบุ่มบ่ามไป ยังไงซะจะให้เกรเกอรี่เป็นอะไรไปไม่ได้..เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
แอกเตอร์ Necro Type ที่อุตส่าห์ค้นคว้ามานี่ก็สูญเปล่าสิ ”
ทิโมธีกล่าวจบก็กางม้วนกระดาษออกจนสุดและพลิกให้ทินทอนดู
มันเป็นแบบแปลนการสร้างหน้ากาก กลมรี แบบเดียวกับที่บิชอปชุดดำซึ่ง
ควบคุมอัศวินนรกสวมในตอนที่ปะทะกับทาลิคนัส

………….
…………….
…………………..


สามวันต่อมา

ที่หุบเขาทางเหนือของทวีปคราดาร่า
บัดนี้หิมะได้หยุดโปรยลงมาแล้ว ตะวันกำลังจะลับฟ้า แสงสีแดงที่ตกทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา
เสียจนพื้นหิมะสีขาวส่องประกาย ระยิบระยับ

ที่ตีนเขาแห่งหนึ่ง กองไฟได้ถูกจุดขึ้น เด็ก 4 กับลูกมังกรอีก 6 ตัวกำลังนั่งล้อมวง
ผิงไฟ อยู่ทว่าบรรยากาศนั้นกลับเงียบขรึมไม่มีใครสนทนากันเลยแม้แต่น้อย
นีน่าและเจนัสทั้งคู่ยังคงหลบกันอยู่ โดยที่ลากูน่าคอยมองดูทั้งสอง
ด้วยความเป็นห่วง ขณะเดียวกัน Lr ก็เอาแต่เท้าคางนั่งนิ่งไม่ยอมขยับ

ราวกับจิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำเอาบรรยากาศรอบๆอึดอัดไปทั่ว
พวกลูกมังกรพากันเดินออกไปจากวง
เพื่อปรึกษากันอย่างลับๆโดยไม่ให้ทั้ง 4 คนรู้

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #229 on: July 18, 2008, 07:14:30 PM »

“ กีซซซซซซ ” (นี่จะเอายังไงดีล่ะผ่านมาตั้งสามวันแล้วอาการพวกเขายังไม่ดีขึ้นเลยนะ)
ไลท์กล่าวขณะที่มองดูว่าพวก Lr สังเกตว่าพวกขาออกมาหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครตามมา
เพราะพวกเขาต่างกังวลเรื่องของตนจนไม่ได้สนใจรอบข้างแม้แต่น้อย

“ กีซซซซซ ”(พวกเมทาไนท์กับพ่อออกไปไหนกันก็ไม่รู้จะขอให้ช่วยก็คงไม่ได้)
นอฟฮอฟกล่าวขณะที่คอยสอดส่ายสายตามองหาว่าเมทาไนท์และเทียแมต แกรนเดครอส กลับมากันหรือยัง



“ กีซซซซซ ” (จะว่าไปแล้วนี่มันวันที่เท่าไหร่กันแล้วเนี่ย)
อควากล่าวพร้อมกับทำท่าใช้ความคิด

“ กีซซซซซ ” (จริงสินี่มันวันครบรอบวันที่ ลอว์เรนซ์ ถูกเก็บมาเลี้ยงนี่)
เอิทธ์กล่าวพร้อมกับทำท่าทางเหมือนพึ่งนึกออก

“ กีซซซซซซ ” (งั้นนี่ก็วันเกิด ลอว์เรนซ์ สินะจะว่าไแล้วจากที่ฟังมา
เจ้าหมาสองพี่น้องนั่นก็ถูกเก็บมาเลี้ยงวันเดียวกันกับลอว์เรนซ์ด้วยนี่)
ไฟร์วิเคราะห์ให้ฟัง

“ กีซซซซซซซซซซ ” (ที่จริงจากที่เจนัสกับนีน่าเล่ามาวันที่เจนัสไปช่วยนีน่าเมื่อสี่ปีก่อน
ก็คือวันเกิดเธอด้วยนี่และถ้าจำไม่ผิด ลากูน่าเคยบอกว่าเพราะจำไม่ได้กระทั่งหน้าพ่อแม่
ก็เลยไม่รู้วันเกิด เลยใช้วันที่ถูกเก็บมาเลี้ยงนับเป็นวันเกิดแทนทั้งคู่)
วิล กล่าวพร้อมกับเอานิ้วเกาคางขณะที่คิด

“ กีซซซซซซ ” (และจากที่เจนัสว่ามา วันที่ไปช่วยนีน่า คือวันเกิดของเขากับน้องชายด้วยนี่ )
อควา กล่าวสำทับตอนนี้จากการปรึกษากันทำให้พวกเขามีความคิดดีๆเกิดขึ้น

“ กีซซซซซซซ ” (ดีล่ะงั้นเรามาช่วยให้พวกนั้นหายเศร้าด้วยการจัดฉลองครบรอบวันเกิดกันเถอะ)
ลูกมังกรกล่าวขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะพากันแบ่งหน้าที่แยกย้ายกันไปหาของมาจัดงาน

…………
………….
……………

ครู่ต่อมา ตะวันได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว ดวงจันทราได้ขึ้นแทนที่ เหล่าสรรพสัตว์
เริ่มพากันออกหากิน
ทว่ารอบกองไฟนั้นบรรยากาศยังคงเงียบกันอยู่เหมือนเดิมราวกับว่าเวลาได้หยุดลงเสียตรงนั้น
พวกเขายังคงไม่ทำอะไรได้แต่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น

ซู่ววววว

เสียงดังขึ้นทันทีที่กองไฟโดนน้ำสาดใส่จนดับ ทุกอย่างรอบตัว
พวกเขามืดลง นั้นช่วยเตือนสติพวกเขาให้กลับมา ในทันที
พวกเขาหันไปรอบๆด้วยความหวาดระแวง จนเมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืดพวกเขา

ก็เห็นแสงไฟเล็กๆถูกจุดขึ้น 6 ดวง ที่ปลายกิ่งไม้เล็กๆพวกเขายืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
สัญชาตญาญบอกให้พวกเขาระวังตัวโดยทันที เนื้อตัวของพวกเขาเกร็งไปหมด
จนเมื่อจู่ๆก็เกิดประกายไฟขึ้นที่กองไฟซึ่งมอดไปอีกครั้ง รอบด้านกลับมาสว่างเหมือนเดิม

แต่ทว่าที่กลางกองไฟนั้นได้มีตัวอักษรซึ่งเรียงจากกิ่งไม้เล็กๆจำนวนมาก ถูกจุดด้วยไฟ
จาก กองเพลิง ส่องให้ความสว่างและสวยงามยิ่ง

“ สุขสันต์วันเกิด ”
เสียงของลูกมังกรทั้งหกตัวถูกแปลผ่านดราก้อนฮอลลี่ที่คาดอยู่ที่ข้อมือของ Lr
ดังขึ้น

“ วันเกิดเหรอ… ”
Lr เปรยเสียงเรียบด้วยความแปลกใจ

“ ใช่แล้ววันนี้พวกนายทุกคนโตขึ้นอีกปีแล้วนะ ”
ไฟร์ที่เป็นคนจุดไฟกล่าวด้วยน้ำเสียงลิงโลด

“ ทุกคนเหรอ… ”
ลากูน่าเปรยเสียงเรียบด้วยความฉงน

“ ที่จริงถ้าจะให้ถูกต้องบอกว่าวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดมากกว่านะเพราะพวกนายแต่ล่ะคน
ต่างไม่รูวันเกิดจริงๆของตัวเองพวกเราก็เลยใช้วันที่พวกนายบอกว่าถูกเก็บมาเป็นวันเกิดซะเลยไง ”
เอิทธ์อธิบาย


“ แต่ต้องยกเว้นนีน่านะเพราะวันเกิดเธอเรารู้แน่ชัดเลยนี่ ”
วิลกล่าว แต่ทว่าพวกเขาทั้งสี่ก็ยังไม่พูดอะไรออกมา
ยังคงก้มหน้านิ่ง

“ เป็นอะไรไปไม่ดีใจเหรอพวกเราอยากจะให้พวกนายร่าเริงขึ้นเท่านั้นเองนะ ”
อควากล่าวเสียงสลดเมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีปฏิกิริยากับ งานที่พวกเขาจัดให้
แต่ทั้งสี่ก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่


“ นี่ชั้นรู้นะว่ามันยากที่จะทำใจ แต่ทำแบนี้แล้วมันจะช่วยได้หรือจะไปยึดติดกับอดีตทำไมกัน ”
ไลท์กล่าวเสียงหนักแน่นแต่พวกเขาก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่เช่นเดิม ไลท์จึงถอนหายใจ
ด้วยความเหนื่อยหน่าย

“ จะสลดกันไปถึงไหนพวกนายโกรธแค้นกันรึไง เจนัส นีน่า ทั้งสองคนเลย จะทะเลาะกันไปถึงไหน ”
ไลท์กล่าวประชดประชันจนเพื่อนๆมังกรจะเข้ามาห้ามไว้แต่ ไฟร์ก็ปรามพวกเขาไว้เพื่อให้ไลท์จัดการต่อ
เจนัสและนีน่าทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ก็รีบตีโพยตีพายปฏิเสธกันทันที

“ ม…ไม่ใช่นะชั้นไม่ได้โกรธอะไรเลย…อะ ”
“ ฉ..ฉันไม่โกรธอะไรหรอก..อะ ”

ทั้งคู่กล่าวขึ้นอย่างละล่ำละลักก่อนจะชะงักไปเพราะคำพูดของอีกฝ่าย ทำให้ทั้งสองหันมามองหน้ากันได้อีกครั้ง
ไลท์แอบยิ้มที่มุมปากด้วยความ พอใจที่แผนของเขาเป็นไปได้ดี ทั้งคู่ยังจ้องหน้ากันอยู่ครู่นึงก็รีบหันแยกกนทันที
ใบหน้าของทั้งคู่ร้อนผ่าวด้วยความเขินอายจนทำอะไรไม่ถูก

“ อ..เอ่อนายไม่โกรธฉันจริงเหรอ ”
นีน่ากล่าวเสียงสั่นพร้อมกับเอานิ้วชี้ชนกันลุ้นด้วยใจระทึก หัวใจของนางเต้นรัว ราวกับจะระเบิดออกเสียให้ได้

“ ง..แหงสิชั้นจะไปโกรธเธอทำไมกันก็คนที่ผิดคือชั้นเองที่ไม่ได้บอกเธอก่อนน่ะ ”
เจนัสกล่าวเสียงสั่นเช่นกัน หัวใจของเขาเต้นแรงและรัวเสียจนจะหลุดออกจากปาก

“ ม…..ไม่หรอกฉันต่างหากที่ไม่ไตร่ตรองให้ดีซะก่อนเธอเลยต้องมาเจ็บตัวเสียเปล่าๆ ”
นีน่ากล่าวจบทั้งเธอและเขาก็หันควบกลับมาพร้อมกัน

“ คือว่า..ขอโทษนะ..ชั้น… ”
ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกันและจังหวะเดียวกันทำเอาทุกคนอดอมยิ้มด้วยความขบขันเสียไม่ได้
แม้แต่ลากูน่ากับ Lr เองก็เผลอลืมตัวไปเช่นกัน  ตอนนี้ใบหน้าของทั้งสองแดงจัดขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

“ เอ่อคือ..ชั้นขอโทษนะที่ไม่ได้เล่าให้เธอฟังน่ะคือว่าชั้น.. ”
เจนัส กล่าวตะกุกตะกัก ในหัวพยายามคิดหาคำพูดที่จะมาอธิบายแต่นีน่า
ก็จับมือของเขาไว้แน่นและส่ยหัวไปมา

“ ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องพูดก็ได้ฉันเข้าใจดีจากนี้ไปถ้าเธออยากบอกอะไรให้ฉันก็บอกมาได้เลย
อย่าเก็บอมทุกข์ไว้คนเดียวเลยนะให้ฉันได้แบ่งเบามันมาบ้างเถอะนี่คือสิ่งเดียวที่ฉันจะทำเพื่อเธอได้ ”
นีน่ากล่าวคำพูดของเธอทำให้เขาอยากจะบอกความรู้สึกของเขาออกไป แต่ทว่าอีกใจกลับยั้งเขาไว้
แม้จะยังลังเลอยู่แต่เขาก็ตัดสินใจจะบอกออกไป

“ ค..คือว่าที่จริงแล้วชั้น…คือที่ชั้นจะบอกคือเอ่อ.. ”  “ ~~~ชอบเธอ~~~~~ ”
ประโยคสุดท้ายที่บอกถึงความรู้สึกของเขาถูกกลืนลงคอไปเรียบร้อยแล้วก่อนจะทันได้พูด
ออกไปเพราะความรู้สึกที่ว่าพวกเขาตกเป็นเป้าสายตาก็เตือนสติเขาขึ้นมา พวกลูกมังกร
ยังจ้องพวกเขาอยู่พร้อมกับ Lr และ ลากูน่า

“ มีอะไรจะบอกฉันงั้นเหรอ ”
นีน่ามองเขาด้วยความฉงน

“ อ…เอ่อ ม…ไม่มีอะไรหรอก ”
เขารีบสะบัดมือ ออกจากมือของเธอและหันควับไปเพื่อไม่ให้เธอเห็นสีหน้าของเขา

“ นี่เราคิดอะไรอยู่เนี่ย ”
เจนัสคิดขณะที่เอามือลูบหน้าด้วยความอดสู ทำเอานางเอียงคอด้วยความงุนงง
“ ชั้นว่าชั้นได้กลิ่นทะแม่งทะแม่งโชยมาล่ะว่ามั้ย ”
วิลเปรยเสียงเบาขึ้นโดยไม่ให้พวกเขารู้

“ ใช่ ดูไปแล้วคู่นี้เขาก็เหมาะสมกันดีนะ ”
นอฟฮอฟหรี่ตาลงด้วยความอิ่มอก ขณะที่จ้องดูสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของทั้งคู่

“ จะว่าไปแล้วก็จริงอย่างที่ไลท์พูดนั้นล่ะสลไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ขอโทษด้วยนะที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง ”
Lr กล่าวพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยสีหน้าระรื่นทำให้พวกลูกมังกรกระโดดโลดเต้น
ด้วยความดีใจ ไลท์โผเข้ากอดเขาในทันที

“ ขอโทษนะไลท์ชั้นจากนี้ไปถึงจะต้องแบกรับอดีตที่น่าเศร้าไว้แต่เราก็จะก้าวต่อไปด้วยกันนะ ”
Lr กล่าว ไลท์ผหงกหัวด้วยความยินดี

“ ใช่แล้วถึงที่แล้วมาจะมีแต่ความสิ้นหวังก็ตามแต่เราก็จะก้าวไปพร้อมกันแล้วสักวัน
นึงอนาคตที่สดใสคงจะรอเราอยู่อย่างแน่นอน ”
ไลท์กล่าวริมฝีปาก ล่างสั่นเครือ พร้อมกับน้ำตาแห่งความปิติไหลริน
Lr เอามือลูบหัวของไลท์ด้วยความเอ็นดู


“ จากนี้ไปอนาคตที่สดใสคงจะรอพวกเราอยู่.. ”
Lr กล่าวได้ไม่ทันจบดี พวกเขาก็ต้องชะงักไป เมื่อมีแขกไม่ได้รับเชิญ
เดินเข้ามาชายร่างใหญ่คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้าสีดำ มือที่โผล่พ้นเสื้อ ออกมานั้น
เป็นกระดูกสีขาวโพลน ทั้งสองข้าง ในแต่ละย่างก้าวนั้นไมเสียงฝีเท้าดังขึ้นแม้แต่น้อย
เหล่ามวลไม้ที่อยู่ตามทางที่เขาผ่านมาได้เหี่ยวเฉาและแห้งตายลงอย่างรวดเร็ว

“ อนาคตที่สดใสงั้นหรืออย่าได้ฝันหวานไปหน่อยเลย ”
เสียงของเขาดังก้องและแหบแห้ง เสียจนราวกับเสียงคำรามของปีศาจ
ทว่าเสียงของชายผู้นี้ก็สามารถข่มขวัญกำลังใจของอีกฝ่ายได้มาก
ทว่าเจนัส ลากูน่าและนีน่า ที่ได้ยินเสียงนั้นถึงเข่าทรุด จนแทบจะยืนไม่ติดพื้น

“ เสียงนี้มัน…. ”
ลากูน่าเอ่ยเสียงสั่นเครือเนื้อตัวของเขาเต้นตุบๆไม่ยอมหยุด

“ นี่..ลงมาจัดการเองเลยงั้นหรือ ”
นีน่ากล่าวด้วยความผวา อาการของพวกเขาสร้างความประหลาดใจให้แก่
พวก Lr เป็นอันมากอะไรที่ทำให้พวกเขาอกสั่นขวัญผวากันได้ถึงเพียงนี้
จะต้องเป็นอำนาจที่น่ากลัวกว่าที่ผ่านๆมาเป็นแน่แท้
Lr จึงไม่รอช้า รวมร่างกับไลท์กลายเป็นทาลูคูส ชิงบุกเข้าไปหา

อีกฝ่ายทันที

“ อย่าลอว์เรนซ์นายสู้ไม่ได้หรอก ”
เจนัสกยายามจะห้ามเอาไว้แต่ไม่ทันเสียแล้ว ดาบของทาลูคูสที่ฟันลงไปนั้น
เขารับไว้ด้วยมือโครงกระดูกเพียงมือเดียว โดยไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย
ทาลูคูสพยายามออกแรงกดดาบอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่เป็นผล

