Summoner Master Forum
April 18, 2024, 10:51:22 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1] 2 3 ... 6  All
  Print  
Author Topic: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ,อัพสารบัญเรียบร้อย  (Read 87558 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« on: February 06, 2009, 03:49:22 AM »

Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie

สารบัญ


Saga 01 ปฐมบทแห่งตำนานบทใหม่
Saga 02 ผู้สืบทอด
Saga 03 เทวทูตผู้ขจัดสงคราม
Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!
Saga 05 แทรกแซง Britanir 1

Saga 06 แทรกแซง Britanir 2
Saga 07   โอเระ ทันโจว มันแปลว่า พระเอก มาแล้ว
Saga 08 Double Action
Saga 09 จงหลั่งน้ำตาให้วิถีแห่งลูกผู้ชาย
Saga 10 ขอบอกเอาไว้ก่อนเลย....

Saga 11  ชะตาขาดซะแล้วจะจ่ายหรือเปล่า..
Saga 12  Ava-Trans
Saga 13 เบิกโรงนางเอกมาแล้ว....
Saga 14 ขอโทษนะ….
Saga 15 Reason…

Saga 16  Friend…..
Saga 17 จุดบรรจบ....
Saga 18 Emperor Recca..
Saga 19 Odin จงเป็นดั่งทวยเทพ
Final Saga Requiem ....


Music Videoประกอบนิยาย (คลิกที่รูป)

Thaliwil openning


Thaliwilya Endding


Dragoon Action


Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie

บัดนี้กำลังจะเริ่มแล้ว ไปชมกันเลยค่ะ

....................
...........................

10 ปีหลังการก่อตั้ง นครมิราบิลิส

ในวันนี้ ควรจะเป็นวันฉลองพระชนมายุครบ 9 พรรษา ของเจ้าชาย เอลียาห์
พระโอรส ของกษัตริย์ ฮารีซันกับราชินี เรจิน่า นครมิลาบิลิส ในวันนี้ ควรจะต้องมีงานเลี้ยงฉลอง
รื่นเริงอย่างเอิกเกริก ทว่า…..สิ่งที่ปรากฏขึ้นในขณะนี้ แทนที่ควรจะเป็นที่ เสียงหัวเราะ

อย่างสนุกสนาน บทเพลงรื่นเริงที่ควรจะถูกขับขานไปทั่วเมือง กลับกลายเป็นเสียง ร่ำไห้ โศกเศร้าเสียใจ
เสียงโห่ร้อง ของนักรบ และเสียงคำรามของสัตว์สงคราม แทน บัดนี้ไม่เพียงแค่ มิราบิลิส เท่านั้นที่
แปรสภาพกลายเป็นสมรภูมิ รบ ที่กลาดเกลื่อนไปด้วยซากศพและคราบเลือดนองกระจายไปตามถนน

ทั่วทั้งทวีปเมอริเซีย ได้เปลี่ยนเป็นสมรภูมิอันยิ่งใหญ่ ของโลกเทอร่า ไปเสียแล้ว
เมื่อเกิดสงครามจากการรุกรานเพื่อขยายอาณานิคม ของอาณาจักร ในทวีปอื่นๆ รุกรานเข้ามาเนื่องจาก
เมอริเซ๊ย เป็นทวีปศูนย์กลางของ โลกเทอร่า ทำให้ เมอริเซียกลายเป็นทางผ่านของ ทุกอาณานิคม

การยึดเมอริเซียได้ ก็เท่ากับเป็นการครอง ชัยภูมิในการขยายอาณานิคม ของ ตนออกไปได้อย่างง่ายดาย
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ เมอริเซีย ถูกรุกราน จากต่างแดน อยู่อย่างไม่รู้จบ จนอาณาจักร ทั้ง 4
ซาโลม ฟีเลเซีย ฟูดินัน และ แอนดิซอง ต้องรวมตัวกันขึ้นปกป้อง ทวีปแผ่นดินเกิด ของตน

ทว่าด้วย เมอริเซีย พึ่งจะฟื้นตัวจากสงคราม ภายในทวีป ได้ไม่นาน ทำให้วิทยาการ และ ยุทธศาสตร์ การรบ
ไม่พัฒนาเทียบเท่า ต่างแดน อีกทั้ง องค์กร ก่อการร้ายภายใน ทวีป ยังคอยก่อกวน ในยามนี้

ทำให้ เหล่า อาณาจักร ทั้ง4 ถูกไล่ต้อน จนตอนนี้ประชากร ในทวีป ได้สังเวยชีวิตให้กับไฟสงครามไปจนเหลือเพียง
 หยิบมือเท่านั้น ฐานที่มั่นสุดท้าย นครมิราบิลิส ซึ่งถูกกองกำลังของ ต่างแดน ปิดล้อม
 และความหวังเพียง หนึ่งเดียวในตอนนี้ เมืองวอลเนีย  (Valnia) ที่มีเต่าบินยักษ์ เป็นฐาน ซึ่งย้ายออกไป ตั้งถิ่นฐานในคาบสมุทร
ซึ่งกำลังจะ บินมาเพื่อ อพยพ ประชากร ทั้งหมดที่เหลือ อยู่ไป บัดนี้ม่านประวัติศาสตร์กำลังจะเปิดฉากขึ้นอีกครั้ง


Saga 01 ปฐมบทแห่งตำนานบทใหม่

“ วอลเนีย จะมาถึงในรุ่งสางของวันนี้ เราจะต้อง ตีฝ่าวงล้อมของ ศัตรูพาประชาชน ทั้งหมดหนี
ออกจาก ค่ายไปยัง วอลเนีย จากนั้นกองทัพของเราจะอยู่ต้านเพื่อให้ ทัพวอลเนีย หนีไปให้สำเร็จ ”
กษัตริย์  ซิกมันต์ ที่สาม (Sigmund) ตรัสบัดนี้พระองค์และเหล่า กษัตริย์ผู้นำไปจนถึง แม่ทัพ และรองแม่ทัพ จากทุก อาณาจักร
ในเมอริเซีย ทั้งหมดกำลังประชุมกันอยู่กระโจม ซึ่งตั้งมั่นอยู่ใน นครมิราบิลิส

“ แล้ว จำนวนผู้อพยพ ล่ะ  ”
เยซีฮาน(Lord Yaceahan) กษัตริย์ผู้ครองแคว้น ลาซาล ตรัสถามขึ้นในที่ประชุม

“ เป็นประชากร จากแค้วน ลาซาล 150 ราชอาณาจักรซาโลม 500 ราชอาณาจักรฟีเลเซีย 1020 ราชอาณาจักร ฟูดินัน 813 และราชอาณาจักรผนวกเมืองท่า แอนดิซอง อีก 915 คน รวมทั้งสิ้นมี 3398 คน ล้วนเป็นหญิง เด็กและคนชรา
ค่ะ ”
 แม่ทัพหญิงจากฟีเลเซีย ลุกขึ้นรายงาน

“ อืม….มีแค่ 3000 กว่าเองงั้นเรอะ ประชาชนในเมอริเซีย เหลือเพียงเท่านี้เอง แล้วกำลังทหารล่ะ  ”
กษัตริย์ อิสฮาน (Ishan) ตรัสด้วยความกลัดกลุ้มพระทัย เมื่อได้ยินตัวเลขที่น่าตกใจ ถึงจำนวนของประชากร
ในทวีปที่เหลือเพียงน้อยนิด ไม่มีใครในกระโจม ปฏิเสธต่อตัวเลขเหล่านั้นได้ เพราะ กว่า สามปีมาแล้ว
 ที่สงครามนี้เริ่มขึ้น พวกเขาเสียคนไปมาก จนเกินกว่าจะสู้รบต่อไปได้

“ กำลัง ทหารของเรา มีเพียง 990 นาย แม้จะรวมพวกเด็กหนุ่มที่ อาสามาร่วมรบด้วยแล้ว ก็ยังมีเพียง
1400 นายเท่านั้น และกว่าครึ่ง ไม่มีอาวุธ  รวมทั้งพวกเด็กใหม่ ยังขาดประสบการณ์ ในการรบ

ซึ่งแม่ทัพชาว์ล(General Charles) และ คาร์น (Karn, the Commander of Black Wood) กำลังเร่งฝึก
ทหารอาสาเหล่านี้อยู่ ส่วนทัพนักเวทย์แม้จะรวมพวกนักบวช กับ ชาแมน เข้าไปแล้วก็ยังมีจำนวน เพียง 300 เท่านั้น

ส่วน ตระกูลนักรบที่พอจะเป็นกำลังให้เราได้ในตอนนี้มี อินซู(Inzu) อซาร์(Azar) โอดิลอน (Odilon) สามตระกูลเท่านั้นค่ะ เพราะตัวแทนจากแอสเซนเซียโน่ (Ascensiano) ถูกกลุ่มก่อการร้าย มาราดัน (Maradan Cult)
ลอบสังหารไปเมื่อวาน  ”
แม่ทัพ หญิง คนเดิมรายงานอีกครั้ง สถานการณ์ณ์เริ่มจะตึงเครียดขึ้นไปอีก ด้วยจำนวนทัพที่มีเพียงน้อยนิด
อีกทั้งกว่าครึ่ง เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ ยังมีอนาคตกลับต้องเอาชีวิต มาทิ้งในสมรภูมิ

ยิ่งไปกว่านั้น คือ กองทหารที่มีตอนนี้และได้เพิ่มมานั้น เป็นทัพทหารราบ เพียงอย่างเดียว เพราะ
พาหนะอาวุธ ยุโทปกรณ์ทั้งหมดล้วน ถูกทำลายไประหว่างที่รบกันมาอย่างยาวนาน


“ แล้วสภาพการณ์ ทัพศัตรูล่ะ ”
กษัตริย์ อังเดร (Andre) แห่งแอนดิซอง ตรัสถามขึ้น

“ ตอนนี้ทัพ ศัตรู จาก ทุกทวีป กำลังปะทะกันเองอยู่ และมีบางส่วน ที่มุ่งเข้ามาโจมตีค่ายของเรา
แต่จากการ ประเมินแล้ว ทัพโดยรวมของศัตรูที่จะเข้ามา ขัดขวางการอพยพของเรา น่าจะมีราว ล้านเศษๆ

ซึ่งมีทั้ง จักรกลสังหาร สัตว์อสูร และมังกรขนาดใหญ่  อีกทั้ง สภาพสนามรบ ตอนนี้ เพราะองค์กรก่อการร้าย
ให้ความช่วยเหลือกับ ทวีป อื่น ทำให้มังกร นิลคาบาล เกิดใหม่ขึ้นเป็น

นิลคาบาลนอร์(Nilcarbannor, The Malevolent Dragon) รัศมีความแห้งแล้งที่มันแผ่ออกมา ทำให้
 สภาพอากาศในสนามรบ แห้งและร้อนมาก ส่วนอีกฝั่งนั้น


 มังกรทาราสควีร์ (Tarrasque, the Dragon of the Sain’s Saga) ก็บันดาลให้เกิด ฝนฟ้าคะนอง
จนสนามรบเปียกชุ่มไปด้วยฝน ตอนนี้ กำลังของมังกรทั้งสองตัว กำลังปะทะกัน ที่กลางสนามรบ ”
แม่ทัพหญิงสาว รายงาน อีกครั้งขณะที่ ยกรายงานขึ้นมาอ่านไปด้วย


“ แค่กำลังจะตีฝ่าออกไปยัง มีไม่พอ นี่ยังต้องถูกกดดัน จากสภาพอากาศ ที่ไม่แน่นอนของ
มังกรวิบัติพวกนั้นอีกหรือ แล้วประชาชน ของเรามีรึที่จะหนีฝ่าไปจนถึง วอลเนีย ที่จะมาในรุ่งสางนี้น่ะ ”
กษัตริย์ ซิกมันต์ ตรัสอย่างสิ้นหวัง

“ ทูลฝ่าบาท มังกรนิลคาบาลนอร์ นั้น เพราะพวกมาราดัน ทำการชุบชีวิตมันขึ้นมาจาก มังกรในตำนาน นิลคาบาล
ด้วยเทคโนโลยีอันล้ำหน้าของ อาณานิคมทวีปดิสอาปจูร่า ส่วนมังกร ทาราสควีร์นั้นเป็น
 มังกรในตำนาน ของทวีป อาริมาเทีย คิดว่า อาณานิคมของ ทวีปนั้นคงจะมีเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงกัน


จึงสามารถชุบชีวิต มังกรแห่งตำนานนี้ขึ้นมาได้ เพราะผลจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
พลังของพวกมัน ทำให้ พืชผลไม่สามารถปลูกได้ ทัพของเรา จึงมีเสบียงไม่พอแจกจ่ายให้อย่างทั่วถึง
อีกทั้ง วอลเนีย ก็ไม่แน่ว่า จะฝ่ากองทัพของ พวกล่าอาณานิคม มายังที่นัดพบ ได้หรือไม่ เพราะอีกฝ่าย ล้วนมี

กำลังการรบสูงกว่าเราอย่างสิ้นเชิง ยิ่งทัพมังกรจากต่างทวีป ล้วนมีรูปร่าง แปลกประหลาด
และมีพลังแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อมังกร ที่พวกเรารู้จัก ด้วยพะย่ะค่ะ ”
อำมาตย์เล็กของอิสฮาน ซึ่งเขาเคยเป็น ศิษย์ของ นาริส สุไลมานมาก่อนด้วย กล่าวอธิบาย ถึง
สิ่งที่ตนทราบให้ทุกคนกระจ่าง

“ แล้วนี่เรา จะทำยังไงดี นี่ถ้าเรามีนักรบฝีมือเยี่ยม กับทัพมังกร ซักทัพหนึ่งล่ะก็ ”
กษัตริย์ ซิกมันต์ ตรัสมาถึงตรงนี้ ทุกคนในที่ประชุมก็เงียบ ไปราวกับนึกอะไรบางอย่างออก


“ แล้วนักรบแห่งตำนานคนนั้นล่ะ ที่ว่าเป็น อวตารของอัศวินมังกรเทพ เขาไม่อยู่นี่เหรอ ”
อิสฮาน ตรัสขึ้นทว่า ต่างไม่มีใครรู้ว่า คนที่อิสฮาน กล่าวถึงอยู่ที่ไหน และ
ทำไมถึงไม่ได้อยู่ที่นี่ ทั้งที่ทั่วเมอริเซีย ตอนนี้ไม่มีที่ไหน รอดจากไฟสงคราม ซึ่งทุกคนใสนทวีปเมอริเซีย
ต่างก็ได้มารวมกันอยู่ ณ ที่นี้ แต่ทว่ากลับไม่มีการปรากฏตัวของ อัศวินดังกล่าวเลย

“ ขออนุญาตครับ ตอนนี้ สารจากวอลเนีย แจ้งมาว่า ใกล้จะถึงสถานที่นัดพบแล้วครับ ”
นายทหารเดินสาร เข้ามาในกระโจม พร้อมกับรายงาน ข่าวที่เข้ามานั้นทำให้ ที่ประชุมต้องรีบหาทางสรุป
แผนการโดยเร็ว พวกเขาไม่มีเวลาอีกแล้ว

“ แล้วก็ มีผู้นำอีกท่านอยากจะขอมาเข้าร่วมประชุมด้วยครับ ”
นายทหารเดินสารกล่าว ทำเอาทุกคนในที่ประชุม หันควับมาทางเดียวกันด้วยความสนใจ

“ เขาเป็นใคร ”
 ซิกมันต์ ตรัสถามขึ้น

“ ทูลฝ่าบาท ผู้นำท่านนี้ นำทัพมังกร ขนาดใหญ่ มาจำนวนมาก นอกจากเขาแล้วยัง มีผู้ติดตาม
อีก4 คนเอ็ย…..ตัว…เอ่อตน….เอ่อ ขอฝ่าบาทประธานอภัยให้กระหม่อมด้วยกระหม่อมไม่รู้จะเรียก
ว่ายังไงดี ผู้ติดตามทั้งสี่ ไม่ใช่ทั้งคนทั้งสมิง เหมือนเป็นครึ่งคนครึ่งสมิง มากกว่าแล้วก็มีอัศวินกริฟฟิน
อีกคน ถ้ายังไง ฝ่าบาท… ”
ยังไม่ทัน ที่ นายทหารเดินสารจะรายงานจบ ซิกมันต์ ทรงยกพระหัตถ์ ปรามนายทหารไว้
 ซึ่งนายทหารเองก็ รู้สึกสับสนและกังวล กับท่าทีของ ทุกคนในที่ประชุม

ที่ดูจะตกตะลึง และกระซิบกระซาบกันไปต่างๆนานา ทำเอานายทหารรู้สึกเสียวสันหลัง
ว่าตนเอา พาบุคคลอันตรายเข้ามารึเปล่า

“ เชิญ เขาเข้ามาเลย รวมทั้งผู้ติดตามด้วย ”
ซิกมันต์ ตรัส จบนายทหาร ก็รีบรับคำสั่ง ก่อนจะเดินออกไปเชิญ แขกผู้มาเยือนในยามวิกฤติ นี้เข้ามา

“ ขออภัย ที่อยู่ๆก็ถือวิสาสะเข้ามาร่วมประชุมด้วย กระหม่อม ซาราเบลด…ลอว์เรนท์ ซาราเบลด
และผู้ติดตาม จาก รูลเวลส์ (Runevel) ลาเซริโอ้ (Laserio) และนีโอเวลส์  (Neovel) ”
ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ สวมชุดเกราะอัศวิน มังกรอย่างครบเครื่องเดินเข้า มาในกระโจมพร้อมกับผู้ติดตาม
ที่ทยอยตามเข้ามา ก่อนจะเริ่มแนะนำตัว

“ กระหม่อม เจนัส นีโอเวลส์ (Genus Neovel) และนี่ นีน่า นีโอเวลส์ (Neena Neovel) ”
ชายหนุ่มอีกคนซึ่งมีหางหมาป่าขนสีดำ ยื่นออก เริ่มแนะนำตัวและ หญิงสาวข้างเคียง ที่มีหางแมว ต่อทันที

“ ส่วนกระหม่อม ลากุน่า รูลเวลส์ (Laguna Runevel) และข้างๆนี่  ริคุ เฟ็นเรีย(Riku Fenria)
 และคนสุดท้าย กาเทีย ลาเซริโอ้ (Gatia Laserio) ”
หลังจาก ชายหนุ่มหางหมาป่าขนสีดำ กล่าว ชายหนุ่มซึ่งมีหางหมาป่าเช่นกันแต่ขนเป็นสีเงิน ก็กล่าวแนะนำ
ตัวกับคนค้างเคียงต่อไปจนครบ โดยไล่ จากตัวเขาไปยัง ชายหนุ่มผมแดงซึ่งมีหางพังพอน ยื่นออกมา
ก่อนจะไล่ไปจนถึงชายคนสุดท้ายที่อาวุสโสกว่าคนอื่นในกลุ่ม เขาสวมชุดเกราะกองกำลังอัศวิน กริฟฟินของ
ฟีเลเซีย


ไร้ซึ่งการตอบกลับใดๆไปชั่วครู่ที่ทั้งห้องประชุมต้อง นั่งนิ่งตกตะลึง ราวกับต้องมนต์สะกดให้อยู่ในภวังค์ ก็มิปาน
เมื่อคนที่พวกเขา เฝ้ารอว่าจะมาช่วย หรือไม่ อยู่นานแล้วได้มาปรากฏตัวขึ้นเอาป่านนี้


……………..
………………….

โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga 02

ท่ามกลางความสิ้นหวังแสงสว่างที่เจิดจ้ากลับ ส่องสว่างขึ้นมาอย่างแรงกล้า

“ ทัพมังกรที่เรามีมาด้วยก็ จะมีมาหนุนอีก คงจะราวๆ แสนห้าหมื่นเศษ เป็นมังกรทรงอำนาจเสีย สามหมื่นเศษ
คิดว่าเราคงพอจะสู้ได้ ”

“ ดี….ตอนนี้เรามีทางเลือกมากกว่า หนึ่งแล้ว เราจะไม่ถอยหนีเพียงอย่างเดียว แต่เราจะกอบกู้แผ่นดินเมอริเซีย
ผืนนี้กลับคืนมาด้วย ”

การฝากฝัง และผู้รับช่วงต่อ

 “ พวกเจ้ารีบไปซะ สงครามนี้ข้าจะยุติมันลงเดี๋ยวนี้ด้วยตัวข้าเอง ”

“ จงฟังแม้วันนี้ร่างเราจะเหลือเพียง ทุลีเถ้า แต่วิญญาณของ เรา จะดำรงสืบไปยังลูกหลานและซักวัน ลูกหลานของเราจะมาทวงเอาแผ่นดินผืนนี้คืน …..ซักวัน ”

จากนี้ไป หน้าประวัติศาสตร์แห่งเทอร่ากำลังจะเปลี่ยนโฉม ตำนานบทใหม่ของวีรบุรุษสงคราม
กำลังจะเปิดอีกในไม่ช้า Saga 02 ผู้สืบทอด
……………..
มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง

ปิโยะ ปิโยะ อิอิ

« Last Edit: May 30, 2009, 08:26:41 PM by greamon » Logged


General Charles
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1162


« Reply #1 on: February 07, 2009, 06:30:19 PM »

ปิโยะ 

อ่านไปงงไป 

เเต่เร้าใจดี 
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #2 on: February 08, 2009, 06:08:44 PM »

Saga 02 ผู้สืบทอด

ผืนแผ่นดินแห่งเมอริเซีย ที่เคยอุดมสมบรูณ์และแวดล้อมไปด้วย ธรรมชาติอันงดงาม
และความหลากหลายทางภูมิประเทศ
ทว่าบัดนี้ ภัยพิบัติ ได้มาเยือนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า  ทิศตะวันตก ของทวีป เกิดพายุมรสุม พัดกระหน่ำ
พายุฝนฟ้าคะนอง ติดต่อกันมาเป็นช่วงเวลายาวนาน นับปี ท้องนภาถูกปกคลุมเมฆทมิฬ บดบังแสงอาทิตย์

มิให้สาดส่องลงมา ด้วยฝนที่ตกต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน ทำให้  พืชพรรณและผืนป่า ต้องจมอยู่ใต้น้ำ
ผืนดินบางส่วนยุบตัวกลายเป็นโคลนตม และไหล ลงทะเลไป จนทำให้ ผิวน้ำของทะเลเปลี่ยนเป็นสีโคลน
ทับถมกันมานานนับ ปีแล้ว นับตั้งแต่ ทาราสควีร์ มังกรทรงอำนาจ ซึ่งมีเกล็ดที่แข็งแกร่ง

กับอำนาจในการสร้างลมฝน ของมัน อาณานิคมจากทวีปอาริมาเทีย ได้ใช้มัน เป็นกำลังหลักในการบุกเข้า
ยึดครอง เมอริเซีย

ทางทิศตะวันออกของ เมอริเซียกลับเกิด ภัยแล้ง ท้องนภาไร้ซึ่งเมฆหมอก บดบังอีกทั้งรัศมีแห่งดวงตะวัน
 ยังคงสาดส่องแรงกล้า กว่าปกติ ทำให้ ผืนดินสูญเสียความชุ่มชื้น พืชพรรณ และชีวิต ทั้งหมด
ต่างสูญสิ้น แม้แต่น้ำในทะเลสาบ นีรันด้า ยังเหือดแห้งไป  หากแต่มีเพียงมหาพฤกษา เท่านั้นที่ยังคง
ตั้งเด่นเป็นสง่า ท่ามกลางความแห้งแล้งนี้ โดยไม่เหี่ยวเฉาลงไป  สภาพอากาศที่แห้งแล้งนี้ ถูกดลบันดาล
ขึ้นด้วย มวลพลังงาน ของ นิลคาบาลนอร์ มังกรร้าย ซึ่งเคยถูก อัศวิน ทาลิวิลย่า ในอดีตเมื่อ หลายร้อยปีก่อนสังหาร

บัดนี้ ด้วยวิทยาการ จากอาณานิคม ทวีป ดิสอาปจูร่า กับความช่วยเหลือของ องค์กรก่อการร้าย มาราดัน
ทำให้มันคืนชีพขึ้นมาและมีความแข็งแกร่งกว่า ครั้งอดีต

พลังที่ต่างกันสุดขั้ว ของมังกรทั้งสองนี้ ส่งผลให้ เมอริเซีย กลายเป็นแดนนรกไปเลย ทีเดียว
 เหลือเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่    ไม่ได้รับผลกระทบ จากพลังของ มังกรทั้งสอง ทว่าการรบพุ่งปะทะกัน
ของ อาณานิคมจากทวีปอื่นๆก็ได้ปะทะกันอยู่ที่นั่นด้วย ในแคว้น วาเนียน อันเป็นที่ตั้งของ นครมิราบิลิส

ทว่าการต่อสู้ในนครมิราบิลิสนั้นพึ่งจะถูกสงบลงไป ด้วยพลังอำนาจของ ทัพมังกร นับแสน
ที่บุกทะลวง ตรงมาจาก พื้นที่ก้ำกึ่งชายแดนของเขต ฟีเลเซีย และ ฟูดินัน
ตีฝ่าทะลวง เข้ามา และสงบศึกภายในเมืองได้ โดยการนำทัพของ ผู้กล้า ที่หายตัวไปตั้งแต่ 10 ปีก่อน



“ ทัพมังกรที่เรามีมาด้วยก็ จะมีมาหนุนอีก คงจะราวๆ แสนห้าหมื่นเศษ เป็นมังกรทรงอำนาจเสีย สามหมื่นเศษ
คิดว่าเราคงพอจะสู้ได้ ”
ชายหนุ่มผู้นำทัพมังกร ตีฝ่าเข้ามา ได้กล่าวขึ้นใน ที่ประชุม ในขณะที่ สายตาของผู้เข้าร่วมบางคนยังอด
มองเขาอย่างวางตาเสียไม่ได้  กับการกลับมาของเขา

“ ดี….ตอนนี้เรามีทางเลือกมากกว่า หนึ่งแล้ว เราจะไม่ถอยหนีเพียงอย่างเดียว แต่เราจะกอบกู้แผ่นดินเมอริเซีย
ผืนนี้กลับคืนมาด้วย ”
ซิกมันต์ ตรัสขึ้นอย่างมีหวัง

“ ช้าก่อน..ถ้ายังไง เจ้าจะช่วยบอกหน่อยได้ไหม ตลอด 10 ปีมานี่ไม่สิ ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนที่
ทวีปของเราถูกรุกรานจากพวกอาณานิคมทวีปอื่น เจ้ากับพวกไปอยู่ที่ไหนมา แล้วยังกองทัพมังกร
ไร้ผู้ควบคุมอีกนับแสนนั่นอีก พวกเจ้าไปรวบรวมมาจากไหนกัน ทำไมถึงไม่มีใครรู้เลย ที่สำคัญ
กว่านั้น ทำไมพึ่งจะมาเอาป่านนี้ ”
อิสฮาน ตรัสถามด้วยความสงสัย ในเจตนาของ ชายหนุ่ม

“ เกี่ยวกับเรื่องนั้นกระหม่อนจะขอเป็นผู้อธิบายเอง ”
เสียงดังเข้ามาในกระโจม ก่อนที่ บิชอปแห่งฟีเลเซีย เกรเกอรี่ จะเดินเข้ามา

“ ช้าก่อน ตอนนี้เรามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว รายละเอียดเอาไว้ทีหลังตอนนี้เราต้อง ฝ่าไปให้ ถึงวอลเนีย
ที่จะลงจอด ที่ แนวสันเขามาซาด้า ก่อน ลอว์เรนซ์ เจ้ากับกองทัพของเจ้าจะเป็นทัพหน้า ส่วนประชาชนจะให้
ทัพหลักของเราคุ้มกันไป  ”
สิ้นสุดการตัดสินพระทัย ของ ซิกมันต์ ทุกคนต่างก็แยกย้าย กันไปในทันที




…………….
………………..


