Summoner Master Forum
April 19, 2024, 10:02:53 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 41 การสังหารโหด ณ ทะเลน้ำแข็ง @@  (Read 9280 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: February 09, 2006, 07:13:03 PM »

Chapter 41 การสังหารโหด ณ ทะเลน้ำแข็ง
[/size][/b]


                    เมืองท่าแอนดิซองขณะนี้ล่วงเข้าเดือนปีเตอร์(Peter)   อันเป็นเดือนที่มีอากาศหนาวจัดที่สุดในรอบปี   เจ้าหญิงอลาน่าซึ่งเวลานี้ได้มอบหมายให้ราชองครักษ์อองเดรดูแลงานราชการเกือบทุกอย่าง  ทั้งการออกว่าราชการ การร่วมงานเลี้ยงรับรองต่าง ๆ รวมไปถึงการดูแลระบบระเบียบต่าง ๆ ภายในเมืองท่า   แต่ถึงแม้ว่าอองเดรจะแบ่งเบางานราชการไปเกือบหมด   แต่เจ้าหญิงกลับออกทำงานช่วยเหลือพวกคนยากคนจนหนักขึ้นเป็นสามเท่า   ทุก ๆ วันพระองค์จะทรงออกจากปราสาทก่อนดวงอาทิตย์ฉายแสงและกลับถึงปราสาทหลังจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า   พระองค์ทรงโหมงานมากขึ้นจนร่างกายของพระองค์บางครั้งดูอ่อนล้า   แต่ครั้นวันรุ่งขึ้นพระองค์ก็กลับกระปรี้กระเปร่า สดใส และ เปี่ยมด้วยความสุขอีกครั้ง
                     ด้วยเพราะความทุ่มเทช่วยเหลือประชาชนอย่างไม่หยุดหย่อนของพระองค์   ทำให้ความนิยมชมชอบในตัวเจ้าหญิงอลาน่าในหมู่ประชาชนพุ่งขึ้นสูงจนเรียกได้ว่าไม่เคยมีราชวงศ์องค์ใดในประวัติศาสตร์แอนดิซองจะได้รับเทียบเทียมเท่าพระองค์   กระนั้นความเกลียดชังพระองค์ในกลุ่มผู้เสียประโยชน์ก็พุ่งขึ้นจนน่าตกใจเช่นกัน
   
                     บ่ายวันหนึ่งขณะที่เจ้าหญิงอลาน่าในชุดนักบวชพร้อมกับซิสเตอร์โรซาน่าและคณะกำลังแจกผ้าห่มและเสื้อกันหนาวให้กับผู้ยากไร้ในเต็นท์บริจาคห่างจากท่าเรือพอสมควร   ทั้งนี้ก็เพื่อหลบลมหนาวที่พัดมาจากทะเลในช่วงเวลานี้นั่นเอง   พระองค์ทรงสังเกตเห็นว่าบรรดาผู้ยากไร้ที่อพยพมาจากดินแดนอื่นซึ่งบัดนี้กำลังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่าเป็นห่วง   หลายคนมีบาดแผลตามร่างกายมากมาย   บางคนถึงขั้นพิการแขนขาขาดก็มี   แต่จะว่าบาดเจ็บจากสงครามก็ไม่น่าใช่เพราะบาดแผลดูสดใหม่เกินไปเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน   อีกทั้งจำนวนผู้บาดเจ็บที่มาให้เหล่าคณะซิสเตอร์รักษาก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน  และก็ล้วนแต่เป็นผู้ลี้ภัยจากสงครามทั้งสิ้น   ครั้นเมื่อถามถึงสาเหตุจากคนเหล่านั้นก็ไม่มีใครยอมตอบ   คล้ายกับว่าพวกเขากลัวอะไรบางอย่าง   บ้างก็มีท่าทีหวาดระแวงเหมือนไม่ไว้วางใจคนแปลกหน้า  ถึงแม้ว่าคนแปลกหน้านี้จะเป็นเหล่าซิสเตอร์ที่กำลังช่วยเหลือพวกเขาอยู่ก็ตามที   แม้แต่บรรดาคนจรจัดชาวแอนดิซองเองซึ่งดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างก็เอาแต่เงียบงำก้มหน้าไม่ยอมสบตาเวลาที่พระองค์ถาม
                     เจ้าหญิงทรงแจกผ้าห่มไปก็คิดหาสาเหตุแห่งความหวาดระแวงและปฏิกิริยาแปลก ๆ นี้ไปด้วยและตั้งใจว่าวันนี้พระองค์จะต้องรู้ให้ได้ว่าทุกคนกำลังปิดบังอะไรกันอยู่   เจ้าหญิงคิดได้ดังนั้นก็พลันได้ยินเสียงเอะอะดังไล่มาจากทางท่าเรือ
                     “ซิสเตอร์คะ ซิสเตอร์! ช่วยด้วยคะ!” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างร้อนรน   ทำให้แถวของผู้ที่มารับบริจาคแหวกออกเป็นวงกว้างอย่างชุลมุนเพื่อหลีกทางให้ผู้ที่กำลังวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว   แถวที่แหวกออกเป็นวงกว้างกีดขวางพวกทหารยามที่อยู่บริเวณนั้นจนไม่สามารถแทรกเข้ามาได้   กระนั้นแถวคนที่มารับบริจาคที่เบียดเสียดกันอยู่ทางด้านหน้าก็ทำให้การเข้าไปถึงภายในเต็นท์ยากลำบากเหลือเกิน      
                     เจ้าหญิงทรงยืดตัวเขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อมองหาตัวเจ้าของเสียงและก็ได้เห็นหญิงชาวฟีเลเซียคนหนึ่งซึ่งลี้ภัยมากับเรืออพยพลำแรก ๆ กำลังพยายามเบียดคนเข้ามา    พระองค์จำนางได้เพราะนางมาช่วยพวกซิสเตอร์แจกอาหารในบางครั้ง   นางนำชายร่างใหญ่ผิวเข้มที่ตัวเปียกโชกและเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์หลายที่มีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลไม่หยุด   ดวงตาบวมเป่งจนหนังตาปิดไปข้างหนึ่ง   เขาใส่เสื้อผ้าแบบชาวฟูดินันซึ่งทั้งบางและไม่มีแขนเสื้อไว้ป้องกันความหนาว   หน้าตาของเขาซีดเผือด ดวงตาตื่นตระหนกเบิกกว้างเต็มไปด้วยความหวาดกลัวชนิดจับจิตเลยทีเดียว   เขาอุ้มห่อผ้าสีมอมซอขนาดไม่ใหญ่นักมาด้วย   เจ้าหญิงอลาน่าและบรรดาซิสเตอร์จึงรีบเตรียมที่ทางเพื่อที่จะรักษาชาวฟูดินันคนนั้น   แต่สิ่งที่พระองค์ได้ยินนั้นกลับทำให้พระองค์ใจหายวาบจนมือไม้เย็นเฉียบไปหมด
