Summoner Master Forum
March 29, 2024, 11:24:30 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 55 จุดกำเนิด 4 อาณาจักร @@  (Read 8938 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: April 28, 2007, 06:43:18 AM »

Chapter 55 จุดกำเนิด 4 อาณาจักร


                      ฮารีซัน ทราเฮิร์น ลูกเรือและบรรดาผู้อพยพทั้งสองอาณาจักรต่างเริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายกับการรอคอยผลการประชุมสามสภาที่มีขึ้นหลังจากการมาถึงของพวกเขาได้ราวสองสัปดาห์   ความหวั่นวิตกทวีมากขึ้นในทุก ๆ นาที   จากนาทีเป็นชั่วโมงจากชั่วโมงเป็นวัน   โดยไม่มีข่าวคราวหรือสัญญาณใด ๆ จากที่ประชุมหรือเจ้าหญิงอลาน่าเลย   
                       และแล้ววันที่สี่แห่งการรอคอยนั้นเอง   ม้าเร็วจากที่ประชุมสภาก็มุ่งตรงมายังค่ายผู้อพยพอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งมีสารเชิญผู้นำกองทัพฟูดินันเข้าฟังผลการชุมสภาในทันที   เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนในค่ายก็ยิ่งทั้งตื่นเต้นและตื่นตระหนก   ต่างก็ทั้งอยากรู้และกลัวผลที่กำลังจะได้รับฟัง   แม้แต่ฮารีซันเองก็ยังอดรู้สึกตื่นเต้นและลุ้นผลด้วยใจระทึกจนยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจใหญ่กว่าจะก้าวขึ้นม้าที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้
                      ทันทีที่ไปถึงที่ประชุมสภา   ฮารีซันก็ถูกนำตรงไปตามทางที่ทอดยาวและเลี้ยวลด   อ้อมอาคารสีฟ้าขาวที่ถูกตกแต่งด้วยความวิจิตรตระการตาจนมาถึงอาคารหลังสีขาวบานประตูสีฟ้าเข้มขนาดใหญ่ประดับด้วยรูปมังกรน้ำจอร์มันการ์ดพันจอกสีน้ำเงินขนาดใหญ่   ทหารผู้นำทางฮารีซันหยุดที่หน้าประตูใหญ่พร้อมกับขานชื่อและการมาถึงของเขาด้วยเสียงอันดัง   ประตูค่อย ๆ ถูกเปิดออก   พร้อม ๆ กับเสียงขานการมาถึงของเขาดังเป็นทอด ๆ    เบื้องหลังประตูนั้นมีทางเดินที่ปูด้วยพรมชั้นดีเนื้อหนาสีน้ำเงินเข้มทอดยาวออกไปอีก   ฮารีซันต้องเดินเลาะตามแนวทหารที่วางกำลังไว้ตามโค้งอีกสามโค้งกว่าจะมาถึงห้องที่ถูกใช้เป็นที่ประชุมสามสภา
                      ทันทีที่ประตูถูกเปิดฮารีซันก็ต้องตกใจกับภาพเบื้องหน้ายิ่งขึ้น   เพราะบรรดาผู้ที่อยู่ในห้องล้วนแต่งตัวด้วยเสื้อเต็มยศซึ่งแน่นอนว่าถูกตัดเย็บด้วยวัสดุและช่างฝีมือที่ดีที่สุด   ทั้งบุคคลภายในห้องและแม้แต่บรรยากาศการตกแต่งด้วยตัวห้องประชุมเองก็ดูหรูหราแตกต่างจากผู้นำเผ่าชาวป่าราวฟ้ากับดิน
                      “เข้ามาสิจ๊ะ   ท่านฮารีซัน” เจ้าหญิงอลาน่าทรงตรัสเรียก
                      ฮารีซันก้าวเข้าไปท่ามกลางที่ประชุม   มีเสียงกระซิบกระซาบดังมาจากบรรดาผู้ที่อยู่โดยรอบห้องประชุมนั้น   หัวหน้าเผ่าฟูดินันสังเกตเห็นว่าที่นั่งต่าง ๆ ภายในห้องนั้นถูกแบ่งอย่างเป็นระเบียบโดยมีสภาพ่อค้าอยู่ฝั่งซ้าย   สภาศาสนาอยู่ฝั่งขวา   เบื้องหน้าคือสภาขุนนาง   ที่เบื้องหลังสภาขุนนางนั้นมีบัลลังก์สูงที่ถูกตกแต่งและประดับประดาอย่างสวยงามด้วยอัญมณีและทองคำซึ่งสวยงามที่สุดเท่าที่ชาวป่าสักคนจะเคยเห็นและบนบัลลังก์นั้นมีเจ้าหญิงอลานาประทับอยู่
ผู้นำจากเผ่าฟูดินันทำความเคารพเจ้าหญิงอลาน่าก่อน    แล้วจึงหันไปคำนับสมาชิกสภาทั้งซ้ายและขวา
                      “ท่านคงจะทราบแล้วว่าฉันส่งทหารไปเชิญท่านมาด้วยเรื่องอะไร   เรื่องที่ท่านร้องขอความช่วยเหลือนั้น   ที่ประชุมนั้นไม่เห็นด้วยที่เราจะรีบส่งทหารของแอนดิซองเข้าร่วมในสงครามนี้   สภาจะขอรอดูสถานการณ์การรบไปอีกสักพัก   ส่วนสภาพ่อค้านั้นยินดีที่จะขายอาวุธยุทโธปกรณ์บางส่วน รวมทั้งมอบอาวุธ และข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่าง ๆ ให้แก่กองทัพร่วมฟีเลเซียและฟูดินัน   และเพราะแอนดิซองไม่ได้ให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่กองทัพร่วม   ดังนั้นทางราชสำนักแอนดิซองจะให้ความช่วยเหลือแก่กองทัพร่วมในด้านการเงินและเสบียงอาหารแก่กองทัพแทน   ซึ่งฉันหวังว่านี่จะช่วยแบ่งเบาภาระด้านค่าใช้จ่ายของกองทัพร่วมได้บ้าง”
                      “ข้าขอเป็นตัวแทนกองทัพร่วมของฟีเลเซียและฟูดินันเพื่อกล่าวขอบคุณทุก ๆ ท่านที่อยู่ที่นี่   การที่พวกท่านให้ความช่วยเหลือพวกเราเช่นนี้   ข้าไม่รู้จะตอบแทนน้ำใจของพวกท่านอย่างไรดี” ฮารีซันกล่าวขอบคุณด้วยใจจริงและรู้สึกโล่งใจอย่างที่สุดที่ภารกิจของเขาสำเร็จได้ด้วยดี   แม้จะไม่ได้กองทัพมาเสริมแต่อย่างน้อยเงินและเสบียงอาหารที่เขาจะได้รับความช่วยเหลือจากแอนดิซองก็แบ่งเบาภาระไปได้มากอย่างแน่นอน
                      “อย่าเกรงใจไปเลยท่านฮารีซัน” เจ้าหญิงตรัส
                      “แล้วท่านคิดว่าจะเดินทางกลับเมื่อไหร่รึ?” สมาชิกระดับสูงของสภาขุนนางเอ่ยถามขึ้น
                      “ข้าเองนั้นอยากจะเดินทางกลับในทันทีเพราะพวกเราก็จากสนามรบมาแรมเดือนแล้ว   ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรบ้าง?”
                      “เข้าใจแล้ว   ถ้าเช่นนั้นเมื่อทางเราเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว   ฉันจะจัดเรือพร้อมเงินช่วยเหลือรวมทั้งเสบียงต่าง ๆ ให้ท่านทันที” เจ้าหญิงตรัสพร้อมให้สัญญาณไปทางเสนาบดีฝ่ายการคมนาคมทางทะเล   ซึ่งจะเป็นผู้จัดเตรียมเรือให้คณะของฮารีซันในการเดินทางกลับ
                      “ข้าขอขอบคุณในความกรุณาของเจ้าหญิงเหลือเกิน” ฮารีซันกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
                      เจ้าหญิงทรงพยักหน้ารับคำขอบคุณด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนก่อนจะให้สัญญาณลั่นระฆังเพื่อประกาศปิดสภา
« Last Edit: April 28, 2007, 06:51:59 AM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: April 28, 2007, 06:44:47 AM »