“ ทุกคนรีบ วิ่งเร็วเข้าไป ให้ถึงวอลเนีย ”
เสียงตะโกนที่ ดังขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ กลุ่มคน สาวเท้าวิ่งให้เร็วขึ้น
ท่ามกลางเสียงสู้รบ เสียงคำราม ของมังกร นับแสน ที่เข้าปะทะกัน
เปลวเพลิง ลำแสง กระแสลม และพลังอำนาจอันมหาศาลของ เหล่ามังกร
และจักรกล ที่เข้าปะทะกันนั้น สร้างความเสียหายแก่ผืนแผ่นดิน จนลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิง

“ ฮูมมมมม ”(ต้านไว้อย่าให้พวกมันเข้ามาทำร้ายผู้อพยพได้)
เสียงคำรามของมังกรขาวขนาดใหญ่ดีวายดราก้อน(Divine Dragon) ดังขึ้นเพื่อสั่งการทัพมังกรที่ ทำการสกัดกองทัพ จักรกลสังหาร และพวกทหารจากอาณานิคมต่างแดน โดยสู้ร่วมไปกับเหล่าทหาร แห่งเมอริเซีย ด้วยกำลังอำนาจของเหล่ามังกร ทำให้ทัพศัตรูต้องถอยร่น อย่างไร้ทางสู้

“ การบุกโจมตี เราจะทำหลังจากอพยพ ผู้คนไปบนวอลเนียได้หมดก่อน ”
“ ถ้าเช่นนั้นกระหม่อม ขอพระองค์สักเรื่องได้ไหมพะยะค่ะ แลกกับการที่ให้เราเป็นทัพหน้า กระหม่อนอยากจะให้ช่วยอพยพ พวกลูกมังกรและมังกรที่สู้ไม่ได้ไปกับวอลเนียด้วย และครอบครัวของกระหม่อนกับเหล่าผู้ติดตามให้อพยพตามไปด้วย ”
“ ไม่มีปัญหา ด้วยจำนวนประชากรที่มีตอนนี้ต่อให้ขึ้นไปบนวอลเนียก็ยังเหลือที่อีกมากมาย ”

บทสนทนาที่ ลอว์เรนซ์ เจรจาต่อรองกับ ซิกมันต์ นั้นก้องขึ้นขณะที่เขา แทงดาบลงไปยังร่างของจักรกลสังหาร ก่อนจะชักดาบออกแล้วกระโดดลงจากตัวของมัน  ก่อนที่มันจะระเบิดตัวเอง

“ ยังไงซะก็ต้องให้พวกเพื่อนมังกรของเรา หนีไปพร้อมๆกับครอบครัวของเราด้วย หลังจากที่เปิดประตูมิติมังกรออกมาแล้ว คำทำนายนั่นก็น่าจะเป็นจริงในไม่ช้า ”
ลอว์เรนซ์ คิดขณะที่มองไปรอบๆ ในตอนนั้นเอง มังกรของฝ่ายศัตรูก็ได้พุ่งตรงเข้ามาทำร้ายเขา จากด้านหลัง

“ Spell Fist ”
สิ้นเสียงเจ้ามังกรร้ายก็ถูก ครึ่งสมิงหมาป่าสีดำ ที่ติดตามเขามาซัดจนกระเด็นไป

“ ไม่เป็นไรนะ ”
ครึ่งสมิงหมาป่าถาม ขณะเดียวกันก็จัดการกับฝูงทหารที่บุกเข้ามา  ทำร้ายไปพร้อมๆกัน

“ อืม ขอบใจนะ เจนัส..ว่าแต่ เทีย กับคนอื่นๆล่ะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวขณะที่กวัดแกว่งเพลงดาบจัดการกับทหารศัตรูไปคนแล้วคนเล่า

“ ให้ พวก ลากูน่า ตามคุ้มครองไปแล้ว ”
เจนัส กล่าว ตอนนี้ทั้งสองถูกต้อนจนหลังชนกัน ท่ามกลางวงล้อมของ ศัตรู

“ ตอนนี้รอบๆเราไม่มี ทหารกับมังกรฝ่ายเราอยู่เลยใช่ไหม ”
ลอว์เรนซ์ หันไปถาม ก่อนที่เจนัส จะทำจะมูก ฟุดฟิดเพื่อ ดมหากลิ่นของฝ่ายเดียวกัน เนื่องด้วยสายเลือดเผ่าสมิง
ที่มีอยู่ครึ่งหนึ่งในตัวทำให้ เขามีประสาทรับกลิ่นที่เยี่ยมยอดกว่ามนุษย์ทั่วไป

“ ไม่มีเลย ระยะตั้งแต่รอบนอกจนถึงด้านในนี้ไม่มีใครแล้ว ”
เจนัส ตอบทันทีที่ลอว์เรนซ์ได้รับคำตอบเขาก็ยิ้มที่มุมปากก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงโล่งใจ

“ ดีล่ะถ้างั้นก็เล่นได้เต็มที่เลยสินะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวก่อนจะชักดาบ อีกเล่มซึ่งมีกรรเชียงดาบสีทอง คมดาบมีสีดำสนิท

“ จงกู่ร้อง Shin Saber (ดาบแท้จริง) และจงบิดเกลียวแสงและความมืด MiraiKen (ดาบอนาคต) ”
สิ้นคำของลอว์เรนซ์ ก็เกิดสายฟ้าฟาดลงมายังดาบทั้งสองเล่มที่เขาถืออยู่ ก่อนที่ดาบทั้งสองเล่มจะกลายเป็นแสงและ
พุ่งออกจากมือของเขา ไปก่อรูปกลายเป็นมังกรขนาดมหึมา สองตัว ตัวหนึ่งมีปีกสีขาวตัดแดง เกล็ดร่างทอประกายสีทอง ร่างทั้งร่างปกคลุมด้วยสายฟ้าทรงอำนาจ และอีกตัว ปีกสีแดงตัดโครงปีกสีดำ ซึ่งปลายปีกสีแดงนั้นกระพือรัวและเร็วเสียจนเกิดเสียง หึ่งๆ คล้ายผึ้ง ร่างปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำนิล และแผ่รังสี สีรุ้งที่งดงามออกมาจากร่าง

“ จงดูซะที่คือมังกรศาสตราที่ตกทอดกันมาของตระกูลครึ่งสมิง ที่มอบให้แก่ซาราเบลดผู้นี้ อาวุธแห่งทวยเทพ โกรอทพาลม่า(Gorothparma, the Weapon of God) และ สุดยอดมังกร นิลทูเรี่ยน (Nilturien, the Giga Dragon) ”
สิ้นคำของ ลอว์เรนซ์ มังกรทั้งสองก็คำรามขึ้นพร้อมกัน เสียงของมันดังกึกก้องไปทั่วปฐพีราวเสียงอัสนีบาต
พิโรธ เสียงของมันดังก้องไปจนได้ยินถึง เหล่าผู้อพยพและ ผู้คนรอบๆจนต้องหันมามอง ทิศที่มังกรศาสตรา ทรงอำนาจเหล่านั้น ปรากฏอยู่





“ จ..เจ้านี่มันอะไรกัน มังกรนี่ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่า เมอริเซีย มีมังกรที่สถิตอยู่ในดาบด้วย ”
“ เจ้าเด็กพวกนั้นมันปีศาจชัดๆ มันเรียกมังกรออกจากดาบได้ ”
เสียงตะโกนหวีดร้องของเหล่าทหารศัตรูด้วยความเกรงในอำนาจของ มังกรศาสตราทั้งสอง ดังขึ้นขณะที่วงล้อมเริ่มหนีแตกกระเจิง

“ โกรอทพาลม่า  สายฟ้าขาว(White Thunder) นิลทูเรี่ยน เงาดำเฉิดฉาย (Shining Shadow) ”
สิ้นคำของ ลอว์เรนซ์ สายฟ้าทรงอำนาจที่ปกคลุมร่างของ โกรอทพาลม่า ก็ถูกรวมอยู่ในอุ้งมือของมัน ก่อนจะถูกยิงไปยังเหล่าทหาร ที่พากันหนีตาย ทิศที่คลื่นสายฟ้าสีขาว พัดผ่านแม้นผืนปฐพีก็ ถูกฉีกขาดเป็นทาง

แสงสว่างและความมืดที่ก่อตัวขึ้นในอุ้งเล็บของ นิลทูเรี่ยน ได้หลอมรวมกันกลายเป็นมวลพลังงาน ทรงกลมสีดำที่มีประกายแสงเจิดจรัสในความมืด เพียงแค่สิ่งนั้นล่องลอยออกจากกรงเล็บของมัน ทุกสรรพสิ่งก็แทบจะถูกกลืนกินเข้าไป ด้วยการโจมตีประสานของ สองมังกรผู้เรืองอำนาจ ทัพศัตรูที่ล้อมกรอบพวกเขาไว้ได้ หายสาบสูญไปจากที่แห่งนั้นในพริบตา

……………..
………………..
…………………….

ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำซัดลงมา คณะของผู้อพยพ ยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อไปยังจุดหมายคือ เมืองวอลเนียที่เทียบท่าอยู่ในอ่าวทะเล


“ หม่าม้าฮะ..ปะป๋าจะกลับมาหรือเปล่าฮะ ”
คำถามของเด็กหนุ่มผมสีทอง กล่าวถามกับผู้เป็นแม่ ด้วยใบหน้าที่หยาดน้ำตาคลอเบ้า
และน้ำเสียงสะอึกสะอื้นราวกับจะร้องไห้

“ จ้ะพ่อจะต้องกลับมาแน่จ้ะ ”
ผู้เป็นแม่กล่าวพร้อมกับ ก้มลงอุ้มลูกน้อยเข้ามากอดไว้ในอ้อม อก ขณะที่เดินตามฝูงชนเพื่อ อพยพหนีขึ้นไปยังเต่าบิน
วอลเนีย ที่ลงจอดอยู่ในอ่าวทะเลของฟีเลเซีย แถวของผู้อพยพที่ค่อยๆเรียงรายกันขึ้นไปบนเต่ายักษ์นั้นมีทั้ง มนุษย์ มังกรและ สมิง โดยที่รอบๆนั้น มีทหาร คอยคุ้มกัน จากการจู่โจมของ พวกทหารฝ่ายอาณานิคมต่างแดน

“ อ็าคคค ”
เสียงร้องของทหารนายหนึ่งที่คุ้มกันอยู่ดังขึ้นอย่างโหยหวน  ก่อนที่ร่างของ ทหารผู้นั้นจะ ถูกกรงเล็บขนาดยักษ์ ฉีกเป็นชิ้นๆ ด้วยน้ำมือของ มังกร ทาราสควีร์ ที่มาดักรออยู่ บริเวณอ่าวนี้ก่อนแล้ว พร้อมกับพวก ทหารอาณานิคม ทวีป อาริมาเทีย

“ รีบหนีขึ้นไปที่วอลเนียเร็วเข้าเร็ว..อ็าคค ”
เสียงตะโกนของนายทหารที่ยืนอยู่บนฝั่งวอลเนีย ที่เร่งให้พวก ผู้อพยพรีบหนีขึ้นไปนั้น ยังไม่ทันขาดคำ เจ้าของเสียง ก็ถูก ทหารของอาริมาเทีย ทิ่มแทงด้วยคมหอก ก่อนจะถูกจับโยนลงทะเลไป

“ พวกเจ้าเป็นเชลยศึกของเราแล้วจงอย่าขัดขืนมิเช่นนั้น ข้าจะให้ ทาราสควีร์ จับกินซะ ”
เสียงของผู้บัญชาการ อาณานิคม อาริมาเทีย ดังก้องขึ้นจาก เรือกลที่ลอยเข้าเทียบฝั่ง พร้อมกับกองทหารที่ลงจากลำเรือ
ได้ลงมาล้อมกรอบ ผู้อพยพ

“ เชลยศึกเหรอ คิดแล้วเชียวว่า พวกแกต้องเล่นไม่ซื่อ พวกฉันเลยรอบเข้ามากับพวก ผู้อพยพ ด้วยพวกแกมีสายในกองทัพของเราจริงๆสินะ ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น ซึ่งเสียงนั้นทำให้เหล่าประชาชนแห่งเมอริเซีย จับจ้องไปทางเดียวกัน เมื่อ ผู้นำทัพทหารกองคุ้มกันที่นำพวกเขามายังที่นี่ นั้นได้ไปยืนข้างฝ่ายศัตรู

“ เมื่อกี้ใครกันที่พูดขึ้นออกมาข้างหน้าซะ ”
ผู้บัญชาการกองทัพ ตวาดใส่เหล่าผู้อพยพ พร้อมๆกับที่ พลทหารของ อาริมาเทีย กระชับหอกในมือขึ้น
ทำให้พวกผู้อพยพเริ่มเสียขวัญ ในขณะที่ ทหารที่คุ้มแต่ละนายที่มีอยู่ที่นี่ นั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกของมันแทบทั้งสิ้น

“ หึๆๆๆ มีไม่น้อยเหมือนกันนะ พวกนกสองหัวเนี่ย ”
“ แต่ก็ช่างเถอะกำจัดๆให้มันหมดๆไปซะก็สิ้นเรื่อง ”
เสียงซึ่งไม่ซ้ำกันได้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนที่ บุคคล สามคนจะเดินออก มาด้านหน้า ทั้งสามล้วนเป็น
ครึ่งสมิง ซึ่งมี สาวครึ่งสมิงแมวป่าผมสีทอง หนุ่มครึ่งสมิงพังพอนผมแดง และหนุ่มครึ่งสมิงหมาป่าผมเงิน

“ พวกแกเป็นตัวอะไรกันเนี่ย คนก็ไม่ใช่สมิงก็ไม่ใช่ เมอริเซียมีตัวประหลาดแบบนี้ด้วยเรอะ ก็ดีพวกแกคงเป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยมในการสร้างทหารเทียม จับมันไว้ ”
ผู้บัญชาการ กล่าวจบ พลทหารแห่ง อาริมาเทีย ก็กรูกันเข้ามา หมายจะตะครุบ พวกเขาทั้งสาม

“ มันไม่ง่ายนักหรอกนะ คาไมทาจิ(Kamaitachi = เคียวสายลม) ”
สิ้นคำของครึ่งสมิงพังพอน กระแสลมรอบๆก็เกิดแปรปรวนก่อนจะเกิดคลื่นสุญญากาศ
 พุ่งตัดร่างของ พลทหาร ที่กรูเข้ามาจนร่างขาดท่อน และไม่ช้า ครึ่งสมิงแมวป่า ก็ชักปืนพก
 ขึ้นมาก่อนที่จะกราดยิงใส่ เหล่าทหารจน ล้มลงไปทีละคนสองคน และเมื่อพลยิงของทาง อาริมาเทีย

 ที่สุมกันอยู่บนเรือยนต์ เล็งปืนมาทางพวกเขา ลูกกระสุนทั้งหมดที่ถูกยิงออกมานั้น กลับถูกสกัดไว้ก่อน
จะเข้าถึงตัวพวกเขา ด้วยกำแพงมนตรา ที่ครึ่งสมิงหมาป่า สร้างขึ้น

“ หนอยไอ้พวกนี้ ไม่เอาแล้ว ทาราสควีร์ ขยี้มันซะ ”
 ผู้บัญชาการ ออกคำสั่งจบ เจ้ามังกรก็ง้างกรงเล็บขึ้นหมายจะขยี้พวกเขาจนสิ้นชีพ
แต่ทว่า ครึ่งสมิงหมาป่า ตนนั้น ก็งัดเอาศิลา ซึ่งมีลักษณะคล้ายพระจันทร์เสี้ยว ขนาดกำมือ ออกมา
และเริ่มร่ายคาถา

“ ดวงจันทราที่สถิตย์ในรัตติกาลโปรดมอบลมหายใจที่หนาวเหน็บแก่ผืนพิภพ จันทราที่ส่องแสงในรัตติกาลอันหนาวเหน็บ  จงมาจันทราเยือกแข็ง(Cool Moon) ”
สิ้นคำของ ครึ่งสมิงหนุ่ม หมู่เมฆที่ ทาราสควีร์ สร้างขึ้นเพื่อบัลดาลฝน ก็แหวกออก พร้อมกับการปรากฏของ
 จันทราสีคราม เป็นอัศจรรย์แก่สายตาของทุกผู้ที่อยู่เบื้องล่าง  แม้แต่ ผู้บัญชาการแห่งกองทัพอาณานิคม อาริมาเทีย
ยังอดมองตาไม่กระพริบ  ก่อนที่แสงสีครามจะส่องลงมาจากดวงจันทราสีคราม ทุกสิ่งที่ต้องแสงนั้น จะเกิดไอเย็นและ
จับตัวกลายเป็นน้ำแข็ง แสงนั้นถูกยิงลงสู่พื้นทะเล ที่กองเรือของพวก อาริมาเทีย และมังกร ทาราสควีร์ ยืนอยู่
เพียงพริบตาทะเลกลับกลายเป็นธารน้ำแข็งในบัลดล  มังกรทาราสควีร์ ไม่อาจขยับเขยื้อนไปจากตรงนั้นได้
รวมไปถึง พลทหารที่อยู่บนเรือและ ผู้บัญชาการได้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไป
สร้างความหวาดหวั่นแก่ พวกพลทหารที่ อยู่บนหาดซึ่งรอดจากการแช่แข็งทั้งเป็นมาได้  

“ รีบขึ้นไปพวกเรา ตอนนี้แหล่ะ ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับที่ พลพรรค มังกรที่อพยพ มาด้วยนั้นพุ่งตรงเข้าทำร้าย กองทหารกบฏ จนล่วงลงมาจาก วอลเนีย และเปิดทางแก่ผู้อพยพ

“ เทียเธอรีบ พา เรกกะ ขึ้นไปซะเร็วเข้า เดี๋ยวชั้นกับพวก ลากูน่า จะจัดการตรงนี้แล้วไปพาตัว ลอว์เรนซ์กับคนอื่นๆมาเอง ”
ชายคนที่ตะโกนเมื่อครู่ เข้ามากล่าว กับแม่ซึ่งอุ้มเด็กน้อยผมสีทองอยู่ ก่อนจะให้พาเธอวิ่งฝ่าฝูงชน ขึ้นไปบน วอลเนีย
แล้วจึงวิ่งฝ่ากลับลงไป เพื่อไปสมทบ กับพวก ครึ่งสมิง ที่สู้อยู่กับพวกทหาร อาณานิคม

“ ตอนนี้ล่ะ มันขยับไม่ได้แล้ว อัญเชิญจันทราที่สามเลย ”
สมิงหมาป่าหนุ่มกล่าว ขณะที่ เร่งส่งพลังเวทย์ลงไปที่ศิลา ให้มากขึ้น แสงของพระจันทร์สีครามก็รุนแรงตามไปด้วย ร่างของ ทาราสควีร์ ค่อยๆกลายเป็นน้ำแข็งอย่างช้าๆจนมันเริ่มขยับไม่ได้
ครึ่งสมิง แมวป่ากับ ครึ่งสมิงพังพอน จึง งัดเอา ศิลาจันทร์เสี้ยวแบบเดียวกันขึ้นมา และเริ่มร่ายคาถา


“ ยามใดทีนภาปิด…ดวงเนตรจักปรากฏ…รัศมีแห่งอรุณที่ดับสูญ…นำมาซึ่งคมดาบแห่งการสังหาร….
และจักสังเวยเลือดเนื้อของอริจนสิ้นสลาย… ”
ทั้งคู่ผลัดกันกล่าวคนละประโยค
สิ้นคำศิลาก็เรืองแสง เปล่งประกายเจิดจ้า

“ มือสังหารตะวันเที่ยงคืน ”(Midnight Sun Killer)
สิ้นเสียงของทั้งคู่ ก็เกิดหลุมสีดำลอยเคว้งเหนือทั้งสอง ภายในมีมวลพลังงานทรงกลม
ลอยเคว้งอยู่ในความมืด ราวกับดวงอาทิตย์ที่ขึ้นตอนกลางคืน คลื่นพลังที่รุนแรงถูกพัดออกมา
ถาโถมใส่กองเรือและ ทาราสควีร์ ร่างของมันจึงถูกคลื่นพลังตรึงเอาไว้  ก่อนที่แสงสีดำ
ซึ่งโง้งเป็นเสี้ยว จะพุ่งออกมาจากหลุมมิตินั้นอย่างไม่ขาดสาย และตวัดผ่านร่าง ของมันและกองเรือ จนพินาศสิ้น ทว่า ร่างของ ทาราสควีร์ นั้นกลับเพียงแค่กะเทาะตัวออกจากน้ำแข็งเท่านั้น   แต่แรงกระแทกก็ทำให้มันล้มลงไปในอ่าว

“ ไง จัดการได้ไหม ”
ชายที่ไปส่ง แม่ของเด็กขึ้นวอลเนียไป ได้เข้ามาถาม

“ อ้าว กาเทีย ไม่ได้ขึ้นไปด้วยกันกับ เทีย เหรอ ”
ครึ่งสมิง พังพอน กล่าวถาม

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #3 on: February 08, 2009, 06:09:00 PM »

“ ลอว์เรนซ์ บอกให้ชั้นมาส่ง เทีย ไปก่อนเท่านั้นเอง และตอนนี้ก็ไม่น่ามีอะไรต้องห่วงแล้วล่ะ  ”
กาเทีย ชายซึ่งตามมาสมทบนั้นกล่าว

“ ไม่หรอกเจ้ามังกรยักษ์นั่น เมื่อกี้มันแค่ถูกคลื่นพลังซัดจนหมอบไปเท่านั้นมันยังไม่ตาย ”
ครึ่งสมิงหมาป่ากล่าว ซึ่งไม่นานนัก เจ้ามังกรทาราสควีร์ ก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำ และเริ่มอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง
ขณะเดียวกันฝูงผู้อพยพก็ได้ ขึ้นวอลเนียไปหมดแล้ว

“ พวกเจ้าน่ะรีบขึ้นมาเร็ว ”
นายทหารฝ่ายเมอริเซียที่ยังเหลือ อยู่ตะโกนเรียกให้พวกเขาขึ้นมา

“ ไม่ต้อง รีบออกตัวไปเลยพวกเราจะอยู่สกัดมันให้ ”
สิ้นคำของ กาเทีย นายทหารก็ไม่รีรอที่จะให้ออกตัวจากท่าอีกแล้วเพราะ ทาราสควีร์ กำลังจะพุ่งเข้ามาทำลาย วอลเนีย
แต่ทว่า แสงสีคราม ก็ถูกยิงลงมาแช่ร่างของมันอีกครั้ง แต่ก็ทำได้เพียงแค่ดึงความสนใจเท่านั้น เพราะอำนาจของจันทราเริ่มอ่อนลงจาก การที่ พลังของ ทาราสควีร์ รุนแรงขึ้น ส่งผลให้หมู่เมฆก่อตัวหนาขึ้นจนบดบังอำนาจรัศมีของ จันทราไป

“ แย่แล้ว เพราะเครื่องควบคุมที่อยู่กับกองเรือ พังไปทำให้ตอนนี้มันหลุดจากการควบคุมแล้ว ”
นายทหาร ฝ่ายอาณานิคม อุทานขณะที่พยายามจะหนี แต่ก็ถูก คลื่นลมพายุที่โหมกระหน่ำกวาดลงทะเลไป
ในขณะที่ เจ้ามังกร ค่อยๆคืบคลานขึ้นสู่พื้นทราย และตรงรี่เข้าสู่สนามรบ เพื่อจะอาละวาด ตาม สัญชาติญาณ

“ แย่แล้ว มันกำลังจะไปที่สนามรบ ถ้าเราไม่หยุดมันไว้ล่ะก็.. ”
ครึ่งสมิงแมวป่า กล่าว

“ สายไปแล้วล่ะ นีน่า พวกลอว์เรนซ์ กำลัง ปะทะกับ นิลคาบาลนอร์ แล้วที่นั่น เจ้ามังกรนั่นก็หลุดการควบคุม จากพวก อาณานิคม ดิสอาปจูร่า ไปแล้วด้วย  ”
ครึ่งสมิง พังพอนกล่าว ขึ้นขณะที่สายตาของเขามอง ตรงไปยังสนามรบ ดวงตาของเขานั้นราวต้องมนต์สะกดอยู่นี่คือ มนต์ตาทิพย์ที่ทำให้มองเห็นสภาพจากที่ไกลได้

“ หมายความว่า เราล้มเหลวตั้งแต่ตอนที่ ใช้มือสังหารตะวันเที่ยงคืนจัดการกับมันไม่ได้ แล้วสินะ ริคุ ”
ครึ่งสมิงหมาป่า กล่าวขึ้นขณะที่มอง เจ้ามังกร ลับหายไปจากสายตาท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ

“ แล้วการออกมา ของพวกเราจะมีความหมายอะไรล่ะ สรุปนี่ต้องเป็นไปตามคำทำนายหมดเลยงั้นเหรอ ”
ครึ่งสมิงแมวป่านาม นีน่า กล่าวอย่างหมดหวัง พร้อมกับคุกเข่าลงด้วยความเหนื่อยอ่อน

“ คำทำนายวันดับสูญของ เมอริเซีย สองมังกรร้าย จะต่อสู้กันพลังของมันจะบัลดาลให้เกิดภัยพิบัติ จนผืนแผ่นดินย่อยยับ ด้วยน้ำมือของ เหล่ามนุษย์ผู้โลภหลง ในอำนาจ คิดจะควบคุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าตน  ”
ครึ่งสมิงพังพอน ริคุ กล่าวขึ้นขณะที่ ย้อนนึกไปถึงคำทำนายที่พวกเขารับรู้มา

“ และเพราะรู้แบบนั้น พวกเราถึงได้ออกจาก มิติมังกร มาก็เพื่อหยุดยั้งมัน แม้จะไม่มีพลังของ
อัศวินทาลิวิลย่าแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายผลลัพธ์มันก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย ”
ครึ่งสมิงหมาป่า ลากูน่า กล่าว พวกเขาทั้งหมดได้แต่ยืนมอง ความล่มสลายของ เมอริเซียที่กำลังจะมาเยือนในไม่ช้า
ขณะที่ ยานเต่าบินยักษ์ วอลเนียค่อยๆเคลื่อนตัวขึ้นสู่ท้องนภาท่ามกลางสายฝนที่ซัดกระหน่ำ

………………….
…………………..