“ ที่รอพวกเจ้าอยู่จากนี้คือนรกต่างหากล่ะ ”
ชายผู้นั้นกล่าวจบก็หักดาบของทาลูคูสเป็นสองท่อนก่อนจะเอามืออีกข้างคว้าปีกของทาลูคูส
มาและฉีกมันออกจากร่างของทาลูคูสในทันที ทาลูคูสกลิ้งลงไปกับพื้นก่อนจะแยกกลับ
เป็น Lr กับไลท์ตามเดิม

“ อึกแข็งแกร่งจริงๆนี่มันเป็นใครกัน ”
Lr สบถด้วยความเจ็บแค้นชายผู้นั้นปล่อยมือจากซากปีกของทาลูคูสออกก่อนที่มันจะสลายไป

“ ข้าก็คือคนที่พวกเจ้าทุกคนเรียกว่าท่านผู้นั้นยังไงล่ะ ”
ชายผู้นั้นกล่าวเสียงก้อง ประโยคที่ออกมานั้น ได้จุดประกายความแค้นให้แก่ Lr เสียแล้ว

“ ท่านผู้นั้นหรืองั้นแกก็คือคนที่ทำให้เรื่องบ้าๆพวกนี้เกิดขึ้นใช่ไหมชั้นจะปล่อยแกไว้แน่ ”
Lr กล่าวเสียงกร้าวก่อนจะรวมร่างกับไฟร์กลายเป็น ทาลิคนัส

“ Ignis et Dragos ”
สิ้นเสียงทาลิคนัส ก็ตวัดกระบี่คู่ใจให้เกิดดาวไฟห้าแฉกและแทงออกไปข้างหน้า พร้อมกับเปลวเพลิงแดงฉานที่พุ่งออกมาก่อตัวเป็นพายุเพลิงเข้าโหมใส่ ท่านผู้นั้น

“ ไร้พลังสิ้นดี ”
ท่านผู้นั้นเปรยขึ้นเปลวเพลิงที่ถาโถมเข้าเผาผลาญ ก็ดับสลายไปทันที

“ นี่น่ะรึพลังของอัศวินแห่งตำนานที่จะกอบกู้โลกนี้น่ะ ”
ท่านผู้นั้นกล่าวอย่างดูแคลน ทำให้ Lr เริ่มจะคุมตัวเองเอาไว้ไม่ได้

“ งั้นลองนี่หน่อยเป็นไง ”
สิ้นของทาลิคนัสเขาก็เปลี่ยนตัวกับนอฟฮอฟเพื่อกลายเป็น ทาไนซ

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #230 on: July 18, 2008, 07:14:42 PM »

“ Nox et Dragos ”
สิ้นคำทาไนซก็ทะยานออกไปอย่างเร็วจนเกิดภาพร่างซ้อนทัพออกมาและ
ในการลงดาบเพื่อจบกระบรวนท่านั้นท่านผู้นั้นกลับรับดาบไว้ด้วยมือเปล่าได้
ก่อนจะคว้าหมับเข้าที่แขนของทาไนซและหักแขนของทาไนซ เสียงกระดูกหักบาด ลึกลงไป
เสียจนพวกเจนัสที่ยืนดูอยู่ต้องทนกัดฟันฟัง ร่างของทาไนซได้สลายแยกกลับเป็น Lr และนอฟฮอฟอีกครั้ง
แม้พวกเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ก็ไม่อาจแปลงกลับไปในร่างเดิมได้ชั่วคราว
Lr รีบเข้าหาวิลเพื่อรวมร่างทันที พวกเขากลายเป็นทาเวนทอสและทะยานขึ้นสู่ฟ้าอย่างเร็ว

“ Great of Dragon ” (ความยิ่งใหญ่แห่งมังกร)
สิ้นคำมังกรพลังงานสีเขียวขจีจำนวนห้าสายก็ถูกซัดลงมาข้างล่าง
เกิดเป็นลมพลังงานโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง

“ จิตสัมผัสในการโจมตีเบาบางเสียเหลือเกินนะ ”
ท่านผู้นั้นได้อ้อมเข้ามาอยู่ข้างหลังเขาก่อนจะแทงมือทะลุร่างของ
ทาเวนทอสและปล่อยให้ร่วงลงมากระแทกพื้น ทาเวนทอสได้สูญพลังและแยกกลับ
เป็น Lr และวิลอีกครั้ง

“ หนอยงั้นลองเจอนี่หน่อยเป็นไง อควา ”
Lr กล่าวจบก็รวมร่างกับอควากลายเป็นทาลิควาส

“ รองรับทั้งหมดของพวกเราหน่อยเป็นไง ”
สิ้นเสียงกระบรวนท่าไม้ตายประจำตัวของอัศวินทาลิวิลย่า
อื่นๆทั้งหมดก็ถูกปล่อยออกมา ทั้งพายุเพลิงของและลมหมุนกรรโชกของทาลิคนัสและทาเวนทอส
คลื่นแสงเสี้ยวพระจันทร์กับรอบสังหารของทาลูคูสและทาไนซก็ถูกใช้ผ่านทาลิควาสออกมาทั้งสิ้น
การโจมตีทั้งหมดถาโถมเข้าใส่ร่างของท่านผู้นั้นเสียจนเกิดควันโขมงไปทั่วทาลิควาสที่พุงเข้า
ไปฟันจากกระบรวนท่าลอบสังหารของทาไนซได้พุ่งผ่านออกมาจากกลุ่มควัน

“ เป็นไงล่ะ.. ”
ทาลิควาสกล่าวได้ไม่จบประโยคดี ดาบของเขาก็ร้าวและแตกละเอียด ควันจางลงไปแล้ว
ร่างของท่านผู้นั้น ไร้ซึ่งรอยขีดข่วน

“ ข้าเริ่มจะเบื่อกับการเล่นปาหี่ของเจ้าเต็มทีแล้วอัศวิน ที่นี้มาดูกันซิว่าของข้าเป็นยังไงบ้าง ”
สิ้นคำของท่านผู้นั้น คลื่นพลังอันมหาศาลที่มองไม่เห็น กดทับร่างของพวกเขาทุกคนจน
ไม่อาจทรงตัวได้ต่างต้องทรุดลงไปหมอบศิโรราบ  แสงสีรุ้งถูกรวมเข้าที่อ้งมือของท่านผู้นั้นและก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

“ ไม่ได้การแล้ว..เอิทธ์ ”
ทาลิควาสกล่าวขณะที่เอื้อมมือไปหาเอิทธ์ก่อนที่จะเปลี่ยนรางเป็นทาโซรอส แสงพลังสีรุ้งก็ถูกซัดลงมา

“ Solum et Dragos ”
สิ้นเสียงกำแพงศิลาก็ผุดขึ้นมาครอบร่างของพวกเขาไว้ทั้งหมดเพื่อป้องกันพวกเขาจากการปะทะ
ทันทีที่แสงพลังงานกระทบกับพื้นป่ามันก็ระเบิดเป็นวงกว้าง เมื่อแสงจางลง ป่าทั้งป่าใน
หุบเข้าอันกว้างใหญ่แห่งนี้ก็ได้สูญสิ้นไปในพริบตาพร้อมกับเทือกเขาบางลูกแหว่งขาดหายไปในทันที

เหลือทิ้งไว้เพียงกำแพงศิลาที่ผุร้าวและแตกออกไป ทาโซรอสคืนร่างกลับแล้ว
ท่านผู้นั้นจึงค่อยๆโรยตัวลงมา และเดินเข้าไปหา Lr และพวกเขาที่ล้มนอนอยู่

“ ได้เวลาที่เจ้าต้องไปกับข้าแล้ว ซาราเบลด ”
ท่านผู้นั้นกล่าวก่อนจะเอื้อมมือลงไปคว้าคอเสื้อของ Lr แต่ทว่า
มือของเจนัสก็ได้เข้ามายึดแขนของเขาไว้ทัน

“ ดื้อด้านจริงๆ ”
ท่านผู้นั้นสะบัดมือของเจนัส ออกก่อนจะยืนขึ้น นีน่ากับลากูน่าที่รอบเข้ามาใกล้ตัวเขาได้
ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรก็ถูก กรงเล็บกระดูกที่มือของท่านผู้นั้นตวัดจน ได้รับบาดเจ็บทั้งคู่
เจนัสที่เห็นทั้งสองคนถูกทำร้ายก้เลือดขึ้นหน้าบุกเข้าไปโดยไม่คิด และถูกกรงเล็บ
เสียบเข้าที่ท้องจนล้มลงไป อาการคลื่นเหียนเข้าเล่นงานเจนัสในทันทีเขาสำลัก
เลือดออกมา ก่อนจะล้มฟุบลงไปแต่ยังคงฝืนประคองสติเอาไว้

“ คิดจะปกป้องซาราเบลดเหมือนที่แล้วมารึ
 นี่คงเป็นสายเลือดที่พวกเจ้าได้รับสืบทอดมาจากพวกนั้นสินะ ”
ท่านผู้นั้นกล่าวจบก็เดินตรงไปยัง Lr อีกครั้งแต่ก็ถูกพวกลูกมังกร
เข้ามาขวางไว้ พร้อมกับเจนัสที่คลานเข้ามาคว้าชายผ้าคลุมเอาไว้
พร้อมกับนีน่าที่ลั่นไกปืนยิงกระสุนแสงใส่ไปหลายนัดแต่กระสุนก็ไม่อาจระคายผิว
ของเข้าได้เลยแม้แต่จะเจาะทะลุเสื้อคลุมยังไม่เข้า

“ เจนัส ลากูน่า สมแล้วที่เป็นลูกของมาฮา ความดื้อด้านนี้ไม่มีใครเทียบจริงๆ
นีน่าเจ้าเองก็ได้เชื้อเซโก้มาไม่น้อยเลยนะ ในวิกฤตืแบบนี้ยังอุตส่าห์โจมตีเพื่อไม่ตกเป็นรองศัตรู
เชื้อไม่ทิ้งแถวกันจริงๆ ”
คำพูดของท่านผู้นั้นทำให้พวกมีปฏิกิริยาเปลี่ยนไปทันที

“ มาฮา ทำไมกันนอกจากเรากับท่านแอสต้าไม่น่าจะมีใครรู้จักชื่อนี้ได้นี่ ”
 เจนัสคิดขณะที่พยายามหาคำตอบ นีน่าที่ได้ยินชื่อเซโก้
ก็มือไม้อ่อนในทันที

“ ท่านย่าเซโก้ ทำไมเจ้านี่ถึงรู้ล่ะ ”
นีน่าคิดแววตาเต็มไปด้วยความสับสน

“ ถึงกระนั้นแล้วพวกแกก็จะให้ซ้ำรอยเดิมกันอีกรึยังไงคิดจะตายอย่างไร้ค่าเหมือนเจ้าพวกนั้นรึ ”
ท่านผู้นั้นกล่าวจบก็ปลดปล่อยคลื่นพลังผลักพวกเขาออกไปพร้อมกับพวกลูกมังกร

“ ได้เวลาแล้วมากับข้าซะซาราเบลด ”
ท่านผู้นั้นกล่าวขึ้นก่อนจะยื่นมือให้แก่ Lr แต่เขาก็ปัดมันออกไปอย่างไม่ไยดีก่อนจะถอยตัวออกห่าง


“ ข้าไม่ไปถ้าต้องไปกับแกล่ะก็ข้าขอตายเสียดีกว่า ”
การกระทำและคำพูดของ Lr ทำอารณ์ของท่านผู้นั้นเริ่มที่จะครุกรุ่นขึ้น

“ คิดจะอยู่กับพวกมดปลวกนี่ไปถึงไหนข้ามารับเจ้าแล้วซาราเบลด ”
ท่านผู้นั้นตวาดเสียงกร้าว

“ แปดปีก่อนซาเรียแม่ของเจ้าไม่ยอมมอบเจ้าให้แก่ข้าและก็ต้องตายไปแม้แต่พวกมาฮาก็ด้วย
ครั้งนี้เจ้ายังไม่ได้คิดอีกรึไง จะต้องลากใครไปตายอีกกี่คนถึงจะสาแก่ใจเจ้า ”
ท่านผู้นั้นกล่าวเสียงกร้าวคำพูดของเขาทำให้ Lr ไม่อาจโต้ตอบกลับไปได้
เขามองไปรอบๆ เพื่อนๆของเขาต้องเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อเขาอีกครั้งแล้ว


“ นี่เราทำให้ทุกคนต้องบาดเจ็บงั้นหรือ..เรา.. ”
Lr คิดอย่างสับสนในวินาทีนั้นความกลัวเริ่มที่จะกัดกินเขาอกมาจากข้างใน
อีกครั้ง

“ ท่านผู้นั้น..แกเป็นใครกันแน่ ”
Lr ถามขึ้นขณะที่พยายามจะควบคุมไม่ให้ตัวตนอีกด้านตื่นขึ้นมา
ท่านผู้นั้นหรี่ตาแคบลง เพื่อพิจารณาก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ ข้าคือคนที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้าดีที่สุดไม่ว่าแม่ของเจ้าเป็นใครและพี่ชายเจ้าเป็นใครรวมไปถึง
เชื้อกำเนิดของเจ้าด้วย ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด ”
ท่านผู้นั้นกล่าวเสียงหนักแน่น คำพูดของเขาทำให้ Lr และ
เพื่อนๆพากันตื่นตะลึง

“ รู้ว่าเราเป็นใครงั้นเหรอ..นี่รึว่าแกคือ ”
ลอว์เรนซกล่าวได้เพียงแค่นั้นเพราะคำพูดที่เหลือเขาไม่อาจกล่าวอกมาได้เสียแล้ว

“ ถูกแล้วข้าคือพ่อของเจ้าไงล่ะ  ”
ท่านผู้นั้นได้ตอบแทนให้แก่เขาเป็นที่เรียบร้อยเสียแล้ว
คำพูดนั้นแทบจะทำเอาหัวใจของพวกเขาหยุดเต้นเอาเสียตรงนั้น

“ ไม่จริง แกโกหกชั้นไม่มีวันยอมรับหรอก ”
Lr ตะคอกอย่างเสียขวัญ ความคิดที่ว่าเขาคือต้นเหตุให้ทุกคนต้องมารับเคราะห์
และเขาคือลูกของคนที่เขาเคียดแค้นมากที่สุดได้ปลุกเร้าความกลัวในจิตใจของเขาให้
ขยายตัวขึ้น

“ เจ้าไม่มีทางปฏิเสธได้หรอก ”
ท่านผู้นั้นกล่าวเพื่อที่จะกดดันเขาให้ถึงที่สุด
“ อย่ามาพูดชุ่ยๆนะ ”
ไลท์ตะหวาดขึ้น

“ ใช่แล้วลอว์เรนซ์ไม่มีทางเป็นลูกของคนชั่วอย่างแกหรอก ”
ไฟร์กล่าวอย่างหนักแน่น

“ แล้วพวกเจ้าจะปฏิเสธสิ่งที่ข้ารู้นี้อย่างไรล่ะ พวกเจ้าทั้งสามก้รู้แล้วใช่ไหมล่ะ ”
ท่านผู้นันกล่าวพร้อมกับหันไปทางพวกเจนัส

“ ไม่จริงมันหลอกพวกเราใช่ไหมมันต้องการให้พวกเราสับสนใช่ไหม ”
เอิธท์ย้ำถามเพื่อขอคำยืนยันทว่าคำตอบที่ได้จากพวกเขากลับทำให้พวกเขาต้องยอมรับ

“ ไม่หรอกทุกอย่างคือความจริง เพราะท่านย่าเซโก้บอกแก่ฉันว่า
 ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นอัศวินมังกรแห่งตำนานคือทายาทซาราเบลดรุ่นที่ยี่สิบ
และคนที่จะรู้เรื่องของพวกท่านย่าได้ดีถึงขนาดนี้มีเพียงคนที่หายตัวไปเมื่อเก้าปีก่อนอย่างอิเดีย ซาราเบลด
หรือพ่อของลอว์เรนซ์นั่นล่ะ ”
นีน่ากล่าวขึ้นแม้จะไม่อยากเชื่อแต่สิ่งที่กล่าวมานั้นก็สามารถที่จะเชื่อถือได้

“ เซโก้เล่าให้เจาฟังทุกอย่างเลยสินะ ”
ท่านผู้นั้นกล่าวจบก็เปิดผ้าคลุมหัวออก ใบหน้าของชายวัยกลางคนผมสีทองนั้นยังคงเดิมอยู่
เขาไม่ได้แก่ลงไปเลย เขาคืออิเดีย ซาราเบลด ที่หายตัวไปเมื่อ 9 ปีก่อน

“ เอาล่ะได้ยินแล้วใช่ไหมหากไม่อยากให้ใครต้องเสียเลือดไปมากกว่านี้ก็มากับข้าซะ ”
อิเดียกล่าวLr ที่บัดนี้ในใจของเขาเต็มไปด้วยความสับสนหากเขายอมไปก็จะต้องจากทุกคนไป
แต่หากไม่เขาก็จะต้องเสียทุกคนไป เมื่อคิดได้ดงนั้นเขาจึงยืนขึ้นและกล่าวออกมา

“ ถ้าข้ายอมไปท่านต้องไว้ชีวิตพวกเขา ”
Lr กล่าวต่อรอง คำพูดของเขาทำให้เพื่อนๆตกตะลึงด้วยความคาดไม่ถึง

“ ได้ข้าสัญญา ”
อิเดียกล่าวจบลอว์เรนซ์ก็เดินเข้าไปหาเขา แต่โดยดี

“ อย่าไปนะ ลอว์เรนซ์ ”
ไลท์ตะโกนเรียกให้เขาหยุดแต่ทว่า Lr ก็ได้เข้าไปหาอิเดียเสียแล้ว
เขาหันหลังกลับมามองพวกเขาด้วยสายตาโศกเศร้า