                  ผ่านมาได้หกวันแล้ว   หลังจากที่การประชุมสภาได้สิ้นสุดลง   ระหว่างที่ฮารีซันพำนักอยู่ที่ค่ายผู้อพยพ   ทุกวันเขาจะออกไปช่วยบรรดาซิสเตอร์แจกจ่ายอาหาร   เมื่อว่างก็จะออกพูดคุยกับบรรดาชาวป่าที่ลี้ภัยมาอาศัยอยู่ที่อาณาจักรแอนดิซอง   บรรดาชาวป่าเองก็มักจะมาคุยกับเขาเสมอเช่นกัน   เพราะทุกคนต่างก็อยากจะได้ฟังข่าวคราวความเป็นไปในเผ่าของตน   และอาจจะได้รู้ข่าวคราวของสมาชิกในครอบครัวบ้างไม่มากก็น้อย   ฮารีซันพบว่านอกจากเขาจะได้ถ่ายทอดข่าวสารต่าง ๆ ให้พี่น้องต่างเผ่าแล้ว   เขาก็ยังได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นที่อาณาจักรแห่งนี้อย่างมากมายทีเดียว   โดยเฉพาะเรื่องราวความรักและเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ของเจ้าหญิงแอนดิซอง   ผู้ทุ่มเทชีวิตให้กับการช่วยเหลือเหล่าคนยากจน และผู้อพยพ   ไม่ว่าจะเรื่องความสะมะถะของเจ้าหญิง   การเสียสละทรัพย์สมบัติของพระองค์อย่างไม่คิดเสียดายในการสร้างค่ายผู้อพยพขึ้นมา  รวมทั้งเรื่องที่พระองค์ทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อผู้ยากไร้จนล้มป่วย  จนฮารีซันรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้เขาคงไม่อาจจะตอบแทนบุญคุณของเจ้าหญิงพระองค์นี้ที่ได้ช่วยเหลือผู้คนจากเผ่าของเขาได้หมด   แต่แทนที่จะมาตอบแทนบุญคุณ   เขากลับมาขอความช่วยเหลือเจ้าหญิงอีก   ไม่น่าแปลกใจเลยที่ราชองครักษ์ของเจ้าหญิงจะพยายามขัดขวางและไม่ต้อนรับเขา   นี่เองเป็นสาเหตุให้ฮารีซัน  ยอมรับและไม่ถือโทษความขุ่นเคืองของราชองครักษ์อองเดร   แต่ความรู้สึกที่ลึกซึ้งและเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ในจิตใจของผู้นำชาวป่าก็คือความซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้าหญิงอลาน่าที่มีต่อเขาและบรรดาผู้อพยพนั่นเอง