ที่ ใจกลางสนามรบ บัดนี้ไม่มีทหารของอาณานิคมใด เหลืออยู่อีกแล้ว นอกจากทัพของเมอริเซีย และทัพมังกร
ที่ลอว์เรนซ์นำมา ด้วยผลการทำลายล้างอย่างไม่เลือกฝั่งของ นิลคาบาลนอร์ที่หลุดการควบคุม
รังสีความแห้งแล้งที่แผ่ออกจากร่างของมัน ทำให้ ผืนแผ่นดินลุกเป็นไฟ

บัดนี้ที่ เข้าปะทะกับเจ้ามังกรร้าย มีเพียง สองมังกรศาสตรา กับ ดีวายดราก้อน และมังกรดำ เทียแมต(Tiamat)
และเพราะสถานที่ปะทะนั้นใกล้กับเขตของฟูดินัน ทำให้ มังกรสองหัวผู้พิทักษ์แห่งเขาคีรีบันดาไพทอน( Python, the Guardian Dragon)  ซึ่งรับรู้ถึงจิตสังหาร และความอันตรายของ มังกรนิลคาบาลนอร์ ได้ออกมาร่วมกับเหล่าพลพรรค

มังกร เพื่อต่อกรกับมัน ไม่เว้นแม้แต่ มังกรมารัคผู้พิทักษ์ (Marag, Yggdrasill,s Guardian) มหาพฤกษา อิกดราซิล (Yggdrasill) ซึ่งออกมาปกป้องมหาพฤกษา จากอันตรายที่จะเกิดจากาการปะทะกันของเหล่ามังกรและนิลคาบาลนอร์
ทว่าแม้จะเกิดการศึกยิ่งใหญ่และภัยพินาศมากมายเพียงนี้ เหล่าทวยเทพกลับไม่ยื่นมือเข้าช่วยพวกเขาเลยแม้แต่น้อย


“ อึก…ที่นี่คงจะต้านเอาไว้ได้อีกไม่นานแล้ว ฝ่าบาทพระองค์รีบ อพยพทุกคนไปเถิด กระหม่อมกับกองทัพมังกรจะสกัดมันไว้เอง ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวเมื่อเห็นท่าจะไม่ดี แม้ ซิกมันต์ จะไม่เห็นด้วยที่จะทิ้งให้ เด็กหนุ่มเพียงสอง อยู่คุมทัพมังกรเข้าต่อกรกับ มัน แต่พระองค์ก็ไม่มีทางเลือก ชีวิตของทหารทุกคนต้องไม่สูญเปล่าไปกับการศึกที่พวกเขา

ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปได้ พระองค์จึงตัดสินพระทัย สั่งถอย ล่าไปในทันที ทว่า ยังไม่ทันที่ จะไปได้ไกล
กองทหารทั้งหมดรวมไปถึงตัว พระองค์ต่างถูกหางของ ทาราสควีร์ กวาด รวบจมลงไปในบ่อโคลนตมใต้ฐานของมัน
ก่อนจะถูกขยี้เละหายไปทั้งกอง   ทิ้งไว้เพียงคราบเลือกที่ปนขึ้นมากับน้ำโคลน

บัดนี้ มังกรร้ายแห่งตำนานทั้งสองได้ มาปะทะกันแล้ว แม้จะมีเหล่ามังกรทรงอำนาจแต่ ทว่าอำนาจของมังกร
ทั้งสองนั้นรุนแรงกว่าพวกมันจะทานเอาไว้ได้ และทันทีที่ การปะทะเริ่มขึ้นอำนาจดลบัลดาลภัยพิบัติ
ของพวกมันก็เกิดชนกันและกลายเป็นพลังทำลายที่มหาศาล ผืนแผ่นดินแตกแยกออก และ
ลอยขึ้นสู่ฟ้า

“ ม..ไม่น่าเชื่อ ”
“ เป็นได้ถึงขั้นนี้เชียว ”
เสียงของ พวก ลากูน่า ที่ตาม มาสมทบกับ ลอว์เรนซ์ ดังขึ้น ความวินาศสันตะโรที่เกิดขึ้นยาก จะจินตนาการได้
ยิ่งมาเห็นด้วยตาพวกเขาก็แทบไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วนอกจาก ความสิ้นหวังแล้วไม่เหลือสิ่งใดอยู่ในหัวใจของพวกเขาอีกแล้ว ความพ่ายแพ้ต่อชะตากรรม ที่ลิขิตให้เมอริเซียถูกทำลายนั้นไม่อาจแก้ไขได้อีกต่อไปแล้ว


“ พวกเจ้ารีบไปซะ สงครามนี้ข้าจะยุติมันลงเดี๋ยวนี้ด้วยตัวข้าเอง ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวขณะที่ เรียกให้มังกรศาสตราทั้งสองกลับคืนเป็นดาบ

“ พูดอะไรของนายน่ะลอว์เรนซ์ จะให้พวกเราทิ้งนายแล้วหนีไปงั้นเหรอ ”
ครึ่งสมิงหมาป่าที่อยู่กับเขา เจนัส กล่าวอย่างไม่ยอมความซึ่งรวมไปถึงเพื่อนๆของเขาที่อยู่ ณ ตรงนี้ด้วย

“ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจความรู้สึกของพวกเจ้าหรอกนะ แต่ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่าง เมอริเซีย ที่พวกเรารักก็จะไม่เหลืออีก
ถึงอยากให้พวกเจ้าหนีไป เพื่อที่ซักวันจะได้กลับมาปลดปล่อยเมอริเซีย ให้เป็นอิสระ  ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวโดยพยายามจะยัดเยียด เหตุผลเพื่อให้พวกเขายอมรับ

“ ทำไมถึงพูดอย่างนั้น ล่ะ นายน่ะมี เทียอยู่นะ แล้ว เรกกะ ก็ยังเล็กอยู่เลย นายจะทิ้งพวกเขาไปงั้นเหรอ ”
นีน่า กล่าวเพื่อย้ำเตือนให้เขานึกถึงชีวิตลูกและภรรยา

“ ฝากพวกเขาด้วยก็แล้วกัน ข้าเชื่อใจพวกเจ้า ตลอดมาและจากนี้ตลอดไป ข้าก็จะขอเชื่อว่าพวกเจ้าจะต้องทำได้
ตอนนี้และที่นี่ มันคือสมรภูมิสุดท้ายของข้า ท่านดีวายดราก้อน โปรดช่วยพาพวกเขาหนีไปที ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบ ดีวายดราก้อนก็เข้ามาขวางเหล่าเพื่อนๆของเขาเอาไว้ ไม่ให้ตามไป

“ ลอว์เรนซ์ ถึงเจ้าจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของข้า แต่ข้าก็เลี้ยงดูเจ้าเหมือนลูกแท้ๆ ข้าภูมิใจที่เจ้ายอมรับข้าเป็นพ่อของเจ้า ”
ดีวายดราก้อนกล่าวภาษามนุษย์ ออกมาเพื่อสื่อสารกับลูกบุญธรรมของตนเป็นครั้งสุดท้าย

“ ครับผมเองก็เช่นกัน ลาก่อน ”
สิ้นคำของลอว์เรนซ์ ดีวายดราก้อนก็รวบตัวพวก เจนัส หนีไปโดยทิ้งเสียงร้องเรียกชื่อของเขา ที่เหล่าเพื่อนๆส่งมา

“ ลอว์เรนซ์ นายพูดเองไม่ใช่รึไงว่าต่อให้เป็น ลิขิตฟ้าก็จะก้าวข้ามมันไปน่ะ ”
เสียงสุดท้ายของ เจนัส ที่ส่งมาถึงนั้นทำให้เขาย้อนหวนนึกถึงคำพูดที่เขาเคยกล่าว ไว้เมื่อสมัยยังเด็กกับเพื่อนๆทุกคน

“ จริงด้วยสินะแต่ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ชั้นทำไม่ใช่เพราะเดินตามชะตาลิขิต หากคำทำนายบอกว่าเมอริเซียจะล่มสลายในวันนี้ ชั้นก็จะฝืนดวงชะตา ทำให้มันไม่ล่มสลายลงซะ ”
ลอว์เรนซ์ รำพันกับตนก่อนจะปักดาบทั้งสองเล่มลงพื้น ต่อหน้าการต่อสู้ของ สองมังกรร้าย

“ จงฟังแม้วันนี้ร่างเราจะเหลือเพียง ทุลีเถ้า แต่วิญญาณของ เรา จะดำรงสืบไปยังลูกหลานและซักวัน ลูกหลานของเราจะมาทวงเอาแผ่นดินผืนนี้คืน …..ซักวัน ”
สิ้นคำของ ลอว์เรนซ์ ดาบทั้งสองเล่มที่เขาปักลงไปก็แผ่คลื่นพลังออกมา ก่อนจะขยายตัวไปทั่วทั้งเมอริเซีย
และกลายเป็นเขตอาคม ที่ครอบคลุม ผืนทวีปนี้ไป ทุกสรรพสิ่งภายในเขตอาคม นั้นหยุดนิ่งลงราวกับว่าเวลา
นั้นหยุดลง

………………….
………………………

ด้านวอลเนีย ที่ออกตัวนำผู้อพยพ หนีออกจากทวีปไป ก็ได้มุ่งหน้าตรงสู่ เขตเกาะ วาร็อค ที่เคยตั้งถิ่นฐานไว้อยู่

เสียงคร่ำครวญของเหล่า ผู้อพยพที่ต้อง พรากจากลูกหลานและบุคคลอันเป็นที่รักนั้น ดังระงม ตลอดทาง
ความสูญเสียในครั้งนี้ยิ่งใหญ่ จนราวกับฉีกกระชากหัวใจของ ชาวเมอริเซียไปจนสิ้นทั้ง เกียรติ ศักดิ์ศรี อำนาจ
 ความมั่งคั่ง ทุกอย่างถูกแย่งชิงไปหมดและจบลงที่พวกเขาต้องสูญเสีย ผืนแผ่นดินของตนไป

ทว่าเพียงเท่านั้นชาวเมอริเซีย ยังคงไม่หลุดจากห้วงแห่งความทรมาน เหมือนสวรรค์จงใจ
นี่คือผลกรรมที่พวกเขา
ก่อไว้หรือไร เมื่อ กองทัพของ ศัตรูต่างออกมาตั้ง ค่ายเพื่อรอรับ การมาของ เมืองวอลเนีย ไม่นาน
กระสุนปืนใหญ่ ก็ถูกกระหน่ำยิง ใส่ วอลเนีย จนร่วงลงสู่ผิวน้ำ

พร้อมๆกับที่ ทหารจาก ทุกอาณานิคม รุมกันขึ้นไปบน วอลเนีย เพื่อจะแย่งตัวเชลยศึก
และยึดเอาเทคโนโลยี เมืองบิน อย่างวอลเนีย ไป

“ อย่าให้พวกมันได้เมืองนี้ไปจับเชลยศึกของศัตรูมาให้หมด พวกที่ขัดขืนฆ่าทิ้งซะไม่ต้องปราณี ”
คำสั่งที่ดังขึ้นจากทุกอาณานิคม ราวกับนัดแนะกันไว้ก่อน ได้ดังขึ้น ชาวเมอริเซีย ก็ต้องตกอยู่ในห้วง
แห่งความทุกข์ระทม การนองเลือดเหล่าประชาชนสตรี และ เด็ก ไม่ว่าจะมังกร สมิง หรือ มนุษย์

ก็ตามที ไม่มีการปราณีแก่ผู้ขัดขืน คมดาบตัดผ่าทุกส่วนของร่าง โลหิตที่ไหลอาบย้อมลงบนพื้นดิน  และวิหารในตัวเมือง  กับฐานเต่าบินที่ค่อยๆจมลงสู่ท้องทะเล

“ ขอร้องล่ะ อย่าทำอะไรลูกฉันเลย อ๊าาา ”
ยังไม่ทันที่ เทีย จะได้รับคำตอบ เธอก็ถูก ทหารใจเหี้ยมตวัดคมดาบผ่าร่างจนตายคาคมดาบ

“ หม่าม้า..หม่าม้า ลุกขึ้นมาสิ หม่าม้า ฮือๆๆ ”
เด็กน้อย ร้องไห้น้ำตาคลอเบ้าขณะที่ เขย่าร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นแม่

“ เฮ้ยไอ้หนู ขวางหู ขวางตาข้า ตายซะเถอะ ย้าก ”
สิ้นคำคมดาบของทหารใจเหี้ยม ก็เงื้อขึ้นหมายจะตัดศีรษะของเด็กน้อยในคราเดียว
เด็กน้อยหลับตาปี๋ด้วยความกลัว พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรดลงพื้น


“ อ็าคคคคคคคคคคคค ”
เพียงเสียงเดียวที่บาดลึกเข้าไปถึงโสตประสาท พร้อมกับโลหิต ที่สาดกระเซ็นสู่ร่างของเด็กน้อย
เมื่อเด็กน้อยค่อยๆลืมตาขึ้น สภาพโดยรอบได้เปลี่ยนไป เหล่าทหารทั้งหมดต่างจ้องมาที่เขาเป็นทางเดียวกัน

เมื่อเด็กน้อยมองขึ้นไปเหนือหัวของเขา ร่างของทหารใจเหี้ยมได้ถูก คมดาบเสียบร่าง ยกลอยขึ้นอยู่เหนือเขา
โดยที่รอบตัวเด็กน้อย มีอัศวินครึ่งมังกร หกตนซึ่งแต่ละตนก็มีสีแตกต่างกันไปตามธาตุสังกัด

“ พวกมนุษย์ไร้ค่าทั้งหลาย บังอาจเอา วาจา การกระทำอันต่ำช้ามาแสดงต่อหน้า อวตารแห่ง อัศวินผู้ถูกเลือกเช่นนี้หรือ พวกเจ้าไม่สมควรมีชีวิตรอด ไม่สมควรอยู่ต่อในฐานะมนุษย์อีกต่อไป จงตายซะ Great of Dragon(อำนาจแห่งมังกร) ”
สิ้นคำ ก็เกิดมวลแสงพลังงานธาตุต่างๆขึ้นและก่อรูปเป็นมังกร ก่อนที่มังกรพลังงาน ทั้ง 6 จะถูกปลดปล่อยอกมาโดย อัศวินครึ่งมังกร เพียงพริบตา กองเรือ นับแสนของ ทุกอาณานิคม ต่างย่อยยับ เหล่าทหาร ที่บุกรุกเข้ามา ถูกฆ่าสังหาร

ไม่เหลือด้วยน้ำมือของอัศวินมังกร ทั้ง 6 ตน การสังหารอันเหี้ยมโหด ที่เหล่าอัศวินมังกรแสดงแก่สายตาของเด็กน้อยนั้น ช่างเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมกว่าที่พวกมัน ทำนัก จนเมื่อไม่เหลือใครในบริเวณรอบๆนอกจาก เขากับ อัศวินมังกรทั้งหก

“ นายน้อย บัดนี้ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ที่ท่านจะได้รับพลังตามพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดเตรียมใจด้วย ”
อัศวินมังกรกายสีขาวซึ่งสังกัด ธาตุแห่งแสงได้เอ่ยกล่าว ก่อนจะหงายคมดาบลง เช่นเดียวกันกับอัศวินมังกรตนอื่นๆ
ที่หงายคมดาบลงโดยหมายจะปักมันลงบนร่างของเขา  ในวินาทีนี้ เด็กน้อยคิดว่าตนคงไม่รอดแน่แล้ว ก่อนที่คมดาบ
ทั้ง 6 เล่มจะทะลวงลงไปยังร่างของเขา

“ จากนี้ไปเราคือพลังของท่านนายน้อย ”
สิ้นคำเหล่าอัศวินมังกร ก็สลายกลายเป็นแสงและก่อรวมตัวกันขึ้นกลายเป็นศิลา ขนาดเล็ก ลอยอยู่ต่อหน้าของเด็กน้อยที่เลือดโทรมกาย แม้จิตใจหลุดลอยไปแล้ว แต่ราวกับมีอำนาจบางอย่างทำให้เขายังรับรู้กับสิ่งที่เกิดกับตัวเขา

ทั้งความเจ็บปวดความหวาดกลัว และทันทีเมื่อ ศิลานั้นค่อย ทะลวงลงไปในตาซ้ายของเขา ความเจ็บปวดอย่างที่สุดเท่าที่จะมีใครเคยได้ลิ้มลอง ก็ได้ถ่ายทอดแก่เด็กน้อยซึ่งมีวัยเพียง  4 ปีเท่านั้นทันที ที่ ศิลาฝังตัวลึกลงไปในดวงตา

แม้ แก้วตาจะสมานกลับดังเดิมก็ตามแต่ทว่าตาข้างนั้นก็มองไม่เห็นอีกแล้ว
ดาบที่ปักทะลุร่างของเขาได้ซึมซับเข้าไปในร่างพร้อมๆกับสมานบาดแผลให้  ก่อนที่เด็กน้อยจะฟุบตัวหมดสติไป

“ นายน้อยขอ ท่านจงหลับให้สบาย พวกข้าจะพานายน้อยไปสู่ช่วงเวลาแห่งการชำระ เทอร่า นี้เอง ”
เสียงของอัศวินมังกร นั้นยังคงก้องอยู่ในส่วนลึกของจิตใจของเด็กน้อย ก่อนที่ร่างของเขาจะอาบด้วยแสงและหายไปจากตรงนั้นอย่างไร้ร่องรอย

…………………..
……………………..

200 กว่าปีต่อมา

“ จะไปแล้วเหรอ ”
“ ครับวันนี้ กิจกรรมตอนเช้า เลยต้องไปก่อนเวลา น่ะครับ ”
“ เหรองั้นวันนี้อย่ากลับค่ำนักล่ะ ”
“ ครับ ”
เสียงสนทนาที่ดังขึ้นหลังประตูไม้ ที่ค่อยๆเปิดออก

“ อ้าวมารอนานแล้วเหรอ ”
“ ถ้าไม่รีบไปจะสายเอานา เรกกะ ”
…………….
………………..

“ ถึงเวลาแล้วสินะ ที่พวกเราจะเริ่มภารกิจแรกกัน ”
“ การเข้าแทรกแซงเพื่อขจัดความขัดแย้ง ที่เรียกว่าสงครามนั่นน่ะ ”
“ Empyrean Adjust พวกเราจะขจัดสงครามให้หมดไปจากโลกใบนี้ซะ ”

……………….
……………………..

โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga
แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานถึง 200 ปีแต่สงครามก็ยังคงดำเนินไปอย่างไม่รู้จบ เหล่าชาวเมอริเซีย ที่สูญเสียแผ่นดินเกิด
ต้องจมอยู่กับความอัปยศ นานนับศตวรรษ ถึงกระนั้น มนุษย์ก็ยังคงไม่ได้รับบทเรียน จากการศึกในครั้งนั้น
ยังคงสร้างความขัดแย้งขึ้นเรื่อยมา ทว่า

“ พวกเราคือผู้นำสารแห่งสวรรค์มาสู่ ผืนพิภพ Empyrean Adjust และจากนี้ไปพวกเราจะเข้าทำการแทรกแซงความขัดแย้งทั้งหมดในโลกนี้ และสงบมันลงด้วยกำลังอาวุธของ เหล่า Valkyrier ทั้ง 12 พวกเราจะพิพากษาโลกใบนี้ ”

“ ว่ายังไงนะพึ่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ไปได้แค่ สามชั่วโมง ทาง ดิสอาปจูร่า สั่งยกเลิกแล้วงั้นเรอะ  ”
“ สงครามความขัดแย้งทางศาสนา ที่สหราชอาณาจักร ซีรา แห่งทวีป เลาดิเชีย ตอนนี้ประกาศสงบศึกกันแล้วครับ ”
“ เห็นว่ากองทัพอันเกรียงไกร ถูกโค่นล้มด้วยนักรบของพวกที่อ้างว่าเป็น Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust  แค่สี่คนเข้าล้มล้างทั้งกองทัพในเวลาไม่ถึงสามสิบนาทีครับ ”
“ นี่พวกมันคิดจะขจัดความขัดแย้งทั้งโลกจริงๆอย่างนั้นน่ะเหรอ Empyrean Adjust ”

ท่ามกลางไฟสงครามที่ ต่อเนื่องมาอย่างยาวนานกลับปรากฏเหล่า นักรบแห่งสรวงสวรรค์ เข้ากำราบ จนปราชัย

สมรภูมิเปลี่ยนไปแล้ว ด้วยคำสาบานต่อคมดาบแห่งฟ้าสูง ขอปฏิญาณ จากหัวใจ
จะขอขจัดสงครามให้สิ้นไปจาก เทอร่า ใบนี้ แม้ชีวี จะหาไม่ก็ตาม Saga 03 เทวทูตผู้ขจัดสงคราม
………………………………………..

มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง

ภาพทั้งหมดจาก Database เจ้าค่ะ

ปิโยะ ปิโยะ อิอิ
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #4 on: February 09, 2009, 06:13:47 PM »

Saga 03 เทวทูตผู้ขจัดสงคราม

หลังมหาสงครามแห่ง เทอร่า ประชาคมโลกจึงตระหนักได้ในที่สุดว่า การทำสงครามนั้นรังแต่จะ
สร้างให้เกิดพินาศย่อยยับ จึงได้ทำสนธิสัญญา สงบศึกแต่กระนั้นก็ยังมีผู้ที่ต่อต้านการทำสนธิสัญญา

และต้องการให้สงครามดำรงอยู่ต่อไป พวกพ่อค้าที่หากินกับสงคราม แน่นอนหากไร้ซึ่งสงคราม
ทหารรับจ้างก็หมดความหมาย อาวุธร้ายๆต่างที่ หลายองค์กรผลิตเพื่อจะขายในราคาสูงกับประเทศที่ต้อง

ล้มล้างอริชาติ ก็จะต้องพังพินาศ ดังนั้นแม้ สนธิสัญญาจะเกิดขึ้นมาและมีการบังคับใช้แล้ว แต่
บางประเทศอาณานิคม ของทวีปส่วนใหญ่นั้นยังคง ทำสงครามกันเองในประเทศและข้ามประเทศ

ไปจนถึงทำสงคราม ข้ามทวีป ก็ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ขยายวงกว้างขึ้นเพราะ ประชาคมโลกที่ทำการ
ควบคุมขอบเขตของสงคราม ไม่ให้รุกล้ำเข้ามาถึงแดนของตนได้ สงครามที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงเพราะความขัดแย้งทาง

การเมือง แม้แต่ ศาสนา เผ่าพันธุ์ การแก่งแย่งทรัพยากร และ พื้นที่  ไปจนถึงข้อพิพาทอีก นานับประการ
ที่ไม่ได้กล่าวถึง จึงยังไม่อาจพูดได้ว่า เทอร่า ปลอดจากสงครามแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้คนทั่ว เทอร่า ลืมหายไป

นั่นคือ ประชาชนชาว เมอริเซีย ที่ต้องสูญเสีย แผ่นดินบ้านเกิดจนไร้ที่อยู่ หนำซ้ำยังถูกเหยียดหยามและกดขี่
ให้ไม่มีสิทธิ ต่างๆต้องเป็นเบี้ยล่างรับใช้ เยี่ยงสัตว์แรงงาน แต่ก็มีบางประเทศที่เล็งเห็นถึงปัญหา

สิทธิของชาวเมอริเซีย ที่ได้รับอย่างไม่เที่ยงธรรม จึงทำให้บางประเทศนั้นเปิดเสรี และออกกฎหมาย
คุ้มครองชาวเมอริเซีย ที่ยากไร้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีการปิดกั้นไม่ให้พวกเขาได้เชิดหน้าชูตา
เช่น ชาวเมอริเซีย ไม่สามารถเข้ารับราชการได้  นอกจากนี้หากเกิด เหตุการณ์ไม่สงบภายในบ้านเมือง ชาวเมอริเซียคือพวกแรกที่จะต้องออกไปรบ แต่มีอยู่ประเทศหนึ่งเปิดเสรีภาพ โดยไม่แบ่งแยก พวกเขาคือ สหราชอาณาจักร

โลกอส(Logos) ซึ่งมีนกพิราบสีขาว เป็นตัวแทนแห่งสันติภาพ สาเหตุที่ประเทศนี้สามารถเปิดเสรีให้แก่ทุกฝ่ายอย่างไม่
แบ่งแยกได้นั้น เพราะ โลกอสมีกำลังและอำนาจพลที่เหนือล้ำกว่าทุกอาณานิคม อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่า

ใครๆ แต่ทั้งหมดนั้น ก็ยืนอยู่บนฐานของอุดมการณ์ที่ว่า  “เราจะไม่รุกรานใคร และ จะไม่ยอมให้ใครมารุกรานเรา”
ดังนั้น โลกอส จึงเป็นดั่งอาณาจักรในตำนาน ที่ผู้คนสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไร้ซึ่งความขัดแย้ง อีกทั้ง ราชอาณาจักร

ยังปกครองโดยยึดเอาศาสนา เป็นหลักในการเปิดกว้างเพื่อช่วยเหลือเหล่ามวลมนุษย์ ตามหลักคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า แต่เพราะเหตุนี้เองทำให้ โลกอส ตกเป็นเป้าของประชาคมโลก ที่โหยหาการกดขี่ และเอารัดเอาเปรียบ ด้วยแรงงาน

ชาวเมอริเซียนั้น เป็นอะไรที่ไม่มีกฎหมายโลก คุ้มครองเพราะทวีปของพวกเขาแตกสลายและไม่มีกลุ่มตัวแทน
ที่ร่วมลงนามสนธิสัญญา อีกทั้งยังถูกลงชื่อว่าเป็นกลุ่มสาบสูญ ไร้ซึ่งตัวตน ทำให้ง่ายต่อการทำมาเป็นแรงงานที่ไม่ต้องปราณี และทำการทดลอง ที่ผิดศีลธรรมกับพวกเขาได้

และมาถึงตรงนี้เวลาได้ล่วงเลยมา กว่า 200 ปี ท่ามกลางความข่มขื่นที่ชาวเมอริเซียได้รับ ซึ่งทุกอาณานิคม นั้นเล็งเห็นว่าซักวัน พวกเขาอาจลุกฮือขึ้นเพื่อทำการปฏิวัติ นอกจาก โลกอส แล้ว การกระทำทารุณกรรม กับชาวเมอริเซีย จึงมีให้พบได้ไปทั่ว จากการกระทำที่โง่เขลาของพวกเขา บัดนี้ได้แสดงให้สวรรค์เห็นแล้วว่า พวกเขาไร้ซึ่ง ศรัทธา ที่จะอยู่ร่วมโลกกัน ดำรัสแห่งการชำระล้าง เทอร่า ที่เตรียมการไว้เมื่อกว่า 2  ศตวรรษ ที่แล้วจึงเริ่มขึ้น

……………….
……………………..


โรงเรียน St. Mugnagus
เป็นโรงเรียน ที่ทางโบถส์ St. magnus ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นโรงเรียนสหภายในประเทศอันสุขสงบ
จากภัยสงครามอย่างโลกอส นี้ ซึ่งที่นี้เน้นหลักการสอนให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างไม่แบ่งแยก ลูกหลานชาวเมอริเซีย

ที่เข้าเรียนที่นี่จะเยอะเป็นพิเศษ และด้วยกฎหมายคุ้มครองสิทธิของทุกคนอย่างเท่าเทียม จึงไม่มีการเหยียด ชนชั้น
ซึ่งทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพราะพระมหากรุณา ของเจ้าหญิง มาเรียลูส (Marialust) ผู้มีศักดิ์เป็น เอนกิ(Enki) ซึ่งมีศักดิ์

เทียบเท่าผู้สำเร็จราชการปกครองแคว้นนี้อย่างเป็นเอกเทศ  พระองค์ทรงมีพระเมตตา ทรงห่วงใยราษฎร ทั่วหล้าโดยไม่แบ่งแยก ชาวเมอริเซีย ที่ได้รับการช่วยเหลือจากพระองค์ถึงกับพูดเป็น เสียงเดียวว่าพระองค์คือ
เจ้าหญิงอลาน่า(Alana)ที่อวตารลงมาช่วยเหลือมวลมนุษย์ อีกครา

………….
………………..

