Summoner Master Forum
April 28, 2024, 12:54:31 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: 1 ... 7 8 [9] 10  All
  Print  
Author Topic: Legend of The Thaliwilya (Complete 33 ตอน) update บทพิเศษ ครอบครัว  (Read 134530 times)
0 Members and 2 Guests are viewing this topic.
cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #240 on: July 22, 2008, 02:13:09 AM »

อัก...บทเดียวเล่นแปลงใหม่หกตัวเลยเรอะ สมชื่อบทลูกโซ่แห่งวิวัฒนาการจริงๆ
เล่นซะมึยเลยตอนหน้าอแมนคริสจังจะออกโรงแว้วเย้ๆๆ
จะเก่งขนาดไหนน้า....
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #241 on: July 23, 2008, 02:54:57 AM »

ช่วงหลังๆมานี่พึ่งรู้สึกตัวว่าตัวละครของเราเนี่ยนิสัยออกจะคล้ายๆกันอยู่นะ
คือรูปแบบของตัวละครทุกตัวคือมีอดีตที่น่าเศร้าเหมือนกันทำให้ดูแล้วเป็นคนที่แอบเศร้าหมองอยู่ตลอดเวลาเลย

ที่จริงมันก็ไม่น่าแปลกเนอะเพราะตัวละครทั้งหมดที่อยู่ฝ่ายพระเอกแทบจะนับเป็นญาติกันได้เลย ดูอย่างนีน่าสิ
ท่านพี่แกเล่นควบลูกพี่สองคนเลยทั้งกาเทียทั้งริคุ สาเหตุเพราะพ่อของ นีน่าไปรักกับน้าของ ริคุ เลยกลายเป็นว่า
เชื่อมพันธไมตรีมั่วไปหมด(เห็นเจ้าการูรูม่อนบ่นว่า ถ้ามันเป็นเซโก้นะไม่ยอมให้ไปแต่งกับเฟ็นเรียหรอกให้แต่งกับรูลเวลล์นี่แหละ สงสัยมันอยากให้นีน่ากับเจนัสเป็น
ญาติกันจะได้แต่งงานกันไม่ได้ หงะหรือว่า
เจ้าการูรูม่อนมัน...จะว่าไปมันชอบแนวโชตะบวกอินุอยู่ด้วยนิอ็าคคคแย่แว้ว)

เฮ้อเกริ่นซะยาวที่จริงคือจะมาบอกว่าภาคสุดท้ายนี้ตัวละครหลายตัวอัพเกรดขึ้นเยอะเลยมีอะไรบ้างไปดูกัน

1.อายุเพิ่มขึ้น

   อันนี้แน่นอนเลยครับเพราะเปิดภาคมาก็เจอ unhappy birth day เลยกำลังฉลองวันเกิดอยู่ดี
แขกไม่ได้รับเชิญมาซะงั้น แล้วจะจัดฉลองซ่อมไหมเนี่ยจะได้ไปด้วย.....

ดังนั้นมาถึงตรงนี้แล้วเรามารู้อายุของพวกเขากันเถอะ

อายุภาค dragoon age'
1.ลอว์เรนซ์ 8 ปี
2.เจนัส 9 ปี
3.นีน่า  9 ปี
4.ลากูน่า 8 ปี
5.ริคุ 9 ปี

อายุภาค Last legend of the thaliwilya
1.ลอว์เรนซ์ 9 ปี
2.เจนัส 10 ปี
3.นีน่า   10  ปี
4.ลากูน่า  9  ปี
5.ริคุ อายุไม่ทราบเพราะตายไปช่วงนึงแล้วคืนชีพเป็นเครสเซนท์
 เลยกะวันไม่ถูกแต่ก็ไล่เรี่ยกับพวกเจนัสเช่นกัน

อืมเด็กจริงๆพวกนี้แต่ความคิดโตเกินเด็กนะเนี่ย จริงๆยังอยู่ในวัยซุกซนอยู่เลย
แต่ช่างมันปะไรเราจะโหดซะอย่าง5555+

2. พลัง

นี่ก็ขาดไม่ได้ เพราะในบทที่ 27 มีอะไรใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาเพียบเลย

1. ร่างดราก้อนกริฟฟินของลูกมังกรทั้งหก บทเดียวมาครบทั้งทีมที่จริงตอนแรกว่าจะให้ค่อยๆมาทีละตัวนะแต่มันรัดรวบเหลือเกินเลย
ควบมันทีเดียวเลย

2.ท่าไม้ตายลับของครึ่งสมิงจันทราแบบที่สาม
 เป็นปริศนาที่มาตั้งแต่ภาค dragoon age' แล้ว จากคำพูดของเจนัสและลากูน่าในตอนที่
สู้กับลอว์เรนซ์ ตอนที่พวกตนยังเป็น 12 เทพขุนศึกอยู่  ได้กล่าวไว้ว่า ศิลาจะอัญเชิญจันทราได้สามแบบ
แต่ที่เห็นมาทั้งหมดกลับมีเพียงสองแบบ คือ cool moon กับ bloody moon เท่านั้น ตอนนี้ได้แจ้งแถลงไขเป็นที่เรียบร้อย

นั่นคือจันทราแบบที่สามใช้สำหรับโจมตีซึ่มีพลังทำลายที่รุนแรงมากเสียจนตัวผู้ใช้เองต้องมีถึงสอง จึงจะ
ใช้ได้อีกทั้งยังสิ้นเปลืองพลังอย่างมหาศาลด้วย เรียกได้ว่าเป็นท่าไม้ตายก้นหีบเลยทีเดียว
โดยจับคู่กันดังนี้

1. เจนัสกับลากูน่า จะได้เป็น

Quote
“ ยามใดที่ท้องนภาเปิด….เมื่อนั้นดวงเนตรจักเบิกออก..นำมาซึ่งแสงแห่งจันทรา…ชี้นำทุกสรรพสิ่งสู่ความพินาศ…จงรับความพิโรธนี้ไป….. ”
เจนัสและลากูน่าผลัดกันกล่าวคาถาขึ้นที่ละประโยค ขณะที่ศิลาเริ่มเรืองแสง จนเปล่งประกายเจิดจ้า

“ จันทรคลาสพิโรธ (Wrath Eclipse moon) ”
สิ้นคำของทั้งคู่ ดวงจันทราสีดำก็ปรากฏขึ้นเหนือพวกเขา ก่อนที่จะปล่อยคลื่น


จากในบทที่ 27 จะได้เป็นท่าจันทรคลาสพิโรทนั่นเองเป็นการทำลายล้างแบบหมู่โดยกำหนด
เป้าที่ตัวศัตรู เป็นการทำเครื่องหมายก่อนจะเผาด้วยแสงสีขาว

2. นีน่า กับ ริคุ จะได้เป็น

Quote
“ ยามใดทีนภาปิด…ดวงเนตรจักปรากฏ…รัศมีแห่งอรุณที่ดับสูญ…นำมาซึ่งคมดาบแห่งการสังหาร….
และจักสังเวยเลือดเนื้อของอริจนสิ้นสลาย… ”
ทั้งคู่ผลัดกันกล่าวคนละประโยคเหมือนกับที่เจนัสและลากูน่าทำ

สิ้นคำศิลาก็เรืองแสงเปล่งประายเจิดจ้า

“ มือสังหารตะวันเที่ยงคืน ”(Midnight Sun Killer)

เช่นกันเมื่อนีน่ากับริคุจับคู่กัน ท่าที่ได้คือ มือสังหารตะวันเที่ยงคืน ซึ่งจะเน้นการโจมตีรวมศูนย์
โดยจะตรึงศัตรูด้วยคลื่นพลังก่อนจะยิงม่านดาบจันทราสีดำออกไปฟันศัตรูจนดับสิ้น

ที่นี้คงเห็นแล้วว่าพวกเขาทั้งสี่คนอัพเกรดขึ้นขนาดไหน ทว่าการจะได้มาก็ต้องผ่านการฝึกที่โหดหิน
เกือบตายจริงๆ คงเห็นได้จากการทดสอบของอีสควอเทีย เจ็แกเลือดเย็นมาก
แต่พวกเขาทั้งสี่ก็ผ่านมันมาจนได้แล้วพลังเหล่านี้จะต่อกรกับมุรามาซะโซลที่แข็งแกร่ง
ขนาดล้มทัพเทพพิทักษ์ของฟูดินันได้รึเปล่าคำตอบคือ.....
ติดตามได้ในบทที่ 28 จ้ะอิอิ กลิ้งออกจากกระทู้ทันทีก่อนโดนเตะ....ขลุก....ขลุก   




Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #242 on: July 27, 2008, 08:11:29 PM »

บทที่ 28 ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง 6 นามนั้นคือ Amankris

หลังจากการ ปรากฏตัวของมุรามาซะโซล จิตวิญญาณอันเปี่ยมด้วยพลัง ซึ่งแม้แต่เหล่าเทพพิทักษ์แห่งฟูดินัน
ก็ไม่อาจต่อกรได้ อาณาจักรแอนดิซอง และฟีเลเซีย ได้เริ่มการล้มล้างกองกำลังต่อต้าน อย่างต่อเนื่อง
แม้แต่สภาศาสนาของแอนดิซองซึ่งเป็นเสมือนเสาหลัก ก็ได้ถูกยึดอำนาจไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
บัดนี้อาณาจักรทั้งสองได้แก่ฟูดินันและซาโลมจึงเริ่มเคลื่อนไหว

ณ อาณาจักรซาโลมซึ่งตั้งอยู่บนผืนทะเลทรายอันแห้งแล้งทว่าบัดนี้ หลังจากที่เจ้าชาย ซาร์ อิสฮาน ทรงขึ้น
ครองราชย์ โฉมหน้าของอาณาจักรก็ได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นผืนทราย บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นไร่สวน
อันเป็นที่ทำกินของประชาชน ราษฏรได้อยู่อย่างเป็นสุขบ้านเมืองเริ่มพัฒนา หลังจากที่ต้องเสียหายอย่างหนักจาก
ทำสงครามเมื่อครั้งสงครามสี่อาณาจักร ทว่าเมื่อหลายเดือนก่อนก็ได้มีการโจมตีจากเหล่า 12 เทพขุนศึก
แต่สุดท้ายด้วยการช่วยเหลือของเหล่าคณะประกาศก ที่กลับมารวมตัวกันอีกครา พวกเขาสามารถขับไล่ผู้รุกรานไปได้……

ซุ้มประตูพระราชวัง เหล่าคณะประกาศก 9 คนซึ่งรวมถึง อิสฮาน (Ishan, The Prophet)ด้วยพวกเขาได้ควบเหล่า อาชา ทยานผ่านออกไปอย่างรวดเร็ว สร้างความตื่นตระหนกแก่ชาวบ้านเป็นอันมาก

“ พวกเรากำลังจะไปไหนกัน ”
เจ้าหญิงซูไลก้า (Zuleika, The Lazal Princess) ตรัสถาม อิสฮาน ถึงจุดหมายที่จะไป เพราะพวกนางถูกเรียกให้ออกไปกับเขา
อย่างปุบปับ

“ ฟีเลเซีย….เมื่อวันก่อนหมายสารจากฮารีซัน ได้ส่งมาในนั้นมีข้อความว่าที่ฟีเลเซีย
มีการล้มล้างกองกำลังต่อต้านที่ทางอาณาจักรเรากำลังให้การสนับสนุนเมื่อไม่นานนี้อยู่….แล้วก็
ที่ฟูดินัน พวกโฮลี่ไนท์แมร์ คนหนึ่งได้บุกไปที่นั่น เทพเจ้าที่พิทักษ์คุ้มครองอยู่ถูกเจ้านั่นจัดการจน
เสียท่าหมด มีประชาชนหลายคนที่โดนลูกหลงสัมผัสถูกแสงสีดำ แล้วก็มีอาการร้องครวนไม่หยุด ”
อิสฮานอธิบายระหว่างที่สายตาคอยแหงนมองฟ้าอยู่ตลอดเวลาราวกับ มองหาอะไรบางอย่าง

“ นี่แม้แต่เหล่าเทพเจ้าก็พ่ายแพ้ พวกมันมีพลังถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ”
วานาอัน (Wanaan, The Prophet’s Follower) อุทานหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจากเขา

“ แล้วทำไมเราถึงไม่ไปที่ฟูดินันก่อนล่ะเพราะทางนั้นน่าจะต้องการความช่วยเหลือมากกว่า ”
ฟีเดลม่า (Fidelma, the Prophet’s Follower) กล่าวขณะที่โจฮัน (Johan,the Prophet’s Follower) ซึ่งซ้อนท้ายอยู่ ก็พยักหน้าสนับสนุน

“ ไม่..ในข้อความนั่นบอกไว้อีกว่าให้ไปพบกันที่ ฟีเลเซีย เพื่อจะช่วยไกล่เกลี่ย เรื่องราวทั้งหมด
เลยให้ทางเราไปช่วยเจรจาด้วย  ”
อิสฮานตอบโดยที่สายตายังคงจ้องหาอะไรบางอย่างอยู่


“ แต่ว่าจากน่ไปฟีเลเซียหรือฟูดินัน น่ะลำพังแค่ม้าพวกนี้ไปไม่ถึงแน่… ”
 จีน(Gene,the Prophet’s Follower) กล่าวได้ไม่ทันจบก็มีเงาแวบผ่านนางไป ทันทีที่
พวกเขาแหงนหน้ามองขึ้นฟ้า คำตอบก็ปรากฏแก่พวกเขาว่าจะไปอย่างไร
ครุฑกายสีขาวและร่างวิญญาณซึ่งโปร่งแสง ของเด็กหญิง ซึ่งอุ้มตุ๊กตาตัวน้อยมาด้วย
กับ พาหนะรูปร่างเหมือนเรือซึ่งบินอยู่เหนือหัวพวกเขาขนาดพอให้คนสิบคนขึ้นได้
ผู้ที่บังคับหางเสืออยู่เป็น มนุษย์สุนัข โคบลอด(Kobold)

“ กาเลน (Galen, the Prophet’s Follower) คลอเดเรีย (Corderia,the Prophet’s Follower)
อัลเมอร์ (Koblod Ulmer, the Prophet’s Follower) ”
ฟาริด (Farid, Zalom’s Headman General)  ซาโลเม่ (Salome,the Prophet’s Follower)กับ
ไนซ์ซา (Nyssa,the Prophet’s Follower) ซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าอุทานขึ้นพร้อมกันทั้งคู่

……..
……………
………………..

 ณ ห้องใต้ดินซึ่งเป็นคุกของพระราชวัง ตามผนังหินอ่อนมีฝุ่นจับเขรอะไปทั่ว โซ่ตรวนและเครื่องพันธนาการมากมายถูกวางก่ายกองเอาไว้ตามทางเดิน ซึ่งมืดสลัวมีเพียงแสงตะวันที่เล็ดลอดผ่านช่อง เพดานลงมาเท่านั้น
ที่พอจะทำให้มองเห็นรอบๆได้บ้าง ทันทีที่เสียงประตูเหล็กคราดจากการถูกออกดังขึ้นกลิ่นอับชื้นภายในห้อง

ก็โชยออกไป เสียงฝีเท้าดังกึกก้องสะท้อนไปตามผนังห้องเป็นจังหวะ  ชาว์ลแม่ทัพแห่งฟีเลเซีย
(Charles, the General of Felasia) เดินลัดเลาะไปตามทางซึ่งเต็มไปด้วยเครื่อง พันธนาการต่างๆนานา
จนมาหยุดอยู่หน้า ลูกกรงเหล็ก ซึ่งปิดขังห้องขนาดกว้างห้องหนึ่ง เอาไว้พื้นห้องขังถูกปูด้วย
ฟางแห้ง ที่เพดานซึ่งตั้งเอียงลง มีบานหน้าต่างซึ่งปิดกั้นไว้ด้วยลูกกรงเหล็ก  ภายในห้องขัง
บิชอปแห่งฟีเลเซียเกรเกอรี่ ซึ่งยงคงอยู่ในชุดสงฆ์และไม่ได้ถูกปลดตำแหน่งจากการเป็นบิชอป
ถูกจองจำเอาไว้ด้วยโซ่ข้อมือ นั่งตัวคู้ก้มหน้าลงราวกับหมดอาลัยตายอยาก  ทันทีที่ชาว์ล
หันมามองเขา เกรเกอรี่จึงชะโงกหน้าขึ้นเลยน้อยเพื่อมองดูว่าใครเป็นผู้ที่ มาเยือน


“ ชาว์ลท่านเองหรือ… ”
เกรเกอรี่เปรยเสียงเบาด้วยความอ่อนเพลีย ใบหน้าหม่นหมอง
สายตาไร้แววราวกับตุ๊กตา

“ ข้าไม่เข้าใจจริงทำไมพวกเขาถึงได้สั่งคุมตัวท่านโดยไม่ไตร่สวนแม้แต่น้อย เพียงเพราะท่านให้ความร่วมมือกับกองกำลังต่อต้าน…แล้วยังหมายจับกองกำลังต่อต้านใสนฐานะกบฏ ของบ้านเมืองในเวลานี้อีก ”
ชาว์ลกล่าวด้วยความไม่พอใจ ในการกระทำของเหล่าคณะขุนนางซึ่งลงความเห็นว่าเกรเกอรี่เป็นกบฏและ
จับโยนส่งคุกใต้ดินพร้อมกับขังลืมไปอย่างทันที

“ เราประมาทไปจริงๆนั่นล่ะ..ทั้งที่รู้อยู่ก่อนแล้วว่าพวกมันได้แทรกแซงเข้ามาแล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่า
จะเป็นถึงขนาดนี้… ”
เกรเกอรี่กล่าว ก่อนจะยื่มมือซึ่งถูกพันธนาการไว้ คว้าเอาไม้เท้าประจำตำแหน่งขึ้นมา
มองดูด้วยความอาวร

“ จากการที่เราถูกคุมตัวเอาไว้โดยที่ไม่แม้แต่จะปลดตำแหน่งจากเราก่อน…แค่นั้นก็เพียงพอจะบอกได้แล้วว่า
พวกมันแทรกแซงไปจนคุมทุกอย่างในอาณาจักรไว้ได้ทั้งหมดแล้ว ตอนนี้กระทั่งองค์กษัตริย์…..พระองค์เองคงไม่พ้นจากเงื้อมือพวกมันเป็นแน่แท้ ”
เกรเกอรี่กล่าวจบก็ปล่อยมือออกจากไม้เท้าให้ลวงลงสู่พื้น
ชาว์ลมองเขาด้วยความสมเพช เขาดูตกต่ำลงไปกว่าที่คิด

“ ตอนนี้เจ้าหญิงพระองค์ทรงเดินเรื่องการไตร่สวนของท่านด้วยตัวพระองค์เองอย่างสุดพระปรีชา เพื่อที่จะช่วยท่านอยู่…แต่ก็อย่างที่ว่าพวกมันแทรกซึมเข้ามาลึกซะจนคุมไว้ได้หมดเสียแล้วการเดิน
เรื่องของพระองค์ทรงถูกปัดตกไปหลายครั้งแล้ว ”
ชาว์ลอธิบายให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ

“ ทำไมตอนนั้นท่านถึงไม่หนีไป… ”
ชาว์ลกล่าว คำถามของเขาทำให้เรื่องที่เกิดเมื่อหลายวันก่อน
ในตอนที่มีคำสั่งให้ทำการล้มล้างกองกำลังต่อต้านขั้นเด็ดขาด พวกทหารได้กรูกันเข้ามาจับตัวเขา
ทว่าชาว์ลและเจ้าหญิงเรจิน่าก็เข้ามาขวางไว้

“ นี่มันเรื่องอะไรกัน ”
เจ้าหญิงตรัสขึ้นด้วยความสงสัยนายทหารคนหนึ่งออกมาจากกลุ่มทำความเคารพเจ้าหญิงก่อนที่จ
ยื่นม้วนกระดาษซึ่งเป็นหหมายสารทางราชการให้ พระองค์ทรงรับมาคลี่ออกทอดพระเนตร
ลงบนหมายสารนั้น 

“ มีรับสั่งให้คุมตัวเกรเกอรี่ไปพระองค์ทรงหลีกทางเถิดพะยะค่ะ ”
นายทหารกล่าวซึ่งเจ้าหญิงเรจิน่าทันทีที่พระองค์ทรงเห็นข้อความในหมายสารนั้น ดวงพระเนตร
ของพระองค์ก็เบิกโผลง ก่อนที่จะปล่อยพระหัตถ์ออกจากหมายสาร ทว่าชสว์ลก็รับมันมาก่อนที่จะร่วงลง
พื้น ทันทีที่เขาอ่านมันจบก็แทบจะมีอาการไม่แตกต่างไปจากเจ้าหญิง ชาว์ลส่งหมายสารนั้นต่อให้เกรเกอรี่

เมื่อเขารับมาอ่านมันเป็นหมายสาร การคุมตัวเขาไปจองจำฐานเป็นกบฏเพราะให้การสนับสนุน
กองกำลังต่อต้าน ทันทีที่เหล่าทหารจะบุกเข้าไปจับตัวเขาเจ้งหญิงเรจิน่าทรงชักพระแสงขันต์ ออกจากฝัก
และเข้ามาขวางไว้

“ ท่านรีบหนีไปเร็วทางนี้เราจะต้านไว้เอง.. ”
เจ้าหญิงตรัสพร้อมกับโบกพระหัตถ์ เป็นเชิงบอกให้รีบหนี

“ หากพระองค์ทรงขัดขวางจะได้รับอาญาด้วยทรงหลีกทางเถิดพะย่ะค่ะ ”
นายทหารกล่าวเพื่อหวังให้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัย
“ เราไม่เชื่อหมายสารนั่นเด็ดขาดจนกว่าจะพิสูจน์ได้จริงว่ากองกำลังต่อต้านเหล่านั้นจึงเป็นกบฏ ”
พระองค์ทรงตรัสเสียงหนักแน่น ทว่าเกรเกอรี่กลับเดินผ่านพระองค์เข้าหาเหล่าทหาร
พร้อมกับที่นายทหารทังหมดเข้าจับกุมตัวเขาอย่างทันที พระองค์กับชาว์ลได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก

เรื่องราวในวันนั้นได้กลับมาวนเวียนในหัวเขาอีกครั้งหลังจากที่ถูกชาว์ลถาม

“ ถ้าท่านเป็นเรา..ท่านคงไม่ถามเช่นนั้น ”
เกรเกอรี่กล่าวชาว์ลเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยในคำพูดของเขา

“ ถ้าต้องเลือกระหว่างเหตุผลกับหน้าที่ท่านจะเลือกอะไรล่ะ… ”
เกรเกอรี่กล่าว
………..
……………
……………….

“ ตายซะพวกสวะ ”
Lr สบถขึ้น ก่อนจะสยายปีกออกและบินโฉบ เหล่ามังกรกริฟฟิน
มังกรจักรกลเทียมได้เคลื่อนตัวออกไปจากปราการแล้ว จึงทำให้ผนังที่มันพุ่งเข้ามาชนเปิดกว้างออก
จากการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของ Lr และพลังทำลายของพวกเขาซึ่งอาจจะโดนกันเอง

เหล่ามังกรกริฟฟินจึงพยายามดึง Lr ให้ออกไปสู้ด้าน นอกทันทีที่ Lr บินตามออกไป
ยังดาดฟ้าของหอคอย พวกเจนัสก็รีบวิ่งขึ้นบันไดหลังประตูเหล็ก ตามขึ้นไป
จนเข้ามายังห้องซึ่งมืดสนิทมีเพียงแสงกระพริบจากอุปกรณ์รอบๆ และโคมไฟระย้าที่แขวนไว้บนเพดานเท่านั้น
ที่คอยให้ความสว่าง

ภายในห้องเสาบัลลังค์ซึ่งยกสูงได้ค่อย เลื่อนลงมาสู่พื้น พร้อมกับบัลลังค์ซึ่งอิเดีย นั่งอยู่
นักประดิษฐ์ที่คุมแผงวงจรอยู่ใกล้ๆทำการกดปุ่มบนแผงวงจรอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่นานนักตัวหอคอยก็เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วก่อนที่เพดานและผนังห้องจะแยกตัวออกจากกัน
โคมไฟที่แขวนไว้ร่วงหล่นลงมากระแทกกับพื้นจนแตกกระจาย ผนังห้องเลื่อนออก

จนในที่สุดห้องได้เปิดออกสู่ภายนอกแรงลมและแสงตะวันอ่อนๆที่ส่องลงมา ทำให้สภาพภายในห้องเปิด
เผยแก่สายตาของพวกเขา ผนังทั้งหมดที่เคลื่อนตัวออกไปจากห้องนี้ได้ตกลงกระทบ กำแพงน้ำแข็งที่ยึดติดกับวงแหวนลอยตัวของปราการก่อนจะลื่นไถล หายไปจากสายตา
Lr และเหล่ามังกรกริฟฟินทั้งหก ได้เข้าปะทะกันอยู่เหนือหัวพวกเขา

“ อีกสามสิบนาที เครื่องขยายอำนาจจะพร้อมทำงาน ”
นักประดิษฐ์กล่าวจบก็รามือ ออกจากแผงวงจร

“ กรีแวร์… ”
ริคุกล่าวชื่อของแม่มดสาวซึ่งยืนอยู่เคียงข้างอิเดีย

“ ริคุนั่นเธอ… ”
กรีแวร์กล่าวได้ยังไม่ทันขาดคำ นางก็ถูกอิเดียใช้โครงปีกกระดูกทิ่มแทงจนล้มลง

“ ข้ารู้อยู่แล้วกรีแวร์ว่าเจ้าต้องทรยศข้าเพราะเมื่อสี่ปีก่อนคนที่ขอให้แกมาเข้าร่วมกับสิบสองเทพขุนศึก
ก็คือแอสต้าเพื่อที่จะได้หาทางช่วย เจ้าครึ่งสมิงพวกนั้น เละเพราะเจ้าเป็นแม่มดที่รู้จักกับตระกูลเฟ็นเรีย
เพื่อที่จะช่วยเจ้าพังพอนนั่น เจ้าจึงยอมตกลงเข้ามาหาทางพาพวกมันหนีไปจากข้า เรื่องแค่นี้ทำไมข้าจะไม่รู้ ”
อิเดียกล่าวก่อนจะกระชากโครงปีกออกจากร่างของนาง ก่อนจะหันไปสั่งนักประดิษฐ์ซึ่งสวม
ชุดสีดำที่คลุมตั้งแต่หัวจรดเท้าและใบหน้า มีเพียงช่องดวงตาที่หน้ากากที่สวมอยู่เท่านั้นที่โผล่
สายตาของเขาออกมา


“ เปิดเกราะพลังงานคุ้มกันเครื่องเอาไว้จนกว่าจะพร้อม ”
สิ้นคำของอิเดีย นักประดิษฐ์ ก็กดปุ่มบนแผงวงจรอีกครั้ง
ทันใดนั้นที่แท่นสีดำซึ่งวางฟอจูนทรีเอาไว้ ก็ถูกเกราะพลังงานสีเหลืองคลุมเอาไว้

“ ทำ..ลายเครื่องนั่น..ก่อนที่มันจะเปิดประตู ”
กรีแวร์กล่าวกระอึกกระอักออกมา อย่างยากลำบาก

“ ยังมีลมหายใจอยู่อีกรึ.. ”
อิเดียกล่าวจบก็ฟาดโครงปีกลงไปอีกครั้งหมายจะซ้ำนางให้ตาย
ทว่าโครงปีกทั้งหมดกลับถูก คลื่นสุญญากาศ พุ่งตัดจนหักร่วงลงทั้งหมด
พร้อมกับที่ริคุ พุ่งเข้ามาพาตัวนางออกไป

“ ไม่เป็นไรใช่มั้ย.. ”
ริคุกล่าวขณะที่แบกนางกลับไปยังฝั่งที่พวกเขารออยู่

“ เราต้อง..ทำลาย..เครื่องนั่นเดี๋ยวนี้..ไม่งั้นประตูมิติมังกรจะเปิดออกแล้ว.อัก ”
นางกล่าวได้ไม่ทันจมประโยคอาการคลื่นเหียนก็เข้าเล่นงานนาง จนสำลักเลือดออกมา

“ นี่รึว่าเครื่องขยายพลังสำหรับเปิดประตูมิติที่มันต้องการสร้างสำเร็จแล้วหรือ ”
ริคุคิดขณะที่วางตัวนางลงให้นีน่าดูอาการ

“ Gaia Scream ”(ปฐพีโหยหวน)
สิ้นคำบารานนิทิลก็ส่งคลื่นเสียงซึ่งสั่นไหวอนุภาคให้กระจัดกระจายออกได้ก็แหวกอากาศเข้าเล่นงาน Lr
ทว่าเขาก็บินหลบไปได้ ก่อนะจะสะบัดขนนกที่ปีกกระจายออกไป ทิ่มแทงบารานนิทิล ก่อนที่มันจะ
ระเบิดใส่บารานนิทิล จนได้รับบาดแผล

“ ชิหนอยลองเจอไฟบรรลัยกัณฑ์หน่อยเป็นไง ”
แมนเซเร็กกล่าว

“ ไม่ได้นะเราจะทำร้ายลอว์เรนซ์ไม่ได้ ”
โอโลฟาเชี่ยนกล่าว เตือนก่อนที่แมนเซเร็กจะโจมตี

“ หึ..น่าเบื่อพวกแกนี่มันน่าเบื่อจริงๆ ”
Lr กล่าวจบดราก้อนฮอลลี่ก็ส่องแสงสีดำอกมาพร้อมกับควันสีดำที่ตลบออกมา
ปกคลุมเขาเอาไว้ก่อนจะจางหายไป เขาเปลี่ยร่างเป็นมุรามาซะโซลเสียแล้ว

“ จงหายไปซะให้หมด ”
สิ้นคำทวนในมือของมุรามาซะโซล ก็สลายตัวเป็นกลีบบุปผา สีดำและกระจายตัวเข้าเชือดเฉือน
มังกรกริฟฟินอย่างไม่ปราณี ทว่ากลีบดอกทั้งหมดก็ถูกคลื่นไฟฟ้าที่ไหลออกมาจากขน
ปีกของ รอสทลอส สกัดเอาไว้

“ ครั้งนี้ไม่ง่ายเหมือนครั้งก่อนแน่ ”
รอสทลอสกล่าวจบโอโลฟาเชี่ยน ก็รวบรวมไอเย็นไว้ที่กรงเล็บก่อนจะ สบัดมันออกไปให้
ไอเย็นจับตัวกับกลีบดอก ทันทีที่กลีบดกกลายเป็นน้ำแข็ง แมนเซเร็ก ก็พ่นไฟ ออกมาเผาผลาญมัน
จนในที่สุดเมื่อไม่อาจปรับสมดุได้ทัน กลีบดอกจึงแตกสลายทั้งหมด

“ คิดรึว่าทำลายมุรามาซะของข้าได้น่ะ ”
มุรามาซะโซลกล่าวจบก็ประสานมือเข้าด้วยกันก่อนจะวาดมือออก
ตามยาวเกิดแสงสีดำขึ้นที่มือเรียงตัวเป็นแท่งยาวก่อนจะเปลี่ยนรูปเป็นทวนอีกครั้ง


“ Spell Fist ”
“ Kamaithachi ”
“ Any Spell Plus ”
“ Splash Shot ”
สิ้นเสียง การโจมตีของพวกเจนัสก็พุ่งเป้าไปยังเกราะซึ่งคุ้มกันแท่นพลังงานเอาไว้
ทว่าการโจมตีของพวกเขาก็สะท้อนออกไปหมด

“ งั้นทำลายแผงควบคุมของมันก่อน ”
เจนัสกล่าวจบ ทุกคนก็หันไปยันแผงวงจรที่นักประดิษฐ์คุมอยู่

“ ใครจะยอมเล่า ”
นักประดิษฐ์กล่าวจบก็สะบัดชายผ้าคลุมออก แล้วบิดสลักเข็มขัดกลไลซึ่งริคุและเมทาไนท์เคยใช้
หลังจากที่เขาสร้างมันสำเร็จ ชุดเกราะรูปแบบ กีก้าโหมด ปรากกขึ้นพร้อมกับประกอบสู่ร่างของเขา
ก่อนที่ออบซิเดียนแอคเตอร์ จะบินทะลุหมู่เมฆ มาหาเขา นักประดิษฐ์คว้ามันเอาไว้
ก่อนที่มันจะรวมตัวเข้ากับชุดเกราะและเปลี่ยนรูปอีกครั้ง

“ Change Obsidian From ”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากชุดเกราะหลังจากที่เปลี่ยนรูปคล้ายตัวด้วงสามเขา
แบบที่ริคุใช้ตอนที่เป็นเครสเซนท์

“ Time Walk ”
สิ้นเสียง นักประดิษฐ์ก็หายตัวไปก่อนที่ พวกเขาจะถูกกระแทกและถูก
เฉือนไปมาจนล้มลง

“ Time Walk ”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่นักประดิษ์จะโผล่มาอยู่ กลางวงพวกเขา

“ เชอะพวกหนังเหนียวตายยากเย็นซะเหลือเกินนะ.. ข้าเองก็เป็นแค่นักประดิษฐ์ คงไม่มีเรี่ยวแรงจะ
มาสู้รบปรบมือกับพวกเจ้านักหรอกนะ แอคเตอร์พวกนี้ไม่เหมาะกับข้าเอาซะเลย ”
นักประดิษฐ์บ่นไม่หยุดปาก ทว่าเจนัสก็ได้อาศัยจังหวะนั้น กระโจนขึ้นมาใส่เขา
แต่แล้วหุ่นรูปร่างหมาป่าสีขาว ซึ่งบินมาจากหมู่เมฆก็พุ่งเข้าชนเขาจนกระเด็นล้มลง
ซึ่งมันก็คือ ฮอลี่วูฟล์แอคเตอร์ นั่นเอง

“ คงจะเจ็บล่ะสิที่ถูกอาวุธที่ตัวเองเคยใช้เล่นงาน ข้าละอยากรู้นักว่าความรู้สึกตอน
ที่เจ้าสวมใส่เจ้านี่มันเป็นยังไง ”
นักประดิษฐ์กล่าว

“ Push Off ”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากตัวเกราะ ก่อนที่จะแยกชิ้นส่วนออกจากกันและบิดตัวสลาย กลับเป็นออบซิเดียนแอคเตอร์
จากนั้นนักประดิษฐ์จึง เปลี่ยนเข็มขัดที่คาดเอวไว้เป็นอีกเส้นแทน และคว้าตัวฮอลี่วูฟล์แอคเตอร์
ขึ้นมา  ก่อนจะบิดสลักให้ชุดเกราะกีก้าโหมดทำงาน และรวมตัวกับแอคเตอร์

“ Change Hoary From ”
เสียงทุ้มแหลมดังขึ้น พร้อมกับชุดเกราะที่เปลี่ยนรูปไป
เป็นสมิงหมาป่าซึ่งเป็นชุดเดียวกับที่เจนัสเคยสวม สนับเหล็กที่เปิดอ้าเอาไว้ได้เลื่อนตัวลงมา
เพื่อการใช้งาน  นักประดิษฐ์พุ่งเข้าหาเจนัสและซัดเขาด้วยสนับเหล็ก ครั้นเมื่อเขาจะหลบ
นักประดิษฐ์ก็ใช้พลังเคลื่อนไหวเหนือกาลเวลาเหมือนกับตอนออบซิเดียนฟอร์ม
รุกไล่เขานไม่อาจหลบพ้น ปากแผลที่ท้องซึ่งมาจากตอนที่สู้กับอิเดียครั้งก่อน
เปิดออก เลือดจึงไหลซึมออกมา

“ มาทั้งที่ยังไม่หายดีแท้ๆน่าประทับใจเสียจริงแต่มันคงช่วยอะไรแกไม่ได้หรอก ”
อิเดียกล่าวทันทีที่เห็นบาดแผลนั้น

“ Fear Slash ”
เสียงดังขึ้นมาจากด้านบนพวกเขาก่อนที่ร่างของ มังกรกริฟฟินทั้งหกจะร่วงหล่น
ลงตรงหน้าพวกเขาและกลับร่างเป็นลูกมังกรตามเดิม

“ Mega Punch ”
เสียงทุมแหลมดังขึ้นจากชุดเกราะของนักประดิษฐ์ คลื่นไฟฟ้าที่เป็นสัญญาณการใช้ท่าพิฆาตของ
ฮอลี่ฟอร์ม ก็ไหลมารวมกันที่สนับข้างขวา ทันทีที่นักประดิษฐ์พุ่งตัวออกไปหมายจะใช้ท่าพิฆาตจัดการ
พวกเขาทั้งหมด

“ Paladin Saber ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับคลื่นแสงรูปเสี้ยวจันทร์พุ่ง กระแทกร่างของนักประดิษฐ์จนลงไปกอง
ชุดเกราะสลายตัวออกทันที แอคเตอร์ทั้งสองจึงบินกลับลงไปหมดทิ้งให้นักประดิษฐ์
ต้องล้มนอนด้วยความระบม

“ นี่มัน… ”
มุรามาซะโซลอุทาน บัดนี้พวกเขาถูกล้อมเอาไว้ด้วยฝูงทัพมังกรอันทรงพลังของมิติมังกร
แกรนเดครอส และเทียแมตที่ต้านพวกเนโครแมนเซอร์ไว้ ได้ตามขึ้นมาช่วยพวกเขาด้วยเช่นกัน
ซึ่งผู้ที่ช่วยพวกเขาไว้เมื่อครู่ ก็คือกาเร็ทนั่นเอง



“ ฮูมม ”(ไลท์)
เสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้น ไลท์จึงลุกขึ้นมาทันที ดีวายดราก้อนพ่อของเขานั่นเอง

“ กีซซซ ”(พ่อครับ)
ไลท์กล่าวน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับโผเข้าหา ดีวายดราก้อนผู้เป็นพ่อที่ตรงเข้ามา ด้วยความคิดถึง

“ หึ หึ หึ ถึงจะยกกันมาเป็นกองทัพ ยังไงสวะก็คือสวะจะมาซักกี่ร้อยกี่พันก็เท่านั้นจงสลายไปซะ ”
มุรามาซะโซล กล่าวทว่าก็มีเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องขึ้นมาจากเบื้องล่าง

“ Lighting Claw ”(กรงเล็บอัศนีบาต)
สิ้นเสียง โกรอทพาลม่า ก็ปรากฏตัวพร้อมกับยิงคลื่นสายฟ้าที่รวมไว้ยังกรงเล็บ
ออกไป ใส่มุรามาซะโซล ทว่าเขาก็สลายทวนเป็นกลีบดอกไม้อีกครั้งและใช้มันกันการโจมตีของอีกฝ่าย

“ ข้ามาคิดบัญชีกับแกแล้วมุรามาซะโซล ”
กาเทียซึ่งขี่ไดน่าเบลดพุ่งตามขึ้นมากล่าวอย่างฮึกเหิม ก่อนจะกระโดลงจากหลังของไดน่าเบลดกริฟฟินสีรุ้งคู่ใจ
ลงตรงหน้าพวกเจนัส พร้อมกับโกรอทพาลม่า

“ ข้าจะแสดงผลการฝึกที่ได้มาจากวายเวินร์ลัวโมส(Raumose, the Wool Wyvern)ให้ดูใช่มั้ยกาเร็ท ”
กาเทียกล่าวพร้อมกับขอเสียงสนับสนุน ซึ่งพวกเขาทั้งสองคนในวันที่แยกจากพวก Lr
ไปพวกเขาได้ไปฝึกฝนกับ ลัวโมสวายเวินร์เฒ่าซึ่งรู้จักกับเทียแมต ที่ยอดเขาแถวนั้น



« Last Edit: July 27, 2008, 08:20:20 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #243 on: July 27, 2008, 08:11:52 PM »

“ โฮ่งั้นข้าขอดูหน่อยสิว่าจะเก่งอย่างที่ปากว่ารึเปล่า ”
มุรามาซะกล่าวท้าทายก่อนจะให้กลีบดอกทั้งหมดพุ่งใส่โกรอทพาลม่า
“ ไม่ง่ายนักหรอกน่า ”
กาเทียกล่าวพร้อมกับที่คลื่นไฟฟ้าแผ่ออกจากร่างของโกรอทพาลม่า และสกัดกลีบทั้งหมดไว้

“ Growth ”
เสียงดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา ไลท์กลับดีวายดราก้อนได้ใช้เงื่อนไขแห่งวิวัฒนาการรวมร่างกันเป็น
วอลวาทอสเหมือนครั้งที่เคยช่วยหมู่บ้านมังกรไว้

“ ได้สติซะทีลอว์เรนซ์ ”
วอลวาทอสกล่าวจบก็เปล่งแสง จากร่างของตนใส่มุรามาซะโซล
ทว่ามันกลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย

“ คิดใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ช่วยข้ารึอย่าหวังไปหน่อยเลย ”
สิ้นคำของมุรามาซะโซล เหล่าทัพมังกรทั้งหมดที่ล้อมเอาไว้ก็เริ่มบุกโจมตีทว่า
การโจมตีทั้งหมด ก็ถูกเกราะพลังงาน ที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นและครอบคลุมพวกเขาไว้ก็ป้องกันการ
โจมตีทั้งหมดไว้ได้

ครั้นเมื่อมุรามาซะจะโจมตีใส่พวกทัพมังกร กาเทียก็ให้โกรอทพาลม่าเข้าไปขวางไว้เสียทุกครั้ง
จนในที่สุดมุรามาซะโซลจึงเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนเสียเอง

“ ขัดแข้งขัดขากันดีนัก Fear of Testament ”
สิ้นคำ ควันสีดำก็พวยพุ่งออกจากร่างของมุรามาซะโซล จนตลบอบอวล
อยู่ภายในเกราะกำบังที่ครอบพวกเขากับพวกมันเอาไว้

“ อย่าสูดควันนี่เข้าไปนะ..,มันจะทำให้เราเสียสติอดทนหน่อย ”
วอลวาทอสกล่าว ก่อนจะรวบรวมพลังงานไว้ที่ช่องอก และยิงแสงทะลุเกราะพลังงาน
ที่ขังพวกเขาไว้ทว่าลำแสงก็ไม่อาจเจาะทะลุออกไปได้ แม้ว่าพวกทัพมังกรที่อยู่ข้างนอกจะช่วยกันยิงสนับสนุนเข้ามาจากด้านนอกก็ตาม  นักประดิษฐ์ที่นอนหมอบอยู่กับพื้นไม่รอช้าที่จะคว้าเอาหน้ากาก
ซึ่งมีอุปกรณ์กรองอากาศที่เขาสร้างขึ้นมาสวม ทันทีส่วนอิเดียนั้นกลับไม่ได้รับผลกระทบจากควันเหล่านี้เลย

พวกเจนัสที่เริ่มจะกลั้นหายใจเอาไว้ไม่ไหวแล้ว ควันจึงแทรกซึมเข้าสู่ร่างของพวกเขา ความรู้สึกที่
ทำให้กลัวจนตัวสั่นอย่างไม่ทราบสาเหตุลุกพล่านขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ ทีละน้อยๆ

“ อย่าพยายามให้เสียแรงเปล่าเลยพวกแกต้องหวาดกลัวไปจนตายอยู่ในนี้หล่ะ ”
มุรามาซะโซลกล่าวจบก็ สลายทวนในมืออีกครั้และสั่งให้กลีบดอกทั้งหมดพุ่งเข้าจู่โจมให้พวกเขาหมดแรงเร็วขึ้นเพื่อที่จะได้สูดเอาควันเข้าไปมากๆ

“ โกรอทพาลม่า กางกำแพงคลื่นไฟฟ้าที่…อุบ..แค่กๆ ”
กาเทียกล่าวจบโกรอทพาลม่าก็ปล่อยคลื่นไฟฟ้าออกมาสกัดกลีบดอกทั้งหมดเอาไว้
ในตอนนี้พวกเขาก็อ่อนแรงเต็มทีแล้ว หากทนต่อไปคงไม่แคล้ว ต้องตายอยู่ในเกราะพลังงานนี้เป็นแน่
“ ชิ…กาเร็ทมัวรอ อะไรอยู่มิรัยเคนที่อยู่ในมือนายเล่มนั้นน่ะมันเป็นแค่ท่อนไม้ให้แกว่งเล่นหรือไง
ปลดปล่อยมันออกมาสิ พวกเราจะไม่ไหวกันอยู่แล้วนะ…อึก ”
กาเทียกล่าว กาเร็ทยกดาบที่ตนถือเอาไว้ขึ้นมาจ้องดูอย่างพิเคราะห์ในขณะที่
ย้อนรำลึกถึงสิ่งที่ลัวโมสพูดเอาไว้

“ ดาบที่เจ้าถืออยู่เล่มนั้นคือดาบแห่งอนาคต มิรัยเคน (MiraiKen)สินะแต่ดูเหมือนมันจะ
หลับใหลอยู่มากกว่า ”
คำพูดของวายเวินร์ขนสีเขียวมรกตที่ดังก้องขึ้นในหัวของเขาก่อนที่จะย้อนลำรึกไปถึงเมื่อ
ตอนที่เขาอายุครบ 5 ปี ครึ่งสมิง มาฮา ได้นำเอาดาบคมสีดำด้ามสีขาว ที่กรรเชียงดาบยื่นออกมา
มีรูปร่างเหมือนปีกซึ่งทำจากทองคำ มาให้เขา

“ นี่คือ มิรัยเคน ดาบวิเศษที่ตระกูลรูลเวลส์ของเราปกป้องสืบมา บัดนี้ดาบได้เลือกนายน้อยเป็นเจ้าของแล้ว ”
มาฮากล่าวพร้อมกับมอบดาบเล่มนั้นให้แก่เขา ทันทีที่เขารับดาบนั้นมามันก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า
ในมโนสำนึกของเขาตอนนั้น ภาพของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กว่าตัวเขาหลายเท่าได้ ปรากฏแก่สายตา
รูปร่างของมันทำให้เขาหวั่นเกรงต่อพลังอันยิ่งใหญ่ที่เขาถือครองอยู่ หลังจากที่ได้รับมอยดาบนั้นมา

เขาไม่เคยคิดที่จะใช้พลังของมันด้วยความหวาดกลัวในพลังของมัน ในวันที่เขากับครอบครัวต้องหลบลี้หนีออกมา แม้เขาจะพกดาบนี้ไปด้วยแต่เขากลับไม่กล้าที่จะนำมันออกมาใช้ เพื่อปกป้อง ทุกคน
ความรู้สึกผิดต่อตัวเองในครั้งนั้น หลังจากที่เขาได้มาอยู่กับเทียแมต ดาบก็ได้เปลี่ยนรูปไปจากเดิมกลายเป็นเพียง
ไข่มุกสีแดงสดเม็ดใหญ่ธรรมดาเท่านั้น หลังจากที่เวลาผ่านไปเขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากเทียแมตมากมาย
จนในที่สุดไข่มุกก็ได้กลับคืนเป็นดาบอีกครั้ง  แต่ทว่ามันก็ยังไม่สมบูรณ์ดี เนื่องจากหลับใหลมานาน
ทำให้พลังในดาบสลายสิ้นไปจนเกือบหมด มันจึงเป็นได้เพียงแค่ดาบโลหะธรรมดาๆซึ่งสลักตรารูปมังกรไขว้เอาไว้ที่ แก่นดาบเท่านั้น 