                  และแล้วในที่สุดฮารีซันและทราเฮิร์นก็ได้รับแจ้งให้ไปตรวจดูเรือรบแอนดิซอง 15 ลำที่จะใช้เดินทางที่ท่าเรือ   พร้อมกับตรวจสอบหีบที่ขนเงินและทองจำนวนหลายร้อยหีบ   รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์อีกจำนวนนับไม่ถ้วนที่ทางแอนดิซองจัดเตรียมไว้ให้   ทั้งฮารีซันและทราเฮิร์นต่างก็ตื่นตะลึงกับข้าวของต่าง ๆ ที่อาณาจักรแอนดิซองจัดเตรียมไว้ให้   ทหารจำนวนมากถูกเกณฑ์ให้มาคอยรักษาการณ์อยู่ที่ท่าเรือ   ต่างเดินตรวจตรากันขวักไขว่และดูหนาตากว่าปรกติอย่างเห็นได้ชัด   แม้แต่ในทะเลก็ยังสามารถมองเห็นกองทัพเงือกว่ายผลุบโผล่ใกล้กับเรือรบทั้งสิบห้าอยู่หลายครั้ง   ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังมองความสับสนวุ่นวายภายในท่าเรืออยู่นั่นเอง   เจ้าหญิงอลาน่าซึ่งอยู่ในชุดเครื่องแบบของนักบวชก็ทรงเดินมาหาพวกเขา   โดยมีซิสเตอร์โรซาน่าติดตามมาด้วย   ฮารีซันและทราเฮิร์นเห็นดังนั้นก็รีบโค้งทำความเคารพทันที
                  “ตามสบายเถอะจ๊ะ วันนี้ฉันดูเหมือนนักบวชมากกว่าเจ้าหญิงนะ” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสอย่างอารมณ์ดี
                  “เราทำความเคารพท่านไม่ใช่แค่เพราะท่านเป็นเจ้าหญิง   แต่เพราะความดีงามที่ท่านได้ทำกับผู้คนของเราที่นี่และเพราะความช่วยเหลือพวกนี้” ฮารีซันผายมือไปยังเรือรบที่ท่าเรือ “สิ่งที่เราทำยังไม่อาจตอบแทนน้ำใจของเจ้าหญิงได้เลย”
                  “ขอบคุณพระเจ้าเถอะจ๊ะ ฉันเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นเล็ก ๆ ของพระองค์เท่านั้น” เจ้าหญิงตรัสพร้อมด้วยรอยยิ้ม “กำหนดวันเดินทางรึยังจ๊ะ?”
                  ข้าได้รับแจ้งว่าบรรดาทหารจะขนเสบียงและหีบต่างๆ เสร็จในคืนนี้   ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจว่าเราจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้หรืออาจจะเป็นวันเวนตุส   ถ้าพรุ่งนี้สภาพอากาศไม่ดี” ทราเฮิร์น กล่าวตอบพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าเพื่อหาสัญญาณของพายุ   
                  “ถ้าเช่นนั้นฉันอยากจะเชิญท่านทั้งสองมารับประทานอาหารกับฉันคืนนี้   เพราะฉันอยากจะเลี้ยงส่งท่านทั้งสองสักหน่อย   งานที่ค่ายอพยพมากมายเสียจนไม่มีเวลามาดูแลท่านทั้งสองเลย   พอจะปลีกตัวได้ก็ถึงเวลาจะต้องจากกันเสียแล้ว   ฉันยังมีอะไรหลายอย่างที่อยากจะคุยกับพวกท่าน   หวังว่าพวกท่านจะให้เกียรติไปทานอาหารกับฉันเพื่อเป็นการเลี้ยงอำลานะจ๊ะ” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสระหว่างทรงเริ่มออกเดินคล้ายจะออกเดินตรวจตราดูความเรียบร้อย   โดยทุก ๆ คนก็ออกเดินตามไปด้วย “คืนนี้จะเป็นมื้ออาหารที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวอยู่สักหน่อย   คงจะมีแค่ฉันซิสเตอร์โรซาน่าและพวกท่าน”
                  “เจ้าหญิงมีเรื่องสำคัญที่เป็นความลับรึ?” ฮารีซันถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นการพบกันเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เจ้าหญิงอลาน่าทรงยิ้ม “ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญแต่ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรจ๊ะ อย่ากังวลไปเลย   แล้วพบกันเย็นนี้จ๊ะ”
                  ฮารีซันและทราเฮิร์นโค้งส่งเจ้าหญิงและซิสเตอร์โรซาน่าพลางสบตากันด้วยความสงสัยว่าเจ้าหญิงอลาน่าต้องการจะพูดอะไรกับพวกเขาในการเลี้ยงอาหารค่ำคืนนี้กันแน่

                                                                        s

                  เย็นวันนั้น ฮารีซันและทราเฮิร์นมาถึงปราสาทของเจ้าหญิงตามเวลาที่ได้นัดหมาย   ทว่าเจ้าหญิงยังไม่กลับมาจากการทำงานในค่ายผู้อพยพ   ทั้งสองถูกนำมาที่ห้องอาหารห้องหนึ่งที่มีขนาดกะทัดรัดกว่าห้องที่พวกเขาเคยเข้าไปร่วมงานเลี้ยงฉลองในคืนงานเลี้ยงต้อนรับเมื่อสามอาทิตย์ก่อน   อีกทั้งยังแลดูมิดชิดกว่า   สิ่งเดียวที่ดูไม่ใคร่จะแตกต่างกันคือความหรูหราของตัวห้องและเครื่องเรือนที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงามนั่นเอง   ฮารีซันและทราเฮิร์นต่างมองสำรวจสิ่งต่าง ๆ โดยรอบด้วยความสนอกสนใจ   ทั้งคู่เคยได้ยินบรรดาพ่อค้าหาบเร่เล่าถึงความมั่งคั่งของอาณาจักรแอนดิซองมานานแล้ว   ทว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นมันมากกว่าการบรรยายของพวกพ่อค้าและเหนือกว่าจินตนาการของพวกเขาเหลือเกิน
                  เสียงบานประตูดังขึ้นพร้อม ๆ กับการปรากฏตัวของเจ้าหญิงอลาน่าและซิสเตอร์โรซาน่า   ฮารีซันและทราเฮิร์นรีบลุกขึ้นยืนทันที
                  “ตามสบายเถอะจ๊ะ ฉันต้องขออภัยอย่างยิ่งที่มาช้าทั้ง ๆ ที่เป็นผู้นัดหมายเองแท้ ๆ ” เจ้าหญิงตรัสขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังคงสวมชุดเครื่องแบบซิสเตอร์อยู่   ซึ่งเป็นการบ่งบอกได้อย่างดีว่าเจ้าหญิงทรงงานที่ค่ายอพยพจนเวลาล่วงเลยมาจนป่านนี้
                  “เจ้าหญิงไม่มีสิ่งใดต้องขออภัยจากพวกเราเลย   พวกเราเสียอีกที่ต้องขออภัยท่าน   เพราะคนของพวกเราทำให้ท่านต้องตรากตรำถึงเพียงนี้” ฮารีซันกล่าวอย่างละอายแก่ใจและซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้าหญิง
                  “เรื่องนี้ท่านก็ไม่ต้องขออภัยจากฉันเช่นกันจ๊ะ   เพราะมันคือความเต็มใจของฉันที่จะทำสิ่งนี้” เจ้าหญิงตรัส “มาเถอะจ๊ะ พวกท่านคงจะหิวแล้ว   เราค่อย ๆ ทานกันไปคุยกันไปเถอะนะจ๊ะ”
                  ฮารีซันและทราเฮิร์นรอจนกระทั่งเจ้าหญิงและซิสเตอร์โรซาน่านั่งเรียบร้อยแล้วจึงค่อยนั่งลง   อาหารถูกเสิร์ฟทันทีที่เจ้าหญิงให้สัญญาณ   อาหารที่จัดเตรียมไว้ทั้งหมดถูกนำออกมาในคราวเดียว   ก่อนที่นางกำนัลทุกคนจะหายตัวไปจากห้องเหลือทิ้งไว้เพียงเจ้าหญิง ซิสเตอร์โรซาน่า ฮารีซัน และ ทราเฮิร์น เท่านั้น   ฮารีซัน และ ทราเฮิร์น ต่างก็รู้สึกประหลาดใจ   แต่ครั้นจะเอ่ยปากถามซิสเตอร์โรซาน่าก็ได้เอ่ยปากออกมาเสียก่อน
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: April 28, 2007, 06:47:02 AM »