                     “เด็กไม่หายใจแล้วค่ะซิสเตอร์!” หญิงนางนั้นตะโกนขึ้นพร้อม ๆ กับที่ชายร่างใหญ่เบียดดันกลุ่มคนที่อยู่หน้าโต๊ะบริจาคอย่างร้อนรนโดยไม่สนใจว่าใครจะหกล้มหน้าคว่ำลงไปบ้าง
                     “โอ พระเจ้า” เจ้าหญิงทรงรีบรับห่อผ้านั้นมาอย่างรวดเร็ว   เด็กหญิงชาวฟูดินันวัยสี่ขวบเนื้อตัวเย็นจัดและเปียกปอน   ใบหน้าซีดขาวแทบไม่มีสีเลือด ริมฝีปากเริ่มเขียวคล้ำแล้ว   ซิสเตอร์โรซาน่ารีบจับชีพจรที่คอของเด็กน้อย
                     “ยังทัน   เร็วเข้า! เอาผ้าห่มกับเตาผิงมา” ซิสเตอร์โรซาน่ารีบตะโกนบอกซิสเตอร์คนอื่น ๆ ทันที

                     หลังจากที่เหล่าซิสเตอร์ช่วยกันพยาบาลเด็กหญิงอยู่เป็นครู่ใหญ่   เด็กน้อยก็เริ่มหายใจเป็นปกติและใบหน้ามีสีเลือดขึ้นอีกครั้ง   เมื่ออาการของเด็กหญิงอยู่ในขั้นปลอดภัยแล้วเจ้าหญิงอลาน่าจึงอุ้มเด็กน้อยมาส่งคืนให้กับพ่อของแก   ซึ่งเขายังยืนกรานจะไม่ไปไหนและจะไม่ยอมให้พวกซิสเตอร์ทำแผลให้จนกว่าเขาจะแน่ใจว่าลูกสาวของเขาปลอดภัยดีแล้ว   ทันทีที่เขาเห็นซิสเตอร์อุ้มบุตรสาวเข้ามา   เขาก็รีบอุ้มไปกอดแน่นด้วยความดีใจ   น้ำตาเอ่อขึ้นคลอเบ้า  ปากก็พร่ำคำขอบคุณไม่หยุดปาก   จนเมื่อเขาสงบใจลงได้แล้วซิสเตอร์โรซาน่าจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
                     “ทีนี้ส่งเด็กน้อยมาให้พวกเราก่อนนะ   พวกซิสเตอร์จะได้ทำแผลให้คุณได้”
                     เจ้าหญิงทรงยิ้มและยืนมือออกไปรับเด็กน้อย   ซึ่งเขาก็ยอมส่งบุตรสาวให้แต่โดยดีแม้จะไม่ค่อยเต็มใจนัก   บรรดาซิสเตอร์รีบเข้ามาทำแผลให้เขาทันที   โดยที่ซิสเตอร์โรซาน่าวางมือรักษาอาการบวมเป่งที่ดวงตาของเขา
                     “ขอโทษนะจ๊ะ   ฉันขอถามอะไรเธอสักอย่างได้ไหมจ๊ะ?” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสถามขึ้นหลังจากที่ทรงรีรออยู่นาน
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: February 09, 2006, 07:14:42 PM »

                   “กี่อย่างก็ได้ขอรับ   พวกท่านช่วยชีวิตลูกสาวข้าไว้   ซ้ำยังช่วยรักษาข้าอีก   ข้าไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณพวกท่านอย่างไรดี   ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่มีน้ำใจเช่นนี้อยู่ในเมือง” เขายิ้มกว้างตอบด้วยสำเนียงแปร่งหู
                    “ฉันอยากรู้เรื่องเดียวเท่านั้นจ้ะ” เจ้าหญิงทรงรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดของเขาแต่ก็ยังคงยิ้มตอบ “ฉันแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอทั้งสอง? ใครทำร้ายเธอจนบาดเจ็บขนาดนี้?”
                    คำถามง่าย ๆ ของเจ้าหญิงดูจะเป็นคำถามประหลาดและน่าฉงนสำหรับเขา   เพราะเขาขมวดคิ้วเข้าหากันทันที   สายตาที่ผ่อนคลายเมื่อครู่หายวับไปกลายเป็นสายตาที่ดูหวาดระแวงและแคลงใจในพริบตา   เจ้าหญิงอลาน่าและซิสเตอร์โรซาน่าจับสังเกตปฏิกิริยาเฉียบพลันนี้ได้ทันที   จึงต่างมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
                    “ทำไมถึงมองพวกเราอย่างนั้นล่ะ?   พวกเราพูดอะไรผิดหรือ?” ซิสเตอร์โรซาน่าถามด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความปราณี  
                    ชายคนนั้นมองใบหน้าของสตรีทั้งสองก่อนจะหันไปมองหาหญิงที่พาตนมาที่นี่   แต่นางก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นเสียแล้ว   เขาหันกลับมามองสตรีทั้งอีกครั้งหนึ่ง
                    “พวกท่านไม่รู้จริง ๆ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั้น?” เขาโบกมือไปทางท่าเรือ “พวกผู้อพยพตายอยู่ในทะเลน้ำแข็งนั้นเป็นร้อยเป็นพันคน   ชาวแอนดิซองอย่างพวกท่านจะไม่รู้เรื่องอะไรเชียวหรือ?” เขาเชื่ออย่างเหลือเกินว่าชาวแอนดิซองทุกคนรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับผู้อพยพที่ไม่เป็นที่ต้อนรับอย่างพวกเขา
                    “ไม่จ้ะ   พวกเราตั้งเต็นท์ห่างจากท่าเรือเพื่อหลบลมหนาวจากทะเลมาเกือบเดือนแล้ว   ฉันไม่คิดว่าฉันจะรู้เรื่องนี้แน่ ๆ ” เจ้าหญิงอลาน่าหน้าซีดราวกับกระดาษ  หัวใจเต้นแรงจนสั่นรั่วราวกับกลองรบ   กลัวเหลือเกินกับสิ่งที่กำลังจะได้ยิน “ได้โปรดบอกฉันเถอะจ้ะว่าเกิดอะไรขึ้น”
                    “พวกท่านต้องเป็นคนกลุ่มเดียวในเมืองนี้แน่ ๆ ที่ไม่รู้เรื่องโหดเหี้ยมนั่น” เขามองเจ้าหญิงที่อยู่ในชุดนักบวชด้วยความฉงนเป็นที่สุด   แต่เขารู้ว่าสีหน้าและแววตาเช่นนี้ไม่ได้โกหกเขา “ถ้าข้าเล่า...พวกท่านจะไม่ส่งข้ากับลูกให้พวกทหารใช่ไหม?”