“ ลาก่อนนะ..ทุกคน ”
สิ้นคำ Lr ก็ถูกพลังของดราก้อนฮอลลี่ควบคุมจิตใจอีกครั้ง
ปีกนกสีดำได้ผุดขึ้นมาอีกครั้งสายตาของเขาเปลี่ยนไปกลายเป็นสายตาเจ้าเล่ห์
และเย็นชาไร้แววท่านผู้นั้นได้สวมผ้าคลุมสีแดงให้แก่เขาก่อนที่จะเปิดประตูมิติ
และพา Lr เข้าหายเข้าไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา



“ ลอว์เรนนนนนนนนนนนนซ์ ”
ไลท์ตะโกนเรียกอย่างสุดเสียงด้วยความขมขื่น
ช่วงเวลาแห่งความสุขได้แตกสลายไปเพียงชั่วพริบตาพวกเขาได้เสียเพื่อนคนสำคัญไปแล้ว

“ ดูท่าเราจะมาช้าเกินไป.. ”
เมทาไนท์กล่าวขึ้นเขากับเทียแมตและแกรเดครอสที่มองดูเหตุการณ์ทั้งหมด
ที่เกิดขึ้นจากข้างบน



โปรดติดตามตอนต่อไป

ในตอนหน้า

Lr ถูกพาตัวไปแล้ว การเคลื่อนไหวของโฮลี่ไนท์แมร์ได้เริ่มขึ้น

“ ข้าจะมาขอรับฟอจูนทรีไปล่ะนะ ”
Lr ได้เข้าต่อกรกับพันนิชชูร่าและเหล่าทวยเทพแห่งฟูดินัน
ทว่าก็ไม่อาจหยุดเขาได้

ขณะเดียวกัน

“ พลังของพวเธอในตอนนี้ไม่พอที่จะต่อกรกับศัตรูได้ ”
ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้

“ มีเพียงทางเดียวเท่านั้นพวกเจ้าต้องดึงเอาพลังของจันทราแบบที่สามของศิลาออกมา ”
“ การที่จะใช้พลังนั้นจำเป็นต้องอาศัยพลังของครึ่งสมิงสองตนต่อหนึ่งการอัญเชิญ ”
การฝึกฝน เพื่อค้นหาพลังใหม่

“ เธออยู่ที่นี่จะปลอดภัยกว่าพวกเราจะไปช่วยลอว์เรนซ์กลับมาให้ได้ ”
“ ถ้าเพียงแต่ฉันมีศิลาและคู่ที่จะร่วมต่อสู้ด้วยล่ะก็.. ”
ความรู้สึกที่แรงกล้าแต่ไร้ซึ่งพลัง

“ ถ้าเช่นนั้นชั้นจะช่วยเธอเองเพราะนี่คือการไถ่บาปที่ชั้นจะทำให้ได้ ”
ผู้ที่กลับมาช่วยเหลือ


“ พวกเราคือตัวแทนพลังแห่งจิตใจที่จะต่อกรกับความกลัว ”
พลังที่ถูกปลดปล่อยออกมา


“ สุดท้ายข้าก็ต้องเป็นคนจัดการพวกแกเองสินะ ”
คมดาบของเพื่อนที่พุ่งเล็งมายังพวกเขา

การบุกเข้าสู่ปราการของศัตรู พวกเขาจะช่วย Lr ได้หรือไม่พลังใหม่ที่พวกเขาจะนำมาต่อกรคืออะไร
จันทราดวงที่สามคือสิ่งใดติดตามได้ใน…

บทที่ 27 ลูกโซ่แห่งวิวัฒนาการ

ทำไมมันเศร้าอย่างงงงงงงงงงนี้ เปิดภาคมาก็แพ้แต่หัววันเลย
ช่างมันเดี๋ยวกลับไปแก้แค้นอีกทีก็ได้ บทถัดไปอัพวันอาทิตย์นะครับ



Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #231 on: July 18, 2008, 07:38:23 PM »

จุดจบของจุดจบจริงๆ   ความจริงมักโหดร้ายกับเราเสมอ   :'( :'(
ปล.พระเอกกลายร่าง  เหวอเลย
ปล.2  หากูเกื้ล  ลอเรนซ์กลายเป็นสูตรวิทย์  เป็นนู่นเป็นนี่ไปหมดเลย
« Last Edit: July 18, 2008, 07:42:15 PM by boy » Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #232 on: July 18, 2008, 08:09:55 PM »

ว่าไปแล้วนะครับ ชื่อมาฮา ราซานี อิเดีย ซาเรีย เซโก้ เนี่ยมันคล้องจองกันดีจริงๆ
แต่ไมเนื้อเรื่องตอนต้นที่เขียรนเกี่ยวกับอดีตตระกูลเนี่ย มันออกแนว
กบฏพระราชสมบัติเลยอ่ะ
ปล. ลอว์เรนซ์กลายเป็นสูตรคูณ หน่วยลูมิเนนท์ วิชาฟิสิกส์ป่ะ
คล้ายๆกัน
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #233 on: July 19, 2008, 12:52:17 PM »

“ สุดท้ายข้าก็ต้องเป็นคนจัดการพวกแกเองสินะ ”
คมดาบของเพื่อนที่พุ่งเล็งมายังพวกเขา

การบุกเข้าสู่ปราการของศัตรู พวกเขาจะช่วย Lr ได้หรือไม่พลังใหม่ที่พวกเขาจะนำมาต่อกรคืออะไร
จันทราดวงที่สามคือสิ่งใดติดตามได้ใน…

บทที่ 27 ลูกโซ่แห่งวิวัฒนาการ

ทำไมมันเศร้าอย่างงงงงงงงงงนี้ เปิดภาคมาก็แพ้แต่หัววันเลย
ช่างมันเดี๋ยวกลับไปแก้แค้นอีกทีก็ได้ บทถัดไปอัพวันอาทิตย์นะครับ

พระเอกซวย.......ขอเดาตอนของวันอาทิตย์นะ  ต้องมีตอนที่พระเอกสู้กับพวกตัวเองแน่เลย   




[/quote]
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #234 on: July 19, 2008, 07:02:06 PM »

Quote
พระเอกซวย.......ขอเดาตอนของวันอาทิตย์นะ  ต้องมีตอนที่พระเอกสู้กับพวกตัวเองแน่เลย   

ถูกต้องครับ แต่ผิดวัน บทหน้ายังไม่ได้ปะทะกันหรอกอย่างมากก็แค่โผล่มาแล้วจบ
ว่าแต่บทหน้านี้พวกเราจะได้เห็นความโหดของอีสควอเทียกันแย้วววว
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #235 on: July 20, 2008, 07:52:51 PM »

บทที่ 27 ลูกโซ่แห่งวิวัฒนาการ

  9 ปีก่อน ณ วิหาร St.Laurence ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่เหนือชะง่อนผา ตัววิหารสีขาว
หลังเรียงทรงเป็นหน้าจั่ว ส่วนอาคารที่อยู่ใจกลางนั้น
ถูกสร้างเป็นโดม ซึ่งปูด้วยหลังคากระจกเพื่อให้แสงส่อลงมาได้ ที่ลานหน้าวิหารนั้น
 ได้มีรูปสลักของ นักบุญมังกร มาธา (Martha, the Dragon Gospel Author)
 ยืนเด่นเป็นสง่าสายฝนที่โปรยปรายลงทำให้ร้านค้า ต่างๆที่อยู่ตั้งแต่เชิงบันได
ที่สร้างลงไปจากชะง่อนผาที่ไม่สูงนักนี้ จนถึงลานหน้าวิหารได้เก็บกลับไปกันหมดแล้ว
บัดนี้จึง  ทหารจากตระกูลซาราเบลดที่ควบม้าตามหลังอิเดียมานั้นได้มาถึงลานของวิหารแล้ว




พวกเขาลงจากหลังม้าก่อนจะเดินเข้าไปหลบฝนที่ใต้ชายคา ประตูวิหารได้เปิดออกทว่าแทนที่
พวกเขาจะได้รับการต้อนรับจาก เหล่านักบุญในวิหาร ที่สวนออกมานั้นกลับเป็น
แสงสีรุ้งพุ่งผ่านตัวอิเดียไปอย่างฉิวเฉียด ทว่าทหารที่ตามาอารักษ์ขา เขาถูกลำแสงเหล่านั้น
ทะลุผ่านร่างจนกลวง ล้มตายลงทั้งหมด บัดนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวแล้ว

ทันทีที่เขาทอดสายตามองเข้าไปยังโถงกลาง ตาของเขาก็ต้องเบิกกว้างด้วย
ความตกตะลึง ภายในโถงใหญ่ ร่างของนักบวชแห่งวิหารมังกรทุกคน
ล้มนอนตายเกลื่อนพื้นวิหาร โลหิตสีแดงกระจายเปรอะเปื้อนผนังและพื้นวิหารจนทั่ว
ชิ้นส่วนซากศพของนักบวชบางคนก็หลุดกระจายไปอยู่คนละที่จนเละเทะไปหมด
สร้างความสยดสยองให้แก่อิเดียเป็นอันมาก เสียจนเขาต้องกลืนน้ำลายเข้าไปอึกใหญ่

เขาชักดาบออกจากฝักที่เหน็บไว้ที่เอวขึ้นมาก่อนจะ ย่างเก้าเข้าไปในวิหารและ
สอดส่ายสายตาหาผู้รอดชีวิตที่จะมาช่วยอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น ทว่าเขาเองก็
เตรียมใจไว้เช่นกันว่าอาจไม่เหลือผู้รอดชีวิตและยังต้องปะทะกับศัตรูที่จู่โจมใส่พวกเขาด้วย

“ มาแล้วหรือ..อิเดีย แห่งซาราเบลด ”
เสียงซึ่งฟังดูเย็นชาไร้ที่ติ ราวกับผู้ที่กล่าวออกมานั้นไม่หลงเหลือไอชีวิต
อยู่ในร่างแล้ว อิเดียรีบหันไปยังต้นเสียงนั้นซึ่งดังมาจาก ด้านในสุดของโถง
นี้อันเป็นที่ตั้งของแท่นสักการะ ศิลามังกรแห่งทาลิวิลย่าหรืออีกนัยก็คือศิลาที่ฝังอยู่
ในตัวของ ลอว์เรนซ์ (Laurance) ซึ่งเป็นอนุสรณ์ ให้แก่เขา

อิเดียเดินเข้าไปใกล้แท่นสักการะสูงซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางโถง
โดยที่ ศิลามังกรถูกประกอบเข้ากับเชิงเทียนรูปมังกร ถูกวางเอาไว้บนแท่น
แสงซึ่งไม่ควรจะมีในเวลาที่ฟ้าปิดเพราะเมฆฝนเช่นกลับส่องลงมาสะท้อนกับ
ผิวของศิลาจนเกิดแสงระยิบระยับไปรอบศิลา  เมื่ออิเดียเข้าใกล้แท่นมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาก็เห็นใครบางคนยืนหันหน้าให้แท่นสักการะอยู่ เขาหรี่ตาแคบลงเพื่อดูว่า

เป็นใคร เขาคนนั้นใส่ชุดบิชอปสีดำ ยืนแหงนหน้ามองศิลา อยู่โดยไม่หันมาสนใจอิเดียแม้แต่น้อย
 อิเดียค่ยๆเร่งฝีเท้าขึ้นจนกลายเป็นวิ่งไปในที่สุด เขาวิ่งเหยียบย่ำพื้นที่เปรอะไปด้วยเลือด
จนรองเท้าโลหะของชุดเกราะกลายเป็นสีแดง แม้ระหว่างทางเขาจะเหยียบถูกเอาซาก
ศพ ของนักบวชไปบ้าง แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาลดฝีเท้าลง

ทันทีที่เขามาถึงตัวบิชอปชุดดำ อิเดียก็หยุดวิ่ง
เขาหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆด้วยความเหนื่อยหอบจากการวิ่งและความสงสัยในตัวของเขาทำให้
หัวใจของเขาเต้นรัว  และกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วทำให้เขาหายใจได้ลำบาก

“ ท่านเป็นใครเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ”
อิเดียถามด้วยความหวังลึกๆในใจว่า บิชอปชุดดำจะตอบไม่เช่นนั้น
เขาก็อาจจะต้องตอบคำถามให้กับตัวเองว่าทำไมถึงได้เดินเข้ามาตายเสียเอง
เพราะนอกจากบิชอปผู้นี้ก็ไม่มีใครในวิหารอีกแล้วที่ได้ฆ่าทหารของเขาไป
บิชอปชุดดำยังคงนิ่งเฉย ราวกับไม่ได้ยินคำถามของเขา
เมื่อรออยู่นาน ก็ยังไม่ได้คำตอบทำให้อิเดียตัดสินใจถามออกไปอีกครั้ง

“ ข้าถามว่าท่านเป็นใครท่านได้ยินไหม ”
อิเดียกล่าวเสียงของเขาก้องไปทั่วทั้งวิหาร บิชอปชุดดำจึงก้มหน้าลง
นั้นทำให้เขาต้องกระชับดาบในมือแน่น

“ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ข้าไม่ทำอะไรท่านอยู่แล้วเพราะในเวลานี้ข้ายังไม่มีตัวตน ”
บิชอปชุดดำกล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะเงียบไป

“ แล้วเกิดอะไรขึ้นที่นี่ท่านเป็นใครกัน ”
อิเดียถามอีกครั้งหลังจากที่ได้ฟังคำตอบที่ฟังชวนหัว ขึ้นมา

“ ซาราเบลด ท่านเชื่อเรื่องพระเจ้าหรือไม่ ”
บิชอปชุดดำถามย้อน สร้างความงุนงง ให้แก่เขาเป็นอันมาก
เขาคิดว่าบิชอปผู้นี้คงเสียสติไปแล้วหรือไม่ก็หูพิกลพิการ ถึงไม่ได้ยินคำถามของเขา

“ ข้าถามว่าท่านเป็นใครไม่ได้ให้มาถามข้าเชื่อเรื่องพระเจ้าไหม ”
อิเดียกล่าวแต่ก็ยังไม่มีการตอบรับใดจากบิชอปชุดดำ เมื่อนิ่งอยู่นานในที่สุดเขาก็ยอมแพ้
และคิดที่จะหาทางหลอกถามเขาให้ได้ ด้วยการเจรจา

“ ทำไมท่านถึงถามข้าเช่นนั้นล่ะ ท่านไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าหรือ ”
อิเดีย ถามย้อนไปบ้างเพื่อจะทดสอบดูปฏิกิริยาของเขา

“ เราเคยเชื่อและยึดมั่นในพระองค์มาตลอดแต่… ”
บิชอปชุดดำหยุดกล่าวไปกลางคัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ แล้วท่านล่ะซาราเบลด ”
บิชอปย้อมถามเขาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขาเองจำใจยอมตอบเพื่อที่จะได้พ้นคำถามนี้ไปเสีย

“ ข้าเชื่อเพราะพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างและประทานชีวิตแก่โลกใบนี้ ”
อิเดียตอบดดยหวังว่าบิชอปผู้นี้จะยอมตอบคำถามให้แก่เขา

“ ที่ท่านเชื่อนั้นเป็นเพราะเหตุใดท่านเชื่อในปาฏิหาริย์ที่พระองค์ประทาน
หรือเชื่อเพราะศาสนาท่านที่ยึดมั่น ”
บิชอปชุดดำย้อมถามเขาอีกครั้ง แม้จะรู้สึกว่าเสียเปรียแต่เเขาก็ยอม
ที่จะตามน้ำไปก่อนเพื่อจะหาโอกาสถามบิชอปอีกครั้ง

“ ไม่ใช่ทั้งสองอย่างข้าเพียงแค่ยึดมั่นในคำสอนของพระองค์และใช้มันเป็นเครื่องนำทางเพื่อ
ก้าวไปข้างหน้า ข้าไม่ได้เชื่อเพราะปาฏิหาริย์ย์หรือศาสนาชักจูงแต่อย่างใดข้าเพียงแต่ยึดมั่นในหลักของท่านเท่านั้น ”
อิเดียตอบน้ำเสียงหนักแน่น บิชอปชุดดำหัวเราะในลำคอเบาๆด้วยความพอใจก่อนจะเอ่ยต่อ

“ คำตอบของท่านทำให้เราแปลกใจเป็นอย่างยิ่งท่านไม่เหมือนคนอื่นที่หวังแต่จะ
ให้พระองค์ช่วยเหลือโดยไม่พยายามดิ้นรนให้ถึงที่สุด ท่านแตกต่างจากทุกคนและตัวเรา
เพราะท่านยึดมั่นเช่นนี้เอง ”
บิชอปกล่าวเสียงเรียบ ครั้นอิเดียจะถามเขาก็แทรกขึ้นมาทันที
“ หากวันหนึ่งสิ่งที่ท่านยึดมั่นนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองท่านจะทำเช่นไรล่ะ ”
บิชอปชุดดำถามอีกครั้งดดยไม่เปิดโอกาสให้แก่เขาเลย
ครั้นจะตอบคำถามก็ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่บิชอปกล่าว

“ ท่านหมายความว่าอย่างไร ”
อิเดียถามกลับโดยหวังจะใช้โอกาสนี้เป็นฝ่ายรุกกลับเสียบ้าง

“ งั้นรึสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครให้คำตอบได้สินะ… ”
บิชอปกล่าวตอบก่อนจะหันกลับมา ใบหน้าของเขาถูปกปิดด้วยหน้ากาก
กลมมนสีขาว มีเพียงช่องตาที่ถูกเจาะเอาไว้บนหน้ากากสองช่อง ทว่าดวงตากลับไร้แววเสียดำสนิท
ราวกับตุ๊กตา อิเดียต้องถอยผงะไปจนสะดุดเข้ากับซากศพ และล้มลงสายตาของถูกเบนขึ้นไป
ยังแสงที่อยู่เหนือศิลามังกร สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นสร้างความ ผวาให้แก่เขายิ่งนัก