                       “อย่าประหลาดใจไปเลย   ถ้าอาหารค่ำมื้อนี้จะดูน่าสงสัยหรือลึกลับสักหน่อย   หากเจ้าหญิงไม่ทรงทำเช่นนี้พวกเราก็คงไม่ได้มีโอกาสคุยเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างจริงจังเท่าใดนัก   เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะต้อนรับหรือหวังดีกับพวกท่าน   และก็ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยหรือเป็นมิตรกับเจ้าหญิง”
                       “แม้เจ้าหญิงจะอุทิศตนและเสียสละถึงเพียงนี้น่ะหรือ?” เซนทอร์ทราเฮิร์นรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
                       “เราไม่สามารถทำสิ่งใด ๆ ให้ถูกใจคนทุกคนได้นี่จ๊ะ” เจ้าหญิงทรงยิ้มตอบ
                       “แล้วเจ้าหญิงทำอย่างไรกับคนเหล่านั้น?” แม่ทัพเซนทอร์รู้สึกไม่ชอบใจคนเหล่านั้นขึ้นมาทันที   หลังจากที่เขาได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เจ้าหญิงแห่งแอนดิซองผู้นี้ได้กระทำ   เขาเชื่ออย่างเหลือเกินว่าไม่มีใครสมควรได้รับการยกย่องเท่ากับเจ้าหญิงพระองค์นี้อีกแล้ว
                       “เมื่อก่อนฉันเคยผิดหวังและเสียใจกับคนเหล่านี้จ้ะ   ทว่าบัดนี้ฉันไม่สนใจพวกเขาอีกแล้วและยิ่งทำงานให้มากขึ้นจ้ะ” เจ้าหญิงตรัสอย่างอารมณ์ดี “ถูกมุ่งร้ายเพราะทำสิ่งที่ดีย่อมดีกว่าถูกมุ่งร้ายเพราะทำสิ่งชั่วช้า   เพราะมันจะยิ่งทำให้ผลบุญของเราโดดเด่นและส่องประกายมากขึ้น   นี่คือสิ่งที่พระเจ้าสอนฉัน”
                       “เจ้าหญิงทำให้ข้านึกถึงคำกล่าวหนึ่งของท่านปู่ของข้า   ท่านเคยกล่าวไว้ว่า   ต้นไม้นั้นจะงอกงามแตกกิ่งก้านใบให้ดอกผลเลี้ยงดูผู้คนเป็นอันมากได้นั้น   มันจะต้องถูก ริดกิ่ง ก้าน และใบ เพื่อให้มันแตกกิ่งก้านสาขา   เช่นเดียวกับมนุษย์เราที่บางครั้งความเจ็บปวด ความเจ็บช้ำ หรือความทุกข์ยากต่าง ๆ ในชีวิตจะช่วยทำให้เราแข็งแกร่งและเติบโต”
                       “ท่านมีปู่ที่น่าเคารพมาก” ซิสเตอร์โรซาน่ากล่าวชื่นชมในขณะที่เจ้าหญิงทรงยิ้มพยักหน้าเห็นด้วย   ทำให้ฮารีซันอดยิ้มอย่างภาคภูมิใจไม่ได้
                       “ถูกแล้วท่านวูจินเป็นผู้เฒ่าที่ได้รับการยกย่องจากแทบทุกเผ่า   หลาย ๆ ครั้งผู้นำเผ่าต่าง ๆ ยังมาขอคำปรึกษาจากท่านวูจินเลย” แม่ทัพเซนทอร์กล่าวด้วยความชื่นชมจากใจจริง
                       “โอ้ นี่แหละจ๊ะเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากจะพูดกับพวกท่านก่อนที่จะเดินทางกลับ”
                       “เรื่องท่านวูจินน่ะรึ?” ทราเฮิร์นถามด้วยความสงสัย
                       “เรื่องท่านปู่ของข้ารึ?” ฮารีซันได้ยินทราเฮิร์นอุทานดังนั้นก็ยิ่งประหลาดใจจนต้องถามซ้ำ
                       “ไม่ใช่จ้ะ” เจ้าหญิงอลาน่าอดยิ้มขำไม่ได้   ในขณะที่ซิสเตอร์โรซาน่าพยายามกลั้นยิ้มด้วยความสำรวม
                       “ฉันอยากจะคุยกับท่านเรื่องการสถาปนาอาณาจักรฟูดินัน”
                       “สถาปนาอาณาจักรฟูดินันอย่างนั้นรึ!?” ฮารีซันรู้สึกตกใจยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
                       “ใช่จ๊ะ ฉันลองคิดทบทวนดูมาหลายวันแล้ว   หลังจากที่ฉันฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น   รวมถึงความเป็นมาต่าง ๆ ของเผ่าน้อยใหญ่ของพวกท่านแล้ว   ฉันจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าการที่พวกท่านอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ กระจัดกระจายในสภาวะสงครามเช่นนี้รังแต่จะทำให้พวกท่านเสียเปรียบไปเรื่อย ๆ   หากพวกท่านรวมกันเป็นปึกแผ่นเป็นหนึ่งเดียวกัน   ยกฐานะจากเผ่าเล็กเผ่าน้อยให้กลายมาเป็นอาณาจักรเทียบเท่ากับอาณาจักรอื่น ๆ ในทวีปเมอร์ริเซีย  อำนาจต่อรองต่าง ๆ ของพวกท่านก็จะมีมากขึ้น   สมาชิกในเผ่ามีศักดิ์ศรีและได้รับการยอมรับเท่ากันในฐานะประชาชนของอาณาจักรเช่นเดียวกับประชาชนในอาณาจักรอื่น ๆ   และที่สำคัญหากเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียจะอภิเษกสมรสกับกษัตริย์ของอาณาจักร    ก็คงจะเหมาะสมและน่าจะเป็นที่ยอมรับได้มากกว่าการเป็นเพียงหัวหน้าเผ่าใช่ไหมจ๊ะ”
                       ฮารีซันสูดหายใจเข้าอย่างแรงหน้าถอดสีจนซีดราวกับกระดาษก่อนจะกลายเป็นแดงจัดด้วยความอาย   ร่างกายแข็งทื่อ   เขาเหลือบมองทราเฮิร์น   ซึ่งทราเฮิร์นก็รีบโบกไม้โบกมือส่ายหน้าเป็นพัลวัน   ฮารีซันหันกลับไปมองเจ้าหญิงอีกครั้งแต่ครั้งนี้เขาไม่กล้ามองเจ้าหญิงเต็มตา
                       “อย่าอายไปเลยจ๊ะ   ฉันทราบจากท่าทางของท่านเมื่อการเลี้ยงน้ำชาในคืนนั้น   ทั้งหลังจากวันนั้นฉันก็ได้ยินมาว่าท่านก็ดูเคร่งเครียดและซึมเศร้าเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ   และฉันยังได้ยินมาว่าช่วงที่ท่านอยู่ที่ฟีเลเซีย   ท่านก็มีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้าเรจิน่าพอสมควร   ฉันจึงพอจะเดา ๆ ความเป็นไปได้อยู่บ้าง   ดังนั้นฉันจึงเห็นว่าการสถาปนาฟูดินันขึ้นเป็นอาณาจักรเทียบเท่าอาณาจักรอื่น ๆ จะยังประโยชน์มาให้กับชาวพูดินันและพวกท่านมากกว่า” เจ้าหญิงอลาน่าทรงยิ้มให้กำลังใจ
                       “ข้า...เออ...ข้า... “ ฮารีซันอึกอักตอบไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะกล่าวอย่างไรดี   ทว่าแววตาของเขาก็ฉายแววแห่งความหวังที่ค่อย ๆ เรืองรองขึ้น “ข้า...พวก...พวกเราไม่เคยมีใครคิดถึงการสถาปนาฟูดินันให้เป็นอาณาจักรมาก่อนเลย   ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีเพราะมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่สำหรับพวกเรา”
                       “อย่าว่าแต่คิดเห็นอย่างไรเลย   การสถาปนาอาณาจักรต้องทำอย่างไร   พวกเราก็ยังไม่มีใครรู้   เจ้าหญิงคิดว่าพวกเราสมควรตั้งเป็นอาณาจักรใช่หรือไม่?” ทราเฮิร์นถามย้ำเหมือนจะให้แน่ใจมากขึ้น
                       “ฉันแค่เสนอความคิดจ้ะ จะทำหรือไม่นั้นอยู่ที่พวกท่านต่างหาก” เจ้าหญิงตรัส
                       “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องคิดให้ถี่ถ้วนและรอบคอบ   ข้าไม่อาจตัดสินใจคนเดียวได้” ฮารีซันคิดถึงบรรดาผู้อาวุโสจากเผ่าต่าง ๆ และสมาชิกในเผ่า
                       “ฉันเข้าใจดีจ้ะ   เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่ท่านจะตัดสินใจเพียงลำพัง   ลองนำเรื่องนี้กลับไปหารือและพิจารณากับที่ประชุมของพวกท่านดู   ฉันเชื่อว่ามันจะยังประโยชน์มาให้แก่เผ่าต่าง ๆ ได้มากทีเดียว” เจ้าหญิงตรัส   ในขณะที่ฮารีซันและทราเฮิร์นเริ่มมองเห็นหนทางและอนาคตที่จะเปิดหน้าศักราชใหม่ให้กับบรรดาชาวป่าและความรักของตน 
 

Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: April 28, 2007, 06:49:15 AM »

                       เวลานี้ค่ายของกองทัพซาโลม   เวลานี้ดูจะคึกคักกว่าที่เคย   ทหารยศต่าง ๆ เดินกันขวักไขว่เสียงตะโกนโหวกเหวกสั่งการดังขึ้นเกือบตลอดเวลาแม้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว   
                       ภายในกระโจมที่พักของกษัตริย์ซาดิน   เสียงพูดของอุปราชเฒ่าดังแว่วออกมาเป็นระยะ ๆ
                       “ฝ่าบาท   เวลานี้ไอ้พวกกองทัพร่วมมันกำลังสั่งสมทั้งกำลังพลและกำลังทรัพย์เป็นการใหญ่   ซ้ำยังไปขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรแอนดิซองที่อยู่ทางใต้อีก   หากเราไม่รีบเร่งมือตีมันให้แตกพ่ายย่อยยับโดยเร็ว   จากราชสีห์ปากคอกมันจะกลายเป็นมังกรยักษ์   แล้วทีนี้การจะกำราบมันจะยิ่งยากเป็นทวีคูณ   แต่หากเราระดมกองทัพทั้งหมดที่มีในตอนนี้   แล้วให้พระองค์เองเป็นจอมทัพใหญ่ยกทัพออกไปกระหน่ำโจมตีพวกมันให้เบ็ดเสร็จในคราวเดียว   ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์   จักต้องสามารถปราบเจ้าพวกมดปลวกเลว ๆ พวกนี้และสั่งสอนพวกมันให้ได้รับความเจ็บปวดทรมานให้สาสมกับที่พวกมันบังอาจตั้งตนแข็งข้อกับพระองค์” บลาส เซจ ทูลเสียงเข้มด้วยความฮึกเหิม
                       “แต่หลังจากที่ข้ามาคิดทบทวนดูอีกทีแล้ว...ข้าก็ยังอยากจะรอให้เนริมอร์กลับมาก่อนอยู่ดี   อย่างน้อยมีนางคอยเป็นทัพเสริมก็จะช่วยเบาแรงข้าได้มาก” กษัตริย์ซาดินตรัสอย่างครุ่นคิด
                       “เหลวไหล!   จะให้สตรีนางเดียวตัดสินชะตากรรมของทั้งกองทัพรึยังไง” บลาส เซจตะเบ็งเสียงด้วยความโกรธ   เมื่อกษัตริย์ซาดินทรงคิดจะเปลี่ยนใจ   หลังจากที่เขาเกลี่ยกล่อมให้พระองค์ตัดสินใจระดมพลเตรียมบุกครั้งใหญ่ได้สำเร็จ “พระองค์จะตะบัดสัตย์รึอย่างไร?”
                       “มันจะมากไปแล้วนะ!” กษัตริย์ซาดินตรัสกระแทกเสียงด้วยอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นด้วยเช่นกัน “ระวังปากของเจ้าหน่อย บลาส เซจ!  เดี๋ยวนี้ชักรู้สึกว่าเจ้าจะปากกล้าขึ้นทุกวัน”
                       “ขอประทานอภัยฝ่าบาท” บลาส เซจที่เพิ่งตระหนักว่าได้ลืมตัวพูดอะไรออกไปก็รีบโค้งลงก้มกราบเป็นการใหญ่   ทว่าใบหน้าของเขาไม่มีแววสำนึกผิดเลยสักนิด   มีแต่แววชิงชังที่เริ่มจะเก็บไว้ไม่อยู่ปรากฏให้เห็นยามที่บลาส เซจคิดว่าไม่มีใครเห็น “ข้าพระองค์เพียงแต่เป็นห่วงกองทัพของฝ่าบาทจนลืมตัว   ขอฝ่าบาททรงอภัยในความผิดที่มิได้มีเจตนาร้ายของข้าพระองค์ด้วยเถิด”
                       “อย่าลืมตัวบ่อยนักก็แล้วกัน” กษัตริย์ซาดินตรัสเสียงแข็ง   ไม่ทันสังเกตใบหน้าของอีกฝ่าย
                       บลาส เซจเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นนาย   พลันก็สังเกตเห็นเงาดำคล้ายกลุ่มควันสีจาง ๆ ไม่มีรูปร่างที่ชัดเจนวูบไหวอยู่ทางเบื้องหลังของกษัตริย์ซาดิน   อุปราชเฒ่าก็ค่อย ๆ แสยะยิ้มก่อนจะก้าวขยับเข้าไปใกล้กับผู้เป็นนายมากยิ่งขึ้น   พลางทำเสียงเศร้าสลดกราบทูล
                       “ฝ่าบาท   ที่ข้าพระองค์เป็นห่วงก็เพราะหากพระองค์คิดจะรอพระนางเนริมอร์กลับมา   ข้าพระองค์ก็เกรงว่าจะไม่ทันการ   หากฟีเลเซียและฟูดินันได้กำลังจากแอนดิซองมาช่วยอีกแรง   ความฝันของพวกเราก็จะยิ่งไกลห่างออกไปอีก   เราจะมั่วรีรอไม่ได้อีกแล้วฝ่าบาท   ลำพังพระองค์นำทัพเอง   ข้าพระองค์มั่นใจว่าด้วยพระปรีชาสามารถของฝ่าบาทจะต้องสามารถตีฟีเลเซียให้แตกได้อย่างแน่นอน   ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องรอพระนางเนริมอร์ให้เสียการใหญ่   อย่าทรงลังเลพระทัยอีกเลย   เวลานี้แหละเหมาะสมที่สุดแล้วที่พระองค์จะเผด็จศึกอริศัตรูทั้งหลาย   ข้าพระองค์ได้สั่งแบล็ค ไวเซอร์ให้เร่งผลิตทหารผีดิบเต็มกำลัง   ทั้งยังได้สั่งกองทัพให้เร่งเตรียมความพร้อมแล้ว   อีกไม่กี่วันกองทัพทั้งหมดก็จะพร้อมเคลื่อนทัพนะพ่ะย่ะค่ะ”
                       กษัตริย์ซาดินที่บัดนี้แววตาดูเหม่อลอยผิดจากที่เคยเป็นก็ลุกขึ้นยืนในทันใด   “จริงของเจ้า   จัดการไปตามที่เจ้าเห็นสมควรก็แล้วกัน”
                       เมื่อตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงสะบัดหน้าสองสามครั้งเหมือนกำลังพยายามเรียกสติกลับคืนมา   แววตาของพระองค์กลับมาคมเข็มและดุดันดังเคย   พระองค์ทรงหันมาหาบลาส เซจ   ทรงเผยอปากเหมือนจะกล่าวอะไร   แต่แล้วก็ส่ายหน้าคล้ายกับจำไม่ได้ว่าพระองค์ต้องการจะตรัสอะไร   สักพักก็ทรงล้มเลิกความตั้งใจและเดินออกไปจากห้อง   เหลือไว้แต่เพียงอุปราชเฒ่าเพียงลำพัง   บลาส เซจ คอยจนกษัตริย์ซาดินเดินลับไปก่อนจะหัวเราะลำคอและกลายเป็นหัวเราะเสียงดังลั่น   
                       “อำนาจของท่านอวารูเซจช่างมีอานุภาพมากมายเหลือเกิน   อีกไม่นานมีแหละ   เมื่ออำนาจของท่านอวารูเซจสำแดงฤทธิ์เดชได้อย่างสมบูรณ์แล้วล่ะก็   หึ หึ หึ  เมื่อนั้นเจ้ากษัตริย์หน้าโง่นั่นจะต้องเชื่อฟังข้า   เชื่อฟังข้าแต่เพียงผู้เดียว  ฮ่า ฮ่า ฮ่า”     
     