                    “ไม่จ้ะ” เจ้าหญิงตรัสอย่างตกใจและยิ่งสับสนมากขึ้น   พวกทหารมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย “ทำไมฉันจะต้องทำอย่างนั้นด้วยละจ๊ะ?”
                     เขายักไหล่ทีหนึ่งและถอนหายใจแรง ๆ ก่อนจะเริ่มต้นเล่าอย่างคับแค้นใจ “นอกท่าเรือนั่น...พวกทหารตั้งด่านสกัดเรือทุกลำที่มีผู้อพยพโดยสารมาด้วย   เรือสินค้าบางลำที่จำเป็นต้องเทียบท่าก็ต้องเอาพวกผู้อพยพลงเรือเล็กแล้วปล่อยลอยลำอย่างไร้จุดหมายอยู่นอกอ่าว   แต่เรือเล็กมีไม่พอพวกคนแก่ ผู้หญิงและเด็ก ๆ เท่านั้นที่จะได้นั่งเรือส่วนพวกที่เหลือก็ต้องลอยคออยู่กลางทะเล บางลำไม่มีเรือเล็ก...เขาก็จำเป็นต้องจับพวกผู้อพยพโยนลงทะเลทั้งอย่างนั้น   เรือบางลำที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเทียบท่าก็จำเป็นต้องหันใบเรือกลับ   แต่พวกเราทุกคนไม่มีใครต้องการกลับไปเสี่ยงชีวิตที่บ้านเกิดอีก   กลับไปก็มีแต่ตายกับตาย   ครอบครัวของข้าเองก็ถูกสังหารจนหมดเหลือแต่ลูกสาวคนนี้เท่านั้น...” เขาหยุดมองบุตรสาวที่เวลานี้นอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย   เขายื่นมือออกไปรับบุตรสาวคืนจากเจ้าหญิงอลาน่าพลางกอดไว้แนบอก “ดังนั้นหลายคนจึงตัดสินใจกระโดดลงทะเลเพื่อว่ายน้ำเข้าฝั่งกันเอง   ถึงแม้ว่าจะหนาวแทบตายแต่พวกเราก็คิดว่ามันคุ้มที่จะเสี่ยง   อย่างน้อยอาณาจักรนี้ก็ยังปลอดภัยจากสงคราม   แต่พวกท่านก็คงนึกออกใช่ไหมว่าพวกเขาทำอย่างไรกับผู้ที่ไม่เป็นที่ต้อนรับ?...”
                    เมื่อพูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นมองสตรีทั้งสองคล้ายจะให้บาดแผลบนใบหน้าและตามร่างกายของเขาบอกคำพูดที่เหลือ
                    “โอ   พระเจ้าทรงโปรด...” เจ้าหญิงตรัสได้แค่นั้นก็ทรงรีบยกมือขึ้นปิดปาก   หยาดน้ำใส ๆ ค่อย ๆ ไหลลงจากดวงตาคู่งาม “ฉันต้องไปเดี๋ยวนี้...ซิสเตอร์คะฉันต้องไปเดี๋ยวนี้” เจ้าหญิงทรงตรัสย้ำกับซิสเตอร์โรซาน่าอย่างตื่นตระหนกก่อนจะพลุนพลันวิ่งออกจากเต็นท์บริจาคทันที
                    “รอเดี๋ยวก่อนเพคะ!” ซิสเตอร์โรซาน่ารีบฉวยไหล่อันบอบบางของเจ้าหญิงเพื่อรั้งพระองค์ไว้  
                    “เรารอช้ากว่านี้ไม่ได้แล้วนะคะ” เจ้าหญิงทรงหันกลับมามองด้วยดวงตาที่แดงก่ำและยังคงแวววับด้วยน้ำตา   ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจเมื่อซิสเตอร์พยายามห้ามพระองค์   แต่เมื่อทรงเห็นความหวั่นวิตกไม่แพ้กันบนใบหน้าของซิสเตอร์สูงวัยเจ้าหญิงอลาน่าจึงทราบว่าซิสเตอร์โรซาน่ามีเหตุผลที่ดีที่รั้งพระองค์ไว้
                    “ลำพังแค่พวกเราไม่อาจทำอะไรได้หรอกเพคะ   จะต้องมีคนบาดเจ็บมากมายอยู่ที่นั่นแน่ ๆ ” ซิสเตอร์โรซาน่าทูลอย่างรวดเร็ว ซึ่งเจ้าหญิงก็ทรงเข้าใจในทันทีก่อนจะหันไปทางกลุ่มซิสเตอร์ที่กำลังแจกจ่ายเสื้อกันหนาวให้คนยากจน   ซิสเตอร์โรซาน่าออกคำสั่งเสียงดัง “ซิสเตอร์ทุกคนรีบเก็บของเร็วเข้า   ช่วยกันขนเครื่องกันหนาวและอุปกรณ์ปฐมพยาบาลมาให้มากที่สุดเราต้องย้ายที่กันแล้ว”

Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: February 09, 2006, 07:15:49 PM »

                   “เรากำลังจะไปไหนกันคะ? คุณแม่โรซาน่า” ซิสเตอร์คนหนึ่งที่อยู่ใกล้ถามขึ้น
                    “เรากำลังจะไป...” ซิสเตอร์โรซาน่าตอบ
                    “ท่าเรือ!” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสตอบด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นก่อนที่จะก้าวออกจากเต็นท์มุ่งหน้าสู่ท่าเรือทันที
                    “พวกผมช่วยขอรับซิสเตอร์” บรรดาผู้ยากไร้ที่ได้ยินดังนั้นต่างก็รีบขันอาสาเฮโลกันช่วยขนข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ออกติดตามคณะซิสเตอร์ไปในทันใดนั้นเอง   บ้างก็เพราะทนเห็นเพื่อนร่วมชาติถูกทำร้ายไม่ได้  บ้างก็เพราะความสงสารเพื่อนร่วมชะตากรรม  หรือบ้างก็เพราะความอยากรู้ว่าคณะซิสเตอร์จะหยุดเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร?   บรรดาคนที่เห็นกลุ่มซิสเตอร์นำขบวนคนจรจัดมุ่งหน้าสู่ท่าเรือต่างก็ออกมายืนดูขบวนจนถนนเริ่มแออัดไปตลอดทั้งสาย   เมื่อบางคนได้ทราบว่ากลุ่มซิสเตอร์กำลังจะไปหยุดเหตุการณ์รุนแรงที่ท่าเรือก็ทยอยออกมาสมบทเพื่อติดตามไปดูจนขบวนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