“ คนต่อไป เรกกะ(Recca) เธอช่วยอ่านบทคัดย่อที่สามของหน้านี้ทีนะ ”
เสียงของอาจารย์ ดังขึ้นพร้อม กับเด็กหนุ่มผมสีทองผิวสีขาวนวล สวมเครื่องแบบเสื้อเชิ้ต สีขาวและทับด้วย
สูทสีฟ้าอ่อน อันเป็นเครื่องแบบของโรงเรียน ได้ยืนขึ้นขณะที่ยกเล่มหนังสือปกอ่อน สีฟ้าซึ่งมีตรา นกพิราบขาว

แห่งสันติภาพ  ประทับอยู่ที่หน้าปก ตาซ้ายของเด็กหนุ่มผู้นี้ แม้จะดูปกติเหมือนคนทั่วไป แต่ทว่าเมื่อจ้องมองให้ ลึกลงไป
จะพบว่ามี ก้อนตะกอนอะไรบางอย่างฝังลึกอยู่ในแก้วตา ทำให้ตาดวงนั้นไม่สามารถมองเห็นได้

“ หลังจากการเข้ารับราชการ องค์หญิง มาเรียลูส พระองค์ทรงมีพระราชดำรัส ให้เปิดประเทศ โลกอส เป็นเสรี
ไม่ขึ้นกับใคร และดำรงอยู่บนรากฐานแห่งการอยู่ร่วมกัน… ”
เรกกะ อ่านบทความที่เขียนอยู่ในหนังสือ อย่างช้าๆและชัดให้ทั้งห้องฟัง ก่อนที่จะนั่งลง พร้อมกับที่ อาจารย์ผู้สอนจะเรียกคนถัดไปขึ้นยืนอ่าน

“ อ…เอ่อ ตรงบทคัดย่อที่ ห้า อ..เอ่อ อยู่ตรงไหนนะ อยู่ไหน อ..เอ่อ องค์หญิงมาเรียลูส พระองค์ทรงมีพระราชดำรัส.. ”
เสียงอำอึ้งตะกุกตะกัก ของนักเรียนคนต่อมาที่ถูกสั่งให้ยืนขึ้นอ่านดังขึ้นจากด้านหลังเขา

“ เฟนท์(Feint) ที่เธออ่านน่ะมันบทคัดย่อที่สาม เพื่อนๆเขาอ่านผ่านไปแล้ว ของเธอ ต้องขึ้นต้นเรื่องพระราชกรณีกิจของพระองค์ต่างหาก ”
อาจารย์ผู้สอน กล่าวเสียงหน่ายๆกับอาการตื่นผวา ของ นักเรียนคนนี้ ที่เป็นเอาเสียทุกครั้งในทุกชั่วโมงเรียน
เด็กหนุ่มเผ่าครึ่งสมิงสายพันธุ์ หมาป่า ผมสีดำ และมีหูเยี่ยงสุนัขป่าสีดำ ผู้นี้มักเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตนเอง

บ่อยครั้งการกระทำของเขา จึงทำให้ ทุกคนหน่ายไปพอๆกัน แม้แต่อาจารย์ผู้สอนเองก็รับไม่ค่อยได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ผลการสอบทุกครั้ง เขาจะได้คะแนน ดีไม่น้อยเลยทีเดียว

“ เฮ้อ เจ้า เฟนท์ เป็นอีแบบนี้ทุกทีสิน่า ”
เรกกะ ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย กับชั่วโมงเรียนที่แสนน่าเบื่อนี้ เขาทอดสายตามองออกไปข้างนอก
เหม่อมอง ท้องฟ้าอันสดใส ที่มีเมฆลอยเอื่อยเฉื่อย นี่ก็เป็นอีกวันที่แสนสงบ ภายในรั้วโรงเรียน ของประเทศซึ่งห่างไกลจากสงคราม
 
ครู่ต่อมาเสียงกริ่งหมดชั่วโมงก็ดังขึ้นทำให้เขาสะดุ้ง กลับจากภวังค์


“ งั้นวันนี้พอแค่นี้นะนักเรียน ”
อาจารย์ผู้สอนกล่าวขณะที่ กลับไปยังโต๊ะเพื่อเก็บอุปกรณ์การสอนและหนังสือ ลงกระเป๋าหนัง

“ ทั้งหมดตรง…เคารพ ”
เสียงสั่งการของ นักเรียนหญิง ซึ่งเป็นหัวหน้าห้องดังขึ้นพร้อมกับที่นักเรียนทั้งห้องลุกจากโต๊ะและ
ก้มลงทำความเคารพ

“ ขอบคุณ ครับ/ค่ะ ”
สิ้นเสียง นักเรียนทั้งห้องก็พากันเก็บของ ออกจากลิ้นชักโต๊ะ ลงกระเป๋าสะพาย และทยอยกันออกจากห้อง
ไป โดยยังมีบางส่วนนั่งสนทนากันอยู่ในห้องบ้าง

“ เรารีบกลับกันเถอะ เฟนท์  ”
เรกกะ กล่าวขึ้นขณะที่เดินมาหา เฟนท์ ที่โต๊ะ ซึ่งกำลังเก็บหนังสือและสมุดลงกระเป๋า

“ เรกกะ วันนี้ นายไปก่อนเถอะ พี่ ซาน (San) กับชั้น มีธุระต้องไปทำน่ะ ”
เฟนท์ ตอบ พร้อมกับสะพายเป้ขึ้นหลัง

“ อะไรกันนายก็ด้วยเหรอ วันนี้ เจ้า ไรด์(Ryad) เองก็บอกว่าติดธุระเหมือนกัน ว่าจะไปซื้อ ฟิคเกอร์
ไพทอน(Python Figure) กับการ์ด Rat Dragoranger ชุดใหม่ที่พึ่งวางขายวันนี้ด้วยกันซะหน่อย เฮ้อ เอาเถอะ
ไปคนเดียวก็ได้ พรุ่งนี้เจอกันนะ  ”
เรกกะ บ่น อุบอิบ อย่างไม่สบอารมณ์ ที่เพื่อนๆของเขาพากันติดธุระหมด จนเขาต้องไปซื้อของคนเดียว



“ อ..อื้อ ไว้วันหลังชั้นจะชวน ไรด์ ไปด้วยละกันนะ ”
เฟนท์ กล่าว ขณะที่ เรกกะ เดินออกไปหลังจากโบกมือลา
ก่อนที่เขาจะเดินเลี้ยวออกไปอีกทาง ขณะที่เดินเหม่อลอยไปนั้น เขาก็ไปชนเข้ากับนักเรียน คนหนึ่ง

“ หวา..ข..ขอโทษด้วย ผมไม่ทันระวังเอง ขอโทษด้วย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ”
เฟนท์ กล่าวขณะที่ โค้งขอโทษขอโพย ปะหลกๆ

“ หาเฮ้ยแกมัน ไอ้ครึ่งสมิงขี้แหย ห้อง A นี่หว่าเฮ้ยเอาไงพวกเรา ตื้บมันเลยมะ มันมาชนข้าอ่ะ ”
นักเรียนที่ เฟนท์ เผลอไปชนเข้านั้น ตัวใหญ่กว่าเขา นัก นอกจากนี้ยังมี เพื่อนกลุ่มนักเรียนเกเร ล้อมกรอบ
เขาอยู่อีกหลายคน

“ เอาซี้ ลูกพี่กำลังคันไม้คันมือ อยู่เลย ”
เด็กเกเร คนหนึ่งในกลุ่มกล่าว ขึ้นขณะหักนิ้ว ตัวเองไปมา

“ นี่หยุดเดี๋ยวนี้นะ พวกเธอน่ะ ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับทันทีที่ พวกเด็กเกเร หันไปมองเจ้าของเสียง ต่างก็พากันหน้าซีด

“ แว้ก ยัยกรรมการคุมความประพฤติจอมเฮี้ยบนี่ หนีเร็ว ”
สิ้นคำของ หัวโจก ทั้งกลุ่มก็เผ่นแนบไปในทันที

“ เฟนท์ ไม่เป็นไรนะ ฮึ่มเด็กพวกนี้ เรียนก็ไม่เรียน ยังทำตัวเป็นอันธพาลอีกนะ ”
เจ้าของเสียง ซึ่งเป็น ครึ่งสมิงแมวป่าผมสีทอง บ่นอย่างหัวเสีย ไล่หลังกลุ่มเด็กเกเร พวกนั้นไป

“ พี่ ซาน คร้าบ..ผม…ผม..ซิก..ซิก..แง~~~ ”
สิ้นคำพูดที่แสนจะสะอื้น น้ำตาก็ไหลอาบแก้มของ เด็กหนุ่มจน พี่สาวต้องโอบกอดเพื่อปลอบใจน้องชายของตน

“ โอ๋ๆๆ..ขวัญเอ๋ยขวัญมาน้า…อย่าร้องตรงนี้สิจ้ะ เฟนท์  พี่อยู่นี่แล้ว โอ๋ๆๆ ”
ซาน ต้องปลอบอยู่นาน กว่า เฟนท์จะยอมหยุดร้อง

ปิ๊บๆๆ
เสียงหนึ่งดังขึ้นจาก กระเป๋าเสื้อของ เธอ ก่อนที่เธอจะคว้ามันขึ้นมา สิ่งที่ส่งเสียงนั้นเป็น อุปกรณ์
คล้ายกล่องยาวขนาดเล็ก ซึ่งมีปุ่มสั่งการ เหมือนกับเป็นเครื่องควบคุม ที่ตรงกลางกล่องมีจอแก้ว
ซึ่งแสดงค่าต่างๆ เอาไว้ เธอกดปุ่มหนึ่งเพื่อให้เสียงหยุด ก่อนที่ หน้าจอจะฉายภาพขึ้นมา มันเป็นข้อความ
ที่ส่งมาจากที่ไหนซักแห่ง

“ การรัฐประหาร ที่ ดิสอาปจูร่ากับสงคราม ศาสนาที่ สหราชอาณาจักร ซีรา แห่งเลาดิเชีย เหรอ  ”
ซาน เอ่ยขึ้น หลังจากที่อ่านข้อความจากเครื่องนั้น

“ เฟนท์ หยุดร้องเถอะ มีภารกิจเข้ามาแล้ว ”
เธอกล่าวกับน้องชาย ซึ่งทันทีที่ ได้ยินคำพูดของเธอ เขาก็หยุดสะอื้นทันที ก่อนจะเอาแขนเสื้อปาดคราบน้ำตา
สายตาหลังจากที่ปาดคราบน้ำตาไปนั้นเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ดูมุ่งมั่งและเข้มแข็งกว่าปกติ

“ งั้นเรารีบไปกันครับพี่ ”
สิ้นคำของ เฟนท์ ทั้งสอง ก็ออกวิ่งไปตามทางเดินในอาคารเรียน


…………………..
……………………….
………………………….

สูงจากพื้นโลกจนถึงชั้นบรรยากาศ เหนือ ทวีป ดิสอาปจูร่า  เรือบินสีขาวลำใหญ่ กำลังว่ายอยู่
ท้องนภาซึ่งมีความกดอากาศต่ำ ตัวยานมีสีขาว หัวเรือมีรูปปั้นเทวทูต ประดับ และหางเสือเรือ มีรูปร่างเป็นปีกมีถึงสี่หางเสือ
เรือบินลำนี้ คือ Sky Cruiser ที่ได้รับการดัดแปลงให้ปล่อย ละออง อนุภาคสีเขียว
อันแปลกประหลาดซึ่งมีผลช่วยห่อหุ้มมันเอาไว้ไม่ให้ตกลงไป   



“ การชาร์จ ประจุ อิอ้อน(Ion) เสร็จสมบรูณ์แล้วค่ะ   ”
เสียงของพนักงานสาวซึ่งคุมเครื่องควบคุม ยานอยู่ภายในห้องควบคุม ที่กว้างพอจะจุ คนได้เป็นสิบ
นอกจาก แผงควบคุมที่อยู่ที่กับ กระจกหน้าของ ยานบิน และที่ข้างผนังห้องยังมี แผงควบคุมซึ่งตั้งแยกเอา

ไว้พร้อมกับเก้าอี้มีพนัก อีกฝั่งละสองตัว ภายในห้องนอกจากพนักงานสาวผมสีเขียวสด ในชุดเครื่องแบบ เสื้อเชิ้ตสีขาวมีกระดุมและกระโปรงสั้น สีน้ำเงิน ที่นั่งจิ้มแป้นควบคุม อยู่ด้านหน้าหนึ่งคนแล้วก็ยังมี พนักงานชายอีกสองคน


ซึ่งสวมเสื้อยืดสีขาวแขนเสื้อยาวสีเทา และคลุมทับด้วยเสื้อกั๊ก สีฟ้าอีกชั้น กางเกงยีนสีน้ำเงินอ่อน คนหนึ่งมีผมสีดำคุมแผงวงจร ด้านข้างฝั่งซ้าย ส่วนอีกคนผมสี บลอนด์ คุมแผงอยู่ข้างๆกับ พนักงานหญิง และที่กลางห้องมีเก้าอี้สำหรับผู้บัญชาการตั้งอยู่ ซึ่งผู้นั่งอยู่บนนั้นเป็น หญิงสาววัยแรกรุ่น ที่อายุมากกว่า พนักงานทุกคนในห้องเพียง
สองสามปีเท่านั้น เธอสวมเครื่องแบบ เช่นเดียวกับพนักงานหญิงทุกคน


“ แล้วทาง Valkyrier  ”
หญิงผู้บัญชาการ กล่าวถาม

“ เตรียมพร้อมอยู่ที่ ห้องส่งตัวแล้วครับ ”
พนักงานชาย ที่คุมแผงอยู่ข้าง พนักงานหญิงกล่าวตอบ

“ ดีล่ะถ้างั้นก็เริ่ม ภารกิจ แรกของเรากันเลย ”
ผู้บัญชาการหญิง กล่าวน้ำเสียงรื่นเริง

……………….
………………….

ทวีป ดิสอาปจูร่า

“ เราจะไม่ยอม ให้รัฐบาลกดขี่อีกต่อไปแล้ว พวกเราจงจับปืนลุกขึ้นสู้ล้มล้างพวกโกงกินซะ ”
เสียงกู่ร้อง ของบรรดาประชาชน ที่เข้าต่อกรกับ ทหารของรัฐบาล ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ปะปนไปกับ เสียงปืน ขณะที่ การโค่นล้มได้รุดคืบหน้าไปนั้นเอง

ก็มีเพลิงบรรลัยกรร พุ่งเข้าหาฝูงผู้ทำการปฏิวัติ จนถูกไฟคลอกตายไปเสียส่วนหนึ่ง
พร้อมกับ เสียงคำรามอันกึกก้อง ที่ดังขึ้นมา ร่างสีแดงฉานซึ่งปล่อยไอร้อนระอุ ออกมาจากร่าง
มันมี 6 กรงเล็บ และร่างกายมหึมา มังกรหกกรงเล็บพิฆาต เฟอร์มาโคร(Fermacro, The Six Claws Dragon)
กว่า 10 ตัว ซึ่งมีทหารระดับแม่ทัพมังกร(Dragoon General) ซึ่งสวมเครื่องเกราะที่ประกอบด้วย
เสื้อเกราะ มารูค (Malooke, the Armour of Dragoon)โล่ เทอมารูค (Turmalooke, the Shield of Dragoon) และดาบ ฟอลควารูค (Falqualooke, the Sword of Dragoon) ทุกนาย จะควบคุม เฟอร์มาโคร คนละตัว



นอกจากนั้นด้านหลัง ปราการที่เกิดจากมังกรยักษ์ทั้ง 10 ยังมี เฟอร์มาครอส จ้าวมังกร อัคคีผลาญ (Fermacross, the Flame Dragon Lord)ซึ่งเป็นรูปแบบที่พัฒนาแล้วของ เฟอร์มาโคร อีกหนึ่งตัวคอยบงการ ทัพหน้าทั้ง 10 ตัว ซึ่งผู้ควบคุมมันนั้น เป็นผู้นำของ
กองทัพมังกรเพลิง อันทรง อานุภาพ  แห่งอาณานิคม ดิสอาปจูร่า อันยิ่งใหญ่ที่ขึ้นชื่อด้านการพัฒนาและ
ฝึกฝนมังกรอัคคีที่มีพลังทำลาย รุนแรงที่สุดในบรรดามังกรสงครามทั้งปวง





“ มีคำสั่งลงมาจากเบื้องบนแล้ว ให้ย่างสดพวก กบฏ ซะ ”
สิ้นคำของผู้นำทัพ มังกรเฟอร์มาโครทั้ง 10 ก็อ้าปากพ่น เพลิง อัคคีอันร้อนแรงออกมาเพื่อหมายจะเผาร่าง
ของเหล่าผู้ปฏิวัติ ให้ม้วยสิ้น

“ Protection ”
เสียงทุ้มแหลมกังวานดังขึ้นก่อนที่ คลื่นเปลว อัคคี จะกระจายตัวกลืนกินทั้งคณะเข้าไป ผู้นำทัพมังกร
ซึ่งคุม เฟอร์มาครอส ฉีกยิ้มด้วยความลำพองในชัยชนะของตน ทว่าทันที ที่ เพลิงอัคคีดับมอดลง

พวกเขาก็ต้องตกตะลึงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อสิ่งที่เพลิงอัคคีนั้น เผาไปคือ เกราะพลังงานสีน้ำตาลดิน ขนาดใหญ่
ที่ถูกกางกั้นขนาบไว้ระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งผู้ที่สร้างมันขึ้น คือเด็กหนุ่ม ผมดำ ซึ่งสวมเสื้อเกราะสีดำ
ที่มือสวมสนับเหล็กซึ่งมี พลอยประดับสีฟ้าใสราวกับน้ำทะเลฝังอยู่ทั้งสองข้าง 
ซึ่งเกราะพลังงานนั้น ถูกสร้างออกมาจาก พลอยเหล่านั้นน่ะเอง



Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #5 on: February 09, 2009, 06:14:03 PM »

“ ที่เหลือพี่จัดการต่อเอง ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับที่ เด็กสาวผมสีทองอีกคนตกลงมาจากฟ้า ก่อนจะลงมายืนข้างๆเด็กหนุ่ม
ในมือของเธอ มีปืนพกกระบอกสีเทาตัดดำ สองกระบอก เธอสวมชุดซึ่งประกอบด้วยชุดเกราะเพียงบางส่วน
ที่เหลือเป็นเพียงชุด วันพีช สีชมพู ธรรมดาๆเท่านั้น เธอหันปากกระบอกไปยังฝูง มังกร
ในขณะที่ เหล่าแม่ทัพมังกรต่างพากัน หัวเราะด้วยความขบขัน

“ ฮ่าๆๆๆ นี่สาวน้อย เธอคิดจะใช้ไอ้นั่นมาสู้กับ ทัพมังกรอันเกรียงไกรของเราน่ะรึ กลับบ้านไปซะไป๊ ”
“ เป็นเด็กเป็นเล็ก อาวุธไม่ใช่ของเล่นซักหน่อย ฮ่าๆๆ ”

เสียงดูถูกเหยียดหยาม ดังขึ้นไม่หยุด ขณะที่เหล่าแม่ทัพมังกรต่างปักใจเชื่อว่า ชุดเกราะเกล็ดมังกรที่
เป็นเครื่องแบบของตน ไม่มีทางถูกกระสุนปืนธรรมดาเจาะเอาได้ง่ายๆ และมังกรของตนคงจะขยี้หนูน้อย
อย่างเธอได้สบายๆ ทว่า

“ Seraphic Pestol ”
เสียงทุ้มแหลงกังวานขึ้นจากตัวปืนของเธอก่อนที่ จะเกิดมวลแสงล่องลอยขึ้นในอากาศรอบๆตัวเธอนับ ร้อยลูก
และทันทีที่ เธอเหนี่ยวไก มวลแสงเหล่านั้นกลับกลายเป็นกระสุนแสงสีเขียว พุ่งตรงไป ด้วยที่เหล่า

ทัพมังกรนั้นประมาท ในความสามารถของเธอจึงไม่ทัน จะระวัง กระสุนแสง ทั้งร้อยที่ถูกยิงออกมาราวกับพายุ
ได้กวาดล้างทั้ง มังกรและทหารจนราบ พนาสูญ ในพริบตา ทิ้งไว้เพียงซากความเสียหาย
ที่เกินคณานับ กว่าที่ปืนพกสองกระบอก ธรรมดาๆ จะทำได้

“ เสียใจด้วยนะ ที่ปืนของฉันมันไม่ได้ยิงลูกกระสุน แต่มันเป็นประจุ อิออน น่ะ  ”
เธอกล่าวเสียงเฉียบขณะที่ลดปืนลง

“ พวกเธอมาช่วยงั้นสินะ ดีล่ะงั้นพวกเราตรงไปยึดทำเนียบเลย ”
ผู้นำฝ่ายปฏิวัติ กล่าวน้ำเสียงฮึกเหิม ทว่าก่อนที่จะได้ทัน เคลื่อนเท้าออกไป กระสุนแสงก็พุ่งระเบิดพื้นตรง
หน้าพวกเขาเสียจนเกิดเป็นหลุม ขนาดใหญ่ ขณะที่เหล่าผู้ปฏิวัติทั้งคณะ ต้องล้มเข่าอ่อนด้วยความหวาดกลัว

“ พวกเราไม่ได้มาช่วยฝ่ายไหนทั้งนั้น แต่เรามาเพื่อขจัดความขัดแย้ง จงสั่งให้หยุดการปฏิวัติ และ
การใช้ความรุนแรงซะ หากฝ่ายไหนทำกระทำการรุนแรงก่อนเราจะไม่ปล่อยไว้ ”
เด็กสาว กล่าวเสียงเฉียบ ก่อนที่ ผู้นำคณะปฏิวัติ จะทันสังเกตว่า ทั้งสองมีหูและหางเยี่ยง สัตว์ป่า
โดยคนน้อง เป็นหมาป่า ส่วนคนพี่ เป็นแมวป่า

“ พ…พวกเธอเป็นใครกัน ”
ผู้นำคณะปฏิวัติกล่าวถาม น้ำเสียงตะกุกตะกักอย่างหวั่นๆ
ขณะที่สองพี่น้อง เดินหันหลังจากไป

“ พวกเราคือ Valkyrier นักรบเทวทูต แห่ง Empyrean Adjust(ผู้แทนจากฟากฟ้า) สังกัดทีม Celestial Saber(คมดาบเบื้องฟ้าสูง) ”
สองพี่น้องตอบขึ้นพร้อมกัน ขณะที่เดินหายลับเข้าไป ในหมอกควันที่เกิดจากแรงระเบิด ที่ซัดลงพื้นเมื่อครู่

“ Empyrean Adjust งั้นเหรอ…. ”
เสียงสุดท้ายที่หลุดลอยออกมาของผู้นำคณะปฏิวัติดังไล่หลังไป ก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็ว

…………….

ขณะเดียวกัน ที่ สหราชอาณาจักร ซีรา  ซึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้ารกร้าง ในทวีป เลาดิเชีย
สหราชอาณาจักร ซีรา แห่งนี้ ปกครองอยู่ในระบอบ ศาสนจักร ทว่าเมื่อกว่าร้อยปี ที่แล้ว ได้เกิดเหตุพิพาท จนเกิดการ
แบ่งแยกทางศาสนา ขึ้นเป็นสองฝ่ายและสงครามศาสนา ก็เริ่มขึ้นผู้คนถูกหลอกให้เชื่อในคำสอนที่ผิด และเข้าต่อสู้กัน

ด้วยแรง ศรัทธา ที่มีอย่างล้นเหลือ จึงนำมาซึ่งการนองเลือด อย่างเหี้ยมโหดที่สุดเพราะต่างก็เชื่ออย่างมุ่งมั่นว่า
สิ่งที่ตนทำนั้นถูกแล้ว ควรแล้ว

“ จงสละชีวิต เพื่อพระองค์แล้วจะได้ไปยังสวรรค์ ”
“ จงเป็นแรงพลังแก่พระองค์เพื่อโค่นล้างพวกคนบาปให้สิ้นไป ”
“ เราจะสละชีพเพื่อพระองค์ จะใช้ค้อนเหล็กแห่งแห่งคุณธรรมพิพากษาพวกนอกรีต ”

ด้วยคำสอนจอมปลอม ที่ยั่วยุให้มนุษย์ทำร้ายกันเอง นั้นสงครามจึงดำเนินมาอย่างช้านาน
อยู่หลายปีโดยที่ไม่มีฝ่ายใดยอมซึ่งกันและกัน แม้แต่ เด็กๆเองก็ยังต้องจับอาวุธขึ้นสู้รบเยี่ยงทหารทั่วไป

ต้องสละตนสังเวยเป็นระเบิดพลีชีพเพื่อสังหารศัตรู ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยความสมัครใจของเหล่าเด็กๆที่ถูกหลอก
ใช้ด้วยคำพูดอันสวยหรูของพวกผู้หวังผลประโยชน์ในสงคราม และอำนาจทางการเมือง ทำให้ประชาชนตาดำๆ
ต้องตกเป็นเครื่องมือ เพื่อประโยชน์ส่วนตนของพวกนักการเมือง ที่เห็นแก่ได้

เด็กชายทุกคนเมื่ออยู่ในวัยเรียนรู้ก็จะถูกสอนให้ยึดมั่นในคำสอน และจากนั้นเมื่อพร้อมจะต่อสู้ก็จะถูกฝึกให้เป็นทหาร ซึ่งกองทัพหลักของทั้งสองฝ่ายนั้น แม้แต่เด็กอายุเพียง 10 ปีก็ต้องจับอาวุธขึ้นสู้ อย่างไม่กลัวตายแล้ว

ท่ามกลางการปะทะยังคงมีอย่างต่อเนื่องนั้น โดยบังคับบัญชาของนายทหารชั้นสูง
ที่จะคอยเคี่ยวเข็ญ ให้เหล่านักรบเยาวชน เหล่านี้ ออกไปสู้รบ

“ จงรุกไปข้างหน้าทวงเอาแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ที่พระองค์มอบให้แก่เราคืนมา ”
“ จงทำลายพวกคนบาปเหล่านั้นให้สิ้น ”
เสียงประกาศที่ดังกึกก้องในสนามรบเพื่อปลุกใจเหล่าทหารเยาวชน
ให้สู้อย่างไม่กลัวตายดังอยู่เนืองๆตลอดเวลา

“ Reflexion ”
เสียงทุ้มแหลมกังวานดังขึ้นที่กลางสนามรบก่อนที่จะเกิดกำแพงใสปรากฏขึ้นขั้นกลางสนามรบ
กระสุนและอาวุธที่ทั้งสองฝ่ายยิงเข้าใส่กัน นั้นเมื่อกระทบกับกำแพงก็สะท้อนกลับไปหาฝ่ายตนเอง
ทั้งหมด ทั้งสองฝ่ายต่างหยุดยิง กันเพื่อไม่ให้ทำร้ายกันเอง ท่ามกลางฝุ่น ควันที่ฝุ้งกระจาย นั้นเงาของเด็กหนุ่มสองคน ซึ่ง นั่งอยู่บนกำแพงใส นั้นได้ปรากฏขึ้นต่อสายตาของทุกคน

“ เรียกหา พระเจ้าอยู่ใช่ไหม พวกเรานี่แหล่ะ ผู้แทนจากพระองค์ พวกเรานำสารจากพระองค์มามอบแก่พวกเจ้าแล้ว
ในฐานะ Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust สังกัดแห่งทีม Celestial Saber และสารจากพระองค์คือจง
หยุดสู้รบกันซะมิฉะนั้น เราจะลงทัณฑ์  พวกเจ้าในนามของพระองค์  ”

เสียงนั้นดังกึกก้อง ไปทั่วเหล่านักรบเยาวชน ต่างพากันทิ้งอาวุธ ลงด้วยเชื่อว่าพวกเขาคือ เทวทูต จากสวรรค์ จริงๆ
จากการได้เห็นถึงอำนาจที่ถูกสำแดงออกมาของพวกเขาทั้งสอง

“ อ..อะไรกันอย่าไปเชื่อที่พวกมันพูด นี่เป็นกล ลวงของพวกคนบาป ”
นายทหารที่ คอยบงการทัพนักรบเยาวชน ของทั้งสองฝ่ายกล่าวขึ้นก่อนจะต้องชะงักไป
เมื่อ มีบุคคลสองคน ถูกโยนลงมายังฝั่งของแต่ละฝ่าย ซึ่งบุคคลเหล่านั้น สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ทั้ง
สนามรบเป็นอันมาก

“ ท..ท่านมหาสังฆราช ซาเอล ที่14 แห่งจักรวรรดิ ลาเดีย ”
“ แล้วก็ท่าน มหาสังฆราช มาเวล ที่13 แห่งจักรวรรดิ มาอิล ”
เสียงของ ทหารแต่ละฝ่ายต่างเรียกชื่อผู้ปกครองจักรวรรดิ ของตนด้วยความตกตะลึงเมื่อ
ผู้ปกครองจักรวรรดิ ของตน ได้มาอยู่กลางสนามรบ

“ เอ้าจะยิงก็ยิงมาเลย แต่สองคนนี้โดนลูกหลงไปด้วยสงครามก็จบอยู่ดี เอ้าไงพวกเจ้าทั้งสองคนจะให้พวกเราเจี๋ยนเอง หรือจะพวกตัวเองเจี๋ยนเอา ”
เสียงของนักรบแห่ง Empyrean Adjust ดังขึ้นโดยที่ฝุ่นควันที่คละคลุ้งนั้นยังคงปกปิดร่างของพวกเขาไว้

“ หรืออีกทางหนึ่ง สงบศึกซะ ศาสนาจอมปลอมของพวกแกน่ะ ไม่มีใครที่ไหนใน เทอร่า ยอมรับหรอก…. ”

………………………
……………………………..