                                                                                            s

                       ขณะเดียวกันทางด้านอาณาจักรฟีเลเซียก็เร่งระดมพลครั้งใหญ่   กองทัพจากเมืองต่าง ๆ ทยอยเดินทัพเข้ามาสมทบกับกองทัพร่วมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเมืองอาวีเลียไม่มีที่พักให้แก่เหล่าทหาร   ทำให้ที่ว่างต่าง ๆ ภายในเมืองถูกแปรสภาพกลายเป็นค่ายที่พักแรมของกองทัพต่าง ๆ ไป
                       ภายในจวนที่พักของกษัตริย์แห่งฟีเลเซียเองก็คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบรรดาแม่ทัพนายกองจากทั่วทุกสารทิศที่ต่างก็เข้ามารายงานตัวกับทางเจ้าหน้าที่ของกองทัพเป็นการใหญ่   มีนายทหารเดินเข้าเดินออกประตูจวนที่พักอยู่ตลอดเวลา   ทางด้านห้องโถงชั้นในเอง   บรรดานายทัพระดับหัวหน้าก็มาเข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน   โดยมีกษัตริย์ซิกมันด์นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 
                       “ข่าวที่ฟอล์คเนอร์ หัวหน้าหน่วยสอดแนมรายงานมาไม่ผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ   กองทัพซาโลมคงจะเตรียมการบุกครั้งใหญ่เร็ว ๆ นี้แน่” แม่ทัพนกทูลขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
                       “สงครามคงใกล้ดำเนินมาถึงจุดแตกหักแล้วพ่ะย่ะค่ะ   กระหม่อมเห็นว่าทางกองทัพทมิฬก็คงไม่อยากให้สงครามยืดเยื้อต่อไป   เพราะรังแต่จะสูญเสียเสบียงและทรัพยากรไปอย่างเปล่าประโยชน์” แม่ทัพมังกรกล่าวขึ้นบ้าง
                       “ก็ดี   ข้าก็เบื่อหน่ายกับสงครามที่ไม่รู้จักจบจักสิ้นนี่เต็มทนแล้ว   จวนเจียนจะสามปีอยู่แล้วนับตั้งแต่สงครามนี้อุบัติขึ้น   เราต้องเสียไพร่พลไปตั้งเท่าไหร่   แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ทั้งสองฝ่ายก็ทำได้แต่ตั้งค่ายคุมเชิงกันอยู่อย่างนี้” กษัตริย์ซิกมันต์ตรัสเสียงห้วน “นับตั้งแต่ข้าขึ้นของราชย์มา   ประชาชนชาวฟีเลเซียต้องตกอยู่ในสภาพข้าวยากหมากแพง   ไม่มีความสงบสุขไปทั่วทุกหัวระแหงเพราะไอ้กษัตริย์เถื่อนโลภมากนี่   ในฐานะกษัตริย์แห่งฟีเลเซีย   ข้าอยากจะบั่นคอมันแล้วทิ้งศพให้เป็นเหยื่อของฝูงแร้งนัก”
                       สำหรับชายชาตินักรบอย่างชาวฟีเลเซียนั้น   การที่ต้องตายโดยไม่ได้ทำพิธีศพหรือถูกทิ้งไว้โดยไม่มีดินกลบหน้าหรือถูกทิ้งให้เป็นเหยื่อของสัตว์เดรัจฉานนั้นเป็นการเสื่อมเสียเกียรติและนำความอับอายมาให้แต่วงศ์ตระกูลที่สุด   ซึ่งนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวฟีเลเซียชิงชังกองทัพซาโลมมากขึ้นที่บังอาจขโมยศพของเหล่าอัศวินฟีเลเซียที่พลีชีพในสนามรบไปเป็นวัตถุดิบสำหรับทหารผีดิบ
                       “ข่าวว่าครั้งนี้กษัตริย์เถื่อนจะคุมทัพเองรึ?” แม่ทัพชาร์ลถามขึ้น
                       “มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวขอรับ   สายรายงานว่ามีการเตรียมเกราะให้มังกรซาลามันเดอล่ายักษ์   ซึ่งเป็นพาหนะของกษัตริย์เถื่อนด้วย   อีกทั้งจำนวนทหารผีดิบภายในค่ายก็เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วมาก   ราวกับว่าพวกมันเร่งผลิตทหารผีดิบทั้งวันทั้งคืน   ทั้งภายในค่ายก็ดูคึกคักและมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา   พวกมันคงจะใช้ทหารทั้งหมดที่มีในศึกครั้งที่จะถึงนี้” แม่ทัพพลนกกล่าวต่อ