                    “พระเจ้าข้า   โปรดประทานพละกำลังให้กับลูกด้วย   ขออย่าให้สายเกินไปเลย” เจ้าหญิงทรงพึมพำพลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งหอบหายใจแข่งกับความหนาวเย็นไปตลอดทาง      ปอดของพระองค์เจ็บจนเหมือนจะฉีกขาดเพราะไอเย็นจัดที่ถูกสูดเข้าไปหลายครั้ง   ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่ทรงคิดที่จะหยุดพักแม้สักวินาที
                    ยิ่งเข้าใกล้บริเวณท่าเรือมากขึ้นเท่าไหร่เสียงตะโกนโหวกเหวกเอ็ดตะโรและเสียงหวีดร้องก็ยิ่งดังขึ้นเท่านั้น   เจ้าหญิงอลาน่า บรรดาซิสเตอร์ และขบวนผู้ติดตามต่างก็รีบเร่งฝีเท้ากันเร็วขึ้น   ทันทีที่ไปถึงท่าเรือด้วยความเหนื่อยหอบเจ้าหญิงก็แทบเข่าอ่อนจนยืนไม่อยู่เพราะตกตะลึงกับความป่าเถื่อนอันน่าสยดสยองเบื้องหน้า  
                    ไกลออกไปจากท่าเรือหลายร้อยเมตรเรือรบแอนดิซองหลายร้อยลำจอดทอดสมอเรือเรียงกันเป็นแถวยาวปิดกันหน้าอ่าวตลอดแนวทั้งหมด   เรือพาณิชย์น้อยใหญ่ไม่ต่ำกว่าสี่ร้อยลำจอดออกันอยู่ด้านนอกจนแน่นขนัดไปหมด   เรือบดลำเล็ก ๆ มากมายที่อัดแน่นไปด้วยผู้อพยพทั้งเด็กและผู้หญิงลอยกระจัดกระจายอยู่เต็มอ่าว   เรือบางลำก็โคลงเคลงจนเหมือนจะพลิกคว่ำอยู่ตลอดเวลาเพราะพวกที่ลอยคออยู่กลางทะเลหลายคนพยายามปีนป่ายหนีน้ำทะเลที่เย็นยะเยือกขึ้นไปบนเรือ   พวกที่อ่อนแรงไม่สามารถทนความหนาวได้ก็ค่อย ๆ จมหายไปทีละคนสองคน   ร่างไร้วิญญาณของมนุษย์ที่จมน้ำตายมาหลายวันจนอืดบวมทั้งคนแก่ คนหนุ่มสาว แม้กระทั่งทารกก็มีให้เห็นลอยกระจายอยู่ทั่วอ่าว  
                    แต่คงไม่อะไรเลวร้ายไปกว่าทหารแอนดิซองหลายร้อยหลายพันนายที่ยืนเรียงแถวตลอดแนวความยาวของท่าเรือ   ต่างใช้ทั้งไม้พลองและหอกปลายแหลมฟาดตีและจ้วงแทงใส่บรรดาผู้อพยพหลายพันคนที่กำลังตะเกียกตะกายปีนขอบท่าเรือเพื่อหนีความหนาวยะเยือกของน้ำทะเลที่เย็นจัดจนใกล้จะจับตัวเป็นน้ำแข็งอย่างไร้ความปราณี   เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและเสียงร้องวิงวอนขอความเมตตาดังสลับกับเสียงตะคอกด่าทอและขับไล่ไสส่งจนประสมปนเปกันแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์   น้ำทะเลบริเวณโดยรอบท่าเรือกลายเป็นสีแดงเพราะเลือดของผู้อพยพที่ถูกทำร้าย   หลายคนเห็นแค่เพียงแผ่นหลังที่ลอยโผล่พ้นน้ำเท่านั้น   ซึ่งถ้ามิใช่เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็คงเพราะขาดใจตายด้วยความหนาว   ใครที่ตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ก็ถูกกลุ่มทหารที่ยืนคอยท่าอยู่ด้านหลังจับโยนลงทะเลไปอีกโดยไม่สนใจว่าเขาจะหล่นลงไปทับใครข้างล่างนั่น   ส่วนใครที่โชคดีรอดจากการถูกจับได้ก็รีบวิ่งโซซัดโซเซหายเข้าไปตามซอกตึกต่าง ๆ   แต่กระนั้นตามเนื้อตัวของพวกเขาก็เต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะเต็มไปหมด
                    เจ้าหญิงอลาน่าทรงพยายามมองหาแม่ทัพหรือใครก็ตามที่มีอำนาจพอที่จะสั่งให้ยุติการกระทำอันป่าเถื่อนนี้ได้   แต่ท่ามกลางความสับสนอลหม่านเช่นนี้   การจะมองหาใครสักคนนั่นยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร   พระองค์จึงได้แต่ร้องตะโกนอย่างสิ้นหวัง
                    “หยุดเดี๋ยวนี้!” เจ้าหญิงทรงตะโกนจนสุดเสียง   แต่อนิจจา...เสียงของพระองค์มิอาจสู้กับเสียงเอะอะโวยวายที่ดังอยู่โดยรอบท่าเรือทำให้ไม่มีใครเลยที่ได้ยินเสียงของพระองค์
                    “เราคือเจ้าหญิงอลาน่า   ในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า   เราขอสั่งให้พวกเจ้าหยุดการกระทำโหดร้ายนี้เดี๋ยวนี้” พระองค์พยายามตะเบ็งให้ดังยิ่งขึ้นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดเอ่อคลอดวงเนตรคู่งามอีกครั้ง   แต่จู่ ๆ ลมทะเลอันหนาวยะเยือกก็พัดจัดหอบเอาเสียงร้องของพระองค์ลอยหายไปทางเบื้องหลัง   เหมือนลมหนาวนี้ได้หอบเอาความหวังอันริบหรี่ของพระองค์ไปด้วย   ความหวังที่ว่าอาจมีทหารสักคนที่ได้ยินเสียงของพระองค์...   เจ้าหญิงซวนเซเล็กน้อยเมื่อทรงคิดถึงความไร้กำลังของตนเองจนซิสเตอร์โรซาน่ารีบเข้ามาประคองไว้