“ ข้าจะบอกวิธีที่จะคืนพลังให้แก่ดาบของเจ้าทว่ามันก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเจ้าด้วยว่าจะสามารถรับมันได้มั้ย ”
เสียงของลัวโมสที่ดังก้องอยู่ในห้วงความคิดช่วยดึงให้เขากลับมาสู่ความจริง บัดนี้เขาต้อง
ตัดสินใจแล้วว่า จะยอมให้ความกลัวนั้นเอาชนะเขาหรือเขาจะเอาชนะและควบคุมมัน

“ ดูเหมือนพวกครึ่งสมิงนี่จะชอบสะสมอาวุธวิเศษกันซะเหลือเกินนะ ”
กาเร็ทกล่าวก่อนจะตวัดดาบในมือขึ้นมาชี้ไปข้างหน้า

“ มาลองกันซักตั้ง….ตื่นขึ้นมาได้แล้วเจ้าดาบขี้เซา ”
กาเร็ทกล่าวเสียงห้วนเพื่อปลุกให้ดาบตื่นขึ้น ตัวดาบเริ่มเปล่งประกายแสงออกมา
ทันใดนั้นร่างของเทียแมตและวอลวาทอสก็เปล่งแสงขึ้น ก่อนที่แสงทั้งสองนั้น
จะเข้าไปหาดาบที่กาเร็ทยื่นออกไป  วอลวาทอสแยกร่างกลับเป็นดีวายดราก้อนและไลท์ตามเดิม

พวกเขาได้แต่จับจ้อง ดูเหตุการณ์ณ์ตรงหน้าด้วยความลุ้นระทึก ตัวดาบค่อยเปลี่ยนสีไป คมดาบกลายเป็น
สีดำ ด้ามดาบทองเหลืองเปลี่ยนเป็นสีขาว แก่นดาบที่สลักมังกรไขว้เปล่งแสงออกพร้อมกับ
กรรเชียงปีกทองคำยื่นออกมาจากแก่นทั้งสองด้าน ดาบได้ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว

“ การจะปลุกให้มันตื่นขึ้นอีกคราจำเป็นต้องใช้พลังของมังกรดำและขาวเพื่อกระตุ้นมัน..ใจของเจ้า
ต่อต้านมังกรอยู่ลึกๆเพราะ การที่เจ้าต้องสูญเสียครอบครัวเพราะมังกรมนได้ทำให้เจ้าปิดผนึกดาบไว้
หากจะปลุกมันเจ้าก็ต้องยอมรับ ที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวนั้น  ”
คำพูดของลัวโมส ดังก้องขึ้นในหัวเขา  มโนภาพของสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่เขาเคยเห็นมันตอนที่สัมผัสดาบเป็นครั้งแรกได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันคำรามดังกึกก้องปานฟ้าร้อง  สัมผัสพลังอันยิ่งใหญ่ที่แผ่กระจายไปทั่ว
ทำให้ความกลัวเมื่อครั้งวัยเยาว์หวนกลับมาอีก ทว่าเขาก็กัดฟัน ทนกับสิ่งนั้นให้ได้

“ ข้าจะไม่กลัวเจ้าอีกแล้ว เจ้าคือพลังของข้า ข้าคุมเจ้า ”
กาเร็ทคิดขณะที่มือของเขาสั่นจากแรงสะเทือนที่ปล่อยออกมาจากดาบ

“ จงตื่นขึ้นมา มิรัยเคน ”
สิ้นคำดาบก็ ปลดปล่อยคลื่นพลังอันทรงอานุภาพออกมา เกราะพลังงานที่ขังพวกเขาเอาไว้ ได้แตกสลายออก
คลื่นพลังอันรุนแรงพัดเอาควันออกไปจนสิ้น แม้แต่พวกทัพมังกรที่อยู่รอบนอกยังต้อง ฝืนบินต้านแรงปะทะเอาไว้แทบไม่อยู่ เศษหินของผนังหอคอยที่หลงเหลืออยู่ถูกเป่ากระเด็นออกมาจนหมด

พวกเจนัสและลูกมังกรต้องหาร่องพื้นก็กันจ้าระหวั่น ทว่าอิเดียยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ในขณะที่หรี่ตาแคบลงเพื่อลดแรงปะทะจากคลื่นลมที่พวยพุ่งออกมาตอนนี้

ทันทีที่ลมจางลงฝุนควันที่ตลบอบอวลไปรอบๆก็ได้สลายตัวไป ดาบในมือของกาเร็ทหายไปแล้ว
ทว่ากลับมีมังกรขนาดยักษ์ซึ่งมีขนาดถึงครึ่งหนึ่งของแกรนเดครอส ปรากฏอยู่เหนือพวกหัวของกาเร็ท
มันมีพังผืดปีกที่โปร่งแสงและกระพืออย่างรวดเร็วส่งเสียงกระหึ่มออกมาราวกับผึ้ง

“ นี่คือร่างที่แท้จริงของมิรัยเคน สุดยอดมังกร นิลทูเรี่ยน (Nilturien, the Giga Dragon)  ”
กาเร็ทกล่าวก่อนที่ นิลทูเรี่ยนจะคำรามเสียงของมันดังกึกก้องราวฟ้าคำราม คลื่นพลังที่แผ่ออกมานั้น
สร้างตกตะลึงแก่มุรามาซะโซลยิ่งนัก



“ น…นี่มันอะไรกันเนี่ย ”
นักประดิษฐ์ที่หมอบอยู่กับพื้นกล่าวด้วยความกลัวขณะที่คลานไปหลบด้านหลัง
เสาบัลลังค์ที่พังไปแล้วตัวสั่นราวกับลูกนก

“ พึ่งจะมาใช้เอาปานนี้รึกาเร็ทพลังที่เจ้าเคยปฏิเสธมันมาตลอด แล้วตอนนี้เจ้ายอมรับมันมาไว้เพื่ออะไรล่ะ ”
อิเดีย เปรยเสียงเรียบขณะที่จ้องมองดูลูกชายคนโตของตน ด้วยสายตาเย็นชา กาเร็ทไม่ตอบแต่หันคนดาบไปที่เขา
อิเดียที่เห็นการกระทำเช่นนั้น ก็หัวเราะในลำคอเบาก่อนจะกล่าวต่อ

“ ข้าคิดแล้วว่าซักวันเจ้าจะต้องหันคมดาบมาหาพ่อ… ”
อิเดียกล่าวไม่ทันขาดคำกาเร็ทก็ตะหวาดแทรกเข้ามา

“ หุบปากเจ้าไม่ใช่ท่านพ่อที่ข้ารู้เคยจัก ท่านพ่อที่ข้ารู้จักได้เสียชีพลงในหน้าที่อย่างทรงเกรียติแล้ว
ที่อยู่ตรงหน้าข้าเป็นเพียงบาปแห่งความกลัวที่ใช้ร่างของท่านพ่อเป็นที่สิงสู่เท่านั้น ”
กาเร็ทกล่าวเสียงกร้าว ทว่ามุรามาซะก็เข้ามาขวางระหว่างทั้งสองเอาไว้

“ งั้นหรือเจ้าจะคิดเช่นนั้นก็ไม่แปลกแต่ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าข้ายังมีสติอยู่สมประกอบ
ตอนนี้ข้าก็ยังคงเป็นอิเดียพ่อของเจ้าอยู่ดี เพียงแต่ข้าได้รับพลังจากเจตนารมณ์แห่งบาปทั้งปวง
มาเท่านั้น ดังนั้นในตอนนี้ร่างของข้าก็ยังคงเป็นของข้าอยู่ ”
อิเดียกล่าวหวังจะให้เขายอมจำนน ทว่าสายตาของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป ยังคงมุงทั่นที่จะ
โค่นเขาลง

“ เจ้าคงไม่เห็นข้าเป็นพ่อแล้วสินะ..งั้นก็เอาสิถ้าเจ้าจะห้ำหั่นกับน้องชายของเจ้าด้วยก็เชิญ ”
คำพูดของอิเดีย ทำให้ความทรงจำของกาเร็ทแวบขึ้นมา ถึงคำพูดของมารดาที่
กล่าวไว้ในวันที่น้องชายของเขาเกิด

“ กาเร็ทแม่ขอร้องล่ะลูกช่วยปกป้องน้องแทนแม่ด้วยหาก
วันใดที่แม่ไม่อาจอยู่ปกป้องเจ้าทั้งสองได้ ”
เสียงนั้นดังขึ้นมาในใจของเขา

“ ขอโทษด้วยครับท่านแม่ผมไม่อาจปกป้องใครเอาไว้ได้เลยแม้แต่น้องก็ตาม แต่ตอนนี้ผมจะรักษาคำพูดให้ได้
ผมจะทำให้น้องฟื้นสติกลับมาให้ได้ ”
กาเร็ทคิดก่อนจะกระชับดาบในมือแน่น โกรอทพาลม่าได้เข้ามาสมทบเป็นกำลังเสริมให้แก่นิวเทอเรี่ยนด้วยอีกแรง

“ ชั้นจะช่วยนายเอง ”
กาเทียกล่าวขณะที่ตบไหล่เขาเบาๆก่อนที่ทั้งคู่จะสั้งให้มังกรของตนเข้าปะทะกับมุรามาซะโซล

“ White Thunder ”(สายฟ้าขาว)
“ Shinning Shadow ” (เปล่งประกายเงามืด)
สิ้นคำสายฟ้าสีขาวก็ถูกพุ่งออกมาจากร่างของโกรอทพาลม่าและตรึง
ร่างของมุรามาซะเอาไว้ไม่ให้ขยับหนีได้ ขณะเดียวกัน  นิลทูเรี่ยน ก็วาดกรงเล็บในมือทั้งสอง
ขึ้นมาไว้รดับสายตา ก่อนที่จะเกิดแสงสีดำหนุมวนในอุ้งเล็บนั้นซักพักก็มีประกายแสง
เปล่งประกายระยิบระยับราวกับดวงดาว ในความมืดนั้น ทันทีที่กาเร็ทตวัดดาบออกไป
นิลทูเรี่ยนก็ขว้าง มวลพลังงานนั้นใส่มุรามาซะโซล ทันทีที่มันกระทบเข้ากับร่างของมุรามาซะโซล
มันก็ได้ระเบิดออกสร้างความเสียหายให้แก่มุรามาซะโซล เป็นอันมากร่างโลหะมีรอยไหม้ และถูกหลอมจนเหลวเหยิ้ม ออกมา ใบหน้ายุบบุจากแรงปะทะปีกทั้งสองข้างหักสลาย ยืนประคองตัวเอาไว้
ด้วยทวนที่ถืออยู่ ทว่ามุรามาซะโซล กลับหัวเราะออกมาอย่างสบายอารมณ์

“ หึ หึ หึ .. อย่างนี้สิค่อยน่าสนุกขึ้นมาหน่อยเดี๋ยวข้าจะให้พวกแกได้ดูพลังสุดยอดของข้า ”
มุรามาซะโซลกล่าว จบก็ยันตัวขึ้นควงทวนขึ้นมาตั้งประคองด้วยมือทั้งสองข้าง
ก่อนจะแยกลูบมันจากกลางทวนไปจนสุดปลายในขณะที่ มือของเขาลูบผ่านไปนั้น
ตัวทวนก็จะเปล่งแสงสีดำไล่ไปเรื่อยจนครบทั้งด้ามในที่สุด

“ มุรามาซะเอ๋ยจงแยกเขี้ยวออกมา….ยาฉะและซานเกะ(Yasha & Sange) ”
สิ้นคำเขาก็ดึงทวนให้แยกออกจากกันมันเปลี่ยนรูปเป็นดาบยาวสองเล่มในทันที ก่อนที่แสงจะจางลง
เขาตวัดมันไขว้กันไว้ที่อก เล่มหนึ่งด้ามด้ามพันด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงคมดาบสีเงิน อีกเล่มด้ามดาบเป็นโลหะ
เงิน คมดาบบางเสียจนแทบมองไม่เห็น สะท้อนประกายแสงระยิบระยับ อยู่ตลอดคม

“ ยาฉะคือกลีบบุปผา ซานเกะคือประกายแสงจงรับไปซะ Petal Spark Dance (ระบำประกายบุปผา) ”
สิ้นคำมุรามาซะโซลก็ตวัดดาบทั้งสอง อย่างรวดเร็ว ประกายที่สะท้อนอกจากซานเกะ
วูบไหวไปมาจนทำให้มองเห็นร่างของมุรามาซะโซลได้ลำบาก ขณะที่มุรามาซะโซล
อ้อมไปข้างหลังมังกรซึ่งมาจากดาบทั้งสอง และตวัด ยาฉะฟันใส่ทั้งสองตัว

ทันทีที่ดาบกระทบกับ ร่างของมังกรทั้งสอง ก็จะเกิดประกายแสงขึ้นพร้อมกับกลายเป็นกลีบดอกไม้สีเงินปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ แม้ว่ามังกรทั้งสองจะได้รับบาดเจ็บจากการฟัน แต่ก็ไม่ได้สาหัสอะไรนัก
ทว่าทันทีที่มุรามาซะโซลถอยออกห่างและตวัดดาบทั้งสองลงมา กลีบดอกที่ลอยเคว้งอยูนั้น
ก็พุ่งเข้าสู่ร่างของมังกรทั้งสอง พร้อมกับทุกครั้งที่กลีบดอกเฉือนโดนร่างก็จะเกิดประกายแสง
แวบวาบขึ้นมาจนแสบตา และมองไม่เห็นไปชั่วครู่ ทันทีที่กลีบทั้งหมดร่วงโรยลงสู่พื้น
มังกรทั้งสองก็สลายตัวกลับเป็นพลังงาน และย้อนกลับไปหาดาบของตน

“ อาวุธเทพโกรอทพาลม่ากับสุดยอดมังกรนิลเทอเรี่ยนแพ้แล้ว…เป็นไปได้อย่างไรกัน ”
มังกรขาวตัวหนึ่งในทัพมังกรอุทานทันทีที่เห็นภาพการร่ายรำสังหารของมุรามาซะโซล
มังกรตัวอื่นเริ่มเสียขวัญทันทีต่างบินหนีกันจ้าระหวั่น ทว่าทุกตัวก็ถูกกลีบดอกไม้ที่ปลิวมาอยู่รอบๆ
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบเฉือนจนบาดเจ็บร่วงหล่นไปตัวแล้วตัวเล่า โชคยังดีที่แกรนเดครอสไม่ได้รับบาดเจ็บจึงใช้ร่างกายอันใหญ่โตของตนรับร่างของมังกรที่ร่วงหล่นลงมา ส่วนตัวอื่นๆที่รับไม่ทัน
พวกมังกรที่คอยสนับสนุนอยู่ข้างล่าง ก็ขึ้นมาช่วยรับไว้

“ น่าเบื่อ…นึกว่าจะได้สนุกกว่านี้ซะอีก…อัก ”
มุรามาซะโซลกล่าวได้ไม่ทันจบประโยคเขาก็ถูกซัดจนหน้าหัน
ครั้นเมื่อหันกลับมาก็พบว่า เจนัสนั่นเองที่เป็นคนซัดเขา ไม่รอช้าเขารีบตวัดดาบใส่ร่างของ
เจนัสทันที ทว่าเจนัสก็หลบเบี่ยงออกมาด้านข้าง
ก่อนจะล็อคคอเขาลงมาและกระแทกเข่าใส่เข้าไปอย่างจังจนร่างโลหะ ของเขายุบลง แต่ที่ตามมา
ก้คือกร็อบราวกับกระดูกร้าวแตกดังขึ้น ทันทีที่เขาถอยห่างออกจากเจนัส ดวงตาก็ลงมาจับจ้องที่
หัวเข่าของเจนัส มันแตกออกอาบเลือดสด ขาข้างนั้นของเขาทรุดลงเล็กน้อย  ข้อนิ้วมือที่ซัดหน้าของเขาก็แตกเช่นกัน แต่เจนัสก็ไม่มีทีท่าแสดงความเจ็บปวดออกมาให้เห็น มีเพียงสายตาที่คมกร้าวจ้องมาที่เขาเท่านั้น

“ เชอะฝืนสู้จนต้องเจ็บเองงั้นรึโง่สิ้นดี ”
มุรามาซะกล่าวก่อนจะเอามือขึ้นปาดคราบเลือดที่ริมฝีปากซึ่งกระอักออกมาเล็กน้อยตอนที่ถูกซัด

“ เจ็บงั้นหรือ จริงอยู่มันอาจจะเจ็บแต่ตอนนี้ที่ที่เจ็บยิ่งกว่าไม่ใช่ร่างกายแต่จิตใจของชั้นจิตใตของพวกเรา
ที่ต้องมาสู้รบกับนายมันเจ็บยิ่งกว่าซะอีก ”
เจนัสกล่าวเสียงร้าวจนเขาต้องผงะไป เจนัสได้ก้าวเข้าไปใกล้เขาด้วยสัญชาติญาณ เขาจึงตวัดดาบออกไป
เพื่อหวังให้เจนัสหยุดทว่า เจนัสก็ยังคงลากขา เดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาอย่างไม่ลดละไม่ว่าจะฟันออกไปกี่สิบครั้งก็ตาม เขาก็ไม่อาจที่จะฟันให้ลึกลงไปในร่างของเจนัสได้เลย ยิ่งฝืนจะควบคุมก็กลับ
เหมือนถูกแรงบางอย่างในตัวของเขาต่อต้านมากยิ่งขึ้น จนเมื่อเจนัสเข้ามาประชิดเขาจึงหยุด

“ กลัวที่จะสูญเสียเพื่อนสูญเสียคนสำคัญไปอย่างนั้นหรือ..ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่ลุกขึ้นสู้ล่ะ
กลัวไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมาจะปล่อยให้ความกลัวเอาชนะไปตลอดรึไง
ถึงนายไม่อยากเสียพวกเราไปแต่ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันจะมีความหมายอะไรเล่า ได้สติซะทีลอว์เรนซ์ ”
เจนัสกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น ในที่สุดดาบในมือของมุรามาซะก็หลุดออกจากมือทั้งสอง
ก่อนที่จะรู้สึกปวดหัวขึ้นมา มันกุมหัวด้วยมือทั้งสองและดิ้นพล่านไปมา

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #244 on: July 27, 2008, 08:12:01 PM »

“ ป…เป็นไปไม่ได้นี่แกพยายามฝืนอยู่งั้นรึทั้งที่แกน่าจะหายไปแล้วนี่..ไม่..กลับไปซะข้าจะอยู่
ความหิวกระหายของข้ายังไม่หมดสิ้นกลับไป..กลับ..อ็่าคคคค ”
มุรามาซะโซลกรีดร้องอย่างโหยหวนก่อนที่จะกลับร่างเป็นลอว์เรนซ์ ดราก้อนฮอลลี่
เรืองแสงขึ้นก่อนที่แสงจากมันจะพุ่งทะลุเกราะซึ่งคุ้มกันแท่นพลังงานเข้าไปรวมกับฟอจูนทรี
แท่นพลังงานส่องแสงเปล่งประกายเจิดจ้า ก่อนที่ลำแสงจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้าและ
ดิ่งลงสู่เบื้องล่างไปยัง เขตป่าของฟูดินัน ที่ประตูมิติมังกรซึ่ง ถูกปิดเอากั้นไว้ด้วย

กำแพงพลังงานสีดำขุ่น แสงเเจาะทำลายกำแพงนั้นจนแตกสลายและประตูมิติขยายกว้างออก
เงาดำและเสียงกรีดร้องแหลมไอความชั่วร้ายได้ถูกปลดปล่อยออกจากมิติที่
จองจำพวกมันเอาไว้

เงาดำทั้งหมดพุ่งทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนหมดสิ้นประตูจึงปิดลงและคืนสภาพกลับเป็น
มิติมังกรดังเดิมอีกครั้ง เงาทั้งหมดคือเหล่ามังกรที่เคยรับใช้บาปทั้งปวง
และที่หัวขบวน เงาดำสิบร่างได้พุ่งขึนมาหาพวกเขาที่ปราการลอยฟ้า

ร่างปีศาจทั้งสิบตนได้ปรากกแก่สายตาของพวกเขา พวกมันคือบาปทั้งสิบประการ
ที่คอยล่อลวงมนุษย์ มาตั้งแต่อดีต บัดนี้พวกมันถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว

“ ยินดีต้อนรับกลับหุ้นส่วนทั้งหลาย ”
อิเดียกล่าว ขณะที่พวกบาปทั้งสิบกำลังสอดส่ายสายตามองไปรอบ
ดราก้อนฮอลลี่ได้หยุดเปล่งแสงแล้ว ลอว์เรนซ์ในคราบมุรามาซะโซล
ล้มลงอย่างอ่อนแรงก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองอิเดียด้วยความอาฆาต

“ นี่แกหลอกใช้ข้างั้นรึ..อึก ”
มุรามาซะโซลกล่าวเสียงสั่นด้วยความอ่อนแรง

“ การจะเปิดประตูมิติจำเป็นต้องอาศัยพลังของศิลามังกรของเจ้ากับ ฟอจูนทรีเพื่อที่จะคืนตัวตน
ให้แก่เหล่าบาปทั้งปวง เจ้าทำได้ดีมากที่ถ่วงเวลาเอาไว้จนถึงตอนนี้ได้..หึ หึ หึ ”
อิเดียหัวเราะในลำคออย่างสบายอารมณ์ ทิ้งให้มุรามาซะโซลต้องกัดฟันกรอดด้วยความแค้นเคืองก่อนจะฟุบสลบไป

ภาพรอบข้างมืดลงสนิทก่อนที่จะสว่างวาบด้วยแสงซึ่งไม่รู้ที่มา ทั่วบิรเวณเป็นสีขาวโพลน
ลอว์เรนซ์ซึ่งเป็นร่างต้นได้เดินไปเรื่อยเปื่อยเพื่อจะหาคำตอบว่าทำไมเขาจึงมาอยู่ที่นี่
เมื่อเขาเดินมาได้ซักพัก ก็พบชายชราสวมชุดคลุมสีขาวคนหนึ่งที่ข้างๆเขา
เด็กชายซึ่งมีปีกนกสีดำยื่นออกมานั่งโค้งตัวดดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
Lr เดินเข้าไปหาเด็กชายเพื่อที่จะดูว่าเขาเป็นอะไร

ทว่าเขากลับต้องแปลกใจเสียเอง เมื่อเด็กคนนั้นก็คือเขานั้นเอง ตัวขาอีกคนเอาแต่นั่งนิ่งไม่ยอมพูดะไร
Lr จึงตัดสินใจที่จะถามชายแก่

“ท่านเป็นใครกันแล้วทำมตัวผมถึงได้…. ”
Lr กล่าวก่อนจะนิ่งไปเพราะไม่อาจจะอธิบายได้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไรให้ชายแก่ทราบกันแน่

“ เราคือจิตวิญญาณแห่งศิลามังกรนี้ นามข้าคือลอว์เรนซ์ อัศวินทาลิวิลย่าเมื่อร้อยปีก่อน ”
ชายแก่ตอบ แต่เขาไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ชายแก่พูด

“ ท่านว่าท่านคือจิตวิญญาณของดราก้อนฮอลลี่นี้เหรอ แล้วทำไมท่านถึงชื่อเหมือนผมด้วย ”
Lr ถามด้วยความอยากรู้ชายแก่ยิ้นอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะก้มตัวลงคุยกับเขา
อย่างสนิทสนม

“ ลอว์เรนซ์เธอกคือเธอไม่ใช่ใครอื่นว่าแต่ทำไมเธอหวังอะไรจากพังของศิลารึ ”
ชายแก่กล่าว ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจกับคำพูดของชายแก่แต่เขา ก็ยอมที่จะตอบคำถาม
ของชายแก่

“ ผมอยากจะปกป้องเพื่อนและคนสำคัญของผม ”
Lr กล่าว

“ แต่เธอกลัวที่จะสูณเสียพวกเขาไปใช่มั้ยเธอถึงต้องการที่จะดึงเอาพลังออกมา ”
ชายแก่ถามซึ่งเขาก็พยักหน้าตอบถูกของชายแก่เขาหวาดกลัวมาตลอดว่า
ซักวันเขาจะต้องสูญเสียทุกคนไปนันเป็นเหตุที่ทำให้เขาต้องการพลังมาจนบัดนี้

“ ศิลามังกรจะแปรเปลี่ยนความรู้สึกของเจ้าเป็นพลังซึ่งที่แสดงอยู่ตอนนี้คือความกลัว
หากเจ้าไม่อาจเอาชนะความกลัวได้เจ้าก็ไม่อาจเป็นตัวของเจ้า ”

ชายแก่กล่าวก่อนจะผายมือไปยังเบื้องหน้า ก็เกิดภาพขึ้นในอากาศ
มันเป็นภาพที่เพื่อนๆของเขากำลังต่อสู้กับเหล่ามังกรแห่งบาปและบาปทั้งสิบตนซึ่งถูกปลดปล่อยออกมา
โดยทีเพื่อนๆของเขาพยายามปกป้องเขาอย่างสุดความสามารถแม้จะบาดเจ็บจนแทบล้มก็ตาม
ลูกมังกรทั้งหก เข้าต่อกรกับมังกรแห่งบาปอย่างอาจหาญ
แม้แต่อควาที่ขี้กลัวเป็นที่สุดก็ยังเข้าปะทะแบบลืมตาย

“ เพื่อนๆของเจ้ากำลังพยายามอย่างที่สุดที่จะช่วยเจ้าด้วยความกล้าหาญแต่เจ้ากลับปกป้องพวกเขาดวยความกลัว
ทีนี้คงจะเข้าใจแล้วสินะว่าทำไมเจ้าถึงต้องมาอยู่ที่นี่ ”
ชายแก่กล่าวซึ่ง Lr ก็พยักหน้ารับเช่นเคยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เขาเอาแต่กลัวที่จะสูญเสียและยึดติดกับมัน
จนเกินไปและในที่สุดเขาก็แสดงพลังของดราก้อนฮอลลี่ออกไปด้วยความกลัว
จนเกือบจะต้องฆ่าเพื่อนของเขาเสียเอง
แววตาของเขาเปลี่ยนไปดูแฝงไว้ด้วยความหวังที่จะช่วยเพื่อนของตนชายแก่เห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

“ เจ้าพร้อมจะกลับไปหาพวกเขาแล้วใช่มั้ย ”
ชายแก่กล่าวจบก็เปิดทางให้แก่เขา

“ เมื่อเจ้าเตรียมใจพร้อมที่รับชะตากรรมเจ้าจงกลับมาที่นี่อีกครั้งข้าจะมอบดาบให้แก่เจ้า ”
ชายแก่กล่าวจบภาพทั้งหมดก็มืดลงอีกครั้ง

จนเมื่อเขาพยายามที่จะเปิดตาออกอย่างยากลำบาก ภาพต่างๆเริ่มทีจะชัดเจนขึ้น
เขากลับมาแล้ว

“ ทุกคน… ”
Lr กล่าวเสียงอ่อนด้วยความอิดโรย เสียงของเขาสร้างความยินดีให้แก่ทุกคนไม่น้อย
ทว่าหากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้คงเป็นเวลาที่น่าประทับใจไม่น้อย


“ คืนสติกลับมาแล้วสินะ..ที่นี้เจ้าจะเอายังไงลูกข้า ”
อิเดียกล่าวเสียงเรียบ Lr ยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับตอบออกไปน้ำเสียงหนักแน่น

“ ลูกเติบโตด้วยการดูแลของพ่อแม่..เราเป็นลูกของเจ้าแต่เจ้าไม่ได้เลี้ยงดูเรา
ครอบครัวของเราคือนั่น.. ”
เขากล่าวจบก็ผายมือไปยังพวกเพื่อนๆและครอบครัวของเขา อิเดียหรี่ตาแคบลงก่อน
จะสยายโครงปีกกระดูกออกมา

“ งั้นรึ..เอาเถอะข้าแค่ต้องการหลอกใช้พลังของเจ้าเพื่อเปิดประตูเท่านั้นแต่ข้าก็จะไม่ให้เจ้าขวางทางข้าเช่นกันจงตายซะ ”
สิ้นคำของอิเดียโครงปีกทั้งหกเส้นก็พุ่งเข้าหาเขา ทว่าพวกลูกมังกร เจนัส ลากูน่า นีน่า ริคุ กาเร็ท กาเทีย
และเทียแมตก็เข้าไปสกัดโครงทั้งหมดไว้
แต่ทว่าด้วยพลังของอิเดียพวกเขาก็ถูกปัดกระเด็ยออกทั้งหมด
ก่อนที่จะตวัดโครงทั้งหกเส้นอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้พวกลูกมังกรทั้งหก ก็ได้เอาตัวเข้าแลก
จนถูกโครงปีกเสียบทะลุร่าง

“ พวกเรา… ”
Lr ร้องเสียงหลงทันทีที่เห็นเพื่อนๆของตนถูกทำร้าย
อิเดียกระชากโครงปีกออก ก่อนจะหันไปหาเขา

“ ทีนี้ก็ไม่มีใครขวางแล้วตายซะ ”
อิเดียกล่าวในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่โครงปีกทั้งหมดจะพุ่งเสียบทะลุร่างของ Lr
คำวิงวอนในใจของลูกมังกรทั้งหกที่ประสายเป็นเสียงเดียวกันก็ได้ส่งไปถึงดราก้อนฮอลลี่

“ ที่พวกเราต้องการก็คือช่วยลอว์เรนซ์…ช่วยเพื่อนของเรา ”
ความคิดที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นทำให้ดราก้อนฮอลลี่ เริ่มทำงาน แสงอันเจิดจรัส
ส่องสว่างไปยังร่างของลูกมังกรทั้งหกก่อนจะรวมกันเป็นร่างเดียวซึ่งมีขนาดกายใหญ่โต
ได้พุ่งเข้ามาขวางโครงปีกทั้งหกไว้และหักมันทิ้ง ร่างนั้นยังคงเปล่งแสงอยู่ก่อนจะจางลง
มังกรซึ่งมีสภาพร่างกายแตกต่างกันถึงหกแบบ พลังหกธาตุพุ่งพล่างลุกโชนทั้งร่าง
 
“ มิตรภาพ ความหวัง ความสัตย์ คุณธรรม ปัญญา และความเมตตา เมื่อใดที่พลังทั้งหกมุ่งหวังในสิ่งเดียวกัน
นามของข้าคือมังกรหกธาตุทลายมาร Amankrist ”
สิ้นคำของเจ้ามังกรยักษ์ก็สูดลมหายใจเข้าปากไป



“ Albino Breath ” (ลมหายใจพิสุทธิ์)
สิ้นเสียงเปลวเพลิงสีขาวบริสุทธิ์ ก็ถูกพ่นออกมาเผาผลาญ ทำลายเหล่ามังกรบาปที่เขาโจมตีพวกเขาจน
สิ้น เปลวเพลงรุนแรนจนทะลุลงไปยังชั้นล่างของปราการและระเบิดออกที่วงแหวนลอยตัวจนพังทลาย
ตัวปราการซึ่งสูญเสียวงแหวนลอยตัวจึงเริ่มที่จะพังทลาย กำแพงน้ำแข็งที่ครอบคลุมทั่วทั้งทวีปได้หายไป
จนสิ้น

“ ครั้งนี้ข้าจะยอมถอยก่อน.. ”
อิเดียกล่าวก่อนที่จะเปิดประตูมิติแล้วหนีหายไปกับนักประดิษฐ์และเหล่าบาปทั้งปวงกับทัพมังกรแห่งบาป

พวก Lr เองก็ไม่รอช้าพวกเจนัสพา กรีแวรืที่บาดเจ็บขึ้นหลังเทียแมตไป ส่วนกาเร็ทและกาเทีย
ก็ขึ้นขี่ไดน่าเบลด หนีออกมา Lr ถูก อะแมนคริส อุ้มลง
ซากปราการที่โค่นลงไปยังเบื้องล่าง ค่อยๆร่วงหล่นลงไป

“ เราต้องทำลายซากพวกนั้นก่อนที่มันะทำให้ผู้คนข้างล่างล้มตาย ”
Lr กล่าวจบ อะแมนคริสก็พ่นเปลวเพลิงสีขาวออกไปอีกครั้ง
เปลวเพลิงเผาผลาญซากพวกนั้นอย่างรวดเร็วจนสลายไปในที่สุด

จากการบุกโจมตีในครั้งนี้พวกเขาสามารถล้มล้าง ฐานอำนาจของโฮลี่ไนทแมร์ได้สำเร็จ
เหล่าผู้นำาในแต่ละอาณาจักรที่ถูกควบคุมก็ได้คืนสติกลับดั่งเดิมแล้ว จากการที่
เครื่องขยายพลังควบคุมบนปราการถูกทำลายลงไป ทว่าศึกที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับเหล่าบาปทั้งสิบและทัพมังกรครั้งสงคราม ทูตสววรค์ที่ถูกปลดปล่อยออกมา
พวกเขาจะทำเช่นไร…..

โปรดติดตามตอนต่อไป

ในตอนหน้า

การประชุมหาแนวทางรับมือกับการรุกรานของอิเดียได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
เหล่าอาณาจักรใหญ่ทั้งสี่อาณาจักร ได้ตัดสินใจร่วมกัยต่อสู้กับ พลังอำนาจของ อิเดีย
 ขณะเดียวกัน เรโค่ที่ยังคงภาวนาให้เซโร่หลุดจากผนึกก็ได้ย้อนรำลึกถึงตอนที่พบกันครั้งแรก

ด้านเดียวกันนั้นเอง Lr ที่กลับมาก็ยังคงมีอาการหวาดกลัวว่าตนจะเผลอปล่อยให้ความกลัวเข้าครอบงำอีกครั้ง
ซึ่งนั่นก็ส่งผลต่อพวกเขาด้วย

“ แปลงร่างไม่ได้..นี่เราสูญเสียพลังไปแล้วหรือ ”

พลังที่สูญเสียไป

“ อาจจะเป็นเพราะนายยังมีความรู้สึกต่อต้านกับมันอยู่ก็ได้ทำให้นายใช้มันไม่ได้ ”

เพราะไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกของตนจึงต้องระทมกับความทุกข์นั้น

“ ถ้าชั้นอยู่ไปก็คงจะป็นตัวถ่วงพวกนาย ”
“ แล้วที่พวกเราพยายามกันมานี่ล่ะเพื่ออะไรนายจะบอกว่าที่พวกเราเสี่ยงเข้าไปช่วยนายมันไร้ค่ารึไง ”
ความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน

“ จะกลัวก็ไม่แปลกหรอกเพราะชั้นก็เหมือนกันกลัวว่าอีกตัวตนจะอกมาเมื่อไหร่… ”
ความรู้สึกเดียวกัน

“ ผมอยากช่วยทุกๆคนช่วยมอบพลังให้ผมด้วย ”
“ งั้นก็จงรับมาคายาเดียเล่มนี้ไป… ”

พลังที่ตื่นขึ้น

“ ความกล้าคือดาบที่จะฟาดฟันไปสู่อนาคตจงจำนามเราไว้….. ”
ติดตามได้ใน

บทที่ 29 ดาบแห่งความกล้า
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #245 on: July 27, 2008, 09:07:52 PM »

พระเอกก็คือพระเอก (แล้วจะให้เป็นนางเอกรึไง   )  ยังไงก็คืนสู่สภาพเดิมแล้ว อีกอย่างอีกไม่นานก็จะครบ 30 ตอนแล้ว  เตรียมฉลองดีกว่า   
ปล.ถ้าจำไม่ผิด  ภาพการ์ดเสริมวันนี้จะเป็นพระเอกของ tsubasa chronicle นะ 
Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #246 on: July 27, 2008, 10:49:12 PM »

โอ้จะครบ 30 ตอนแล้วจริงๆด้วย แต่ว่าใกล้ครบรอบตอนนั้นอีกความนัยก็คือคืบใกล้ตอนอวสานไปทุกที
ซึ่งจากการคำนวณดูแล้วน่าจะจบในอีก 4-5 บท ก็คง จบบริบรูณ์แล้วฮ่ะ

ว่าแต่ช่วงนี้เจ้าเกรม่อนมันใช้งานฉันหนักจริงสงสัยใกล้จบแล้วมั้ง
เห็นว่ามีโปรเจคภาคพิเศษหลังอวสานด้วย และไม่แน่อาจมีภาคสองแต่
เปลี่ยนชื่อเรื่องกับพล็อตเรื่องเป็น Crisis of Valkyrie โดยโปรเจคนี้ถ้าทำเดี้ยน
จะเป็นตัวตั้งตัวตีเองจ้า โดยจะเป็นภาคขยายความ ถึงประวัตืของตัวละครอื่นๆอย่างเรโค่ เซโร
แล้วก็การใช้ชีวิตหลังจากจบศึกไปแล้วของพวก Lr จัง

ปล.เห็นว่าคำบอกใบ้ที่ดูจากน้ำตกในถ้ำปราชญ์มังกร เห็นว่ามีเด็กสี่คนนอนสลบอยู่ท่ามกลางกองเพลิงแล้วก็ดราก้อนฮอลลี่แตกกระจาย
มีความนัยว่าโปรเจคนี้อาจจะไม่ได้ทำเพราะพวกพระเอกตายหมด
โอ้ม่ายยยเจนัสของฉ้านน ไม่ยอมนะถ้าตายอ่ะ

ยังไงก็คงต้องติดตามกันต่อไป
ว่าแต่ตอบถูกอีกแล้วกาเร็ทที่โพสวันนีเป็นตัวเอกจากเรื่องที่ว่าน่ะล่ะฮ่ะ
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #247 on: August 03, 2008, 05:36:33 AM »

อาทิตนี้งดนะครับเพราะเนื่องด้วยสัปดาห์ที่หยุด วันเข้าพรรษานั้นไม่ได้ไปร.ด. เพราะงั้นอาทิตย์นี้เลยต้องไปเรียนชดเชยไม่มีเวลาพิมพ์เยย งานเยอะอีก
เพราะงั้นขอ งดอาทิตย์นี้นะครับเจอกันอาทิตย์หน้า บทที่29 ดาบแห่งความกล้าจ้า
Logged


brighttp
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1


« Reply #248 on: August 06, 2008, 01:57:59 AM »

คนแต่งคงหน้าตาหล่อมากเลยนะครับ  ;D
Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #249 on: August 06, 2008, 04:26:23 AM »



พูดเหมือนรู้เลยใครหว่านิ เจ้าเกรม่อนคุงเนี่ยนะหล่อโฮะๆคิดไงเนี่ย
แฟนมันเปล่าหว่าเหอๆ
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #250 on: August 06, 2008, 10:09:18 PM »

เอ่อ  อะไรเจ๋งเหรอครับ   ???
คนแต่งคงหน้าตาหล่อมากเลยนะครับ  ;D
รู้ได้อย่างไรล่ะครับเนี่ย   
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #251 on: August 07, 2008, 01:29:29 AM »

Quote
...เฮ้ย!! ทำได้ไงเนี้ยะ....เจ๋งว่ะ...
เอ่อ  อะไรเจ๋งเหรอครับ    ???

เมาหรืออะไรป่ะครับ คลิกไปดูดันโผล่ที่ supermmorpg อะไรก็ไม่รู้สงสัยมาผิดกระทู้ไม่ก็
จะโฆษนาแฝงประมาณนี้มั้ง ถ้ายังไงช่วยขยายความที


Quote
คนแต่งคงหน้าตาหล่อมากเลยนะครับ   ;D
รู้ได้อย่างไรล่ะครับเนี่ย 

มันจะไม่รู้ได้ยังไงก็มันเพื่อนร่วมชั้นผมง่ะ ง่าบอกว่าอย่ามาดูอย่ามาอ่านมันก็ยังจะมาโดนล้อจนอานเลย
  เจ้าการูรูม่อนก็นะทำเป็นเนียนมันจะใครซะอีกล่ะถ้าจะให้เรียกโคดเนมของมันคนนี้ก็คือ แวนเดม่อนล่ะมั้ง....นะ

 
« Last Edit: August 07, 2008, 01:33:49 AM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #252 on: August 07, 2008, 11:59:43 PM »

เมาแล้วโพสมันหายไปไหนแว้ว สงสัยมาทำลายหลักฐานทิ้งมั้ง 5555+
ปล.สัปดาห์นี้อาจอัพ 2 ตอนจนถึงวันแม่รวมๆอาจจะได้4 ตอน แล้วอวสานในวันอาทิตย์หน้าที่จะถึงนี้
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #253 on: August 10, 2008, 07:32:47 PM »

บทที่ 29 ดาบแห่งความกล้า

  ณ ทุ่งราบหน้าประตูเมือง เหล่าทหารของกองกำลังต่อต้านและฟีเลเซียรวมไปถึงทัพชาวป่าบางส่วนของฟูดินัน
ทั้งหมดร่วมมือกันเพื่อที่จะต่อกรกับทัพมังกรปีศาจที่บุกเข้าโจมตีมาอย่างไม่เว้นว่าง ที่ทัพหน้านั้น ลากูน่า กำลังโบกไม้โบกมือให้พวกทหารทั้งหมด ถอยออกห่างจากเจ้ามังกรพ่นพิษอันกาวี(Ungawee, the Venomous Dragon) ซึ่งมีขนาดใหญ่โตและบุกนำเข้ามา ทันทีที่มันพ่นไอพิษออกมาเหล่าทหารต่างต้องกลั้นหายใจกันเป็นพัลวัน เพราะหากสูดเข้าไปก็จะได้รับพิษในทันที แม้จะไม่รุนแรงมากแต่หากได้รับพิษสะสมไปเรื่อยก็จะถึงแก่ชีวิตได้  ทว่าไม่นานนัก ก็มีลมพัดกรรโชกเอาพิษของพวกมันกลับไป
เสียเอง ทว่ามังกรทั้งหมดที่บุกมาในครั้งนี้ล้วนเป็นมังกรพิษอยู่แล้ว พวกมันจึงไม่ได้รับผลกระทบกันเอง

ที่ กลางทัพนั้นมีฐานไม้ยกสูงขึ้นเพื่อให้สามารถมองสภาพ การของสนามรบได้ชัดเจน
 ริคุที่คอยบริกรรมคาถา เรียกลมของตนอยู่บนฐานให้ มาพัดเอา ไอพิษกลับยังคง
บริกรรมคาถาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เจนัสสอดส่องสายตามองดูสถานการณ์การรบ
อย่างถี่ถ้วน ก่อนที่พลทหารของกองกำลังต่อต้านคนหนึ่งจะเดินเข้ามาทำความเคารพเค้าและเริ่มรายงาน

“ ตอนนี้พลธนูทั้งหมดพร้อมเรียบร้อย ส่วนทัพหน้านั้น รองแม่ทัพ ลากูน่าได้ถอยทัพกลับมาหมดแล้วครับ
โปรดออกคำสั่งด้วยท่านรองแม่ทัพ ”
พลทหารรายงาน จบเจนัส ก็ประเมินสถานการณ์ตรงหน้าทั้งหมดก่อนจะ หันไปออกคำสั่งให้แก่พลทหาร



“ ให้พลธนูทั้งหมดเตรียมยิงเล็งที่ ขาของมันทำให้มันล้มลงซะทันทีที่ให้สัญญาณ ”
เจนัสออกคำสั่งจบ พลทหารก็รีบวิ่งกลับไปแจ้งให้ทัพพลธนูเริ่มทำการยิง เจนัสจึงดีดนิ้วขึ้น
พลังมนตราที่ถูกดีดอัดนั้น ส่งผลให้เกิดแสงสว่างเป็นสัญญาณขึ้น พร้อมกับที่พลธนูทั้งหมดโก่งคันธนูออก พริบตาลูกศรทั้งหมดก็พุ่งออกมาเป็นสายจาก
ระเบียงกำแพงเมือง ทว่าลูกศรทั้งหมดพุ่งเข้าปะทะกับเกล็ดของ อันกาวี ก็หักเปาะทั้งหมดด้วยเกล็ดอันแข็งแกร่งของมันทำให้แม้กระทั่งดาบหรือลูกศรก็ไม่อาจ ทำอันตรายมันได้  พวกมันเริ่มเดินหน้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ

ทัพหน้าที่รับมือ จึงต้องถอยร่นอย่างไม่เป็นท่ากว่าเดิม ขณะเดียวกัน จอมทัพแห่งสายลม ชาว์ล
ก็ได้สั่งให้ทัพหน้าถอยลงมาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากลมที่พัดไอพิษเริ่มอ่อนกำลังลง
 ริคุที่บริกรรมคาถาอยู่ได้หยุดการบริกรรมคาถาไปแล้วโดยมีอาการเหนื่อยหอบอยู่เป็นนิจ
จากการใช้พลังเวทย์เป็นเวลาเนิ่นนาน นีน่าเข้ามาประคองริคุให้นั่งลงพักเพื่อฟื้นสภาพ

บนระเบียงกำแพงเมือง กษัตริย์ซิกมันต์ กับองค์หญิงเรจิน่า ทั้งสองพระองค์ประทับเพื่อทอดพระเนตร
การรบเบื้องล่าง โดยมีบิชอปเกรเกอรี่ ฮารีซันผู้นำอาณาจักรฟูดินันซึ่งมีคาร์นและเซนทอร์ทราเฮิร์นอยู่ข้าง และเหล่าคณะประกาศกซึ่งนำโดย
อิสฮานกษัตริย์พระองค์ปัจจุบันของซาโลม รวมไปถึงคณะของคาดนัล มาสซิลิโอ้ ทั้งหมดกำลัง
จับจ้องภาพการรบที่นำทัพโดยพวกเด็กๆ อย่างไม่ละสายตา

“ การคิดการตัดสินใจในการรบนั้นถือว่าสูงล้ำเกินกว่าวัยจริงๆ
โดยเฉพาะครึ่งสมิงหมาป่าสีดำตนนั้น ”
คาร์นเปรยเสียงเรียบขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยูที่เจนัส ซึ่งเริ่มสั่งให้เหล่าทัพหน้าถอยเข้ามาให้ประชิดติดกำแพงเมืองยิ่งขึ้นเพื่อเปิดที่กว้าง

“ ถึงจะนำทัพได้ดีแต่เด็กก็คือเด็ก ข้าไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมท่านคาดินัลถึงได้แต่งตั้งให้พวกเขา
เป็นรองแม่ทัพของกองกำลังง่ายๆอย่างนี้ ”
องค์หญิงเรจิน่าตรัส ทรงว้าหวุ่น พระทัยเป็นยิ่งนักที่ต้องให้เด็กๆเหล่านั้นมานำทัพการรบ
ซึ่งทุกคนในที่นั้นเว้น แต่ฮารีซัน คาร์น และ เกรเกอรี่ ล้วนเห็นด้วยกับองค์หญิงทั้งสิ้น