ร่างซึ่งประกอบด้วยโครงกระดูกเป็นทางยาวคล้ายงู ที่กระดูกซี่โครงได้ยื่นออกมาสี่ด้าน
ปลายเป็นปีกขนนกและกรงเล็บล่องลอยอยู่กลางอากาศ กระดูกหลังมีเดือยกระดูกยื่นออกมา
กะโหลกยื่นยาวและมีเขาสองข้าง คอยื่นผ่านวงล้อ ซึ่งมีแยกอยู่ด้านบนสามแฉก
แสงสีรุ้งวิ่งไหลวนอยู่ในวงล้อนั้น ดวงตาของมันลุกวาวด้วยเพลิงนรกร่างกายส่องสกาว
ด้วยแสงอันเจิดจรัส ราวกับทูตสวรรค์

“ ตอนนี้พระองค์ได้มาปรากฏต่อหน้าเจ้าแล้ว ท่านคือเจตจำนงแห่งบาปและคุณงามความดีทั้งปวง
ที่ก่อตัวขึ้นมาในรูปอันศักดิ์สิทธิ์นี้ จงแสดงความเคารพต่อพระองค์โดยพลีกายและจิตวิญญาณแก่พระองค์
เพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เสียเถิดเพราะท่านได้ถูกเลือกแล้ว ”
สิ้นคำของบิชอปชุดดำ สิ่งที่เขาเรียกขานว่าคือพระผู้เป็นเจ้าก็ได้กลายเป็นแสง
และพุ่งเข้าหาอิเดีย ในทันที อิเดียรีบลุกขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน เพื่อจะหนีจากแสงนั้น
แต่เขาก็ลื่นล้มลงเพราะเลือดที่ท่วมไปทั่วพื้นวิหารแสงทั้งหมดได้แทรกซึมเข้าไปในร่างของเขา
ก่อนที่จะแน่นิ่งไป ขณะหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เปรอะไปด้วยเลือด

“ เจ้าไม่ใช่คนในยุคนี้ใช่ไหม ”
อิเดียกล่าว เสียงหยาบกร้านและดังกึกก้อง เยี่ยงปีศาจ ดวงตาไร้แวว
มือของเขาระเบิดออกเหลือแต่เพียงกระดูกเท่านั้นก่อนมันจะลุกโหมด้วยไฟบรรลัยกัณฑ์

“ ถูกอย่างที่พระองค์ตรัสข้าข้ามกาลเวลามาจากอนาคตข้างหน้านี้
 ดังนั้นตัวตนของข้าในตอนนี้จึงยังมิได้รับใช้พระองค์… ”
บิชอปชุดดำกล่าวแต่ก็ถูกปรามคำพูดไว้

“ ข้าคือผู้อยู่เหนือกาลเวลาและความเป็นความตาย ทำไมเรื่องแค่นี้ข้าจะไม่รู้ ไม่ว่าจะอดีตถึงอนาคต
ข้าได้รู้เห็นจนหมดสิ้นแล้ว ข้าคือผู้ลิขิตชีวิตของผู้ที่สิ้นแล้วให้อยู่หรือตายได้ทั้งสิ้น ”
อิเดียป่าวประกาศถึงอำนาจของตนก่อนที่จะ ตวัดมือ ออกไปเปลวเพลิงที่เผาไหม้มือของ
เขาได้กระเด็นไปลุกไหม้บนพื้นก่อนจะขยายตัวขึ้นท่ามกลางเปลวเพลิงนั้น วิหกโลกัณฑ์สีดำและวิหกเพลิงอมตะ
ไปบินฝ่าออกมาพร้อมกับนายของตนแบล็คไวเซอร์และบลาสเซจ

“ ข้าได้พาพวกเจ้ากลับขึ้นมาจากความตายจงรับบัญชาจากข้า
ไปรวบรวมเหล่านักรบมาเพื่อก่อตั้งสิบสองเทพขุนศึก ”
สิ้นคำของอิเดีย จอมเวทย์ผู้ฟื้นขึ้นมาจากขุมนรกก็ได้ออกไปรวบรวมเหล่านักรบตามคำสั่ง

“ สมเป็นพระองค์ ท่านคือผู้สร้างและประทานชีวิต ลิขิตเป็นตายแก่ทุกผู้ได้ รู้แจ้งเหนือกาลเวลา
เช่นนั้นท่านก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่าการส่งอัศวินนรก มอลฟาสซ์ (MALPHAS, THE HELL KNIGHT) ไปขัดขวางเกรเกอรี่นั้นไม่เป็นผลแล้ว ไยพระองค์ยังคงให้ข้าข้ามเวลากลับมากระทำการสูญเปล่าเช่นนี้อีก ”
บิชอปกล่าวด้วยความสงสัย



“ ข้าไม่คิดอยู่แล้วว่าอัศวินนรกจะขวางเกรเกอรี่ได้ ที่ข้าต้องการคือการรักษากระแสเวลาให้เดินไปอย่างที่ควรจะเป็นเท่านั้นตอนนี้สิบสองเทพขุนศึกลูคเรทีย
กำลังถูกไล่ต้อนจงข้ามเวลากลับไปช่วยนางเสียและกลับไปยัง
เวลาเดิมของเจ้าเพื่อทำศึกตัดสินกับศัตรูซะ ”
อิเดียสั่งราวกับล่วงรู้ว่าเหตุการณ์ในอนาคตเป็นเช่นไรถึงสามารถอ้างในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้
บิชอปรับคำสั่งแล้วจึงเปิดประตูมิติเพื่อข้ามห้วงเวลา กลับไปยังอนาคตเพื่อชื่วยลูคเรเทียจาก
เงื้อมือของทาลิคนัส ที่เมืองทีนวาแลน

“ ทีนี้ก็เหลือเพียงเก็บกวาดที่นี่เท่านั้น.. ”
อิเดียกล่าวจบ ปีกโครงกระดูกก็กางทะลุเสื้อเกราะออกมา
ก่อนจะลุกโหมด้วยเพลิงวิญญาณ ทันทีที่อิเดียสะบัดปีกทะยานทะลุกระจกวิหารออกไป
ไฟจากปีกก็โหมกระหน่ำเผาเอาร่างของเหล่านักบวชและนายทหารที่สิ้นชีวิตทุกคน

เพียงพริบตาหลังจากที่เปลวไฟได้ดับสลายสิ้นไป เหล่านักบวชและนายทหารทั้งหมดก็
ฟื้นคืนกลับมาโดยไม่มีแม้แต่บาดแผล ร่างของนักบวชที่เคยฉีกขาดมาก่อนก็รวมกลับเป็นอย่างเดิม
คราบโลหิตตามผนังและพื้นวิหารได้อันตธานหายไป

ราวกับไม่เคยเกิดสิ่งใดขึ้น ทิ้งไว้เพียงเศษกระจก ที่แตกกระจายเกลื่อนแท่นสักการะ
กับการหายตัวไปของอิเดีย ทั้งนักบวชและนายทหารทั้งหมดไม่มีใครจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แม้กระทั่งเรื่องที่ตนได้ตายแล้วกลับฟื้นคืนขึ้นมาก็ตาม

ภาพเหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดถูกเล่าผ่านน้ำตก แห่งการรู้แจ้งของวิหารปราชญ์มังกร
ให้แก่ ลูกมังกร และพวกเจนัสกับเทียแมตได้รับรู้กัน



“ ทีนี้พวกเจ้าคงเข้าใจแล้วสินะว่า ทำไมพ่อของลอว์เรนซ์ถึงได้เป็นท่านผู้นั้นไปได้ ”
อีสควอเทียเปรยเสียงเรียบ ขึ้นพวกเขาได้แต่นั่งนิ่ง เพราะไม่อาจ
สรรหาคำใดมาพูดได้อีกหลังจากที่ได้รับรู้เหตุการณ์ในอดีตตั้งแต่ตอนที่อิเดียหายตัวไป
และการล่มสลายของตระกูลซาราเบลดรวมไปถึงการตายของพ่อแม่พวกเขา และที่น่าตื่นตะลึงกว่านั้น
การที่ได้เห็นภาพของกาเร็ทซึ่งก็คือเมทาไนท์ในวัยเด็ก ที่ตอนนี้ไม่มีชุดเกราะมาปกปิดอีกแล้ว
ได้ย้ำถึงความเป็นพี่น้องของเมทาไนท์กับลอว์เรนซ์สร้างความประหลาดใจแก่พวกเขายิ่งนัก

“ แปลว่าที่แล้วท่านแอสต้ารู้มาตลอดเลยสินะว่าเราสองพี่น้องเป็นลูกของใครกัน ”
ลากูน่าเปรยเสียงแผ่ว จากการที่ยังทำใจให้เชื่อในสิ่งที่เห็นมานั้นไม่ได้

“ ที่จริงท่านบอกความจริงแก่พี่ตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อนที่เราจะไปเข้าร่วมกับ
เซอร์เซสแล้วพี่ต้องขอโทษด้วยที่ปกปิดมาตลอด ”
เจนัสกล่าวขณะที่เข้าไปปลอบน้องชาย


“ ฉันเองก็เคยสงสัยมาตลอดว่าทำไมมีแต่ฉันที่เป็นครึ่งสมิงในตระกูล ลาเซริโอ้
ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วเดิมทีแม่ฉันเป็นคนตระกูลเฟ็นเรียนี่เอง ”
นีน่ากล่าวเสียงแผ่วขณะที่ในใจยังคงไม่อาจปักใจเชื่ออย่างเต็มที่นัก


“ งั้นเธอกับริคุก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกันน่ะสิ ”
ลากูน่าหันไปถามด้วยความสงสัยซึ่งนางก็พยักหน้ารับ


“ ตอนนี้เราไม่มีเวลามากแล้ว ต้องรีบไปช่วย ลอว์เรนซ์กับพวกมังกรในหมู่บ้านที่ถูกจับขัง
ไว้ที่ปราการลอยฟ้าของมันโดยเร็วที่สุดเพราะนี่จากวันนั้นก็ผ่านมา
สองวันแล้ว พวกมันคงไม่อยู่เฉยแน่ ”
เมทาไนท์อธิบายสถานการณ์ให้อีสควอเทียฟังอย่างคร่าวๆ

“ งั้นจะมัวรอช้าอยู่ทำไมล่ะเรารีบบุกไปชิงตัวลอว์เรนซ์กันเลยสิ ปราการลอยฟ้าของพวกมันตั้งอยู่เหนืออาณาจักรฟีเลเซียนี้เอง ”
ลากูน่ากล่าวอกไปโดยไม่ยั้งคิด

“ ถ้าไปตอนนี้ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ ตอนนี้เราไม่มีลอว์เรนซ์แล้ว จะเรียกอัศวินทาลิวิลย่ามาช่วยก็ไม่ได้กำลังรบของเราลดลงมากเกินไป ”
เมทาไนท์กล่าวยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าพวกเขาในตอนนี้ทำอะไรไม่ได้เลย เมื่อเสียลอว์เรนซ์ไป

“ พลังของพวกเธอในตอนนี้ไม่พอที่จะต่อกรกับศัตรูได้ ”
อีสควอเทียกล่าวพร้อมกับเดินเข้าไปหาเจนัส

“ มีเพียงทางเดียวเท่านั้นพวกเจ้าต้องดึงเอาพลังของจันทราแบบที่สามของศิลาออกมา ”
อีสควอเทียกล่าวจบก็เดินนำให้พวกเขาตามนางไปที่ทะเลสาบซึ่งสะท้อนกับแสงจันทร์ที่ส่อง
ผ่านพุ่มเถาวัลย์เหนือโพลง ลงมา  ทันทีที่นางไปถึง อควา ก็โผล่หัวขึ้นมาจากทะเลสาบ
พร้อมพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าเรียบร้อย นางจึงเริ่มคำรามบทสวดขึ้นน้ำในทะเลสาบแยออกจากกัน
ในทันทีเผยให้เห็นบันไดที่ทอดลึกลงไปยังก้นทะเลสาบ ที่ก้นทะเลสาบนั้นมีแท่นศิลาซึ่งสลัก รูปจันทร์เสี้ยวเอาไว้ บนแท่นมีโซ่กุญแจมือ คล้องผ่านออกมาจากรูบนแท่นหิน ซึ่งเชื่อมกันไว้ด้านใน

“ การที่จะใช้พลังนั้นจำเป็นต้องอาศัยพลังของครึ่งสมิงสองตนต่อหนึ่งการอัญเชิญ ”
อีสควอเทียกล่าวขณะที่ผลักให้เจนัสกับลากูน่าเดินลงไปในทะเลสาบและกันไม่ให้คนอื่นเดินตามลง
มา ทันทีที่พวกเขาลงมาถึงแท่นที่ก้นทะเลสาบ อีสควอเทียก็ให้พวกเขาใส่กุญแจมือกันคนล่ะข้าง
และยืนกันคนละด้านของแท่นหิน ก่อนจะเดินกลับขึ้นไป

“ แล้วพวกเราจะต้องทำยังไงถึงจะดึงเอาพลังของจันทราแบบที่สามออกมาได้ล่ะ ”
ลากูน่ากล่าวถาม นางจึงหยุดเดินก่อนจะหันกลับมา

“ พลังของศิลาจันทราคืออัญเชิญจันทราสามแบบ แบบที่หนึ่งคือจันทราสีคราม มีพลังในการผนึก
แบบที่สองคือจันทราสีเลือด มีพลังในการเพิ่มและฟื้นฟูพลังและแบบที่สามนั้น คือการโจมตี ที่แล้วมาพวกเจ้าสองพี่น้องทำได้แค่อัญเชิญจันทราออกมาเพียงสองแบบเท่านั้น การจะดึงเอาพลังแบบที่สามออกมานั้น จำเป็นจะต้องอาศัยพลังของผู้ถือครองศิลาทั้งคู่ เพื่ออัญเชิญออกมา ”
อีสควอเทียอธิบาย

“ แล้วการฝึกนี่จะต้องทำอะไรล่ะ ”
เจนัสถามออกมาด้วยความสงสัย
ซึ่งอีสควอเทียก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะออกเดินขึ้นไปต่อ

“ ตอนนี้กุญแจมือทั้งสองที่พวกคล้องไว้น่ะมีพลังในการสกัดกั้นอำนาจในการอัญเชิญจันทรา
แบบที่หนึ่งและสอง อยู่การทดสอบนั้นก็ง่ายมากอีกเดี๋ยวน้ำในทะเลสาบที่แยกออกนี้ก็จะท่วมเข้าหากัน
ถึงตอนนั้นพวกเธอทั้งคู่ก็จะจมอยู่ใต้ก้นทะเลสาบหากไม่สามารถอัญเชิญจันทราแบบที่สามออก
มาได้กุญแจมือนั่นก็จะไม่ปลดออก ถึงตอนนั้นพวกเธอสองพี่น้องก็คงได้กลายเป็นผีเฝ้าทะเลสาบแน่พยายามเข้าละกัน ”
อีสควอเทียอธิบายวิธีฝึกเสี่ยงตายให้แก่พวกเขาได้อย่างหน้าตาเฉยโดยไม่สนว่าพวกเขาจะตายหรือไม่
ก็ตาม แม้นีน่าและพวกลูกมังกรจะขอให้ยกเลิกการฝึกก็ตามแต่นางก็ปฏิเสธที่จะทำตาม
เพราะหากไม่สามารถเก่งขึ้นได้ภายในเร็ววัน การไปช่วยลอว์เรนซ์อาจสายเกินแก้
ซึ่งพวกเทียแมตก็เห็นด้วยกับวิธีนี้

“ เรื่องอะไรจะมายอมจมน้ำตายอยู่นี่เล่าของแบบนี้น่ะกระชากมันทิ้งซะลยก็หมดเรื่อง ”
ลากูน่ากล่าวขณะที่ออกแรงกระชากแต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรโซ่ก็ไม่ขาดออก ครั้นเมื่อทุบแท่นหินลงไป
แรงสะเทือนก็สะท้อนกลับมาทำเอาเขาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

“ อย่าเหนื่อยเปล่าเลยนั่นน่ะทำมาจากโลหะเหนียวพิเศษแถมยังอาบอาคมเอาไว้ด้วยส่วนหินนั้นก็อยู่คง
ทนใต้ทะเลสาบมาหมื่นปีแล้วแถมยังสกัดกั้นพลังเวทย์ได้ทุกรูปแบบทุบให้ตายก็ไม่แตกหรอก ”
อีสควอเทียกล่าวแจ้งให้พวกเขาทราบ

“ ชิ..งั้นก็แช่แข็งน้ำพวกนี้ก่อนจะลงมาท่วมก็พอ..อัญเชิญ..อุบ ”
ลากูน่าที่คิดจะใช้พลังของศิลาอัญเชิญจันทราสีครามออกมานั้น
ต้องหยุดชะงักไปเมื่อโซ่กุญแจมือที่คล้องข้อมือเขาไว้ เรืองแสงสีเขียวขึ้นมา
ผลันไอพลังเวทย์ที่ไหลออกมาจากศิลาจันทราซึ่งคล้องคอเขาไว้ก็ถูกดูดเข้าไปยัง
โซ่ จากการที่ถูกดึงแรงดันพลังเวทย์ออกกระทันหัน ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกกระชาก

วิญญาณออกจากร่างยังไงยังงั้น และที่สุดการอัญเชิญจึงถูกยกเลิกครั้นที่ลองใหม่โซ่ก็ดูด
พลังของเขามาเหมือนเดิมจนทำให้การอัญเชิญจันทราของเขาล้มเหลวอีกครา

“ ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าโซ่นั่นสกัดกั้นการอัญเชิญจันทราทั้งสองแบบไว้ ที่พวก
เจ้าจะอัญเชิญออกมาได้ในเวลานี้คือจันทรารูปแบบที่สามซึ่งไม่ตายตัวว่าเป็นจันทราแบบไหน
ถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็จะรอดออกมาเอง พยายามเข้าล่ะ ”
อีสควอเทียกล่าวเสียงใสราวกับไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญเอาเสียเลย
ลากูน่าที่ได้ยินดังนั้นก็เข่าอ่อนทรุดลงอย่างหมดหวังในทันที

“ ไม่รอดแน่.. ”
ลากูน่าเปรยออกมาด้วยความผิดหวัง เขาไม่อาจทำอะไรได้เลยในเวลาเช่นนี้

“ ลุกขึ้นมา ลากูน่า ถ้ามาหยุดอยู่แค่นี้ล่ะก็ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้นแต่ลอว์เรนซ์ที่ยอมเสียสละ
เพื่อช่วยพวกเราไว้ก็จะไม่รอดเช่นกันจะยอมให้การเสียสละของเขาต้องสูญเปล่ารึ ”
เจนัสกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น คำพูดของพี่ชายได้ทำให้ลากูน่ารู้สึกมีหวังขึ้นมา

« Last Edit: August 27, 2008, 02:40:30 AM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #236 on: July 20, 2008, 07:53:14 PM »

“ ถูกของพี่ถ้าเราหยุดอยู่เพียงแค่นี้ไม่ว่าลอว์เรนซ์หรือแม้แต่ตัวเราเองก็ไม่อาจช่วยเอาไว้ได้.. ”
ลากูน่าทวนคำของพี่ชายอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืนสีหน้าของเขาสงบนิ่งลงไม่วอกแวกเหมือนเมื่อครู่
อีกแล้ว สายตาของเขาฉายแววแห่งความมุ่งมั่นออกมาเต็มที่ ในตอนนี้กำแพงน้ำได้ค่อยๆ
บีบตัวเข้าหากันพวกเขาสูดลมหายใจลึกๆอย่างรวดเร็วก่อนที่กำแพงน้ำจะประกบเข้าหากัน
จนมิดชิดพวกเขาทั้งสองได้เปลี่ยนสถานะเป็นจมน้ำไปแล้วในขณะนี้

“ เอาล่ะต่อไปก็เธอนีน่าช่วยตามฉันมาที..อ้อ อควา ครูฝากสองคนนั้นด้วยนะ ”
อีสควอเทียกล่าวฝากฝังสองพี่น้องที่อยู่ข้างล่างไว้กับ อควาเสร็จก็ ออกเดินนำ
นีน่าไปยังน้ำตกโดยที่ทุกคนไว้ที่ทะเลสาบเพื่อคอยดูผลการฝึกของทั้งคู่
เมื่อมาถึงน้ำตกอีสควอเทียก็หันกลับมาเธอ

“ เธอมีเศษหินสีเขียวนั่นกี่ชิ้นแล้วตอนนี้ ”
อีสควอเทียถามพร้อมกับจ้องไปยังหินสีเขียวใสซึ่งถูกติดเอาไว้กับสายคาดข้อมือของเธอ
นีน่ายกมันขึ้นมาให้นางดูอย่างชัดๆก่อนจะชูแหวนซึ่งติดหินสีเขียวใสแบบเดียวกันซึ่งสวมอยู่ที่นิ้วมืออีกข้าง
ขึ้นมา

“ ที่สายคาดนั่นฉันได้มาตั้งแต่เด็กแล้วส่วนที่แหวนนี่ฉันได้จากกาเทียพี่ของญาติฝ่ายพ่อของฉัน
หินนี่มันก็แค่สัญลักษณ์การเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีของรูลเวลล์กับลาเซริโอ้เท่านั้นนี่ ”
นีน่ากล่าวจบก็ลดแขนทั้งสองลง อีสควอเทียที่ได้ฟังคำตอบจากเธอก็ถอนหายใจ
เบาๆก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ เธอรู้มั้ยว่านั่นคืออะไร..มันคือเศษผลึกจันทรา ที่ใช้สร้างศิลาจันทราขึ้นมา ”
คำตอบของนางทำให้ นีน่าต้องนิ่งอึ้งไปหินที่เธอคิดมาตลอดว่าเป็นเพียงเครื่องประดับนั้น
คือส่วนประกอบในการสร้างศิลาจันทราแบบเดียวกับที่เจนัสและลากูน่ามี
ความคิดหนึ่งได้แวบขึ้นมาในหัวของเธอทันที

“ ถ้างั้นหากเราใช้เศษผลึกนี่สร้างศิลาขึ้นมาอีกชิ้นฉันก็จะสามารถใช้พลังของศิลาได้และอาจ
อัญเชิญจันทราแบบที่สามออกมาได้ด้วยสิคะ  ”
นีน่ากล่าวเสียงใสด้วยความกระดี๋กระด๋ากับความหวังที่ว่านางอาจเป็นกำลังรบให้แก่พวกเขา
ขึ้นมาได้อีกบ้าง แต่อีสควอเทียก็ส่ายหน้า ปฏิเสธนั่นทำให้นีน่าหูตก
ด้วยความผิดหวัง

“ การจะสร้างศิลาจันทราขึ้นมานั้นจำเป็นจะต้องมีเศษผลึกจันทรา สี่ ชิ้น
และอีกอย่างหากจะอัญเชิญจันทราแบบที่สามออกมาเจ้าก็ต้องหาครึ่งสมิงอีกคน
และศิลาจันทราอีกก้อนเพื่อประกอบการอัญเชิญซึ่งแค่ศิลาก้อนเดียวเจ้ายังสร้างไม่ได้
ที่เหลือก็ไม่ต้องว่ากันเลย ”
อีสควอเทียชี้แจงแก่นางอย่างสิ้นหวัง

“ งั้นที่เรียกหนูมานี่ก็เพื่อจะบอกว่าหนูไม่สามารถที่จะช่วยพวกเขาไปมากกว่านี้ได้เท่านั้นเองหรือคะ ”
นีน่ากล่าวเสียงแผ่วด้วยความผิดหวัง

“ ก็แล้วแต่เจ้าจะคิดล่ะนะ ”
อีสควอเทียกล่าวก่อนจะหันไปที่น้ำตกและคำรามบทสวดโบราณขึ้นมา ภาพต่างๆเริ่มปรากฏขึ้นบนน้ำตก
ซึ่งเป็นภาพของอาณาจักรแอนดิซองและฟีเลเซีย ในภาพนั้นกองกำลังต่อต้านต้องถอยล่าจากการ
โจมตีของอาณาจักรตน

“ พวกโฮลี่ไนท์แมร์มันเข้าควบคุมจิตสัมปัญชัญญะของผู้นำอาณาจักร
โดยใช้ประโยชน์จากด้านมืดในใจมนุษย์ กษัตริย์แห่งฟีเลเซียไม่ต้องการให้พระพี่นางของตน
ต้องอภิเษกกับชายต่างแดนอย่างผู้นำอาณาจักรฟูดินัน และความโลภของแม่มดผลึกน้ำแข็งวิโอเรียที่ต้องการ
จะกลับคืนสู่บัลลังค์ผนวกกับความต้องการให้ซิสเตอร์อลาน่าฟื้นคืนกลับมาของผู้นำอาณาจักรแอนดิซอง
บัดนี้พวกเขาถูกควบคุมให้ทำการต่อต้านกองกำลังต่อต้าน อีกไม่ช้าพวกเขาคงต้องจนมุมเป็นแน่แท้ ”
อีสควอเทียแจงให้ทราบขณะที่ภาพบนน้ำตกนั้น ได้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ มาสซิลิโอ้ผู้นำสภาศาสนาแห่งแอนดิซอง
ต้องถอยหนี เกรเกอรี่ถูกจับฐานให้การสนับสนุนกองกำลัง และถูกขังไว้ในคุกของพระราชวัง
แม่าทัพใหญ่ที่คุมกองกำลังต่อต้านต้องยกทัพไปหลบในเขตป่าฟูดินัน

“ นี่ร้ายแรงกว่าที่คิดเสียอีก แต่ดูเหมือนทางนี้ก็คงจะมาช่วยเราไม่ได้แน่ ”
อีสควอเทียคิดขณะที่ภาพบนน้ำตกได้เปลี่ยนไป อีกครั้งครั้นเมื่อภาพบนน้ำตกปรากฏชัดขึ้น
เรโค่ ซึ่งกำลังใช้พลังของตนละลายน้ำแข็งที่ผนึก เซโร่ ไว้อย่างสุดกำลังแต่อย่างไรก็ตาม
น้ำแข็งก็ไม่ได้อ่อนตัวลงไปแม้แต่ชั้นผิวเดียว แต่เธอก็ยังคงพยายามต่อไป
ภาพบนน้ำตกได้จางหายลงไปก่อนที่จะมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นมาจากทางทะเลสาบ


“ กีซซซซซ ”(อาจารย์อีสควอเทียสองคนนั่นแย่แล้วล่ะครับ)
ไลท์วิ่งหน้าตั้งมานางกับนีน่าพร้อมกับกล่าวอย่างเสียขวัญ

“ เกิดอะไรขึ้น ”
อีสควอเทียถามขึ้นด้วยความวิตกทันที ก่อนที่ไลท์จะนำนางและนีน่าไปยังทะเลสาบที่พวกเจนัส
ฝึกอยู่ด้านล่าง

…………..
……………….
………………….

ณ หมู่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ที่ปลายทะเลสาบนีรันด้า (Nerunda Lake)ซึ่งไหลรินออกมาจากรากของมหาพฤกษาอิคดราซิล หมู่เกาะเหล่านี้เกิดจากโขดหินขนาดใหญ่ มาซ้อนทับกันที่ปลายทะเลสาบซึ่งไหลออกมายังทะเล บนเกาะโขดหินนี้ ได้มีก้อนผลึกน้ำแข็งขนาดยักษ์ซึ่ง ภายในมีร่างของเด็กหนุ่มถูกแช่แข็งเอาไว้
ซึ่งก็คือเซโร่นั่นเองทว่าตอนนี้ เรโค่ ซึ่งเป็นผู้ที่พาเขามาได้หายตัวไปแล้วนางไปที่ไหนกัน…..

…………
……………..
……………….


ณ ท่าเรือใหญ่ของอาณาจักรแอนดิซองอันไกลโพ้น  คณะของ คาดินัลมาสซิลิโอ้ ได้เดินทางมาถึงเพื่อที่จะขึ้นเรือลี้ภัยไปยังฟีเลเซีย ทว่ากองทหารก็ยังคงตามมาอย่างไม่ลดละซึ่งนำทัพโดย แม่มดผลึกน้ำแข็งวิโอเรีย

ทหารกองกำลังต่อต้านได้เข้าปะทะเพื่อสกัดกองทหารแต่ทว่ากำลังของพวกเขามีน้อยจนเกินไปอีกทั้ง
วิโอเรีย ยังคอยร่ายเวทย์ ให้น้ำทะเลซึ่งกระเซ้นขึ้นมาท่วมบนท่าเรือกลายเป็นน้ำแข็งจน
เหล่าทหารไม่อาจทรงตัวได้บนพื้นน้ำแข็ง พากันลื่นล้มไปตามๆกัน

“ ไร้รูปไม่ไร้ตนเจ้าจงคงตนเป็นศาสตรามาล้างบางศัตรูข้า Glacia Wall (กำแพงผาน้ำแข็ง) ”
สิ้นเสียง พื้นน้ำแข็งที่วิโอเรีย ร่ายเวทย์ใส่ ก็พูนตัวสูงขึ้นเป็นกำแพงป้องกันข้าศึกไม่ให้เล็ดลอดเข้ามา
ซึ่งกำแพงเหล่านี้เกิดจากฝีมือของจอมเวทย์ชราซึ่งสวมผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้ม
หนวดเคราสีขาวรกรุงรัง และห้อยตุ้มหูขนาดใหญ่ไว้ที่ติ่งหูทั้งสองข้าง

“ ท่านอำมาตย์เบอนาร์ด(Bernard)จอมเวทย์สายน้ำแข็งแห่งตระกูลโอดิลอน (Odilon)ท่านมาได้ยังไงกัน  ”
มาสซิลิโอ้อุทานหลังจากที่ได้รับความช่วยเหลือจากจอมเวทย์เฒ่าเบอนาร์ด เขาคืออำมาตย์ของตระกูลโอดิลอน
“ ท่านคาดินัลรีบออกเดินทางเถิดที่นี่ข้าจะต้านไว้เอง ”
เบอนาร์ด กล่าวจบ คาดินัลมาสซิลิโอ้ ก็ได้ขึ้นเรือไปอย่างเรียบร้อยแล้วทว่าก่อนที่เรือจะออกไปกำแพงน้ำแข็งก็ได้พังทลายลงทหารทั้งหมดเข้ามาล้อมตัวเบอนาร์ดไว้ ครั้นเมื่อเขาจะร่ายเวทย์ ก็ถูกไอเย็นเรียงรูปเป็นวงแหวนเข้า
รัดคอของเขาจนออกเสียงร่ายคาถาไม่ได้ วิโอเรียเดินเข้ามาหาเขาโดยที่คฑาของนาง
คือสื่อของไอเย็นที่รัดคอเขานั่นเอง

“ ท่านเบอนาร์ดคิดคดกบฏต่อราชวงค์หรือยังไงหึหึหึ ”
วิโอเรียกล่าวก่อนจะหัวเราะในลำคอด้วยความพอใจ ทหารบางส่วนได้ บุกขึ้นไปยังเรือ
เพื่อจับกุมตัวมาสซิลิโอ้ทันที


“ ข้าทำ…เพื่อแผ่น..ดินมาโดยตลอด…ไม่มีทางคิด..คดเช่น…เจ้าหรอก ”
เบอนาร์ดกล่าวอย่างยากลำบาก คำพูดของเขาทำให้สติของนางขาดผึง

“ เชอะไอ้แก่ไร้น้ำยาอย่างแกพูดไม่ได้ก็ร่ายเวทย์ไม่ได้แล้วจะมีปัญญามาทำอะไรได้ ”
วิโอเรียกล่าวเหยียดหยาม ใส่เขาอย่างเต็มที่แต่ทว่าเขากลับยิ้มและหัวเราะออกมา
ราวกับคนสติไม่ดี

“ เจ้าคิด..อย่างนั้น…รึ.. ”
สิ้นคำห่วงน้ำแข็งที่คอของเขาก็สลายตัวไปสร้างความตกตะลึงให้แก่นางยิ่งนัก
ทว่าไม่เพียงเท่านั้น เหล่าทหารที่ขึ้นไปบนเรือก็ถูกน้ำทะเลซึ่งก่อตัวขึ้นปบนเรือและกวาดลงทะเลจนสิ้น
ก่อนที่เขาจะพุ่งศรน้ำแข็งซึ่งสร้างจากพลังเวทย์ไปตัดเชือกที่มัดเรือไว้กับท่าออก เรือได้ลอยรำออกไปแล้ว

“ คนอย่างเจ้ามักมองอะไรตื้นเขินเสมอจึงไม่อาจล่วงรู้ถึงกำลังของอีกฝ่ายได้ เช่นกันมนตรานั้นไม่ได้ร่ายด้วยปาก
หากแต่ร่ายด้วยใจจงจำคำข้าไว้ซะ ”
เบอนาร์ดกล่าวทว่าเขาก็ถูกล้อมไว้จนหมดแล้ว วิโอเรียเดินเข้ามาหาเขาอย่างหงุดหงิด
พร้อมกับยกคฑาขึ้น

“ มนตราร่ายด้วยใจงั้นหรืองั้นก็สวดภาวนาให้ตัวแกเองในใจด้วยละกันดูสิว่ามนต์ที่ร่ายด้วยปากกับใจอย่างไหนมันจะแรงกว่ากัน ”
สิ้นคำนางก็ร่ายมนตราขึ้นผลึกน้ำแข็งเริ่มก่อตัวขึ้นในอากาศและก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เหนือหัวเขา ครั้นจะร่ายมนตราก็ถูกหอกของเหล่าทหารจี้คอไว้ จนไม่อาจทำสมาธิร่ายได้ทั้งในใจ
และผ่านคำพูด

“ เชิญไปเทศนาต่อในนรกเถอะตาแก่ ”
สิ้นคำนางก็ตวัดคฑาในมือ ก้อนผลึกน้ำแข็งในอากาศได้ร่วหล่นลง อย่างรวดเร็วทว่า
ก้อนผลึกน้ำแข็งนั้นไม่ทันที่จะได้กระทบตัวเขา มันก็ได้แตกสลายกลายเป็นผงน้ำแข็งป่นในทันที
เหล่าทหารทุกนายถูก ลวดเอ็นบางๆตรึงแขนและขาเอาไว้ จนไม่อาจขยับได้


“ ฉันยังให้ตาแก่นี่ไปลงนรกไม่ได้หรอกเพราะฉนั้นคนที่ต้องไปลงนรกก่อนก็คงจะต้องเป็นแก ”
เสียงอันเยือกเย็นและแฝงไปด้วยจิตสังหารอันรุนแรงได้สร้างความหวาดกลัวให้แก่เหล่าทหารและวิโอเรีย
เป็นอันมาก เสียงดีดนิ้วดังขึ้นเพียวเปาะเดียว ทหารทั้งหมดบนท่าเรือที่ถูกตรึงเอาไว้ ก็ถูก
เหวี่ยงลงทะเลจนหมดเหลือแต่เพียงนางกับเบอนาร์ดและผู้มาเยือนใหม่ ซึ่งเป็นเด็กหญิง
นางมีปีกนกสีดำผุดขึ้นจากกลางหลัง ได้โรยตัวลงมาหาพวกเขาอย่างช้าๆ