                    “พระเจ้าข้าพระองค์ทรงคำวิงวอนของลูกเสมอมา   เวลานี้พระองค์อยู่ที่ไหน?   ลูกกำลังร้องหาพระองค์…”  เจ้าหญิงทรงครวญเสียงเบาราวกับเสียงกระซิบด้วยความโศกเศร้าที่กำลังถาโถมเข้ามา   แต่แล้วพระองค์ก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชื่อของเธอด้วยเสียงเบาแผ่ว ๆ เหมือนเสียงของเด็กแต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างน่าประหลาด   เมื่อพระองค์พยายามตั้งใจฟังให้ถนัดยิ่งขึ้น   เสียงเด็กคนนั้นเงียบหายไปแล้วแต่กลับมีเสียงเรียกพระนามของพระองค์หลายเสียงดังประสานกันมากขึ้นเรื่อย ๆ   เจ้าหญิงทรงค่อย ๆ หันหน้าไปทางเสียงเหล่านั้น   และในวินาทีนั้นเองรอยยิ้มแห่งความหวังก็ปรากฏบนใบหน้าอันอ่อนหวานและงดงามของเจ้าหญิง  พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินเสียงของพระองค์แล้ว
« Last Edit: February 09, 2006, 07:18:39 PM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: February 09, 2006, 07:17:14 PM »

                   บรรดาคนยากจนที่ติดตามคณะซิสเตอร์มาด้วยนั้นต่างยืนจ้องมองสตรีร่างบางที่อยู่เบื้องหน้าของพวกตนด้วยอาการตะลึงงัน   พยายามทบทวนสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินแทบไม่เชื่อหูตัวเอง   แต่แล้วเสียงเอ่ยพระนามของเจ้าหญิงก็เริ่มดังกระซิบกระซาบในหมู่ขบวนผู้ติดตามจนดังกระหึ่มไปทั่ว   ต่างเริ่มปรบมือและเป่าปากส่งเสียงไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีจนค่อย ๆ ดังขึ้นกลายเป็นเสียงร้องตะโกนด้วยความปลาบปลื้มและซาบซึ้งใจในน้ำพระทัยของเจ้าหญิง   ทุกคนต่างช่วยกันร้องตะโกนเพื่อหยุดการกระทำของเหล่าทหารอย่างไม่กลัวเกรง   จนบรรดาทหารต้องหยุดชะงักหันกลับมามองดูกลุ่มผู้ร้องตะโกนเบื้องหลังตนด้วยความตกใจ  
                    จังหวะนั้นเอง กลุ่มผู้อพยพก็ฉวยโอกาสนี้ตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งดันแถวทหารจนถอยร่นออกมาจากสะพานเรือและริมขอบท่าเรือได้สำเร็จ   และเริ่มไหลทะลักกินพื้นที่ท่าเรือเข้ามาเรื่อย ๆ จนเกิดการปะทะกันอย่างชุลมุนที่ท่าเรือนั้นนั่นเอง  
                    “เกิดอะไรขึ้น!” เสียงที่เต็มไปด้วยความฉุนเฉียวดังขึ้นพร้อม ๆ กับการปรากฏตัวของนายทหารวัยกลางคนรูปร่างท้วมใหญ่ที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งแทรกเข้ามาไม่ไกลจากกลุ่มคณะของซิสเตอร์นัก   ซึ่งถ้าดูจากตรายศที่ค่อนข้างหมองแล้วก็สามารถรู้ได้ว่ายศของเขาสูงกว่าพวกพลทหารที่อยู่ริมท่าเรือไม่มากนัก   “โอ...ซวยกันหมดแล้ว   รีบขอกำลังเสริมเร็วเข้า   อย่าให้พวกมันเข้ามาในเขตท่าเรือชั้นใน...”      
                    “ช้าก่อน!” เจ้าหญิงตรัสขัดจังหวะเสียงดัง   ทำให้นายทหารหันขวับมาทันทีด้วยความขุ่นเคือง
                    “พวกซิสเตอร์มาทำอะไรกันที่นี่?” เขาตะวาดเสียงดังอย่างหัวเสีย   มีกลิ่นเหล้ารัมโชยออกมาจากลมหายใจของเขาบอกให้รู้ว่าเขาคงแอบหลบไปดื่มเหล้าที่บาร์ใกล้ ๆ ท่าเรือนี้   เขากวาดตาเร็ว ๆ มองขบวนผู้ยากไร้เบื้องหลัง “นี่คิดจะมาก่อการประท้วงรึไง? พวกเจ้าใช่ไหมที่ทำให้เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้?  ดีละข้าจะจับพวกเจ้าขังลืมในคุกใต้ดิน”  พูดจบก็สาวเท้าอย่างเร็วตรงรี่เข้ามาหาเจ้าหญิงอลาน่าทันที
                    “นี่เจ้าคิดว่ากำลังพูดอยู่กับใครกัน?” ซิสเตอร์โรซาน่ารีบก้าวเข้ามายืนขวางหน้าเจ้าหญิง กล่าวตำหนิเสียงเข้มแม้จะไม่มีกิริยาที่รุนแรงก้าวร้าวแต่ก็เปี่ยมด้วยพลังของผู้ทรงภูมิและศักดิ์สิทธิ์จนทำให้นายทหารผงะไปชั่ววูบหนึ่ง   แต่เพราะเหล้ารัมที่ทำให้ความชั่งใจของเขาลดลง   ผนวกกับความรู้สึกอับอายที่เริ่มมีเสียงตะโกนต่อว่าเขาจากกลุ่มผู้ประท้วงทางเบื้องหลัง   ใบหน้าที่แดงนิด ๆ เพราะฤทธิ์เหล้าค่อย ๆ สีจัดขึ้นทันตาเห็น
                    “จะเป็นใครข้าก็ไม่สนทั้งนั้น!”  เขาตะคอกเสียงดังก่อนที่จะผลักไหล่ซิสเตอร์โรซาน่าเต็มแรงจนเซถลาล้มลง   เจ้าหญิงอลาน่าทรงรีบเข้าไปรับตัวซิสเตอร์ไว้แต่เพราะแรงกระแทกทำให้พระองค์ล้มหงายลงไปด้วยเช่นกัน   บรรดาซิสเตอร์ที่อยู่ข้างหลังต่างก็หวีดร้องโผเข้าไปรับร่างสตรีทั้งสองด้วยความตกใจจนล้มทับกันอยู่บนพื้น
                    “ซิสเตอร์เป็นอะไรรึเปล่าคะ?” เจ้าหญิงทรงถามอย่างร้อนรนโดยที่ไม่ได้คิดถึงตัวเองเลยสักนิด
                    “ไม่เพคะ   ขอบพระทัยเพคะ” ซิสเตอร์โรซาน่าจับไหล่ของตนและรู้ว่าคงแค่ช้ำนิดหน่อยเท่านั้น “พระองค์บาดเจ็บรึเปล่าเพคะ?”