“ แล้วนี่เจ้าเด็กนั้นจะทำอะไรกันน่ะถึงได้เปิดทางให้ศัตรูซะโล่งขนาดนั้น ”
กษัตริย์ซิกมันต์ ตรัสทว่ายังไม่ทันที่ทุกคนจะได้กล่าวอะไรต่อ พวกทั้งหมดก็ต้องตกตะลึง
ทันทีที่เจนัสกระโดดลงไปจาก ฐานไม้และไปสมทบกับลากูน่าโดยให้ทหารทั้งหมดหลีกทาง
เป็นวงกว้าง  ก่อนที่พวกเขาจะเข้าเผชิญหน้ากับ มังกร อันกาวี ทั้งหมดที่บุกเข้ามาในช่องที่เปิดนี้

“ สองคนนั้นจะทำอะไรน่ะถึงได้ไปอยู่กลางวงศัตรูเยี่ยงนั้น ”
เซนทอร์ทราเฮิร์นอุทานขึ้น ก่อนที่พวกเขาทุกคนรวมไปถึง กลุ่มที่ทำการ รบอยู่ข้างล่างกำแพงเมือง 
จะต้องตกตะลึง เจนัสและลากูน่าได้ใช้จันทราแบบที่สาม จันทรคลาสพิโรท ดวงจันทราสีดำ
ดวงใหญ่ได้ปรากฏขึ้นเหนือสนามรบ ก่อนที่จะเปล่งประกายแสงแวววาว ใส่มังกรอันกาวี และมังกรที่
อยู่ด้านหลัง ทุกตัวที่สัมผัสถูกประกายแสง ก็จะถูกทำเครื่องหมายรูปจันทร์เสี้ยวลอยอยู่เหนือหัว

ก่อนที่แสงใสจะส่องสกาวออกมาจากเครื่องหมายเหล่านั้นและเผาผลาน สื่งที่ถูกทำเครื่องหมายเอาไว้จนมอดไหม้
คาแสงสว่าง  ทัพมังกรปีศาจกว่าครึ่งได้หายไปในพริบตา


“ มิน่าล่ะสัมผัสพลังเวทย์อันสูงล้ำที่รู้สึกได้ แผ่ออกมาจากเด็กพวกนี้นี่เอง ”
อิสฮาน กล่าวขณะที่ทุกคนยังคงได้แต่จ้องมองด้วยความตกตะลึง

“ ตอนนี้เราพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถึงได้แต่งตั้งพวกเขาเป็นรองแม่ทัพ เด็กพวกนี้เป็นใครกัน ”
องค์หญิงเรจิน่าตรัสถามด้วยสงสัย

“ ทูลฝ่าบาท จากที่กระหม่อมทราบมา ครึ่งสมิงเหล่านั้นเคยเป็นอดีต 12 เทพขุนศึกมาก่อน ”
เกรเกอรี่กล่าว

“ ตอนนี้เราไม่ติดใจเรื่องที่ท่านให้พวกครึ่งสมิงเด็กเหล่านั้นเป็นรองแม่ทัพแล้ว แต่ทำไมเด็กที่อยู่กับลูกมังกร
คนนั้นถึงได้รับแต่งตั้งกับเขาด้วยล่ะ ”
องค์หญิงตรัส ถามหลังจากที่อดพระเนตรไปยัง Lr ที่ยืนอยู่ข้างพวกนีน่า โดยมีเหล่าลูกมังกร
บินล้อมรอบ

“ ทูลฝ่าบาท เด็กคนนั้นคือร่างอวตารของอัศวินมังกรเทพ ทาลิวิลย่าที่มาเกิดในยุคนี้อีกครั้ง
แต่กระหม่อมเองก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเขาจึงยังไม่สำแดงพลังโปรดรออีกซักระยะ ”
เกรเกอรี่กล่าว  ขณะนั้นเองก็มีเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วฟ้า ทันทีที่พวกเขาแหงนหน้ามองขึ้นไป

มังกรรับใช้บาปเมื่อครั้งมหาสงครามทูตสวรรค์  มังกรแห่งความกลัว แคมลอส (Camlost, the Dragon of Fear)  และมังกรหมอกราตรี เดลดูวาทอส (Delduwathos, the Night Mist Dragon) จำนวนหลายร้อยตัวกำลังบินทะยานลงสู่สนามรบ พวกมันมีความเร็วสูงมากเสียจนเหล่าทหารที่อยู่เบื้องล่าง ไม่อาจ รับ
มือกับพวกมันได้ ต่างถูกพวกมนตะปบและฟาดจนกระเด็นกระดอนไปทั่ว มังกรหมอกเดลดูวาทอส





จะคอยสร้างหมอก ด้วยไอหมอกที่มันหายใจออกมา ปกคลุมไปทั่วทั้งสนามรบ ทำให้บรรยากาศรอบๆเต็มไปด้วยหมอก จนเหล่าทหารไม่อาจเคลื่อนไหวไปไหนได้ ด้วยหมอกที่หนาทึบเสียจนมองไม่เห็นรอบๆ
โดยที่มีเสียงของเหล่าทหารที่อยู่บริเวณรอบๆกันนั้นดังระงมไปทั่ว ทหารหลายนายถูกพวกมันโฉบ
ออกจาก กลุ่มมาคนแล้วคนเล่าโดยที่พวกเขาไม่อาจตอบโต้ได้ จนเมื่อหมอกเคลื่อนตัวสูงขึ้นถึงกำแพง
เมือง พวกแคมลอสและเดลดูวาทอสก็ ไล่ต้อนพลธนูที่ประจำการอยู่ ลงมาทึ้งทีละคนๆ จนโกลาหล

ไปทั่วครั้นเมื่อหมอกเคลื่อนตัวมายัง เหล่าผู้นำที่เฝ้าจับตาดูการรบอยู่ พวกเขาก็ไม่รีรอที่จะให้มันมา
โฉบไปง่ายๆต่างใช้วิชาและความสามารถ เข้าต่อกรกับพวกมัน อย่างสุดความสามารถ

ที่ข้างล่างเจนัสและลากูน่าต้องรับมือกับพวกมันอย่างยากลำบากเพราะไม่อาจมองเห็น
ตัวศัตรูได้ เสียงปืนของนีน่าที่ดังเป็นระยะ ทำให้ทั้งสองเริ่มเป็นห่วงจึงอาศัยเสียงของปืน
นำทางมาจนถึงเชิงฐานไม้ที่พวกเขาอยู่ตอนแรก รอบเชิงฐานถูกพวกมันล้อมไว้ทั้งหมดแล้ว
เพราะริคุยังคงเหนื่อยจากการ ใช้พลังเวทย์อยู่จึงไม่อาจปกป้องตัวเองได้ แม่ทัพใหญ่ของกองกำลังต่อต้านที่
อยู่ด้วยกันกับพวกเขาก็ยังคงตะโกนสั่งให้ทหารทั้งหมดถอยลงไปอยู่โดยใช้คบไฟ
เป็นสัญญาณว่าประตูเมืองอยู่ที่ใด เพื่อให้ทหารทั้งหมดที่อยู่รอบนอก
ใช้เป็นเครื่องนำทาง

พวกลูกมังกรเองก็สู้อย่างเต็มที่แต่ทว่าพวกมันเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว เสียจนการโจมตีของพวกเขา
ไม่อาจถูกตัวพวกมันได้

“ ชิเพราะหมอกพวกนี้แท้ๆ…. ”
ลากูน่าสบถ ขณะที่ซัดกำปั้นใส่เดลดูวาทอสตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามาจนมันล้มลงก่อนจะเหยียบ
ซ้ำอีกครั้งให้มันสลบลงไป

“ ลอว์เรนซ์แปลงเป็นทาเวนทอสแล้วใช้ลมพัดหมอกพวกนี้ออกไปทีได้มั้ย ”
   เจนัสหันไปถามซึ่ง Lr ก็รับคำก่อนที่จะยกแขนข้างที่คาดดราก้อนฮอลลี่เอาไว้
ขึ้นมาและตั้งสมาธิ วิลที่รู้ตัวว่าจะต้องรวมร่างจึงบินมาอยู่ใกล้ๆกับเขา แสงสีเขียวส่อง
สว่างวาบออกมาจาก หน้าจอของดราก้อนฮอลลี่ ซึ่งมันส่องอยู่นานกว่าทุกครั้งแต่ก็ไม่มีทีท่าว่า
เขาจะแปลงร่างได้เลย จนเมื่อนานเข้า Lr ก็หมดแรงที่จะตั้งสมาธิ

เสียแล้ว พวกมังกรต่างบุกเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆพลทหารที่อยู่รอบๆเริ่มจะมารวมกันที่ประตู
เมืองมากขึ้นๆ ทว่าประตูเมืองก็ไม่อาจเปิดออกได้เพราะ ทหารที่คุมกลไก
อยู่ด้านในต่างถูกพวกมัน ฆ่าทิ้งจนหมดแล้ว ภายในกำแพงเมืองก็ต้องรับมือกับพวกมันอย่างยากลำบากเช่นกัน

ทั้งทัพเปกาซัสและทัพอัศวินมังกร รวมไปถึงทัพสรรพสัตว์ ก็ไม่อาจต่อกรกับกองทัพมังกรรับใช้บาป
ที่อาศัยหมอกในการลอบโจมตีเช่นนี้ได้ เพราะที่แล้วมาไม่เคยมี การรบแบบใดที่ใช้มังกรทรง
พลังอำนาจเช่นนี้ มาเป็นกองทัพ ได้ ทำให้พวกเขาต้องเสียเปรียบเป็นอันมาก

ที่นอกกำแพงเมือง พวกเจนัสยังคงต้องรับมือกับพวกมันจนไม่อาจขยับไปไหนได้
พวกเขาถูกล้อมเอาไว้หมดแล้ว

“ ทำงานสิ..ทำงานเร็วเข้า…ขอร้องล่ะทำงานที ”
Lr กล่าวอย่างเสียขวัญขณะที่เขย่า เครื่องดราก้อนฮอลลี่ ไปมา เพราะไม่ว่าเขาจะเปลี่ยน
ตัวเลือกในการแปลร่างเป็น ทาลิวิลย่าตนอื่นๆแล้วก็ตามสุดท้าย ก็จะมีเพียงแค่แสงประจำธาตุ
ส่องแวบวาบออกมาเท่านั้น

“ แปลงร่างไม่ได้..นี่เราสูญเสียพลังไปแล้วหรือ ”
Lr กล่าวอย่างสิ้นหวังก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง ด้วยความอาวร
ตอนนี้แม้แต่เจนัสกับลากูนาก็ต้องถอยขึ้นมา บนฐานด้วยเช่นกัน
พวกเขาได้แต่คอยปัดสอย ให้พวกมันร่วงลงไปเพียงเท่านั้น
ในขณะที่นีน่า ต้องคอยยิงขับไล่พวกมันที่ไล่หลังกองทหารที่ถอยมา



“ ชั้นจะลองฝืนใช้พลังดูอีกครั้งอย่างน้อยก็ต้องเรียกลมมาพัดมันออกไป ”
ริคุกล่าวขณะที่พยายามทรงตัวขึ้น มาอย่างยากลำบาก ทว่าเขาก็
ล้มลงด้วยความอิดโรยจนเจนัสต้องเข้ามาประคองไว้
ในขณะนั้น ก็มีเดลดูวาทอสตัวนึง กระชากร่างของนีน่า หายเข้าไปในกลุ่มหมอก


“ นีน่า… ”
เจนัสกล่าวเสียงก้องก่อนจะที่จะวางตัวริคุให้นั่งลงแล้วกระโดดตามลงไปช่วย
ในขณะที่ลากูน่าเองก็เริ่มจะทานกำลังพวกมันไม่อยู่
แล้ว พวกมันขึ้นมาบนเชิงฐานได้สำเร็จ

เสียงตุบตับดังขึ้นมาจากด้านล่าง ของฐาน ซึ่งคงจะเป็นเสียงการปะทะของ
เจนัสที่ลงไปช่วยนีน่า  ขณะที่พวกมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผลัน ดราก้อนฮอลลี่
ก็ส่องแสงวาบออกมา ลมซึ่งพัดลงมาจากด้านบนพัดเอาม่านหมอกรอบตัวพวกเขาออกไป
พร้อมกับการปรากฏ ของมังกรจักรกลเทียม ไซเบอร์ลิก้า ที่บินต่ำลง
ก่อนที่มันจะยิงแสงลงมาใส่ดราก้อนฮอลลี่ และแสงเหล่านั้นก็สะท้อนกลับออกจากดราก้อนฮอลลี่
เข้าอาบร่างของลูกมังกร และกลายร่างเป็นเหล่ามังกรกริฟ ก่อนที่ไซเบอร์ลิก้า จะทะยานกลับขึ้นฟ้าไป

“ เดี๋ยวพวกเราจัดการเอง ”
มังกรกริฟทั้งหกกล่าวก่อนที่จะทะยานขึ้นไป ลอสทอสมังกรกริฟแห่งสายลม
และ โอโลฟาเชี่ยน มังกรกริฟแห่งพายุหิมะ ทั้งสองได้ กระพือปีกอันกว้างใหญ่จนเกิดแรงลม
พัดหอบเอาม่านหมอกหายไปจนสิ้น ร่างของพวกมังกร ที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกก็ปรากฏชัดแก่สายตา
ของทุกคน รวมไปถึงร่างของเหล่ามังกรกริฟทั้งหก พวกมังกรบาปทั้งหมดเปลี่ยนความสนใจมาที่

มังกรกริฟทั้งหกทันที ทว่าพวกมันก็ถูกเปลวเพลิงอันร้อนระอุ ของแมนเซเร็ก และแสงแดดแผดเผาของอิมซาน
เล่นงานจนพ่ายไป คลื่นเสียงของ บารานนิทิล มังกรกริฟแห่งดิน ได้ตรึงร่างของพวกมันเอาไว้
ก่อนที่ลมหายใจกรดของ ดอนฟอลม่า มังกรกริฟผู้มีปีกแห่งความตาย จะละลายผืนดินที่พวกมันยืน
จนอ่อนยวบยาบ ในที่สุดเมื่อพื้นไม่อาจรับน้ำหนักของพวกมันได้  พื้นดินก็ทรุดตัวลง

และสูบพวกมันลงปฐพีไป  ทันทีที่พวกของมันถูกกำจัดไปเป็นจำนวนมากพวกที่เหลือก็ถอยหนี
ไปทันที
……
……..
…………..

สองวันต่อมา

ณ ค่ายพักของกองกำลังต่อต้านซึ่งตั้งอยู่ ใกล้กับทะเลสาบของเมืองเอรีม Lr และพวกของเขา
ได้ประชุมหารือกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในการบวันนั้น

“ อาจจะเป็นเพราะนายยังมีความรู้สึกต่อต้านกับมันอยู่ก็ได้ทำให้นายใช้มันไม่ได้ ”
ริคุกล่าวหลังจากที่พิจารณาตัวของดราก้อนฮอลลี่ อย่า
ถี่ถ้วนซึ่งก็ไม่ได้มีร่องลอยความเสียหายแต่อย่างใด

“ หรือว่าจะเป็นปัญหาด้านพลังงานของตัวเครื่อง ”
นีน่าออกความคิดเห็นบ้าง แต่ริคุก็ส่ายหัว

“ ไม่ใช่หรอกเพราะเสียงของพวกมังกรก็ยังถูกแปรได้เหมือนปกติ
 และวันนั้นยังเปลี่ยนร่างพวกลูกมังกรเป็นมังกรกริฟ ได้อีกไม่เกี่ยวกับพลังงานแน่นอน ”
ริคุอธิบาย

“ หรือเพราะว่าตอนที่สู้กับอิเดีย ร่างของทาลูคูสกับตัวอื่นๆได้รับความเสียหายหนักเลย
ทำให้แปลงร่างไม่ได้ล่ะ ”
เจนัสออกความเห็น

“ ที่จริงตอนแรกชั้นก็คิดยังงั้นแต่จากที่ฟังพวกลูกมังกรเล่ามา ร่างอื่นๆนอกจากทาลูคูส ทาเวนทอส
ทาไนซ ที่บาดเจ็บก็ยังมี ทาลิคนัส กับ ทาลิควาสที่ไม่ได้เสียหายอะไรมาก ให้เปลี่ยนอีกแต่นี่กลับเปลี่ยนไม่ได้
แม้แต่ร่างเดียว ”
ริคุตอบ

“ ซึ่งจากการประเมินโดยรวมแล้ว เขายังไม่สูญเสียพลังไปอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่อาจเป็นเพราะ
จิตใจบางส่วนอาจยังต่อต้านการใช้ดราก้อนฮอลลี่ สาเหตุก็คงมาจากมุรามาซะโซล…สินะ ”
ริคุกล่าวก่อนจะหันไปหา Lr ซึ่งเขาเองก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น เพราะทันทีที่จะแปลงร่าง
ความกลัวที่จะกลายเป็นมุรามาซะอีกก็ วาบขึ้นมาจนเขาไม่อาจจะใช้มันได้

“ ไม่เป็นไรหรอกมั้งก็ลอว์เรนซ์น่ะยังสามารถแปลงร่างให้พวกลูกมังกรได้นี่ ถึงไม่ต้องมี
ร่างของพวกอัศวินมังกรก็ยังช่วยสู้ได้นี่เนอะ ”
ลากูน่ากล่าว

“ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิ…แต่ว่าลองคิดดูนะ ว่าในขณะที่ลูกมังกรทั้งหมดเปลี่ยนร่าง
แล้ว แต่ตัวเขากลับทำได้แค่ยืนดู ก็ย่อมจะตกเป็นเป้าหมายได้ง่ายๆ อีกทั้งถ้าให้เทียบกันแล้วพลังของอัศวินมังกรยังมีมากกว่าพวกมังกรกริฟเสียอีก ขืนเป็นอย่างนี้คงให้เขามาร่วมสู้ด้วยไม่ได้หรอก ”
ริคุอธิบาย ซึ่งคำพูดของเขาทำให้ Lr เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี  เขาเดินแยกออกไปจากกลุ่ม
โดยไม่ให้ทุกคนรู้ เขาเดินไปโดยแบกรับ เรื่องที่เขาไม่มีพลังพอที่จะร่วมสู้กับทุกคนได้อีกเอาไว้ในใจ

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #254 on: August 10, 2008, 07:33:05 PM »

ขณะที่เดินผ่านค่ายพักของพวกทหาร เขาก็ได้ยินกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งที่ จับกลุ่มคุยกันอยู่พูดขึ้นว่า

“ นี่พวกเรา รองแม่ทัพใหม่ที่หน่วยของข้าเป็นครึ่งสมิงเด็กที่เก่งสุดๆไปเลยล่ะ เห็นรึเปล่าตอนที่
จับคู่กับรองแม่ทัพลากูน่าน่ะ แค่พริบตาเดียว มังกรยักษ์นั่นร่วงไปหลายสิบเลย  ”

“ นั่นยังไม่เท่าไหร่ รองแม่ทัพนีน่าของหน่วยข้าสิ แม่นปืนสุดๆไปเลย แถมยังใช้อาวุธได้คล่องแคล่วจริงๆ ”

“ รองแม่ทัพริคุก็ สุดยอดเหมือนกันนา เกิดมาข้าไม่เคยเห็นใครเร็วขนาดนั้นมาก่อนเลย แถมยังมี
ความสามารถด้านเวทย์มนต์อีก ”

“ รองแม่ทัพของพวกแกน่ะยังดีแต่รองแม่ทัพหน่วยข้าน่ะสิ ดูยังไงก็แค่เด็กธรรมดาเองมีดีหน่อยก็เห็นแค่
เลี้ยงลูกมังกรไว้หกตัวแล้วก็สื่อสารกับพวกมังกรได้เท่านั้นเอง ”

“ จะว่าไปนะตอนที่รบกันข้าก็ไม่เห็นเขาจะทำอะไรเลย นี่ถ้าไม่ได้มังกรลึกลับหกตัวนั่นมาช่วยไว้ล่ะก็
ป่านนี้คงแพ้ไปแล้ว ”

“ ข้าชักสงสัยแล้วสิว่าเด็กนั่นมาเป็นรองแม่ทัพกับเขาได้ยังไง ”
คำพูดติฉิน นินทาที่ดังมาเข้าหูของเขานั้นยิ่งซ้ำเติมความรู้สึกในตอนนี้ลงไปอีก

ครู่ต่อมา พวกเจนัสออกตามหาตัวเขาจนไปพบเข้าที่ เพิงพักพิงในค่าย

“ นี่เราเล่าเรื่องที่เมทาไนท์คือกาเร็ทพี่ชายของเขาให้ฟังรึยัง ”
นีน่ากระซิบกับเจนัส ขณะที่เดินไปยังเพิงแห่งนั้น

“ กาเร็ทบอกเอาไว้ก่อนที่จะพาพวกมังกรที่ช่วยออกมาไปหาที่หลบภัย ว่าอย่าพึ่งบอกอะไรกับเขาน่ะสิ ”
เจนัสกล่าว

“ แล้วกาเทียลูกพี่ของเธอ ล่ะเขาไปไหนตอนรบก็ไม่เห็นอยู่ด้วยเลยนี่ ”
ริคุถามขึ้นมาบ้าง

“ คือพี่เขาอาสาไป นำทางพวกกองกำลังเสริมจากทั่วทุกทวีปที่เดินทางมาน่ะเพราะ
กำแพงน้ำแข็งที่ปิดกั้นเอาไว้โดนทำลายลงแล้ว พวกเขาก็เลยจะมาถึงในอีกสองสามวันนี้หล่ะ ”
นีน่ากล่าว พวกเขาได้มาถึงเพิงที่ Lr นังพักอยู่

“ นายหายไปไหนมาน่ะพวกเราาหากันซะทั่วเลย ”
ลากูน่ากล่าว ทว่า Lr กลับไม่ตอบเอาแต่ซึมกะทือ
จนพวกเขาเริ่มเป็นห่วง

“ ลอว์เรนซ์เธอเป็นอะไรรึเปล่าไม่สบายตรงไหนมั้ย ”
นีน่ากล่าวขณะที่เข้าไปดูอาการด้วยความเป็นห่วง

“ นี่ถ้าไม่มีชั้นอยู่ด้วยพวกเธอจะสู้ได้สบายขึ้นรึเปล่า ”
คำพูดของ Lr  ทำให้พวกเขาต้องนิ่งอึ้งไป

“ ท…ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะถ้าไม่มีเธอแล้วพวกเราจะสู้สบายขึ้นได้ยังไงกัน ”
นีน่ากล่าวตะกุกตะกัก แต่แล้วเขาก็ ปัดมือของนีน่า ออก และลุกขึ้นพรวดในทันที

“ อย่ากลบเกลื่อนกันอีกเลย..ที่จริงก็คิดใช่มั้ยล่ะ ”
Lr ตะหวาด  นีน่าที่ถูกปัดล้มลงนั้น ลากูน่าได้เข้าไปพยุงตัวเธอขึ้นก่อนจะหนไปพูดกับเขา

“ ทำไมต้องทำยังงี้ด้วยพี่นีน่าไม่เคยบอกเลยนะว่านายเป็นตัวถ่วงน่ะ ”
ลากูน่ากล่าวทว่าคำพูดของเขานั้นก็ชวนให้ Lr เข้าใจผิดในทันที

“ งั้นสินะเพราะชั้นแปลงร่างไม่ได้อีกแล้วก็เลยจะเฉดหัวชั้นออกงั้นสิ ”
Lr กล่าวประชดประชัน ก่อนจะเดินแยกออกไป


“ เดี๋ยวนั่นนายจะไปไหนน่ะ ”
เจนัสเรียกเขาไว้

“ ถ้าชั้นอยู่ไปก็คงจะป็นตัวถ่วงพวกนาย ”
 Lr กล่าวอย่างหัวเสีย

“ แล้วที่พวกเราพยายามกันมานี่ล่ะเพื่ออะไรนายจะบอกว่าที่พวกเราเสี่ยงเข้าไปช่วยนายมันไร้ค่ารึไง ”
เจนัสถามโดยหวังว่าเขาอาจจะให้การตอบกลับที่ดีกว่านี้ ทว่า

“ ชั้นไม่ได้ขอให้พวกนายมาช่วยซะหน่อย อยากทำอะไรก็เชิญชั้นมันเป็นตัวถ่วงอยู่แล้วนี่…อุบ ”
Lr ตะคอกใส่ ก่อนที่เขาจะถูก เจนัสซัดจนหน้าหัน

“ นายจะว่าจะประชดยังไงก็เชิญแต่คนที่ทิ้งขว้างน้ำใจของเพื่อน และไม่เห็นค่าของมัน
นี่ล่ะที่ชั้นทนไม่ได้ ”
เจนัสกล่าวอย่างหัวเสีย

“ ก็แล้วมันยังไงล่ะ…สุดท้ายมันจะมีอะไรดีขึ้นอีกล่ะ ”
Lr กล่าวขณะที่ซัดเจนัสกลับไปอย่างเต็มแรง

“ นี่นายจะหาเรื่องใช่ไหม… ”
เจนัสกล่าวขณะที่ซัดกลับไปอีกครั้ง

“ ก็เอาสิ… ”
Lr กล่าว จบทั้งคู่ก็เข้าไปซัดกันนัวเนีย ล้มกลิ้งไป

“ ชั้นทนมานานแล้วกับไอ้นิสัยประชดประชันของนาย ”
เจนัสตะคอกขณะที่ซัดหน้าของ Lr อย่างเต็มแรง ก่อนที่เขาจะถูกดึงให้ล้มลง
และถูก กำปั้นของ Lr อัดเข้าอย่างจัง

“ ชั้นมันคนธรรมดา ไม่เหมือนพวกนายนี่ ”
Lr กล่าวก่อนจะซัดเจนัสไปอีกทีแต่เขาก็ถูกถีบให้ล้มลงเช่นกัน

“ ถ้าจะพาลก็ให้มันมีขอบเขตบ้างสิ ”
เจนัสกล่าว ทว่าเขาก็ถูก Lr ดึงให้กลับลงมาอีกครั้ง

“ ทุกคนเอาแต่พูดถึงพวกนายลืมชั้นราวกับไม่มีตัวตน...ชั้นทนมาพอแล้ว ”
Lr กล่าวก่อนจะซัด เจนัสเข้าไปอีกที เจนัสเริ่มมีน้ำโหบ้างแล้ว เขาซัดเข้าที่ท้องของ Lr
อย่างเต็มแรง จนทำเอาเขาจุกสำลัก ก่อนจะซัดเขาให้ลงไปจากตัว

“ ชั้นชักจะหมดความอดทนกับนายแล้วนะ ”
เจนัส กล่าวก่อนจะเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อของ Lr ขึ้นมาและง้างหมัดเพื่อจะชก
ทว่า Lr ก็เกร็งหมัดแน่นเช่นกันก่อนจะง้างขึ้นชกใส่

“ น…นี่พอเถอะทั้งสองคน ”
นีน่ากล่าวเพื่อที่จะให้ทั้งคู่หยุด ทว่าพวกเขาทั้งสองก็ยังคงวิวาทกันต่อโดยไม่สนใจ
ฟังคำของนีน่า ด้วยความเดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้าเสียทั้งคู่

“ พอได้แล้ว ”
เสียงตะหวาดดังขึ้นก่อนที่ ทั้งสองคนจะถูกผลักออกจากกัน จนล้มลง
ไปคนละทาง ริคุที่เป็นคนเข้ามาห้ามเอาไว้นั่นเอง

“ พวกเราไม่ควรจะมาแตกคอกันเองนะ ”
ริคุกล่าว

“ ก็เจ้านี่มันหาเรื่องก่อนนี่ ”
“ พอได้แล้วเจนัส ”
เจนัสกล่าวได้ไม่ทันจบริคุก็ตะคอกแทรกขึ้นมา จนเขาต้องหยุดลง

“ ชั้นเข้าใจนะเจนัสว่านายรู้สึกยังไงแต่ช่วยสงบสติอารมณ์ลงหน่อยเถอะ ”
ริคุกล่าวก่อนจะหันไปกล่าวกับ Lr ต่อ

“ แล้วก็ ลอว์เรนซ์ชั้นมีเรื่องจะพูดด้วยอีกช่วยตามมาที ”
ริคุกล่าว
.........
....................
..........................

ณ เกาะโขดหินเล็กๆที่ตั้งอยู่ชายทะเลซึ่งไหลติดต่อกับทะเลสาบนีรันด้า

เรโค่ ยังคงนั่งภาวนาอยู่ต่อหน้าเซโร่ที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ โดยที่น้ำแข็งไม่มีท่าจะละลายเลยแม้แต่น้อย
กลับขยายตัวและหยั่งรากลงกับพื้นจนเป็นน้ำแข็งไปทั่วอาณาบริเวณ จนสภาพอากาศรอบเกาะอุณหภูมิลดต่ำลง
เสียจนเป็นน้ำแข็งไปทั้งเกาะ แม้ความหนาวเย็นจะทำให้แขนขาของนางชาเสียจนแทบไม่รู้สึกอะไรแล้ว
แต่นางก็ยังคงนั่งภาวนาต่อไปด้วยความหวังที่ว่าเด็กหนุ่มจะฟื้นขึ้นมา กาลเวลาผ่านไปนานมากแล้ว
นางนั่งภาวนา มา 4 วันเต็มๆแต่ก็ยังคงไม่เกิดอะไรขึ้น

ก้อนน้ำแข็งมีแต่จะขยายขึ้นเท่านั้นนางนั่งภาวนาตัวสั่นเทาด้วยความหนาว แต่ก็ไม่ปริปากบ่นแต่อย่างใด
จนเมื่อมีลมอ่อนๆพัดโชยเข้ามากระทบกับใบหน้า นางจึงลืมตาขึ้น ก่อนทีภาพความทรงจำจะผุดขึ้น
มาในใจนาง มันเป็นภาพที่เด็กสามคนเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหิมะ นางลุกขึ้นเดินเข้าไปเอาแก้มแนบกับก้อนน้ำแข็ง  ไอเย็นที่ระเหยออกมาจากการที่สัมผัสถูกร่างของนาง โชยลอยออกมาก่อน
แม้จะเย็นแสบเสียจนอยากจะถอยห่างแต่นางกลับไม่ทำยังคงแนบนิ่งอยู่

“ นี่เซโร่......เธอได้ยินฉันมั้ย...นี่ก็ผ่านมาตั้ง 15 ปีแล้วสินะนับตั้งแต่วันนั้น ”
นางเปรยเสียงสั่นจากความหนาวเหน็บ

“ จำได้มั้ย เพื่อนของเราอิจิกิ (Ichigi) น่ะตอนนั้นพวกเราเล่นด้วยกันสนุกมากเลยนะถ้าเป็นตอนนั้นพวกเราก็น่าจะอายุ 14- 15อยู่ล่ะถึงตอนนี้จะผ่านมา 10 ปีแล้วก็ตามแต่ร่างกายของพวกเราก็ไม่ได้เติบโตขึ้นเลย.....  ”
นางเปรยก่อนที่จะหลับตาลงนึกย้อนรำลึกความทรงจำเมื่อครั้งอดีต


10 ปีก่อน

ณ ทุ่งหิมะสีขาวโพลนบนเกาะร้างเล็กใกล้กับเมืองท่าแอนดิซอง เรโค่ซึ่งเดิน
ไปบนพื้นหิมะ ลมเย็นจัดซึ่งพัดโชยมา ทำให้ผมยาวสลวยของนางปลิวสะบัดพลิ้ว
ลู่ไปกับลม นางเดินไปอย่างไม่มีจุดหมาย อยู่ก็มีเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานดังแว่วมากับลม
นั่นทำให้นางรู้สึกสนใจ ไม่น้อยนางจึงตามเสียงนั้นไป ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่เสียงหัวเราะนั้นก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ

นางเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นๆ แม้ว่าตัวนางจะหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ก็ยังวิ่งโดยไม่ลดฝีเท้า
จนเมื่อนางได้วิ่งขึ้นเนินไปและหยุดมองลงไปยังเบื้องหน้า เด็กชายสองคนซึ่งมีอายุพอๆกับนาง
ทั้งสองกำลังวิ่งเล่นไล่จับกันอย่างสนุกสนาน

ภาพที่ทั้งสองเล่นสนุกและยิ้มแย้มอย่างมีความสุขนั้นทำให้นางอดที่จะ อยากเข้าไปร่วมด้วยเสียไม่ได้
ทว่านางก็ชงักเท้าไว้ ทันทีที่ระลึกได้ว่านางไม่ใช่มนุษย์ ปีกสีดำสนิทที่อยู่บนหลังของนาง
อาจทำให้เด็กสองคนนั้นกลัวและหนีไปนางไม่อยากทำลายช่วงเวลา
แห่งความสุขของทั้งคู่ จึงตัดใจ นั่งดูทั้งสองเล่นกันแทนดดยพยายามไม่ให้เด็กชายรู้ตัว
ทว่าเรื่องก็เกิดขึ้นจนได้เมื่อเด็กชายคนนึงซึ่งอายุมากกว่า เกิดมีไฟลุกท่วมหลังขึ้นมาในบัลดล
นางคิดที่จะเข้าไปช่วยด้วยพลังของนาง ทว่านางก็ต้องชะงักไปเมื่อไฟนั้นกลับ แปรรูปเป็นปีกเพลิงลุกโหมและ
ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะควบคุมมันอยู่

“ ว้าว ทำได้แล้วเหรออิจิกิ วิชาปักษาเทวะ ที่คุณปู่สอนให้น่ะ ”
เด็กอีกคนถามเขามีผมสีน้ำเงินสวมเสื้อยืดแขนยาวสีฟ้าแบบเด็กธรรมดาทั่วไป ที่หัวคาดแว่นกันลม
เอาไว้ ทันทีที่เด็กชายอีกคนมีผมสีน้ำตาลสวมเสื้อเชิตสีแดง ชายออกนอกกางเกง ซึ่งมีปีกเพลิงลุกโชนถูกถาม เขาก็ยิ้มด้วยความภูมิใจ ก่อนจะหันมาทางนาง

“ นี่มาเล่นด้วยกันสิ ”
เด็กชายตะโกนเรียกนาง ซึ่งนั้นทำให้นางประหลาดใจมากที่พวกเขารู้ว่านางอยู่ตรงนั้น
เด็กชายอีกคน ทันทีที่เห็นนาง เขาก็รีบวิ่งเขามาหาอย่างรวดเร็วเสียจนนาง ไม่ทันตั้งตัว

“ น่ารักจังเลยเธอชื่ออะไรเหรอ ”
เด็กชายถามทว่าด้วยความตกใจทำให้นางเผลอ ใช้พลังของตนออกไปโดยไม่รู้ตัว เส้นลวดอัน
คมกริบสามเส้น สร้างตัวขึ้นมาในอากาศก่อนจะพุ่งเข้าหาเด็กชายอย่างรวดเร็ว

“ หนีไปเร็ว… ”
นางรีบตะโกนให้เด็กชายหนีไป ทว่าเส้นลวดก็ได้พุ่งเข้าใกล้เด็กคนนั้นแล้ว

“ จงประทับยังนภาเหมันต์…. ”
สิ้นเสียง เส้นลวดอันคมกริบก็แข็งตัวเป็นผลึกน้ำแข็งก่อนจะแตกสลายไป
ร่างกานของเด็กชายมีถูกปกคลุมด้วย น้ำแข็งซึ่งเว้าเป็นรูป เกาะติดตั้งแต่
ไหล่ไล่ขึ้นไปยังหัว ซึ่งน้ำแข็งที่อยู่บนหัวนั้น มีแปลงรูปคล้ายกับหัวนกที่เหนือหัวของเขา
มีผลึกหิมะ แปดแฉกลอยตัวอยู่ซึ่งตอนนี้มันได้สลายแฉกของมันออกไปด้วยกันสามแฉกแล้ว

และแผ่นน้ำแข็งยังไล่บนหลัง เป็นปีกน้ำแข็งและหางน้ำแข็งหกแฉก ที่สะบัดไปมา
ราวกับขนหางของนกจริงๆ ที่แขน ผลึกน้ำแข็ง ก็เว้าตัวเข้า จับตัวที่แขนเป็นแนวตามยาว
และยื่นออกที่ ข้อมือราวกับกรงเล็บ ที่ขาของเขาเองก็เช่นกัน น้ำแข็งเว้าตัวเข้า
จับกันเป็นเกราะกรงเล็บทั้งสองข้าง พร้อมกับปล่อยควันสีขาว ออกมาตลอดเวลา
จนร่างของพวกเขาทั้งสองแทบจะ ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีขาว บัดนี้ร่างของเด็กชาย

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #255 on: August 10, 2008, 07:33:26 PM »

ราวกับสวมชุดเกราะที่ทำด้วยผลึกน้ำแข็งเป็นรูปร่างของนก
ความคิดที่ว่านางแปลกจากพวกเขาในตอนแรกหายไปจนสิ้น เด็กทั้งสองดูจะแปลกกว่านางเสียด้วย
ซ้ำ นางซึ่งเอนตัวถอยเพื่อที่จะดึงให้เส้นลวดห่างออกจากตัวของเด็กชาย อย่างกะทันหันทำให้นางเสียหลัก
และล้มหงายลง แต่เด็กชายก็คว้าตัวนางไว้ได้ทันก่อนจะ จูงขึ้นมายืน เด็กอีกคน
ใช้ปีกเพลิงบินเข้ามาหาทั้งคู่ก่อนจะโรยตัวลงมาหาพวกเขาพร้อมกับที่ปีกเพลิงสลายไป

“ ขี้โกงนี่เซโร่ นายใช้ได้เต็มขั้นแล้วนี่นาชั้นยังได้แค่ปีกเอง ”
เด็กชายซึ่งมีปีกเพลิงกล่าวด้วยความน้อยใจ ผลึกหิมะแปดแฉก ที่เคยเหลือแฉกอยู่ห้าจากแปดได้สลายแฉกของมันทั้งหมดลงก่อนที่ปีกและเกราะน้ำแข็งจะสลายตัวไปเขาหันไปพูดกับเพื่อนของตน

“ ยังไม่เต็มขั้นเลยตะหาก ถึงจะได้แต่ก็แค่ แปปเดียวเอง พอแฉกบนผลึกหิมะแตกหมดก็
หลุดหมดแล้วล่ะ ”
เขากล่าว ก่อนจะหันกลับไปหานางอีกครั้ง

“ จริงสิเรายังไม่รู้จักกันเลยนี่เมื้อกี้โทษทีนะ ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตกใจหรอก ”
เด็กชายซึ่งมีปีกน้ำแข็ง กล่าวขออภัย

“ ม...ไม่เป็นไร ”
นางตอบตะกุกตะกักด้วยความ ตื่นเต้นตกใจที่ยังไม่คลาย

“ จริงด้วยชั้นยังไม่ได้แนะนำตัวเลยแต่ดันถามชื่อเธอก่อนซะแล้วชั้น เซโร่ ส่วนนี่ก็ อิจิกิ เพื่อนชั้นเอง พวกเราสองคนอาจแปลกๆไปบ้างแต่ไม่ต้องกลัวไปนะ เราไม่ทำร้ายใครหรอก ”
เด็กชายกล่าวแนะนำตัวเองและเพื่อน แม้จะยัง งงๆอยู่บ้างแต่นางก็ดีใจที่มีคนมาตีสนิทด้วย

“ ชั้นชื่อ เรโค่ เรามาเป็นเพื่อนกันนะ ”
นางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม ทว่า อิจิกิ ก็เดินอ้อมไปที่หลังของนาง พร้อมกับเอามือ
ลูบไปบนปีกสีดำของนาง

“ อืม…นุ่มแหะ ”
อิจิกิ กล่าวก่อนจะลองเอาหัวหนุน ลงไปบนปีกของนาง ซึ่งทำให้นางรู้สึก
จั้กจี้

“ หอมด้วยอีกตะหาก ”
เซโร่กล่าวขณะที่ ดมปีกของนางอย่างแนบชิดติดจมูก การกระทำของทั้งคู่ทำให้นาง
รู้สึก เก้ๆกังๆ อย่างบอกไม่ถูก

“ นี่เธออายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ”
อิจิกิถาม ทันทีที่ถูกถามนางก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจว่าจะบอกไปดีหรือไม่
เพราะจนบัดนี้มาแล้วตั้งแต่อายุครบ 10 ปีมานางก็ไม่เคยโตขึ้นเลยแม้ว่าจะผ่านมา 4 ปีแล้ว
ก็ตาม

“ อ..เอ่อ ส…สิบห้าปีแล้วจ้ะ… ”
นางตอบตะกุกตะกักด้วยความ เขินอาย ทว่าทั้งคู่ก็ทำตาโตใส่ ก่อนจะรีบปล่อยมือ
ออกจากปีกของนาง และไปไขว้ไว้ข้างหลัง หน้าแดงเสียจนสังเกตได้

“ ตกใจใช่มั้ยแต่ว่า สี่ปีมาเนี่ยฉันไม่โตขึ้นเลยสักนิดเดียวยังคงเป็นยัยเปี้ยกอยู่วันยังค่ำเนี่ยแหละ ”
นางตอบเสียงใส

“ ป….เปล่าหรอกแค่ว่าเหมือนกันเลยกับพวกเราน่ะ ”
อิจิกิ กล่าวทั้งที่ใบหน้ายังคงแดงก่ำ ด้วยความเขินอาย

“ เพราะเราสองคนปีนี้ก็ สิบสี่สิบห้าแล้วแต่ก็ยังเปี้ยกอยู่แบบเนี้ย ”
เซโร่กล่าว ด้วยท่าทางเขอะเขิน ซึ่งนั่นทำให้นางตาเบิกกว้างด้วยความแปลกใจ

“ หมายความว่าพวกเธอก็อายุไล่เลี่ยกับฉันเหรอ ”
นางกล่าว ทั้งคู่พยักหน้า

“ คุณปู่เคยบอกไว้ว่าชั้นเป็นภูตน้ำที่ถูกให้ชีวิตขึ้นมาจากเทพีอันดีนแม่ของชั้น ทำให้ชั้นเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย ”
เซโร่กล่าว

“ ส่วนชั้นเป็นร่างจริงเป็นนกฟีนิกซ์ในเชื้อพระวงศ์ จะให้เรียกง่ายๆก็ ประมาณเจ้าชายของเผ่าพันธุ์ฟีนิกซ์น่ะ
เลยมีที่แปลกกว่าฟีนิกซ์ตัวอื่นๆก็คือจะหยุดการเจริญเติบโตตั้งแต่เกิดถ้าตัวไหนเกิดมาเป็นผู้ใหญ่ร่างกายก็หยุดอยู่แค่วัยนั้น ตัวไหนเกิดเป็นเด็กก็เป็นอยู่อย่างนั้นล่ะแต่พวกเราก็มีจำนวนน้อยมาก ซึ่งอายุน้อยสุดที่เคยมีมาก็สิบปีนี่ล่ะ ”
อิจิกิกล่าวจบก็ ไขว้มือไว้ที่หน้าอก ของตนก่อนที่จะเผาผลาญตัวเอง กลายเป็นวิหกเพลิง ซึ่งที่ปลายปีกลุกโชนด้วยเปลวไฟตลอดเวลา ความจริงของทั้งคู่ทำให้นางประหลาดใจเป็นอันมาก



แต่นั่นก็เป็นการพบกันครั้งแรกของพวกเขาซึ่งนั่นเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข
ของนางเลยทีเดียวเพราะที่แล้วมามีแต่ คนถอยหนีจากนางไป ด้วยความที่นางเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย
แต่เมื่อมาเจอกับทั้งสอง ที่เป็นเหมือนกับนาง ทำให้นางเหมือนได้เจอกับครอบครัวเลยทีเดียว

ภาพทั้งหมดได้จางลงไปจากความคิดของนางก่อนที่น้ำตาจะไหลหยดลงบนก้อนน้ำแข็งที่นางซบอยู่
นางดึงหน้าออกจากน้ำแข็งอย่างแรงแม้จะเจ็บและชา จากการถูกน้ำแข็งกัด อยู่บ้าง

“ ถ้าวันนั้นฉันไม่ไปเจอพวกเธอซะก็ดีหรอก…เพราะฉันแท้ๆทำให้อิจิกิ ต้องแยกจากเธอไป
ส่วนเธอก็ต้องคอยดูแลฉันโดยหนีจากบ้านมา แล้วครั้งนี้ก็เพราะฉันทำพลาดแท้ๆทำให้การเสียสละของเธอต้องสูญเปล่า ฉันขอโทษ…ขอโทษ  ”
นางกล่าวสะอึกสะอื้นในลำคอ ก่อนจะร้องไห้ด้วยความขมขื่น ก่อนที่ความทรงจำในวันที่
พวกเขาต้องแยกจาก อิจิกิ และหนีออกมาเดินทางเร่ร่อนเช่นนี้จะหวนกลับมา

………….
……………….
…………………..

ณ ทะเลสาบด้านหลังค่ายพัก ริคุ ได้มายืนรอ อยู่ก่อนแล้ว Lr ได้เดินตรงเข้าไปหาซึ่งหน้าตาบอบช้ำจากการ
ทะเลาะกับเจนัสนั้นยังคงเจ็บและชาอยู่ โดยที่เขาต้องเอามือกุมรอยช้ำมาตลอดทาง
 Lr เดินเข้าหยุดอยู่ข้างเขา ที่ริมน้ำ

“ ที่ชั้นบอกไปว่าจิตใจนายยังต่อต้านอยู่น่ะ ที่จริงก็คือนายกลัวใช่มั้ยลอว์เรนซ์ นายกลัวที่จะใช้มัน ”
ริคุถาม
 
“ ถูกของนาย…คงจะเพราะชั้นมันขี้ขลาดเองที่กลัวกระทั่งตัวของตัวเอง เพราะชั้นไม่รู้เลย
ว่าถ้าใช้ดราก้อนฮอลลี่ไปแล้วชั้นจะกลายเป็นมุรามาซะโซลอีกรึเปล่า ”
Lr กล่าวยอมรับในความกลัวของตน

“ จะกลัวก็ไม่แปลกหรอกเพราะชั้นก็เหมือนกันกลัวว่าอีกตัวตนจะออกมาเมื่อไหร่… ”
ริคุกล่าวก่อนจะหันมาหาเขา

“ ความรู้สึกของนายชั้นเข้าใจดีเพราะก่อนนี้ชั้นก็เคยถูกอีกจิตใจเข้าครอบงำจนทำร้ายพวกเจนัสไป
แต่ว่าสุดท้ายแล้วคนที่ช่วยชั้นกับเจนัสเอาไว้ในตอนที่ติดอยู่ในแอคเตอร์ก็คือ ตัวชั้นอีกคน ”
ริคุกล่าวก่อนจะ หันลงไปมองยังผิวน้ำซึ่ง Lr ก็มองตามลงไปเช่นกัน เงาสะท้อนของพวกเขาทอดยาวอยู่บนผิวน้ำ

“ ลอว์เรนซ์นายมองเห็นอะไรในน้ำนี่บ้าง ”
ริคุกล่าวถาม

“ เงาสะท้อนของตัวชั้นเอง ”
Lr กล่าวตอบด้วยความสงสัยในความคิดของริคุ

“ ถูกแล้วล่ะนายก็คือนายลอว์เรนซ์ ขอแค่นายพยายามควบคุมตัวเองให้ได้เท่านี้
เจ้านั่นก็จะไม่มีทางออกมาได้ นายต้องสลัดความกลัวออกไปจากใจให้หมด เพราะในสนามรบนั้น
หากกลัวแม้แต่น้อยนั้นก็หมายถึงชีวิตของนายและคนอื่นๆอีกมากมายด้วย ”
ริคุ กล่าวซึ่งนั่นทำให้เขาได้คิดขึ้นมาว่า หากเขามัวเอาแต่กลัว ก็จะทำให้ทุกคนต้อง
ลำบาก

“ จริงด้วยสินะแทนที่จะมานั่งกลัว สู้กล้าใช้ๆให้มันรู้แล็วรู้ไปเลยยังจะดีกว่า ”
Lr กล่าว สีหน้าของเขาดูมีกำลังใจมากขึ้น ริคุที่ยืนมองเขาอย่างโล่งใจ ที่สามารถเรียกให้ Lr คนเดิมกลับมาได้แล้ว
ทว่าจู่ๆก็มีเสียง ระเบิดดังขึ้นมาจากทางกำแพงเมือง พวกทหารที่พักอยู่แถวนั้น รีบพากันออกไปปกป้องประตูเมืองกันเป็นการใหญ่

“ ดูเหมือนศัตรูจะบุกแล้วล่ะ ”
ริคุกล่าว สายตามุ่งมั่น ซึ่งนั่นก็พลอยทำให้ Lr รู้สึกขึงขันตามไปด้วยทั้งสองรีบ
วิ่งออกไป สู่สมรภูมิรบ

………………….
………………………..
………………………….