“ นักเชิดวิญญาณรัตติกาล ผู้ร่ายอสูรเดนนรก นามของข้าคือ เรโค่ ”
เด็กหญิงกล่าวจบเส้นลวดก็เข้าไปพันแข้งขานางก่อนจะเหวี่ยงนางตกทะเลไป
เรโค่จึงหันมายังเบอนาร์ดที่ยืนอยู่ตรงหน้า


“ ที่มานี่เพราะเขาใช้เวทย์บทนั้นไปแล้วใช่ไหม ”
เบอนาร์ดกล่าวเสียงแผ่ว

“ ใช่ บอกวิธีที่จะช่วยเซโร่อกมาจากผลึกน้ำแข็งมาซะ ”
เรโค่กล่าวเสียงเรียบ แต่เขาก็ส่ายหน้า เป็นเชิงปฏิเสธ เพียงพริบตา เส้นลวดก็ได้เข้าไปรัดคอเขา
อย่างรวดเร็ว

“ บอกมาไม่งั้นหัวเจ้าไม่ได้อยู่บนบ่าแน่ ”
เรโค่ตะหวาด เพื่อข่มขู่ให้เขาบอกวิธีช่วยเซโร่

“ ข้าไม่ได้ไม่อยากช่วยเจ้าหรอกนะแต่วิธีแก้นั้นเท่าที่ข้ารู้ก็มีเพียงวิธีเดียวแต่เจ้าจะยอมรับ
มันได้รึเปล่าก็เท่านั้นเอง ”
เบอนาร์ดกล่าวเสียงเรียบราวกับไม่สะทกสะท้าน ต่อเส้นลวดที่อาจบั่นคอเขาได้ทุกเมื่อ
หลังจากที่ได้ยินคำตอบของเขานางจึงปล่อยเส้นลวด ออกจากคอของเขาแต่โดยดี

“ ว่ามา.. ”
นางกล่าวเสียงห้วน

“ วิธีเดียวที่จะช่วยเขาได้ก็คือการสวดภาวนาเท่านั้น.. ”
สิ้นคำเขาก็ถูกนางเข้ามากระชากคอเสื้อลง

“ อย่ามาล้อเล่นนะแค่ภาวนามันจะไปช่วยอะไรได้ เซโร่เป็นลูกศิษย์แกนะไม่สิเขาเป็นหลานแท้ๆของแกด้วย
แกไม่คิดจะช่วยเขาเลยรึไงกัน ”
นางกล่าวเสียงกร้าว ด้วยความโกรธทว่า เบอนาร์ดก็ยังคง มีทีท่าสงบนิ่ง
ไม่สะทกสะท้านต่อการกระทำของนาง เมื่อเป็นเช่นนั้นนางจึงยอมปล่อยคอเสื้อของเขา

“ ที่เจ้าจะคิดอย่างนั้นก็ไม่แปลกเพราะเจ้ายังไม่คิดจะช่วยเขาอย่างจริงจังน่ะสิ ”
เบอนาร์ดกล่าว
“ ท่านจะมารู้อะไรทำไมข้าจะไม่อยากช่วยเขาล่ะข้าลองหมดทุกอยางแล้วแต่ก็ไม่อาจช่วยเขาได้เลย
แล้วแค่สวดภาวนาจะไปช่วยอะไรได้ ”
เรโค่กล่าวเสียงแผ่ว ตอนนี้นางรู้สึกสิ้นหวังเต็มทีเพราะไม่อาจช่วยเซโร่ได้

“ แน่ใจแล้วรึ..หากเจ้าคิดจะช่วยเขาอย่างแท้จริงล่ะทำไมแคสวดภาวนาถึงทำไม่ได้ล่ะ..ลองหมด
ทุกอย่างแล้วแค่สวดภาวนาอีกอย่างมันจะเป็นไรไป หากเจ้าคิดจะช่วยเขาอย่างจริงใจ ทำไมถึงไม่ลองก่อนล่ะ ”
เบอนาร์ดกล่าว เรโค่จึงเข้าใจในคำพูดของเขาในวินาทีนั้นเอง เพราะนางเอาแต่รีบร้อนจึงมองข้ามเรื่องนี้ไป
นางก้มหน้าลงด้วยความสลด

“ จริงของท่าน ลองมาหมดแล้วลองอีกซักอย่างจะเป็นไรไปถึงจะต้องอยู่ภาวนาถึงร้อยปีฉันก็จะไม่ยอมหยุดเด็ดขาดจนกว่าจะช่วยเขาออกมาได้ ขอบคุณท่านมากเบอนาร์ด ”
เรโค่กล่าวจบก็ทะยานหายลับไปบนฟากฟ้า ทิ้งให้เขาจ้องมองนางจนลับขอบฟ้าไป

“ เซโร่ในที่สุดเจ้าก็มีคนที่อยากปกป้องแล้วสินะถึงได้ยอมเอาตัวข้าแลกเพื่อปกป้องข้าภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆหลานรัก แต่คงไม่ต้องรอถึงร้อยปีหรอกข้าเชื่อว่าถ้าเป็นเธอจะต้องช่วยเจ้าได้อย่างแน่นอน เซโร่แม้เราจะตัดความสัมพันธ์ปู่กับหลานไปแล้วแต่การที่เจ้ามีคนอยู่เคียงข้างเจ้าแล้วก็ทำให้ข้าวางใจได้ซักที ”
ความคิดที่กลั่นออกมาจากใจพร้อมกับหยาดน้ำตาซึ่งไหลรินออกมาด้วยความปลื้มปิติ และโหยหา
ได้หลั่งล้นออกจากดวงตาของจอมเวทย์เฒ่า ก่อนที่เขาจะล้มลงและสิ้นลมหายใจไปจากการ
ฝืนเค้นพลังเวทย์ออกมาในตอนที่ช่วยคาดินัล ให้หนีไป

…………………….
……………………….
……………………………

ณ ผืนป่าอันหนาทึบไปด้วยความเขียวขจีของพรรณไม้นานาชนิด และมหาพฤกษาใบสีเงิน
ซึ่งยืนตระหง่านท่ามกลางพงไพร  บัดนี้ได้เกิดหลุมมิติสีดำขึ้นกลางอากาศ พลังงานที่ไหลออกมาจากมิติ
ได้ปลุกเร้าเหล่าเทพพิทักษ์แห่งผืนป่าทั้งหมด มังกรมารัค ได้ตื่นขึ้นจากนิทราและมังกรสองหัวไพทอน
ได้ก้าวลงมาจาก เทือกเขาคีรีบันดา ท้องฟ้าเปิดกว้างออก พร้อมกับการปรากฏของเทพีแห่งสายฝนเรน่า
และเมการัตต้า วาฬ กินเมฆ ซึ่งเป็นสัตว์รับใช้ของนาง แม้แต่เมพีแห่งสายชะลอันดีนก็ไม่อาจอยู่นิ่งได้
ไม่เว้นกระทั่งราชสีห์แอนโกริอ้อนเทพแห่งจิตวิญญาณก็ยังอดที่จะออกมาตามเสียงเรียกที่ปลุกเร้าจิตใจ
นี้ไม่ได้  ชาวอาณาจักรฟูดินัน ทั้งป่าทมิฬ เผ่าสมิงรวมไปถึงเหล่าเอฟล์ที่อาศัยอยู่ในผืนป่าต่างพากันจับจ้องการ
ชุมนุมของเหล่าเทพพิทักษ์อย่างใจจดใจจ่อ เหล่าเทพพิทักษ์ได้มารวมตัวกันยังทะเลสาบนีรันด้าใกล้กับ
มหาพฤกษา

ทันทีที่ฟ้าเปิดอีกครั้ง  พันนิชชูร่า สัตว์รับใช้ของเทพบารามัน ในรูปร่างของปลาสีขาว
ซึ่งกลืนกินฟอจูนทรีพลังชีวิตของมหาพฤกษาที่ถูกชิงเอาไปเมื่อครั้งก่อนก็ได้
ปรากฏตัวลงมาด้วยเช่นกัน เมื่อหลุมมิติขยายตัวออกเหล่าเทพพิทักษ์ทั้งหมดก็เตรียมพร้อม
ที่จะต่อกรกับอำนาจอันแข็งแกร่งที่จะออกมาจากหลุมมิตินี้

ซึ่งทันทีที่หลุมมิติขยายจนสุดผู้ที่ก้าวออกมานั้น ก็คือ ลอว์เรนซ์ ซึ่งมีปีกนกสีดำในมือกระชับดาบซึ่ง
มีคมเป็นสีแดงและรูปร่างแปลกประหลาด สีหน้าของเขาเย็นชาและดวงตาไร้แวว
เอาแต่ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่เป็นเนืองๆ ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น เหล่าเทพพิทักษ์
ก็ไม่รอช้าได้บุกใส่เขาอย่างไม่ปรานี

“ ฮึ..พวกเศษสวะหายไปให้หมด…จงกรีดร้องมุรามาซะ ”
สิ้นคำเขาก็ได้เปลี่ยนรูปไปกลายเป็นอัศวินมังกรร่างเป็นโลหะ ดาบในมือเปลี่ยนไปเป็นดาบยาว
แบบคาตานะ

“ เมื่อใดที่ความกลัวแข็งแกร่งไม่ว่าเทพหรือปีศาจจะต้องสยบ..นามกรของข้าคือมุรามาซะโซล ”
สิ้นคำ ร่างอัศวินมังกรก็ได้หายไป เพียงชั่วพริบตาเหล่าเทพพิทักษ์ทั้งหมดก็ได้พ่ายแพ้สิ้น

มารัคและไพทอน ถูกฟันจนเป็นแผลสาหัส เทพีสายชลอันดีน ถูกฟาดจนกระเด็นขึ้นมาจากน้ำ
เทพีเรน่าถูกทำลายคันธนูของนาง และเมการัตต้าวาฬของนางก็ถูก ฟันครีบทั้งสองจนขาดและร่วงหล่นลง
สู่ทะเลสาบนีรันด้าจนน้ำในทะเลสาบทะลักท่วม ป่าแอนโกริอ้อนถูกจับเหวี่ยงไปชนเข้ากับพันนิชชูร่า
จนกระเด็นไปกระแทกเข้ากับมหาพฤกษา ก่อนที่ตัวพันนิชชูร่า จะถูกมุรามาซะโซล
จับตัวไว้

“ ข้าจะมาขอรับฟอจูนทรีไปล่ะนะ ”
สิ้นคำมุรามาซะโซลก็ล้วงเข้าไปในปากของพันนิชชูร่าและควักเอาก้อน
พลังงานสีขาวขนาดเท่าลูกแก้วออกมา ก่อนจะขว้างตัวพันนิชชูร่าให้จมดิ่งลงสู่ก้นทะเลสาบนีรันด้า

“ ความกลัวคือทุกสิ่งไม่ว่าเทพหรือปีศาจจักต้องสยบจำเอาไว้ Fear Of Testament (คำสอนแห่งความกลัว) ”
สิ้นคำคลื่นพลังสีดำก็ถูกปล่อยออกมาจากร่างของมุรามซะโซล สิ่งมีชีวิตที่สูดมันเข้าไปก็เกิดการดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งตาเบิกโพล่งด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่รู้จบ เป็นการซ้ำเติมความพ่ายแพ้ของเหล่าเทพอย่างถึงที่สุด
ก่อนที่มุรามาซะโซลจะนำเอาฟอจูนทรีหายตัวกลับเข้าไปในหลุมมิติ
………….
……………
………….


“ ทำได้ดีมากลูกของข้า เจาไม่เพียงนำฟอจูนทรีกลับมาแต่ยังทำลายเหล่าเทพพิทักษ์จนสิ้นชื่ออีก ”
อิเดียซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังค์สูงกล่าวโดยที่เหล่าเทพขุนศึกอีก 5 คน ซึ่งมีกรีแวร์ และนักประดิษฐ์ที่
ขายังไม่หายดีรวมอยู่ด้วย



“ ท่านลอว์เรนซ์ทรงมากด้วยความสามารถยิ่งนัก พวกเราเทพขุนพลได้พยายามอย่าง
ยิ่งยวดเพื่อที่จะนำเอาฟอจูนทรีนี้มา หลายครั้งหลายคราแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จหากไม่ได้ความสามารถ
ของท่านพวกเราคงไม่มีวันนี้ ”
นักประดิษฐ์กล่าวขณะที่เข้าไปรับเอาฟอจูนทรีจากมือของลอว์เรนซ์

“ เชอะ….ขืนปล่อยสวะอย่างพวกเจ้าทำงานกันต่อไปแล้วเมื่อไหร่จะรุ่ง”
ลอว์เรนซ์กล่าวเหยียดหยามเหล่าเทพขุนพลที่เหลืออย่างสุขสันต์ แม้จะเจ็บใจแต่พวกเขาก็ต้องทนที่จะ
โดนดูถูกเพราะที่ผ่านมาพวกเขาถูขัดขวางโดยลอว์เรนซ์มาตลอดครั้นเมื่อเขามาช่วยงานทั้งหมดก็เป็นไปอย่างง่ายดาย ปานพลิกฝ่ามือ นักประดิษฐ์ที่รับเอาฟอจูนทรีไปนั้นได้นำไปติดวางไว้บนแท่น
ทรงกระบอกซึ่งยกสูงขึ้นจากพื้น ก่อนที่ตัวเขาจะเดินกลับไปยังแผงมอนิเตอร์เพื่ทำการเดินเครื่อง

 “ ด้วยเครื่องมือนี้เราจะสามารถคลายผนึกสะกดและเปิดประตูมิติมังกรออกมาได้ซึ่งต้องใช้เวลาอีกประมาน
ครึ่งวันเพื่อดึงเอาพลังงานจากฟอจูนทรี ”
นักประดิษฐ์อธิบาย ขณะที่ยังคงปรับปุมบนแผงวงจร อย่างสบายอารมณ์

“ อีกไม่นาน เหล่าคนบาปจะฟื้นคืน มหาสงครามเมื่อครั้งอดีตจะได้ปิดฉากลงในไม่ช้านี้พร้อมกับการจุติ
ครั้งใหญ่ของข้าไม่มีใคาขวางข้าได้อีกแล้ว ”
อิเดียกล่าวจบก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งในชัยชนะของตน

………………
………………….
……………………

“ กีซซซซ ”(หลังจากพวกเขาลงไปนี่ก็เลยมาหลายนาทีแล้วจะลงไปก็ดันเกิดน้ำวนขึ้นในทะเลสาบ
อีกสองคนนั่นจะเป็นไรไหมเนี่ย)
วิลกล่าวอย่างกระวนกระวาย บัดนี้น้ำในทะเลสาบที่เจนัสกับลากูน่าลงไปฝึกฝนเพื่อการอัญเชิญจันทรา
แบบที่สาม ได้ไม่นานก็กระแสน้ำวนเชี่ยวกราดขึ้นจนไม่อาจลงไปช่วยทั้งคู่ได้

“ พวกเขาจะเป็นอะไรไหมคะ ”
นีน่ากล่าวถามด้วยความวิตก

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #237 on: July 20, 2008, 07:53:36 PM »

“ ฉันเองก็ยืนยันไม่ได้พวกเขาอาจทำสำเร็จหรือไม่ก็ได้ ”
อีสควอเทียกล่าวอย่างไม่แน่ใจขณะที่คอยมองว่าพวกเขาจะขึ้นมาเมื่อไหร่

ที่ก้นทะเลสาบ เจนัสและลากูน่าทั้งสองจับมือกันเอาไว้ พร้อมกับทำสมาธิให้แน่วแน่
พลังนั้นส่งผลถึงศิลาจันทราทำให้เกิดกระแสพลังงานไหล วนไปรอบๆ
จนเกิดเป็นกระแสน้ำวน

“ แก่นแท้แห่งมนตราก็คือใจ ”
“ หากใจไม่มั่นคงพลังก็จะไม่มั่นคง ”
“ เพราะมนตราต้องร่ายด้วยใจ ”
เสียงสนทนาของทั้งคู่ที่ดังผ่านจิตใจซึ่งเชื่อมต่อกัน
ได้ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทันทีที่ใจของทั้งคู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกระแสน้ำวน ก็สงบลง

“ ยามใดที่ท้องนภาเปิด….เมื่อนั้นดวงเนตรจักเบิกออก..นำมาซึ่งแสงแห่งจันทรา…ชี้นำทุกสรรพสิ่งสู่ความพินาศ…จงรับความพิโรธนี้ไป….. ”
เสียงที่ดังขึ้นในใจของทั้งสอง ได้ดับลงไป ศิลาก็ส่องแสงสว่างจ้า กุญแจมือที่คล้องพวกเขาเอาไว้
ได้ปลดออกเองทันที พร้อมกับคลื่อพลังที่มหาศาล จนน้ำในทะเลสาบพุ่งระเบิดขึ้นทะลุพุ่มเถาวัลย์ที่อยู่เหนือ
ทะเลสาบทะลักออกไปท่วมป่าด้านบน โดยที่มีน้ำบางส่วนเท่านั้นที่โปรยปรายกลับลงมาในะเลสาบ
พวกเขาสองพี่น้องซึ่งตัวเปียกโชกได้เดินขึ้นมาจากก้นทะเลสาบซึ่งบัดนี้แทบจะไม่เหลือน้ำในทะเลสาบแล้ว
มีเพียงน้ำจากน้ำตกที่ไหลลงมาเติมให้แก่ทะเลสาบเรื่อยๆ

“ ในที่สุดก็สำเร็จแล้วสินะจันทราแบบที่สามของพวกเจ้า ”
อีสควอเทียกล่าว

ครู่ต่อมา หลังจากที่ทุกคนเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยพวกเขาก็พร้อมที่จะบุกไปยังปราการลอยฟ้าของศัตรู

“ หมายความว่ายังไงทำไมถึงไม่ให้ฉันไปล่ะ ”
นีน่าโวยวายด้วยความไม่พอใจหลังจากที่เจนัสได้ห้ามเธอไม่ให้
ไปร่วมรบด้วย