“ แผนต่อไปกระจายแถลงการณ์ของเราออกไปให้สาธารณะชนรับรู้ ”
ผู้บัญชาการสาวสั่งลูกเรือทั้งหมดที่อยู่ในห้องควบคุมของ Sky Cruiser

“ รับทราบ ”
เสียงตอบรับคำสั่งจากลูกเรือทั้งหมดดังขึ้น ก่อนแผนการขั้นถัดไปจะเริ่ม

………………..
………………………..

ตลาดท่าเรือ บาร์ซิงเซย์ (Barsingsei)  ประเทศ โลกอส

ตลาดร้านค้า ซึ่งตั้งอยู่บนสะพานไม้ ที่ต่อทอดยาวออกไปในอ่าว ซึ่งนี่เป็นเมืองท่า ที่มีเรือสินค้า
มาเทียบมากมายที่สุดในเขต ทวีป อาริมาเทีย ซึ่งแต่เดิมโลกอส เป็นประเทศที่ไม่มีพื้นที่ติดกับทะเล
หากแต่ชายฝั่งทะเลนั้น อยู่ไกลออกจากชายแดนไปเล็กน้อย ด้วยพระปรีชาของ องค์หญิง มาเรียลูส

ที่ทรงให้ทำการขุดคลองกว้าง ต่อไปยังอ่าวทะเล จากนั้นทรงพัฒนา ต่อให้กลายเป็น เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดใน อาริมาเทีย
เนื่องจากอาณาเขต ไม่ติดทะเลเกินไปจนยากแก่การขยายพื้นที่ ซึ่งระยะเวลาในการดำเนิน พระราชกรณีกิจ ของ

พระองค์นั้นใช้เวลาเพียงช่วงสั้นๆก็สัมฤทธิ์ผล ได้เพราะเมื่อครั้งที่พระองค์ เสด็จมายัง ประเทศนี้ พระองค์ทรงเป็นผู้นำความหวังมาให้แก่ ประเทศ ที่ยากไร้ ซึ่งมีเพียง พื้นดิน ที่รกร้าง และมังกรร้ายอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ส่วนมากจะเป็น เชลยศึกที่หนีจากสงคราม มา เมื่อครั้งเสด็จมาเยือนเป็นครั้งแรก พระองค์ก็ได้ทรงวางแผน พัฒนาให้ประเทศนี้ เป็นที่ตั้งถิ่นฐานแก่ผู้ลี้ภัยสงคราม ซึ่งจากอุดมการณ์นี้ของพระองค์เอง ทำให้ผู้อพยพลี้ภัย

มานั้น ยอมให้ความช่วยเหลือแก่พระองค์ เนื่องด้วย อาริมาเทีย นั้นเป็นทวีป ที่มีการศึกษาวิจัย ทางมังกรศาสตร์
เป็นอันดับต้นของโลกอยู่แล้ว อีกทั้งในบรรดาผู้ลี้ภัย ยังมีส่วนมากเคยเป็น พลนักรบมังกร ซึ่งส่วนใหญ่มาจากทวีป


เมอริเซีย ซึ่งมีวิธีการกำราบและสยบ มังกรร้ายให้อยู่ใต้บัญชา ได้อย่างหลากหลายเพราะเมอริเซีย ต้องเผชิญกับสงครามมาแทบนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งผสานเข้ากับวิทยาการของ อาริมาเทีย จึงทำให้การ ควบคุมเหล่ามังกรร้าย เพื่อมา

ช่วยงาน พัฒนา ประเทศ เป็นไปได้อย่างง่ายดาย การขุดลอกคลองเพื่อสร้างท่าเรือนั้น จึงมีกำลังอันมหาศาลของ มังกรเข้าช่วย ทำให้งานเสร็จได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการนำมังกรไปเป็นแรงงานในการพัฒนา ประเทศ จนในที่สุด โลกอส กลายเป็น ประเทศที่ มนุษย์ กับ มังกร จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันจากประเทศ ทุรกันดาร กลับถูกดลบัลดาลให้กลายเป็น

ประเทศที่มีวิทยาการ ล้ำหน้าที่สุดไปเลยทีเดียว ทำให้เสียงตอบรับของ เหล่าประชาชนที่มีต่อ องค์หญิง มาเรียลูส
นั้นยิ่งทวีมากขึ้น

และจากการที่เป็นเมืองท่าที่ยิ่งใหญ่ ทำให้มีสินค้ามากมายจากทุกนานา ประเทศมาลงที่นี่
 จนกลายเป็นศูนย์กลางการค้าไปในที่สุด

บรรดาร้านค้า ที่ตั้งแผงลอยไว้บน สะพานนั้น มีมากมาย เสียจนแทบจะพูดได้เลยว่า นี่คือตลาดการค้า
ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเช่นกัน

“ เฮ้อ อุตส่าห์ ถ่อมาจนถึง บาร์ซิงเซย์ แท้ๆ แต่ดันหมดไปก่อนซะได้นี่ ฟิคเกอร์ไพทอน กับการ์ด Rat Dragoranger ที่วางขายชุดแรก ที่ซื้อครบชุดจะมีแถม อัลตร้าแรร์ สุดหายากที่ผลิต ออกมาแค่ 1000 ใบแท้ๆ   ”
เรกกะ บ่นอย่างเซ็งๆที่ ตนมาซื้อของเล่นสะสมไม่ทัน นั่งหน้าบูดอยู่บนม้านั่ง ในสวนสาธารณะที่

อยู่ ห่างจาก ท่าเรือไม่มากนัก ด้านหลังเขานั้น มีอาคารบ้านเรือน ซึ่งล้วนแต่เป็นสถานที่ประกอบกิจการการค้า
แทบทั้งสิ้น  ซึ่งอาคารที่อยู่ถัดจากสวนสาธารณะนั้น มีจอ ภาพขนาดใหญ่ ตั้งเอาไว้ บนอาคาร เพื่อโฆษณาสินค้า
ต่างๆ


“ สวัสดีเหล่ามวลมนุษย์ในเทอร่า ทุกท่าน…. ”
เสียงที่ดังกึกก้องขึ้นจากทุกๆแห่งใน บริเวณนั้น เสียงทั้งหมดดังขึ้นจาก เครื่องรับสัญญาณภาพและเสียง ที่มีไว้เพื่อรับชมความบันเทิง ซึ่งมีตั้งอยู่เกือบจะทุกร้านค้า และกระทั่ง จอโฆษณาขนาดใหญ่ของอาคาร ที่อยู่ด้านหลัง เรกกะ

เองก็เช่นกัน ทุกจอภาพ ฉายภาพเดียวกันและส่งเสียงเดียวกันออกอากาศไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ไม่ใช่แค่ใน
เขตของเมืองเท่านั้นแต่ บัดนี้ทั่วโลกกำลัง ออกอากาศแถลงการณ์นี้
 
“ กระผมคือ อดีตผู้ปกครองอาณาจักรซาโลม แห่งเมอริเซีย ที่ล่มสลายไปเมื่อนานมาแล้ว….. ”
เสียงกล่าวสุนทรพจน์ ของชายผมหยิกหยักศกสีน้ำตาล เขาสวมอาภรณ์สีขาวแต่งตัวคล้ายกับนักบวช
แน่นอน สำหรับชาวเมอริเซีย ที่มีบรรพบุรุษเป็น ชาวซาโลม คงจะจำเขาได้เป็นแน่ เขาคือ กษัตริย์แห่งจักรวรรดิเพลิง
อิสฮาน นั่นเอง

“ บัดนี้ทุกๆท่านคงได้ประจักษ์กับสิ่งที่ เกิดขึ้นไปแล้ว สงครามที่ทำให้ประเทศแผ่นดินเกิดของ กระผม
และชาวเมอริเซีย ต้องล่มสลายและย่อยยับไป นั้น จนถึงบัดนี้ พวกท่านก็ยังเมินเฉย ต่อผลที่จะเกิดขึ้นจากการ
ทำสงคราม ยังคงสร้างความขัดแย้งไปเรื่อย ด้วยเหตุนี้กระผมจึงก่อตั้งองค์กรติดอาวุธ เอกชนขึ้นมา
อุดมการณ์ของพวกเรามีเพียงหนึ่งเดียว………..  ”

เสียงกล่าวสุนทรพจน์  ที่ดังกึกก้องขึ้นทั่ว ทั้ง เทอร่า เพื่อที่จะให้มวลมนุษย์ทั้งหมด
ได้รับรู้ ถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง

“ พวกเราคือผู้นำสารแห่งสวรรค์มาสู่ ผืนพิภพ Empyrean Adjust และจากนี้ไปพวกเราจะเข้าทำการแทรกแซงความขัดแย้งทั้งหมดใน เทอร่า นี้ และสงบมันลงด้วยกำลังอาวุธของ เหล่า Valkyrier ทั้ง 12 พวกเราจะพิพากษา
 เทอร่า นี้ในนามของพระผู้เป็นเจ้า…. ”
สิ้นเสียง นั้นการออกอากาศทั้งหมดก็ได้หยุดลงและกลับคืนสู่สภาวะปกติ รายการบันเทิง ข่าวสาร สาระ
ที่ถูกแทรกแซงไปได้กลับมาออกอากาศเช่นเดิม

“ ขจัดสงครามด้วยสงครามงั้นเหรอ…. ”
เรกกะ เปรยขึ้น สายตายังคงจดจ่อ อยู่ที่จอภาพ ซึ่งการแถลงการณ์ณ์ได้ยุติไปแล้ว ทว่าเสียง
นั้นยังคงก้องอยู่ในหัวของเขา

………………….
………………………….

หลังจากการ แถลงการณ์ของ Empyrean Adjust  ที่ราวกับจะเป็นคำเตือนก่อนเวลาแห่งการสิ้นสุดจะมาถึง
ได้สร้างความตื่นตระหนกขึ้นทั่วทั้ง เทอร่า สำนักข่าวต่างๆทั่ว เทอร่า ต้องทำงานกันเป็นประวิง
หลังจากที่ ข่าวการแทรกแซงของ เหล่า Valkyrier ได้ถูกออกอากาศ และรับทราบกันอย่างทั่วถึง
ในเวลาต่อมา


“ ว่ายังไงนะพึ่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ไปได้แค่ สามชั่วโมง ทาง ดิสอาปจูร่า สั่งยกเลิกแล้วงั้นเรอะ  ”
“ สงครามความขัดแย้งทางศาสนา ที่สหราชอาณาจักร ซีรา แห่งทวีป เลาดิเชีย ตอนนี้ประกาศสงบศึกกันแล้วครับ ”
“ เห็นว่ากองทัพอันเกรียงไกร ถูกโค่นล้มด้วยนักรบของพวกที่อ้างว่าเป็น Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust  แค่สี่คนเข้าล้มล้างทั้งกองทัพในเวลาไม่ถึงสามสิบนาทีครับ ”
“ นี่พวกมันคิดจะขจัดความขัดแย้งทั้งโลกจริงๆอย่างนั้นน่ะเหรอ Empyrean Adjust ”

เสียงโหวกเหวก โวยวายของ บรรดาสื่อทั้งหลายที่ดังอึกทึกไปทั่วนั้น คือเครื่องยืนยันอย่างดี ว่าบัดนี้ โลกได้เปลี่ยไปแล้ว
……………
………………….

“ หลังจากสงครามใน เมอริเซีย ยุติลง ตราทั้ง 7 ก็ถูกแกะออกเรื่อยมา จนถึงตราที่ 6 แล้ว ”
เสียงหนึ่ง ดังขึ้นภายในห้องซึ่งเต็มไปด้วยจอภาพ ที่ฉายความสับสนอลหม่าน ทั่วทั้ง เทอร่า ไว้
ที่กลางห้อง มีเด็กหนุ่มกับ เด็กสาว ยืนมองความสับสนอลหม่านเหล่านั้น ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจากจอภาพเหล่านั้นให้ความสว่าง


“ ค่ะ เริ่มจากตราที่ 1 สงครามในเมอริเซีย ยุติลง ปรากฏม้าสีขาว ผู้ขี่มันถือธนูและได้รับ มงกุฎ เขาขี่ม้าออกไปด้วยท่าทางแห่งชัยชนะ เมอริเซีย ยุติสงคราม ชัยชนะของเหล่ามวลมนุษย์ที่สามารถลามือจากสงครามได้  ”
เด็กสาวกล่าวตอบ ทันทีที่เธอกล่าวจบเด็กชายก็ยื่นมือ ออกไป ในมือของเด็กชายมีเหรียญอยู่ 7 เหรียญ เขาทิ้งมันลงไปหนึ่งเหรียญ



“ จากนั้นตราที่ 2 ก็ถูกแกะออก แล้วม้าสีแดงสดกับผู้ขี่ ก็นำสันติออกจาก แผ่นดินเขาได้รับดาบใหญ่เล่มหนึ่ง ”
เด็กชายกล่าว  ด้วยน้ำเสียงระรื่น ก่อนจะทิ้งเหรียญลงไปอีกหนึ่งเหรียญ



“ สันติสูญสิ้น ทั้ง เทอร่า ทำสงครามกัน อย่างยิ่งใหญ่ เท่ากับความยิ่งใหญ่ของดาบที่ เขาได้รับ จากนั้นตราที่ 3 ก็ถูกแกะออก มีม้าสีดำออกมา พร้อมกับความวิบัติทางเศรษฐกิจ ข้าวสารีทะนานละ 1 เดนาริอัน ข้าวบาร์ลี ทะนาน ต่อ 1 เดนาริอัน แต่น้ำมัน และน้ำองุ่น ไม่ได้รับผลกระทบ ”
หลังจากสิ้นคำของเด็กสาว เด็กชายก็กล่าวต่อท้ายให้ในทันที



“ ข้าวยากหมากแพงเกิดจากสงคราม แต่สิ่งที่ชโลม ใจเหล่ามนุษย์ให้มุ่งมั่นทำสงครามต่อไปคือ บาป อันเป็นนิรัน
น้ำมัน คือเชื้อไฟแห่งสงคราม และน้ำองุ่น คือบาปที่มนุษย์ไม่อาจละทิ้ง ”
สิ้นคำของเด็กชาย เหรียญที่ สามก็ถูกทิ้งลงจากมือ

“ แล้วตราที่ 4 ก็ถูกแกะออก ม้าสีเขียวแกมเหลืองออกมาผู้ขี่มัน มีชื่อว่าความตายและนำแดนคนตายติดตามมาด้วย
เทอร่า 1 ใน 4 ถูกทำลายด้วยความอดอยากและโรคระบาด สัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน ค่ะ ”
เด็กสาวต่อคำในทันทีที่เหรียญตกถึงพื้น




“ ผลจากสงคราม เมอริเซีย ต้องย่อย ยับและสิ้นสลาย เทอร่าสูญเสีย แผ่นดินที่ยิ่งใหญ่ไปเสีย 1 จาก 7 แต่ดินแดนอื่นก็ได้รับความเสียหาย จนบัดนี้ เทอร่า สูญเสียแล้วทั้งสิ้น 1 ใน 4 สินะ ”
สิ้นคำเด็กชาย เหรียญที่ สี่ก็ถูกทิ้งลง

“ ค่ะและตราที่ 5 ก็ถูกแกะออก คนที่ตายเพราะความศรัทธาในพระเจ้าได้รับ
การกำชับให้รอจนกว่าผู้ตายเพราะความเชื่อจะมีครบจำนวนก่อน การพิพากษา  ”
เด็กสาว รับคำต่ออย่างรวดเร็ว พร้อมกับเหรียญที่ ห้า ถูกทิ้งลงจากมือของเด็กชาย


“ สงครามยังคงดำเนินต่อไปอยู่เรื่อยมาแม้ จะทำสัญญาสงบศึกแต่ชาวเมอริเซีย ผู้บริสุทธิ์ กลับถูกลืมเลือน เพราะไม่มี
ผู้นำที่จะเข้าร่วมประชุมสัญญา การพิพากษาสิทธิธรรม แก่ชาวเมอริเซีย จึงไม่เกิด และแล้ว ตราที่ 6 พึ่งจะถูกแกะออกไป ในวันนี้  ”
สิ้นคำของเด็กชาย เหรียญ ที่หก ก็ถูกทิ้งลงไป


“ ตราที่ 6 ครั้นเมื่อแกะแล้วไซร้ เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ดวงอาทิตย์มืดดำ ลงดวงจันทร์กลายเป็นสีเลือด ดวงดาวบนฟ้าตกลงบนพื้นดิน บรรดามนุษย์ซ่อนตัว ”
เมื่อเด็กสาวกล่าวจบ เด็กชายก็ชักมือกลับ โดยเหลือเหรียญในมือไว้เพียงเหรียญ
เดียวซึ่งคือเหรียญ สุดท้ายเหรียญที่ 7

“ แผ่นดินไหวคือความสั่นสะเทือนที่ เทอร่า ได้รับจากการแทรกแซงของเรา  ดวงอาทิตย์ดำมืด อันบ่งบอกถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงได้มาถึง พระจันทร์สีเลือด หมายถึงสันติจะได้มาด้วยสงคราม ดวงดาวที่ตกลงไปคือ พวกเรา ผู้นำสารจากพระผู้เป็นเจ้า Empyrean Adjust และจากนี้ไป คือลำนา แห่งตราที่ 7 ซึ่งกำลังจะถูกแกะออกในไม่ช้า และการนั้นพวกมนุษย์ที่ สร้างสงครามก็จะพากันหัวหด ไม่กล้าก่อสงคราม หรือ ตราที่ 7 จะถูกแกะออกก่อนกัน เธอคิดว่าไงล่ะ
 ฮายาเตะ(Hayatei) ”
เด็กชายหันไปมองหน้าเด็กสาว ซึ่งสีหน้าของเธอนั้นไร้ซึ่งอารมณ์ ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิด เด็กชาย เอาเหรียญ ที่ เจ็ดขึ้นมาตั้งบน นิ้ว ก่อนจะดีดมันขึ้นไป เหรียญนั้นหมุนควงอยู่กลางอากาศ จนขึ้นไปสูงสุดก่อนจะค่อยๆร่วง
ลงมา


“ ภารกิจของพวกเรา คือการสยบสงครามและเพื่อการนั้น God Send (ของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้า) ทั้ง 12 ที่เหล่า Valkyrie เคยปกปักษ์รักษาจะต้องถูกรวบรวม เพื่อแกะตราที่ 7 ออก จากนั้นลำนำแห่งการชำระก็จะเดินหน้าต่อไป ”
เด็กสาวกล่าวจบ เหรียญก็ตกถึงพื้นพอดี ซึ่งเหรียญไม่ได้คว่ำหน้าใดไว้หากแต่ ยืนตั้ง อยู่บนพื้นโดยไม่มีที่ท่าว่า จะเอนเอียงล้มไปทางใด ราวกับจะบอกว่ายังไม่ถึงเวลาแห่งการตัดสิน 


…………………
โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga

หลังการแทรกแซงของ Empyrean Adjust โลกก็เริ่มเปลี่ยนแปลง และแล้ว อันตรายก็คืบคลานเข้ามายังประเทศ
ซึ่งห่างไกลสงคราม

“ องค์หญิง ไม่ควรจะเสด็จออกมาตามลำพังอย่างนี้นะเพคะ องค์หญิง”

“ เราบอกเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าหากออกมากันแค่เราสองคนเจ้าไม่ต้องใช้ราชาศัพท์กับเราและให้เรียกชื่อเราตามปกติก็พอ อีกอย่างหากเราออกมาโดยมีขบวนเสด็จด้วย มันจะทำให้ประชาชนแตกตื่น และเราก็จะไม่ได้เห็นความเป็นอยู่และวิถีชีวิต จริงของพวกเขาน่ะสิ เราแค่ะอยากจะรู้ว่าประชาชนของเรา อยู่ดีเป็นสุขหรือไม่โดยไม่ต้องเสแสร้งต่อหน้าเรา ”

“ แต่ตอนนี้ บ้านเมืองกำลังอยู่ในความระสับระส่ายนะ เพคะ เพราะ Empyrean Adjust ทำให้บรรดานานาประเทศตั้งข้อสงสัยมาที่ โลกอส ซึ่งมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สุดอยู่ในขณะนี้ อาจจะมีพวกที่ไม่ยอมฟังเหตุผลแล้ว ก็เข้ามาก่อการจลาจลได้ทุกเมื่อนะเพคะ ”

การแทรกแซง ของเหล่าเทวทูต นำมาซึ่งความไม่สงบ การก่อการร้าย ที่เกิดขึ้นทำให้สิ่งที่สวรรค์เตรียมการมา กว่า ศตวรรษได้เริ่มตื่นขึ้น

“ จงถ่างหูและฟังให้ดีๆ บัดนี้องค์ชายเสด็จแล้ว….  ”
อัศวิน ผู้แข็งแกร่งซึ่งจิตไม่สมประกอบหรือไร ลำนำบทถัดไปคือสิ่งใด Next Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!
…………………………………
มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง

ปิโยม่อน เปลี่ยนร่างเบิทดราม่อน ค่า
Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #6 on: February 10, 2009, 03:24:53 AM »

Quote
มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง

ปิโยะ ปิโยะ อิอิ

Quote
ปิโยม่อน เปลี่ยนร่างเบิทดราม่อน ค่า

เย้ย พี่รินคร้าบ อยู่ๆเอาต้นฉบับ เจ้านัท มันมาลงเลยเหรอ นั่นพวกผมยังไม่ได้ตรวจกรองกันเลยน้า
 อะไรหลุดออกไปบ้างเนี่ย แว้กๆๆๆ ตายๆๆ ตูลืมตัวหลุดไปแล้ว   เอ่อ 555+ คือต้อง เย้ย ปิโยม่อน
อยู่ๆเอา ต้นฉบับของเกรม่อนคุง มาลงแบบนี้เลยเหรอ ต้นฉบับน่ะยังไม่ได้ตรวจรอบสองเลยน้า ฮ่ะ
แล้วเจ้า เกรม่อนคุง ไม่ได้บอกเหยอว่าอย่าพึ่งลงง่ะ
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #7 on: February 18, 2009, 02:33:21 AM »

เย้ย ไหงนิยายเรามันมาจ่อหลาอยู่บนบอร์ดเนี่ย ยังไม่ถึงกำหนดลงนี่
มาได้ไงอ่ะ กะอีแค่หายไปติวสอบมาสองสามอาทิตย์ เผลอแพลบเดียว ล่อไป 3ตอนแล้วเรอะ
เง้อออ  อีแบบนี้ ชัว ปิโยม่อนนนน(พี่ริน)
แว้กกกกก

วันนี้เค้าไปงานเลี้ยงกันหมดนิหว่า เวรจะเฉ่งกะใครล่ะเนี่ย

เจ้าการุรุม่อนทะม้ายทะไม ไม่ดูแลให้มันดีกว่านี้
Logged


ginn
Member
*****
Offline Offline

Posts: 9


« Reply #8 on: February 22, 2009, 01:52:52 AM »

มาอัพนิยายได้แล้วโว้ยยย


จาก ผุ้ช่วยในเงามืด

Ready..... Fist on!!!!!
Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #9 on: February 22, 2009, 02:48:57 AM »

- -

มาทำไรเจ้าเทนโทม่อน

กะลังเคลียๆกะปิโยม่อนอยู่ (ในอีกความหมายคือเจ้าเกรม่อนกำลังโดน ปิโยม่อนเร่งปั่นงานอยู่  )
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #10 on: February 24, 2009, 04:36:59 PM »

Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!