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #256 on: August 10, 2008, 07:33:42 PM »

“ ต้านไว้อย่าให้มันเข้ามาได้ ”
แม่ทัพใหญ่ของกองกำลังออกคำสั่งเสียงดัง เพื่อให้เหล่าทหาร อกไปต้านรับการโจมตีของทัพมังกรปีศาจที่
บุกมาอีกครา เจนัส ลากูน่า และ นีน่า ก็นำทัพออกแนวหน้าเพื่อเข้าทำการรบอย่างรวดเร็ว

“ ชิมันมากันเยอะจริงๆ ”
เจนัส สบถขณะที่ยังคงรัวกำปั้นใส่ มังกรที่พุ่งเข้ามา จนล้มลงไปกองกับพื้น
ครั้งนี้พวกมันยกทัพกันมาอย่างมากมาย ทั้งพื้นดินและท้องฟ้า อีกทั้งเหล่ามังกรที่บินได้ก็หอบหิ้วเอา
มังกรไฮดราขนาดยักษ์มาทิ้งลงใน ทะเลสาบของเมืองเพื่อให้มันสร้างพิษขึ้นมาในอากาศ

จนควันพิษตลบอบอวลไปทั่วทำให้ ผู้คนและทหารที่อยู่บริเวณทะเลสาบตก
เป็นเหยื่อของไอพิษจนถึงแก่ชีวิตทั้งหมด

ขณะที่ นีน่า กำลังเล็งปืนไปยังกลุ่มมังกรที่อยู่ทัพหลัง โดยปรบกำลังปืนสูงสุด
ก็มีนายทหารจากหน่วยของนางเข้ามารายงาน

“ ท่านรองแม่ทัพหน่วยส่งอาวุธถูกฆ่าจนหมดทหารของเรามีอาวุธไม่พอจะเอายังไงดีครับ ”
ทันทีที่นายทหารรายงานเสร็จ นีน่าก็ลดปืนลงก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ
ก่อนที่นางจะส่งสัญญาณมือให้กลุ่มทหารที่รออาวุธ ถอยออกเป็นวงกว้าง

นางกดสวิตซ์ที่ปืนให้ส่งสัญญาณไปยัง แคริอุส ยานทรงกลมลอยลงมาจาก
ก้อนเมฆ ก่อนจะยืดโครงเหล็กซึ่งมีอาวุธติดตามโครงที่ยื่นออกมา และยิงส่งมันทั้งหมดลง
สู่เบื้องล่าง นายทหารที่มารายงานได้แต่ยืนจ้องตาค้าง ไปยังกองอาวุธ ที่พึ่งจะถูกส่งลงมาจากฟ้า

“ ทีนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วล่ะจ้ะ ”
นางกล่าวก่อนที่ หันไปยิงเป่าพวกมังกร นายทหารยังคงนิ่งค้างอยู่ จนนางต้องเตะเบาๆเข้าที่
ข้อเข่าของเขาเพื่อให้ได้สติ

“ มัวทำอะไรอยู่บอกให้พวกนั้นเอาไปใช้ซะสิ เราต้องถ่วงเวลารอจนกว่า ลอว์เรนซ์จะมาให้ได้
ไม่งั้นศึกนี้เราแพ้แน่ ”
นางกล่าว ทว่านายทหารกลับงง กับคำพูดของนางที่ว่าให้ถ่วงเวลารอ ลอว์เรนซ์กลับมา

“ เอ่อคือทำไมต้องรอท่านรองแม่ทัพลอว์เรนซ์ด้วยล่ะครับเขาเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งเองนะครับ ”
นายทหารกล่าวถามด้วยความสงสัย แต่นีน่าก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยขณะที่ตายังคงส่องลำกล้องปืนอยู่

“ อ๋อฉันรู้แล้วล่ะว่าทำไมเค้าถึงได้สลดหนักขนาดนั้น เธอคิดว่าเขาช่วยเราไม่ได้หรือ ”
นางกล่าวก่อนจะลั่นไกปืนออกไปเสียงระเบิดดังกึกก้องเสียจนนายทหารต้องเอามือขึ้นป้องหูไว้
นีน่าวางมือลงก่อนจะหันไปกล่าวกับเขา

“ พวกเราต่างหากที่จะถูกเค้าช่วยทั้งครั้งนี้แล้วก็ครั้งที่แล้วด้วย ”
นีน่ากล่าว แม้นายทหารจะยัง สับสนอยู่บ้างแต่เขาก็วิ่งจากไปเพื่อจะไปส่งคำสั่งให้นำอาวุธไปออกรบได้

“ ถ้าลอว์เรนซ์ยังไม่มาเร็วๆนี้ล่ะก็เราแพ้แน่ ”
ลากูน่ากล่าวขณะที่ ตวัดกรงเล็บฟันร่างของมังกรที่วิ่งเข้ามางับแขนของเขา

“ เด็กคนนั้นจะทำอะไรได้เหรอครับท่านรองลากูน่าสู้เราหาทางเองจะดีกว่า ”
นายทหารกล่าวขณะที่เอาดาบรับกรงเล็บของมังกรที่บุกเข้ามา
ทว่าก็มีมังกรตัวหนึ่ง พุ่งเข้ามาจากด้านหลัง ก่อนที่หัวของเขาจะถูกมันงาบไป มังกรตัวนั้นก็
กระเด็นปลิวลอยขึ้นฟ้าไป จากการที่ถูกเจนัสชก

“ ลอว์เรนซ์น่ะไม่ได้ไร้พลังอย่างที่เห็นหรอกนะ ”
เจนัสกล่าว แต่เหล่าทหารทั้งหมดก็ยังคงไม่มั่นใจในคำพูดของเขาอยู่ดี

“ บ้าไปแล้วรึไงกัน ”
“ นั่นสิเด็กนั่นจะไปทำอะไรได้ ”
“ สงสัยจะช่วยพวกเดียวกันมั้งคงเห็นว่าเราไม่เชื่อใจก็เลยจะสร้างเรื่องรึเปล่า ”
เสียงกระซิบกระซาบ ดังขึ้นท่ามกลางการสู้รบ ซึ่งแม้จะถูกเสียงดังกลบไปแต่
ด้วยประสาทหูที่ดีเยี่ยมของครึ่งสมิงทั้งสอง พวกเขาจึงได้ยินการสนทนาของเหล่าทหารทั้งหมด
จึงได้เข้าใจในตอนนั้นเองว่าทำไม Lr ถึงได้พูดกับพวกเขาแบบนั้น

“ เจ้าพวกนี้… ”
ลากูน่ากัดฟันกรอดด้วยความโกรธ แต่เจนัสก็ปรามเขาไว้

“ ไม่มีประโยชน์ที่จะไปเอาเรื่องหรอก ถ้าพวกเขายังไม่ได้เห็นกับตา ”
เจนัสกล่าวซึ่งแม้จะปวดใจแต่ก็ต้องยอมรับว่า หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองพวกเขาเหล่านั้น
ก็คงจะไม่รับรู้ถึงความจริง

“ ลอว์เรนซ์นี่นายต้องแบกรับความกดดันนี่ไว้ตลอดเลยสินะ ทั้งที่ยังกังวลว่าจะถูกครอบงำแล้วยัง
ถูกบีบบังคับให้ใช้พลังอีก พวกเราไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของนายเลยแต่ตอนนี้ถ้านายไม่มาพวกเรา
ต้องแพ้แน่ ”
เจนัสคิด พวกเขาลืมนึกถึงความรู้สึกและภาระที่ Lr แบกรับไว้
ขณะนั้นอยู่ๆก็มีเสียงคำรามดังกึกก้องมาจากด้านหลังทัพมังกรปีศาจ
ร่างมหึมาสีดำสองร่างได้บินโฉบลงมา ยังเบื้องหน้า พวกมันเป็นมังกรที่มีขนาดใหญ่ได้ครึ่งหนึ่งของ
แกรนเดครอสเลยทีเดียว โดยที่ตัวนึงมีแขนที่ใหญ่โต และกรงเล็บอันทรงพลังมันคือมังกรเพลิงโลกันต์ มอนิอัส
(Mornius, the Portentous Dragon)



ส่วนอีกตัว
มีเขาถึงสี่แฉกด้วยกัน ปีกขนาดใหญ่ที่โอบกองทัพทั้งกองได้ของมันกระพือ แต่ละครั้งนั้นบันดาลให้เกิดแรงลมสลาตัน พัดเสียจนพวกทหารรับไว้แทบไม่อยู่ มันคือมังกรแห่งการทำลายล้าง ลุมเบเลนอส (Lumbelenos, the Dragon of Destruction)



“ เราคือ หัตถ์แห่ง อิเดีย ผู้สร้างและลิขิตโลกนี้…  ”
เสียงของมังกรทั้งสองถูกสื่อ ออกมาผ่านโทรจิตของมัน
 
“ เจ้าพวกนี้… ”
เจนัสกล่าวขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ร่างอันมหึมาของมังกรทั้งสอง

“ ระดับของพวกนี้ไม่ธรรมดาเลย ”
ลากูน่ากล่าวขณะที่ประเมินพลังของมังกรยักษ์ทั้งสอง

“ ต้องรีบไปช่วยสองคนนั่น ”
นีน่ากล่าวก่อนจะ กระโดลงจากเชิงฐาน เพื่อไปสมทบกับพวกเจนัส

“ Dark Judgment ” (การตัดสินแห่งความมืด)
สิ้นคำของ มอนิอัส ก็บังเกิด มวลพลังงานทรงกลมลุกโชนขึ้นจำนวนมากมายเหนือน่านฟ้า
ก่อนที่มันจะพุ่งฉวัดเฉวียน กระแทกใส่เหล่าทหารเบื้องร่างจนล้มสลบลงบ้างก็ถูกชนจน
ร่างมอดไหม้ ไม่ก็ถูกกระแทกเข้าที่ศรีษะจนขาดหาย ไม่มีใครได้หนีจากการโจมตีครั้งนี้
ทหารกว่าครึ่งกอง ถูกทำลายในพริบตา ทว่ามีแต่เพียงเจนัสกับลากูน่า ซึ่งมีเกราะมนตราคุ้มกายเอาไว้
จึงรอดมาได้แม้จะถูกเฉี่ยวจนบาดเจ็บอยู่บ้าง

“ End of Era ” (จุดจบแห่งประวัติศาสตร์)
สิ้นคำของลุบเมเลนอส เพลิงสีดำอันร้อนระอุลูกใหญ่ก็ถูกพ่นออกจากปากของมัน
และปะทะเข้ากับกำแพงเมือง เพียงพริบตากำแพงเมืองและค่ายพักด้านหลังก็ พินาศสิ้นราเป็นหน้ากลอง
ด้วยพลังทำลายอันมหาศาลทำให้เหล่าทหารต่างหมดกำลังใจที่จะสู้

“ พลังเหลือร้ายอะไรขนาดนี้ ”
นีน่ากล่าวแขนขาสั่นด้วยความกลัวในพลังอำนาจของมังกรทรงพลังทั้งสองตัวนี้

“ เอาไงต่อล่ะจะยอมแพ้หรือจะสูญสลายเป็นเถ้าอยู่ตรงนี้เลือกซะ ”
มอนิอัสส่งกระแสจิตสื่อสารกับทุกผู้ที่อยู่ในสนามรบ

“ ไม่ยอมหรอกน่า ”
ลากูน่าตะโกนสุดเสียงก่อนจะพุ่งเข้าไป หาลุมเบเลนอส ทว่าก็ถูกมันพัดด้วยลมจากปีก
จนปลิวกลับมา ทว่าเจ้ามังกรก็ถูกกระสุนพลังงานของนีน่ายิงกระแทกใส่ แต่ก็ไม่อาจสร้างความเสียหายให้แก่มันได้

“ เรื่องอะไรจะยอมให้พวกแกชนะกันล่ะ เขาคนนั้นจะต้องมาแน่พวกเราก็อย่าพึ่งท้อสิ ”
นีน่ากล่าวเพื่อปลุกขวัญแก่ทหารแต่พวกเขาก็ไม่มีทีท่าจะตอบสนองต่อคำพูดของนางเลย
ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของมังกรทั้งสอง

“ แย่ล่ะสิพวกทหารไม่มักำลังใจจะสู้กันแล้วขืนยังสู้ต่อไปก็มีแต่จะแพ้แน่ทำยังไงดีนี่เราจะทำยังไงดี ”
เจนัสครุ่นคิดขณะที่กำลังพยายามหาวิธีอยู่นั้น เขาก็ถูกกรงเล็บอันทรงพลังของมอนิอัสอัด
กระเด็กครูดไปกับพื้นจนไปกระแทกเข้ากับกำแพงเมืองที่ยังเหลืออยู่ ก่อนที่มอนิอัสจะตามเข้ามา
กดเขาด้วยกรงเล็บของมันอย่างรวดเร็ว และลากตัวของเขาครูดไปกับกำแพงเมือง
อย่างรุนแรง เหล่าทหารคิดว่าเขาคงไม่รอดจากการโจมตีนั้นเป็นแน่
จึงพากันทิ้งอาวุธแล้วหนีกันจนเกิดกลลาหลไปทั่ว

“ ฟีเลเซียสิ้นแน่แล้ว ”
กษัตริย์ซิกมันต์ทรงตรัสอย่างสิ้นพระทัย ขณะที่เดินเสด็จร่วมกับเหล่าผู้ประชุมที่เดินทางมาจากทุกอาณาจักร
สู่ขบวนราชรถเพื่ออพยพไปยังอีกเมือง ทว่าการเดินทางทั้งหมด
ก็ถูดสกัดเอาไว้ด้วย ควันพิษจากไฮดรา

“ หนีเร็วมันมาแล้ว ”
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นก่อนที่เจ้าไฮดรา ยักษ์จะเลื้อยเข้ามาพร้อมกับลมควันพิษ
ใส่พวกเขา

“ Thunder Beak ” (จงอย อัสนีบาศ)
“ Flash Flame ” (แสงจ้าเผาผลาญ)
สิ้นเสียงไฮดราทังหมดก็ล้มลง ก่อนที่ลมพายุจะหอบเอาควันพิษออกไป

กษัตริย์ซิกมันต์ ทรงออกจากราชรถ เพื่อทอดพระเนตรเห็นการที่เกิดขึ้น
แต่ก็ทรงเห็นเพียงแค่เงาของเหล่ามังกรกริฟที่บินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“ ไปที่กำแพงเมืองเดี๋ยวนี้ ”
ซิกมันต์ตรัสก่อนที่จะทรงกลับเข้าไปยังราชรถ

……
……………
………………..

“ พวกแกสองคนจะต้องถูกฝังอยู่ที่นี่แหล่ะ ”
ลุมเบเลนอสสื่อผ่านกระแสจิตออกมา ก่อนะจะสะบัดปีกฟาดใส่ลากูน่า กับนีน่า ทีจะเข้าไปช่วยเจนัส
ซึ่งมอนิอัสหลังจากที่กดเจนัสครูดกับกำแพงเมืองมาก็ ทุบซ้ำลงไป
จนร่างของเขาจมดิน

“ อึดจริงๆนะแต่ก็มาได้แค่นี้ล่ะ ”
มอนิอัสสื่อกระแสจิตผ่านออกมา ก่อนที่จะยกกรงเล็บขึ้น หมายจะ บี้ เจนัส ให้แบนติดพื้น
ทว่ากรงเล็บนั้นก็ถูกพวกมังกรกริฟ เข้ามาสกัดไว้

“ มาช้า….ซะจริง ”
เจนัสเปรยเสียงแผ่วด้วยความอ่อนล้า

“ นายน่ะหยุดไปเลยคิดยังไงถึงได้ไปแลกหมัดกับมันยังงั้น ”
ริคุกล่าวขึ้นขณะที่เดินเข้ามาหาเขาที่นอนอยู่

“ หือ…แกก็จะมาตายอีกคนรึไง ”
มอนิอัสกล่าวก่อนที่ออกแรงสะบัดเสียจนเหล่ามังกรกริฟทั้งหมดกระเด็นออกไป

“ หึถ้าเรื่องแลกหมัดกันล่ะก็หมาป่าอย่างเจนัสอาจจะเก่งกว่าชั้นอยู่แต่สำหรับพังพอนอย่างเรา
น่ะเป็นสัตว์ขี้อาย… ”
ริคุกล่าวไม่ทันจบเขาก็อ้อมไปอยู่ข้างหลัง มอนิอัสพร้อมกับกลายร่างเป็นสมิงพังพอน
ในพริบตา

“ ดังนั้นวิธีสู้ของพวกเราก็คือจะไม่สู้ตรงๆเด็ดขาด ”
สิ้นคำ ริคุก็พุ่งโแบไปมาอย่างรวดเร็ว จนมอนิอัส จับไว้ไม่ทัน
ได้แต่ถูกเคียวลมกระแทกไปมาแต่ก็ไม่อาจสร้างความเสียหายให้ต่อเกล็ดที่
แข็งดุจเหล็กกล้า ของมันได้

“ ลอว์เรนซ์เรารีบไปช่วยพวกนีน่ากันเถอะ ”
อิมซานมังกรกริฟที่กลายร่างจากไลท์กล่าวก่อนที่จะ L r ซึ่ง
ตกลงมาจากหลังตอนที่ถูก มอนิอัส สะบัดมา จะขึ้นไปนั่งอีกครั้ง

และบินเข้าไปต่อกรกับ ลุมเบเลนอส
“ พวกแกไม่มีทางชนะได้หรอก ”
ลุมเบเลนอสสื่อกระแสจิต ก่อนจะพ่นเพลิงพิฆาตออกมา เหล่ามังกรกริฟทั้งหก
ต่างได้รับความเสียหายจากการโจมตีของมันและกลับร่างเป็นลูกมังกร
รวมทั้ง Lr ก็ถูกไฟลวกข้าที่แขนเช่นกัน

“ ไวนักนะเจ้าพังพอน ถ้างั้นเพื่อนของแกข้าจะฆ่าทิ้งซะให้หมดดูสิว่าแกจะเร็วพอ ไปช่วยพวกมันไหม ”
มอนิอัสสื่อความคิดจบก็สร้างมวลพลังงานทรงกลมขึ้นมาจำนวนมากอีกครั้งก่อนที่
ทั้งหมดจะพุ่งตรงไปยังนีน่า ริคุจึงเผลอหยุดดดยไม่รู้ตัว และตัวมอนิอัสกดทับไว้ด้วยกรงเล็บของมัน

“ นีน่า…หนีไปเร็ว ”
ริคุพยายามตะโกนเพื่อให้นีน่า หนีไปจากวิธีกระสุนทว่ามันมายเกินไปกว่าที่นางจะหนีทัน
เสียงตุบตับราวกับว่าลูกพลังงานทั้งหมดกระทบกับเกราะหรืออะไรซักอย่างดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
เจนัสเอาตัวเข้ารับกระสุนทั้งหมดเอาไว้ จนเลือดไหลอาบไปทั้งตัว

“ รักกันดีนักก็ตายไปซะทั้งคู่เลย ”
ลูกพลังงานทั้งหมดยังพุ่งเข้าใส่แลวนกลับไปมาเรื่อยๆจนในที่สุดเจนัสก็ทรุดตัวลง
ลูกพลังงานทั้งหมดเรียงตัวกันอีกครั้งเพื่อที่จะปิดฉากทั้งคู่

“ พี่หนีเร็ว ”
ลากูน่ากล่าวขณะที่จะเข้าไปช่วยทั้งสองแต่ก็ ถูกลุมเบเลนอสเหยียบร่างเอาไว้ จมคากรงเล็บ
ของมัน

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #257 on: August 10, 2008, 07:33:51 PM »

“ ลากูน่า.. ”
Lr กล่าวเสียงผวาหลังจากที่เห็นร่างของลากูน่าจมหายไปกับกรงเล็บของเจ้ามังกรยักษ์ต่อหน้าต่อตา
ลูกพลังงานทั้งหมด พุ่งตรงเข้าหาเจนัสกับนีน่า อย่างรวดเร็ว ในวินาทีนั้น Lr ได้วิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต

เสียงระเบิดดังขึ้นสนั่น นีน่าที่พยายามโอบร่างบอบช้ำของเจนัสเอาไว้ ทั้งคู่หลับตาด้วยความระทึก
ว่าจะตายเมื่อใดทว่าเมื่อนานเข้าแล้ว พวกเขาก็ยังไม่รู้สึกเจ็บหรืออะไรแต่อย่างใดพวกเขาทั้งคู่จึง
เปิดตาขึ้น  ภาพตรงหน้านั้นแทบจะทำเอาหัวใจพวกเขาหยุดเต้นเสียตรงนั้นให้ได้

Lr ได้เอาร่างของตนเขามารับการโจมตีของลูกพลังทั้งหมดเอาไว้
ด้วยร่างที่ไม่ได้รับการคุ้มกันจากอะไรเลย ความเจ็บปวดที่เขารับไว้นั้น
อาจทำให้เขาตายไปทั้งที่ยังยืนอยู่นี่ก็เป็นได้
“ ล…ลอว์เรนซ์ ”
นีน่ากล่าวเพื่อที่จะดูว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่

“ ทั้ง…สองคนไม่เป็นไรนะ ”
Lr หันกลับมากล่าวอย่างช้าๆ ด้วยใบหน้าที่ เต็มไปด้วยบาดแผล และรอยไหม้จางๆ
เขารู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก ความเจ็บปวดทั้งหมด นั้นเขาแทบจะไม่รู้สึกเลย
ภาพของเพื่อนๆที่อยู่ตรงหน้าเขาค่อนๆเรือนลาง ลงก่อนที่ทุกอย่างจะพร่ามัวไปหมด
ร่างของเขาล้มลงต่อหน้าเพื่อนๆ

“ ลอว์เรนซ์ ”
เสียงตะโกนเรียกชื่อของเขาดังระงม แต่เขาก็ได้ยินมันเลือนรางก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไป

[อวสาน Lr ตายอิเดียยึดครองโลกเทอร่าได้ ยุคมืดได้มาถึง  ซะ.เมื่อ.ไร]

…………….
……………….
………………..

ณ โรงเรียนมังกร

“ เป็นอะไรไปรึเห็นนิ่งไปตั้งนานแล้ว ”
ดีวายดราก้อนซึ่งเป็นพ่อของไลท์กล่าวกับกาเร็ท หลังจากที่เห็นเขาเงียบอยู่นาน

“ อ…เอ่อคือผมรู้สึกสังหรณ์ไม่ค่อยดีเลยที่ให้น้องชายกับพวกนั้นอยู่รับมือกับพวกมัน ”
กาเร็ทกล่าวเขารู้สึกเป็นห่วง ลอว์เรนซ์ที่ทิ้งให้เขาอยู่กับพวกเจนัสเพื่อสู้กับศัตรู
ในขณะที่ตัวเขามาส่งพวกทังกรทั้งหมดที่ช่วยออกมาได้

“ เพราะมิติยังไม่กลับคืนสู่สภาพเดิม ระยะนี้ก็คงต้องให้พวกมังกรทั้งหมดมาหลบภัยกันอยู่ที่โรงเรียนซะก่อน
ส่วนกองทัพของพวกเรานั้น กำลังรวบรวมกำลังอยู่ กว่าจะไปช่วยรบด้วยได้ก็คงต้องรออีกซักระยะ ”
ดีวายดราก้อนกล่าว ขณะนั้นเทียแมตก็ได้เดินเข้ามาหาทั้งคู่

“ ถ้ายังไงก็ไปเถอะจะได้สบายใจ อีกอย่างมีของที่ต้องเอาไปให้เขาไม่ใช่รึไง ”
เทียแมตกล่าวก่อนที่จะมองค้อนไปยังดอกไม้ผลึกใสที่ กาเร็ทถือเอาไว้

“ อืม..ที่จริงตอนนี้ทุกอย่างก็ลงตัวแล้วล่ะนะที่เหลือพวกเราจะจัดการกันเองเธอไปเถอะ ”
ดีวายดราก้อนกล่าว

“ งั้นผมไปนะครับ ท่านมังกรขาว แล้วเจอกับครับ…พ่อ ”
กาเร็ทกล่าวลาทั้งสองโดยเรียกเทียแมตว่าพ่อ ตามที่เทียแมตอนุญาติไปแล้วเมื่อครั้งที่มา
หาข้อมูลที่โรงเรียนนี้ ก่อนจะให้ดาบกลายเป็น นิลทูเรี่ยน แล้วขี่บินไปยังฟีเลเซีย

……………
………………….
………………………

รอบๆขาวโพลนไปทั่วสภาพรอบที่คุ้นเคยนี้ เกิดขึ้นอีกครั้ง Lr เดินตรงไปเรื่อยๆราวกับจะ
หาอะไรบางอย่างจนเมื่อเขาเห็นเงา ของใครบางคนอยู่ตรงหน้าเขาจึงรีบเร่งฝีเท้า
ให้เร็วขึ้นๆ จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าชายแก่ที่เคยอยู่กับตัวเขาอีกคนหนึ่ง

“ แฮ่ก แฮ่ก ….ในที่สุดก็เจอท่านจนได้ ทาลิวิลย่าคนก่อน ”
Lr กล่าวขณะที่หอบด้วยความเหน็ดเหนื่อย

“ ที่เจ้ากลับมานี่แสดงว่าเจ้ายอมที่จะแบกรับชะตาของตัวเองแล้วใช่มั้ย ”
ชายแก่กล่าว คำถามของเขาทำให้ Lr ตีสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที

“ ถึงผมจะพยายามหนีไปแค่ไหนสุดท้ายผมก็คงหนีไม่พ้นความจริงที่
ตัวผมเป็นต้นเหตุให้ทุกคนต้องมารับเคราะห์ ผมไม่อาจหนีต่อไปได้อีกแล้ว ”
Lr กล่าวหลังจากที่ได้ผ่านเรื่องราวต่างๆมามากมาย ในที่สุดเขาก็ตระหนักแล้วว่า
เขาไม่มีทางที่จะหนีจากความจริงข้อนี้ไปได้ เขาที่ไม่เคยคิดว่าตนคือร่างอวตารของอัศวิน
มังกรแห่งตำนาน และพยายามหนีจากมัน
บัดนี้เขาพร้อมที่จะยอมรับมันแล้ว

“ งั้นต่อจากนี้ไปเธอจะทำอย่างไรล่ะตัวเธอในตอนนี้ ได้ตายไปแล้ว ”
ชายแก่กล่าวก่อนที่ภาพ สถานการณ์ณ์ข้างนอกจะปรากฏ เพื่อนๆของเขา
เศร้าสลดกับการจากไปของเขา ลากูน่าที่ถูกลุมเบเลนอสเหยียบอยู่ได้เค้นแรงยก
กรงเล็บของมันออก อย่างแค้นเคือง ทว่าเขาก็ถูกลูกพลังงานของมอนิอัส
กระแทจนไปกองกับเจนัสและนีน่า ส่นริคุก็ถูกมอนิอัสเหวี่ยงซ้ำเข้าไปใส่พวกเขาอีก

“ ผมอยากช่วยทุกๆคนช่วยมอบพลังให้ผมด้วย ”
Lr กล่าวเสียงหนักแน่น

“ แม้ว่าเจ้าจะต้องกลายเป็นอีกคนน่ะรึ..เพราะตัวเจ้าในตอนนี้ไม่มีพลังชีวิตที่มากพอจะกลับไปได้แล้ว ”
ชายแก่กล่าว โดยหวังว่าจะได้เห็นใบหน้าที่ผิดหวังของเด็กน้อยทว่า

“ ครับขอแค่ให้ผมกลับไปช่วยพวกเขาได้เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ”
Lr กล่าวสายตาเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น นั่นทำให้ชายแก่แปลกใจเป็นที่สุด

“ เพื่อนๆของเธออาจจะต้องถูกเธอทำร้ายอีกก็ได้… ”
“ ไม่ครับผมจะพยายาม…จะควบคุมตัวเองให้ได้จะไม่ให้อีกจิตใจของผมเข้าครอบงำเด็ดขาด ”
Lr แทรกขึ้นขณะที่ชายแก่ยังกล่าวไม่ทันจบประโยค เขายิ้มน้อยๆก่อนจะลูบหัวของ Lr ด้วย
ความเอ็นดู

“ เธอนี่เป็นเด็กที่น่าสนใจจริงๆ…แล้วเธอล่ะว่ายังไง ”
ชายแก่กล่าวก่อนจะหยุดแล้วหันไปถามกับใครบางคนที่มาอยู่ด้านหลังพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ใครคนนั้นก็คือตัวเขาอีกคนที่เป็นมุรามาซะโซลนั่นเอง

“ เฮอะ..อย่าให้พูดดีกว่าใช่ว่าข้าอยากจะญาติดี กับมันนักหรอก ”
มุรามาซะโซล สบถด้วยความไม่พอใจ ซึ่งกิริยาของเขาทำให้ชายแก่อดอมยิ้มด้วยความขบขันเสียไม่ได้
ทำให้มุรามาซะโซลหันมามองเขาด้วยสายตาขุ่นเคือง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรชายแก่

“ เธอก็ผ่านการทดสอบจากข้าแล้วล่ะ ”
ชายแก่กล่าวก่อนที่ร่างของเขาจะเปล่งแสงและกลายเป็น ดาบทองแดงซึ่งสักอักขระ
แปลกตาเอาไว้ตั้งแต่ด้าม จนถึงคม กรรเชียวดาบมีลักษณะเป็นเขายื่นขึ้น
ตัวดาบลอยอยู่ในอากาศพร้อมกับที่บริเวณรอบเริ่มมืดลงเรื่อยๆ

“ งั้นก็จงรับมาคายาเดียเล่มนี้ไป..นี่คือก้าวแรกของเธอจากนี้ไปจงตามหาโล่
มิคาเอลซึ่งเป็นอีกสิ่งที่จำเป็นสำหรับเธอ ”
ดาบกล่าวออกมาด้วยเสียงอันกึกก้องพร้อมกับภาพของโล่ที่เขารู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
มันเป็นโล่สีทองหยักตลอดปลายจากแกนกลางซึ่งเป็นอัญมณีสีน้ำเงิน
 ภาพได้หายไปพร้อมกับที่ Lr คว้าดาบมาไว้ในมือ
ในขณะที่มุรามาซะโซล กำลังเปิดประตูมิติขึ้น

“ เอ้าจะไปกันได้ยังข้ายังต้องรวมจิตกับแกเพื่อกลับร่างนะ แล้วก็ความ
ทรงจำของข้าก็จะถูกส่งถ่ายให้แกด้วย ”
มุรามาซะโซลกล่าวจบก็กระโดเข้าไปในประตู ซึ่ง Lr ก็ตามไปแต่โดยดี ก่อนที่ประตูจะปิดลง
ภายในมิตินั้นบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ร่างเขากับมุรามาซะโซลค่อยๆประสานเข้าด้วยกัน

ทันใดนั้นความทรงจำของมุรามาซะโซลในช่วงที่อยู่กับอิเดีย และตอนที่สู้กับเพื่อนๆของเขา
ก็ไหลเข้ามา ทั้งเรื่องโศกนาฏกรรม ของครอบครัวที่อิเดยเล่าผ่าน มุรามาซะโซล
รวมไปถึงเรื่องที่พี่ชาย ปล่อยให้เขากับแม่ถูกเทียแมตทำร้ายโดยที่เอาแต่หวาดกลัว

………………
…………………
………………….

“ จะไม่มีอนาคตสำหรับพวกแกอีกแล้ว No Future ”
สิ้นคำมอนิอัสก็ เรียกให้ลูกพลังทั้งหมดกลับมารวมกันที่กรงเล็บของมัน
ก่อนที่จะประสานมันเข้าด้วยกันจนเกิดแรงระเบิดอย่างรุนแรง
แสงระเบิดที่เคลื่อนตัวเข้ามาพวกเขาที่กองกันอยู่อย่างรวดเร็ว

“ ต…ต้องหนีแล้ว ”
นีน่ากล่าวด้วยความกระวนกระวายขณะที่ค่อยๆพยุงร่างของเจนัส ขึ้นพร้อมๆกันกับที่ริคุพยุงลากูน่าขึ้นมา
แต่ทว่าแสงระเบิดกพุ่งผ่านพวกเขาไปเสียแล้ว เหล่าทหารที่อยู่รอบๆพากันทรุดตัวล้มลงนั่ง
ด้วยความหมดอาลัยตายอยาก พวกเขาไม่อาจหนีหรือสู้กับพวกมันได้เลย

ขบวนราชรถ ของซิกมันต์ได้มาถึงพร้อมกับเหล่าณะประกาศกและพวกฮารีซัน
ภาพตรงหน้านั้นคือสนามรบที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แสงระเบิดยังคงส่องสว่างและหยุดอยู่
แค่รัศมีนั้น หลังจากที่กลืนร่างของ Lr และเพื่อนๆทั้งหมดลงไปแล้ว
จู่ๆก็แสงระเบิดก็สลายไปราวกับถูกอะไรบางอย่างผ่า จนสายไป

ท่ามกลางความสับสนของเหล่าทหารที่จับจ้องไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
ร่างของ Lr ที่น่าจะตายไปแล้ว ได้เรืองแสงสีทองเขายืนกำบังพวกเจนัสไว้จากแรงระเบิด
ลูกมังกรทั้งหกที่ ได้บินเข้ามาหาเขาด้วยความดีใจ ที่เขายังไม่ตาย ท่ามกลางสายตาที่
ไม่อยากเชื่อในปาฏิหารย์ ที่บังเกิดขึ้นตรงหน้า

“ ล..ลอเรนซ์ ”
นีน่าอุทานขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อในสายตาของตน

“ ยังไม่ตายสินะนายนี่อึดเป็นบ้าเลย ”
ลากูน่ากล่าวหยอก ด้วยความดีใจ

“ ถ้านั่นยังทำให้นายตายไม่ได้ก็คงไม่มีอะไรฆ่านายได้แล้วล่ะ ”
เจนัสกล่าว

“ แสดงให้พวกมันเห็นไปเลยว่านายคือผู้กล้า ”
ริคุกล่าว ซึ่งแรงใจจากเพื่อนที่ส่งมาให้เขานั้น ทำให้เขาไม่กลัวอีกต่อไปที่จะใช้พลังของตน
ยานมังกรเทียมไซเบอริก้า ได้แหวกหมู่เมฆลงมาพร้อมกับ เปิดช่องที่ใต้ท้องยาน ออกก่อนจะยิงดาบ
ที่เหมือนกับในมโนภาพที่เขาเห็น ลงมาเขาคว้ามันไว้ก่อนที่ แสงจะเปล่งประกายเจิดจ้า

ดราก้อนฮอลลี่เริ่มทำปฏิกิริยากับแสงนั้น กก่อนที่เปล่งแสงสีรุ้งออกมา

“ Metamorphose Fusion ”
เสียงดังขึนมาจากดราก้อนฮอลลี่ ก่อนที่แสงจะจางลง Lr ได้กลายเป็นทาลูคูส
ไปแล้วโดยที่ไม่ต้องรวมร่าง กับ ไลท์
ร่างอัศวินมังกรสีขาวที่ลอยตัวอยู่เหนือสนามรบทำให้ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารเริ่มกลับมา
ทาลูคูสตวัดดาบเป็นกากบาทอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นมังกรพลังงานสีขาว
พุ่งเข้ากวาดล้างเหล่ามังกรปีศาจทั้งหมด ก่อนจะเปลี่ยนร่างเป็นทาเวนทอส และ
อัญเชิญมังกรพลังงานสีเขียวให้พุ่งเข้าไปในเมืองและจัดการพัดหอบเอาพวกมังกร
ที่บุกเข้าไปออกมารวมกันด้านนอก

พร้อมกับหมุนตัวเปลี่ยนร่าง อีกครั้งในครั้งนี้ ทาโซรอส มังกรพลังงานสีน้ำตาลพุ่งลงไป
รัดรวบพวกมังกรทั้งหมดที่ถูกหอบมาเอาไว้ ก่อนที่จทาโซรอสจะเปลี่ยนร่างอีกครั้ง
เป็นทาลิคนัส มังกรพลังงานสีแดงประดุจเพลิงโลกัณฑ์
พุ่งเข้าเผาผลาญศัตรูทั้งหมดจนเหลือไว้เพียงแค่กองเพลิง ที่ตกค้างไปทั่วสนามรบ
ก่อนจะเปลี่ยนร่างอีกครั้งเป็นทาลิควาส มังกรพลังงานสีน้ำเงิน พุ่งเข้า
ชนร่างของมอนิอัสจนล้มทับกำแพงเมืองที่เหลืออยู่
ก่อนที่จะเปลี่ยนร่างอีกครั้งเป็น ทาไนซ และยิงมังกรพลังงานสีดำ เข้าใส่ลุมเบเลนอส
จนถอยห่างไป  พร้อมกับที่กลับร่างเป็น Lr อีกครั้ง

“ Weapon Fusion Metamorphose ”
ของดราก้อนฮอลลี่ มังกรพลังทุกสีที่เรียกออกมาก็รวมตัวจากพลังงานที่ตกค้างอยู่
มารวมกันยังร่างของเขา

“ ความกล้าคือดาบที่จะฟาดฟันไปสู่อนาคตจงจำนามเราไว้ เทพแห่งอัศวินมังกร ทาลิวิลย่า (Thaliwilya, the God of Dragoon) ”
เสียงดังขึ้นจากร่างที่เปล่งแสงเจิดจ้าก่อนจะจางลงเผยให้เห็นร่างสีทองอาร่ามตาของอัศวินมังกรตนนี้
ในมือซ้ายถือดาบมาคายาเดีย (Macarhyadia, the Blade of Thaliwilya) ที่เสียบอยูในฝักเอาไว้





“ คิดจะก้าวไปยังอนาคตงั้นรึน่าขำสิ้นดี ”
มอนิอัส สื่อความคิดออกมาก่อนจะลุกขึ้น มารวมพลังงานอีกครั้ง

“ เราจะให้มันเป็นอดีตเองเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ”
ลุมเบเลนอส สื่อความคิดของมันออกมา ก่อนจะสะสมประจุเพลิงไว้ในปากอย่างรวดเร็ว

“ อนาคตจะสูญสิ้นหรือพวกแกจะหายไปก่อนกันถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู ”
ทาลิวิลย่า กล่าวก่อนจะชักมาคายาเดียออกจากฝัก

“ No Future ”(ไม่มีอนาคต)
“ End of Era ”(จุดจบแห่งประวัติศาสตร์)
สิ้นคำการโจมตีของมังกรทั้งสองก็พุ่งเข้าหาทาลิวิลย่าในทันที

“ ข้าแต่มังกรผู้ยิ่งยงมหาเทพผู้ทรงอำนาจ จักใช้เสียงคำรามกึกก้องกัมปนาททำลายมาร
 Great of Dragon ”
สิ้นคำทาลิวิลย่า ก็ตวัดดาบในมือ มังกรพลังงานจำนวนมากลงมาจากฟ้าราวกับสายฟ้าฟาด
โดยที่ทุกตัวพุ่งไปตามความนึกคิดของทาลิวิลย่า พวกมันกระแทกใส่การโจมตีที่รุนแรงของมังกรทั้งสอง
จนแตกสลายก่อนจะเล็งเป้าไปยังพวกมัน มังกรพลังงานทั้งหมด พุ่งเข้าระเบิดใส่ร่างของพวกมันจน
ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักทั้งที่ตลอดการต่อสู้มานั้น แทบจะไม่มีอะไรทำอันตรายมันได้เลย

“ ข…แข็งแกร่ง….สมแล้วที่เป็นพลังของอัศวินมังกรแห่งตำนาน ”
มังกรทั้งสองส่งกระแสความนึกคิดออกมา ก่อนจะลุกขึ้นถอยหนี

“ คิดหนีงั้นหรือ อย่าได้หวัง  ”
ทาลิวิลย่ากล่าวจบก็ตวัดดาบออกไปมังกรพลังงานทั้งหมดพุ่งลงมาอีกครา
ทว่า เทพขุนพลนักประดิษฐ์ ก็ปรากฏตัวขึ้น และเปิดปนะตูมิติให้มังกรทั้งสองหนีไปสำเร็จ
แต่เขาก็ถูกมังกรพลังงานทั้งหมดเล็งเป้าแทน  ทันใดนั้น ก็มีบางอย่างที่เคลื่อนไหวได้เร็ว
จนเห็นเป็นแสง พุ่งลงทำลายมังกรพลังงานทั้งหมดก่อนจะถึงตัวเขา

เจ้าสิ่งนั้นคือ ผู้พิทักษ์แห่งตราเล็คดีทีโอ้ (The Guardian of Lexdetheo Seal)
ซึ่งเป็นเสมือนทูตสวรรค์องค์หนึ่งเลยทีเดียว



“ ผู้พิทักษ์ตราแห่งศาสนา เล็คดีทีโอ้ ทำไมถึงได้ไปเข้าร่วมกับฝ่ายนั้นล่ะ ”
คาดินัล มาสซิลิโอ้ที่รู้จักตรานี้เป็นอย่างดีถึงกับอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา
นักประดิษฐ์ไม่กล่าวอะไร เพียงแต่เปิดประตูมิติอีกครั้ง ก่อนจะเดินกะโผลก กะเผลก
เข้าไปในประตู พร้อมกับที่ผู้พิทักษ์ตราจะเหินกลับขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว การต่อสู้ได้สิ้นสุดลง
อย่างรวดเร็วทันทีที่อัศวินมังกรแห่งตำนานได้ปรากฏกายขึ้น สร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้คนเป็นอันมาก
เหล่าทหารต่างโห่ร้องอย่างมีชัย

“ ที่ท่านบอกให้รอก็คือนี่สินะตอนนี้เราไม่คลางแคลงใจแต่อย่างใดแล้วล่ะ ”
องค์หญิงเรจิน่าตรัสกับเกรเกอรี่ที่ยืนอยู่ข้างที่ประทับ

“ ที่พวกรองพูดกันว่าให้รอ ท่านรองลอว์เรนซ์ก็เพราะอย่างนี้นี่เอง ”
“ ไม่อยากเชื่อเลยรองแม่ทัพเด็กคนนั้นจะเป็นอัศวินมังกรแห่งตำนานที่เคย
ช่วยกองทัพเรากวาดล้างพวกโฮลี่ไนท์แมร์ ”
“ ถ้ามีท่านรองแม่ทัพลอว์เรนซือยู่ล่ะก็พวกเราต้องชนะแน่นอน ”
เสียงสรรเสริญ เขาดังไปทั่วในวีระกรรมที่เขาได้ทำลงไป
เพียงไม่นานนัก ปฏิกิริยาตอบสนองของพวกทหารต่อเขาก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นพวกทหารเริ่มเชื่อฟังเขาในฐานะที่เป็นผู้นำขึ้นมาบ้างแล้ว

…………………
………………………..
……………………………

สองวันต่อมา
“ เมทาไนท์กลับมาแล้วเหรอ ”
Lr กล่าวหลังจากที่ได้ยินข่าวการกลับมาของเมทาไนท์ซึ่งก็คือกาเร็ท
จากปากของไลท์ก็พากันออกไปต้อนรับ

ทันทีที่ไปถึงเขาก็เห็นพวกเจนัสรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เจนัสและทุกคนแหวกทาง
ให้ Lr ที่ได้เห็นหน้าของเมทาไนท์ ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ชุดเกราะอีกครั้ง กับดาบ มิรัยเคน ที่อยู่ในมือ
ความทรงจำในส่วนของมุรามาซะโซลก็ได้ทำให้เขารู้ตัวตนที่แท้จริงของเมทาไนท์ในทันที

“ พี่…เมทาไนท์คือพี่กาเร็ทงั้นเหรอ ”
Lr กล่าวออกมาก่อนจะล้วงเอา สายคาดข้อมือที่เคนได้รับมาจากกาเร็ท ขึ้นมาดู
เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดในทันที นีน่าที่เห็นว่าเขารู้เรื่องทั้งหมดก็รู้สึกแปลกใจพอๆกับกาเร็ท
ที่เขารู้ว่าตนเป็นพี่ชายของเขา

“ ทำไม.. ”
Lr กล่าวขึ้นมาอย่างปุบปับ กาเร็ทจึงรู้สึกแปลกใจทว่าทันทีที่ดาบมาคายาเดียพุ่งจากฟ้าลงมา
ปักลงไม่ไกลนัก ทำให้สัญชาตญาณเตือนเขาว่า เรื่องคงจบไม่สวยแน่

“ ทำไมตอนนั้นพี่ถึงปล่อยให้แม่ตาย…ผมจะไม่ยกโทษให้พี่เด็ดขาด ”
 Lr กล่าวจบก็ชักดาบขึ้นมาจากพื้นและพุ่งเข้าฟันใส่พี่ของตน

โปรดติดตามตอนต่อไป

“ ทิ้งผมกับแม่ไว้แล้วหนีไป..ตอนนี้กลับจะมาช่วยผมไปเพื่ออะไรกัน ”
“ คนที่ทิ้งคนอื่นแล้วเอาตัวรอดไปอย่างพี่แม้แต่โล่วิเศษก็ยังไปอยู่ในมืออีกเหรอ ”
“ ถ้าเช่นนั้นผมจะฆ่าพี่แล้วเอามาซะพร้อมกับทุกอย่างที่พี่เอามันไป ”
“ พี่ได้ไปหมดในสิ่งที่ผมไม่มี ทั้งอาวุธทั้งความรักความทรงจำเกี่ยวกับแม่พี่พรากมันไปหมด ”