                    ซิสเตอร์ถามได้เพียงเท่านั้น  แต่แล้วในชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเองทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมากจนดูแทบไม่ทัน   เมื่อมีเสียงกระพือของผ้าผืนใหญ่ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงเหมือนไม้นวมฟาดใส่หมอนใบใหญ่   มีแสงสีขาวแวบผ่านสายตาไปก่อนที่ร่างของนายทหารคนนั้นจะลอยถลาไปกระแทกใส่เหล่าทหารและผู้อพยพที่กำลังชุลมุนกันอยู่จนต่างก็ล้มคว่ำลงไปกองกับพื้น   เสียงหวีดร้องแตกตื่นด้วยความตกใจของทุกคนดังจนฟังไม่ได้ศัพท์พร้อม ๆ กับเงาใหญ่ทะมึนและแสงสะท้อนของผลึกทาบอยู่เหนือร่างนายทหารคนนั้น
                    “หยุดนะอองเดร!” เสียงอันตื่นตระหนกของเจ้าหญิงดังขึ้นในชั่วอึดใจนั้นเอง    
                    ราชองครักษ์หนุ่มยืนตระหง่านค้ำร่างไร้สติของนายทหารร่างท้วมคนนั้น   เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนอกพร้อมกับดาบผลึกน้ำแข็งอันคมกริบจ่อจรดลำคอของเขาอย่างน่ากลัว แต่เพียงแค่สัมผัสปลายดาบเบา ๆ ก็มีรอยเลือดจาง ๆ ซึมออกมารอบ ๆ ปลายดาบและแข็งตัวเป็นน้ำแข็งแทบจะในทันทีที่ซึมสัมผัสกับปลายดาบ   ซึ่งหากอองเดรออกแรงกดอีกเพียงนิดเดียวคอของเขาก็คงขาดวิ่นพร้อมกับบาดแผลและเลือดที่จับตัวเป็นน้ำแข็งในบัดดลนั่น  
                    นายทหารผู้โชคดีในความโชคร้าย   เพราะแรงเตะของราชองครักษ์ส่งให้เขาหมดสติในชั่ววินาทีนั้นโดยที่ยังไม่มีโอกาสได้ร้องแสดงความเจ็บปวดด้วยซ้ำ   ทำให้เขาไม่เห็นสายตาคลั่งแค้นคมกร้าวดุดันและจิตสังหารที่ฉายชัดอยู่ในแววตาของราชองครักษ์   ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวทำให้นัยน์ตาสีฟ้าหม่นเข้มจัดขึ้นเหมือนสีของท้องทะเลอันเชี่ยวกราด   กระทั่งบรรดาผู้อพยพและเหล่าทหารยังตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดผวาจนไม่มีใครแม้สักคนจะกล้าขยับตัว   บรรยากาศโดยรอบท่าเรือที่หนาวเย็นอยู่แล้วยิ่งให้ความรู้สึกว่าอุณหภูมิลดลงต่ำเกินกว่าคำว่าเยือกแข็ง   เพียงแค่ดวงตาคู่เดียวยังน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้   แล้วใบหน้าภายใต้หมวกเกราะจะน่าสะพรึงกลัวสักเพียงไหน   ต่างก็คิดอย่างหวาดหวั่นว่าหากพวกตนถูกจ้องมองด้วยสายตาเช่นนั้นก็คงจะขาดใจตายด้วยความหวาดกลัวไปเดี๋ยวนั้นเอง
                    ถึงแม้ว่าอองเดรจะยอมยั้งมือตามคำทัดทานของเจ้าหญิง   กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมขยับเขยื้อนตัวไปไหน   อีกทั้งดาบผลึกก็ยังคงจรดจ่ออยู่ที่คอของนายทหารคนนั้นอย่างน่าหวาดเสียวเพราะแม้จะยังไม่ได้ขยับเขยื้อนใด ๆ แต่ดูเหมือนว่าในความคิดของราชองครักษ์   ดาบของเขาได้จมมิดเข้าไปจนคอขาดสะบั้นแล้ว   ทุกคนยังคงรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในตัวของราชองครักษ์ผู้เย็นชาราวกับน้ำแข็งผู้นี้   และดูเหมือนว่าเขาพร้อมที่จะกดดาบให้จมลึกลงไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่งได้ตลอดเวลา
                    “เก็บดาบของเธอเดี๋ยวนี้   อองเดร” เจ้าหญิงตรัสอย่างร้อนรนอีกครั้ง
                    “หน้าที่ของมันคือปกป้ององค์กษัตริย์และราชวงศ์ด้วยชีวิต   ดังนั้นโทษที่มันบังอาจทำร้ายเจ้าเหนือหัวของมันคือความตายเท่านั้น” อองเดรตอบเสียงเฉียบเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว
                    “อองเดรจ๊ะ” เจ้าหญิงทรงตรัสด้วยเสียงอ่อนโยนลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเนื่องจากเกรงว่าอองเดรจะชิงกดดาบลงไปเสียก่อน “เธอจะลงโทษเขาได้อย่างไร?ในเมื่อเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใคร   และดูสิ...ฉันก็ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนเลยแม้แต่น้อย   เก็บดาบของเธอเสียเถอะจ้ะอองเดร   ตอนนี้ฉันมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าการลงโทษเขาหลายร้อยเท่าที่อยากจะขอร้องเธอให้ทำ   อองเดร เพื่อเห็นแก่พระเจ้า...หรืออย่างน้อยก็เพื่อเห็นแก่ฉัน”
                    อองเดรนิ่งไปหลายอึดใจ   ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะยาวนานมากเลยทีเดียวสำหรับผู้คนที่มองดูเหตุการณ์นี้อยู่รวมถึงเจ้าหญิงและเหล่าซิสเตอร์ด้วยเช่นกัน   ในที่สุดอองเดรก็ตวัดดาบเก็บอย่างรวดเร็วด้วยความไม่เต็มใจ   ทำให้หลาย ๆ คนต้องสะดุ้งด้วยความตกใจและต่างก็ถอนหายใจกันเฮือกใหญ่
                    ราชองครักษ์วัยฉกรรจ์ก้าวเข้ามาย่อเข่าลงต่อหน้าเจ้าหญิงอย่างรวดเร็ว  “โปรดอภัยให้กระหม่อมด้วยที่มาอารักขาพระองค์ไม่ทัน”
« Last Edit: February 09, 2006, 07:17:43 PM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: February 09, 2006, 07:20:46 PM »

                   “ฉันอภัยให้เธอเหมือนที่ฉันอภัยให้นายทหารคนนั้นจ้ะอองเดร   ลุกขึ้นเถอะ”
                    “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” อองเดรยืดตัวขึ้นก่อนจะทูลถาม “ฝ่าบาทจะให้กระหม่อมทำสิ่งใดที่สำคัญกว่าการลงโทษเจ้าเศษ...นายทหารนั่นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