                       ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งขึ้นหากคะเนกำลังพลของกองทัพซาโลมในเวลานี้คงจะมากกว่าฝ่ายพวกตนเป็นเท่าตัว   เพราะกองทัพซาโลมมีแต่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกครั้งที่มีการรบ   ทางฝ่ายพวกตนมีแต่จะน้อยลงเรื่อย ๆ   กษัตริย์ซิกมันด์เมื่อทรงได้ยินและได้เห็นดังนั้นก็ทรงลุกขึ้นยืนในทันใดพลางชักดาบแห่งฟีเลเซียออกมาชูขึ้นต่อหน้าทุก ๆ คน
                       “ต่อให้พวกมันมีกำลังพลเป็นพันล้าน   กองทัพฟีเลเซียก็จะถล่มมันให้ราบเป็นหน้ากลอง   พระเจ้าได้เคยให้คำมั่นสัญญากับบรรพชนของพวกเราไว้ว่า   ดินแดนแห่งนี้จะเป็นของเราและลูกหลานของเราสืบไป   ต่อให้ข้าจะต้องเอาเลือดทาแผ่นดิน   ข้าก็จะไม่มีวันให้พวกมันได้ครอบครองแผ่นดินฟีเลเซียเด็ดขาด”
                       สิ้นเสียงประกาศก้องของกษัตริย์ซิกมันด์   เหล่าแม่ทัพนายกองต่างก็โห่ร้องสรรเสริญความห้าวหาญของกษัตริย์ของพวกตนจนเสียงดังกึกก้อง   ขวัญและกำลังใจก็กลับเต็มล้นขึ้นมาอีกครั้ง

Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: April 28, 2007, 06:51:15 AM »

                       ภายหลังจากการประชุมเหล่าแม่ทัพสิ้นสุดลง   เหล่าแม่ทัพต่างแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ของตน   เหลือไว้เพียงจอมทัพชาร์ลที่กษัตริย์ซิกมันด์ทรงให้สัญญาณว่าให้รออยู่ก่อน   จนเมื่อทุก ๆ คนออกจากห้องไปหมดแล้ว   กษัตริย์ซิกมันด์จึงทรงตรัสขึ้น
                       “ชาร์ล”
                       “พ่ะย่ะค่ะ   ทรงมีกิจสำคัญใดจะใช้กระหม่อมหรือ?” ชาร์ลก้มศีรษะรับคำ
                       “เปล่า   ข้าเพียงแต่อยากจะรู้เรื่องราวความเป็นไปต่าง ๆ ของกองทัพชาวป่า   หลังจากที่เราเริ่มหยุดให้เสบียงไป   เวลานี้มีความเป็นไปอย่างไรบ้าง?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามต่อ
                       “โดยทั่วไปก็มีความลำบากอยู่บ้างพ่ะย่ะค่ะ   แต่เป็นเพราะพวกเขาปรับตัวเข้ากับธรรมชาติรอบตัวได้ดี   ก็สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้อย่างไม่ยากลำบากนัก”
                       กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักหน้าฟังรายงานก่อนจะตรัสขึ้นเบา ๆ อย่างใช้ความคิด “หากความช่วยเหลือจากแอนดิซองมาถึง   สถานการณ์ต่าง ๆ คงดีขึ้น… แล้วกับทหารของเราล่ะ   ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไร?”
                       “ฝ่าบาท   เท่าที่กระหม่อมสังเกตดู   เวลานี้ดูท่าทางทหารทั้งสองฝ่ายเริ่มมีความสนิทสนมกันมากขึ้น   อย่างเมื่อไม่กี่วันก่อน   เป็นวันที่มีความสำคัญของทางฟูดินัน   พวกชาวป่าจึงมีการจัดการเฉลิมฉลองกันอย่างเอิกเกริก   ซึ่งก็มีทหารฟีเลเซียเข้าไปร่วมฉลองด้วยไม่น้อยทีเดียว”
                       กษัตริย์ซิกมันด์ได้ยินดังนั้นก็สูดลมหายใจเข้าอย่างแรง   คล้ายกับไม่ค่อยชอบใจระคนตกใจ   ทว่าในที่สุดก็ทรงระบายลมหายใจออกช้า ๆ ราวกับกำลังสงบใจกับอารมณ์บางอารมณ์ที่กำลังคุขึ้นมา
                       “นี่แสดงว่ากองทัพชาวป่าได้รับการยอมรับในฝีมือมากขึ้นแล้วสินะ”
                       “พ่ะย่ะค่ะ   เช่นเดียวกับที่กระหม่อมสังเกตเห็นว่า   พระองค์ก็ทรงยอมรับกองทัพชาวป่ามากขึ้นด้วยเช่นกัน” ชาร์ลเอ่ยทูลเมื่อสังเกตท่าทีที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปของพระองค์   เช่นเมื่อครู่ที่ทรงข่มอารมณ์เมื่อทรงได้ยินว่าทหารฟีเลเซียเข้าร่วมเฉลิมฉลองในหมู่ชาวป่า
                       กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักหน้าเบา ๆ คล้ายกับกำลังใคร่ครวญเหตุการณ์ต่าง ๆ ภายในใจ   พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง “ถูกของท่าน   ณ วันนี้ข้าต้องยอมรับว่าการมีกองทัพฟูดินันอยู่นั้น...ช่วยเราได้มากจริง ๆ “