ความคับแค้นในโชคชะตาที่นำมาซึ่งการห้ำหั่นระหว่างพี่น้อง

“ เราคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะลาก่อนนะ เซโร่ เรโค่ ”
“ ถ้าแกจะปกป้องนังเด็กนี่ล่ะก็แกกับชั้นก็ขาดกันแต่เดี๋ยวนี้ล่ะ ”
“ ผมขอโทษครับคุณปู่…ลาก่อน ”
“ เซโร่เจ้าจงเดินไปตามทางที่เชื่อมั่นเถอะข้าเชื่อว่าซักวันเราคงจะได้พบกันอีก ”
อดีตที่เต็มไปด้วยการแยกจากของจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่

“ จิตที่เข้มแข็งคือพลังไปสู่วันพรุ่งนี้นามข้าคือโล่แห่งศรัทธา…. ”

ติดตามได้ในบทที่ 30 โล่แห่งจิตวิญญาณ

ไปๆมาๆ ชักจะ งง กับตัวเองแล้ว ไหงตัวละครมันถึงได้เยอะอย่างนี้ นี่ปาเข้าไปเกือบ20ตัวแล้วนะเนี่ยที่ต้องบรรยาย
ว่าแต่สะใจดีจัง ดถูกู LR กันดีนัก โชว์เกรียน เอ้ยเทพให้เห็นเลยเป็นไง
ว่าแต่นี่จะเอานีน่าจังมาเพิ่มอีกตัวดีไหมเนี่ย อิจิอิมาแว้ว ลูกครึ่งฟีนิกซ์ซะด้วย ตกลงเรื่องนี้หา
ไอ้ตัวที่มันเป็นคนไม่ได้เลยล่ะมั้งเนี่ย เป็นลูกครึ่งไปไหมด ขนาดสมิงยังเป็นครึ่งเลย เหอๆ

เกือบลืม พรุ่งนี้อัพอีกบทตอนเย็นๆหน่อย
« Last Edit: August 10, 2008, 08:42:37 PM by greamon » Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #258 on: August 10, 2008, 08:48:20 PM »

ไหงเรื่องราวมัน.....................แย่ลง...แย่ลงล่ะเนี่ย   เฮ้อ-------------   
ตอนแรกก็เป็นมุรามาซะ โซลเสร็จก็มาหดหู่แล้วก็มาห้ำหั่นเป็นหมูสับกันอีก   
Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #259 on: August 10, 2008, 08:52:04 PM »

นั่นสิช่วงนี้ไมมันมีแต่ขาลงอย่างเดียวเลย สงสารตัวละครอ่ะ แต่คงเพราะใกล้อวสานแล้ว
มั้งมันเลยมีเรื่องตลอดว่าแต่เวอร์ไปเปล่าให้อิเดียเป็นพระเจ้าเนี่ย แล้วใครที่ไหนมันจะไปสู้ได้
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #260 on: August 11, 2008, 08:06:03 PM »

บทที่ 30 โล่แห่งจิตวิญญาณ

Lr ที่หันคมดาบเข้าหากาเร็ทพี่ชายของตน ทำให้กาเร็ทต้องยกดาบขึ้นประมือกับน้องชายทั้งที่ไม่เต็มใจ
ทั้งคู่ประดาบกันโดยถอยห่างออกจากพวกเจนัสที่ยืนมองด้วยความประหลาดใจ

“ ต้องรีบห้ามแล้ว ”
นีน่ากล่าวขณะที่จะเข้าไป แต่เจนัสก็เข้ามาขวางไว้

“ ถอยไปนะเจนัสถ้าปล่อยไว้ Lr อาจจะฆ่าพี่ชายของตัวเองก็ได้นะ  ”
นีน่ากล่าวขณะที่พยายามผลักแขนของเจนัสออกไป

“ ถึงไปก็ช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้หรอก..นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาปล่อยให้พวกเขาตัดสินใจเองเถอะ ”
เจนัสกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น ด้วยเพราะเขาเป็นพี่คนเหมือนกันจึงรู้ดีว่า ควรจะทำอย่างไร
ซึ่งริคุกับลากูน่าก็เห็นด้วยที่จะให้พวกเขาแก้ปัญหากันเอง
เมื่อเป็นดังนี้ นีน่าจึงยอมสงบลง และปล่อยให้สองพี่น้องประดาบกันต่อไป

ทว่าฝ่ายที่ลงดาบนั้นกลับเป็น Lr เสียฝ่ายเดียว เพราะกาเร็ทเอาแต่รับโดยไม่ตอบโต้

“ ทิ้งผมกับแม่ไว้แล้วหนีไป..ตอนนี้กลับจะมาช่วยผมไปเพื่ออะไรกัน ”
Lr กล่าวเสียงแข็งขณะที่ออกแรงลงดาบหนักขึ้นเรื่อยๆ
กาเร็ทยกดาบขึ้นรับไว้ก่อนจะผงะถอยออกมา  และโยนดาบขึ้นไปบนฟ้า
ก่อนที่มันจะกลายเป็นมังกรนิลทูเรี่ยน และฟาดหางอันทรงพลังของมันใส่ Lr
ทว่าเขาก็กระโดดข้ามหางมันไป พร้อมกับกระโจนใส่กาเร็ทในทันที

กาเร็ทจึงต้องยกเอาโล่ทองซึ่งมีอัญมณีสีน้ำเงินใสอยู่ตรงกลาง Lr จำมันได้ในทันทีโล่ที่
เขาเห็นในมโนจิตนั้นคือโล่ที่พี่ของเขาใช้มาตลอด จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม
โล่นั่นถึงได้มีพลังที่สามารถช่วยให้พวกเขารอดมาได้หลายคราแล้ว

มันคือโล่วิเศษ มิคาเอล อันเป็นสิ่งที่เขาจะต้องตามหามันในฐานะร่างอวตารแห่งทาลิวิลย่า
ซึ่งบัดนี้มันได้มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
อย่างบอกไม่ถูก มังกรนิลทูเรี่ยน ที่ถูกเรียกออกมาจากดาบของกาเร็ทคิดที่จะโจมตีเต็ม
กำลังใส่เขา ทว่าอยู่ๆมันก็ เลิกไปและหันไปใช้หางฟาดใส่แทน

“ เชอะไม่คิดจะเอาจริงกับเรางั้นเหรอ…. ”
Lr คิดขณะที่เอี้ยวตัวหลบ หางของนิลทูเรี่ยนที่ฟาดลงมา เขารู้แล้วว่าพี่ชายไม่ได้คิดจะสู้กับเขาจริงจัง
จึงคิดจะยั่วยุ

“ คนที่ทิ้งคนอื่นแล้วเอาตัวรอดไปอย่างพี่แม้แต่โล่วิเศษก็ยังไปอยู่ในมืออีกเหรอ ”
Lr กล่าวออกมาโดยไม่คำนึงเลยว่าใครจะคิดยังไง วาจา กิริยา ของเขาแทบไม่ต่างไปจาก
พวกอันธพาล เลยทีเดียว

“ ลอว์เรนซ์ดูแปลกๆไปนะเขาถูกมุรามาซะโซลเข้าสิงอยู่รึเปล่า ”
ลากูน่ากล่าวอย่างวิตก ว่าเรื่องจะไปกันใหญ่

“ ไม่หรอก เขาไม่ได้ถูกสิงหรืออะไรทั้งนั้น แต่ดูเหมือนเขาจะได้รับเอานิสัยมาจากมันมากกว่า ”
เจนัสกล่าวอย่างพินิจพิเคราะห์

“ เป็นไปได้มั้ยว่าตอนที่เขาฟื้นขึ้นมาทั้งที่น่าจะตายไปแล้ว มุรามาซะโซลฉวยโอกาสเข้าสิงแทนน่ะ ”
นีน่ากล่าวแสดงความเห็น ซึ่งก็น่าคิดแต่ริคุกลับส่ายหัวก่อนจะกล่าวต่อ
“ ถ้านั่นเป็นมุรามาซะโซลจริงล่ะก็ป่านนี้พวกเราคงไม่ได้อยู่มาถึงนี่หรอก
ถ้าจะให้เดาล่ะก็วิญญาณของเขาอาจจะรวมเข้ากับมุรามาซะโซล
เพื่อฟื้นพลังชีวิตมากกว่านั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาในตอนนี้มีนิสัยที่เปลี่ยนไปด้วย ”
ริคุ อธิบาย

“ งั้นที่จริงมุรามาซะโซลก็น่าจะเป็นนิสัยที่เขาเก็บงำเอาไว้จนเกิดเป็นอีกจิตใจขึ้นมาสินะ ”
ไลท์กล่าวออกมาเป็นภาษามนุษย์ เพื่อที่จะร่วมสนทนากับพวกเขาด้วย

“ กีซซซซซ ” (ก็จริงอย่างว่าล่ะเจ้านั่นเมื่อก่อนก็ชอบเก็บเรื่องไปคิดอยู่คนเดียวตลอดเลย)
ไฟร์คำรามเสียงขุ่นอย่างไม่พอใจนัก

“ นี่ไฟร์หัดพูดภาษามนุษย์ไว้บ้างก็ดีนะ เพราะเราก็อยู่ร่วมกับมนุษย์มาเกือบปีแล้วนา ”
วิลแกล้งหยอกไฟร์ ในเรื่องที่เขาพูดภาษามนุษย์ได้ไม่คล่อง เพราะถืออคติกับลอว์เรนซ์มาก่อน

“ กีซซซซซ ” (เรื่องของชั้นน่า)
ไฟร์ตะคอกด้วยความรำคาญ

“ แต่ฉันก็เห็นด้วยกับวิลนะ เธอควรจะหัดพูดซะบ้างก็ดีใช่ว่ามนุษย์ที่เธอจะสื่อสารด้วยจะมีแค่ลอว์เรนซ์นี่ ”
ดาร์คกล่าวขณะที่ สายตายังคงมองการปะทะกันของ ลอว์เรนซ์อยู่

“ กีซซซซ ”(งั้นขอถามนะนอกจากสองคนนั่นแล้วไอ้ที่ยืนอยู่ตรงเนี้ยเรียกว่ามนุษย์ได้ซักคนมั้ย)
ไฟร์กล่าวซึ่งคำพูดของเขาทำให้ลูกมังกรทั้งห้าตัวอด หัวเราะด้วยความขบขำกับ
สิ่งที่เขาพูดไม่ได้ เพราะที่จ้อกันอยู่ตั้งนานนี่พวกเขาแค่สนทนากันในภาษามนุษย์
เท่านั้นแต่พวกเขาทั้งหมดนอกจากลอว์เรนซ์และกาเร็ท ไม่มีใครที่เป็นมนุษย์จริงๆ
เลยซักคน

“ พวกลูกมังกรไม่สบายรึเปล่าน่ะ กลิ้งหัวเราะท้องแข็งอย่างนั้น ”
นีน่ากล่าวด้วยความสงสัย ขณะที่มองลูกมังกรทั้งห้านอกจากไฟร์เอาแต่เกลือก กลิ้ง
หัวเราะไปมา

“ อย่าไปสนใจเลย พวกเขาคงแค่คุยเรื่องขำขันกันน่ะ ”
ริคุกล่าวแก้ให้ ด้วยความเหนื่อยใจ

“ ทำไมเล่นกันไม่ดูเวลาเลยนะเจ้าพวกนี้ ”
ลากูน่าแอบคิดอยู่ลึกๆ ในขณะที่เจนัสไม่ได้สนใจกับการสนทนาเล็กๆ แม้แต่น้อย
สายตาของเขายังคงจับจ้องที่การต่อสู้ของ Lr ที่ยิ่งทวีความรุนแรงและความเร็วขึ้นเรื่อยๆ
หางของนิลทูเรี่ยนฟาดตวัดเป็นพัลวัลในขณะที่ กาเร็ทได้แต่ยกโล่ขึ้นป้องดาบของ Lr ไว้
โดยไม่ยอมตอบโต้กลับ

“ ยังไม่คิดจะเอาจริงอีกจะดื้อด้านไปถึงไหนให้คนแบบนี้มาออมมือให้ถึงฆ่าได้ก็ไม่หายแค้นหรอก ”
Lr คิดทว่าทันทีที่เขาเผลอเปิดช่องให้
หางของนิลทูเรี่ยน ก็มัดร่างของเขาไว้จนขยับไม่ได้

“ ยังอ่อนหัดเหมือนเดิม..คิดจะสู้ด้วยอารมณ์อย่างนั้นจะทำให้ลำบาก สิ่งที่สำคัญคือความเยือกเย็น
คอยมองสถานการณ์รอบๆแล้วจึงเข้าโจมตีที่แล้วมานายไม่เคยสู้ให้อยู่ในกรอบนี้เลยซักนิด ”
กาเร็ท กล่าว Lr ที่อยู่ในสภาพป้องกันตัวไม่ได้ก็เอาแต่ดิ้นรนไปมา

“ อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย ที่ผ่านมาทำไมถึงต้องปิดบังกันด้วย แค่จะสู้หน้าพี่ยังไม่กล้าเลย ”
Lr สบถ ด้วยถ้อนคำที่ไม่น่าฟังนัก แต่กาเร็ทก็ยังคงเย็นใจ เมื่อเห็นดังนั้นทำให้ขายิ่งโมโหมากขึ้นกว่าเดิม

“ ถ้าเช่นนั้นผมจะฆ่าพี่แล้วเอามาซะพร้อมกับทุกอย่างที่พี่เอามันไป ”
Lr กล่าวจบหางของ นิลทูเรี่ยน ก็ถูกฟันขาดในทันที ดาบมาคายาเดียในมือของ Lr กลาย
เป็นมุรามาซะไปเสียแล้ว ทว่าปีกสีดำของร่างมุรามาซะก็ยังไม่งอกออกมา
มีเพียงดาบที่เปลี่ยนไปเท่านั้น

“ พี่ได้ไปหมดในสิ่งที่ผมไม่มี ทั้งอาวุธทั้งความรักความทรงจำเกี่ยวกับแม่พี่พรากมันไปหมด ”
สิ้นคำ Lr ก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่ นิลทูเรี่ยน ถูกฟันขาดเป็นสองท่อน ก่อนจะกลับเป็นดาบดังเดิม

………………..
……………………..
…………………………

10 ปีก่อน

“ สายแล้ว สายแล้ว ไม่น่าตื่นสายเลยเรา ”
เซโร่วิ่งพรวดออกมาจากประตูบ้านโดยมีเรโค่ปิดประตูแล้วจึงบินตามไป

“ นี่ชั้นปลุกเธอตั้งแต่ตะวันสางแล้วนะ เลิกซะทีเถอะไอ้นิสัยที่ชอบฝึกเอาเป็นเอาตายน่ะ ”
เรโค่บ่นไปอย่างไม่หยุดทำให้เซโร่ รู้สึกหนักใจที่นางช่างจ้อเสียนี่

“ ก็มันสนุกนี่นาเวทมนต์น่ะทำให้ทุกคนมีความสุขได้นั่นล่ะที่ชั้นชอบมัน ”
เซโร่กล่าวอย่างอารมณ์ดี ซึ่งถ้อยคำนั้นทำให้นางรู้สึกหลงใหลในตัวเขา
ที่คิดว่าเวทมนต์เป็นสิ่งที่ใช้เพื่อความสุขของทุกคน หลังจากวันที่ได้พบกับเซโร่และอิจิกิ
นางก็ได้มาอาศัยร่วมฝึกเวทมนต์กับเซโร่และอิจิกิ โดยมีเบอนาร์ด จอมเวทย์ชราผู้เป็นอำมาตย์
ของตระกูลโอดิลอนที่สูงส่งของแอนดิซอง เป็นอาจารย์ ระหว่างทางที่ผ่าน
ตลาดไปนั้น ทุกคนทักทายพวกเขาอย่างสนิทสนม จนดูเหมือนว่า
เธอได้มาพบสถานที่ที่จะอยู่ได้อย่างมีความสุขตลอดไป
ทว่า ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่คิดว่า เรโค่ เป็นปีศาจที่จะนำหายนะมาสู่เมืองอยู่เช่นกัน

แต่นางก็ไม่เคยคิดติดใจอะไร จนในที่สุดทุกคนก็ลืมมันไป พวกเขาทั้งสองมาถึงเนินหญ้าที่ปกคลุมด้วยหิมะอ่อนๆพืชพันธ์ซึ่งเติบโตท่ามกลาง หิมะสีขาว ที่ปกคลุมตลอดปี นี่เป็นฤดูร้อนในแอนดิซองที่
ทิวทัศน์งดงามยิ่งนักในแต่ละปีจึงมีผู้คนจากหลายที่มาท่องเที่ยว 

“ พวกเธอมาสายนะอิจิกิสำเร็จขั้นสามของวิชาปักษาเทวะ แล้วนะ ”
เบอนาร์ดกล่าว ขณะที่มองทั้งสองหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน

“ งั้นพักซักหน่อยก็ได้แต่จะต้องฝึกชดเชยด้วยนะ ”
เบอนาร์ดกล่าว ซึ่งทำให้ทั้งสองยิ้มออก ในทันที
นี่คือช่วงเวลาที่พวกเขาได้อยู่กันราวกับเป็นครอบครัว แต่เหมือนสวรรค์เล่นตลก
เมื่อคืนไฟลุกท่วมเมืองที่พวกเขาอยู่ จากการ อาละวาด ของวิหกเพลิง
ขนาดยักษ์

“ อิจิกินายจะบอกว่านกยักษ์นั่นคือแม่ของนายและมาตามนายกลับไปงั้นเหรอ ”
เซโร่ตะคอกใส่ อิจิกิ ด้วยความไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมา
จากปากเพื่อนของเขา

“ ที่จริงชั้นหนีมาจากพระราชวังฟีนิกซ์ (Phoenix Palace) เพราะแม่บังคับให้ชั้นสืบทอดตำแหน่งเป็นราชาต่อจากพ่อแต่ว่าชั้นอยากจะท่องเที่ยวอย่างอิสระ
มากกว่าเพราะถ้าเป็นราชาชั้นก็ต้องอยู่แต่ในวัง ”
อิจิกิ สารภาพ

“ แล้วทำไมแม่นายถึงตามมาเจอได้ล่ะ ”
เซโร่ กล่าวถามถึงสาเหตุ

“ หรือเพราะสร้อยคอของอิจิกิที่ฉันเก็บได้เมื่อวาน”
เรโค่กล่าวขณะที่นึกย้อนถึงเรื่องที่ผ่านมา เมื่อวันก่อน ในขณะที่เซโร่และอิจิกิ ฝึกการใช้
วิชาปักษาเทวะ นั้นในระหว่างการประลองพลังของทั้งคู่ สร้อยคอเงินที่ของอิจิกิถูก
ตัดขาดนางได้เข้ามาเก็บมันไว้ ทว่าพลังมนต์ของนางก็ทำปฏิกิริยา กับสร้อย มันส่องแสงขึ้นแล้วจึงจางลง
เพียงพริบตานั้นพวกเขาหาได้รู้ไม่ว่า สร้อยคอได้ อาศัยพลังเวทย์ของนาง ส่งสัญญาณ ให้วิหกเพลิงยักษ์
บินตรงมายังเมืองท่าแอนดิซองแห่งนี้

“ สร้อยคอของชั้นเป็นเครื่องส่งสัญญาณไปยังพระราชวัง แม่คงตามสัญญาณนั้นมา ”
อิจิกิ ขยายความให้ก่อนจะก้าวออกไปยัง เนินที่ด้านล่างคือเมืองซึ่งกลายเป็นทะเลเพลิงไป

“ นั่นนายจะไปไหนน่ะ ”
เซโร่เรียกเพื่อจะหยุดเขาไว้

“ ถ้าชั้นไม่ไปแม่ก็จะเผาเมืองนี้จนเป็นเถ้าชั้นไม่อยากให้ใครต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ”
อิจิกิกล่าว ก่อนที่ร่างของเขาจะลุกเป็นไฟและกลายเป็นนกฟีนิกซ์

“ เราคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะลาก่อนนะ เซโร่ เรโค่ ”
อิจิกิกล่าวก่อนจะบินเข้าไปหาวิหกยักษ์ ขณะเดียวกันพวกชาวเมืองก็แห่กันขึ้นเนินมาหาพวกเขา
พร้อมกับที่นกฟีนิกซ์สองแม่ลูกจะบินจากไปทิ้งไว้แต่เพียงซากปรักในกองเพลิง

“ พวกมันอยู่นั่นไง จับตัวไว้ ”
เสียงดังขึ้นก่อนที่ชาวเมืองจะแห่กันมาล้อมกรอบพวกเขาไว้

“ นี่มันเรื่องอะไรกัน ”
เซโร่กล่าวด้วยความสับสน

“ เซโร่ออกมาให้ห่างจากเธอคนนั้นซะ ”
เบอนาร์ดกล่าวออกมาต่อหน้าฝูงชนที่ล้อมกรอบพวกเขาทั้งสองไว้

“ ปู่นี่มันเรื่องอะไรกันครับ ”
เซโร่ถามด้วยความงุนงงในขณะที่ เรโค่เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี

“ นังเด็กนั่นเป็นปีศาจ ”
“ มันเป็นคนพาหายนะมา ”
“ นังตัวซวย ”
เสียงโห่อย่างไม่พอใจของชาวเมืองดังระงม

“ หุบปากซะ ”
เซโร่ตะคอก ก่อนที่ แท่งผลึกน้ำแข็งปลายแหลม จะพุ่งทะลวงพื้นขึ้นมากัน เขากับเรโค่ไว้จากชาวเมือง

“ เรโค่ไม่ได้ทำอะไรผิด อย่ามาใส่ความกันเอาเอง..... ”
เซโร่ตะหวาดด้วยโทสะ ที่ครุกรุ่นเต็มที

“ เซโร่ส่งเด็กคนนั้นมาซะ เพื่อความสงบเราต้องกำจัดเธอ ”
เบอนาร์ดพยายามเจรจาอีกครั้งแต่ทว่า วาจาที่กล่าวออกมานั้นยิ่งทำให้เซโร่
ทวีความโกรธยิ่งขึ้น

“ เพราะลงความเห็นพ้องกันก็จะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ควรโดยจะไม่ดูความจริงเลยรึไง ”
เซโร่ ตะคอกอย่างไม่พอใจในการกระทำของพวกเขาและปู่ของตน

“ ถ้าแกจะปกป้องนังเด็กนี่ล่ะก็แกกับชั้นก็ขาดกันแต่เดี๋ยวนี้ล่ะ ”
เบอนาร์ดกล่าว เสียงแข็ง คำพูดของชายชรา ทำให้เซโร่ สลดด้วยความผิดหวังเขาหันไปมองหน้าเธอ
ก่อนตัดสินใจ ลากเธอบินหนีไป

“ ผมขอโทษครับคุณปู่…ลาก่อน ”
เซโร่หันลงมาบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจูงมือของเธอลอยหายลับไป
ทิ้งให้ชายชราต้องผิดหวังกับการตัดสินใจของเขา

“ ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางที่จะไปแล้วสินะ ”
ชายชราคิด อย่างเศร้าหมอง

“ เซโร่เจ้าจงเดินไปตามทางที่เชื่อมั่นเถอะข้าเชื่อว่าซักวันเราคงจะได้พบกันอีก ”
ชายชราเปรยเสียงแผ่วขณะที่แหงนหน้ามองฟ้า ด้วยความอาวรอยู่ลึกๆ

ภาพทั้งหมดเลือนรางลง ก่อนที่เรโค่จะรู้สึกตัวว่าเธอหลับไ ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการนั่งภาวนาติดต่อกัน
ความกังวลทำให้นางฝันถึงเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้ง

“ พอมาคิดดูอีกทีฉันอาจจะเป็นคนที่นำโชคร้ายมาก็ได้ พูดตอนนี้ก็สายไปแล้ว ”
เรโค่กล่าวกับ เซโร่ที่ถูกขังไว้ในผลึกน้ำแข็ง ด้วยสายตาเหม่อลอย
……………….
..........................
............................

ระหว่างที่สถานการณ์ กำลังแย่ลงเรื่อยๆนั้น Lr ได้ปลดปล่อยพลังของมุรามาซะโซลออกมาและพุ่งตรง
ฟันใส่ร่างของกาเร็ททว่าโล่ที่เขาถืออยู่ก็สร้างเกราะพลังคุ้มกันเขาไว้ ทำให้ดาบไม่อาจเข้าถึงตัวเขาได้
ทันทีที่ Lr ใส่แรงฟันลงไปมากขึ้นเกราะก็สะท้อนแรงของเขากลับจนกระเด็นออกไปกาเร็ทจึงถือโอกาสวิ่งไปคว้า มิรัยเคนขึ้นมา และยกขึ้นรับดาบของ Lr ที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วไว้อีกครั้ง ทั้งสองประดาบโดยแข่งกันใส่แรง กาเร็ทตัดสินใจผลักตัวออกห่าง ซึ่ง Lr ก็ตวัดดาบกลับขึ้นอย่างเร็วในทันที คลื่นพลังสีดำถูกฟาดออกไปพร้อมกัน โล่ของกาเร็ทได้สร้างเกราะขึ้นมาด้วยตัวเองทันที
 
“ ถ้าแสงนั่นโดนโล่ล่ะก็.. ”
กาเร็ทอุทาน ภาพความคิดที่โล่สะท้อนพลังของ Lr กลับไปจะฆ่าน้องชายของเขา
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเบี่ยงโล่ออกและยอมรับคลื่นพลังไปเต็มๆร่างของเขาล้มลง พร้อมกับที่ดอกไม้ผลึกที่เหน็บไว้
ที่คอเสื้อปลิวหลุดออกมา

“ จบกันซะทีโล่ของพี่ผมจะขอรับไว้เองแล้วทีนี้ผมก็จะเป็นผู้กล้าที่สมบูรณ์แบบซะที ”
Lr กล่าวพร้อมกับหันคมดาบลงเพื่อจะแทงซ้ำเสียให้ตาย
ในขณะที่กาเร็ท คลานเพื่อที่จะไปเก็บดอกไม้ผลึกที่ตั้งใจจะเอามาให้ Lr 
ในวินาทีที่คมดาบกำลังจะฝังลงไป นั้น พวกเจนัสที่คิดจะเข้าไปห้าม ซึ่งไม่มีทางที่จะไปทัน

“ Time Walk ”
สิ้นเสียงทุกอย่างรอบๆก็เคลื่อนไหวช้าลงจนแทบจะไม่ไปไหนเลย ผู้สวมใส่แอคเตอร์ ออบซเดียนฟอร์มได้เดินเขย่งขาตรงไปยังคู่พี่น้อง ก่อนจะตวัด ดาบปลายข้อมือใส่ดาบมุรามาซะ ในมือของ Lr จนหลุดกระเด็นออก
ไปลอยเคว้งอยู่ในอากาศ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

“ Time Walk ”
เสียงดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาเคลื่อนไหวตามเดิม ดาบมุรามาซะที่ลอยอยู่ ได้ร่วงหล่นลงสู่พื้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาพากันประหลาดใจที่ดาบกระเด็นไปอยู่ตรงนั้น โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว

“ นี่มันอะไรกัน... ”
Lr เปรยด้วยความสับสน ท่ามกลางความสงสัยนั้น ไอเย็นสีดำได้คละคลุ้งตลบใส่พวกเขา
จนหายใจไม่ออก พร้อมกับการปรากฏตัวของบุรุษซึ่ง ขี่นกยักษ์ที่มีขนาดพอๆกับตัวเขาเอง
มันมีปีกสีน้ำเงินดำ ดวงตาแดงฉาน แฝงความริษยาที่แรงกล้าเอาไว้ในนัยน์ตา และทันทีที่ปีศาจอีกตนที่ก้าวเข้ามาในกลุ่มควันนั้น ก็เพลิงลุกโหมเผาไหม้อากาศไปแทบจะสิ้น พวกเขาต่างทรมานกับสภาพขาดอากาศที่เกิดจากควันและไฟ เหล่านี้ ในขณะที่อีกตนซึ่งมีหน้าตา ชวนให้หวาดหวั่น แววตาเต็มไปด้วยความโกรธคลื่นพลังอันปลุกเร้าอารมณ์ของพวกเขาจนฉุนเฉียว แต่ด้วยสาภพที่ทรมานเช่นนี้พวกเขาจึงไม่อาจแสดงอารมณ์ออกมาได้

ไม่นานนักทันทีที่ริคุจะใช้พลังเวทย์เรียกลมมา เขาก็ถูก ใยแมงมุมพุ่งมากดร่างจนหมอบลงกับพื้น
ซึ่งแหใยแมงมุมที่ปามานั้นเป็นของปีศาจร่างยักษ์อีกตน

“ เพราะการต่อสู้ของพวกแกมันส่งพลังด้านลบออกมามากมายเสียจนพวกข้าครั่นเนื้อครั่นตัว
ทนไม่ไหวต้องออกมาดูที่ไหนได้กลับเป็นพวกเจ้าเองรึ ”
บุรุษซึ่งเป็นปีศาจที่ขี่นกยักษ์ กล่าวขึ้น ปีศาจทั้งสี่ตนนี้คือเหล่าซิน(Sin)บาป ทั้งสิบที่ได้รับการคืนชีพจากอิเดีย ด้วยพลังของฟอจูนทรีนั่นเอง

“ ลอว์เรนซ์เจ้าจะไม่ทบทวนเรื่องมาร่วมมือกับพวกข้าหน่อยรึ ถึงยังไงเจ้าก็เป็นบุตรของอิดีย ถ้าเจ้ายอมล่ะก็ข้าจะช่วยขอร้องเขาให้ก็ได้นะ ”
ปีศาจซึ่งร่างลุกโชนด้วยเพลิง ยื่นข้อเสนอให้

“ ใช่แล้วลอว์เรนซ์เจ้าปล่อยพลังด้านลบที่มีความริษยาอันแรงกล้า ทำให้เซรัส(Pecca Zelus, the Sin of Envy)
แห่งความริษยาผู้นี้อยากจะดื่มด่ำความริษยาของเจ้าให้ชื่นใจเสียจริง ”
ปีศาจที่ขี่นกซึ่งเป็นผู้สร้างไอเย็นสีดำ กล่าว



“ ความเห็นแก่ได้ของเจ้าก็ช่างหอมหวานยั่วยวนอวารูเซจแห่งความเห็นแก่ตัว(Pecca Avarusage the Sin of Selfishness)ผู้นี้อีกด้วย ”
ปีศาจที่สร้างไฟ กล่าวน้ำลายสอ




“ ความโกรธของเจ้าก็ช่างรุนแรงซะจนข้าอยากจะรู้ว่าอะไรทำให้เจ้าโกรธได้ขนาดนี้มันช่าง
มากมายเหลือคณาจริงๆช่วยให้ความกระจ่างแก่ไอราห์ แห่งความโกรธ(Pecca Ira, the Sin of Anger)ผู้นี้ที ”
ปีศาจซึ่ง ปลดปล่อยคลื่นกระตุ้นจิตให้พวกเขา รู้สึกกระวนกระวายกล่าวขณะที่ควงขวานซึ่งเป็นโลหะดำทั้งเล่มอย่างสบายอารมณ์



“ ความแค้นของเจ้าทำให้ อัลคิสซิ แห่งการแก้แค้น (Pecca Ulcisci, the Sin of Revenge) ผู้นี้อยากจะลองกัดกินดูเสียจริง ”
ปีศาจที่ขว้างใยแมงมุมมากล่าวขณะที่ยกเอาใยออกจากร่างของรุคิที่ไม่มีแรงจะขัดขืนเพราะหายใจไม่ออกแล้ว



“ เจ้าจะว่ายังไงล่ะ ลอว์เรนซ์ ถ้าตกลงก็เดินมาหาข้าซะสิ  ”
เซรุสแห่งความริษยากล่าว ซึ่งพวกลูกมังกรก็เข้าไปรั้งตัว Lr ไว้ทันทีด้วยกลัวว่าเขาจะยอมเสียสละอีกครั้ง
แต่ Lr ก็ไม่ยอมที่จะไปอยู่แล้ว เขาพยายามจะเข้าไปคว้าดาบมุรามาซะที่กระเด็นออกไป ทว่าด้วยความที่หายใจไม่คล่องทำให้เข้าเริ่มรู้สึกเพลีย และทรุดตัวลงนั่ง ภาพทั้งหมดเริ่มพร่าเลือน เช่นเดียวกับ พวกเจนัสและเหล่าลูกมังกร ที่เริ่มจะหมดสติ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเหล่าซิน ทั้งสี่
แต่แล้วกาเร็ทก็เอาโล่ มิคาเอล มาให้เขาถือโล่สร้างเกราะกำบังขึ้นมาคุ้มครอง
เขาไว้จากควันและไฟทำให้อากาศเริ่มหมุนเวียนสู่ร่างของเขา จนได้สติในที่สุด

“ พี่ครับ.. ”
Lr อุทานที่เห็นว่าพี่ของตนยอมเสียสละให้โล่คุ้มครองเขาไว้ส่วนตัวก็ออกไปเผชิญหน้า
กับเหล่าซินแต่ นิลทูเรี่ยนที่เรียกมานั้นก็แทบจะต้านพวกมันไว้ไม่ได้
ที่มือของ Lr ดอกไม้ผลึกที่ พี่ของเขาพยายามจะเก็บ มาอยู่ในมือของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ตัวเขาเองก็ไม่รู้
ดอกไม้ส่องแสงาว่างขึ้นมา พร้อมกับภาพของหญิงสาววัยกลางคนหนึ่งขึ้นมาซึ่งเขาจำได้ว่านั่นคือแม่ของเขานั่นเอง ซาเรีย ซาราเบลด ที่เห็นผ่านความทรงจำของมุรามาซะโซล

“ นี่หรือว่าพี่ตั้งใจจะเอามันมาให้เรา..เพื่อที่เราจะได้เห็นแม่ ”
Lr เปรยขณะที่ความรู้สึกผิด ได้ประดังเข้ามา เพราะความเข้าใจผิดทำให้เขาเรียกเอา เหล่าซินมาและยังเกือบฆ่าพี่ชายของเขาไปแล้ว
ทว่าตอนนี้ มังกรนิลทูเรี่ยนก็ได้พ่ายแก่เหล่าซิน เสียแล้ว พวกเจนัสและลูกมังกร ต่างหมดสติเพราะขาดอากาศ
 กาเร็ทที่ไม่เหลืออะไรจะป้องกันตัวอีกแล้ว กำลังจะถูก ขวานของ ไอราห์ จาม

“ อย่านะ..อย่าทำอะไรพี่เลยขอร้องล่ะ ”
Lr กล่าวความรู้สึกที่อยากจะช่วยพี่ของเขาทำให้เขาพุ่งเข้าไปหา เหล่าซินอย่างไม่เกรงกลัว
ความเข้มแข็งของจิตใจที่แสดงออกมาในตอนนี้ ส่งไปถึงโล่มิคาเอลซึ่งเป็นโล่แห่งจิตวิญญาณ
ที่จะทรงพลังขึ้นกับสภาพจิตใจที่เข้มแข็งหรืออ่อนแอ

ยานไซเบอริก้า ได้เคลื่อนตัวลงมาและ ยิงสาดใส่เหล่าซินจนต้องถอยร่น Lr เข้าวิ่งไป
รับร่างของพี่ชายเอาไว้

“ พี่ผม…ผมขอโทษครับ..พี่ ”
น้ำตาแห่งความเสียใจได้ไหลอาบใบหน้าของเด็กน้อย ต่อหน้าของผู้เป็นพี่ชาย
กาเร็ทจึงปลอบน้องของตน Lr ยกเอาดอกไม้ผลึกที่กาเร็ทให้ไว้พร้อมกับโล่ขึ้นมา

“ พี่ตั้งใจจะเอามันมาให้ผมแท้ๆ..แต่ผมกลับ ”
Lr พยายามจะโทษตัวเองแต่ ก่เร็ทก็ลูบหัวเขาเบาๆอย่างเอ็นดู

“ พี่ไม่ขอให้นายยกโทษให้ที่หนีไปหรอกนะแต่อย่างน้อยก็อยากจะให้นายได้เห็นแม่ได้มีความทรงจำ
เกี่ยวกับแม่บ้างโดยผ่านจากความทรงจำของพี่ ดอกไม้นั่นได้บันทึกมันเอาไว้ตอนแรกพี่ตั้งใจจะให้
ในวันเกิดน้องแต่ว่าก็มาเกิดเรื่องอิเดียซะก่อนก็เลยต้องล่าช้าไป...แค่ก ”
กาเร็ทกล่าวจบก็สำลัก เพราะอาการช้ำในจากการปะทะเมื่อครู่

“ พอเถอะครับพี่ไม่ต้องพูดแล้ว..เท่านี้พี่ก็ลำบากเพราะผมมามากพอแล้ว ”
Lr กล่าวน้ำเสียงสั่น ดาบมุรามาซะกลับคืนสภาพเป็นมาคายาเดียอีกครั้งหลังจากที่จิตใจของเขาสงบลง

“ เชอะน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ ”
“ ความรักความห่วงใยต่อกันเนี่ยข้าเกลียดที่สุด ”
“ งั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว ”
“ ขยี้มันเลย ”

เหล่าซินทั้งสี่กล่าวจบก็ พุ่งเข้าไปหมายจะสังหารไปพร้อมกันซะทั้งคู่

“ จะทำได้เรอะ...พวกแกน่ะ ”
Lr เปรยเสียงเรียบก่อนจะวางร่างของพี่ชายที่สะบักสบอมลง
ก่อนจะหันไปยังเหล่าซิน และยกโล่มิคาเอลขึ้น ดราก้อนฮอลลี่
ได้ส่องประกายแสงขึ้นหลังจากนั้นมังกรพลังทั้งหกสี ก็ได้พุ่งลงมาจากฟากฟ้า
และไหลเข้าสู่ร่างของเขา จนร่างกายของเขาเปลี่ยนไป

“ Weapon Fusion Metamorphose ”
สิ้นเสียงของดราก้อนฮอลลี่ ร่างซึ่งทองแสงก็ปรากฏรูป
อัศวินมังกรผู้มีปีกสีขาวสะอาด เกราะทั้งร่างเป็นทองขาวบริสุทธิ์ โล่มิคาเอล เปล่งประกายเจิดจรัส

“ จิตที่เข้มแข็งคือพลังไปสู่วันพรุ่งนี้นามข้าคือโล่แห่งศรัทธา ทาลิวิลย่า(Thaliwilya) ”
ทาลิวิลย่า ประกาศก้อง ร่างที่สองของอัศวินแห่งตำนาน ผู้ถือครองโล่แห่งศรัทธาได้
ตื่นขึ้นจากนิทราแล้ว



“ จิตวิญญาณอันหาญกล้าแห่งมังกรจักคุ้มครองทุกสรรพสิ่ง Great of Dragon ”
สิ้นคำ โล่มิคาเอล ก็เปล่งแสงขึ้นพร้อมกับ มังกรพลังงาน จำนวนมหาศาลก่อรูปขึ้นในอากาศ
และหมุนวนกันเป็นพายุ พุ่งเข้าพัดโหมใส่เหล่าซินจน พวกมันต้องเปิดประตูมิติหนีก่อนที่จะถูกดูดลงไปยังตาพายุที่เต็มไปด้วยมังกรพลังงาน ซึ่งรอจะขย้ำพวกมันให้สิ้น พายุได้สลายตัวลงพร้อมกับ

ศึกที่จบลงไปอีกครั้ง หลังจากนั้น Lr ก็ได้มีเวลาปรับความเข้าใจกับกาเร็ทพี่ชายของตน
และหวังว่าหลังจากที่จัดการโค่นอิเดียลงได้ พวกเขาจะสร้างอนาคตที่สดใสและอยู่ด้วยกันอย่าง
สุขสงบที่หมู่บ้านมังกร
.............
.................
.....................

ณ บ้านของทิโมธี

“ตอนนี้ท่านอิเดียคือผู้ทรงอำนาจปกครองทั้งฟ้าดิน พระดำรัสแห่งการล้างโลกจะเริ่มในอีกไม่ช้า ขอให้รีบตัดสินใจหน่อยล่ะ ”
ทิโมธีกล่าวขณะที่ถอดหมวกผ้าสีดำที่คลุมหน้าเอาไว้ในชุดของเทพขุนพลนักประดิษฐ์ ต่อหน้าเกรเกอรี่
ซึ่งตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง

“ ทิโมธีเจ้าทรยศต่อพวกเรางั้นรึ ”
เกรเกอรี่กล่าว ซึ่งคำพูดของเขาทำให้ทิโมธีหัวเราะด้วยความขบขันราวกับเป็นเรื่องตลก

“ ข้าไม่ได้ทรยศก็แค่ทำตามที่เจ้าบอกไว้บ่อยๆ…จงเชื่อในคำสอนของพระองค์...ฮิฮิตอนนี้พระประสงค์ของท่าน
ก็คือชำระโลกนี้ให้กลับคืนสู่ความว่างเปล่า เจ้าเองก็ได้เห็นแล้วไม่ใช่รึในบันทึกนั่นน่ะ ”
ทิโมธีกล่าวเสียงเรียบ เกรเกอรี่ได้แต่สับสนกับสิ่งที่ทิโมธีกล่าว

“ หมายความว่าบาปที่ 11 อันเป็นบาปแห่งความกลัวแท้จริงคืออวตารแห่งองค์พระเจ้าสูงสุดงั้นหรือ ”
เกรเกอรี่กล่าวขณะกำไม้เท้าแน่นจนข้อมือขาวซีด ก่อนจะวิ่งออกประตูบ้านไปทิ้งให้ทิโมธีหัวเราะด้วยความพึงพอใจ

โปรดติดตามตอนต่อไป

ในตอนหน้า
ทุกคนต่างมีที่มาที่ต่างกัน บัดนี้พวกเขาได้หวนกลับไปยังถิ่นฐานที่กำเนิดมา

“ นี่อดีตคฤหาสห์แห่งซาราเบลด ”
“ นี่น่ะเหรอ…ที่พ่อกับแม่เคยอยู่ ”

ซึ่งมาพร้อมกับความเจ็บปวดที่แสนสาหัสซึ่งหวนกลับมา

“ คฤหาสน์ของ ลาเซริโอ้ จำได้ใช่ไหมคะพี่ ”
“ นีน่า... ”

สัญญาที่ที่ให้ไว้กับมารดาในป่าลึก
“ ผมกลับมาแล้วครับแม่.. ”
“ ลากูน่าเองก็ร่าเริงขึ้นกว่าแต่ก่อน แล้วตอนนี้ผมยังไม่อยากให้เขาคิดถึงเรื่องนั้นไว้สงครามนี่จบลงผมจพาเค้ามาช่วยรอด้วยนะครับแม่....ท่านแอสต้า ”

จะทำเช่นไรเมื่อหนทางที่เลือกคือศรัทธาและเหตุผล

“ แล้วที่ท่านทำมาตลอดนี่ไม่ใช่ความต้องการของท่านหรือ ”
“ นี่เป็นชะตากรรมที่ฟ้าลิขิตไว้แล้วไม่อาจเปลี่ยนได้อีก... ”
“ สาวกข้า นับแต่นี้เจ้าคือเนโครบิชอป ”
ผู้ที่เฝ้ามองประวัติศาสตร์และนำมาซึ่งคำทำนายแห่งการดับสูญ
“ มนุษย์นั้นจะก้าวต่อไปเพื่อ ให้รู้ยังจุดหมายข้างหน้าแต่เมื่อใดที่รับรู้ถึงสิ่งนั้นก่อนจะได้เดิน
ทางก็ไม่อาจเปลี่ยนไปได้นี่คือชะตา ”

สุดท้ายแล้วพวกเขาจะเป็นเช่นไรติดตามได้ใน
บทที่ 31 Believe or Reason


ตอนวันนี้สั้นมาก ใกล้จะถึงจุดแตกหักละ อีกตอนจะโพสวันพรุ่งนี้นะครับ ส่วนบทนี้ยังกะจะมา for Mother Day ซะจริง
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เกี่ยวกับแม่ไปหมดโฮะๆตามกระแส
« Last Edit: August 12, 2008, 01:51:02 AM by greamon » Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #261 on: August 11, 2008, 09:22:44 PM »

ดีจัง  คุณ greamon เข้ามาโพสนิยายติด ๆ กันเลย   อ่านเพลินสุด ๆ   
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #262 on: August 12, 2008, 07:37:28 PM »

บทที่ 31 Believe or Reason (ศรัทธาหรือเหตุผล)

ณ คฤหาสน์ร้างซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเอรีม บริเวณซากปรักของคฤหาสน์ นั้นล้อมรอบไปด้วยต้นไม้รกหนา
แมลงและสัตว์ขนาดเล็กได้เข้ามาอาศัยอยู่เนื่องจากถูกทิ้งร้างไว้นาน
และไม่ได้มีการบูรณะแต่อย่างใด ที่ประตูทางเข้าซึ่งปิดเอาไว้ด้วยประตูลูกกรงเหล็ก
ซึ่งตอนนี้ มันได้หักและผุพังไปจนสิ้นแล้ว
กลุ่มคนสามคนกำลังเดินเข้ามาภายในบริเวณสวนของ คฤหาสน์

“ นี่อดีตคฤหาสน์แห่งซาราเบลด ”
ชายหนุ่มซึ่งอายุมากกว่าสองคนที่ตามมากล่าวเขาสวมเสื้อเกราะประจำกองกำลังต่อต้าน
โดยผู้ที่ตามเขามานั้น เด็กคนหนึ่งซึ่งมีอายุน้อยที่สุดแม้เขาจะสวมเสื้อแจ็คเก็ตแขนยาวสีแดง
ทับเสื้อยืด แขนสั้นแบบเด็กธรรมดาทั่วไปแต่ที่จะทำให้สะดุดตานั่นก็คือ ตรารองแม่ทัพ
ซึ่งเป็นเข็มกลัดรูปปีกสีทองสองปีกกางติดอยู่ที่ปกเสื้อของเขาซึ่งบ่งบอก ยศรองแม่ทัพของเขานั่นเอง
และที่ข้างๆกันนั้นเด็กหนุ่มอีกคนที่โตกว่าและดูเหมือนจะเป็นพี่ชายของเขา ซึ่งสะพายดาบไว้ที่
หลัง

“  8 ปีแล้วสินะที่ไม่ได้กลับบ้านเนี่ย ”
พี่ชายของเด็กหนุ่มกล่าว นายทหารที่เดินนำทั้งสองมาหันกลับไปทำความเคารพกับน้องชายของเขา
ก่อนจะรายงานอย่างกระฉับกระเฉง

“ หลังจากนี้จะให้ปฏิบัติอย่างไรต่อครับ ”
นายทหารกล่าวอย่างขึงขัง ซึ่งท่าทีที่เคร่งครัดต่อกกของเขาทำเอาเด็กน้อยต้องเหนื่อยใจ
“ กลับไปได้แล้วที่เหลือชั้นกับพี่จะเดินสำรวจต่อเอง ”
เด็กน้อยกล่าวซึ่งนายทหารก็โค้งรับคำก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้ทั้งคู่อยู่กันตามลำพัง

“ โห…กระฉับกระเฉงจัง ลอว์เรนซ์พี่ว่าน้องเคี่ยวกับเขามากไปรึเปล่า ”
พี่ชายกล่าวหยอกน้องชายซึ่งเป็นหัวหน้าของหน่วยนายทหารที่เดินออกไป