กว่าหลายร้อยปีมาแล้ว นิยามแห่งอัศวินมังกรได้เริ่มขึ้นนับแต่ อัศวินมังกรคนแรกแห่งเมอริเซีย และเป็นคนแรกของเทอร่า แต่หามีใครรู้นามที่แท้จริงของเขาไม่ เขา คืออัศวินมังกร แท้คนแรกที่เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกร ในบรรดาภารกิจนับร้อย

ของเขา นั้นทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษแห่งตำนาน จนเป็นที่เรียกขานกันในนาม ทาลิวิลย่า (Thaliwilya)
ภายหลังได้เกิดคำทำนายว่า อัศวินมังกรแท้ซึ่งเป็นผู้รับใช้ ทาลิวิลย่า จะจุติลงมาโดยแบ่งตามธาตุแห่งธรรมชาติ
………….
หลังสงคราม สี่อาณาจักร(4 Kingdom)ภายในทวีปเมอริเซีย ผ่านไป 12 ปี เด็กหนุ่มแห่งตระกูลซาราเบลด
ซึ่งว่ากันว่าสืบเชื้อสายมาจาก อัศวินทาลิวิลย่า โดยนามที่แท้จริงของ ทาลิวิลย่า มีเพียง ตระกูลซาราเบลดเท่านั้น

ที่รู้ และในลูกหลานรุ่นที่ 20 เด็กหนุ่ม ผู้นี้ก็ได้ถูกตั้งชื่อตาม ชื่อจริงของ ทาลิวิลย่า เพราะเชื่อว่าเขาคือร่างอวตารของ
ทาลิวิลย่า ที่กลับมาเกิดในตระกูลเพื่อช่วยให้ เทอร่า พ้นจากภัยพิบัติ
………………
10ปี หลังจากการปรากฏตัวขึ้นของ อวตารแห่งทาลิวิลย่า ในช่วงเวลาแห่งมหาสงครามเทอร่า เขากลับหายตัวไป
และกลับมายับยั้งสถานการณ์ในตอนที่ทุกอย่างสายเกินแก้แล้ว บัดนี้ห้วงเวลาใน เมอริเซีย  ได้หยุดชะงักลง
และปิดกั้นออกจากโลกภายนอก เป็นเวลากว่า สองร้อยปีหลังจากมหาสงคราม เทอร่า
…………………..
………………………
………………………

แรท เรนจาาาาา (Rat Rangar)  แรท เรนจาาาาา  พวกเรามาเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้ ~~~~~ แรทโตะเซนไทน์~~~~(Rato Sentai) Rat Dragoranger  แต่น  แต้น ([~~ ]แปลว่าให้ลากเสียง)

“ เจ้ามังกรหมาบ้าวอลคาวี่(Walkawee, the Dragon of Madness) เวลาของแกมันหมดลงแล้ว เตรียมใจไว้เถอะ ”
น้ำเสียงฮึกเหิมและหาญกล้า ซึ่งส่งดังออกมาจากร่างของเจ้าหนูขนขาวปลอด ตัวจ้อยยืนชี้นิ้วลงมาจากเชิงผา
ใต้เชิงผานั้น มังกรดำ วอลคาวี่ มันมีเกล็ดนิลแกร่งประดุจเหล็กกล้า ปากของมันเต็มไปด้วยเขี้ยวและคราบน้ำลาย

ที่ไหลยืด ออกมาจากปากของมันเหมือนสุนัขบ้า  ด้านหลังของมันมีฝูงหนูนับร้อย ถูกกักตัวเอาไว้ พวกมันทุกตัวล้วนสั่นด้วยความกลัว เอาแต่ร้องวิงวอนขอชีวิต



“ แกเจ้า ไชน์นิ่งแรท(Shining Rat)ตัวแกนั้นยังเยาว์วัยนัก ช่างกล้าจริงที่กล่าวโอหังแบบนี้ แต่ดูถ้าแกคงจะอายุสั้นแล้วล่ะเพราะต้องมาอยู่ในท้องข้านี่ไง ย้ากกก  ”
สิ้นคำ วอลคาวี่ ก็พุ่งทะยานขึ้นไปด้วยปีกของมัน



“ บังอาจนักเจ้านั่นล่ะที่ไม่รู้ต่ำสูงเราคือองชายลำดับที่1 แห่งอาณาจักรRat Mania ไชน์ไนท์(Shin Knight) เจ้าบังอาจมากดขี่ข่มเหงประชาชนของเรา เจ้าจะต้องถูกลงโทษเดี๋ยวนี้ล่ะ….ในนามของมังกรขอพลังจงอยู่กับตัวเราด้วยเถิด ”
สิ้นคำของเจ้าหนู ก็พลันเกิดแสงสว่างเจิดจ้าส่องประกายออกมาจากร่างของมัน แสงทำให้ วอลคาวี่ ตาพร่าไปชั่วขณะ
ทันทีที่ มันลืมตาขึ้น เจ้าหนูก็ได้สวมชุดเกราะซึ่่งมีส่วนหมวกเหมือนกับหัวมังกร เกราะหลังมีปีกเหล็กยื่นออกมาและ

ประกบด้วยโล่ข้างอัน ลักษณะของปีกและโล่ที่รวมกันนั้นราวกับปีกของมังกร  แต่นั่นกลับไม่สามาร
ข่มขวัญ วอลคาวี่ มังกรร้าย ได้เลย

“ ชิชะ..เจ้าหนูแกนี่มีดีใช่ย่อยนะ แต่ที่แน่ๆข้าย่อยแกได้ไม่ยากหรอกมาอยู่ในท้องข้าซะดีๆ ”
วอลคาวี่ กล่าวจบมันอ้าปากกว้างพุ่งตรงเข้าไปหมายจะกลืนกิน เจ้าหนูในคำเดียว ทว่าเจ้าหนูกลับมีทีท่าสงบ
ไม่ถอย หนีแต่กลับประสานมือเข้าไว้ด้วยกันที่หน้าอก พร้อมกับหลับตาลงภาวนา

“ ศาสตราแห่งธาตุ ข้าเลือกแสงสว่าง เจ้าจงมาเป็นคมหอกทวนพิชิตให้ข้าขจัด อริให้สิ้นไป Little Lance ”
สิ้นคำของ เจ้าหนูก็เกิดมวลแสงขึ้นที่มือของมัน ก่อนที่เจ้าหนูจะวาดมือ ออกจากกัน มวลแสงนั้นได้
กลายเป็นทวนจิ่ว สีขาวสะท้อนแสงเป็นประกาย เจ้าหนูยกทวน ตั้งรับการโจมตี

“ นี่แกคิดรึว่า ไม้จิ้มฟันกระจิ๋วหลิว นั่นจะทำอันตรายข้าได้  ”
วอลคาวี่ สบถก่อนจะเพิ่มความเร็วในการพุ่งเข้าไป

“ ด้วยอำนาจแห่งแสงข้าขออัญเชิญ จิตวิญญาณอันสูงส่งแห่งสรรพสัตว์มา
จงรับไป Great of Rat (ความยิ่งใหญ่แห่งหนู) ”
สิ้นคำของเจ้าหนู ทวนจิ๋วของมันก็เรืองแสงขึ้นก่อนที่ จะแทงออกไป ประกายแสงที่คมทวนได้รวมตัวกันออกไป
ก่อรูปเป็น แสงพลังคล้ายหนู มวลพลังงานรูปหนูได้พุ่งเข้าไป กระแทกเจ้า วอลคาวี่ จนลุกไหม้และสลายไป

“ ขอ อำนาจจงอยู่หนูตลอดไปจงเรียกเราว่า อัศวินมังกรน้อยไชน์นิ่งแรท(Shining Rat, the Little Dragoon) ”
เจ้าหนูกล่าวพร้อมกับยก ทวน ขึ้นอย่างมีชัย ท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของประชากรหนูที่
ได้รับการปลดปล่อย



โปรดติดตามตอนต่อไปในอาทิตย์หน้านะครับ จงสู้ต่อไป อัศวินมังกรน้อย
 แรทโตะ แรทโตะ แรทโตะเซนไทน์ Rat Dragorager แต่น แต้น

กริ้ก …

สิ้นเสียงภาพทั้งหมดก็หายวับไปจากจอ เครื่องรับสัญญาณ ด้วยนิ้วของ เรกกะ ที่จิ้มไปยังปุ่มเปิดปิดของเครื่องรับ
ด้วยสีหน้าบานใจ

“ วันนี้ Rat Dragoranger ก็สนุกอีกตามเคย อาวล่ะ วันนี้หนังสือพิมพ์มีอะไรให้อ่านมั่งน้าา ”
เรกกะ กล่าวอย่างสบายอารมณ์ ขณะที่คว้าเอาหนังสือพิมพ์ ซึ่งวางอยู่บนเครื่องรับสัญญาณลงมาเปิดอ่าน

“ อะไรเนี่ยมีแต่ข่าวการแทรกแซงของ Empyrean Adjust ทั้งนั้นเลยนี่มันก็ 4 สัปดาห์มาแล้วนะ หือ..นี่มัน ”
เรกกะ กล่าวลอยชายไปเรื่อยก่อนจะชะงักไปเมื่อหันไป เจอบทความหนึ่งในหน้าหนังสือ

ตัวจริงของ นักรบเทวทูต Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust เป็นเด็กอายุประมาณ 15-16 ปี
และสองในสี่นั้น คาดว่าเป็นครึ่งคนครึ่งสมิง……………

ข้อความในหนังสือถูกอ่านผ่านสายตาของ เรกกะ อย่างรวดเร็ว

“ 15-16 เหรอก็พอๆกับเราเลยนี่นาแถมยังมีพวกครึ่งสมิงอีก เฮ้อเอาเถอะยังไงซะก็ไม่เกี่ยวกับเรา…เอ็ะ เดี๋ยวก่อนสิ
วันที่เริ่มต้นการแทรกแซงนั่น คือวันที่ ไรด์ กับเจ้า เฟนท์ ติดธุระนี่นะหรือว่าพวกนั้นจะเป็น…เอ้อเรานี่ถ้าจะเป็นเอามากแฮะ ไม่มีทางซะล่ะ อย่างเจ้า เฟนท์ ปวกเปียกขนาดนั้นไปรบไม่ได้หรอก แล้วเจ้า ไรด์ ถึงจะบ้า วิชา นินจา ก็เหอะ แต่มันใช้ได้จริงซะที่ไหนเล่า ”
เรกกะ กล่าวกับตัวเองไปเรื่อย ขณะที่คิดว่าความสงสัยของเขานั้นเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี
…………….
ขณะเดียวกัน

“ ตลอด 4 สัปดาห์ ที่เราเริ่มทำการแทรกแซงมาเนี่ย ดูเหมือนจะลดความขัดแย้งลงไปได้ ถึง 10% แล้วนะ ”
เสียงของหญิงสาวผู้ทำหน้าที่ผู้บัญชาการ เหล่า Valkyrier ดังขึ้นในที่ประชุมยาน ซึ่ง ประกอบด้วยตัวเธอ และพนักงาน ชายสองคน กับหญิง อีกคน นอกจากนี้ ก็ยังมีเด็กหนุ่มสาวอีก สี่ คนโดยเป็นชายสาม หญิงหนึ่ง
 
ซึ่งสองในสี่นั้น
คือ เฟนท์ กับ ซาน ที่ไม่ได้สวมชุดเกราะเหมือนตอนที่เข้าทำการแทรกแซง หากแต่สวมเครื่องแบบของ
ทางองค์กรแทน

“ แต่ว่า กระแสต่อต้านพวกเราก็เพิ่มขึ้นมาเหมือนกันนะ แล้วยิ่งตอนนี้ นานา ประเทศ เองก็พุ่งความสงสัยไปที่ โลกอสกันด้วย แบบนี้มันจะไม่ทำให้แต่ละประเทศเกิดความระแวงกันเองเหรอครับคุณ เอลิซ่า(Aliza) ”
เฟนท์ กล่าวถามขึ้นอย่างกังวล เพราะจากการแทรกแซงของพวกเขา อาจทำให้ โลกอส ตกเป็นเป้าจู่โจม
จากนานาประเทศ และหากเป็นเช่นนั้นเท่ากับว่าพวกเขา นั่นเองที่จะก่อสงครามขึ้นแทนที่จะขจัดมันไป

“ อะไรกันไม่เอาน่า เฟนท์ ไม่เห็นต้องกังวลเลย เพราะถ้าเกิด โลกอส ถูกโจมตีขึ้นมา
จริงก็เท่ากับว่าเกิดความขัดแย้งและสงคราม เนอะ เอมิล(Emil) ”
เด็กหนุ่มผมสีแดงที่เป็น Valkyrier เช่นเดียวกับเขา กล่าวพร้อมกับ แถไปให้ ครึ่งสมิงหมาป่า ขนสีเงิน
ที่ยืนอยู่ข้างๆตอบซึ่งเขาเองก็เป็น  Valkyrier ที่เข้าทำการแทรกแซงพร้อมกับพวก เฟนท์ เช่นกัน

“ อืม…ถึงตอนนั้นพวกเราเองก็จะต้องเข้าแทรกแซงในฐานะของ Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust หน่วยทีมสังกัด Celestial Saber ที่มีหน้าที่หลักคือการแทรกแซงสงคราม และความขัดแย้งทางการ รบเป็นหลัก ”
ครึ่งสมิงหมาป่าขนสีเงิน ตอบเสียงเรียบ

“ ไรด์ (Ryad) เอมิล (Emil)…น..นั่นสินะ จริงด้วย ถ้าเกิดสงครามพวกเราก็ต้องเข้าแทรกแซง
เพื่อขจัดสงครามให้หมดไป ”
เฟนท์ มองหน้าเพื่อก่อนจะพูดออกมาด้วยความรู้สึกโล่งใจ

“ ว่าแต่ทำไมพวกสื่อถึงได้มีข้อมูลเกี่ยวกับหน้าตารูปพรรณ สัณฐานของเรา ล่ะคะ แบบนี้มันจะไม่ทำให้ความลับเรื่องที่พวกเรานักเรียนของ St.Magnus ถูกสงสัยเอาเหรอคะ ถึงจะมีเผ่าพันธุ์ ครึ่งสมิงอยู่ทั่วไปให้เห็นก็เถอะ
แต่จำนวนก็น้อยจนแทบจะนับได้เลยนะ ถ้าเกิดการตรวจค้นขึ้นมาความจะแตกเอาได้ง่ายๆนะคะ ”
ซาน เริ่มยกประเด็นปัญหาขึ้นมาบ้าง

“ ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ รู้สึกว่า ฮูกีนมูนีน(*) จะปล่อยข่าวออกไปเองตามแผนการน่ะค่ะ  ”
พนักงานสาวผมสีเขียวสด ในชุดเครื่องแบบ เสื้อเชิ้ตสีขาวมีกระดุมและกระโปรงสั้น สีน้ำเงิน
ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เอลิซ่า รายงานขึ้น

[ฮูกีนมูนีน(Hugin&Mugin)เป็นชื่อของ อีกา ที่เกาะอยู่บนไหล่ของโอดีน(Odin)
 มันทั้งสองได้รับหน้าที่คอยสอดส่องโลกเป็นหูเป็นตาแทน โอดีน ]

“ อืม  ก็อย่าง ลูลู่(Lulu) บอกนั่นล่ะ มันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ เพราะถ้าทั่ว เทอร่า ได้รู้ว่ากองทัพทรงอำนาจอันเกรียงไกรของประเทศตัวเอง ดันมาแพ้เด็กหนุ่มสาวแค่ไม่กี่คน ก็จะทำให้อำนาจและความน่าเชื่อถือของกองทัพลดลง

และในที่สุด ก็จะเกิดกระแสต่อต้านกองทัพมากขึ้นหากกองทัพคิดจะเพิ่ม ประสิทธิภาพอาวุธของตัวเองมาสู้กับเรา
ที่ส่งเด็กแค่ สี่คนลงมาก็หยุดสงครามอันยาวนานที่แม้แต่ มหากองทัพซึ่งมีอาวุธทรงพลังยังยับยั้งไม่ได้… ”

พนักงานชายซึ่งมีผมสีดำสวมเสื้อยืดสีขาวแขนเสื้อยาวสีเทา และคลุมทับด้วยเสื้อกั๊ก
สีฟ้าอีกชั้น กางเกงยีนสีน้ำเงินอ่อน หันมาตอบให้แทน พนักงานสาวที่ชื่อ ลูลู่

“ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ ถ้าเกิดความแตกขึ้นมาเท่ากับสวัสดิ์ภาพ ของฉันกับน้องชาย
แล้วก็เพื่อนๆนับว่าอยู่ในขั้นวิกฤติเลยนะ ”
ซาน กล่าวอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย



“ เอาน่า อย่างที่ ลูลู่ กับ อีลูมีเซ่(Elumeese) บอกไปถึงจะเสี่ยงไปหน่อยก็เถอะ แต่นี่ก็เป็นข้อสรุปของ ฮูกีนมูนีน
แล้วเราก็ต้องถือเป็นเอกฉันท์ อีกอย่าง การคาดการณ์ของสุดยอดสมองกลอย่าง ฮูกีนมูนีน น่ะไม่ผิดพลาดง่ายๆหรอก
ถ้าเกิดข่าวของพวกเธอรั่วออกมาจริง เดี๋ยว ฮูกีนมูนีน ก็จะทำการบิดเบือนข่าวสารเอง เพราะหน้าที่หลักของมันก็คือการ รวบรวมข่าวสารและประมวลผลกับมอบภารกิจ ให้กับพวกเราอยู่แล้ว ”
พนักงานชายอีกคนผมสี บลอนด์ แต่งชุดแบบเดียวกับ อีลูมีเซ่ กล่าวขึ้นมา

“ เอาเถอะนะอย่างไงก็ตาม การแทรกแซงของวันนี้ก็จบลงแล้ว พวกเธอกลับไปพักเถอะ
 พรุ่งนี้โรงเรียนเปิดไม่ใช่เหรอ ”
เอลิซ่า กล่าวก่อนจะปิดการประชุมของ Celestial Saber ถึงตรงนี้ก็คงจะเข้าใจเป็นอย่างดีกันแล้วว่า
รูปแบบขององค์กร Empyrean Adjust นั้นจะแบ่งทำงานกันเป็นทีมๆ และเข้าไปทำการแทรกแซงความขัดแย้ง
 
ตาม ภารกิจ ที่ได้รับมอบหมายจากสุดยอดสมองกล ฮูกีนมูนีน ซึ่งจากรูปแบบนี้ทำให้เห็นได้ว่า Empyrean Adjust
มีขุมกำลังและอำนาจ มากกว่าที่เราเห็นในตอนนี้ นอกจาก ทีม Celestial Saber ก็อาจจะมีทีมอื่นๆใน Empyrean Adjust

ที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลส่งให้แก่ ฮูกีนมูนีน เพื่อทำการประมวลผลและส่งมอบภารกิจ แก่ทีมต่างๆเพื่อให้เหล่า Valkyrier ออกปฏิบัติการ และเหล่านักรบ เทวทูต Valkyrier นั้นก็มาจาก

เหล่า Valkyrie เทวทูตที่ได้มีหน้าที่พิทักษ์
ของที่พระผู้เป็นเจ้ามอบให้ บางทีความเกี่ยวกับพลังของพวกเขานั้นอาจเกี่ยวข้องกับ
ตำนานของเหล่า Valkyrie ในสมัยโบราณก็เป็นได้…

…………………..
…………………………….

ตลาดท่าเรือ บาร์ซิงเซย์

ท่ามกลางฝูงชนที่แห่แหนกันมาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าในตลาดท่าเรือที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดใน เทอร่า
เมืองท่าของ โลกอส บาร์ซิงเซย์ ในวันนี้ก็ยังคงมีผู้คนคับคั่งเช่นเคย




“ องค์หญิง ไม่ควรจะเสด็จออกมาตามลำพังอย่างนี้นะเพคะ องค์หญิง”
หญิงสาว วัย 17 เธอมีผมยาวสลวยสีเขียวสดแต่งตัวเหมือนพวกนักเดินทาง เร่ร่อน
สวมผ้าคลุมสีเทาผืนเก่าๆ คลุมทับตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอร้องเรียกตะโกน หญิงสาวที่เดินนำหน้า
เธออยู่ ขณะที่เธอพยายามแหวกฝ่าฝูงชนเพื่อไปให้ถึงตัวหญิงคนนั้น

“ เราบอกเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าหากออกมากันแค่เราสองคนเจ้าไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ กับเราและให้เรียกชื่อเราตามปกติก็พอ อีกอย่างหากเราออกมาโดยมีขบวนเสด็จด้วย มันจะทำให้ประชาชนแตกตื่น และเราก็จะไม่ได้
เห็นความเป็นอยู่และวิถีชีวิต จริงของพวกเขาน่ะสิ เราแค่อยากจะรู้ว่าประชาชนของเรา อยู่ดีเป็นสุขหรือไม่โดยไม่ต้องเสแสร้งต่อหน้าเรา ”
หญิงที่ถูกเรียก หันกลับกล่าวใส่หน้าหญิงผู้เรียกเธอ เช่นกันเธอแต่งตัวแบบนักเดินทางเร่ร่อนเหมือนกับหญิงผู้นั้น


“ แต่ตอนนี้ บ้านเมืองกำลังอยู่ในความระสับระส่ายนะ เพคะ เพราะ Empyrean Adjust ทำให้บรรดานานาประเทศตั้งข้อสงสัยมาที่ โลกอส ซึ่งมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สุดอยู่ในขณะนี้
อาจจะมีพวกที่ไม่ยอมฟังเหตุผลแล้ว ก็เข้ามาก่อการจลาจลได้ทุกเมื่อนะเพคะ ”

หญิงคนแรกกล่าว แสดงสีหน้ากระวนกระวาย หันซ้ายทีขวาที ด้วยความระแวง
ทว่าจู่ๆ หญิงคนที่สอง ก็เข้าไปกระซิบใกล้หูของเธอ

“ ก็นั่นล่ะ เราถึงต้องออกมาโดยไม่มีทหารองครักษ์ หากตอนนี้เราตกเป็นเป้าโจมตี แล้ว หากทาง Empyrean Adjust
ไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวเพื่อมาช่วยเหลือเรา บรรดาประเทศอื่นๆ ก็จะยอมรับว่าเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Empyrean Adjust ไงล่ะ ”
หญิงสาวกระซิบ ทำให้เธอ ตาเบิกกว้างกับความคิดของ คนที่เธอเรียกว่าองค์หญิง

“ แต่องค์หญิงเพคะ แบบนั้นมันบ้าชัดๆเลยนะเพคะ ถึงความสำเร็จจะสูง แต่ไม่เสี่ยงดกินไปหรือคะ หากเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ ...ยังไงซะ หม่อนฉัน เองก็ไม่ขอเสนอให้พระองค์ใช้วิธีนี้แน่ค่ะเพคะ ”
เธอ กล่าวไม่ยอมท่าเดียวกับความคิดของ นาง


“ อะแฮ่ม..เฟรเซีย(Fleasia) ราชาศัพท์จ้ะ ”
องค์หญิง กระแอ่มไอ พร้อมกับเตือนให้เธอเลิกใช้ราชาศัพท์เสียที


“ ข..ขอ อภัยค่ะ องค์..เอ้ย ท่าน มาเรียลูส ”
หญิงสาวกล่าวพร้อม ชะงักไปก่อนกล่าวต่อเพราะเธอเกือบจะลืมตัวเรียกนางว่าองค์หญิงอีกแล้ว


“ ดีมากจ้ะ เฟรเซีย  อีกอย่างที่เราบอกไปเมื่อครู่ เราพูดเล่นน่ะ ฮิๆ ”
เธอกล่าว เสียงใส ขณะที่ เฟรเซีย เหงื่อตกด้วยความเหนื่อยใจ แต่จริงๆแล้วเธอกลับรู้สึกโล่งใจที่ เจ้าหญิง มาเรียลูซ ไม่ได้คิดกระทำการบ้าบิ่นอย่างที่ทรงตรัสไว้


“ แหม เฟรเซ๊ย นี่ล่ะก็นะ เราออกมาโดยไม่ให้ใครรู้แล้ว จะมีใครที่ไหนเล่ามาก่อการได้ ในเมื่อไม่รู้ว่าเรา ออกมา
อีอย่าง เราจะไม่ทำให้เจ้าลำบาก เพราะเราหรอกนะ เฟรเซีย ถึงเจ้าจะเป็น

ทหารองค์รักษ์ของเราก็ตาม แต่เจ้าก็ยังเป็นเพื่อนเรา เหมือนเมื่อก่อน ดังนั้นนี่ไม่ใช่ในวัง
ไม่ต้องเรียกท่านก็ได้ เรียก มาเรีย เฉยๆเหมือนเมื่อก่อนก็ได้จ้ะ ”

เจ้าหญิงกล่าวกับ เฟรเซีย ด้วยถ้อยเรียบง่ายเยี่ยง สามัญชนทั่วไป ทำให้ เธอเริ่มจะย้อนระลึก
ไปเมื่อ สมัยยังเป็นเพื่อนเล่น กับ องค์หญิง ขึ้นมา เธอยิ้มน้อยๆด้วยความอิ่มเอม ก่อนจะก้าวเท้าตามเจ้าหญิง ไป


ทั้งสอง ออกเดินไปตามท้องตลาดท่าเรือ ที่เต็มไปด้วยผู้คนคับคั่ง เพื่อ ดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชาขน
 ที่ตนดูแลอยู่ แต่การเยี่ยมชมนั้นก็ออกจะไปทางเดินเที่ยว ธรรมดาๆซะมากกว่า เจ้าหญิงทรงเที่ยวเล่น


อย่างสนุกสนาน ราวกับได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ด้วยเพราะ พระราชกรณียกิจ ที่มากมาย และหนักหนากว่า
วัยของพระองค์นั้น แต่พระองค์ก็ยังทรงแบกรับมันไว้ เพื่อทำให้ โลกอส ประเทศ หัวเมืองในถิ่น ทุรกันดารนี้
กลายเป็นมหานครแห่งตำนานที่แสนสงบสุข


Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #11 on: February 24, 2009, 04:37:19 PM »

จึงทำให้พระองค์ไม่มีเวลา เป็นของพระองค์เสียเลย เมื่อได้ปลดปล่อยจาก ภาระหน้าที่ การงานพระองค์จึงอยากผ่อนคลายให้เต็มที่ ก่อนที่จะกลับไปดำรงงานของพระองค์ต่อ  ซึ่ง เฟรเซีย องครักษ์สาว ซึ่งเคยเป็นเพื่อนเล่นกับเจ้าหญิง
ตั้งแต่เด็ก นั้นเข้าใจความรู้สึกของ พระองค์ ยิ่งกว่าใครๆ การที่ พระองค์ ถูก พระมหาจักรพรรดิ แห่ง ราชอาณาจักร


บริทเทเนอร์ (Britanir) ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครอง ราชอาณาจักรทั้งหมด ในทวีป เลาดิเชีย เนรเทศมายัง เมืองขึ้นที่แห้งแล้งกันดาร นี้เพราะ พระจักรพรรดิ ทรงมีความคิดว่า สันติ คือความอ่อนแอ ประเทศจะมั่นคงเกรียงไกรได้นั้น เกิดจากการ


สู้รบและสร้างความขัดแย้งกัน สู้รบกันจนเหลือผู้ชนะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เพียงผู้เดียว ปกครอง อำนาจทั้งหมด  ซึ่งเป็นที่มาของความแข็งแกร่งทางการ รบ ของอาณาจักร บริทเทเนอร์  ดังนั้นการสืบทอดบังลังค์ ของ บริทเทเนอร์


ซึ่งครอง ประเทศ ต่างๆในเลาดิเชีย ไว้เกือบทั้งหมด  บวกกับ นโยบายที่การสู้รบกันคือความแข็งแกร่งและมั่นคงของประเทศ สิทธิ์ในการสืบทอดบังลังค์จะถูกยกให้แก่ ราชวงค์ ที่เข้ารับสืบทอด เพียงคนเดียว นั่นคือ พี่น้องในราชวงค์ต้องมาห้ำหั่นกันเอง เพื่อ ชิงสิทธิในการ ครองราชย์   แน่นอน เจ้าหญิง มาเรียลูส ทรงไม่พอพระทัยในมี่จะต้อง สู้รบ

เพื่อชิงบังลังค์ พระจักรพรรดิ จึง เนรเทศ พระองค์ มายังแดน อันทุรกันดารนี้ และได้ลงชื่อของเจ้าหญิงว่า ได้สิ้นพระชนม์ ลงแล้ว  ดังนั้น ตัวพระองค์จึงเหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว เจ้าหญิง กับ เฟรเซีย จึงได้ ย้ายมา ยัง ประเทศอันทุรกันดาร นี้ และเปลี่ยนแปลงมันเป็น โลกอส และปกครองอย่างเป็นเอกเทศ ไม่ขึ้นกับใครทั้งสิ้น

และสิ่งหนึ่งที่เป็นแรงผลักให้พระองค์ สร้าง โลกอส ขึ้นมาด้วยฐานแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเท่าเทียมกัน นั้น เพราะ เฟรเซีย เองก็เป็นลูกหลาน ชาวเมอริเซีย ที่ บริทเทเนอร์ นั้น ถือเรื่องการเป็นเชื้อสาย ชาวบริทเทเนอร์
อย่างมาก หากใครไม่ได้มีสายเลือด ชาว บริทเทเนอร์ แล้วก็จะถูก ปฏิบัติ เยี่ยงทาสรับใช้ เป็นดั่งชีวิตที่ไร้ค่า

การเหยียดชนชั้นใน บริทเทเนอร์ นั้นนับเป็น โพระราชโองการ หนึ่งของ พระจักรพรรดิ เช่นกัน
เพราะทรงเห็นว่า ประเทศที่ ขึ้นตรงต่อ บริทเทนเนอร์ นั้น อ่อนแอ จึงถูก บริทเทเนอร์ ยึดครอง
คนอ่อนแอ ต้องรับใช้ผู้แข็งแกร่ง หากใครคิดต่อต้าน ก็จะถือเป็นกบฏ และถูกกำจัดทันที

ชาวเมอริเซีย ที่ หลงเข้าไปอยู่ใน บริทเทเนอร์ เองก็เช่นกัน ถูกกดขี่ ข่มเหง อย่างรุนแรง
และแม้ บริทเทเนอร์ จะถูกมองว่า เหี้ยมโหด แต่ก็ไม่มี อำนาจไหนกล้าที่จะต่อกรด้วย

เพราะ บริทเทเนอร์ มีศักยภาพทางการรบที่สูงส่ง ทั้ง จักรกลสังหาร ชุดเกราะ ที่อาศัยเทคโนโลยี
สร้างขึ้นทำให้ทหารกลายเป็นสุดยอด นักรบได้ ซึ่งเรียกว่า เกเซอร์(Gazor) และ

 จักรกลขนาดใหญ่ เกเซอร์ อาเมอร์ (Gazor Armor) มีเพียง โลกอสเท่านั้น ที่แข็งข้อต่ออำนาจ ของ บริทเทเนอร์
และสามารถ เอาตัวรอดจากการโจมตีของ บริทเทเนอร์ มาได้ ตลอดรอดฝั่งเพียงประเทศเดียว

ที่จริงแล้ว นอกจาก เจ้าหญิง มาเรียลูส แล้ว พี่ชายของ เจ้าหญิง เจ้าชาย ลูเทเซีย (Lutacia) เองก็ ทรงต่อต้าน
พระจักรพรรดิ ผู้เป็นพระบิดา ของทั้งสองพระองค์ ทว่า เจ้าชายก็หาได้ ตาม เจ้าหญิงมาเรียลูส ออกจาก

บริทเทเนอร์มาไม่ หากแต่ จะเปลี่ยนแปลง บริทเทเนอร์ จากภายใน ซึ่งในเวลา นี้ เจ้าชาย ลูเทเซีย เอง ก็ได้เข้าร่วม กลุ่มกบฏ
เพื่อโค่นล้ม อาณาจักรลง  นี่คือ เบื้องหลัง ของ เจ้าหญิงมาเรียลูส เปี่ยมพระเมตตา
..................
............................