                    “เธอคิดว่าฉันและทุกคนมาที่นี่เพราะอะไรหรืออองเดร?” เจ้าหญิงตรัสด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย   อองเดรเหลือบตาไปมองทะเลแวบหนึ่งก่อนจะเลื่อนสายตากลับมาที่ใบหน้าอันงดงามของเจ้าหญิงอีกครั้งโดยที่ยังคงนิ่งเงียบอยู่
                    “ฉันต้องการให้เธอหยุดการกระทำอันโหดเหี้ยมทารุณนี่เดี๋ยวนี้” เจ้าหญิงตรัสด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “พวกเขาเดือดร้อนและทุกข์ทรมานจากสงครามมามากพอแล้ว   พวกเขาหวังจะมาพึ่งเรา   แต่ทำไมเราถึงกลับซ้ำเติมพวกเขาอย่างไร้หัวใจเช่นนี้”  
                    ทว่าอองเดรกลับยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น   เจ้าหญิงจึงทรงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของราชองครักษ์ด้วยดวงตาคาดคั้นและเจ็บปวดเมื่อเห็นท่าทางนิ่งเฉยของเขา  
                    “ถอนทหารเดี๋ยวนี้   อองเดร” เจ้าหญิงออกคำสั่ง
                    “กระหม่อมทำไม่ได้” อองเดรตอบเสียงเรียบ   แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นน้ำตาหยาดหนึ่งไหลออกมาจากดวงเนตรคู่งามของเจ้าหญิงที่เขาแสนเทิดทูน  ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจรีบคุกเข่าลงทันที “ฝ่าบาท...โปรดอย่ากรรแสงเช่นนี้   สิ่งเดียวที่กระหม่อมไม่ปรารถนาจะเห็นคือน้ำพระเนตรของพระองค์”
                    “ถ้าเช่นนั้นก็ถอนทหารของเธอเสียสิ อองเดร” เจ้าหญิงทรงยืนกรานเสียงสั่นเครือ
                    “กระหม่อมทำไม่ได้” อองเดรยังคงตอบเช่นเดิม   แม้น้ำเสียงจะอ่อนลง
                    “ทำไม?” เจ้าหญิงทรงคาดคั้น
                    “เพราะมันเป็นความเห็นชอบจากทั้งสามสภาที่จะไม่ให้ความช่วยเหลือใด ๆ แก่ผู้อพยพอีก”
                    “แม้แต่สภาศาสนาหรือ?” เจ้าหญิงทรงยกมือขึ้นนาบอก   ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ฉันจะทำหนังสือถึงท่านมาร์สิลิโอ้”
                    อองเดรส่ายหน้าช้า ๆ “ท่านคาร์ดินัลเป็นผู้ลงนามอนุมัติด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ   หลังจากที่ท่านเดินทางมาถึงเมืองท่าเมื่อครึ่งเดือนก่อน   สภาพ่อค้าก็ผลักดันเรื่องปัญหาผู้อพยพในการประชุมสามสภา   และทุกฝ่ายต่างก็เห็นชอบที่จะจำกัดจำนวนผู้อพยพไม่ให้มีมากไปกว่านี้”
                    เจ้าหญิงทรงสูดหายใจเข้าอย่างแรงและปิดเปลือกตาลงเพื่อเรียกกำลังใจจากทุกส่วนในร่างกาย   สมองคิดหาทางแก้สถานการณ์อย่างว้าวุ่น
                    “ฉันจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมสภาอีกครั้ง” เจ้าหญิงทรงลืมตาขึ้นด้วยแววตาที่มุ่งมั่น “ระหว่างนี้ฉันอยากให้เธอหยุด...สิ่งนี้ไว้ก่อน”
                    “ฝ่าบาท  กระหม่อม...” อองเดรพยายามทัดทาน
                    “ฉันรู้ว่าเธอทำได้จ้ะ   ได้โปรดเถอะจ้ะ อองเดร   อย่างน้อยแค่ให้พวกเขาได้ขึ้นมาบนฝั่ง   เธอจำกัดพื้นที่พวกเขาให้อยู่แต่บริเวณท่าเรือก็ได้   อย่าทรมานพวกเขาให้ลอยคออยู่กลางทะเลเช่นนี้   ให้คนบาดเจ็บได้รับการรักษา และ ให้ทุกคนได้มีอาหารตกถึงท้องบ้างเท่านั้น”
                    “ฝ่าบาท” ราชองครักษ์พยายามอีกครั้ง
                    “และถ้าทั้งสามสภายังยืนยันเช่นเดิม   เราค่อยส่งพวกเขาขึ้นเรือกลับ  หรืออาจไปส่งพวกเขาที่ดินแดนใกล้เคียงอื่น ๆ ก็ได้นี่จ๊ะ” เจ้าหญิงทรงเสนอทางเลือกที่ราชองครักษ์น่าจะยอมรับได้อย่างนักการทูตที่ดี   โดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้คัดค้านใด ๆ ทั้งสิ้น
                    อองเดรนิ่งเงียบอย่างคนใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่   ดวงตาจ้องมองพระพักตร์อันงดงามของเจ้าหญิงด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก   เจ้าหญิงทรงมีวิธีประนีประนอมเพื่อประโยชน์ของคนยากจนเสมอ   เขาไม่ชอบความคิดของเจ้าหญิงเลยสักนิด   สิ่งที่พระองค์กำลังจะทำจะต้องทำให้พระองค์ตรากตรำงานหนักยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า   แต่เขาไม่อาจเสี่ยงที่จะเห็นพระองค์ต้องกรรแสงอีก   เขาทนรับไม่ได้กับสิ่งนี้   น้ำตาของเจ้าหญิงทำให้เขาหวาดกลัว   ความหวาดกลัวที่เขาเคยคิดว่ามันหายไปจากชีวิตของเขาตั้งแต่วันที่เจ้าหญิงองค์น้อยผู้นี้ช่วยชีวิตของเขาไว้
                    “กระหม่อมหวังว่าพระองค์ทรงทราบว่าพระองค์กำลังทำอะไรอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ” อองเดรยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ   แม่ทัพผู้คุมกองทหารก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วพลางทำความเคารพด้วยอาการตกประหม่า   อองเดรสั่งการเสียงเฉียบจนนายพลมือสั่นด้วยความตกใจ   แต่ทว่าอองเดรไม่ได้หันไปมองนายพลผู้นั้นแม้แต่น้อย   ดวงตาของเขายังคงตรึงอยู่ที่ใบหน้าของเจ้าหญิง “ทำตามที่เจ้าหญิงรับสั่ง”
                    “ขอบใจมากจ้ะ อองเดร” เจ้าหญิงทรงยิ้มด้วยความดีใจอย่างที่สุด  