“ โธ่พี่กาเร็ทล่ะก็ผมไม่ได้อยากเคร่งครัดขนาดนี้ซะหน่อยเฮ้อ..นี่ก็เพราะเจ้าดราก้อนฮอลลี่
นี่ชอบแสดงพลังเกินความจำเป็นตลอด เลยพลอยทำให้พวกทหารคิดว่าผมเป็นคนเคร่งครัด
ไปด้วย ”
Lr บ่นด้วยความรู้สึกคลางแคลงใจ ในยศรองแม่ทัพที่เขาได้รับแต่งตั้งมา
แม้ในตอนแรก ที่เขากับเจนัส นีน่า ลากูน่า และ ริคุ จะปฏิเสธแต่เป็นจำนวน
ของทหารที่มาเพิ่มมากขึ้นเพราะการคมนาคมของกองกำลงสามารถเดินหน้าได้โดยไม่มีอุปสรรค
จากกำแพงน้ำแข็ง ทำให้ต้องแต่งตั้ง รองแม่ทัพมาช่วยบังคับการและเพื่อเป็นกำลังเสริมให้กับ
พวกเขาที่มีพลังพอจะต่อกรกับพวกระดับผู้นำของศัตรู  เขาถอนหายใจก่อนจะกล่าวต่ออย่างเซ็งๆ

“ ทีตอนแรกก็ทำเป็นไม่เห็นหัวพอตอนนี้ล่ะจะมาทำประจบ….เฮ้อจะมีใครในใต้บังคับบัญชาของผมที่
จริงใจกับผมบ้างนะ ”
Lr บ่นไม่หยุดซึ่งกาเร็ทเองก็ปล่อยให้เขาบ่นให้ฟังไปเรื่อยๆเพราะเขารู้ดีว่าที่แล้วมาน้องชาย
คงต้องเก็บความอัดอั้นตันใจไว้มาตลอด โดยไม่สามารถระบายกับใครได้เลยนั่นก็คงเป็นสาเหตุที่ทำให้
ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จนถูกมุรามาซะโซลครอบงำ

“ ว่าแต่ทำไมอยู่ๆก็คิดจะมาที่นี่ล่ะหืม ”
กาเร็ทถามด้วยความอยากรู้ ลอว์เรนซ์ไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มเล็กยิ้มน้อยก่อนจะ
หันไปมองซากคฤหาสน์

“ นี่น่ะเหรอ…ที่พ่อกับแม่เคยอยู่ ”
Lr เปรยเสียงเรียบ ก่อนจะจูงมือกาเร็ทแล้วดึงเขาไป

“ น....นี่จะไปไหนน่ะ ลอว์เรนซ์  ”
กาเร็ทร้องเสียงหลงขณะที่เดินเสียหลักเซไปเซมาจากการถูก Lr ลากจูงไป
บวกกับคาดไม่ถึงในพละกำลังของ Lr ที่ลากเขาซึ่งแก่กว่า 5 ปีไปได้อย่างสบาย

“ เราเข้าไปดูข้างในกันเถอะครับพี่ต้องไปเล่าด้วยว่าห้องไหนเป็นยังไง
ใช้ทำอะไรด้วยนะ ”
Lr กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสซะจนกาเร็ทอดแปลกใจไม่ได้

“ เฮ่อ…เจ้าน้องคนนี้ไม่อยากเชื่อเล้ยว่าจะเป็นคนๆเดียวกับที่แค้นเคือง
เราจะเป็นจะตายตอนนี้กลับยิ้มแก้มปริเชียวนะ…ว่าแต่แค่เราไม่อยู่ดูแปบเดียว
เจ้าน้องตัวดีเราทำไมมันแรงเยอะจังหว่า..ต้องถาม..แบบนี้มันต้องถาม ”
กาเร็ทคิดด้วยความแปลกใจ

[แปบเดียวบ้านแกสิเจอกันตรงๆครั้งสุดท้ายก็ที่บ้านผีสิงเก๊ โน่นหลังจากนั้นแก
เคยไปถามสารทุกข์สุขดิบกับเค้าไหม]

“ นี่ว่าแต่ช่วงนี้รู้สึกจะแรงเยอะขึ้นเป็นกองเลยนะถามจริงเถอะช่วงที่พี่ไม่อยู่เนี่ยไปทำอะไรมารึเปล่า ”
กาเร็ทถามด้วยความอยากรู้

[แหมมันน่าหมันไส้จริงไอ้เจ้ากาเร็ทเนี่ยไม่ค่อยชอบหน้าเลย ; พอแล้วเกรม่อนคุงบรรยายแทรกแบบนี้
คนอ่านเขารำคาญนะ]

“ อ๋อแค่พักหลังมานี้ สู้บ่อยจนแทบไม่ได้หยุดน่ะครับ ก็เลยไปขอให้เจนัสช่วย
ฝึกพลังกายเพิ่มให้นิดหน่อยจะได้ไม่ล้มพับเอา ”
Lr กล่าวอย่างลิงโลด ขณะที่ลาก กาเร็ทวนเข้าห้องนู้นห้องนี้ไปทั่ว

“ ร…เหรอคงเหนื่อยแย่เลยสิ…แหะแหะ ”
กาเร็ทแกล้งหัวเราะกระหยุมกระหยิม อย่างหนักใจ

“ นี่เจ้าหมานั่นมันฝึกอะไรให้น้องเราเนี่ยแค่นี้ก็จะไม่เป็นคนอยู่แล้ว….เฮ่อแต่ก็ดีแล้วล่ะ
ที่อย่างน้อยเจ้านี่ก็ยังมีเพื่อนในตอนที่เราไม่ได้อยู่ปกป้อง..น้องโตขึ้นมากเลยนะลอว์เรนซ์ ”
กาเร็ทคิดแล้วก็อดปลื้มไม่ได้

[อ๊างงงง เค้าไม่ยอมนะเจนัสคุงมาฝึกให้เค้าบ้างสิเอาแบบ2ต่อ2 น้าาา
;แล้วแกจะมาเสนอตัวออกนอกหน้าทำไมเจ้าการูรูม่อน โป้ก~~~ร่วงคู่ : ขออภัยในความไม่สงบ by
ปิโยม่อน]

ขณะเดียวกัน [ปิโยม่อน: เห็นมั้ยตัดฉากเลย ; เกรม่อน&การูรูม่อน: ขอโต้ด ]

ณ ซากปรักซึ่งเต็มไปด้วยรอยไหม้จากเปลวเพลิงตัวบ้านถูกเผาจนแทบไม่เหลือเค้าให้เห็น
ริคุ นีน่า และ กาเทียทั้งสามได้เฝ้ามองซากที่เหลือเมื่อครั้งอดีต หลังจากที่เจนัสได้บุกเขามาช่วยนีน่า
และจุดไฟเผาทั้งคฤหาสน์ เมื่อ4ปีก่อน

[ปิโยม่อน: ใช้ศัพท์ผิดอ้ะเปล่าเมื่อครั้งเยาว์วัยตอนนี้ยังเด็กอยู่นะเธอ ; เกรม่อน: พอแล้ว! :จากนี้ไม่มีขั้นแล้วจ้า]



“ คฤหาสน์ของ ลาเซริโอ้ จำได้ใช่ไหมคะพี่ ”
นีน่าเปรยขึ้นมาทำให้พี่ชายทั้งสองสะดุ้งด้วยความกังวลว่าการที่เธอกลับมาที่นี่
จะทำให้ความปวดร้าวในอดีตกลับมาอีก

“ นีน่า... ”
กาเทียกล่าวก่อนจะหยุดกึกไปเพราะไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

“ ถึงนี่จะเป็นครั้งแรกที่ชั้นได้มาก็เถอะ แต่ก็รู้สึกได้ว่าที่นี่น่ะเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายเลยนะ ”
ริคุกล่าวขณะที่เดินเข้าไปตบไหล่ นีน่า เพื่อให้เธอสบายใจขึ้น ทำให้กาเทียอดที่จะ
ฉุนขึ้นมาไม่ได้ แต่อีกใจก็คิดว่า ริคุ เป็นญาติกับเธอและเขาเหมือนกันจึงไม่
ถือสาอะไรที่มาละราบละล้วง

“ อืม…ถ้าจะว่าไปที่นี่ก็เป็นที่ๆฉันถูกเจนัสช่วยเอาไว้ครั้งแรก… ”
“ ครั้งที่สองต่างหากล่ะนีน่าน้องจำผิดแล้วล่ะ ”
นีน่ากล่าวได้ไม่ทันจบ กาเทียก็แก้ให้ ซึ่งทำให้นางหน้าแดงด้วยความ
เขินอาย

“ ว่าแต่แล้วเจ้าตัวดีที่เผาบ้านเธอไปไหนซะแล้วล่ะ ”
ริคุกล่าวพร้อมกับหันซ้ายทีขวาทีเพื่อหาตัวเจนัสแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของเขาเลย

“ รู้สึกว่าเขาออกไปจากค่ายตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ ”
นีน่ากล่าว

“ งั้นแล้วใครดูแลพวกทหารที่ต้องฝึกกันเช้านี้อยู่ล่ะในเมื่อเธอชั้นแล้วก็ลอว์เรนซ์ออกมากันหมดเนี่ย ”
ริคุถามด้วยความสงสัย

“ อ๋อชั้นฝากลากุเค้าไว้ทั้งหมดเลยน่ะ ”
นีน่ากล่างเสียงเรียบในขณะที่ ริคุได้แต่ยืนตาค้าง ขณะที่คิดทบทวนประโยคของนางเมื่อครู่อีกครั้ง

“ แต่นั่นมัน..1..2..3..4..ส…สี่กองพันเชียวนะแล้วเจ้าลากุมันจะไหวเหรอ ”
ริคุกล่าวอย่างกระวนกระวาย

อีกด้าน ที่ค่ายพัก เสียงนับจังหวะหนึ่งสองดังมาแว่วมาเรื่อย
พร้อมกับเสียงสนทนาที่ดังแจมาตามกัน

“ ท่านรองลากูน่ากองร้อยที่ 7 กับ 8 เป็นลมไปแล้วครับ ”
“ ท่านรองครับ หน่วยเสบียงยังไม่ได้เตรียมอาหารเลยครับจะทำยังไงดีครับ ”
“ ท่านรองลากูน่าครับรายงานจากหน่วย 5 มาครับเพราะท่านรองนีน่า
ติดธุระเลยให้ส่งรายงานมาที่ท่านแทนครับช่วยตรวจให้เสร็จภายในวันนี้ด้วยนะครับ ”
เสียงสนทนาจากเหล่าหัวหน้ากองที่มาายงานและแจ้งข่าวสารต่างดากันเข้ามาไม่หยุดเสียจน
ลากูน่าต้องวิ่งวุ่นไปทางโน้นทีทางนี้ที จนชุลมุนไปหมด

“ โอยท่านพี่ก็ไม่อยู่นีน่ากับริคุก็ออกไปข้างนอก ลอว์เรนซ์
ก็ไปตั้งแต่เช้าแล้ว ทำไมไม่มีใครอยู่เลยรึไง ”
ลากูน่าโวยวายด้วยความหวุดหวิดขณะที่มือต้องเขียนนู่นทำนี่เป็นประวิง ไม่วายแม้จะต้องเอาหาง
ของตนตวัดช่วยแทนมือด้วยซ้ำ

“ พลังในการทำงานสุดยอดจริงๆใช้หางทำก็ได้ด้วย ”
“ ใช่ๆถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ป่านนี้บ้าไปแล้ว ”
เสียงซุบซิบของทหานหญิงที่ช่วยอยู่ข้างๆเขาดังแว่วมา

“ นี่…ได้ยินนะพวกเธอสองคนน่ะอย่าอู้งานสิ ”
ลากูน่าตวาดอย่างเสียอารมณ์ ทำให้ทหารหญิงทั้งสอง สะดุ้งโหยง

“ ข…ขอโทษค่า ”
ทหารหญิงทั้งสองกล่าวก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ

“ ลืมไปว่าหูไวปานฟ้าแลบ ”
ทหารหญิงแอบซุบซิบกันอีกครั้งก่อนจะต้องหยุดกึกเมื่อรู้สึกได้ว่าถูกจ้องมาจากด้านหลัง
ก่อนจะค่อยๆหันไปดูอย่างช้าๆด้วยหวั่นวิตก รองลากูน่า ได้มายืนอยู่ด้านหลังเธอแล้ว
พร้อมกับใบหน้าไม่สบอารมณ์แม้แต่น้อย

“ ม…มีอะไรหรือคะท..ท่านรอง ”
ทหารหญิงที่ถูกจ้องกล่าวด้วยความระสับระส่าย

“ ไม่ต้องมาไก๋ ไปวิ่งรอบสนามมาสิบรอบเดี๋ยวนี้เลย ”
ลากูน่าตะคอกเสียงดังก่อนที่ทหารหญิงจะรีบวิ่งตัวปลิวออกไป ด้วยความตกใจสุดขีด

“ หนูขอโต้ดค่าจะไม่ทำอีกแล้วค่า ”
ทหารหญิงตะโกนน้ำตาไหลเป็นสาย วิ่งพล่านด้วยความกลัวสุดขีด
ทิ้งให้เพื่อนของเธออีกคนต้องนั่งอยู่กับ ลากูน่าที่เดือดพล่านเต็มทน

“ แล้วเธอล่ะว่ายังไง ”
ลากูน่ากล่าวเสียงแข็ง พร้อมกับมองค้อนด้วยสายตา ปานจะกินเลือดกินเนื้อ

“ หนูกลัวแย้วค่า…. ”
ทหารหญิงอีกคนวิ่งตามเพื่อนของเธอ ออกไปแบบไม่คิดชีวิต

“ เชอะวุ่นวายกันซะจริ้งงงนี่มันจะไม่มีใครมาช่วยเราเลยรึไงกัน ”
ลากูน่าบ่นก่อนจะกลับไปนั่งที่โต็ะและเริ่มทำงานต่อ

“ ท่านรองครับนักประดิษฐ์ ที่จะมาซ่อมกองทัพหุ่นยนต์มาถึงแล้วครับจะให้พาเค้าไปที่
โรงเครื่องจักรเลยไหมครับ ”
นายทหารอีกคนเข้ามารายงาน

“ หือนักประดิษฐ์เหรอ… ”
ลากูน่าเปรยขึ้น ก่อนจะทำหน้าราวกับนึกอะไรบางอย่างได้
………….
…………….
…………………

ณ วิหารแห่งจันทรา

เจนัส กำลังยกแท่นหินแท่นใหญ่มาวางไว้ก่อนจะสลักอะไรบางอย่างลง
บนแท่นด้วยเล็บของเขา

“ เสร็จซะที ”
เจนัสรำพันขณะที่เอามือปาดเหงื่อที่หน้าผากออก
ก่อนจะก้มตัวลงต่อหน้าแท่นหินทั้งสอง

 “ ผมกลับมาแล้วครับแม่.. ”
เขารำพันกับมัน บนแท่นหินนั้นสลักไว้ว่า ราซานี และอีกแท่นสลักไว้ว่า แอสต้า
นี่คือหลุมศพที่เขาสร้างขึ้น โดยตั้งไว้ใก้กับทะเลสาบของวิหาร

“ ตอนนี้ผมยังไม่ค่อยมีเลาเท่าไหร่ไว้ของพ่อผมจะมาสร้างให้อีกทีแล้ว
ตอนนั้นเราก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง ”
เจนัสรำพันกับแท่นหิน ก่อนจะวางดอกไม้ที่เขารวบรวมมาได้
จากทั่ววิหารเพื่อเซ่นไหว้ให้แก่หลุมศพของแม่ทั้งสอง

“ ลากูน่าเองก็ร่าเริงขึ้นกว่าแต่ก่อน แล้วตอนนี้ผมยังไม่อยาก
ให้เขาคิดถึงเรื่องนั้นไว้สงครามนี่จบลงผมจะพาเค้ามาแน่
ช่วยรอด้วยนะครับแม่....ท่านแอสต้า ”
เจนัสกล่าวก่อนจะลุกขึ้นและเดินลงไปในมะเลสาบซึ่งเป็นทางออกไปจากวิหาร
ทันทีที่เขาขึ้นมาจากทะเลสาบลวงตา เขาก็มาโผล่ท่ามกลางป่าลึกในอาณาจักรฟูดินัน

กึงกังกึงกัง!

เสียงเหมือนโลหะกระทบกันดังแว่วมาก่อนที่ ฮอลี่วูลฟ์แอคเตอร์จะวิ่งผ่านเขาไป

“ นั่นมันฮอลี่วูฟล์แอคเตอร์หรือว่าเจ้านักประดิษฐ์มันจะ… ”
เจนัสคิดก่อนจะวิ่งตามมันไป
…………….
………………..
…………………….

ณ เกาะปลายทะเลสาบนีรันด้า

“ ฉันต้องไปแล้วล่ะเซโร่ทุกคนกำลังต้องการความช่วยเหลือแล้วฉันจะกลับมาแน่นอน
และจะต้องล้างแค้นให้เธอด้วย ”
เรโค่กล่าวก่อนจะออกบินไปจากเกาะทิ้งให้เซโร่ ซึ่งยังคงไม่หลุดจากผนึก
เอาไว้เพียงลำพัง

ภาพทั้งหมดนี้กำลังถูกฉายผ่านทางน้ำตกในวิหารปราชญ์มังกรเช่นกัน
อีสควอเทียที่ยังคงมองดูความเป็นไปของแต่ละคน อย่างเย็นใจ
ทว่าก็ได้มีแขกมาเยือน ชายหนุ่มซึ่งถือไม้เท้าเดินเข้ามาพร้อมกับแมวดาค์เดสทินี่

“ ให้รอซะนานเชียวนะเวสเล่รู้ตัวไหมว่าบันทึกของเจ้าน่ะมันสร้างปัญหาไว้ขนาดไหน ”
อีสควอเทีย เปรยขึ้นทันทีที่ชายหนุ่มหยุด

“ แหมข้าแค่เขียนมันเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำให้มันเกิดขึ้นตามนั้นซะหน่อย ”
ชายหนุ่มกล่าวเขาคนนี้ก็คือแวเลี่ยนเวสเล่ (Werrian Wesley) ผู้ที่เขียนบันทึกซึ่ง
บรรยายความเป็นไปทั้งหมด ณ ช่วงเวลานี้นั่นเอง



………….
………………
…………………
ตอนสายของวันนั้น

“ งั้นข้ากลับก่อนนะ ”
ทิโมธีกล่าวก่อนจะเดินออกจากโรงเครื่องจักร เพื่อกลับบ้าน โดยมีลากูน่า
คอยสะกดรอยตามไปอย่างเงียบเชียบ ทันทีที่ทิโมธีเข้าไปในบ้าน
และปิดประตูลง ครั้นเมื่อลากูน่า เปิดประตูเข้าไป เขาก็หายไปแล้ว
ลากูน่ากัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะเดินเข้าไปสำรวจภายในบ้านและไปชนเอาม้วน
กระดาษบนโต็ะ จนมันคลี่ออกมา ซึ่งในกระดาษนั้นเขียนแบบแปลนของ
ออบซิเดียนแอคเตอร์และฮอลี่วูฟล์แอคเตอร์ไว้ รวมไปถึงแอคเตอร์รูปแบบหน้ากาก
กลมมนสีขาว ที่ไม่เคยเห็นอีกด้วย

“ นี่มันแบบการสร้างแอคเตอร์นี่ใช่จริงๆด้วยเจ้านักประดิษฐ์ขาเป๋
ที่เข้าออกภายในกองทัพของเราคือเทพขุนพลนักประดิษฐ์…ต้องรีบบอกให้ทุกคนรู้ ”
ลากูน่าคิดก่อนที่จะคว้าเอาม้วนกระดาษออกไปจากบ้าน ทว่าเขาก็ถูกทินทอน
หุ่นกระป๋องของทิโมธีเข้ามาขวางไว้

“ อย่าคิดว่าจะกลับออกไปนะ..แก็ก ”
เจ้าหุ่นกระป๋องกล่าวก่อนจะพุ่งเข้าโจมตี

………….
…………………
…………………….

ขณะเดียวกัน ลอว์เรนซ์ กาเร็ท กาเทีย นีน่า และ ริคุก็ได้ออกตามหา ลากูน่าที่หายตัวไป
จนไปเจอเข้ากับออบซิเดียนแอคเตอร์ ที่บินผ่านไป พวกเขาได้วิ่งตามมันไปเพราะคิดว่า
อาจเกี่ยวข้องกับการหายไปของลากูน่า จนในที่สุดเมื่อแอคเตอร์ทั้งสอง มาเจอกัน
ที่ทุ่งหญ้านอกกำแพงเมือง ที่นั่นพวกเขาได้พบกับเจนัสที่วิ่งตามฮอลี่วูฟล์แอคเตอร์
มา

“ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ”
เจนัสกล่าวขณะที่วิ่งมาสมทบกับพวกเขา

“ เราออกมาตามลากูน่าน่ะเค้าหายตัวไปไม่มีใครรู้ว่าเค้าไปไหนก็ตามไป
เรื่อยจนเจอแอคเตอร์ก็เลยตามมาเนี่ย ”
Lr อธิบายพร้อมกับชี้ไปยังแอคเตอร์ทั้งสองที่ ยังคง
วนเวียนอยู่แถวนี้

“ อ้าวว่าไงพวกเจ้าสบายดีไหม ”
ทิโมธีซึ่งโผล่มาโดยไม่รู้ตัวทักทายพวกเขา โดยเดินสะเปะสะปะ
ตรงมาหาพวกเขา

“ บาดเจ็บที่ขาข้างเดียวกับเจ้านักประดิษฐ์เลยจะว่าไปเจ้านี่ก็เป็นนักประดิษฐ์
ของกองกำลังเหมือนกันไม่แน่…นี่หรือว่า ”
เจนัสคิดซึ่งนีน่าและริคุเองก็เริ่มคิดแบบเดียวกับเขา

“ ทุกคนถอยออกมา…เจ้านั่นคือนักประดิษฐ์…เทพขุนพลนักประดิษฐ์ ”
เสียงตะโกนของลากูน่าดังมาจากด้างหลังของพวกเขาเมื่อหันไป
ก็เห็นลากูน่าวิ่งโบกม้วนกระดาษอยู่ในมือ โดยมีเจ้าหุ่นกระป๋องลากติดมาด้วย
ไม่นานนักแอคเตอร์ทั้งสองก็พุ่งเข้ามายังกลุ่มของพวกเขาจนต้องถอยหนี
ออกมา

“ รู้ตัวแล้วรึ ”
ทิโมธีเปรยก่อนที่เหล่าซินทั้งสิบตนจะปรากฏกายขึ้น
พร้อมกับการมาของเกรเกอรี่ โดยที่เหล่าอารักขเทวดาทั้งห้าของเขาถูก
เหล่าซินตรึงไว้

“ นี่มันเรื่องอะไรกันท่านบิชอป ”
กาเร็ทกล่าวด้วยความสับสนเช่นกันกับทุกคนที่อยู่ตรงหน้า
ทว่าเกรเกอรี่ก็โยนหนังสือซึ่งเป็นบันทึกที่ Lr ได้ไปเอามาจากฐานกำลังทางเหนือ
ทันทีที่เขาเก็บขึ้นมาอ่านเนื้อความในหน้าที่ถูกขั้นไว้

    …..และแล้วบิชอปแห่งฟีเลเซียผ้ยึดมั่นในพระองค์ ก็ได้เลือกที่จะรับใช้พระองค์
และทรยศต่ออุดมการณ์แห่งศาสนจักร………..

“ นี่มันอะไรกัน ”
Lr เปรย มือที่กางหนังสือสั่นเทา

“ ก็อย่างที่เห็นนั่นล่ะเกรเกอรี่จะมารับใช้พระองค์อย่างเต็มใจใช่มั้ยล่ะ ”
ทิโมธีกล่าวขณะที่หันไปขอเสียงสนับสนุนจาก เกรเกอรี่
ไม่นานนัก ประตูมิติก็เปิดออก มังกรเพลิงโลกัณฑ์มอนิอัส
และมังกรแห่งการทำลายล้างลุมเบเลนอส ได้ก้าวออกมาจากประตู
พร้อมกับ ชายผู้อยู่เหนือกาลเวลาความเป็นและตาย
ลิขิตชีวิตของทุกผู้ ก็ได้ปรากฏต่อหน้าพวกเขา

“ อิเดีย… ”
สิ้นคำของ Lr ดราก้อนฮอลลี่ก๋ส่องแสงสว่างขึ้นก่อนที่ดาบมาคายาเดียจะมาอยู่ในมือของ
เขา และกลายร่างเป็นทาลิวิลย่าพร้อมกับที่ลูกมังกรทั้งหกได้เปลี่ยนร่างเป็น
มังกรกริฟ ชินเซเบอร์และมิรัยเคนของกาเทียและกาเร็ทได้ อัญเชิญ
มังกรอัสนีบาตอันเป็นอาวุธแห่งเทพ โกรอทพาลม่า และสุดยอดมังกร นิลทูเรี่ยน
ออกมา ในขณะที่พวกเจนัสก็เตรียมพร้อมรับมือ

“ ศึกที่ยาวนานมาตัดสินกันที่นี่เลย ”
ทาลิวิลย่ากล่าวก้อง

“ วันนี้ข้าไม่ได้มีธุระกับพวกเจ้า แค่จะมาต้อนรับสาวกคนสุดท้ายของข้าก็เท่านั้น ”
อิเดียกล่าวขณะที่มองค้อนไปยังเกรเกอรี่

“ เอาล่ะมาอยู่ด้วยกันเถอะสหายข้า เราจะช่วยกันชำระโลกนี้ซะ ”
ทิโมธียื่นหน้ากาก กลมสีขาวซึ่งเป็นอันเดียวกับที่บิชอปชุดดำผู้ซึ่ง
ควบคุมอัศวินนรก ให้แก่เขา

“ นี่คือ มาร์คแอคเตอร์ (Mask Actor)เพียงสวมมันเจ้าก็จะได้มารับใช้พระองค์อย่างที่เจ้าหวังแล้ว ”
ทิโมธีกล่าว

“ รับใช้พระองค์อย่างที่หวังอะไรกันแกมันจอมมารชัดๆท่านบิชอปที่ยึดมั่นและศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่มีทางไปเข้าพวกกับแกหรอก ”
ทาลิวิลย่า กล่าวทว่า เกรเกอรี่กลับ ส่ายหน้า

“ ไม่ทิโมธีพูดถูกแล้ว ท่านผู้นี้คือร่างอวตารขององค์พระผู้เป็นเจ้าจริง ”
เกรเกอรี่กล่าว คำพูดของเขาทำให้ Lr และพรรคพวกแทบไม่อยากเชื่อ
ว่าอิเดียคือร่างอวตารของพระเจ้าสูงสุด




“ แล้วที่ท่านทำมาตลอดนี่ไม่ใช่ความต้องการของท่านหรือ ”
ทาลิวิลย่ากล่าวโดยหวังว่า เกรเกอรี่จะเข้าใจแต่คำตอบที่ได้รับมานั้นกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

“ นี่เป็นชะตากรรมที่ฟ้าลิขิตไว้แล้วไม่อาจเปลี่ยนได้อีก... ”
เกรเกอรี่กล่าวจบก็รับเอามาร์คแอคเตอร์ มาจากทิโมธี

“ ที่แล้วมาเรามักจะเลือกทางเดินที่สวนกับสหายมาตลอดทั้งเคอวินแล้วก็ทิโมธี
บางทีนี่อาจจะดีแล้วก็ได้ ”
เกรเกอรี่คิดในก่อนที่หน้ากากจะถูกสวมลงบนใบหน้าของเขาจนเต็ม
ออร่าสีดำแผ่กระจายปกคลุมร่างของเขา ชุดบิชอปได้เปลี่ยนสีไปจากขาวเป็นดำ

“ สาวกข้า นับแต่นี้เจ้าคือเนโครบิชอป(Necro Bishop) ”
อิเดีย ประกาศก้องก่อนที่ อัศวินสวรรค์จะจุติลงมาจากฟ้า
และเปลี่ยนรูปร่างไปกลายเป็นอัศวินนรก และมาอยู่ข้างกายของเกรเกอรี่ที่กลายเป็นเนโครบิชอป

ภาพเหตุการณ์นี้ก็ได้ฉายไปถึงน้ำตกของวิหารปราชญ์มังกร โดยมีปราชญ์ทั้งสองเฝ้ามองเหตุการณ์
ที่เป็นไปตามคำทำนาย

 “ มนุษย์นั้นจะก้าวต่อไปเพื่อ ให้รู้ยังจุดหมายข้างหน้าแต่เมื่อใดที่รับรู้ถึงสิ่งนั้นก่อนจะได้เดิน
ทาง กระนั้นก็ไม่อาจเปลี่ยนทางไปได้นี่คือชะตา ”
เวสเล่กล่าว เมื่อได้เห็นหนทางที่ดำเนินไปตามอนาคตที่พวกตนได้รับรู้มา

“ จากนี้ไปที่ทะเลทรายแห่งการสูญสิ้นอีกสิบวันดวงสุริยาและจันทรา
จะขึ้นพร้อมกัน เมื่อนั้นข้าจะทำพิธีมหาจุติและโลกนี้ก็จะถึง
กาลปวสานทุกๆอย่างจกลับคืนสู่ความว่างเปล่า ไม่ว่าเทพปีศาจมนุษย์สัตว์ก็จะต้องหายไปจนหมดสิ้น  ”
สิ้นคำอิเดียก็ได้เผยร่างที่แท้จริงออกมา มันมีรูปร่างที่ไม่อาจแยกออกได้ว่าเป็นเทพหรือปีศาจ
แต่นี่คือสิ่งที่เข้าสิงร่างของอิเดียเมื่อ 9 ปีก่อนปีกทั้งสี่ที่มาพร้อมกรงเล็บทั้งหกลำตัวเป็นกระดูกเรียงตัวเป็นเส้น
ดวงตาลุกโชนด้วยเพลิงสีรุ้ง ร่างกายเปล่งประกายสีรุ้งเจิดจรัสตลอดเวลา



“ ข้าจะบอกอะไรดีๆให้ วิญญาณของอิเดีย..ไม่สิวิญญาณของทุกชีวิตในโลกนี้ได้ถูกผนึกอยู่ในตัวข้า
นับตั้งแต่วันที่ข้าจุติลงมา ดังนั้นวิญญาณของครอบครัวพวกเจ้าก็ยังคงอยู่ในอานัติของข้า ”
สิ้นคำ ร่างโปร่งใสของ อิเดีย ซาเรีย ราซานี เซโก้ แอสต้ารวมไปถึงเหล่าเทพขุนพลทั้งหมด
และทุกคนที่ได้ตายไปในศึกนี้ก็ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา

“ วิญญาณของเจ้าพวกนี้จะถูกข้าผนึกไว้และไม่ได้อิสระพวก
มันจะถูกทำให้หายไปพร้อมกับพวกเจ้าแน่นอน ”
อวตารแห่งพระเจ้าได้กล่าวก้องก่อนที่จะเปิดประตูมิติอีกครั้งและ
หายลับไปในพริบตา

“ อีกสิบวัน..งั้นเหรอ ”
ทาลิวิลย่าเปรย  ข่าวเรื่องการทรยศของเกรเกอรี่และทิโมธีรวมไปถึงวันตัดสินของศึกได้ถูกแจ้งไปอย่างรวด
เร็วในวันนั้น และแน่นอนความวุ่นวายได้เข้ามาเยือนเมื่อวันประกาศศึกตัดสินได้ใกล้เข้ามา
บันทึกที่รับมาจากเกรเกอรี่ได้ถูกถอดความออกมาทั้งหมดเกี่ยวกับรายละเอียดที่เหลือ

……ผู้เป็นความหวังที่สามแห่งพระผู้เป็นเจ้านั้นจะกอบกู้โลกจากตัวพระองค์ที่แบกรับพลังด้านลบของ
โลกเอาไว้และจุติลงมานำโลกนี้กลับคืนสู่ความว่างเปล่า ……..

……..เหล่ามนุษย์ได้ดิ้นรนที่จะอยู่รอดโดยพยายามอย่างไร้ผลต่อสู้กับเปลือกนอกของพระองค์
และจบลงที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้………..

………วันที่สุริยาและจันทราจุติ เมื่อนั้นคือสัญญาณแห่งอวสานโลก พระองค์จะจุติอย่างสมบรูณ์
และจะไม่มีใครหรืออะไรมาขวางได้ แม้แต่ผู้เป็นความหวังที่สามของพระองค์ก็ตาม
สวรรค์จะถูกกลืน นรกจะสูญหายโลกจะพังทลาย และดับสิ้นคืนกลับสู่ความไร้ตัวตน……

“ เราไม่มีทางชนะเลยจริงๆนั่นล่ะ ”
อีสควอเทียกล่าว ขณะที่ภาพบนน้ำตกซึ่งฉายภาพอนาคตแห่งความพ่ายแพ้
ของพวกเขา แผ่นดินลุกเป็นไฟ ฟ้าแตกทลาย ท่ามกลางการสู้รบนั้น นอกจากร่างของเด็ก
สี่คนและคนอื่นที่เหลือ กับเศษดราก้อนฮอลลี่ที่แตกกระจาย ดาบมาคายาเดีย หักท่อน
โล่มิคาเอล ถูกเจาะทลาย และร้ายที่สุดร่างของ Lr ที่เต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดไหลโทรมกาย
กับลมหายใจที่แผ่วเบา ต่อหน้าความมืดอันยิ่งใหญ่ที่ดูดกลืนทุกอย่างกลับสู่ความว่างเปล่า
ภาพทั้งหมดที่อีสควอเทียดูในวันที่พวก Lr มาที่นี่เป็นครั้งแรกจนถึงบัดนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยน
แปลง

โปรดติดตามตอนต่อไป

ในที่สุดพวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงทะเลทรายแห่งการสิ้นสุดและเข้าปะทะกับกองทัพมังกรปีศาจทั้งหมด
ในขณะที่ร่างอวตารกำลังรอการจุติ ครั้งใหญ่ วิกฤติการได้เข้ามาเยือนเมื่อเทพไม่อาจยื่นมือเข้าช่วย
เหมือนที่แล้วมา เหล่าผู้กล้าต้องเดินหน้าต่อไปอย่างไร้ทางสู้ วินาทีนั้นจอมเวทย์ผู้แข็งแกร่งก็ได้ปรากฏกาย

“ ฉันจะแก้แค้นให้เซโร่ ”

ทว่าก็ไม่อาจทานอำนาจที่ยิ่งยงได้ ปาฏิหาริย์ที่ได้บังเกิดในขณะนั้นเมื่อจอมเวทย์แห่งการคืนชีพได้
เข้าช่วยเหลือ
“ เซโร่ชั้นจะเอานายออกจากผลึกนี่เองถ้าเป็นไฟของชั้นล่ะก็ต้อง
ละลายมันได้แน่แล้วเราจะได้ไปด้วยกันไปปกป้องเรโค่ ”

เมื่อจอมเวทย์ทั้งสามได้กลับมาอยู่ร่วมกันพลังของวิหกแห่งตำนานจึงเริ่มขึ้น
“ นี่คือพลังที่แท้จริงของพวกเรา ”

“ เปล่าประโยชน์ข้าทำมหาจุติสำเร็จแล้วโลกนี้จงกลับสู่ความว่างเปล่า ”
อวสานโลกได้คลืบคลานเข้ามา


ท่ามกลางความสิ้นหวังนั้นผู้กล้ายังคงไม่ย่อท้อกัดฟันสู้ต่อไป
“ จะโชคชะตาหรืออะไรก็เถอะแต่ทางเดินนั้นตัวเราคือผู้ลิขิตแกไม่มีสิทธิมาลิขิตทางเดินของพวกเรา ”
“ ขอร้องล่ะตัวชั้นอีกคนช่วยมอบพลังให้ด้วย ”
“ หึ หึ หึ ไม่อยากเชื่อเลยที่จะได้ยินคำนี้จากปากของแกก็ได้ข้าเองก็ยังมีเรื่องต้องสะสางกับมัน
เหมือนกันบังอาจหักหลังข้า เอ้าเจ้าพวกปีศาจปลายแถวทั้งหลายจะมายืนโง่อยู่ทำไม
ถ้าอยากหายไปนักพวกแกก็นอนรอวันตายอยู่อย่างนั้นแหล่ะ ”

ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นอีกคราจิตใจที่รวมเป็นหนึ่งก่อกำเนิดพลังที่ยิ่งใหญ่

“ พลังแห่งความนึกคิดคืออำนาจที่จะดำรงไว้ซึ่งทุกสรรพสิ่ง และบัดนี้เราคือ…. ”

ก้าวข้ามลิขิตแห่งฟ้าเพื่อไขว่คว้าอนาคตมาไว้ในกำมือ แสงแห่งความหวังท่ามกลางความมืดมิดที่ว่างเปล่า
ติดตามได้ใน
บทที่ 32  ก้าวข้ามโชคชะตาสู่ขีดสุดแห่งวิวัฒนาการ

ในที่สุดก็มาถึงตรงนี้จนได้ ว่าแต่บทนี้ช่วงต้นแทรกเยอะไปหน่อย แหะๆ ถือว่าคลายเครียดละกันครับ
ว่าแต่หมันไส้เจ้ากาเร็ทอ่ะดูมันดิทิ้งน้องไว้ตั้งนาน ว่าแต่เจ้าการูรูม่อนเนี่ยสิมันเผยธาตุแท้ออกมาเลยง่ะ
ตอนพิมพ์กันเนี่ยมันกรี้ดลั่นห้องซะ เลยหยิบมาใส่โลดให้เขารู้กันให้โม้ด ประจานอย่างนี้ต้องประจาน
เอหรือไม่ต้องประจานก็ออกลายมาแต่หัววันแล้วหว่าเหอๆ ว่าแต่บทหน้างานหนักแน่
จะพิมพ์ได้มั้ยเนี่ยตัวละครเยอะอ่ะ ขนาดบทนี้รวบเต็มที่แล้วยังยาวเลย ส่วนเรื่องเนโครบิชอป
เนี่ยมีใครคาดถึงมั้ยเอ่ยว่าจะเป็นเกรเกอรี่เนี่ย เจ้าทิโมธีนี่คงไม่ต้องบรรยาย
เพราะโผล่หางมาแต่ต้นแว้ว   ที่นี้ร่างสุดท้ายของทาลิคุงคือร่างไหนน้า
จำได้ว่าเคยโพสให้ดูไปแล้วแต่ไม่ได้บอกว่า ไว้ว่าเป็นร่างสุดท้าย ใบ้ให้เป็นโปรโมการ์ดอิอิ
« Last Edit: August 12, 2008, 07:42:12 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #263 on: August 12, 2008, 07:51:59 PM »

บทที่ 32  ก้าวข้ามโชคชะตาสู่ขีดสุดแห่งวิวัฒนาการ

สถานการณ์ภายในกองทัพนับจากวันนั้นก็เกิดกลลาหลไปทั่ว  พวกทหารต้องทำงาน
กันเป็นประวิง หลังจากที่คำสั่งเคลื่อนพลได้ถูกแจ้งลงมา การสะสมเสบียงและอาวุธถูก
ดำเนินการอย่างรวดเร็ว ในขณะที่จำนวนทหารเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ภายในห้องประชุมของพระราชวังเองก็ ตกอยู่ในสภาวะเคร่งเครียดไปต่างกัน
เมื่อกำลังหลักโดยตลอดอย่างกองทัพหุ่นยนต์ของทิโมธี กลับไปอยู่ฝ่ายศัตรู
แม้แต่บิชอปเกรเกอรี่ ก็ยังตามไปกับเขาด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจอย่างยิ่ง
ผนวกกับข้อความทั้งหมดที่บันทึกไว้ในบันทึกของเวสเล่ นั่นยิ่งทำให้พวกเขาสิ้นหวังลงไปอีก
 
“ ตอนนี้เราก็ได้แต่ปิดเรื่องตัวจริงของอีกฝ่ายไว้อย่าให้พวกทหารรู้เท่านั้นเพราะหาก
รู้ว่าจะต้องสู้ทั้งๆที่แพ้พวกเขาอาจจะหมดกำลังใจก่อน ”
แม่ทัพชาว์ลรายงานถึงสถานการณ์ภายในที่เวลานี้สิ่งสำคัญก็คือกำลังใจของทหาร

“ ไม่อยากเชื่อเลยนี่เราจะต้องสู้รบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าจริงๆ ”
คาดินัลมาสซิลิโอ้ เปรยด้วยความผิดหวัง ที่ตลอดมาเค้าคิดว่ากองกำลังต่อต้านนี้
จัดตั้งขึ้นมา เพื่อขับไล่วัญจนะแห่งความมืด แต่กลับเป็นว่าพวกเขาสู้กับสิ่งที่ตนศรัทธามาตลอด

“ แล้วตอนนี้เราก็ยังสูญเสียคนสำคัญในเวลานี้ไปอีก ทั้งท่านบิชอปกับทิโมธี
ตลอดเวลาที่ผ่านมากองทัพหุ่นยนต์ของเราถึงไม่เคยออกไปรบกับพวกมันได้เลยซักครั้ง
และในทุกครั้งทิโมธีจะต้องไม่อยู่เสมอเพราะเขาเป็นอริกับเรานี่เอง ”
องค์หญิงเรจิน่าตรัสอย่างสิ้นหวัง

“ ตอนที่พวกเรามาที่นี่ก็เพราะรู้อยู่แล้วว่า เหล่าบาปจะต้องกลับคืนชีพมาอีกครั้ง
แต่ไม่นึกเลยว่าครั้งนี้เราจะต้องสู้โดยปราศจากความช่วยเหลือของพระองค์ ”
อิสฮานตรัสทรงกำพระหัตถ์แน่นด้วยความเจ็บพระทัย

“ มาถึงตรงจุดนี้แล้วเราจะทำยังไงกันต่อ…..นี่ก็เหลือเวลาอีกแค่ 5 วันเท่า
นั้นเองพรุ่งนี้เราก็ต้องเดินทัพแล้วเพราะต้องใช้เวลาถึง 4 วันที่จะเดินทางไปยังทะเลทรายแห่งการสิ้นสุด
ในเขตทะเลทรายของ ซาโลม ”
ฮารีซันกล่าวอย่างพิเคราะห์ในขณะที่คำนวณระยะเวลาในการเดินทาง

“ เราก็คงได้แต่เดินหน้าต่อไปเท่านั้นถ้าคำทำนายในหนังสือนั่นเป็นจริง เราก็ต้องรบและแพ้ตามนั้น
ยังดีกว่าไม่ทำอะไรรอให้จุดจบมาเยือน ”
กษัตริย์ซิกมันด์ตรัส ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดการประชุมเพื่อหาข้อยุติของ
การเดินทัพครั้งนี้
……………….
…………………….
……………………….

ณ ทะเลทรายแห่งการสิ้นสุด
บริเวณรอบๆอากาศร้อนอบอ้าวด้วยขี้เถ้าของ ภูเขาไฟซึ่งยังคุรกรุ่นอยู่
ลาวาไหลเจิงนองลงมารอบๆปล่อง  ภายในปล่องภูเขาไฟ ซึ่งเต็มไปด้วยลาวาร้อนแรงที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ
อวตารแห่งพระเจ้าได้เฝ้ามองลึกลงไปใต้ลาวานั้น ก่อนที่ประตูมิติจะเปิดออก พร้อมกับการมาของ
เนโครบิชอป

“ ไปจัดการเรื่องในอดีตเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ”
อวตารแห่งพระเจ้าได้ตรัสถาม

“ ขอรับด้วยพลังของแอคเตอร์นี้ทำให้กระหม่อมสามารถเคลื่อนที่ในเวลาได้อย่างอิสระ
และควบคุมอัศวินนรกได้ มันช่างเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่นัก ภารกิจที่ท่านมอบหมายจึงมิได้ผิดพลาดแต่ประการใด ”
เนโครบิชอปกล่าวพร้อมกับโค้งคำนับ

“ ดีมาก…เจ้าทำได้ดีสาวกเอ๋ย..ข้าจะขึ้นไปตรวจการ…ตอนนี้เตรียมพร้อมไปถึงไหนแล้ว ”
อวตารแห่งพระเจ้าตรัสถามอีกครา

“ ทูลพระองค์ตอนนี้เราได้ดำเนินการปิดล้อมทะลทรายแถบนี้ไว้ทั้งหมดแล้ว
นักประดิษฐ์กำลังจัดเตรียมสนามพลังที่จะใช้ทำพิธีอยู่ ”
เนโครบิชอปรายงานพร้อมกับที่ทั้งสองลอยตัวขึ้นมายังปากปล่อง
ทั่วทั้งผืนทรายเต็มไปด้วยฝูงมังกรปีศาจเดินป้วนเปี้ยนเพื่อเฝ้าระวังไม่ให้ใครหรืออะไรเข้ามาในบริเวณได้
มอนิอัสกับลุมเบเลนอสได้บินตรงมายังพวกเขา
ก่อนจะโรยตัวลงพร้อมกับทำความเคารพ

“ บัดนี้เราได้เตรียมการพร้อมแล้วหากศัตรูบุกมาก็สามารถรับมือได้ทันที ”
มอนิอัสรายงายผ่านกระแสจิต

“ ด้วยกองทัพนับแสนล้านนี้พวกเราไม่มีทางปราชัยแน่นอน ”
ลุมเบลเนอสแจ้งด้วยความมั่นใจ

“ ไม่จำเป็นต้องถึงให้กับชนะขอแค่ให้ข้าทำการมหาจุติได้เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ”
อวตารแห่งพระเจ้าตรัส

“ นี่มันหมายความว่ายังไง…เราตกลงกันแล้วไม่ใช่รึ เจ้าเป็นอิสระจากการจองจำของตัวเจ้าเองแล้ว
โลกนี้ก็จะยกให้พวกเราปกครองน่ะ ”
นางปีศาจกายสีขาวและเจิดจรัสด้วยแสงราวกับทูตสวรรค์ถามขึ้นมาอย่างไม่พอใจโดยที่เหล่าบาปที่เหลือ
ตามหลังมา

“ สมกับเป็นบาปแห่งการละเลยในคุณงามความดีจริงๆเรื่องชั่วๆไม่มี
ปล่อยให้หลุดมือเลยนะ อิคนอแรนเทีย(Pecca Ignorantia, the Sin of Ignorance) ”
อวตารนั้นตรัส ในขณะที่มังกรทั้งสอง ได้เข้ามาขวางเหล่าบาปเอาไว้

“ นี่มันไม่เหมือนที่ตกลงกันไว้เลยแกไม่เคยบอกว่าจะชำระล้างทั้งหมด ”
อิคนอแรนเทียกล่าวทวงถึงสัญญาที่เคยตกลงกันไว้

“ ข้าได้ผนึกจิตของตัวเองซึ่งแบกรับเอาพลังแห่งความหวาดกลัวเข้ามาและแยกออกจากพลังอำนาจ
โดยผนึกตัวข้าที่เป็นจิตเอาไว้ที่นรกร่วมกับพวกเจ้า เพื่อที่จะทำให้การจุติสมบรูณ์แบบ
ข้าจำเป็นต้องให้พวกเจ้าช่วย และข้าก็ไม่ได้ผิดคำพูดซะหน่อย ข้าคืนชีพให้แก่พวกเจ้า
แล้วส่วนจะยึดครองโลกนั้นพวกเจ้าก็ไปจัดการกันเอาเองสิ ข้าก็แค่ทำตามความตั้งใจของข้า
แต่เมื่อถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็คงไม่ได้ปกครองอะไรรวมทั้งตัวเจ้าเองด้วยนั่นล่ะ ”
ร่างอวตารตรัส เหล่าบาปต่างจ้องด้วยสายตาโกรธแค้นที่ถูกหลอกใช้

“ นี่เจ้า.. ”
อิคนอแรนเทียสบถก่อนจะ ปล่อยแสงสีขาวออกจากมือพุ่งตรงไปยังร่างอวตาร
ทว่าแสงนั้นก็ได้จางหายไปก่อนจะถึงตัว

“ อย่าพยายามให้เสียแรงเปล่าเลยพวกเจ้าก็มาช่วยกันทำให้โลกนี้และจักรวาลนี้กลับสู่ความว่างเปล่าเถอะ ”
ร่างอวตารตรัสจบก็เดินจากไปทิ้งให้เหล่าบาปต้องกัดฟันด้วยความแค้นเคือง

“ ว่าไงล่ะเนโครบิชอปรู้สึกยังไงบ้าง ”
นักประดิษฐ์เดินเข้ามาถาม เนโครบิชอปที่ยังคงยืนนิ่งอยู่บนปากปล่อง

“ ข้าขอถามหน่อยเถอะเจ้าหวังอะไรจากการศึกครั้งนี้ ”
เนโครบิชอปกล่าวถามด้วยความอยากรู้ ก่อนที่นักประดิษฐ์จะนิ่งเงียบไปพักใหญ่

“ ข้าก็แค่ปรารถนาจะเห็นจุดจบของโลกนี้มันก็แค่นั้น ”
นักประดิษฐ์กล่าวเสียงเรียบก่อนจะเดินจากออกไป

“ จุดจบของโลกหรือ.. ”
เนโครบิชอปทวนคำอีกครั้งก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้เหล่าบาปทั้งสิบ
นั่งสำนึกในความเขลาของตน

…………….
………………….
…………………….