“ ผู้ว่าจ้าง ต้องการให้เราจัดการ กับ องค์หญิง มาเรียลูส แห่ง โลกอส งั้นเรอะ……เท่าไหร่”

“ เห็นว่า จะจ่ายให้ไม่อั้นเลย ถ้าทำสำเร็จ มัดจำนี่มาก็ ล้านเดนาริอัน แล้ว ”

“ หึๆๆ ดี พวกสายมันแจ้งมาแล้วว่า วันนี้ เหยื่อของเรา ออกมากับองครักษ์ กันแค่สองคน กินนิ่มอยู่แล้ว ”

“ งั้นก็ได้เวลา ให้โลกได้ประจักษ์ ถึงความยิ่งใหญ่ของ มาราดัน(Maradan) แล้วสินะ ”

“ ส่งพวก เทอเรี่ยน ออกไปก็พอเรายังไม่ต้องรีบทำตัวให้เป็นจุดเด่นนัก อีกอย่างได้ยินว่าพวก Empyrean Adjust อะไรนั่นกำลังก่อการ กันอยู่ถึงเราจะเป็นคนจัดการ กับ เจ้าหญิงไป ทั่ว เทอร่า ก็จะต้องคิดว่า
 พวกมันเป็นคนทำแน่ๆ
เป็นการยิงนัดเดียวได้นกสองตัวเลย ค่าจ้างงามๆ แล้วก็จัดการก้างขวางคออย่างเจ้าหญิงไปด้วย
แถมไม่มีใครสงสัยอีก ”
บทสนทนา ท่ามกลางความมืดมิดดังขึ้น อย่างไม่คาดสายก่อนจะเงียบไป
...................
...........................

ที่ บาร์ซิงเซย์

เมื่อไม่กี่ ชั่วโมงก่อนนี้ ยังคงเต็มไปด้วย ผู้คนคับคั่ง และเสียงครึกครื้น
ในการซื้อขายต่อรองราคา บัดนี้ ตลาดท่าเรือ อันงดงาม กลับเต็มไปด้วย ควันและแก๊ส พิษ
และซากศพของผู้เคราะห์ร้าย เกลื่อนไปตามท้องตลาด แผงร้านค้า เสียหาย

สูงขึ้นไปยังท้องฟ้าใกล้กับชั้นบรรยากาศ ยานเรือเหาะของ Empyrean Adjust หน่วยทีม Celestial Saber
 กำลัง ลอยตัวเพื่อตรวจสภาพการณ์ ด้านล่าง

“ ก่อการร้ายงั้นเหรอ ”
เอลิซ่า อุทานขึ้นทันทีที่ได้อ่านข้อมูล ที่ ฮูกีนมูนีน ส่งมาขึ้นจอในห้องบังคับการของ ยาน

“ งั้นจะมัว รอ อะไรอยู่ล่ะ พวกเรารีบออกไปกันเถอะ ”
ไรด์ กล่าว ขึ้นขณะที่เตรียมจะออกไปทว่า เอลิซ่า ก็เรียกให้พวกเขาหยุดเสียก่อน


“ เดี๋ยวถ้าเราออกไปตอนนี้ ทั้งเทอร่า จะคิดว่าองค์กร ของเรา ขึ้นตรงกับ โลกอส เอาได้นะ
ถ้าเป็นยังงั้นล่ะก็ การแทรกแซงก็จะไม่มีความหมาย เพราะ ประเทศอื่นๆจะพากันเชื่อว่า เราเป็นขุมอำนาจของ ชาติใดชาติหนึ่งเท่านั้น ”
เอลิซ่า เสนาธิการ ของยานกล่าวอธิบายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากพวกเขา
ลงไปทำการแทรกแซงตอนนี้ แม้ ไรด์ และคนอื่นๆจะไม่พอใจนัก แต่ก็ต้องยอมตามยอมเพราะ
สิ่ง ที่ เอลิซ่า คาดการณ์ไว้นั้น ไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน พวกเขาจึงต้องกัดฟันทน
นิ่งดูต่อไป

“ แล้วเราจะทำยังไงดีคะ ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ก็เท่ากับว่า เราเพิกเฉยต่ออุดมการณ์ อยู่ดีนี่คะ ”
ลูลู่ พนักงานสาว หันมาถามจาก ที่นั่งหน้า แป้นควบคุม

“ จริงอยู่ สถานการณ์ตอนนี้บีบบังคับให้เราต้องทำการแทรกแซง แต่ว่าในกรณีนี้
 ไม่ใช่ความขัดแย้งที่เกิดจาก กองกำลังที่มีสังกัดฝ่ายเป็นชิ้นเป็นอัน แต่เป็นพวกผู้ก่อการร้าย ถ้าเราจะเข้าทำการแทรกแซงก็ต้องทำให้ เทอร่า ได้รับรู้เสียก่อนว่า นี่ความขัดแย้งระหว่าง ฝ่ายใดกับฝ่ายใด  ”
เอลิซ่า กล่าวขณะที่พยายามหาวิธี ที่จะเข้าไปทำการแทรกแซง

“ งั้น เราลอง ไปเก็บ ข้อมูลเพิ่มส่งไปให้ ฮูกีนมูนีน ก่อนไหมเพื่อช่วยในการตัดสินใจกับหาทาง แทรกแซง น่ะ ”
อีลูมีเซ่ พนักงานชายซึ่งคุมแผงวงจรฝั่งซ้าย ออกความเห็น

“ ก็ดีเหมือนกันนะ...ถ้างั้นให้ อัลบัส(Albus) ลดระดับลง 20 แล้วเคลื่อนไปข้างหน้า ช้าๆจากนั้นใช้ กล้อง
ถ่ายเก็บข้อมูล ส่งไปยังเครือข่ายเลย ”
เอลิซ่า สั่งการจบ ยาน อัลบัส ก็ออกตัวจากชั้นบรรยากศลงมา

...................
..........................

เบื้องล่าง ตลาดท่าเรือ ที่ยับเยินจากการบุกโจมตี โดยไม่ทันตั้งตัวโดยฝูง เทอเรี่ยนปีกคำสาป(Cursed Wing Therion)



พวกมันเป็นเทอเรี่ยน กายสีดำขนาดและน้ำหนักตัวของพวกมันนั้น เทียบได้กับ ม้าศึก 2-3ตัวเลยทีเดียว

พวกมันบุกเข้ามาจู่โจม จากฝั่งทะเล บินเข้ามาเป็นฝูง พ่นควันพิษ ลงมาตลบอบอวลไปทั่วทั้งตลาด คร่าชีวิต ผู้คนไปมากมาย จนตลาดแทบจะกลายสภาพเป็นสุสานไป ทว่า แม้ควันจะตลบไปทั่วก็ตาม ผู้คนบางส่วนใน ตลาดก็ยังคงรอดมาได้บ้าง โดยหลบซ่อนใน เรือสินค้า หรือ ลังสินค้าต่างๆ ทว่า เทอเรี่ยน เหล่านั้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ในตลาด โดยจะฆ่าทุกคนที่มันพบ

“ น...นี่มันอะไรกัน ทำไมเทอเรี่ยนเหล่านี้ถึงได้.... ”
เจ้าหญิงมาเรียลูส ตรัสด้วยความสลด พระทัย กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผู้คนที่ยังพูดคุยกันอยู่จนถึงเมื่อครู่เพียงแค่พริบตา
พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่อาจที่จะพูดหรือรับรู้อะไรได้อีกแล้ว กลายเป็นเพียงซากศพ ที่ไร้ซึ่งวิญญาณ

เจ้าหญิง กับ เฟรเซีย ขณะนี้ หลบซ่อนอยู่ในเรือสินค้าที่เทียบท่าอยู่ใกล้ๆ ในตอนที่ เฟรเซีย สังเกตเห็น
เงาของเหล่า เทอเรี่ยน ที่บินใกล้เข้ามา จึงฉุดตัว เจ้าหญิง เข้ามาหลบได้ทัน ส่วนเจ้าของเรือ กับลูกเรือนั้น สูดเอาควันพิษเข้าไปจนถึงแก่ชีวิต ทั้งลำเรือ

“ องค์หญิง ทรงตั้งสติก่อนเถิดเพคะ ตอนนี้เราต้องหาทางหนีออกไปจากที่นี่ก่อน ”
เฟรเซีย กล่าวขณะที่แง้ม ประตูเพื่อดูว่า ควันพิษจางหายไปหรือไม่
ซึ่งตอนนี้ ควันพิษ ภายนอกนั้นถูกลมทะเลพัด หายจางไปเกือบหมดแล้ว

จนแทบไม่มีอันตรายใดๆ เฟรเซีย จึงเปิดประตูออก และจูงมือ เจ้าหญิงออกมา
เธอกระชับ ดาบสั้นที่พกมา ไว้ด้วยมือซ้ายก่อน จะพา เจ้าหญิง เดินเลาะไปตามกาบเรือ

เพื่อไปยังบันได ลงเรือ ทันทีที่ทั้งสองลงถึงพื้นตลาด ก็มี เทอเรี่ยน สองตัว เดินเข้ามาใกล้ในบริเวณนั้นพอดี เฟรเซีย จึงออกตัวมาบังเจ้าหญิงไว้ พร้อมกับชักดาบออกมาจากฝัก

เทอเรี่ยน  ทั้งสองตัวบุกเข้ามา พร้อมๆกัน แม้ตัวแรกเธอจะ สกัดการโจมตี ของมันได้ แต่ตัวที่สองก็พุ่งตรงไป
หาเจ้าหญิง เสียแล้ว แม้ เฟรเซีย จะรีบพุ่งตัวกลับมาแต่ก็ไม่อาจทันการ

“ แว้กกกก หลบไป! หลบไป! ”
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นพร้อมกับวินาทีนั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ สไลด์ กระดานไม้ซึ่งติดล้อเอาไว้ พุ่ง เข้าไปชนร่างของ เจ้าเทอเรี่ยน จน ตกน้ำลงไป ทันทีที่เห็นว่า เจ้าหญิงปลอดภัยแล้ว เฟรเซ๊ย จึงไม่รอช้าตวัดคมดาบ
ซัดเจ้าเทอเรี่ยน ที่ไล่หลังมาตกทะเลไปอีกตัว

“ ขอบใจที่มาช่วยนะ แหมถ้าไม่ได้เธอล่ะก็ไม่รู้ว่า อง..เอ้ย มาเรีย จะเป็นอะไรไปรึเปล่า ต้องขอบใจจริงๆ ”
เฟรเซีย กล่าวขอบคุณพร้อมกับ จูงมือของ เด็กหนุ่มดึงตัวเขาลุกขึ้น จากพื้น เด็กหนุ่มคนนี้ อายุพอๆกับพวกเธอ
จนน่าจะอยู่ในวัยเดียวกัน เขามีผมสีทอง และแต่งกายแบบธรรมดาบ้านๆทั่วไป

“ ขอบใจที่ช่วย ฉันไว้นะ ฉันมาเรีย ส่วนข้างๆนี่ เฟรเซีย แล้วเธอชื่ออะไรเหรอ   ”
เจ้าหญิง ถามโดยปรับวาจาคำพูดให้ดูเป็นคนธรรมดาสามัญ จนไม่อาจแยกออกได้ว่าเธอเป็นถึงเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์

“ เอ่อ..ผม เรกกะ ครับยินดีที่ได้รู้จัก แล้วก็ผมว่าเรารีบหนีจากเจ้าพวกนั้นดีกว่านะครับ  ”
เรกกะ แนะนำตัวเอง ก่อนจะชี้ไปยัง ฝูง เทอเรี่ยน กว่า สิบตัวที่วิ่งไล่หลังเขามาเป็นแถบๆ
โดยที่ไม่ต้องกล่าวอะไรต่อ พวกเขาทั้งสาม ต่างรีบแจ้นกันหน้าตื่น โดยมีฝูงเทอเรี่ยนไล่หลังมากว่า สิบตัว
วิ่งทะลวง ตลาดจนเละเป็นแถบ

จนเมื่อวิ่งมาถึง  สุดสะพานเรือ เบื้องหน้าพวกเขาคือ ท้องทะเล ที่มีคลื่นเชี่ยวกราด ด้านหลังคือ กองทัพ เทอเรี่ยน
ที่หิวกระหาย ไล่ประชิดติดเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พวกเขาไม่สามารถถอยไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว

พริบตาที่พวกมันพ่น ควันพิษ ออกมาหมอกพิษ ได้ทำให้ เจ้าหญิงกับ เฟรเซีย หมดสติไปในทันที
และหากปล่อยเอาไว้ พวกเธอคงจะตายในไม่ช้า ขณะที่ เรกกะ ยังคงพยายาม ฝืนกลั้นหายใจเอาไว้

“ ท..ทำไงดี นี่เราจะต้องมาตายอยู่ที่นี่ น่ะเหรอ...ทั้งๆที่แค่จะมาซื้อของเท่านั้น แต่ตอนนี้เรากำลังจะตายงั้นเหรอ ”
เรกกะ คิด ทันใดนั้น ในหัวก็เกิดมีภาพแทรก ขึ้นมา ภาพเหตุการณ์ ที่ร่างของเขา ในวัยเด็ก ถูกคมดาบ
6 เล่ม ทะลวงร่างลงมา ความรู้สึกทรมาน ราวกับกำลังจะตายลงในไม่ช้า ได้ ผลันแวบขึ้นมา โดยที่เขาเองก็ไม่
รู้ว่าภาพที่เห็นนั้นคืออะไร

“ Great of Dragoon ”(อำนาจแห่งมังกร)
เสียงหนึ่งดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น ก่อนที่หมอกพิษ จะถูก คลื่นลมพัดหายไป
พร้อมๆกับ แสงพลังงานส่องสว่างสุกสกาว พุ่งตรงเป็นเส้นยาวออกไป ที่หัวลำแสง มี

ลักษณะคล้าย มังกร ลำแสงได้พุ่ง ทะลวงกองทัพ เทอเรี่ยน จนบางส่วนกระเด็น ตกทะเลไป
พร้อมกับ การปรากฏตัวขึ้น ของอัศวินครึ่งคนครึ่งมังกร หรือเรียกว่าอัศวินแท้จริง

อัศวินมังกรตนนี้เป็นนักรบหญิง เกล็ดสีแดงรอบกายเรียงตัวราวกับชุดเกราะ มือขวาของ นาง
กระชับ หอก ที่มีด้ามเป็นเกล็ดมังกรสีแดงเลือดหมู มือซ้ายติดโล่ เกล็ดมังกร สีแดงเลือดหมู เช่นกัน



“ ทันเวลาพอดีเลย มาธิอัส ว่าแต่คนๆนั้นอยู่ไหนล่ะ ”
อัศวินมังกรสาว กล่าวขึ้นลอย โดยไม่ทราบว่าคุยอยู่กับใครแต่ดูเหมือนว่า จะมีใครบางคนติดต่อกับเธออยู่

“ เหรอ...คนนี้สินะ ”
อัศวินมังกรสาว กล่าวจบก็หันมา หา เรกกะ ซึ่งเรกกะ ก็ได้แต่ส่งสายตา งงๆ ให้เธอเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ทัพ เทอเรี่ยน เองก็เริ่มจัดทัพกันใหม่ โดยมีพวกมันที่เหลืออยู่มาหนุนเพิ่ม

“ แย่ล่ะสิ คงไม่มีเวลามาอธิบายแล้วล่ะ เรกกะ เธอรีบใส่นี่ ซะ ”
อัศวินมังกรสาวกล่าวทันทีที่ เห็นว่าทัพ เทอเรี่ยน กำลังจะบุกอีกครั้ง
จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง จับข้อมือของ เรกกะ ขึ้นพร้อมกับ จัดแจง ใส่สาย รัดข้อมือ ที่ตรงกลางสายมี
อุปกรณ์ลักษณะคล้ายจานเล็กๆ ติดอยู่

“ เอ้าทีนี้ ก็อย่าชักช้า รีบแปลงร่างเข้าสิ ”
อัศวินมังกรหญิง กล่าวห้วนๆ ทว่า เรกกะ เองยังสับสนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้อยู่ดี
ทว่าเวลาก็ไม่คอยท่า เพราะเหล่า เทอเรี่ยน ชุดแรกได้บุกเข้ามาหาพวกเขาแล้ว
อัศวินมังกรสาว จึงออกไปรับมือ

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #12 on: February 24, 2009, 04:37:29 PM »

“ มัวทำอะไรอยู่เล่า ขืนชักช้าอยู่แบบนี้ก็ได้ตายกันหมดหรอก ฉันต้านให้ไว้ได้ไม่นานนะ ”
อัศวินมังกรสาว กล่าวขณะที่ ควงหอกในมือป้องกันเป็นประวิง แต่แม้เธอจะเร่งรัดเขาอย่างไร
ก็ตาม เขาก็ไม่เข้าใจที่เธอพูดอยู่ดี จนในที่สุด อัศวินมังกรสาวก็ไม่อาจต้านทานไว้ได้ ถูกชนจนกระเด็นไปกอง

กับพื้น ในชั่วพริบตาที่ทุกอย่างกำลังจะเลวร้ายลง ชั่ววูบนั้น ใต้จานเล็กๆที่สายคาดก็ แทงเข็มลงไปในข้อมือของ เรกกะ
พร้อมกับที่ดวงตาซ้ายที่มองไม่เห็น ของเขานั้นรูม่านตา ได้เรืองแสงสีขาว ออกมา

“ อย่าเข้ามานะ..ว้ายย ”
อัศวินมังกรสาวร้องเสียงหลงขณะที่ พวก เทอเรี่ยน กำลังจะเข้ามา ขย้ำเธอ
ทว่า เทอเรี่ยนเหล่านั้น กลับถูกปัด จนกระเด็นออกไปไกลจากตัวเธอ

“ รังแกสุภาพสตรีนี่ไม่ใช่วิสัยที่ดีเลยนะเจ้าพวกเดรัชฉาน ”
เรกกะ ที่เข้ามาปัด เหล่า เทอเรี่ยนออกไป กล่าวเสียงขึงขึ้นมา ท่าทางกับวาจานั้นราวกับ
เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

ทว่า ขณะนั้น เทอเรี่ยน ทั้งหมดก็ได้ พ่นไอพิษ สวนออกมาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ความหนาแน่น
มากกว่าครั้งก่อนๆหาก ปล่อยเอาไว้นาน ทั้งเจ้าหญิง เฟรเซีย เรกกะ และอัศวินมังกรสาว จะต้องตายในไม่ช้าแน่

“ มัวทำอะไรอยู่เล่ารีบแปลงร่างเข้าซะสิ..อุบ ..แค่กๆเร็วๆเข้า ”
อัศวินมังกรสาวกล่าวได้ไม่ทันขาดคำ นางก็สำลักควันที่คละคลุ้ง อย่างกระอักกระอ่วน

“ ยัย บ๊องเอ็ย เธอลืมให้ โซลการ์ด (Soul Card) เค้านะ ไม่มี โซลการ์ด ก็แปลงร่างไม่ได้หรอก ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของนาง ซึ่งนั่นทำให้นาง ฉุกคิดได้ก่อน จะส่งตลับไพ่ สีดำสนิทซึ่งติดกับสายคาดเอว ที่ตัวกล่องมี หน้าจอ ซึ่งขึ้นเลข 99 ไว้ เธอยื่นมันให้แก่ เรกกะ

“ ใช้มันซะ.. ”
อัศวินมังกรสาวกล่าว ก่อนที่จะฟุบลงไปด้วยความเหนื่อยอ่อน เรกกะ รับเอาตลับนั้นมาคาดเอวไว้
ก่อนจะเปิดฝาตลับออกด้านข้างและหยิบ ไพ่ใบหนึ่งออกมาจากตลับ ทันทีที่ ไพ่ในตลับลดลง ตัวเลขบนหน้า

จอตลับไพ่ ก็ลดลงเป็น 98 ไพ่ที่ดึงออกมานั้น มีหลังไพ่สีดำ หน้าไพ่สีขาว
ทันทีที่มันอยู่ในมือของ เรกกะ ซักครู่ ก็ปรากฏสัญลักษณ์ ธาตุแห่งแสงขึ้นบนหน้าไพ่

“ ก็ไม่ค่อยรู้อะไรล่ะเอียดนักหรอกนะ แต่เราจะลองทำดูละกัน ”
เรกกะ กล่าวเสียงเรียบ สายตานั้นดูเหม่อลอย และเมินเฉย ขณะที่เอา ไพ่ไปบังจานที่สายคาด
ผลันจานส่องแสง ขึ้นผ่านไพ่ ไปตราสัญลักษณ์แห่งธาตุแสงที่ ปรากฏอยู่บนไพ่ ครั้นเมื่อได้รับแสง
จากจานจ่ายพลังงาน ก็เปล่งประกายเจิดจ้า

“ Luminar Form ”
เสียงดังขึ้นจากตัวจานที่สายคาด ก่อนที่ เรกกะ จะปล่อยมือจากไพ่ แต่ทว่าไพ่ก็ยังคงลอยค้างอยู่
เหนือจานนั้น มีอะไรบางอย่างชักจูงให้เขา อยากกด มือลงไปบนไพ่ ให้ลงไปยังจานจ่ายพลังงาน
และทันทีที่เขากดมันลงไป

“ Regeneration ”
 เสียงดังขึ้นจากสายคาดอีกครั้ง ในวินาทีนั้นเอง เซลล์ทั่วทั้งร่างของ เรกกะ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
รหัสพันธุกรรมภายในร่างได้ถูก เรียบเรียงขึ้นใหม่ อยู่ภายใน ผิวหนังของ เขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวสดราวกับ

ขนหงส์ รูปร่างลักษณะของเขาค่อยๆแปรเปลี่ยนไป จนในที่สุดเมื่อแสงจางลง ร่างของ เรกกะ ก็กลายเป็นอัศวินมังกร
กายสีขาวทอประกายรัศมี ราวกับแสงรุ่งอรุณแห่งวันใหม่ ปีกสีขาวนั้นสะบัด พลิ้วไหวราวกับผืนผ้าคลุมของเจ้าชาย
คลื่นพลังที่ปล่อยออกมาจากร่างของ มันได้พัดหอบเอาควันพิษออกไปจนหมด

“ จงถ่างหูและฟังให้ดีๆ บัดนี้องค์ชายเสด็จแล้ว จงขานนามเรา ทาลูคัส(Thalucus, Arimathea’s Dragoon of Thaliwilya)  ”
อัศวินมังกร เรกกะ ประกาศนามของตนขณะที่ เทอเรี่ยน ทั้งหลายไม่ได้รอช้า บุกเข้ามาประชิดใส่ ไม่ยั้ง
ทว่า ทาลูคัส ก็หลบหลีก และปัดมือผลักเจ้า เทอเรี่ยน ล้มพับไปหลายตัว ด้วยท่วงท่าสง่างาม ประดุจวิหกร่ายรำ
ก็มิปาน



“  เฮ้อ กว่าจะแปลงร่างได้ ว่าแต่อีตานี่ ทำไมท่าเยอะจัง สู้ไปหลบไปยังกะเต้นรำอยู่นั่นล่ะ  ”
อัศวินมังกรสาว กล่าวอย่างเหนื่อยหอบ ขณะที่เห็น ทาลูคัส สู้กับเหล่าเทอเรี่ยน

“ Lux et Dragos ”
สิ้นคำ ทาลูคัส ก็สร้าง มวลแสงสีขาวขึ้นในอุ้งมือทั้งสองข้าง ขณะที่ หนุนตัวหลบหลีกการจู่โจมของ เทอเรี่ยน
ไปพร้อมกับ ประกบมวลแสงทั้งสองอันเข้าด้วยกัน ก่อนจะวาดมือ ออกราวมวลแสงที่รวมกันก็ได้ก่อรูปตามทางที่มือ

วาดออกไป ก่อนจะกลายเป็นดาบยาวสีขาว ทั้งเล่ม ที่แกนดาบมี ศิลาสีทองฝังอยู่
 ทันทีที่สร้างดาบสำเร็จ ทาลูคัส ก็แกว่งดาบตวัดร่ายรำกระบรวนท่าอีกครั้ง จนต้อนเหล่า เทอเรี่ยน ไปรวมๆ
กันไว้แล้ว ถอยห่างออก  ก่อนจะดีดนิ้ว ขึ้นหนึ่งครั้ง ไพ่ ที่ใช้ตอนแปลงร่างก็ปรากฏขึ้นมาบนมือ

ก่อนที่จะปรากฏ รูปของลูกมังกรแสงพาลานัลคาร์(Palanalcar, Alimathe’s Baby Dragon) ขึ้นบนไพ่
พร้อมกับที่ ลูกมังกรตัวเป็นๆได้บินลงมาจากฟ้า ทันทีที่ ทาลูคัส ชี้ไพ่ไปที่ร่างของ พาลานัลคาร์



ร่างของมันก็เปล่งแสงและเริ่ม วิวัฒนาการ เปลี่ยนเป็น พาลานัลคาเลี่ยน(Palanalcarion, Arimathe’s Light Dragon)
มังกรแสงร่างเต็มวัย ทาลูคัส ขึ้นไปขี่บนหลังของมันก่อนที่ จะให้มันออกบินขึ้นไป



“ ได้เวลากวาดทิ้งเสียทีนะ ”
สิ้นคำ ไพ่ในมือ ก็ถูกนำไปจ่อบริเวณศิลาทองคำที่อยู่ตรงแกนดาบ ไพ่ได้สลายกลายเป็นอณูแสงซึมซับเข้าไปใน ศิลา
ทันทีที่ ทาลูคัส แตะนิ้วลงไปที่ศิลา แล้วลากมันไปตามคม ก็เกิดสาบอาบคมดาบไปเป็นทาง

“ Full Charge Great of Dragon ”
เสียงดังขึ้นจากตัวดาบทันทีที่ นิ้วของ ทาลูคัส  สะบัดออกจากตัวดาบ และแสงอาบคมดาบทั้งเล่ม

“ จะปิดฉากล่ะนะไม่ขอคำตอบใดๆทั้งนั้น ”
สิ้นคำ ทาลูคัส ก็ควงดาบในมือโยนขึ้นไปเหนือหัว ผลันดาบได้ เปล่งแสงออกมา และกลายเป็น
ลำแสงพลังงานรูปมังกร บินฉวัดเฉวียน ไปมาเหนือหัวของ ทาลูคัส โดยที่ การเคลื่อนไหวของมันสอดคล้องกับการวาดมือของ ทาลูคัส ทันทีที่  ทาลูคัส วาดมือเป็นวง ขึ้นเหนือ หัวเสร็จ ก็กระโดขึ้นจากหลังของ พาลานัลคาเลี่ยน

ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ลำแสงมังกรพลังงาน ได้บินครบรอบและพุ่งกลับมายัง ตำแหน่งที่ ทาลูคัส เล็งไว้
ทันทีที่ ทาลูคัส หมุนตัวกลางอากกาศ ยันขาถีบลงไป ลำแสงมังกรพลังงาน ก็ถูก กดทิศทางลงไปตามทิศที่
ทาลูคัส ถีบพุ่งลงไป  พร้อมๆกับที่ พาลานัลคาเลี่ยน เริ่ม สะสม ประจุพลังงานไว้ในปากของมันที่อ้าขึ้น

เมื่อ ทาลูคัส ถีบลำพลังงานลงไปถึงพื้นที่พวก เทอเรี่ยน กระจุกกันอยู่ ก่อนที่จะเตะกวาด จนพวกมันกระเด็นออกไป
เข้ารัศมี การยิงของ พาลานัลคาเลี่ยน พริบตานั้น เพลิงแสงสว่าง Shining Flame ของ พาลานัลคาเลี่ยน ก็พุ่งลงมา
ผลาญร่างของพวกมันจนสลายเป็น ทุรีเถ้า

................