“ เธออยู่ที่นี่จะปลอดภัยกว่าพวกเราจะไปช่วยลอว์เรนซ์กลับมาให้ได้ ”
เจนัสกล่าวด้วยความเป็นห่วงเพราะไม่อยากให้เธอต้องไปเสี่ยง

“ แต่นายสัญญาแล้วนะว่าจะไม่ทิ้งฉันไป ถึงนายจะทำเพราะเป็นห่วงฉันก็ตาม
แต่ฉันไม่ยอมหรอกฉันจะไปด้วย ”
นีน่ากล่าวอย่างขวัญเสียเมื่อเธอจะถูกกันออกไปแต่เจนัสก็ส่ายหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ ขอโทษนะชั้นให้เธอไปเสี่ยงไม่ได้ครั้งนี้มันอันตรายเกินไปชั้นต้องขอโทษด้วยที่ไม่อาจ
รักษาสัญญานี้กับเธอได้เพราะฉนั้น เธอช่วยรับนี่ไว้ที มันจะเป็นตัวแทนของชั้นหากชั้นไม่กลับมา ”
เจนัสกล่าวจบก็ถอดสายห้อยคอซึ่งร้อยผ่านเศษผลึกดวงจันทร์ของเขาให้แก่เธอ
นีน่ารับมันมาไว้ก่อนที่เขาจะเดินจากเธอไป

“ เจนัส.. ”
นีน่าเปรยเสียงแผ่ว นางไม่อาจกล่าวอะไรออกมาได้ ทำได้เพียงกุมเศษผลึกจันทรา
ที่เขาให้เธอมาไว้ด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ

“ วางใจได้ฉันจะดูแลนางเอง ขอให้พวกเจ้าโชคดี ”
อีสควอเทียกล่าวจบ เจนัส ลากูน่า และพวกลูกมังกร ก็ขึ้นไปบนมือของแกรนเดครอสซึ่งรอพวกเขาอยู่ที่ผาน้ำตกด้านนอก โดยที่เมทาไนท์ไปยืนรอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว เมื่อทุกคนมากันครบแล้ว เทียแมตก็ออกบินนำ
แกรนเดครอสมุ่งหน้าไปยัง ปรการลอยฟ้าเหนือเมฆ ซึ่งอยู่ข้างบนอาณาจักรฟีเลเซีย


ขณะเดียวกัน ยานรูปร่างประหลาดซึ่งเคยช่วยให้ไลท์เปลี่ยนร่างเป็นอิมซานมาแล้วก็ได้มุ่งหน้าไปยัง
ปรากการลอยฟ้าเช่นกัน
………..
…………….
…………………
 

“ ถ้าเพียงแต่ฉันมีศิลาและคู่ที่จะร่วมต่อสู้ด้วยล่ะก็.. ”
นีน่ารำพันกับตัวเอง ขณะที่จ้องมองเศษผลึกจันทราทั้งสามชิ้นที่ได้มา
ซึ่งขาดอีกเพียงชิ้นเดียว นางก็สามารถที่จะสร้างศิลาจันทราขึ้นมาได้อีกดวงแต่ทว่า
นางก็ยังคงขาดคูที่จะร่วมกันอัญเชิญจันทราแบบที่สามอีกทั้งยังต้องศิลาอีกก้อนหนึ่งด้วย

“ ถ้าเช่นนั้นชั้นจะช่วยเธอเองเพราะนี่คือการไถ่บาปที่ชั้นจะทำให้ได้ ”
เสียงดังขึ้นจากด้านหลังของนาง มีเงาของใครบางคนกลังตรงมาจากปากทางเข้าของถ้ำวิหารแห่งนี้

“ ในที่สุดเจ้าก็มา…ถึงเวลาที่พวกเจ้าทั้งคู่จะอัญเชิญ จันทราแบบที่สามแล้ว ”
อีสควอเทียกล่าวขึ้น
……..
…………..
……………..

ณ ปราการลอยฟ้าขนาดยักษ์ซึ่งฐานรอบๆปราการถูกล้อมไว้ด้วยวงแหวนขนาดยักษ์
สลักอักขระแปลกๆไว้ที่ด้านนอก วง และยึดติดกับกำแพงน้ำแข็ง ที่ปิดล้อมทั้งทวีปเมอริเซียไว้

ตัวปราการ เป็นฐานลอยฟ้าซึ่งมีหอคอยสูงตั้งอยู่บนลานฐาน ขนาดใหญ่ โดยที่ใต้ฐานมีการต่อเติม
ชั้นลงไปเพื่อใช้สำหรับเป็นคุกใต้ดิน ซึ่งกักขัง พวกมังกรที่หมู่บ้านมังกรเอาไว้
บัดนี้พวกเขาได้มาถึงปราการแห่งนี้แล้ว ทันทีที่ก้าวลงจากมือของแกรนเดครอส
เหล่าดราก้อนเนโครแมนเซอร์ก็กรู กันออกมาจากประตูหอคอย เข้าล้อมกรอบพวกเขาไว้

ทว่าแกรนเดครอสก็ได้ใช้ร่างกายอันใหญ่โตผลักพวกมัน ออกเพื่อเปิดทาง

“ พวกเจ้ารีบไปซะข้ากับเทียแมตจะต้านพวกนี้ไว้กาเร็ทจะลงไปช่วยพวกที่ถูกขังอยู่ใต้ดินก่อน
พวกเจ้ารีบไปช่วยลอว์เรนซ์เร็ว ”
แกรนเดครอสกล่าวจบ เจนัส ลากูน่า กาเร็ท และพวกลูกมังกรก็พากันวิ่งฝ่ากองทัพดราก้อนเนโครแมนเซอร์
เข้าไปในหอคอย ภายในหอคอยชั้นแรกเป็นห้อง โล่งกว้าง มีเพียงบันไดที่
ต่อลงไปข้างใต้กับบันไดเวียนที่ต่อขึ้นไปด้านบน พวกเขาจึงตัดสินใจแยกทางกันตรงนี้โดยกาเร็ท
ลงไปชั้นใต้ดินเพื่อช่วยพวกมังกรที่ถูกจับตัวไว้ ส่วนพวกเขาก็บุกขึ้นบันไดเวียนไปยังชั้นบนเพื่อช่วย
ลอว์เรนซ์ที่น่าจะอยู่ชั้นบนสุดกับอิเดีย


เมื่อมาถึงชั้นสอง ห้องทั้งห้องนั้น มืดสนิทมีเพียงแสงไฟสลัวๆจากหน้าต่าง
ที่เล็ดลอด เข้ามาเท่านั้นที่พอจะทำให้มองเห็นสภาพของห้องได้
ภายในนอกจากบันไดเวียนที่พวกเขาวิ่งขึ้นมา ที่ด้านในของห้องมีเพียงบานประตูเหล็กที่แง้มไว้เล็กน้อย
เสียงลมที่ลอดผ่านหน้าต่างจากผนังฝั่งซ้าย ไปฝั่งขวา ส่งเสียงหวีดหวิว ราวกับท่วงทำนองแห่งปีศาจ
ทว่าทันทีที่เสียงประตูครูดไปกับพื้นดังขึ้น พวกเขาก็ต้องชะงักไปประตูเหล็กได้ เปิดออกพร้อมกับ
เผยให้เห็นบันไดหินหลังประตู บุรุษลึกลับสามคน ได้ย่างก้าวลงบันไดหินตรงมายังพวกเขา
ทุกฝีเก้าที่เสียงเท้ากระทบพื้นดังก้องไปทั่วห้อง  พวกเขารู้สึกได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงและ
แรงดันพลังเวทย์ที่สูงส่ง  ทันทีที่บุรุษทั้งสามก้าวเข้ามาในห้อง ดวงไฟที่ติดบนเพดานก็
ส่องแสงทำให้ทั้งห้องสว่างขึ้น

“ ยินดีต้อนรับสู่ปราการลอยฟ้า พวกเราสิบสองเทพขุนศึกจะต้อนรับพวกเจ้าเอง ”
บุรุษทั้งสามกล่าว คนหนี่งสวมชุดสีเทาขาว ปกปิดตั้งหัวจรดเท้า
รอบๆกายของเขาปกคลุมด้วยฝุ่นควันซึ่งลอยเคว้งในอากาศ อีกคนสวมเกราะ
รัดรูปสีดำปิดทับด้วยผ้าคลุมหนังสัตว์สีน้ำตาลในมือกระชับดาบโลหะซึ่งสะท้นแสงแวววาว
ผมดำยาวสลวยแววตาเย็นชาไร้ความรู้สึก ส่วนชายอีกคน สวมชุดสีดำปิดทับด้วยผ้ำกำมะหยี่สีม่วง
กระโปรงยาวถึงเท้า ในมือมีออร่าพลังเวทย์ลุกโชนอยู่ทั้งสองข้าง

“ ข้า 1 ใน 12 เทพขุนศึก จอมเวทย์ภาพลวงตาดำ(Black Mirage Sorcerer) ”


“ ข้า 1 ใน 12 เทพขุนศึก มือสังหารแห่งความมืด (Dark Slayer) ”


“ ข้า 1 ใน 12 เทพขุนศึก ผู้ควบคุมวิญญาณ เมฟิส (Mephist, the Necroancer) ”


เทพขุนศึกทั้งสามแนะนำตนเสร็จก็ไม่รอช้าเริ่มบุกใส่พวกเขาไม่ให้ตั้งตัว
จอมเวทย์ภาพลวงตาดำ ได้โปรยผงฝุ่นที่ลอยเคว้งอยู่ใส่พวกเขา
หลังจากที่พวกเขาสูดดมมันเข้าไป พวกเขาก็เห็นภาพบิดเบี้ยวเลือนรางไปหมด
ไม่นานนักภาพทั้งหมดก็กลับมาเป็นปกติทว่าบุรุษทั้งสามคนที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาได้เหลือเพียงมือสังหารแห่งความมืด
เท่านั้นแต่ที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาแทนนั้นแทบจะหยุดลมหายใจของพวกเขา
เอาเสียดื้อๆ เพราะผู้ที่อยู่ตรงหน้านั้นก็คือ เหล่าเทพขุนพลที่ได้ตายไปแล้ว ไม่ว่าจะ
เซอร์เซส ลูคเรเทีย วูลเซวิล แม่ทัพมังกร หรือแม้แต่ กาโรห์ ก็ได้ปรากฏอยู่เคียงข้างกับมือสังหารแห่งความมืด

“ นี่มันอะไรกัน ”
เจนัสกล่าวได้เพียงเท่านั้น เหล่าเทพขุนพลที่ตายไปแล้วก็ได้บุกเข้าใส่พวกเขา
ครั้นจะถอยหนีก็ถูก รากไม้ของวูลเซวิล จับตรึงเอาไว้ เซอร์เซสและลูคเรเทีย
เตรียมสะสมพลังเวทย์เพื่อจัดการกับพวกเขา กาโรห์กับแม่ทัพมังกร พุ่งโฉบเข้าโจมตีใส่พวกเขา

อย่างไม่ปราณี แม้พวกลูกมังกรจะกัดทำลายรากไม้และหลุดออกมาได้ แต่ก็ต้องรับมือ
กับมือสังหารแห่งความมืดซึ่ง มีความรวดเร็วมากเสียจนการโจมตี
ของพวกเขาไม่อาจต้องตัวของมือสังหารได้ เจนัส กับ ลากูน่ายังคงถูกตรึง
เอาไว้ และถูกดาบของแม่ทัพมังกรกับกาโรห์เฉือนไปมาแม้จะมีเกราะเวทย์คุ้มกัน
อยู่แต่ทว่าการที่ต้องรับอยู่เพียงฝ่ายเดียวทำให้เกราะเริ่มอ่อนตัวลง จนในที่สุดเมื่เกราะได้สลายตัวไป
เซอร์เซสและลูคเรเทียก็ ใช้ท่าวิชาประเคนใส่พวกเขา จนหมอบในที่สุด

ส่วนพวกลูกมังกรก็ถูกมือสังหาร เล่นงานจน ล้มไม่เป็นท่า

“ ดวงจันทราที่สถิตย์ในรัตติกาลโปรดมอบลมหายใจที่หนาวเหน็บแก่ผืนพิภพ จันทราที่ส่องแสงในรัตติกาลอันหนาวเหน็บ  จงมาจันทราเยือกแข็ง(Cool Moon) ”
สิ้นคำของสองพี่น้อง ดวงจันทราสีครามก็ได้ปรากฏขึ้นด้านนอกหอคอยและยิงแสง
สีครามเข้ามาแช่แข็งตัวหอคอยชั้นที่พวกเขาอยู่แสงสีครามทะลุผ่านหน้าต่างเข้ามา
กระทบกับร่างของเทพขุนพลทีฟื้นกลับมา ทว่าพวกมันกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
แสงทั้งหมดทะลุผ่านร่างของพวกมันไป ครั้นเมื่อไลท์พ่นเปลวไฟใส่ เปลวไฟก็ทะลุ
ผ่านร่างพวกมันไปเช่นกัน กระทั้งการโจมตีของลากูน่าและเจนัสก็ไม่อาจจับต้องตัวพวกมันได้

“ ชิ..เจ้าพวกนีมันเป็นวิญญาณรึไงกัน.. ”
ลากูน่าสบถพร้อมกับยกมือขึ้นปาดคราบเลือดที่มุมปาก

การโจมตีของพวกเขาไม่อาจทำร้ายเหล่าเทพขุนพล ที่ราวกับวิญญาณนี้ได้แม้แต่น้อย
ทว่านั้นคือภาพที่พวกเขาเห็น สภาพภายในห้งที่แท้จริงตอนนี้
มีเพียงพวกเขากับเทพขุนพลเพียงสามคนเท่านั้น นอกนั้นพวกเขากำลังโจมตีใส่อากาศ
ที่ไม่มีตัวตน ราวกับเห็นภาพหลอน

“ หึหึ..การที่พวกแกเขามาในดงศัตรูอย่างนี้ก็เท่ากับฆ่าตัวตายชัดๆโดนวิชาภาพลวงความมืด(Phantasmagoric Darkness) เข้าไปก็แตกตื่นเหมือนตอนอยู่ที่ ทีนวาแลนเชียวนะ ”
จอมเวทย์ลวงตาดำ กล่าวขณะที่กำลังบริกรรมคาถาอยู่ ซึ่งที่จริงแล้วเขาคนนี้
คือผู้ที่สร้างภาพลวงให้พวกเขาเห็นเรโค่กับเซโร่โจมตีใส่ชาวเมืองที่ทีนวาแลนนั่นเองและนำให้พวกเขาต้อง
เข้าปะทะกับเรโค่และเซโร่ไปในครั้งนั้น

“ เมื่อผนวกเข้ากับวิชาผนวกอเวจี(Seizure Abyss)ที่สามารถดึงเอาท่าวิชาของผู้ที่ตายไปแล้ว
ออกมาใช้ได้ทำให้การประสานเวทย์ของข้ากับเจ้ามีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีก  ”
เมฟิสกล่าวขณะที่บริกรรมคาถา ท่าวิชาของเหล่าเทพขุนศึกที่ตายไปแล้วมาใช้
ผนวกเข้ากับวิชาภาพลวงของจอมเวทย์ลวงตาดำ ทำให้พวกเจนัสต้องสู้กับ ภาพหลอน
เหล่านั้น

“ ได้เวลาปิดฉากแล้วดาบแห่งการล้มล้าง(Abolish Sword) ”
สิ้นคำของมือสังหารแห่งความมืด ดาบในมือของเขาก็ได้พุ่งตวัดเข้าไปหมายจะบั่นคอของเจนัส
เสียทว่า ไม่ทันที่ดาบจะตวัดไปถึง ผนังของหอคอยก็ พังครืนเข้ามา จนมือพวกเขาต้องหลบลี้เป็นพัลวัน
สายลมที่กรรโชกอยู่ภายนอกได้ถาโถมเข้ามาในห้อง จนพัดเอาฝุ่นที่ทำให้เกิดภาพลวงออกไป
ความจริงได้ปรากฏแก่สายตาพวกเขา เหล่าเทขุนศึกทั้งหมดที่เป็นภาพลวงได้หายไป
พร้อมกับสิ่งที่พุ่งเข้าชนจนผนังหอคอยพังครืนลงมา มันคือยานรูปร่างประหลาดหัวยานมีแหลมยื่นออกมาคล้ายหอกและยังมีกรงเล็บยื่นออกมาจากลำตัว ปีกโปร่งใสดังแก้วมันคือยานที่เคยช่วยส่งพลังงานให้ดราก้อนฮอลลี่
เปลี่ยนร่างของไลท์เป็นอิมซานนั่นเอง

“ นี่มันมังกรจักรกลเทียม (Cyberlica Dragon) ในตำนานนี่ ”
เมฟิสอุทานออกมา หลังจากได้เห็นยานยนต์ยักซึ่งคือมังกรจักรเทียม


ล่องที่ส่วนหัวของมันซึ่งเป็นเสมือนตาของมันเริ่มส่องแสงสีแดงออกมา ก่อนที่
สิ่งที่คล้ายกับปืนใหญ่กำลังจะรวบรวมพลังงานจนเกิดเป็นสว่างส่องวาบออกไปอย่างรวดเร็ว
แสงนั้นตรงออกไปยังชั้นบนอย่างรวดเร็ว
……..
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #238 on: July 20, 2008, 07:54:57 PM »

…………..
………………

ที่ชั้นบนสุดของหอคอย 12 เทพขุนศึก กรีแวร์และนักประดิษฐ์ รู้สึกได้ถึงแรงสเทือนจากด้านล่าง
พวกเขาจึงเปิดจอมอนิเตอร์ที่ตั้วไว้ภายในห้อง ภาพของมังกรจักรกลเทียมได้ปรากฏแก่สายตาของพวกเขา
อิเดียที่เห็นฉีกยิ้มออกมาที่มุมปากเล็กน้อย แสงสว่างซึ่งส่องออกมาจากมังกรจักรกลเทียม
ได้พุ่งตรงขึ้นมายังห้องนี้อย่างรวดเร็ว จนเมื่อมันทะลุบานประตูเข้ามา ตรงไปยังดราก้อนออลลี่ที่
คาดกับข้อมมือของลอว์เรนซ์  ดราก้อนฮอลลี่เริ่มทำปฏิกิริยากับแสงนั้น ไฟหน้าจอของมันเริ่มกระพริบอีกครั้ง ก่อนจะส่งเสียงออกมา
“ Down Load Tag ”
เสียงของมันดังออกมาเป็นเสียงทุ้มต่ำราวกับเสียงเครื่องยนต์กลไกที่กระหึ่มเป็นเสียงออกมา

“ Set Up Complease ”
เสียงของมันดังอีกครั้งก่อนที่จะมีสัญลักษ์ขึ้นบนหน้าจอ มันเป็นสัญลักษณ์ ประจำธาตุแห่งแสง

“ Light FriendShip ” (แสงแห่งมิตรภาพ)
“ Wind Hope ” (สายลมแห่งความหวัง)
“ Earth Intelligent ”(ผืนปฐพีแห่งปัญญา)
“ Fire Principles ” (เปลวเพลิงแห่งคุณธรรม)
“ Aqua Honest ” (สายน้ำแห่งความสัตย์)
“ Dark Kindness ” (ความมืดเปี่ยมเมตตา)
เสียงทั้งหมดดังขึ้นจากดราก้อนฮอลลี่โดยที่สัญลักษณ์ธาตุได้เปลี่ยนผันไปตามเสียงเรื่อยๆ
จากแสงเป็น ลม ดิน ไฟ น้ำ และความมืดตามลำดับ จนครบก่อนที่จะยิงแสงส่งกลับลงไปเป็นแสงหกสี
พุ่งลงกลับไป

“ เริ่มแล้วสินะ.. ”
ลอว์เรนซ์เปรย ก่อนจะค่อยๆก้าวท้าวออกไป

“ จะไปไหนรึ ”
อิเดียกล่าวเสียงห้วน

“ ก็แค่ลงไปเล่นพวกมันเท่านั้นเองไหนๆก็อุตส่าห์มาแล้วทั้งทีขอสนุกหน่อยละกันท่านพ่อ ”
ลอว์เรนกล่าวเสียงเรียบก่อนจะเดินลงไปอย่างช้าๆ

………
……..
….