ณ ปลายทะเลสาบนีรันด้าซึ่งติดกับทะเล วิหกเพลิงซึ่งปีกของมันลุกด้วยเพลิง
สีแดงฉานตลอดเวลา มันบินอย่างรวดเร็วเหนือน่านน้ำ
ตรงไปยังเกาะโขดหินซึ่งปกคลุมด้วยน้ำแข็ง

ทันทีที่มันบินมาถึงไฟจากปีกของมันก็ได้ละลายน้ำแข็งที่ปกคลุม
จนหมด มันบินไปหยุดกระพือปีกพั่บอยู่หน้าผลึกน้ำแข็งก้อนใหญ่ที่
แช่งแข็งเด็กชายเอาไว้ มันจ้องลึกลงไปก่อนจะหุบปีกและใช้กรงเล็บเกาะลงบนก้อนน้ำแข็ง

“ ที่แท้คำภาวนาอันแรงกล้านั้นก็เป็นของเรโค่สินะ ไม่งั้นชั้นคงมาไม่ถูกแน่ ”
วิหกเพลิงกล่าวก่อนที่ตัวจะลุกโหมด้วยเพลิงอมตะและกลายร่างเป็นเด็กหนุ่ม

“ เซโร่ชั้นจะเอานายออกจากผลึกนี่เองถ้าเป็นไฟของชั้นล่ะก็ต้อง
ละลายมันได้แน่แล้วเราจะได้ไปด้วยกันไปปกป้องเรโค่ ”
เด็กหนุ่มกล่าวจบเปลวไฟก็ลุกท่วมผลึกน้ำแข็ง

ฝู่วววววววว!

เสียงน้ำแข็งละลายพร้อมกับระเหยเป็นไอก่อนที่จะหยดลงพื้นดังขึ้น
น้ำแข็งค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆจนแตกออกในที่สุดร่างของเด็กชายซึ่งถูกแช่แข็ง
เอาไว้ได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากน้ำแข็งผิวตัวที่ซีดเซียวจากการถูก
แช่เย็นไว้นานได้กลับมาผุดผ่องจากไฟชีวิตที่เผาผลาญร่างของเขา
จนในที่สุดเมื่อไฟดับเด็กชายก็ได้สติ เขาแหงนหน้าขึ้นมองผู้ที่มาช่วยเขาไว้
ก่อนที่ตาจะเบิกกว้างด้วยความตะลึง





“ อิจิกินาย…. ”
เซโร่อุทานเมื่อคนที่มาช่วยเขาไว้คือเพื่อนที่จากหายไปนาน
……………..
……………………..
………………………….

วันต่อมา ขณะที่กองทัพเรือนแสน ได้เคลื่อนตัวออกจากฟีเลเซีย
โดยมีทัพจากฟูดินันและซาโลมมาช่วยเสริมทัพทำให้กองทัพนั้น
มีขนาดใหญ่มากนัก อีกทั้งพลทหารและยุทโทปกรณ์จากแอนดิซอง
ก็ทำให้พวกเขาเคลื่อนทัพได้เร็วขึ้นด้วยพาหนะต่างๆ

ขณะที่พวกเขามาถึงพวกเขามาถึงช่องแคบมาซาด้า ก็ต้องหยุดทัพเพราะเหนือน่านฟ้านั้นได้ฝูงมังกร
หลากหลายธาตุบินตรงมาซึ่งข้างหน้านั้นนำทัพมาด้วย มังกรขาวดีวายดราก้อนและมังกรดำเทียแมต
ตามมาด้วยร่างยักษ์ของแกรนเดครอส พวกมันร่อนลงตรงหน้าทัพ

“ พวกเราทัพมังกรจะขอเข้าร่วมรบไปกับพวกท่านในศึกครั้งนี้ด้วย ”
ดีวายดราก้อนกล่าว นำมาซึ่งขวัญและกำลังใจแก่ทหารทั้งหมดที่พวกเขาได้
ทัพมังกรซึ่งดูจะมีพลังอันแข็งกล้า มาช่วยเหลือ

“ ทุกอย่างกำลังเต้นไปตามจังหวะแห่งโชคชะตาและจะจบลงเมื่อเพลงที่บรรเลงหยุด
ซึ่งนั่นก็คือจุดจบของทุกสิ่ง ”
เวสเล่กล่าวขณะที่มอง ภาพบนน้ำตก ทั้งการรวมทัพใหญ่เพื่อจะทำศึกครั้งสุดท้าย
และทางเดินของเหล่าจอมเวทย์ผู้ทรงอำนาจ ชะตากำลังจะไปบรรจบกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

……………..
………………..
……………………

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #264 on: August 12, 2008, 07:52:20 PM »

4 วันต่อมา

เหนือทะเลทรายแห่งการสิ้นสุด ท้องนภามัวหมองไปด้วยเมฆฝน เสียงฟ้าร้องกึกก้องกัมปนาท
ดวงสุริยาซึ่งแหวกเมฆาทอแสงลงมาพร้อมกันกับดวงจันทราที่ขึ้นมาผิดเวลา สายฝนโปรยปราย
ลงสู่สมรภูมิรบ แต่ทว่าหยดน้ำก็ระเหยก่อนที่จะถึงพื้นด้วยอุณหภูมิที่ร้อนระอุ
หลังจากที่โปรยปรายเป็นเวลานาน อากาศก็เริ่มที่จะเย็นลงมาบ้าง

มหากองทัพทั้งสองฝ่ายได้ยืนประจันหน้า กันก่อนที่เสียงแตรเขาสัตว์ อันเป็นสัญญาณ
แห่งการรบจะดังขึ้น การปะทะกันได้เริ่มตั้งแต่วินาทีนั้นเสียงปะทะของศาสตราวุธดังระงมไปทั่ว
สมรภูมิ เลือดและหยาดน้ำฝนไหลรดลงดินทรายจนแดงฉาน
ฟ้าร้องกึกก้อง ราวกับกรีดร้องด้วยความทุกข์ทน

“ Great of Dragon ”
สิ้นเสียงมังกรพลังงานจำนวนมากก็พุ่งลงจากฟ้าเข้ากวาดล้างมังกรปีศาจ
ทว่า อัศวินนรก ก็เข้ามาขัดขวางการโจมตีของทาลิวิลย่า

มอนิอัสและลุมเบเลนอสได้เข้าปะทะกับแกรนเดครอส มังกรกริฟทั้งหก
ต้องตีฝ่าวงล้อมเข้าไปให้ถึงปากปล่องภูเขาไฟ โดยมีเจนัส ลากูน่า นีน่า และริคุ
ที่กลายร่างสมิง นำทัพตีทะลวง ดวงจันทราเยือกแข็งและดวงจันทราสีเลือดถูกเรียกออกมา
เพื่อสนับสนุนการต่อสู้ เหล่าบาปทั้งสิบต้องต่อกรกับคณะประกาศก
ส่วนการทัพโดยรอบจะบังคับการโดย กษัตริย์ซิกมันต์และองค์หญิงเรจิน่า

นักประดิษฐ์ได้สร้างกองทัพหุ่นยนต์ขนาดยักษ์อย่าง เบต้า- บี ขึ้นมาจำนวนมาก ทำให้ กาเร็ทและกาเทียต้อง
อัญเชิญ โกรอทพาลม่าและนิลทูเรี่ยนลงมา

“ Lighting Claw ”
“ Shining and Darkness ”
สิ้นเสียงสายฟ้าฟาดและประกายแสงดำ
ก็ส่องสว่างวูบวาบไปทั้งสนามรบ

“ ยามใดที่ท้องนภาเปิด….เมื่อนั้นดวงเนตรจักเบิกออก..นำมาซึ่งแสงแห่งจันทรา…ชี้นำทุกสรรพสิ่งสู่ความพินาศ…จงรับความพิโรธนี้ไป….. ”
เจนัสและลากูน่าผลัดกันกล่าวคาถาขึ้นที่ละประโยค ขณะที่ศิลาเริ่มเรืองแสง จนเปล่งประกายเจิดจ้า

“ จันทรคลาสพิโรธ (Wrath Eclipse moon) ”
สิ้นคำแสงจันทราก็แผดเผาทัพมังกรจนราบคาบทางได้เปิดตรงขึ้นไปจนถึงปากปล่อง

“ Weapon Fusion Metamorphose ”
เสียงของดราก้อนฮอลลี่ดังขึ้นก่อนที่ทาลิวิลย่าจะยกโล่มาคายาเดียขึ้นมาและกลายเป็น
อีกร่างซึ่งถือครองโล่มิคาเอล พายุหมุนซึ่งเกิดจากมังกรพลังงานได้พัดทำลายร่างของอัศวินนรก
จนแตกสลาย

“ ยามใดที่นภาปิด…ดวงเนตรจักปรากฏ…รัศมีแห่งอรุณที่ดับสูญ…นำมาซึ่งคมดาบแห่งการสังหาร….
และจักสังเวยเลือดเนื้อของอริจนสิ้นสลาย… ”
นีน่าและริคุทั้งคู่ผลัดกันกล่าวคนละประโยคเหมือนกับที่เจนัสและลากูน่าทำ

สิ้นคำศิลาก็เรืองแสงเปล่งประายเจิดจ้า

“ มือสังหารตะวันเที่ยงคืน ”(Midnight Sun Killer)
ดวงตะวันสีดำได้ปล่อยคลื่นพลังตรึงร่างของเบต้า-บีเอาไว้
ก่อนจะสลายมันด้วยคลื่นเสี้ยวสีดำ

“ เจ้านั่นอยู่ในปล่องภูเขาไฟรีบจัดการมันก่อนจะจุติสำเร็จ ”
ดีวายดราก้อนกล่าว ขณะที่ช่วยเทียแมตกับแกรนเดครอสรับมือ การโจมตีของ
มอนิอัสและลุมเบเลนอสอย่างเต็มที่ ทาลิวิลย่าได้นำพวกเจนัสขึ้นไปยังปากปล่อง
กาเร็ทและกาเทียก็ได้ให้โกรอทพาลม่าบินตามลงดดยที่ตนเรียกไดน่าเบลดกริฟฟินคู่ใจมาช่วยอีกแรง
นิลทูเรี่ยนได้หันไปยิงประกายแสงดำอีกครั้งเพื่อจัดการกับ เบต้า- บี ที่ตามมา
ก่อนจะลงมาสมทบ

“ Change Obsidian From ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของนักประดิษฐ์
ในชุดเกราะออบซิเดียนและเนโครบิชอปที่เดินเข้ามาล้อมพวกเขาไว้
อัศวินนรกถูกเรียกตัวลงมาอีกครั้ง

“ ทางนี้พวกเรารับมือเอง ลอว์เรนซ์ นายลงไปจัดการมันก่อนเลย ”
เจนัสกล่าวจบทาลิวิลย่าก็รับคำก่อนจะบินดิ่งลงไปยังปล่องภูเขาไฟ
ซึ่งถูกปิดไว้ด้วยสนามพลัง

“ Weapon Fusion Metamorphose ”
สิ้นเสียงเขาก็เปลี่ยนกลับมายังร่างของทาลิวิลย่าผู้ถือครองดาบมาคายาเดีย และฟัน
สนามพลังจนแตกร้าว ร่างอวตารซึ่งรอเข้าอยู่ได้บินขึ้นมาหาเขา

“ ที่จริงพวกแกไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาขัดขวางข้าเลยด้วยซ้ำแต่ก็ยังจะทำเพื่ออะไร ”
ร่างอวตารตรัสถาม

“ เพื่อปลดปล่อยเหล่าวิญญาณที่ถูกแกจับไว้ และเพื่อปกป้องอนาคตของพวกเราทุกคน ”
ทาลิวิลย่ากล่าวจบก็ไม่รอช้าพุ่งเข้าฟันร่างอวตารแต่กรงเล็บทั้งหกก็รับดาบไว้ก่อนที่
หัวกะโหลกของร่างอวตารจะพ่นรังสีเป่าเขาจนกระเด็นขึ้นไปยังปากปล่อง

“ ลอว์เรนซ์เรามาช่วยแล้ว ”
อิมซานมังกรกริฟแห่งแสงได้เข้ามาพยุงเขาไว้พร้อมกับเพื่อนๆมังรกริฟตัวอื่น

ร่างอวตารได้ตามเขาขึ้นมา และส่งกรงเล็บทั้งหกไปจับตัวเหล่ามังกรกริฟไว้ ก่อนจะเป่าด้วยรังสี
แบบเดียวกันอีกครั้งจนพวกเขากลับร่างเป็นลูกมังกร

“ หนอยแก.. ”
ทาลิวิลย่ากัดฟันก่อนจะยกโล่มิคาเอลที่สะพายไว้ขึ้นมาแล้วเปลี่ยนร่างอีกครั้ง
ยานไซเบอริก้าได้แหวกเมฆลงมาและ หันปากกระบอกลำแสงทุกกระบอกไปยังกรงเล็บของร่างอวตาร
จนแตกละเอียด ทาลิวิลย่าเริ่มสะสมพลังงานทันที อัญมณีกลางโล่เริ่มเปล่งแสงจ้าขึ้นเรื่อยๆ
ครั้นเมื่อร่างอวตารจะเป่าด้วยรังสีอีกครั้งเส้นลวดอันคมกริบก็พุ่งตัดปีกทั้งสี่ของมันจนเสียหลัก
รังสีจึงเบนทิศพลาดไป

“ ฉันจะแก้แค้นให้เซโร่ ”
เรโค่นั่นเองที่ได้ตวัดเส้นลวดตัดปีกของร่างอวตาร ก่อนที่จะมัดเส้นลวดให้ตรึงร่างอวตารไว้

“ ตอนนี้แหล่ะจัดการมันเลย ”
เรโค่กล่าว

“ Aurora Beam ”
เสียงของดีวายดราก้อนดังขึ้นพร้อมกับแสงพลังงานจากช่องตรงลำตัว
ถูกยิงทะลวงร่างของมอนิอัส ก่อนที่มันจะสูญสลายไป

“ มอนิอัส….พวกแกอย่าอยู่เลย End of Era ”
 สิ้นคำของลุมเบเลนอสแต่ยังไม่ทันที่จะได้โจมตีออกไปมันก็ถูกแกรนเดครอส
ขยี้ด้วยกรงเล็บซึ่งเปล่งสร้างเจิดจรัส จนร่างสลายลง
ทัพมังกรปีศาจเมื่อไร้ผู้นำก็เริ่มแตกสะเปะสะปะ และถูกตีแตกพ่ายในทันที
กองทหารได้เข้าล้อมรอบปล่องภูเขาไฟไว้ทันที

“ มันจบแล้วแกไม่มีทางชนะ…Great of Dragon  ”
สิ้นคำของทาลิวิลย่ามังกรพลังก็รวมตัวเป็นพายุและพุ่งตัวเข้าหมายจะ
ขยีร่างอวตารให้สิ้นสลาย แต่ทว่าภูเขาไฟก็ได้ปะทุขึ้นลาวาอันร้อนแรงได้พุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า
พร้อมกับที่ดวงสุริยาและจันทราซ้อนเป็นหนึ่งเดียวกัน ท้องนภาแดงฉาน แผ่นดินแตกแยก

ท้องทะเลปั่นป่วนพายุพัดโหมกระหน่ำ การโจมตีของทาลิวลย่าได้พุ่งเข้าไปถึงตัวของร่างอวตารแล้ว
ทว่าร่างอวตารกลับสลายไปก่อนจะถูกทำลาย ละอองแสงของร่างอวตารได้ลอยขึ้นไปรวมกันบนเสาลาวา
ซึ่งภายในเสานั้นผลึกแก้วทรงสิบเหลี่ยม ก็ได้แตกร้าวออก ความมืดอันเวิ้งว้างได้แผ่ขยายออกมาจาก
ผลึกนั้นและเริ่มกลายรูปไป

ร่างของมันเป็นมิติอันเวิ้งว้างราวกับหลุมดำที่จะดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง ทั่วทั้งโลกเทอร่าได้เกิด
ภัยพิบัติ น้ำท่วม ไฟไหม้ ดินถล่ม มรสุม สิ่งมีชีวิตล้มตายเป็นจำนวนมาก
ในท้องทะเลเกิดน้ำวนขนาดใหญ่ขึ้นและดูดกลืนทุกอย่างในทะเลลงไปเรื่อยๆ

“ นี่น่ะหรืออวสานของโลกน่ะ… ”
นักประดิษฐ์เปรย ด้วยความผิดหวังก่อนจะทรุดตัวลง

“ ไม่ยอมหรอกวันพรุ่งนี้ของพวกเราของทุกๆคนจะไม่ให้มันสูญหายไปเด็ดขาด ”
สิ้นคำทาลิวิลย่าก็พุ่งตัวเข้าไปยังร่างอวตารที่จุติสำเร็จแล้ว

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #265 on: August 12, 2008, 07:52:31 PM »

“ เปล่าประโยชน์ข้าทำมหาจุติสำเร็จแล้วโลกนี้จงกลับสู่ความว่างเปล่า ”
ร่างอวตารสมบูรณ์กล่าวจบ ความมืดก็ได้ดูดกลืนทุกอย่างเข้ามาร่างของมันขยายขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนที่แสงสีรุ้งจะถูกยิงออกมาทำลายทุกอย่างรอบๆ

ทาลิวิลย่าที่และทุกคนที่ถูกรังสีนั้นก็ได้ถูกดูดกลืนพลังไป ดวงจันทราอัญเชิญของศิลาจันทราได้
สลายลงพร้อมกับร่างของพวกเจนัสที่กลับสู่ร่างเดิม

“ ข้าคือผู้สร้างและทำลาย ข้าคือพระเจ้าแห่งเทอร่า(THE GOD OF TERRA) และเจ้าอัศวินมังกร…เจ้าจะต้อง
หายไปคนแรก ”
สิ้นคำแสงสีรุ้งก็ถูกยิงทะลุร่างของทาลิวิลย่า จนล้มลงก่อนจะคืนร่างเป็น Lr ดาบและโล่กระเด็นไปคนละทิศ
ก่อนจะถูกเสี้ยวของแสงที่ยิงมาทำลายจนเสียหาย รวมไปถึงดราก้อนฮอลลี่ที่คาดเอาไว้ที่ข้อมือ
Lr ก็ถูกยิงแตกกระจายเป็นเศษแสงที่ถูกยิงออกมานั้นได้ย้อนขึ้นไปโจมตีใส่ยานไซเบอริก้าจนพังทลายร่วงลงมา



“ อาวุธของพวกเจ้าข้าจะทำให้มันพังเสียให้หมด ”
พระเจ้าแห่งเทอร่าตรัสจบก็ยิงแสงสีรุ้งออกมานับถ้วน แสงพุ่งเข้าทำลายแคริอุส
หุ่นขนส่งอาวุธจชของนีน่า จนร่วงตกลงมาเช่นกัน แสงที่เหลือทั้งหมด ได้พุ่งลงไปทำลายผืนแผ่นดินจน
สลายและกลายเป็นความมืดพร้อมทั้งดุดกลืนบริเวณรอบลงไปและขยายตัวขึ้น

เหล่าทหารต่างต้องพากันหนีเอาตัวรอดเป็นการใหญ่ แต่ก็ไม่อาจหนีพ้น
ความสิ้นหวังได้มาเยือน อัสวินมังกรแห่งตำนานผู้กอบกู้โลกนี้ได้แพ้ลงเสียแล้ว

“ จงหวาดกลัวเข้าไปมันจะยิ่งทำให้ข้าแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพราะความกลัวจะทำให้พลังแห่งความนึกคิดหายไป
เมื่อกลัวก็ไม่อาจทำได้ทั้งความดีและความชั่วสุดท้ายก็จะกลับคืนสู่ความว่างเปล่านั่นคือที่สุด ”
พระเจ้าแห่งเทอร่าตรัส เจนัสและทุกคนต่างล้มลงอย่างอ่อนแรงจากการที่ถูกชิงพลังไปจนหมด
มังกรที่อัญเชิญจากดาบได้กลับคืนสภาพเป็นดาบดังเดิม เรโค่ที่โดนลูกหลงของแสงก็ไม่อาจลุกขึ้นมาสู้ต่อได้

แม้แต่ Lr ที่ตอนนี้สูญเสียพลังที่จะต่อกรไปเสียแล้วอีกทั้งร่างกายยังบอบช้ำ บาดแผลเต็มไปทั้งร่าง
เลือดไหลชะโลมกาย แววตาไม่เหลือความมุ่งมั่นแต่อย่างใดอีกแล้ว

“ ที่ผ่านมาพวกเจ้าพยายามได้ดีมากแต่โชคชะตาได้ถูกลิขิตให้ต้องจบลงตรงนี้แล้ว ”
พระเจ้าตรัสอีกครา ความมืดอันเวิ้งว้างเริ่มดูดกลืนทุกๆอย่างไป

“ นี่เราคิดถูกแล้วหรือที่จะให้มันกลืนกินทุกอย่าง ”
อิคนอแรนเทียเปรยขณะที่ยังรับมือกับอิสฮาน

“ จะโชคชะตาหรืออะไรก็เถอะแต่ทางเดินนั้นตัวเราคือผู้ลิขิตแกไม่มีสิทธิมาลิขิตทางเดินของพวกเรา ”
เสียงดังขึ้นจากฟากฟ้าพร้อมกับ แท่งผลึกน้ำแข็งจำนวนมหาศาลอาบด้วยเปลวเพลิงพุ่งเข้าใส่ร่างของพระเจ้า
แต่ทั้งหมดก็ถูกดูดกลืนให้ว่างเปล่า และร่างของพระเจ้าก็ขยายขึ้นอีกอย่างรวดเร็ว

“ เซโร่..อิจิกิ ”
เรโค่อุทานขณะที่เพื่อชายทั้งสองลงมาสมทบกับเธอ
พระเจ้าได้โจมตีมาอีกครั้งแต่พวกเขาทั้งสามก็ต้านรับไว้ด้วยกำแพงเวทย์เพื่อไม่ให้
เกิดความมืดมากไปกว่านี้

“ พวกเราไม่มีทางชนะหรอก… ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับไอควันสีขาวจางลง อีสควอเทียและเวสเล่ได้เดินตรงมา
หาพวกเขา

“ พระเจ้าสูงสุดได้จุติลงมาแล้วและโลกก็จะถึงกาลอวสาน ”
เวสเล่กล่าวขณะที่จ้องมองสภาพรอบๆ

“ ถ้าเรา…ถ้าเราไม่พยายามต่อไปถึงตอนนั้นก็จะไม่เหลืออะไรอยู่ดีตราบเท่าที่เรายังพยายามอยู่
มันก็ยังไม่จบไม่ใช่รึไงนักปราชญ์อย่างพวกท่านคิดกันได้แค่นี้หรือ ”
เซโร่ตะคอกขณะที่พยายามดันต้านไว้คำพูดของเขาได้กระตุ้นให้ Lr และพรรคพวก
รู้สึกตัว

“ จริงสิถ้าตัดใจมันก็จบแต่หากพยายามแม้จะน้อยนิดแต่เรายังอยู่ต่อไปนี่ ”
กาเร็ทกล่าวขณะยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับทุกคนและเข้าไปช่วยเสริมแรงต้านให้กับพวกเซโร่

Lr ที่ได้เห็นความพยายามของทุกคนจึงเกิดความรู้สึกที่อยากจะพยายามต่อไป เขาค่อยๆยันตัวลุกขึ้น
แต่ก็ทรุดลงอีกแต่ก็ยังฝืนต่อไป

“ ขอร้องล่ะตัวชั้นอีกคนช่วยมอบพลังให้ด้วย ”
Lr คิดทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากในใจของเขา เศษเสี้ยวที่แตก
ของดราก้อนฮอลลี่ได้เปล่งแสงและเริ่มมารวมตัวกันอีกครั้งจนกลายเป็นศิลามังกร ซึ่งติดกับเชิงตะเกียงเหมือนเมื่อครั้งที่ถูกนำออกมาจากวิหารแห่งมังกร แสงสว่างวาบขึ้นและขยาตัวไปจนถึงพวกเซโร่ที่ยันกันเอาไว้
แสงของพระเจ้าที่ยิงลงมานั้นได้ถูกดูดกลืนกลับและสลายไป

“ หึ หึ หึ ไม่อยากเชื่อเลยที่จะได้ยินคำนี้จากปากของแกก็ได้ข้าเองก็ยังมีเรื่องต้องสะสางกับมัน
เหมือนกันบังอาจหักหลังข้า เอ้าเจ้าพวกปีศาจปลายแถวทั้งหลายจะมายืนโง่อยู่ทำไม
ถ้าอยากหายไปนักพวกแกก็นอนรอวันตายอยู่อย่างนั้นแหล่ะ ”
 เสียงของมุรามาซะโซลดังขึ้น พร้อมกับร่างของ Lr อีกคนที่แยกออกมาได้มาอยู่ต่อหน้าพวกเขา
ดาบมาคายาเดียและโล่ถูกซ่อมจนกลับมาใช้ได้อีกครั้ง

“ พวกเราก็จะร่วมสู้กับพวกแกด้วย ”
เสียงของเหล่าบาปทั้งสิบดังขึ้น หลังจากที่ได้ยินคำพูดของมุรามาซะโซล จึงตัดสินใจจะร่วมมือกันเพื่อยับยั้ง
อวสานโลก แม้แต่เหล่าปีศาจทั้งหลายที่เคยอยู่ฝ่าย อิเดียก็มาเข้าร่วมด้วย
ฟ้าได้เปิดออกเหล่าทวยเทพซึ่งนำโดยหลักสวรรค์ทั้ง 5 ก็ลงมาให้ความช่วยเหลือโดยรักษาบาดแผลให้แก่พวกเขา

“ พวกเราทราบซึ่งในความพยายามของพวกเจ้า ถึงคราวที่เทพมนุษย์และปีศาจจะร่วมมือกันบ้างแล้ว ”
เจนนิเฟอร์(Jennifer, the Immaculacy of Heaven)หลักสวรรค์ผู้มีเพลงแห่งจักรวาลกล่าวก้องกังวาล



“ พระองค์ทรงดูแลและช่วยเหลือทุกชีวิตบนโลกเทอร่านี้มาตลอดพวกเราปฏิบัติและเชื่อฟังท่าน
แต่ครั้งนี้เราจะขอขัดอานัติของท่านถึงคราวที่พวกเราจะช่วยเหลือท่านจากพลังชั่วร้ายบ้างแล้ว ”
เรกูลัม (Regulam, the Order of Heaven) หลักสวรรค์ผู้พิทักษ์กฎแห่งสวรรค์กล่าว



“ ข้าตาสว่างแล้วจะขอช่วยอีกแรงละกัน ”
นักประดิษฐ์กล่าวขณะที่เดินมาพร้อมกับเนโครบิชอป

“ พวกเราสามคนก็เอาบ้างสิแสดงพลังให้ทุกคนเห็นเลย ”
เซโร่กล่าวจบ พวกเขาทั้งสามก็เริ่มร่ายคาถา

“ จงประทับยังนภาเหมันต์ Ice Swan(หงส์น้ำแข็ง) ”



“ จงลุกโชนเหนือฟ้าร่ายรำเหนือเวลา Fire Phoenix(ฟีนิกซ์เพลิง) ”



“ จงสยายคมดาบและร่อนสู่ท้องนภา Sword Condor(แร้งดาบ) ”



สิ้นคำของทั้งสามร่างของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไป
เซโร่สวมแผ่นน้ำแข็งจับรูปเป็นชุดเกราะซึ่งลักษณะคล้ายหงส์
อิจิกิ ก็เช่นกันร่างปกคลุมด้วยเปลวเพลิงซึ่งจัดรูปราวกับฟีนิกซ์
และเรโค่ ขนปีกของเธอแปลสภาพเป็นดาบข้างละหกเล่มเรียงไล่กันลงมา
ตัวถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะ เหล็กกล้า

“ นี่คือพลังที่แท้จริงของพวกเรา ”
ทั้งสามกล่าว บัดนี้เป้าหมายของทุกคนได้เป็นหนึ่งเดียวกันนั่นคือ ปกป้องโลกนี้และอนาคตไว้
ต่างลืมความบาดหมางทั้งหมดไปและหันหน้าเข้าหาศัตรูที่แท้จริง
ศิลามังกรที่ซึมซับพลังแห่งความนึกคิดอันแรงกล้าเข้าไปนั้นได้เปล่งแสงอีกครั้ง

“ เริ่มแล้วสินะ ”
มุรามาซะโซลกล่าว แสงหกสีได้พุ่งออกมาจากศิลาก่อนจะลงล้อมร่างของ Lr ไว้
แสงเหล่านั้นกลายเป็นอัศวินมังกรทั้งหก ทาลูคูส ทาโซรอส ทาลิควาส ทาเวนทอส
ทาลิคนัส และ ทาไนซ

“ พวกเราคืออัศวินรับใช้แห่งทาลิวิลย่า..โปรดออกคำสั่งด้วยท่านผู้ถูกเลือก ”
อัศวินทั้งหกกล่าว

“ สุดท้ายแล้ว ลอว์เรนซ์ ที่ชั้นเคยบอกว่าถึงยังไงเธก็ยังเป็นเธอตอนนี้คงเข้าใจความหมายนั้นแล้วใช่มั้ย ”
ดาบมาคายาเดียกล่าวขึ้นมา

“ ครับผมเข้าใจดีแล้ว…ไม่ว่าผมจะเป็นผู้ถูกเลือกและได้รับโชคชะตาอย่างไร
สุดท้ายผมก็คือผมทางเลือกที่จะเดินนั้นผมคือผู้ลิขิต ”
Lr กล่าวจบศิลามังกรก็เปล่งแสงอีกครั้ง

“ Hyper Fusion ”
เสียงของศิลามังกรดังกังวานก่อนที่เขาจะเปลี่ยนร่างเป็นอัศวินมังกรขนาดใหญ่
ร่างสีทองเปล่งประกายเจิดจ้าราวกับดวงสุริยา ดาบมาคายาเดียถูกขยายขนาดขึ้น
และมีคลื่นไฟฟ้าทรงพลงอาบไปทั่วทั้งเล่ม โล่มิคาเอลกลายเป็นปีกให้แก่อัศวิน

 “ พลังแห่งความนึกคิดคืออำนาจที่จะดำรงไว้ซึ่งทุกสรรพสิ่ง และบัดนี้เราคือ
ที่สุดแห่งตำนาน ทาลิวิลย่าที่แท้จริง (Thaliwilya, the Transformism ) ”
ทาลิวิลย่ากล่าว ก่อนที่พลังงานของร่างจะไหลไปอาบร่างของเหล่าลูกมังกรทั้งหกจนหลอมรวมเข้าด้วยกัน



“ มิตรภาพ ความหวัง ความสัตย์ คุณธรรม ปัญญา และความเมตตา เมื่อใดที่พลังทั้งหกมุ่งหวังในสิ่งเดียวกัน
นามของข้าคือมังกรหกธาตุทลายมาร Amankrist ”
อแมนคริสได้ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง พลังที่เหลือยังส่งผลให้เหล่ามังกรที่มาร่วมต่อสู้พัฒนาตามๆกันไปด้วย


“ เอาล่ะตาข้าแล้วสินะ ”
มุรามาซะโซลเปรยก่อนจะควงดาบยาวในมือและเปลี่ยนร่างเป็นอัศวินมังกรเหล็กกล้า

“ การดิ้นรนครั้งสุดท้ายหรือน่าสนุกดีนี่ ”
พระเจ้าตรัส ก่อนที่อัศวินมังกรทั้ง แปดและเหล่าผู้กล้าทั้งหลายจะหันเข้าใส่

บัดนี้ม่านแห่งการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกำลังจะเปิดขึ้น….

โปรดติดตามตอนต่อไป

Legend of the Thaliwilya ตอน อวสาน

ในที่สุดพลังที่แท้จริงของอัศวินแห่งตำนานก็ได้ตื่นขึ้นมาครบแล้ว การต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่จะตัดสินชะตาของโลกเทอร่า ได้อุบัติขึ้น

“ จงหายไปให้หมดทั้งโลกและจักรวาลนี้จงหายไปซะ ”
พลังแห่งความมืดเข้ากัดกินโลกทีละน้อยๆ

“ พลังแห่งความนึกคิดของทุกคนที่ปรารถนาในความสงบสุขนั้นไม่มีขีดจำกัดจึงไม่มีทาง
…สูญสลาย.. ไปได้… ”
คำอธิษฐานและเสียงวิงวอนในความสงสุข

“ รอด้วย…ไลท์ ”


สุดท้ายแล้วอนาคตของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ สงครามอันยาวนานนี้กำลังจะปิดม่านลง
ในไม่ช้า ติดตามได้ในตอนอวสาน
บทที่ 33 อนาคตที่แท้จริง

โอยเหนื่อยสายตัวแทบขาด บทนี้รวบสุดๆ ว่าแต่พักหลังรู้สึกลูกมังกรไม่มีบทเลยนะว่ามั้ยครับ
และวันอาทิตย์นี้คอยดูตอนอวสานกันด้วยนะจ้ะ

Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #266 on: August 12, 2008, 10:30:56 PM »

จะจบแล้ว ๆ  จบอยู่ที่ 33 ตอน ถ้าเกิดเอาไปทำเป็นอนิเมชั่นก็ตอนน้อยเหมือนกันนะเนี่ย   ถ้าจบแล้วแผนงานเรื่อง crisis  of  valkyries  จะมีมั้ยล่ะเนี่ย   
Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #267 on: August 12, 2008, 10:50:43 PM »

แหม 33 ตอนนี่ก็เยอะแล้วน้า ทีมนต์รักสาวลอลลี่ป็อบ ยังมี แค่13ตอนจบเลย
ว่าแต่พระเจ้าแห่งเทอร่าเนี่ยหน้าตาคุ้นๆมะ ส่วนโปรเจ็คภาค 2 ได้
ชื่อมาแว้ว และเจ็ก็เป็นคนแต่งแทนเองจ้า แต่เกรม่อนคุงยังคงช่วยงานอยู่
ดังนั้นในส่วนของเนื้อหาก็ยังคงไสตล์เดิมๆจ้า ส่วนชื่อนั้นจะประกาศให้ทราบอีกทีจ้ะ
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #268 on: August 17, 2008, 07:33:01 PM »

บทที่ 33 อนาคตที่แท้จริง  (บทอวสาน)

 “ เร็วเข้ารีบออกจากเมือง…. ”
เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับฝูงชนที่วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ประตูเมืองทีนวาแลนถูกเปิดออกอย่างอย่างรวดเร็ว
พร้อมด้วยฝูงชนที่กรูกันออกมา ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ สายฟ้าฟาดลงครั้งแล้วครั้งเล่า
จนอาคารบ้านเรือนเสียหาย

ณ หมู่บ้านแหลมทวีปคาดาร่า

ครึ่งสมิงและมนุษย์ในหมู่บ้าน พากันวิ่งหนีเข้าไปยังป่านอกหมู่บ้าน ท่ามกลางพายุหิมะที่
โหมกระหน่ำจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ไม่เพียงความหนาวเย็นเท่านันหากแต่ความสูง
ของหิมะที่ไม่มีทีท่าจะหยุดทำให้พวกเขาต้องพากันหนีออกจากบ้านและอพยพเข้าไปยังป่า
โดยมีเหล่าทหารของกองกำลังต่อต้านคอย ต้อนผู้คนออกมา

ท่ามกลางมหาสมุทร จอมอนการ์ด มังกรวารีในตำนาน ที่เคยต่อกรกับพวก Lr มาแล้ว
มันได้ว่ายวนจนเกิดน้ำวนขนาดยักษ์ขึ้นมา เพื่อที่จะต้านกำลังของ น้ำวนยักษ์ ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและ
ดูดเอาทุกอย่างลงไป การกระทำเช่นนี้เพื่อให้พลัง น้ำวนอ่อนแรงลง โดยที่จอมอนการ์ดนั้นว่ายทวนกระแส
จึงเกิดน้ำวนสลับทิศทำให้มันหักล้างกันเอง เหล่าสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ได้พากันว่ายออกห่างจากน้ำวน
ในขณะที่จอมมอนการ์ดได้สร้างน้ำวนเพื่อทานแรงดูดไว้

“ ก็าซซซซซ ” (รีบหนีออกห่างจากน้ำวนเร็วข้าคงต้านได้อีกไม่นาน)
จอมอนการ์ดคำราม ขณะที่พยายามเพิ่มแรงว่ายเพื่อสร้างน้ำวนให้ใหญ่ขึ้นพอที่จะต้านกระแสกลับ
น้ำวนนั้นได้

ณ อาณาจักรฟูดินัน
 ผืนดินได้แยกออกและสูบเอาผืนป่ากว่าครึ่งแถบลงไป สายฟ้าได้
ผ่าลงจนเกิดไฟป่าลุกโหมและกระแสลมที่แรงจัดทำให้ไฟ แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว
มังกรมารัคได้ตื่นจากนิทราและเข้าไปโอบมหาพฤกษาไว้ก่อนที่ร่างของมันจะเปลี่ยนรูปไป
ต้นไม้รอบมหาพฤกษาได้โน้มเข้ามาพันเกี่ยวร่างของมันไว้ ร่างของมารัคได้เปลี่ยนไป
เป็นสีเขียวราวกับใบไม้กิ่งไม้งอกขึ้นมาตั้งแต่หัวจรดหาง ขาทั้งสองข้างได้รวมกับหางและ
พันเข้าไว้หกกับหมู่ไม้ที่โน้มเข้ามา จนดูราวกับเป็นต้นไม้ยักษ์บัดนี้ มารัคได้พัฒนาร่างของมันไปเป็น
ผู้พิทักษ์แห่งมหาพฤกษา อาร์กรอท (Argruth, the Guardian of Yggdrasil)   



ทันทีที่วายฟ้าฟาดลงอาร์กรอทก็ได้ยกร่างของมันขึ้นโดยที่ผืนป่าซึ่งล้อมรอบร่างขนาดใหญ่ของมัน
พูนขึ้นสูง จนเมื่อมันได้ ขึ้นมาถึงครึ่งของลำต้นมหาพฤกษา มันก็อ้าปากและดูดกลืนสายฟ้าเข้าไปเพื่อปกป้อง

มหาพฤกษา อย่างเต็มที่ แต่ทว่าเวลาก็ไม่คอยท่าเพราะบัดนี้ปฐพีได้แยกตัวร้าวมาจนถึงรากของมหาพฤกษา
เสียแล้ว ตัวลำต้นของมหาพฤกษาค่อยๆจมดิ่งลงไป อาร์กรอทจึงใช้พลังของมัน โน้มต้นไม้รอบ
ให้มาพันเกี่ยวลำต้นไว้ ก่อนจะยึดเข้ากับร่างของมันเพื่อดึงไม่ให้มหาพฤกษาจมลงไป

เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ ต่างแห่กันออกจากป่า เพื่อหนีอาเพทเหล่านี้ รวมไปถึงเหล่าชาวป่าทั้งหลายด้วย
แต่ทว่าตอนนี้ก็ไม่มีที่จะให้พวกเขาหนีได้อีกมากนัก เพราะผืนป่าได้จมหายลงไป
ในความมืดที่รออยู่ด้านล่าง ก่อนที่มันจะเริ่มขยายตัวทะลักขึ้นมาและดูดกลืนเอาทุกอย่างเข้าไป

เรื่อยๆ เวลาของโลกเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ไม่เพียงแต่ทวีปเมอริเซีย
แต่เหตุเหล่านี้ได้เกิดขึ้นไปทั่วโลกเทอร่า โลกเทอร่ากำลังจะพบกับจุดจบในไม่ช้านี้
ความสิ้นหวังและความกลัวเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งโลกและได้ถูกดูดกลืนมายัง

ทะเลทรายแห่งการสิ้นสุด ร่างของพระเจ้าได้ซึมซับพลังด้านลบอันเกิดจากความกลัวนั้น
และขยายขอบเขตการดูดกลืนของร่างขึ้นเรื่อยๆ ทั้งท้องฟ้าและพื้นดินถูกดูดหายเข้าไปในความมืดอัน
เวิ้งว้าง อย่างไม่สิ้นสุด

[ตั้งแต่ท่อนนี้ไปเปิดเพลงนี้ http://www.tempf.com/getfile.php?filekey=1218960806.49136_Mahou_Shoujo_Lyrical_Nanoha_As___Brave_Phoenix.wma&mime=video/ms-asf ไปด้วยจะได้อารมณ์มากยิ่งขึ้นโหลดโหดนิด]

“ จงหายไปให้หมดทั้งโลกและจักรวาลนี้จงหายไปซะ ”
พระเจ้าตรัสและเริ่มที่จะดูดกลืนเร็วขึ้น จนร่างขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

“ พวกเราระดมโจมตีเต็มกำลังเลยไม่ต้องออมมือ ”
ทาลิวิลย่ากล่าว ทุกคนจึงเริ่มโจมตีพร้อมๆกัน
เหล่าทหารพากันใช้อาวุธยิงทั้งหมดเล็งเป้าไปยังพระเจ้าก่อนที่กระสุนเพลิงและธนูไฟ
จำนวนมหาศาลจะพุ่งตรงไปยังร่างอันมืดมิดและเวิ้งว้าง
ทว่าทั้งหมดก็ถูกดูดกลืนเข้าไป สายฟ้าได้ฟาดลงมากลางกองทัพ ขณะนั้นองค์หญิงเรจิน่า
ทรงเสียหลักลื่นล้มความมืดได้ขยายตัวมาถึงพระองค์และกำลังจะดูดร่างของพระองค์ลงไป
แต่ฮารีซันก็ได้คว้าพระหัตถ์ของพระองค์และช่วยฉุดพระองค์ขึ้นมา ทันเวลา

“ ท่านไม่เป็นไรใช่มั้ย ”
ฮารีซันกล่าว

“ ขอบคุณท่านมากฮารีซัน.. ”
องค์หญิงตรัสทว่าทั้งสองก็ไม่มีเวลาพอที่จะ สนทนากันได้ เพราะสายฟ้ายังคงฟาดอย่างต่อเนื่อง

“ Great of Dragon ”
เสียงทั้งหกดังขึ้นก่อนที่มังกรพลังงานจะพุ่งขึ้นไป แต่ก็ถูกความมืดนั้นดูดกลืนหายไปในพริบตา

“ Albino Breath ”
สิ้นเสียงของ อแมนคริส เพลิงสีขาวก็ถูกพ่นออกมา

“ Petal Spark Dance ”
สิ้นคำดาบของมุรามาซะโซลก็แยกออกเป็นยาฉะและซานเกะ ก่อนจะร่ายรำกระบรวนท่าโจมตี
อออกไปพร้อมกับพายุกลีบดอกไม้และประกายแสง

“ White Thunder ”
สิ้นเสียงโกรอทพาลม่าก็ปล่อยคลื่นไฟฟ้าเต็มพลังออกมา สายฟ้าสีขาวพุ่งออกมาจากร่าง
ถึงหกสาย

“ Shining Shadow ”
สิ้นเสียงลำแสงซึ่งกลมกลืนกับความมืดก็ถูกยิงอกมาจากนิลทูเรี่ยน

 “ นี่คือพลังสุดท้ายของพวกเราประสานจันทรา Eclipse Blast ”
ครึ่งสมิงทั้งสี่กล่าวก่อนที่ ท่าของจันทราแบบที่สามจะถูกประสานเข้าด้วยกัน
จนเกิดเป็นท่าใหม่ ดวงจันทราสีดำซึ่งมีรัศมีแห่งอาทิตย์ได้เฉิดฉาย ขึ้นเหนือฟ้าก่อนที่
ประกายแสงสีดำและขาวจะพุ่งเป็นเกลียวตรงเข้าหาพระเจ้า

“ Thunder Dragon Blade ”(ดาบมังกรอัสนีบาศ)
สิ้นคำทาลิวิลย่าก็ชูดาบมาคายาเดียขึ้น คลื่นพลังทรงอานุภาพได้พุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าก่อนจะแตกกระจายออกเป็น
ดาบสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงลงมายังร่างของพระเจ้า

“ ช่วยทีนะ ลูเซียส ออบสคูรี่ ”
เรโค่กล่าวกับภูตรับใช้ทั้งสองของตนก่อนที่จะ ตั้งท่าร่วมกับอิจิกิและเซโร่







“ พร้อมนะ ”
เซโร่กล่าว



“ พร้อมทุกเมื่ออยู่แล้ว ”
อิจิกิกล่าวจบทั้งสามก็เริ่มร่ายเวทย์ทันที โดยที่ภูตรับใช้ของเรโค่คอยเสริมพลังให้ ด้วยพลังเวทย์ของตน



“ สุดยอดพลังแห่งวิชาปักษาเทวะ God Bird ”(เทพปักษา)
สิ้นคำของทั้งสาม การโจมตีซึ่งรวมด้วยไฟน้ำแข็งและความมืดก้รวมเป็นหนึ่งเดียว
และพุ่งออกไปในรูปของวิหกยักษ์