ใบหน้าที่ดูโศกเศร้าและทุกข์ระทมเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเบิกบานเปี่ยมสุขและงดงามสดใสชวนมองอย่างยิ่ง   ทำให้ดวงตาของบุรุษน้ำแข็งหรี่แคบลงเล็กน้อย   แม้จะพยายามฝืนตัวเองอย่างเต็มที่   คล้ายกับว่าภายใต้หน้ากากเหล็กนั้นมีรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏอยู่   แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวมันก็หายไปกลายเป็นดวงตาที่เรียบเฉยและไร้ความรู้สึกดังเดิม   ทั้งนี้ก็เพราะเสียงไชโยโห่ร้องของผู้คนโดยรอบที่ตะโกนแซ่ซ้องสรรเสริญเจ้าหญิงดังกระฮึ่มก้อง   จนเรียกสติของราชองครักษ์ผู้เย็นชากลับคืนมาอีกครั้ง   เขารีบโค้งลงกราบทูลเจ้าหญิงอย่างเร็ว
                    “ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมจะจัดราชรถมารับพระองค์กลับวัง   เพราะที่นี่หนาวจัดและเป็นเวลาเย็นมากแล้ว”
                    “ตกลงจ้ะ” เจ้าหญิงยอมรับปากแต่โดยดีแม้จะอยากอยู่ช่วยบรรดาผู้อพยพที่นี่   ซึ่งก็ดูเหมือนจะทำให้ราชองครักษ์พอใจกับคำตอบที่ได้รับเพราะเขาโค้งคำนับก่อนจะสาวเท้าออกไปเพื่อจัดการเตรียมราชรถให้เจ้าหญิงแทบจะทันที   โดยที่เจ้าหญิงยังคงยืนอยู่ท่ามกลางเสียงร้องสรรเสริญพระองค์จากเหล่าคนยากคนจนและบรรดาผู้อพยพ   ซึ่งแม้แต่ผู้อพยพที่เพิ่งมาใหม่ก็ยังเปิดใจต้อนรับเจ้าหญิงผู้ประเสริฐแห่งแอนดิซองเข้าไว้ในหัวใจทันทีเช่นกัน  
                    เจ้าหญิงทรงเริ่มหันมาสนใจความตื่นเต้นยินดีของเหล่าผู้ยากไร้   เพราะมั่วแต่ทรงกังวลและพยายามที่จะช่วยบรรดาผู้อพยพ   จึงไม่ทันได้สังเกตว่าฐานะของพระองค์ถูกเปิดเผยแล้ว  
                    “เจ้าหญิงอลาน่าจงเจริญ   เจ้าหญิงผู้แสนประเสริฐจงเจริญ” เสียงซ้องสรรเสริญพระองค์ดังกึกก้อง
                    “ซิสเตอร์คะ   ฉันจะทำอย่างไรดี?   ฉันไม่ได้คิดจะเปิดเผยฐานะของตัวเองเพื่อรับการสรรเสริญเช่นนี้” เจ้าหญิงทรงหันไปตรัสเสียงเบากับซิสเตอร์สูงวัยผู้เป็นที่รักด้วยสีหน้าวิตกกังวล
                    “หม่อมฉันทราบเพคะ” ซิสเตอร์ยิ้มให้กำลังใจอย่างอ่อนโยน “พระองค์ทรงวิตกเรื่องอะไรหรือเพคะหากทุกคนจะรู้ว่าพระองค์เป็นใคร?”
« Last Edit: February 09, 2006, 07:22:34 PM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: February 09, 2006, 07:21:41 PM »

                   “ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ” เจ้าหญิงทรงยิ้มตอบอย่างไม่มั่นคงนัก “ฉันไม่ได้ทำเพื่อให้ได้รับการสรรเสริญเทิดทูน  ฉันไม่อยากให้ทุกคนต้องหมอบคลานเข้ามารับของบริจาคจากเจ้าหญิงในคราวหน้าค่ะ   ฉันอยากเป็นเพียงแค่คน ๆ หนึ่งที่ช่วยเหลือพวกเขาและมอบความรักของพระเจ้าให้พวกเขาเท่านั้น”
                    “อย่าทรงวิตกกังวลถึงวันข้างหน้าเลยเพคะ   เวลานี้ก็มีเรื่องให้เราต้องกังวลมากมายพออยู่แล้ว   พระเจ้าทรงทราบเจตนาของพระองค์ดีเพคะ” ซิสเตอร์โรซาน่ายิ้มให้อย่างเอ็นดูแต่ก็แฝงไว้ด้วยความชื่นชมในตัวเจ้าหญิงอย่างเต็มเปี่ยม “เราเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตไม่ใช่หรือเพคะ?   ในเมื่อพระเจ้าทรงอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้นก็คงเพราะทรงตระเตรียมแผนการบางอย่างไว้ให้พระองค์แล้ว   จะก่อนหน้านี้หรือหลังจากนี้   พระองค์ก็ยังจะช่วยเหลือบรรดาคนยากไร้อยู่เช่นนี้ไม่ใช่หรือเพคะ?”
                    “แน่นอนค่ะ ซิสเตอร์” เจ้าหญิงทรงรับคำเสียงหนักแน่น
                    “ถ้าเช่นนั้นก็ทรงทิ้งความวิตกกังวลไปได้แล้วเพคะ” ซิสเตอร์ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “จงวางใจในพระเจ้า พระองค์จะเป็นผู้นำทางฝ่าบาทเอง”
                    “ขอบคุณค่ะซิสเตอร์” เจ้าหญิงทรงยิ้มละไม เกิดความสุขใจขึ้นมาทันทีเหมือนพระเจ้าได้ทรงเติมเต็มความสุขลงในจิตใจของเจ้าหญิงอีกครั้ง “หากพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างฉัน   ฉันก็ไม่จำเป็นต้องกลัวหรือวิตกกังวลกับสิ่งใด ๆ   เพียงพระเจ้าก็เพียงพอแล้ว   ถ้าฉันมั่วแต่กลัวหรือวิตกกังวล   ฉันคงทำอะไรไม่ได้สักอย่างแน่ ๆ “  
                    แต่แล้วทหารองครักษ์นายหนึ่งเข้ามาทูลการมาถึงของรถม้าพอดี   เจ้าหญิงทรงหันมายิ้มให้ซิสเตอร์โรซาน่าอีกครั้ง
                    “ซิสเตอร์พูดถูกที่สุดค่ะ   วันนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างให้ต้องทำอีกมากมายเลยทีเดียว   ฉันมีที่ที่หนึ่งที่จะต้องรีบไปในวันนี้   ซิสเตอร์ร่วมใจภาวนากับฉันนะคะ   ขอให้ฉันทำสำเร็จ” ตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงโผเข้ากอดซิสเตอร์เร็ว ๆ ก่อนจะรีบขึ้นรถม้าจากไปโดยมีสายตาที่อ่อนโยนและรอยยิ้มจาง ๆ ของซิสเตอร์โรซาน่ามองส่งรถม้าของพระองค์ไป   แม้พระองค์จะไม่ได้บอกว่าจะเสด็จไปไหน   แต่ซิสเตอร์ผู้สูงวัยรู้ดีกว่าเจ้าหญิงจะทรงไปที่ใด
Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #6 on: March 03, 2006, 05:01:26 AM »


พูดคุยเกี่ยวกับนิยายบทนี้ที่

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=19618
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.095 seconds with 21 queries.