                                                                     s

                       หลังจากที่คณะของฮารีซันออกเดินทางไปแอนดิซองเป็นเวลาร่วมสามเดือน   ที่สุดกองเรือรบแอนดิซองที่ขนอาวุธยุทโธปกรณ์และเงินทองมูลค่ามหาศาลก็เดินทางมาถึงเมืองท่าทางตอนใต้ของฟีเลเซียท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของยินดีของผู้ที่มารอต้อนรับ   ฮารีซันยืนอยู่บนหัวเรือมองผู้ที่มาคอยรอรับอยู่ที่ท่าเรือด้วยความตื้นตันใจ   การที่เขากลับมาพร้อมกับความช่วยเหลือของแอนดิซองทำให้เขาได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษจากบรรดาทหารและประชาชน   กองทัพฟูดินันเริ่มได้รับการให้เกียรติและความเป็นมิตรมากขึ้นเพราะการนี้นั่นเอง   
                       ทันทีที่ฮารีซันก้าวลงจากสะพานเรือ   เขาก็ต้องหยุดชะงักด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นว่าหนึ่งในบรรดาคนที่มารอตอนรับเขาคือเจ้าหญิงเรจิน่านั่นเอง   เจ้าหญิงทรงยืนด้วยความสำรวมวางท่าทางอย่างผู้สูงศักดิ์ทว่าบนใบหน้านั้นประดับรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความยินดีให้เขา   ฮารีซันคลี่ยิ้มและเดินเข้าไปโค้งคำนับเจ้าหญิงด้วยความสำรวม   แต่แววตาของทั้งคู่บ่งบอกอะไรบางอย่างที่มากกว่าแค่การทักทาย
                       “ขอบคุณที่ท่านมาในวันนี้   ข้าไม่คิดว่าเจ้าหญิงจะเดินทางมาด้วยตนเองเช่นนี้” ฮารีซันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
                       “ข้ายินดีที่จะมา” เจ้าหญิงยิ้มตอบ “ข้าได้ยินมาว่าท่านพบกับอุปสรรคมากมาย   คงจะลำบากกันมาก   และในฐานะที่ข้าได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนของอาณาจักรฟีเลเซีย   ขอขอบใจท่านที่สามารถเจรจากับอาณาจักรแอนดิซองได้สำเร็จและยินดีต้อนรับท่านกลับสู่ฟีเลเซีย   ท่านด้วยนายพลทราเฮิร์น” เจ้าหญิงตอบเมื่อเห็นว่าทราเฮิร์นเดินเข้ามาสมทบ
                       “ด้วยความยินดีเช่นกัน” ทราเฮิร์นตอบด้วยรอยยิ้มพลางเหลือบสายตาลอบสังเกตปฏิกิริยาของคนทั้งคู่   ที่ผ่านมาเขามิได้ใส่ใจในความสัมพันธ์ของทั้งสองมากนัก   แต่หลังจากได้เห็นปฏิกิริยาของฮารีซันเมื่อตอนอยู่แอนดิซองก็ทำให้เขาอดสนใจความเป็นไปของคนทั้งคู่ไม่ได้   
                       “สถานการณ์ต่าง ๆ เป็นอย่างไรบ้าง?   พวกเราอยู่ที่นั่นไม่ค่อยได้ยินข่าวคราวเท่าไรเลย” ฮารีซันเอ่ยถามโดยพยายามไม่ใส่ใจสายตาช่างสงสัยของสหายตน
                       “สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร   สายของเรารายงานมาว่าซาโลมกำลังเตรียมความพร้อมของกองทัพเช่นที่เรียกได้ว่าเต็มอัตราศึกเลยทีเดียว   ซึ่งเรียกได้ว่าจำนวนมหาศาลทีเดียว   พวกมันคงคิดจะบุกครั้งใหญ่เร็ว ๆ นี้   หน่วยสอดแนมแจ้งว่าในครั้งนี้กษัตริย์เถื่อนอาจจะคุมทัพใหญ่มาเอง   พวกท่านกลับมาได้ทันเวลาทีเดียว   ทั้งซิกมันด์และชาร์ลต่างก็เห็นด้วยว่าทั้งสองฝ่ายคงมาจะถึงจุดแตกหักแล้ว   มหาสงครามใกล้ระเบิดขึ้นเต็มที   เวลานี้ต่างฝ่ายต่างก็เร่งระดมพลกันเป็นการใหญ่ทีเดียว” เจ้าหญิงตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดขึ้นในทันใด
                       “กษัตริย์เลวนั่นจะนำทัพเองอย่างนั้นหรือ?” ทราเฮิร์นขบกรามเมื่อหวนนึกถึงความโหดเหี้ยมของกษัตริย์ซาดินเมื่อครั้งบุกฆ่าล้างค่ายชาวป่าอย่างทารุณ
                       “ข้าคิดว่าเราไปคุยกันในที่มิดชิดกว่านี้ระหว่างที่รอลำเลียงของดีกว่า” ฮารีซันเสนอขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดไม่แพ้กัน   เขาไม่อยู่เพียงสามเดือนสถานการณ์ของสงครามกลับเลวร้ายลงอย่างน่าใจหาย
                       “ถูกของท่าน   ข้าไม่อยากให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องได้ยินเรื่องภายในกองทัพมากนัก   พวกท่านเองก็เพิ่งจะเดินทางมากถึง   คงจะเหนื่อยจากการเดินทาง   เราคุยกันที่นี่ไม่เหมาะจริง ๆ “ เจ้าหญิงตรัสคล้ายกับเพิ่งนึกได้ “เชิญพวกท่านที่เรือนรับรองเถอะ  ข้าให้คนจัดสำรับไว้ต้อนรับแล้ว   เมื่อลำเลียงของเสร็จเราคงออกเดินทางได้ทันที”
                       “เชิญเจ้าหญิง” ฮารีซันเชิญเจ้าหญิงให้เดินนำก่อนที่ทั้งตนและทราเฮิร์นจะออกเดินตาม   มุ่งสู่เรือนรับรองที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้


   
   

Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: April 28, 2007, 06:52:16 AM »

มาเม้าส์ที่นี่นะตะเอง

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=29507.0
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.048 seconds with 22 queries.