“ โจมตีเต็มกำลัง ”
สิ้นคำของกษัตริย์ซิกมันต์ เหล่าทหารก็เริ่มโจมตีอีกคราพร้อมกับที่เหล่าคณะประกาศก
ได้เริ่มทำการโจมตีอย่างต่อเนื่อง

“ ไม่ต้องยั้งมือถ้าโค่นมันลงไม่ได้ พวกเราก็อยู่ไม่ได้ใส่ให้เต็มที่ซะ ”
อิคนอแรนเทีย ผู้นำแห่งเหล่าบาปออกคำสั่ง ก่อนที่การโจมตีของเหล่าบาปและปีศาจ
ทั้งหลายจะถูกส่งออกมาโดยมีเป้าหมายคือพระเจ้า

“ เพื่อปลดปล่อยพระองค์ ขอพลังศักดิ์สิทธิจงมาสถิต ”
สิ้นคำของหลักสวรรค์ทั้งห้า เหล่าทวยเทพก็เริ่มการโจมตีขึ้นบ้างเหล่าอัศวินสวรรค์ได้
พุ่งเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว

“ อวสานโลกหรือ..ข้านี่มันบ้าจริงๆที่อยากเห็นของแบบนี้ ”
ทิโมธีกล่าวขณะที่ชาร์จประจุพลังงานจนเต็มเปี่ยนดาบของ ออบซิเดียนฟอร์ม
และตวัดออกไป

“ ถ้างั้นก็ต้องปกป้องทุกอย่างเอาไว้ไม่งั้นคงจะไม่มีอนาคตไว้ให้เจ้าเสียใจทีหลังแน่ ”
เกรเกอรี่ซึ่งเป็นเนโครบิชอปกล่าวขณะที่ ระดมโจมตีด้วยกระสุนมนตรา
การโจมตีทั้งหมดได้พุ่งเข้าหาร่างของพระเจ้าทว่าทั้งหมดก็ถูกดูดกลืนเข้าไป
ร่างได้ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าเดิมจนแทบจะ ปกคลุมเหนือฟ้าทั้งหมดแล้ว

“ ชิ…โจมตีไปก็รังแต่จะทำให้พลังของมันมากขึ้น ”
ทาลิวิลย่าสบถ ขณะที่พยายามหาทางจัดการกับความว่างเปล่าอันไร้ขีดจำกัดนี้

“ เปล่าประโยชน์ทุกอย่างจะต้องกลับสู่ความว่างเปล่าทั้งหมดนี้มันก็เพราะพวกแกที่สร้างข้าขึ้นมานั่นล่ะ ”
พระเจ้าตรัส

“ หมายความว่ายัง ที่เราสร้างแกขึ้นมา ”
ทาลิวิลย่า กล่าวถามด้วยความสงสัย

“ ข้าเกิดขึ้นมาจากความหวาดกลัวของพวกเจ้าทุกคนตลอดมาสงคราความขัดแย้งต่างๆนานา
ได้ก่อให้เกิดพลังด้านลบ ซึ่งก็คือความกลัวปกคลุมไปทั้งเทอร่านี้ และเพื่อที่จะ
ดึงเอาพลังด้านลบซึ่งปกคลุมเทอร่าเอาไว้ออกมา ในครั้งที่ผู้เป็นความหวังที่สองของข้า

ได้เสียสละตนเป็นภาชนะรองรับพระพรจากข้า พลังด้านลบเหล่านั้นก็ได้ถูกดูดกลับออกมา
ข้าได้แบกรับพลังนั้นไว้และในที่สุดเมื่อไม่อาจควบคุมได้ตัวข้าจึงได้แยกจิตกับพลังออกจากกัน

เพื่อมิให้พลังด้านลบนี้ แผลงฤทธ์ได้ และได้สร้างเจ้าซึ่งเป็นความหวังที่สามขึ้นมา
เพื่อจะหยุดตัวข้าเอง และเพื่อที่จะปลุกพลังนั้นขึ้นมาต่อกรกับเจ้าข้าจึงต้องปลดผนึกสามอย่าง
อย่างแรกก็คือปลดปล่อยเหล่ามังกรแห่งบาปออกมา…พวกเจ้าคงจะรู้สินะว่าอีกสองอย่างที่เหลือคืออะไร ”
พระเจ้าตรัส

“ นี่รึว่าอย่างที่สองก็ คืนชีพให้แก่เหล่าบาป ”
ทาลิวิลย่าอุทาน

“ และอย่างที่สามเพื่อที่จะปลดผนึกของพลังจึงจำเป็นต้องทำให้เกิดความกลัวซึ่งเป็นแหล่งพลัง
จึงก่อสงครามนี้ขึ้นมาเพื่อรวบรวมพลังด้านลบสินะ ”
เวอทูเทมหนึ่งในหลักสวรรค์กล่าวต่อ



“ นี่วางแผนไว้ถึงขนาดนี้เชียวรึ…. ”
ลาดามัส อีกหนึ่งในหลักสวรรค์กล่าว



“ ถูกต้องที่แล้วมาพวกเจ้าก็แค่เดินไปตามหมากที่ข้าวางไว้ ความกลัวนั้นไม่ใช่ทั้งบาปและความดีงาม
หากแต่เป็นพลังที่จะไม่ก่อให้เกิดอะไรขึ้นเลยเพราะเมื่อกลัวในบาปก็จะไม่ก่อบาปและเมื่อกลัวที่จะ
ลำบากเพื่อความดีงามก็จะไม่ปฏิบัติดี …ซึ่งนั่นก็คือความว่างเปล่า อันเป็นสันติที่แท้จริง
เพราะเมื่อไม่มีสิ่งใดเลยก็จะไม่เกิด ทั้งทุกข์และสุข ”
พระเจ้าตรัส ท่ามกลางความเงียบกริบ ที่ไม่อาจคัดค้านต่อสิ่งที่กล่าวมาได้

“ ลอว์เรนซ์เจ้าคือผู้ที่เป็นความหวังที่สาม ข้าซึ่งรู้เรื่องนั้นดี จึงได้เลือกที่จะใช้ร่างของอิเดีย
ในการดำเนินแผนการนี้ เพื่อตัดซึ่งเขี้ยวเล็บที่เจ้าจักใช้ต่อกรกับข้า แต่สุดท้ายแล้ว
อิเดีย พ่อของเจ้าก็ได้พยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะควบคุมข้าซึ่งยังอ่อนแออยู่

ในที่สุดข้าจึงได้เลือกที่จะค้นหาด้านมืดในใจของอิเดียและเลือกใช้มันดำเนินแผนการ
ความหวังของมันก็คืออยากให้เจ้า ซึ่งเป็นบุตรได้มีชีวิตอย่างสงบสุขและเพื่อสร้างโลกแบบนั้นขึ้นมา
ข้าจึงได้ยื่นข้อเสนอที่จะทำให้โลกนั้กลับสู่ความว่างเปล่าเพื่อสร้างสันติขึ้นมาพ่อของเจ้าก็ตกลงในทันที
แต่ก็ไม่นึกเลยว่าสุดท้ายในครั้งที่เจ้ากับพี่ชายห้ำหั่นกัน อิเดียจะเป็นคนสั่งให้เจ้านักประดิษฐ์ไปหยุดแกไว้
ไม่งั้นข้าก็อาจจะได้พลังแห่งวามกลัวที่ยิ่งใหญ่มาก็ได้…แต่ตอนนี้ทั้งวิญญาณของอิเดียและทุกชีวิตในเทอร่า
ที่ตายลงข้าได้ครอบครองเอาไว้หมดแล้วในร่างนี้  ”
พระเจ้าตรัส เพื่อที่จะตอกย้ำให้เขาช้ำใจและส่งพลังด้านลบมา

“ หมายความว่าพ่อทำเพื่อเรางั้นสินะ ”
ทาลิวิลย่า เปรยพร้อมกับลดดาบในมือลง

“ ล…ลอว์เรนซ์ ”
อแมนคริสกล่าวอย่างเสียขวัญ ไม่ต่างไปจากทุกคน ที่เห็นว่าเขามีทีท่าจะยอมจำนน แต่แล้ว
ดาบในมือก็ถูกตวัดขึ้นมาอีกครั้ง

“ เท่านี้เรื่องที่คาใจข้ามาตลอดก็หมดแล้ว เพื่อไม่ให้ความพยายามของพ่อต้องเสียเปล่า
ข้าจะจบเรื่องนี้ซะ ”
ทาลิวิลย่ากล่าว

“ หึหึหึ…จงดิ้นรนต่อไปเถอะไม่ว่าพวกแกจะทำอะไรสุดท้ายก็ต้องถูก
ความกลัวกัดกินจนว่างเปล่านั้นล่ะ ”
พระเจ้าตรัสอย่างมั่นพระทัย

“ ทุกคนมีทางเดินซึ่งแตกต่างกัน บัดนี้มีเป้าหมายเดียวกัน ข้าเชื่อว่า..นั่นจะก่อให้เกิดพลัง
แห่งความนึกคิดอันเป็นพลังแห่งการสร้างสรรได้ ”
ทาลิวิลย่ากล่าว

“ ถูกต้อง…สิ่งที่จะต่อกร กับพลังแห่งความกลัวได้ก็คือพลังแห่งความนึกคิดของทุกคนขอเพียงอธิษฐาน
ด้วยใจที่แรงกล้าและก้าวไปตามนั้น พลังที่จะไขว่ขว้าอนาคตก็จะมาอยู่ในกำมือ ”
เสียงอันอ่อนหวานดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของ แมวสีขาวซึ่งเป็นชะตาแห่งแสง

“ นั่นมัน Shining Destiny ราชินีผู้ ปกครองโลกแห่งชะตาทำไมถึงมาอยู่นี่ล่ะ ”
เวสเล่อุทานซึ่งเจ้าแมวดาร์คเดสทินี่ ของเขาเองก็ทำตาโตใส่ด้วยความตะลึง

“ ดูเหมือนอนาคตจะเปลี่ยนไปแล้วล่ะ..ลองดูที่บันทึกของเจ้าสิเวสเล่ ”
อีสควอเทียกล่าว พร้อมกับยื่นเอาบันทึกของเขา ซึ่งเอามาจากเหล่าคณะประกาศกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
ให้แก่เขา ทันทีที่เปิด หน้าซึ่งบันทึกว่าโลกจะดับสูญ หน้ากระดาษหน้านั้นได้เปลี่ยนเป็นสีดำทึบไปทั้งหน้า

“ นี่มัน.. ”
เวสเล่ อุทานอีกครั้ง

“ อนาคตจากนี้ไปไม่แน่นอนอีกแล้ว นั่นคือหลักฐานยังไงล่ะ ”
อีสควอเทียกล่าว

“ เอาล่ะเรามาเปลี่ยนกันเถอะ…เปลี่ยนแปลงอนาคตที่ดำเนินต่อไปนี้ ”
ชะตาแห่งแสงกล่าวจบร่างของมันก็เปล่งแสงวาบ และรวมเข้ากับดาบมาคายาเดีย
และขยายใหญ่ขึ้นเป็นดาบแสง เล่มยักษ์ ทันทีที่ทาลิวิลย่าชูดาบนั้นขึ้น
มังกรพลังงานขนาดยักษ์ก็พุ่งตัวขึ้นสู่ท้องนภา ก่อนจะสยายปีกออก ประกายแสง
ได้แผ่กระจายออกจากตัวของมัน และพุ่งไปทั่วทั้งโลกเทอร่า

ทันทีที่ทุกชีวิตในโลกได้รับแสงเหล่านั้น ต่างก็หันไปยังที่มาของแสง
มังกรพลังงานซึ่งส่องประกายเจิดจ้า ท่ามกลางเมฆหมอกแห่งกลียุค นั้นทำให้
ทุกผู้ที่ประสบพบเริ่มสวดภาวนา คำวิงวอนที่เป็นหนึ่งเดียวกันนั้นได้
ก่อให้เกิดพลังแห่งคำอธิษฐานส่งไปรวมยังดาบแสงจนเปล่งประกายขึ้นเรื่อยๆ
ทาลิวิลย่าตวัดดาบออกไป คลื่นพลังงานแสงได้พุ่งตรงเข้าสู่ร่างของพระเจ้า และถูกดูดกลืนเข้าไป

“ เปล่าประโยชน์…..ไม่ว่าอะไรข้าก็จะทำให้มันกลับสู่ความว่างเปล่า ให้หมด…อัก…นี่มันอะไรกันข้าไม่มีขีดจำกัดนี่แล้วทำไม ”
พระเจ้าตรัสก่อนจะทรงชะงักไป เพราะร่างซึ่งเป็นความมืดมิดอันเวิ้งว้างเริ่มที่จะเสียรูป
และบิดเบี้ยว

“ พลังแห่งความนึกคิดของทุกคนที่ปรารถนาในความสงบสุขนั้นไม่มีขีดจำกัดจึงไม่มีทาง
…สูญสลาย.. ไปได้… ”
ทาลิวิลย่ากล่าวจบ แสงพลังแห่งคำอธิษฐานของทุกคนในโลก ก็เริ่มแผ่ขยายและอาบร่างอัน
มืดมิดของพระเจ้า

“ ตอนนี้ล่ะโจมตีเลย ”
ทาลิวิลย่ากล่าวก้อง สิ้นคำการโจมตีทั้งหมดของทุกคนก็พุ่งเข้าหาร่างของพระเจ้าอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ไม่อาจดูดกลืนเข้าไปได้อีกแล้ว การโจมตีทั้งหมดทำให้ร่างของพระเจ้าเริ่มจะสูญสลายลงไปเรื่อยๆ

“ ไม่จริง…ทั้งที่ข้ามีพลังเหนือทุกสิ่งนี่…อัก ”
พระเจ้าตรัส หน้ากาก ทองคำรูปมังกรเริ่มจะแตกร้าว สัญลักษณ์แห่งเวลา
บนร่างเริ่มจางหายไป

“ จริงอยู่แกอาจมีพลังเทียบเท่ากับพระองค์ แต่พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ด้วยการกระทำไม่ใช่พลังอำนาจ
ข้าอาจเป็นเพียงแค่ความหวังของพระองค์แต่ ผู้ที่จะกอบกู้โลกนี้และช่วยพระองค์คือ ทุกชีวิตที่พระองค์
ทรงสร้างขึ้นนี่ล่ะคืออำนาจที่แท้จริงของพระองค์ ”
ทาลิวิลย่ากล่าวก่อนจะตวัดดาบอีกครั้ง

“ ข้าแต่มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่มหาเทพผู้มิอาจเทียมทัด โปรดฟังคำวิงวอนข้าโปรดมอบอำนาจประกาศิตแด่ข้า
เพื่อสยบให้สิ้นจิตมารทั้งปวง Great of Dragon (G.O.D)  ”
สิ้นคำดาบแสงก็ถูกฟาดออกไป มังกรพลังงานซึ่งสยายปีกอยู่นั้นก็ พุ่งเข้าหาร่าง
ที่บิดเบี้ยวของพระเจ้าก่อนที่ กระทบและระเบิดออก  ความมืดได้บิดเกลียวและหด
เล็กลงเรื่อยๆ ประกายแสงจำนวนมากมายได้แผ่ออกจากร่างของพระเจ้าที่เริ่มแตกสลายลง

ความมืดมิดที่ดูดกลืนทุกสิ่งค่อยๆจางหายไป พร้อมกับฟื้นคืนสิ่งที่ดูดไปกลับมา
ท้องฟ้ากลับมาเป็นปกติ ภัยพิบัติทั้งหมดได้หยุดลง ประกายแสงที่ไหลออกมานั้น
ได้วนเวียนไปรอบพวกเขา

[ถึงตรงนี้ก็ปิดเพลงเลย]



“ แสงเหล่านี้คือวิญญาณที่ถูกสั่งสมไว้ในร่างของพระองค์สินะ ”
ทาลิวิลย่ากล่าวก่อนที่จะโรยตัวลงมาและกลับคืนร่างเป็น Lr พร้อมกัยที่อัศวินมังกรทั้งหก
และมุรามาซะโซลค่อยๆจางหายไป ดาบมาคายาเดีย ได้แยกออกจากชะตาแห่งแสง
 เจ้าแมวขาวหันมามองเขา และขบริมฝีปากราวกับจะยิ้มให้ก่อนจะบินหายลับไป


“ ถ้าเจอกันอีกคราวหน้า ข้าจะต้องยึดร่างของเจ้ามาให้ได้เตรียมใจไว้ให้ดีล่ะ.. ”
 มุรามาซะโซลกล่าวก่อนจะจางหายไป ศิลามังกรได้แยกออกมาจากร่างของ Lr พร้อมกับที่ดาบมาคายาเดียและโล่มิคาเอลได้รวมเข้ากับศิลา และสลายตัวเป็นกระกายแสงพุ่งตรงไปยังประตูมิติมังกร
 ก่อนจะทำให้มิติกลับมาเป็นดังเดิม
หมู่บ้านมังกรได้กลับมาอีกครั้งแต่ทว่าครั้งนี้ มิติตมังกรมืดและมิติมังกรบาปได้หายไป
ราวกับจะบอกให้ลืมความบาดหมางทั้งหมดและอยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบ

เหล่าทวยเทพทั้งหลายได้ถอนตัวกลับคืนสู่ฟ้าพร้อมกับที่เหล่าปีศาจต่างทยอยกลับไปยังขุมนรกตามเดิม

“ ครั้งนี้เราจะยอมถอยก่อนแต่พึงระวังไว้ล่ะพวกเราจะกลับมาคว่ำพวกเจ้าลงให้ได้ ”
อิคนอแรนเทียกล่าว ขณะที่จะก้าวเข้าไปยังประตูมิติ

“ แล้วเราจะรอ… ”
หลักสวรรค์กล่าวจบก็ถอยกลับขึ้นฟ้าไป



[ท่อนนี้ลงไปเปิดเพลงที่สองนี้โลด http://www.tempf.com/getfile.php?filekey=1218960996.15227_Bleach___Sakura_Biyori.mp3&mime=audio/mp3 ]

“ เท่านี้หน้าที่แห่งซาราเบลดก็จบลงแล้วสินะ ”
Lr รำพันกับตัวเอง อแมนคริสได้แยกกลับเป็นลูกมังกรทั้งหกอีกครั้ง
เพื่อนๆของเขาวิ่งเข้ามาหาด้วยยินดีในชัยชนะ ทว่าความมืดที่ยังคงบิดเกลียวอยู่นั้นยังคงไม่สลายไป

“ อย่าหวังจะได้เห็นอนาคตเลยแกจะต้องหายไปซะ.. ”
สิ้นเสียงของความมืดที่ยังหลงเหลือนั้นแสงสีดำก็ยิงตรงไปยัง Lr
ทว่า กาเร็ทก็พุ่งเข้าไปผลักตัวเขาออกไป แสงได้ยิงทะลุผ่าร่างของกาเร็ทแทนก่อนจะล้มลงความมืดได้สลายกลายเป็นแสงกลับขึ้นไปยังฟ้า พระองค์ได้ถูกปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว

“ พี่คร้าบบบบบบบ ”
Lr ตะโกนอย่างเสียขวัญขณะที่กลับเข้าไปประคองตัวพี่ชายเอาไว้
ร่างของกาเร็ทเริ่มกลายเป็นหินอย่างช้าๆ

“ นี่มัน…แย่ล่ะสิต้องรีบรักษาแล้ว ”
เซโร่กล่าวหลังจากที่ดูอาการก่อนจะลงมือรักษาอย่างทันทีแต่ทว่า
ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ ครั้นเมื่อใช้ไฟชีวิตของอิจิกิก็ยังไม่อาจคลายมนต์สะกดนี้ได้

“ พี่…อย่าตายนะครับ…เราสัญญากันแล้ว…ว่าจะ..กลับไปด้วยกันน่ะ ”
Lr กล่าวทั้งน้ำตา ท่ามกลางความเจ็บใจของทุกคนที่ไม่อาจช่วยอะไรได้

“ อย่าร้องไห้สิ…นี่น่ะเหรอ…ใบหน้าของคนที่เพิ่งจะช่วยโลกมาน่ะ ”
กาเร็ทกล่าวพร้อมกับฝืนตีหน้ายิ้มเพื่อไม่ให้พวกเขาเป็นห่วง
แต่ทว่าการกลายเป็นหินก็ยังคงลุกลามอยู่

“ พี่… ”
Lr กล่าวขณะที่ยกแขนเสื้อปาดน้ำตาออกจากใบหน้า

“ พี่คงจะ…กลับไปไม่ได้แล้วล่ะ..ถึงจะเป็นช่วง…เวลาสั้นๆแต่เท่านี้พี่…ก็วางใจแล้ว..แม้ไม่มีพี่..
นายก็ยังอยู่ได้..แค่ก ”
กาเร็ทกล่าวอย่างละล่ำละลัก

“ อย่าพูดอย่างงั้นสิครับ..พี่อย่าตายนะครับ.. ”
Lr กล่าวขณะที่หยาดน้ำตาเริ่มไหลอีกครั้ง

“ อย่างนี้ล่ะดีแล้วถ้าเป็นไปได้…พี่…ก็อยากจะให้…นายลืมมันไปซะ…ว่านายคือซาราเบลด….ตอนนี้หากไม่มีพี่นายก็ไม่ต้อง
…แค่ก..ถูกผูกมัดกับตระกูลอีกให้มัน…เป็นเพียงลมที่พัดผ่านไป…ก็พอ แค่กแค่ก ”
กาเร็ทกล่าว ลมหายใจของเขาเริ่มถี่ลง ร่างกายค่อยๆกลายเป็นหินลามมาจนถึงต้นคอแล้ว

“ พี่ครับ…นี่มัน ”
Lr กล่าวก่อนจะชะงักไป เพราะมีประกายแสงซึ่งเป็นวิญญาณที่ถูกปลดปล่อยออกมา 7 ดวงได้มาวน
ไปรอบๆพวกเขา ก่อนที่จะประกายแสงเหล่านั้นจะเปลี่ยนรูปเป็น อิเดีย ซาเรีย มาฮา ราซานี เซโก้
แอสต้าและครึ่งสมิงพังพอนเด็กชายตัวเล็กอีกหนึ่งตน

“ พ่อ….แม่ ”
Lr อุทานเมื่อวิญญาณของพ่อและแม่ได้มาปรากฏต่อหน้าเขา

“ ไคริ.. ”
ริคุกล่าวเสียงสั่นเมื่อวิญญาณน้องชายของเขาที่ถูกเซอร์เซสฆ่าไปเมื่อสมัยเด็กได้มาปรากฏตัวอีกครั้ง

“ คุณย่า… ”
นีน่ากล่าวเมื่อเซโก้ซึ่งเป็นคุณย่าที่เลี้ยงดูเธอมา ได้มาปรากฏอีกครั้ง

“ ท่านแม่… ”
ลากูน่ากล่าวเมื่อเห็นแอสต้า
“ พ่อครับ…แม่…ท่านแอสต้า ”
เจนัสอุทานด้วยความตกตะลึงเทื่อเห็นบุคคลทั้งสาม

เช่นกันนั้นได้มีวิญญาณอีกสองดวง เข้ามาหา ไฟร์กับ ดาร์ค ก่อนจะเผยรูป ซึ่งก็คือเทียแมตเพศเมีย และ มังกรนิทินโคออนวัยสาวอีกหนึ่งตัว

“ กีซซซ ” (พี่ครับ)
นิทินโคอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อบัดนี้วิญญาณพี่สาวของเขาได้มาปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง

“ กีซซซซ ” (คุณแม่)
ดาร์คกล่าว น้ำตาคลอเบ้าเมื่อได้เห็นวิญญาณของแม่ที่ตายไปมาปรากฏตัวอีกครั้ง

“ เธอ…ไม่เป็นไรแล้วสินะ ”
เทียแมตเดินเข้าไปหาวิญญาณแม่ของดาร์คซึ่งเป็นภรรยา วิญญาณของนางก็ยิ้มตอบกลับมาโดยไม่พูดอะไร
แต่นั่นก็ทำให้เขาสบายใจ วิญญาณอีกดวงได้ตรงมาหาดาร์คก่อนจะเผยรูปเป็น เคาท์เพนกวินและ
เจ้าหัวฝักทองบินได้แจ็ค นั่นเอง ดาร์คโผเข้าหาทั้งสองด้วยความคิดถึงทว่าก็ทะลุผ่านร่างของพวกเขาไปเพราะไม่อาจจับต้องได้ แต่เคาท์เพนกวินก็ยิ้มให้เธอ อย่างอ่อนโยนแม้สื่อสารกันไม่ได้แต่ใจยังคงส่งถึงกัน

ขณะเดียวกันวิญญาณอีกดวงก็ตรงเข้ามาหา จอมเวทย์น้อยทั้งสาม
ซึ่งก็คือเบอนาร์ดนั่นเอง เซโร่ ไม่รู้จะกล่าวอะไร ได้แต่เพียงก้มกล่าวขอโทษที่
หนีมา เมื่อ10 ปีก่อน ซึ่งวิญญาณของเบอนาร์ดก็โอบกอดเขาไว้ เพื่อจะปลอบโยนหลานของตน

“ ลอว์เรนซ์ …น้องจงก้าวต่อไปพร้อมกับพวกเขาเถอะ…เพราะนั่นคือครอบครัวของน้อง
ใช่มั้ยล่ะ…พี่จะคอยดูอนาคตที่นายจะสร้างจากนี้ไปพร้อมกับพ่อและแม่นะ… ”
กาเร็ทกล่าวจบ ร่างของเขาก็กลายเป็นหินทั้งร่างและแตกสลายเป็นเศษดินไปประกายแสงวิญญาณ
ของเขาได้ลอยเข้าไปหาพ่อและแม่ ก่อนที่จะหันมายิ้มให้เขาและจางหายไป พร้อมกับวิญญาณดวงอื่นๆ
วิญญาณทั้งหมดได้ถูกนำทางไปหาพระผู้เป็นเจ้า ในวินาทีนั้นเอง ท่ามกลางความเงียบสงัดที่ไม่อาจ
บรรยายออกมาได้

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #269 on: August 17, 2008, 07:33:32 PM »

“ เรากลับกันเถอะ ”
ดีวายดราก้อนเข้ามาบอกกับเขา

[ถ้ามาถึงตรงนี้เพลงที่สองยังไม่จบก็รอให้จบก่อนก็ได้แต่ถ้าจบแล้วก็ปิดเลย]

………..
………………..
…………………

[ตั้งแต่ท่อนนี้เปิดเพลงที่สามอันนี้นะจ้ะ http://www.tempf.com/getfile.php?filekey=1218961678.89659_Mahou_Shoujo_Lyrical_Nanoha_As___Spiritual_Garden.mp3&mime=audio/mp3 ]


5 ปีผ่านไป

ณ ป่าลึกแห่งหนึ่ง บนเนินที่จะตรงไปยังเขตป่าของฟีเลเซีย มังกรหนุ่มพาลานัลคาเลี่ยน(Palanalcarion, the Light Dragon) กำลังบินขึ้นเนินมาอย่างรีบร้อน



 “ รอด้วย…ไลท์ ”
เสียงดังขึ้นด้านหลังของมังกรหนุ่ม มันจึงหยุดแล้วหันกลับไปยังด้านล่าง มังกรหนุ่มสาว สี่ตัว

ซึ่งมี นิลเฮอเรี่ยน (Nilhirion, the Earth Dragon) นิทินโคออน (Niltincoion, the Fire Dragon)





 เฟินกอลโลออน (Firngolloion, the Water Dragon)  ดิมมินูวเลี่ยน (Dimminuialion, the Wind Dragon)





บินตามมาโดยมี เด็กหนุ่มสาวอีกสี่คนวิ่งไล่หลังมา เด็กหนุ่มคนแรกมีผมสีทองซึ่งคาดแว่นกันลมเอาไว้

เด็กหนุ่มอีกคนที่วิ่งไล่มาติดๆนั้น เป็นครึ่งสมิงผมสีดำเขาสวมหมวกคลุมหัวเอาไว้ ชุดที่สวมเป็นชุดสีดำสวมทับ
เสื้อเชิตสีขาว และอีกสองคนที่วิ่งไล่หลังมานั้น ครึ่งสมิงหนุ่มที่มีผมสีเงินสวมเสื้อสีดำแบบเดียวกับพี่ชายที่วิ่งนำเขาอยู่ และครึ่งสมิงสาวผมสีทองนางสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกระโปรงสีดำที่คอผูกไทค์สีดำไว้
ครึ่งสมิงทั้งสามบัดนี้หูของสัตว์ที่แสดงความเป็นครึ่งสมิงได้หายไปจากการที่พลังในการจำแลงกายนั้น
อยู่ในขั้นสมบรูณ์ตามวัยแล้ว

“ เร็วๆสิเดี๋ยวก็สายกันพอดีโรงเรียนจะเข้าแล้วนะ ”
ไลท์กล่าวอย่างกระวนกระวายขณะที่รอเพื่อนวิ่งขึ้นเนินตามมา

“ ก็ตอนนี้นายบินได้แล้วนี่นารอๆพวกเรากันหน่อยสิ ”
เด็กหนุ่มผมสีทองกล่าว ขณะที่วิ่งเข้าไปหาไลท์



“ จะว่าไปนึกถึงเมื่อก่อนเลยนะแต่ตอนนั้นชั้นต้องเป็นคนวิ่งตามนายนี่เนอะใช่มะลอว์เรนซ์.. ”
ไลท์กล่าวหยอกขณะที่นึกย้อนถึงเรื่องเมื่อครั้งอดีตที่ เขากับลอว์เรนซ์ เดินมาโรงเรียนด้วยกัน
[ใครจำได้มั่งเอยช่วง ไตเติล ไลท์ยังบินไม่ได้เลยต้องวิ่งตาม Lr ตอนนี้กลับกันละ]

“ นี่มัวแต่คุยกันเดี๋ยวก็ได้สายจริงๆหรอก ”
นิลเฮอเลี่ยนกล่าวเรียกทั้งสองที่ยืนสนทนากันจน ลืมเวลาไปชั่วขณะ

“ แล้วนี่รายงานทำมาเสร็จหรือเปล่าเจนัส ”
เฟินกอลโลออนหันไปถามครึ่งสมิงหนุ่มผมดำ ซึ่งเขาก็คว้าเอาสมุดเล่มบางขึ้นมา ส่งให้
เจ้ามังกรไปดู

“ ยังเหลือส่วนที่กลุ่มของนีน่ากับลากูน่าต้องทำมาเพิ่มน่ะแล้วไฟร์นายทำหน้าปกเสร็จยัง ”
เจนัสหันไปถามนิทินโคออนที่กระวนกระวาย ก้มคุ้ยตามพงไม้



“ หาอะไรอยู่น่ะไฟร์ ”
ลากูน่าถาม



“ ก็าซซซซซ ” (ก็หน้าปกน่ะสิโดนลมพัดปลิวไปไหนแล้วก็ไม่รู้)
ไฟร์กล่าว

“ เอ…กาซ..ก้าซ…ก็า..ก็าซ…ปกโดนลม…พัดปลิวไป…..อ๋อหน้าปกโดนลมพัดปลิวไปนี่เอง.. ”
ลากูน่ากล่าวพรางใช้ความคิดตีความคำพูดของไฟร์ ก่อนจะหน้าซีดเผือกไปตามๆกัน

“ หน้าปกโดนพัดหาย… ”
ทุกคนอุทานเสียงก้องด้วยความผวา

“ ก็าซ..เออสิ…ก็าซซซ…มาหาก็าซซ….โอยพูดจนจะไม่เป็นภาษาอยู่แล้ว…ก็าซซ ”(ก็เออสิรู้แล้วรีบมาหา
กันซะทีโอยพูดจนจะไม่เป็นภาษาอยู่แล้วแว้กกก)
ไฟร์กล่าวกระวนกระวายซะจนฟังไม่รู้เรื่องแต่ทุกคนก็พอจะจับใจความได้จึงช่วยกันหาเป็นการใหญ่

“ เออยู่ไหนน้า… ”
ครึ่งสมิงสาวก้มหน้ามองใต้พุ่มไม้ ในขณะที่มังกรสาวดิมมินูวเลี่ยนซึ่งอยู่ข้างๆนางคุ้ยด้านบนของพุ่มไม้



“ เจอมั้ยนีน่า ”
ดิมมินูวเลี่ยนถามนาง

“ ไม่เจอเลยอ่ะ..แย่ล่ะถ้าไม่ส่งวันนี้มีหวังโดนอาจารย์ดีวายดราก้อนเทศเป็นชั่วโมงแน่ ”
นีน่าบ่นด้วยความกระวนกระวาย

“ ดมก็ยังไม่เจอเลยนี่ วิลใช้กระดาษอะไรเขียนเหรอ ”
ลากูน่าถามขณะที่ก้มดมกลิ่นไปตามพื้น

“ ฉันใช้กระดาษเคลือบผงสมุนไพร รีบิก (Rebic)ให้มันหอมๆน่ะ ”
วิลกล่าวขณะที่มือยังคุ้ยเป็นประวิง

“ หา…งั้นก็ตามไม่ได้น่ะสิพวกเราสามคนแพ้กลิ่นรีบิกกันหมดเลยนะแล้วจะหายังเนี่ย ”
นีน่ากล่าวซึ่งนั่นทำให้ ลากูน่ากับเจนัสทั้งคู่พลอยเซถลา ด้วยความตกใจกับเสียงอุทานของนาง

“ หานี่อยู่เหรอ ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือหัวพวกเขา ทันทีที่พวกเขามองไปยังต้นเสียง ครึ่งสมิงหนุ่มผมสีแดงแม้ เขาจะ
สามารถจำแลงกายให้เหมือนกับมนุษย์ได้สมบูรณ์แล้วแต่ก็เหมือนกับพวกเจนัสถึงหูไม่โผล่แต่หางก็ยังสะบัดแกว่งไปมาอยู่ดี เขานั่งแกว่งกระดาษสีในมือ อยู่บนกิ่งไม้ กับมังกรนอฟโฮทิออนสาว ที่ยืนเกาะอยู่บนกิ่งไม้ข้างๆ
(Novhothion, the Dark Dragon)



“ ริคุ…ดาร์ค ”
ลอว์เรนซ์กล่าว และทันทีที่สายตาของทุกจับไปยังกระดาษสีที่เขาถืออยู่
ก็ตาเบิกโตด้วยความตะลึง

“ นั่นหน้าปกรายงานนี่ ”
ลากูน่ากล่าว ซึ่งริคุก็หันมันมาอ่านก่อนจะฉีกยิ้มด้วยความขบขัน และกระโดดลง
มาจากกิ่งไม้ พร้อมกับดาร์ค และยื่นส่งให้ไฟร์



“ นี่พวกนายหัวข้อรายงานของเราน่ะมัน ตำนานอัศวินแห่งทาลิวิลย่านะ
ไม่ใช่ตำนานของลอว์เรนซ์ ”
ริคุกล่าวพร้อมกับชี้ตรงจุดที่เขียนชื่อหัวข้อบนกระดาษซึ่งมันเขียนว่า
ตำนานอัศวินแห่งลอว์เรนซ์ ทำเอาไฟร์ และวิลที่รับหน้าที่เขียนหน้าปกหน้าแดงด้วยความอับอาย

“ สงสัยเมื่อคืนจะรีบไปหน่อยน่ะ ”
วิลกล่าวพร้อมกับเอามือเกาหัวด้วยความงง

“ เรื่องนั้นน่ะช่างเถอะแล้วเราจะเอาอะไรส่งล่ะทีนี้ ”
เอิธท์กล่าวด้วยความกระวนกระวาย

“ ไม่ต้องตาหลีตาเหลือกขนาดนั้นก็ได้ ฉันกับริคุเขียนมาเผื่อไว้แล้วล่ะ อ่ะนี่ ”
ดาร์คกล่าวจบก็ยื่นกระดาษสีที่เขียนอย่างถูกต้องและเป็นระเบียบเรียบร้อยให้
พวกเขา

“ ว่าแต่ริคุนายย้อมสีผมเหรอมันถึงได้แดงซะขนาดเนี้ยเมื่อวานยังสีทองอยู่เลย ”
ลอว์เรนซ์ถามด้วยความฉงน

“ อ๋อเปล่าหรอกชั้นไม่เหมือนกับพวกเจนัสนี่เพราะขนจะเปลี่ยนสีไปเองเมื่อพังพอนอย่างเรา
อายุมากขึ้นน่ะจะว่าไปวันนี้ก็ครบรอบห้าปีพอดีเลยนะ…กับวันนั้นน่ะ ”
ริคุกล่าวก่อนจะลดเสียงลง

“ นั่นสินะ…ตั้งห้าปีมาแล้วเหรอเนี่ยรู้สึกยังกับมันพึ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เองนะวันที่เราช่วยโลกเอาไว้ ”
Lr เปรยเสียงเรียบทำให้ทุกคนเงียบลงไปเมื่อนึกถึงวันที่พวกเขากอบกู้โลกเทอร่าไว้ได้
ซึ่งนันเป็นวันที่ Lr ต้องสูญเสียพี่ซายเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ไป ขณะที่พวกเขาสลดกันอยู่นั้นเอง
เสียงกริ่งโรงเรียนเข้าก็ดังมา ทำให้พวกเขาได้สติ

“ หวา…จริงสิเราสายอยู่นี่นา ”
ไลท์กล่าวทันทีที่นึกได้

“ แย่แล้วรีบไปเร็วเดี๋ยวประตูลิฟท์จะปิดซะก่อน ”
Lr กล่าวก่อนจะออกวิ่งนำทุกๆคนไปยังถ้ำซึ่งเป็นทางเข้า
……….
…………..
……………
“ ฮูมมมมม ” (แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะเริ่มคุ้นกับงานที่นี่รึยัง)
ดีวายดราก้อนกล่าวก่อนจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มโดยใช้แสงพลังงานจากช่องอก ยกมันขึ้นมา

“ ก็าซซซ ”(ก็เรื่อยๆนะช่วงนี้ใกล้จะสอบแล้วแต่ ก๊วนนั้นก็ยังมาสายไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ)
เทียแมตกล่าวหลังจากที่วางถ้วยชาลง ก่อนจะหันไปมองจอมอนิเตอร์ พวก Lr
เข้ามาได้ทันก่อนที่ประตูลิฟท์จะปิดเพียงอึดใจเดียวถ้า เจนัสกับลากูน่าไม่ช่วย
ดันประตูลิฟท์ไว้ ก่อนจะปิด

“ ฮูมมมม ”(ดีแล้วล่ะที่เขายังร่าเริงได้ และข้าเองก็หวังว่าพวกเขาคงจะไม่ต้องไปสู้รบอีก
เพราะเท่านั้นมันก็มากพอแล้วสำหรับพวกเขาน่ะ)
ดีวายดราก้อนกล่าวขณะที่มองพวกเขาผ่านจอมอนิเตอร์ในห้องพักครู ด้วยสายตาอิ่มอกอิ่มใจ
ตลอดห้าปีที่ผ่านมา

“ ก็าซซซซซ ”(เออนี่แล้ววันนี้จะไปรึเปล่าล่ะเห็นว่าจะมีงานฉลองครบรอบวันสมรสของ
เจ้าหญิงเรจิน่ากับเจ้าฮารีซันที่มิลาบิลิสนี่)
เทียแมตกล่าวก่อนจะวางถ้วยน้ำชาลง

“ ฮูมมมมม ”(นั่นสิงั้นวันนี้เราก็พาเด็กๆออกไปทัศนาจรเปลี่ยนบรรยากาศกันหน่อยก็ไม่เลว)
ดีวายดราก้อนกล่าวพร้อมกับวางถ้วยน้ำชาลง

“ ก็าซซซซซ ” (งั้นจะให้ไปประกาศเลยไหมคะ)
อีสควอเทียเข้ามาถามทั้งสอง

…………..
…………….
……………….

ณ เมืองมิราบิลิส เหนือท้องฟ้าเหล่ามังกรได้บินว่อนไปรอบ
เพื่อจะมาอวยพรให้แก่คู่ครองทั้งสอง ภายในเมืองถูกตกแต่งและจัดงาน
ฉลองอย่างยิ่งใหญ่

“ นี่ไม่รีบมาเดี๋ยวหมดนะลอว์เรนซ์ ”
ไลท์เรียกเขาให้ไปที่โต็ะยาวซึ่งวางไปทั่วงานบนโต็ะเรียงรายไปด้วยอาหารมากมาย

“ อ…อืมไปเดี๋ยวนี้ล่ะ ”
Lr กล่าวจบก็ตรงเข้าไปหาพวกเขา

“ ถึงผมจะลืมพี่และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่ผมก็จะก้าวต่อไปพร้อมกับความทรงจำนี้และผมจะไม่ลืมเด็ดขาดเลยทั้งพ่อ..แม่แล้วก็พี่คอยดูผมอยู่บนฟ้าด้วยนะครับ… ”
Lr คิดขณะที่แหงนหน้ามองฟ้าที่สดใส

“ เราก็ไปกันได้แล้วล่ะเรโค่ อิจิกิ…ที่สุดขอบโลก..เนอะอิจิกิ ”
เซโร่กล่าวพวกเขาลอยตัวอยู่เหนือน่านฟ้าของเมืองมิราบิลิสที่พึ่งก่อตั้งแห่งนี้

“ ว้าวฉันอยากเห็นมานานแล้วล่ะสุดขอบโลกที่ว่าจะเป็นยังไงนะ ”
เรโค่กล่าวเสียงใส

“ งั้นจะมารออยู่ทำไมล่ะ…ไปกันเถอะ ”
อิจิกิกล่าวจบก็ออกนำไปก่อนทันที

“ แล้วแม่นายไม่ว่าเหรอ อิจิกิ ”
เซโร่ถาม ซึ่งอิจิกิก็หันไปยิ้มเล็กยิ้มน้อย

“ แม่อนุญาตแล้วล่ะ ”
อิจิกิกล่าว ซึ่งเรโค่ กับ เซโร่ก็พลอยหน้าบานไปตามกันก่อนที่ทั้งสามจะบินหายไป

ภายในเมืองเหล่าขุนนางจากทั่วทั้งทวีปได้มารวมตัวกัน เพื่อร่วมฉลอง มีขบวนพาเหรดซึ่ง
นำโดยหุ่นรบรุ่นต่างๆที่ปลดอาวุธแล้ว โดยมีทิโมธีคอยควบคุม บิชอปเกรเกอรี่
ได้ขึ้นไปอวยพรให้แก่เจ้าหญิงเรจิน่าและเจ้าชายฮารีซัน
โดยที่กษัตริย์ซิกมันต์แม้จะยังทรงไม่สบพระทัยแต่ก็ยังทรงขึ้นไปอวยพรให้

ในคืนนั้นท้องฟ้ายามราตรีได้สว่างไสวไปด้วยพลุและดอกไม้ไฟ
รูปต่างๆ Lr และเพื่อนแหงนหน้ามองด้วยความอัศจรรย์ใจ จากนี้ไปแม้จะมีอุปสรรค
เข้ามาแต่พวกเขาจะผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน เพราะพวกเขาได้ก้าวข้ามอุปสรรคที่ยากยิ่งกว่า
อุปสรรคใดๆมาแล้ว

[ปิดเพลงได้เลยจ้า]
……………….
อนาคตของเรา
……………
เราคือผู้ลิขิต
…………….
หากท้อก็อย่าได้ถอยแล้วซักวัน
………………..
 อนาคตก็จะมาอยู่ในมือเรา
…………………………..
ก้าวข้ามลิขิตแห่งฟ้าเพื่อไขว่คว้าอนาคตมาไว้ในกำมือ
………………………………………………………


………………………………………..FIN………………………………

เกรม่อน:ฮือๆๆ  จบเลขสวยมาก 33  แถมท่า Great of Dragon ที่แท้มีความลับเป็นคำว่า พระเจ้า(GOD)แบบนี้เอง  ตอนโพสบทนี้ลงกระทู้ ใจยังสั่นไม่หายเลยเพราะเพียงแค่คลิกเดียวก็เป็นการบอกลา
เรื่องราวที่เขียนมาตลอด 4 ปีนี้เลย ฮือๆๆๆ

การุรุม่อน: ไม่เอาน่า อีกอย่าง 4 ปีที่ไหนกันแอบอู้ไปตั้งสองปี เฮ้อแต่ก็อย่างว่าล่ะฮ่ะ แปปๆก็มาถึงวันนี้
จนได้พอมานึกย้อนแล้วมันก็ช่างยาวนานซะจริงตั้งแต่วันที่เริ่มเขียนเรื่องนี้เนี่ย

เกรม่อน: (เอามือปาดน้ำตาออก) เฮ้อ ในที่สุดก็จบลงจนได้นะครับว่าแต่บทนี้เนี่ยตอนเขียนต้นฉบับนะ
น้ำตาหยดแหมะๆเลย สำหรับบางคน(ที่มาอ่านในอนาคตนะ)อาจจะบอกว่า “จะจบทั้งที
ยังต้องให้มีคนตายอีกหรือชอบบทที่มันรันทดหรือไง” คำตอบนั้นผมอยากจะบอกว่า
ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกครับแต่มันเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นไป ตามความเหมาะสม
เพราะมันเป็นการเตือนใจว่าไม่มีใครอยู่กับเราไปตลอดรอดฝั่งหรอกครับ

การุรุม่อน : เกี่ยวกันมั้ยนั่นที่พูดมาน่ะที่จริงแกบอกเองไม่ใช่เรอะว่าเป็นถึงพระเจ้าทั้งที
ดันฆ่าใครไม่ตายเลย ก็เลยจับฉลากเอาว่าจะให้ใครตาย สุดท้ายจับได้กาเร็ทซะงั้น
เลยลงล็อคเป้ะนะ ว่าจะให้ Lr เป็นซาราเบลดคนสุดท้าย แหวะ

เกรม่อน : ชู่ววววว อย่าเอาความจริงมาถากถางกันดิ เฮ้ยไม่ใช่ครับ
อย่าไปเชื่อ มันไม่จริ้งงงอย่างผมไม่คิดอกุศลแบบนั้นแน่ครับ

Lr: อ๋อที่แท้มันยังงี้นี่เอง
เจนัส :คราวก่อนไปอัดในฝันยังไม่เข็ดหลาบ
ลากูน่า : วันนี้ต้องเอาให้ขาหักแขนหักเลย
นีน่า : ไอ้เจ้าคนไร้มนุษยธรรม
ริคุ: มาทำกับพวกเราได้ขนาดนี้ตายยยย!
Lr : Great of Dragon G.O.D

เปรี้ยงงงงงงงงง ตูมมมมมม

เกรม่อน: ขอโทษจ้าาาาา
การุรุม่อน: เดี้ยนอยู่ฝ่ายภาพประกอบน้าเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ยยยย

กระเด็นไปด้วยกันทั้งคู่

นี่ก็ อวสานเหมือนกันแหะ By ไทจิ



« Last Edit: October 18, 2008, 03:39:29 AM by greamon » Logged


Pages: 1 ... 7 8 [9] 10  All
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.3 seconds with 21 queries.