แสงที่สะท้อนกลับ ออกมาจากดราก้อนฮอลลี่ ได้พุ่งลงมาอาบร่างเหล่าลูกมังกรเอาไว้
เหล่าเทพขุนพลรู้ได้ถึงอันตรายที่กำลังพุ่งมาหา จึงไม่รอช้าคิดจะปิดบัญชีเสียเดี๋ยวนั้น
ทว่าเหล่าลูกมังกรก็ได้เปลี่ยนร่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไลท์กลายเป็นมังกรกริฟฟิน อิมซาน (Imsarn, the Shining Dragogriff)อีกครั้ง


เอิธท์ได้เปลี่ยนรูปร่างไปเป็นมังกรกริฟฟินเกล็ดสีเขียวปีกขนาดยักษ์พัดเอาฝุ่นผง
ขึ้นมาคละคลุ้ง มันคือบารานนิทิล มังกรกริฟฟินแห่งดิน(Baranitihil, the Earth Dragogriff)


ไฟร์ได้กลายเป็นมังกรกริฟแห่งไฟแมนเซเร็ก(Mansereg, the Fire Dragogriff)
อุญหภูมิร่างกายที่ร้อนระอุถึงกับทำให้หินละลายได้แผ่ออกมาจากร่าง


อควา ได้กลายเป็นมังกรกริฟฟินแห่งพายุหิมะ โอโลฟาเชี่ยน(Orofacion, the Blizzard Dragogriff)ไอเย็นที่โชยออกจากร่างทำให้ ทุกอณูในอากาศหยุดนิ่งและจับตัวกลายเป็นไอเย็นในที่สุด


วิลเปลี่ยนร่างเป็น มังกรกริฟฟินแห่งพายุ รอสทลอส(Lostros, the Gale Dragogriff) ปีกปกคลุมด้วยขนนกซึ่งเก็บประจุไฟฟ้าไว้จนทำให้เกิด ไฟฟ้าสถิตในอากาศได้


และสุดท้าย ดาร์คได้กลายร่างเป็น มังกรกริฟฟินปีกแห่งความตาย ดอนฟอลม่า(Donfalma, the Death Wing Dragogriff) ลมหายใจของมันเป็นสามารถละลายหินได้ในพริบตา


มังกรกริฟฟินทั้งหกได้ทะยานขึ้นสู่เพดานห้องและบินเรียงกันเป็นวงล้อมกรอบศัตรูไว้

“ พวกเราคือตัวแทนพลังแห่งจิตใจที่จะต่อกรกับความกลัว ”
เหล่ามังกรกริฟฟิน ประกาศกร้าว พร้มกับที่การโจมตีของเหล่ามังกรกริฟฟินซึ่ง
ประกอบด้วยพายุหิมะ แสงซึ่งเผาผลาญทุกสิ่ง เปลวไฟร้อนระอุ พายุคลื่นไฟฟ้า
เสียงคำรามแห่งแผ่นดินที่เป่าพื้นกระจุย ไปจนถึงลมหายใจกรดที่พ่นออกมา
ได้พุ่งเข้าทำลายร่างของจอมเวทย์ลวงตาดำจนสิ้น โดยไม่เปิดโอกาสให้เจ้าตัวได้
รับรู้ถึงความทรมานก่อนตายแม้แต่น้อย


“ หนอยพวกแก.. ”
เมฟิส สบถด้วยความเจ็บใจ ทว่าเขาก็ต้องชะงักไปเพราะเสียงร่ายคาถาของเจนัสกับลากูน่าที่ดัง
ขึ้นมา

“ ยามใดที่ท้องนภาเปิด….เมื่อนั้นดวงเนตรจักเบิกออก..นำมาซึ่งแสงแห่งจันทรา…ชี้นำทุกสรรพสิ่งสู่ความพินาศ…จงรับความพิโรธนี้ไป….. ”
เจนัสและลากูน่าผลัดกันกล่าวคาถาขึ้นที่ละประโยค ขณะที่ศิลาเริ่มเรืองแสง จนเปล่งประกายเจิดจ้า

“ จันทรคลาสพิโรธ (Wrath Eclipse moon) ”
สิ้นคำของทั้งคู่ ดวงจันทราสีดำก็ปรากฏขึ้นเหนือพวกเขา ก่อนที่จะปล่อยคลื่น
ประกายแสงแวววาว ออกไปทันทีที่มือสังหารและเมฟิสถูกประกายนั้นเข้าก็เกิดสัญลักษณ์
จันทร์เสี้ยว ขึ้นเหนือหัวของพวกเขา ก่อนที่แสงใสจะส่องสกาว เผาผลาญร่างของเมฟิส
โดยวาบขึ้นมาอยู่หลายครั้ง จนร่างของเมฟิสดับสูญไปในที่สุดทว่ามือสังหารกลับ
อาศัยความเร็วของตนหลบออกมาได้ก่อน

“ ช่างเป็นพลังที่รุนแรงอะไรเช่นนี้…หึแต่ก็ช่างเถอะพวกแกก็หมดพลังไปกับมันแล้วสินะ ”
มือสังหารกล่าวเมื่อเห็นสองพี่น้องทรุดตัวลงด้วยความเหนื่อยหอบ
จากการอัญเชิญจันทราแบบที่สามออกมา ซึ่งสิ้นเปลืองพลังเวทย์เป็นอย่างมาก
พวกมังกรกริฟฟินไม่อาจทีจะเข้าไปช่วยพวกเขาได้เพราะมือสังหาร
อยู่ใกล้ทั้งสองเกินไป

“ ได้เวลาตายแล้ว ”
มือสังหารกล่าวพร้อมกับยกดาบขึ้นเพื่อจะจบชีวิตของทั้งคู่

“ Kamaithachi ”(เคียววายุ)
สิ้นเสียงคลื่นสุญญากาศก็พุ่ง ตวัดดาบหลุดจากมือเขาไป

ผู้ที่มาเยือนนั้นไม่ใช่ใครอื่น ริคุ (Riku, the Half Werebeast) นั่นเองโดยที่นีน่าก็มากับเขาดวยทั้งสอง
อยู่บนหลังของเทลูมาน่า เนื้อตัวเปียกโชกราวกับพึ่งขึ้นจากน้ำ



“ ริคุ..นีน่า ”
เจนัสเปรยเสียงแผ่วด้วยความไม่อยากเชื่อ
ทั้งสองลงจากหลังของเทลูมานา ก่อนที่มันจะบินกลับไป

“ เธอมาที่นี่ทำไมแล้วยังพี่ริคุอีก ”
ลากูน่ากล่าวละล่ำละลักด้วยความตะลึง

“ อย่าพึ่งตะลึงขนาดนั้นสิจ้ะลากูน่าพี่ยังมีเรื่องให้ประหลาดใจกว่านี้อีก ”
นีน่าฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์เป็นนัยพร้อมกับส่งสายตาให้ริคุ ซึ่งเขาก็พยักหน้าตอบ

“ เชอะก็แค่คนเพิ่มขึ้นมาเท่านั้นข้าจะจัดการพวกแกซะก่อนก็ได้ ”
มือสังหารกล่าวจบก็พุ่งเข้าทั้งสอง ทว่านีน่าและริคุก็คว้าเอาศิลาจันทราของตนขึ้นมา
กันคนละก้อน สร้างความตกตะลึงให้แก่พวกเจนัสมากขึ้นไปอีก

“ ยามใดทีนภาปิด…ดวงเนตรจักปรากฏ…รัศมีแห่งอรุณที่ดับสูญ…นำมาซึ่งคมดาบแห่งการสังหาร….
และจักสังเวยเลือดเนื้อของอริจนสิ้นสลาย… ”
ทั้งคู่ผลัดกันกล่าวคนละประโยคเหมือนกับที่เจนัสและลากูน่าทำ

สิ้นคำศิลาก็เรืองแสงเปล่งประายเจิดจ้า

“ มือสังหารตะวันเที่ยงคืน ”(Midnight Sun Killer)
สิ้นเสียงของทั้งคู่ ก็เกิดหลุมสีดำลอยเคว้งเหนือทั้งสอง ภายในมีพลังงานทรงกลม
ลอยเคว้งอยู่ในความมืด ราวกับดวงอาทิตย์ที่ขึ้นตอนกลางคืน คลื่นพลังที่รุนแรงถูกพัดออกมา
ถาโถมใส่มือสังหารแห่งความมืด ร่างของเขาถูก ตรึงเอาไว้กลางอากาศ ก่อนที่แสงสีดำ
รูปเสี้ยวจันทร์จะพุ่งออกมาจากหลุมมิตินั้นอย่างไม่ขาดสาย และตวัดผ่านร่าง
ของมือสังหารไปจนสิ้นสลายในพริบตา หลุมมิติจึงปิดลง พวกเขาทั้งคู่ที่ใช้พลังจนเกือบหมดถึงกับทรุดล้มเช่นกัน

“ นี่พวกเธอไปเอาศิลามาได้ยังไงกันแล้วยังอัญเชิญจันทราแบบที่สามได้อีก ”
เจนัสกล่าวถามด้วยความงุนงง ซึ่งนีน่าก็ยิ้นให้เล็กน้อยก่อนจะยันตัวขึ้นมา

“ ริคุเป็นคนเอเศษผลึกจันทราชิ้นที่สี่มาให้ชั้น พร้อมกับศิลาจันทราอีกก้อน อีสควอเทียก็เลยทำศิลาให้ฉันอีกก้อน
แล้วก็ฝึกเราสองคนให้ดึงเอาพลังแบบที่สามออกมาไงล่ะแต่ก็เกือบไม่รอดเหมือนกัน เพราะแมวอย่างฉันไม่ค่อยถูกกับน้ำเท่าไหร่เลย แหะ แหะ ”
นีน่ากล่าวอย่างอารมณ์ดี

“ ตระกูลชั้นก็ทำศิลาจันทราเหมือนกับนายนั่นล่ะเพราะต้นตระกูลเฟ็นเรียซึ่งเป็นวิราเทพได้เจรจากับตระกูลนาย
ทำสัญญาสร้างศิลานี่ขึ้นมา เพราะชั้นกลับไปที่ซาก คฤหาสน์ของตระกูล ก็ไปเจอเศษผลึกกับหินนี่เข้าก็เลยคิดว่าน่าจะช่วยอะไรได้บ้าง พอได้ข่าวว่าพวกนายไปที่ ้าปราชญ์มังกรก็เลยตามไปแต่พอไปถึงพวกนายก็ไปแล้วซะนี่ ”(วิรา=แมว)
ริคุอธิบายซึ่งนั่นก็พอทำให้พวกเขานึกภาพออกได้ ว่าหลังที่ไปถึงและไม่เจอพวกเขาริคุจึงมอบเศษผลึก
ให้แก่นีน่าเพื่อทำศิลาพร้อมกับฝึกดึงเอาพลังออกมาด้วย และขี่เทลูมานาที่บินเร็วกว่าเสียง
มาที่นี่ แต่แล้วพวกเขาก็ต้องชะงักไปเมื่อเสียงฝีเท้าได้ดังกึกก้องลงมาอย่างช้าๆ
พวกเขาหันไปยังบันไดชั้นบนที่อยู่หลังประตูเหล็ก มีใครบางคนกำลังมา

“ สุดท้ายข้าก็ต้องเป็นคนจัดการพวกแกเองสินะ ”
เสียงของผู้มาเยือนดังขึ้นพร้อมกับการปรากกตัวของ Lr
บัดนี้พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับเพื่อนเสียแล้ว พวกเขาจะทำเช่นไร….

โปรดติดตามตอนต่อไป


ในตอนหน้า

พวกเขาที่ต้องรับมือกับพลังอันแข็งแกร่งของมุรามาซะโซล
ไม่อาจต่อกรกับเขาได้ แม้จะมีพลังของมังกรกริฟฟินก็ตาม
“ ตายซะพวกสวะ ”
อีกตัวตนที่แข็งแกร่ง

“ ได้สติซะทีลอว์เรนซ์ ”
ความหวังที่น้อยนิด

“ เราคือจิตวิญญาณแห่งศิลามังกรนี้ นามข้าคือลอว์เรนซ์ อัศวินทาลิวิลย่าเมื่อร้อยปีก่อน ”
“ ศิลามังกรจะแปรเปลี่ยนความรู้สึกของเจ้าเป็นพลังซึ่งที่แสดงอยู่ตอนนี้คือความกลัว
หากเจ้าไม่อาจเอาชนะความกลัวได้เจ้าก็ไม่อาจเป็นตัวของเจ้า ”
คำชี้แนะที่ นำไปสูการควบคุมตัวตน

“ เมื่อเจ้าเตรียมใจพร้อมที่รับชะตากรรมเจ้าจงกลับมาที่นี่อีกครั้งข้าจะมอบดาบให้แก่เจ้า ”
การทดสอบที่ได้รับมา

“ ลูกเติบโตด้วยการดูแลของพ่อแม่..เราเป็นลูกของเจ้าแต่เจ้าไม่ได้เลี้ยงดูเรา
ครอบครัวของเราคือนั่น.. ”
“ งั้นรึ..เอาเถอะข้าแค่ต้องการหลอกใช้พลังของเจ้าเพื่อเปิดประตูเท่านั้นแต่ข้าก็จะไม่ให้เจ้าขวางทางข้าเช่นกันจงตายซะ ”
ในเสี้ยววินาที ชี้เป็นตายของลอว์เรนซ์ ความหวังได้บังเกิดขึ้น

“ ที่พวกเราต้องการก็คือช่วยลอว์เรนซ์…ช่วยเพื่อนของเรา ”
สิ่งที่หัวใจทั้งหกเรียกหา
ก่อกำเนิดซึ่งพลัง ร่างลุกโชนด้วยพลังทั้งหกลมหายใจอันพิสุทธิ์

“ มิตรภาพ ความหวัง ความสัตย์ คุณธรรม ปัญญา และความเมตตา เมื่อใดที่พลังทั้งหกมุ่งหวังในสิ่งเดียวกัน
นามของข้าคือมังกรหกธาตุทลายมาร….. ”

อำนาจอันยิ่งใหญ่ที่จะต่อกรกับเหล่าบาปทั้งสิบที่คืนชีพขึ้นมา สงครามระหว่างพวกเขากับมังกร
แห่งบาปทั้งปวง ทางจิตใทั้งหกรวมเป็นหนึ่งสุดท้ายคืออะไรติดตามได้ในตอนหน้า

บทที่ 28 ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง 6 นามนั้นคือ Amankris

บทนี้เอ่อคืออึ้งจนบรรยายไม่ถูก ว่าไงว่าตามละกันครับ แต่งเองมึนเองไปหมดแย้ว
ตอนหน้าอัพตามเวลาเดิมวันอาทิตย์นะครับใกล้มันส์เข้าไปทุกทีแล้ว


« Last Edit: July 22, 2008, 01:43:55 AM by greamon » Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #239 on: July 20, 2008, 10:52:56 PM »

คืบใกล้จุดไคลแมกซ์เข้าไปทุกที  อาทิตย์นี้ดีหน่อย  ได้ดูเรื่อง 2 ยกเลย   
Logged


Pages: 1 ... 6 7 [8] 9 10  All
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.291 seconds with 21 queries.