ยาน อัลบัส 

“ พวกเทอเรี่ยน หายไปหมดแล้วครับ ไม่มีสัญญาณของพวกมันเหลือเลย ”
อีลูมีเซ่ พนักงานชายที่คุมแผงวงจรฝั่งซ้ายของห้องบังคับการ รายงานขึ้นมาอย่างเร่งรีบ

“ ที่บริเวณท่าเรือ พบสัญญาณพลังมหาศาล ค่ะ  ”
ลูลู่ พนักงานหญิง กล่าวขึ้นทันทีที่เห็นรายงานจากจอประมวลผล

“ นี่มัน.... ”
พนักงาน ชายที่คุมแผงวงจรฝั่งขวา อุทานขึ้น

“ มีอะไรเหรอ เอียน(Eian)  ”
เอลิซ่า หันไปถามด้วยความสงสัย ในขณะที่ทุกคนเองก็พลอย หันมาสนใจกับท่าทีของ เอียน

“ สัญญาณพลังแบบนี้มันเหมือนกันมากเลย ถึงจะไม่ใช่แบบเดียวกันก็เถอะ พลังงานเมื่อครู่ คือ ประจุอิออน แถมยังมีความเข้มข้นมากเลย อย่างกับว่า... ”
เอียน กล่าวได้ไป ซักพักก็หยุดไปชั่วครู่ เพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

“ อย่างกับว่า เทพเจ้ามาอยู่ตรงนั้นเลยใช่ไหมครับ เพราะประจุ อิออน ก็คือพลังงานของ เทพเจ้า การที่สามารถปลดปล่อย อิออน ได้ขนาดนั้น ก็มีเพียงเทพเจ้า ตัวจริงเท่านั้น ”
เอมิล ครึ่งสมิงหมาป่าขนสีฟ้า กล่าวเสียงเรียบ

“ อ้ะ จับภาพได้แล้วค่ะ ”
ลูลู่ กล่าวขึ้นเมื่อ สามารถจับภาพสถานที่เกิดเหตุได้

“ เอาขึ้นจอเลย ”
ไม่ต้องคิดอะไรใดๆอีกต่อไป เอลิซ่ารีบสั่งการให้นำภาพขึ้นจอ เพื่อไขข้อกระจ่าง
ภาพที่เห็นตรงหน้านั้น ทำให้พวกเขาทุกคนต้องนิ่งอึ้ง ราวกับต้องมนต์สะกด

“ อัศวินมังกรแท้ งั้นรึเนี่ย ”
เอลิซ่า เปรยเสียงเรียบ เมื่อภาพที่ฉายขึ้นมาบนจอ คือ ภาพของ อัศวินมังกรกายสีขาว
บริสุทธิ์ กำลังยืน มองเปลวเพลิงที่ เผาผลาญพวก เทอเรี่ยน เคียงคู่ไปกับ อัศวินมังกรแท้หญิงอีกหนึ่ง

.......................
................................
ณ เรือ สินค้ำลำหนึ่งที่ลอยอยู่ในอ่าว ไกลจากฝั่ง บาร์ซิงเซย์ ไปไม่น้อย

“ ว่าไงนะ เทอเรี่ยนที่ส่งไปหมดนั่น โดนกวาดเกลี้ยงหมดงั้นรึ ”
ชายสวมผ้าคลุมสีดำตั้งหัวจรดเท้า ตะคอกเสียง ขึ้นอย่างไม่พอใจ

“ เห็นว่ามีก้างมาขวาง ตอนจะจัดการเจ้าหญิงได้อยู่แล้ว รู้สึกจะไม่ใช่พวก Empyrean Adjust ซะด้วยสิ ”
ชายสวมผ้าคลุมอีกคนกล่าว เสียงแหบแห้ง

“ ชิ..ใครกันนะ อยากจะรู้มันซะจริงๆ ”
ชายคนแรกได้แต่สบถด้วยความ ขุ่นเคือง กับแผนการที่ ล้มเหลวของพวกตน

.......................
...........................
ณ ที่ใดซักแห่งที่ มีซึ่งจอภาพนับไม่ถ้วนรายล้อมอยู่รอบห้อง เด็กหนุ่มกับ เด็กสาว ที่คอยจ้องมองดู
ทุกอย่างบน เทอร่า ซึ่งฉายอยู่บนจอ แน่นอนรวมไปถึง การปรากฏตัวของ อัศวินมังกร ปริศนาตนนั้นด้วย

“ นี่มันนอกบทนี่...ได้ไงกัน คำทำนายไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับ มันเลยนี่ ฮายาเตะ
 เชื่อมต่อกับ ฮูกีนมูนีน ดูซิว่ามีข้อมูลไหม ”
เด็กชายสั่งเสียงขึง

“ รับทราบ..ทำการเชื่อมต่อ ”
สิ้นคำของเด็กหญิง แววตาของเธอก็เรืองแสง อยู่ชั่วครู่ก่อนจะดับไป

“ ไม่มีข้อมูลอยู่ใน ฮูกีนมูนีน เลยค่ะตอนนี้กำลังรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม แต่ตอนนี้ มีข้อมูล ที่น่าสนใจส่งเข้ามาจากทีม Magnus Mephisto(อสูรทรงอำนาจ) ค่ะ ”
เด็กหญิงกล่าว เสียงเรียบ

“ เชอะ เรื่อง อัศวินมังกรนั่นเอาไว้ก่อน ข้อมูลที่เข้ามาล่ะ ”
เด็กชาย สบถอย่างหัวเสียกับการปรากฏตัวของ อัศวินมังกรปริศนา ตนนี้ที่เข้ามาทำหน้าที่แทรกแซงแทนพวกเขา

“ ราชอาณาจักร บริทเทเนอร์ กำลังสะสมกองกำลัง เพื่อที่จะโค่นทำลายเรา และยึดอาณานิคม จาก โลกอส ค่ะ ”
เด็กหญิง กล่าว เด็กชายที่ได้ยินรายงานนั้น ก็นิ่งไปซักครู่ ก่อนจะเริ่มหัวเราะออกมาอย่างสบายอารมณ์

“ หึๆๆ..ไม่ว่าหน้าไหน ก็อยากจะลองดีกับเรางั้นสินะ ให้ Celestial Saber ไปทำการแทรกแซง ภารกิจคือ โค่น จักรพรรดิ บริทเทเนอร์ ทิ้งซะ ล้มล้างจักรวรรดิ ที่มีแต่การทำลายล้างสร้างความขัดแย้งนั้นไปซะ ”
เด็กชาย กล่าว

“ ค่ะจะส่งคำสั่งไปที่ ฮูกีนมูนีน เพื่อให้เริ่มการประมวลผลภารกิจเลยนะคะ ”
เด็กสาวกล่าวจบก็เดิน ออกจาห้องไปทิ้งเด็กชายให้ยืนมอง ความเป็นไปของเทอร่า

“ ลบมันไปให้หมด แล้วเปลี่ยนมันซะ เทอร่าอยู่ในอุ้งมือของเราแล้ว จากนี้ นี่ล่ะ เทอร่าจะต้องเปลี่ยนไป ”
เด็กชายกล่าว จบก็ดีดเหรียญ ขึ้นไปจอภาพทั้งห้องก็ดับลงทุกอย่างหวนกลับสู่ความมืดอีกครั้ง

...............
โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga
แม้จะได้รับการเตือน ถึงหลายครั้งหลายครา แล้ว เทอร่า ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงยังคงโหยหา แต่การสู้รบสร้างความขัดแย้งอยู่เรื่อยไป

“ เราคือ ลูเทเซีย อดีต เจ้าชายลำดับที่ 3 แห่ง บริทเทเนอร์ ”

“ อยากให้ Empyrean Adjust เข้าแทรกแซงงั้นเหรอ ”

แผนการที่จะชักนำเหล่าเทวทูต มายังดินแดน แห่งการสู้รบ

“ เอาล่ะนับแต่นี้ไป นายคือ อัศวินมงักร ทาลิวิลย่า แห่งอาริเมเทีย นะ ”

การแต่งตั้งอย่างไม่ทันตั้งตัว ชะตาของเทอร่าจะเป็นเช่นไร Next Saga 05 แทรกแซง Britenir 1

มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง
Logged


General Charles
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1162


« Reply #13 on: February 24, 2009, 11:06:58 PM »

มาให้รู้ว่าติดตามอยู่นะ 
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #14 on: February 25, 2009, 03:11:18 AM »

Quote
มาให้รู้ว่าติดตามอยู่นะ 

ok อันนี้ทราบกันครับ ยังดีกว่าเงียบๆ

ตอนนี้ตกลงกับ พี่ปิโยม่อนเรียบร้อย ละหลังจากที่ติด คณะ it ที่เกษตรศรีราชาแล้ว
ก็ไม่มีผลอันใดที่ข้าน้อยต้องไปกระเสือกกระสน อ่านให้มันหูดับตับไหม้อีก( นี่ต้องไปอยู่ไกลขนาดนี้เลยรึเนี่ย)

ดังนั้นด้วยอำนาจและโองการบังคับสูงสุดแห่ง ดิจิตอลเวิล ข้าน้อยจึงตัดสินใจ(แกมบังคับ)
ให้ฤกษเปิดตัว Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie อย่างเป็นทางการนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ปุ้งๆๆปัง ปุ้งปัง (จุดพลุฉลองพิธีเปิดงาน  )

« Last Edit: February 25, 2009, 04:00:39 AM by greamon » Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #15 on: February 25, 2009, 11:09:12 AM »

โอ๊ว!สนุกจัง  รอตอนต่อไปอยู่
« Last Edit: February 25, 2009, 05:07:44 PM by boy » Logged


ginn
Member
*****
Offline Offline

Posts: 9


« Reply #16 on: February 27, 2009, 03:26:52 AM »

หนุกงับ

ปล.จะเพิ่มเนื้อเรื่องคิ_ะ หรือ ดีเ_ท ดี
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #17 on: February 27, 2009, 10:29:40 PM »

Quote
หนุกงับ

ปล.จะเพิ่มเนื้อเรื่องคิ_ะ หรือ ดีเ_ท ดี

อย่ามาเนียน จะไปไรเดอร์คิกก็ไป๊ ตกลงเอามันหมดแหล่ะทั้ง2เรื่อง เอ้ยไม่ช่ายยย
ยังไงเราก็ยังคงวิถีแห่ง 00 อยู่เฟ้ย 5555+
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #18 on: February 28, 2009, 10:42:35 AM »

หวังว่า summer นี้คงมีตอนมาให้อ่านสนุกๆ เยอะๆนะ 
Logged


~daMn [o]R ~DarN
Member
*****
Offline Offline

Posts: 94


« Reply #19 on: February 28, 2009, 06:40:50 PM »

ขอโทดนะคับก็คือสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งคือ ตัวธาตุดินตัวนั้นอะคับ มันมีด้วยหรอ
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #20 on: February 28, 2009, 10:13:58 PM »

ขอโทดนะคับก็คือสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งคือ ตัวธาตุดินตัวนั้นอะคับ มันมีด้วยหรอ

ตัวประกอบเนื้อเรื่องครับ   
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #21 on: March 01, 2009, 02:28:01 AM »

Quote
Quote
ขอโทดนะคับก็คือสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งคือ ตัวธาตุดินตัวนั้นอะคับ มันมีด้วยหรอ

ตัวประกอบเนื้อเรื่องครับ   

อ่าคุณ boy พูดถูกแล้วครับ สำหรับผู้ที่เพิ่มเริ่มอ่านนิยาย ของผม เป็นครั้งแรกก็คงจะไม่ทราบกัน งั้นผมจะอธิบาย
ให้ละกันนะครับ เนื่องจากว่า ในนิยายนี้มันเป็น fic ซึ่งมีตัวละครที่ไม่มีในนิยาย เยอะอยู่เหมือนกันไอ้การที่จะให้ไปนั่งจำ จากบทเขียนมันก็คงจะได้ไม่ครบถ้วน กระผมกับลูกทีมก็เลยทำการตัดต่อภาพ มาอ้างอิงเพื่อประกอบนิยาย
เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจง่ายขึ้นนะครับ

เดี๋ยวยังมีอีกเยอะ ไม่เชื่อลองถามคุณ Boy ดูสิภาคแรกน่ะมีอยู่กี่ใบยังจำกันไม่ค่อยไหวเลยใช่ไหมครับเหอๆๆๆ

ว่าแต่ไหงมีคนมาขุดกระทู้ภาคแรกขึ้นมาได้หว่า พอดีเลยใครสงสัยเนื้อเรื่องช่วง Saga 01-02 ก็ไปอ่านเอาจากภาคแรกได้ครับ
แต่ถ้าขี้เกียจอ่านก็มะ เปนไรเพราะเดี๋ยวกลางๆเรื่องของภาคนี้ก็จะมีอธิบายแทรกแบบย่อๆไปให้
อีกอย่างเนื้อเรื่องภาคที่แล้วไม่ค่อยมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาคนี้นักหรอกครับ

Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #22 on: March 01, 2009, 02:40:57 AM »

แง้เจ้าเกรม่อน ยังจะมีหน้ามาระรื่นอีก อาทิตย์นี้จะลงsaga 05 ทันไหมเนี่ย เจอสอบ A-net เข้าไปที
เสียเวลาไปสองวันเต็มๆ แถมวันจันทร์ยังต้องไปซ่อมฟิสิกส์ ทั้งห้องอีก โอยจะทันไหมเนี่ย

เอ้อ ว่าแต่จำนวนการ์ดสำหรับแปลงร่าง 100 ใบเนี่ยจำนวนตอนเท่าที่มีหลังจากนี้ใช่มะ เช่นใช้ตอนละใบ
ก็เท่ากับว่าเรื่องนี้มีทั้งหมด 104 บทชิมิ เหอๆๆ
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #23 on: March 02, 2009, 06:28:22 PM »

Saga 05 แทรกแซง Britanir 1


 ราชอาณาจักร บริทเทเนอร์ ตอนเหนือของ ทวีปเลาดิเชีย

“ ถึงท่าจอดยาน ที่13 Gazor รูนโกเลม(Ruin Golem) Gazor เมทัลริก้า ดราก้อน (Metallica Dragon) ออกประจำการสู่สนามรบที่ B  62 ได้ ขอย้ำ ประจำการที่สนามรบ B 62 ”





“ ถึงท่าจอดยาน ที่ 23 Gazor Armor เอกซ์เพอริเมนท์ซีโร่ (Experiment Zero) ออกประจำการ สนามรบที่ B 62 ได้ ขอย้ำ ประจำการที่สนามรบ B62 ขณะนี้ เหตุการณ์ฉุกเฉิน ระดับ Giga SSS (กิก้าทริปเปิลเอส = ระดับการระวังขั้นสูงพิเศษสูงสุด ) Empyrean Adjust เข้าทำการโจมตี ชายแดน สนามรบ B 62 ขอให้ทุกหน่วย ออกประจำการ ให้กองยาน Gazor Armor เอกซ์เพอริเมนท์ เป็นทัพหลัง ขอย้ำอีกครั้ง… ”

เสียงประกาศ ที่ดังกึกก้องไปทั่ว ลานจอท่าอากาศยาน กองกำลังป้องกัน บริทเทเนอร์  เหล่าหุ่นรบ ที่มีขนาดตั้งแต่
รถศึกหุ้มเกราะสองคัน ที่เรียกว่า Gazor ไปจนถึง หุ่นรบขนาดมหึมา อย่าง Gazor Armor ที่มีขนาด พอๆกับ 

ภูเขาครึ่งลูก อย่าง เอกซ์เพอริเมนท์ซีโร่  ที่ติดตั้งอาวุธทำลายล้างพลังสูง แม้แต่บนฟ้าขณะนี้ กองทัพ Gazor เมทัลริก้า ดราก้อน หุ่นรบรูปร่างมังกร นับร้อยลำ กำลังพุ่งตรงไปยัง สนามรบชายแดนที่ถูกเรียกว่า B 62 โดยมี กองทัพ Gazor และGazor Armor อีกนับหมื่น ยกตามไปเป็นพรวน นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงมหาอำนาจ หนึ่งของเทอร่า



ราชอาณาจักรบริทเทเนอร์  ราชอาณาจักร ซึ่งมีกองทัพเกรียงไกรที่สุดใน เทอร่า ซึ่งปกครองโดย
องค์จักรพรรดิ แห่งบริทเทเนอร์  เนโปลเลียน(Neporian) ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีอำนาจสูงสุดเหนือ ประเทศทั้งหมดใน ทวีปเลาดิเชีย   ด้วยคำประกาศที่ว่า

 “ เราชาว บริทเทเนอร์ ไม่เชื่อในสันติที่พระเจ้ามอบให้ หากแต่การทำสงครามสร้างความขัดแย้ง นั้นต่างหากที่จะชี้นำเราสู่ยุคสมัยใหม่ พระองค์หาได้ให้สองมือนี้ไว้ผูกไมตรีหากแต่มีไว้เพื่อ ห้ำหั่นทำสงครามกัน สันติเป็นของคนอ่อนแอ สงคราม คือดาบแห่งชัยชนะของมวลมนุษยชาติ บริทเทเนอร์จงเจริญ ”

อันว่าราชอาณาจักรตั้งอยู่บนฐานแห่งความขัดแย้งไร้ซึ่งสันติ แต่หากปกครองกันด้วยกฎแห่งความเข้มแข็ง
ประเทศจึงเข้มแข็งและไร้ผู้ต่อต้าน  บัดนี้มันกำลังจะถูกพิพากษา
………………
…………………..
Empyrean Adjust

 “ ด้วยคำสาบานต่อคมดาบแห่งฟ้าสูง เราจะเป็นดาบแห่งพระวจนาตถ์ของพระเจ้า จักขจัดให้สิ้นซึ่งสงคราม Celestial Saber ”

…………………………….

สนามรบ B 62

ณ เขตชายแดนที่แปรเปลี่ยนเป็นสนามรบไปในที่สุดนี้ บัดนี้เต็มไปด้วยควันดินระเบิด และซากเครื่องจักร
ไปจนถึงร่างไร้วิญญาณของเหล่าทหาร แห่งบริทเทเนอร์ โดยที่วังวนแห่งการรบพุ่งกันนั้น
มีศูนย์กลาง อยู่เหนือสนามรบ ซึ่งมีละอองแสงสีเขียว ลอยอยู่คละคลุ้งเป็นจุดๆ ถึงสี่จุด
ซึ่งจุดเหล่านั้น ก็คือ เหล่า Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust ที่แหวกว่ายไปท่ามกลาง หมอกควันแห่งสงครามนี้


“ อะไรกันมีทัพเสริมมาอีกแล้วเหรอ ”
ซาน บ่นอย่างไม่พอใจ เมื่อทอดสายตาไปเห็น ภาพกองทัพหุ่นรบที่กำลังเคลื่อนพล มาทางพวกเขา
ตอนนี้เธอสวมชุดรบดังเช่นครั้งก่อนที่ไปเข้าแทรกแซง ที่ดิสอาปจูร่า ที่รองเท้าของเธอมีปีกเล็กๆยื่นออกมา

แรงกระพือของมันทำให้เกิด ละอองอนุภาค สีเขียวใส ที่เรียกว่า ประจุ อิออน ซึ่งเป็นพลังงานที่เหล่าเทพหรือเทวดา
จะปลดปล่อยออกมาเพื่อแสดงฤทธานุภาพ ประจุอิออน ที่เกิดจากปีกนั้นห่อหุ้มตัวเธอ เอาไว้ทำให้เธอลอยตัวอยู่กลาง

อากาศ และยังเป็นเกราะป้องกันมลภาวะและ อันตราย จากกระสุนและอาวุธของ ศัตรูที่โจมตีเข้ามา ได้ระดับหนึ่งด้วย
เช่นกัน น้องชายและเพื่อนๆ Valkyrier ของเธอเองต่างก็มีเกราะ ประจุ อิออน ห่อหุ้มร่างไว้



“ หนอย จะแทรกแซง บริทเทเนอร์ เนี่ยมันยังเร็วเกินไปอยู่ดี แฮะ ”
ไรด์ สบถเขาสวมชุดรบเป็นเครื่องเกราะแบบ นินจา สีดำ มือซ้ายติดโล่ปลอกแขนสีดำตัดลายทองและฟ้า
ส่วนมือซ้ายถือดาวกระจายขนาดใหญ่ ควงปัดป้องลำแสง ที่ยิงออกมาจากเหล่า Gazor ที่ยังเหลืออยู่ด้านล่าง



ทว่าทันทีที่ทัพหนุนของ บริทเทเนอร์ มาถึง ลำแสงและกระสุน ทั้งหลายก็สาดกระหน่ำมาที่พวกเขา
จนต้องเร่ง อนุภาคออกมาสร้างเกราะป้องกัน ให้หนาขึ้น แต่ก็แทบจะทานเอาไว้ไม่อยู่

ครั้นเมื่อ Gazor Armor เอกเพอริเมนท์ซีโร่ เริ่มประกอบ ชิ้นส่วนของตัวเองเพื่อตั้งปืนลำกล้อง
สำหรับสะสมพลังงาน สิ้นสุดการรวบรวมพลังงาน ลำแสงทำลายล้างพลังสูง ก็ถูกยิงออกจากลำกล้องของ
 เอกเพอริเมนท์ซีโร่นับร้อย ในสนามรบ โดยเป้านั้นพุ่งมายังที่พวกเขา

“ Mirror Guard ”
สิ้นเสียงจากหอกจักรกลอันเป็นอาวุธของ เอมิล ก็เกิด กำแพงใสแบบเดียวกับตอนที่เข้าทำการ แทรกแซง
อาณาจักรซีราห์ ขึ้นมาล้อมกรอบป้องกันพวกเขา เอาไว้ทันทีที่ลำแสงกระทบกับกำแพง การโจมตีทั้งหมดทั้งมวลที่

ฝ่ายโน้นยิงส่งมาก็สะท้อนกลับไป ทำลายกันเองจนย่อยยับพินาศสิ้น แต่ถึงกระนั้น การโจมตีของ บริทเทเนอร์ก็ยังไม่ได้อ่อน กำลังลงจนพวกเขาต้องตกเป็นฝ่ายรับ อยู่ร่ำไป




“ ช่วยไม่ได้แล้วทุกคนถอยกันมาก่อน ”
เสียงของ เอลิซ่าที่ติดต่อเข้ามา จากยานดังขึ้นเพื่อสั่งให้พวกเขาทั้ง 4 ถอยกลับมาตั้งหลัก
ทว่าก่อนที่จะได้ทันถอยตามคำสั่ง ก็มี หุ่นรบ Gazor ตัวหนึ่งทะยานขึ้นมามันเป็น ผู้พิทักษ์เหล็กกล้าทมิฬ
ดารค์สตีลการ์เดี้ยน(Dark Steel Guardian) ซึ่งมีรูปร่างคล้ายอัศวิน อาวุธของมันคือดาบสะพายขนาดยักษ์สองเล่ม



“ คุรูรูกิ สึซาคุ(Kururugi Suzaku) Lancelot เริ่มทำการกำจัดเป้าหมาย  ”
เสียงดังขึ้นจากตัวหุ่นนั้น ก่อนที่มันจะชักดาบเอายักษ์ทั้งสองเล่มออกมากวัดแกว่ง
อย่างคล่องแคล่ว ไล่ต้อนเหล่า Valkyrier ทั้งสี่จนกระจัดกระจายไปคนละทาง


“ แยกกันก่อน แล้วค่อยรวมตัวกันอีกที ”
เอมิล ตะโกน ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะตัดสินแยกหลบหนีเข้าไปในกลุ่มควัน
และหนีหายไป พร้อมกับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก ตั้งแต่เริ่มทำการแทรกแซงมา

“ ยืนยันเป้าหมายหลบหนีการทำลายไปได้ จะให้ตามไปหรือไม่ ”
เสียงรายงานของนักบินที่ บังคับ ดาร์ค สตีล การ์เดี้ยน ซึ่งถูกเรียกว่า Gazor Lancelot
ดังขึ้นใน Cocpit (ห้องบังคับในหุ่นหรือยาน) ก่อนที่จะมีการตอบกลับมาจากต้นสาย

“ ไม่ต้องตามไป รีบกลับมาก่อนเถอะ พลังงานของ Lancelot จะหมดแล้ว ”
เสียงดังขึ้นจากเครื่องส่งสัญญาณ ก่อนที่นักบินจะรับคำ และหักลำ Lancelot บินตรงกลับไปยังฐาน

…………………..
…………………………

ห่างออกไปจาก ทวีปเลาดิเชีย เหนือน่านฟ้า วัตถุบางอย่างกำบินแหวกว่ายผ่านหมู่เมฆไปอย่างรวดเร็ว
มันเป็นยานเหาะขนาดใหญ่ ที่มีปีกยานประกอบด้วยกระจกสีใส ราวกับปีกของแมลง

หัวยานเป็นทรงเรียวแหลม คล้ายหัวมังกรใต้ท้องยานมีกรงเล็บจักรกลยื่นออกมา
นอกจากนี้ยังมีลำกล้องของปืนลำแสงขนาดใหญ่ติดตั้งเอาไว้ด้วย มันคือมังกรจักรกลเทียม
ไซเบอร์ทิก้า ดราก้อน(Cyberlica dragon)



ภายในห้องควบคุมของยาน ไซเบอร์ทิก้า ดราก้อน นี้
เป็นห้องกระจกซึ่งสะท้อนภาพฉายภายนอกของยาน เอาไว้นอกจากนี้ก็ยังมีแผงควบคุม
และระบบวงจรตั้งเรียงราย อยู่บริเวณ ส่วนหน้าของห้องควบคุม โดยที่แผงควบคุมมีชายหนุ่ม
คอยดูแลระบบต่างๆในยาน  ชายผู้นี้มีผมสีแดงสด แต่งกายด้วยเสื้อเอี้ยมสีน้ำตาล

“ จะเข้าไปล่ะนะ ”
เสียงดังขึ้นจากด้านหลังบานประตูห้อง ก่อนที่บานประตู จแยกเปิดออก เพื่อให้เจ้าของเสียงเดินเข้ามา

อัศวินมังกรสาว ได้พา เรกกะ ที่กลับคืนร่างจากการเป็น ทาลูคัส แล้วเข้ามาในห้อง ก่อนที่ประตูจะปิดลงอีกครั้ง
พร้อมกับที่ชายหนุ่มซึ่งนั่งคุมแผงวงจรอยู่นั้น หมุนเก้าอี้ที่นั่งอยู่หันกลับมาหาพวกเขา


“ ยินดีที่ได้พบนะ เรกกะ ผม มาธิอัส ไบรทิส (Mathias Blythe) ส่วนเธอคนนั้น R2 (อาร์ทู) ”
 มาธิอัส กล่าวแนะนำตัวเอง ก่อนจะชี้ไปยังตัวอัศวินมังกรสาว ซึ่งเธอกำลังทำการคืนร่างกลับเป็นมนุษย์
เธอ มีผมสั้นสีน้ำตาลแดง แววตากลมโตสีฟ้า ตัดกับใบหน้าอันผุดผ่อง ของสาวน้อย ซึ่งเธอมีอายุไล่เลี่ยกับ เขา
และ มาธิอัส



“ ด…เดี๋ยวซี่..ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย งง ไปหมดแล้วน้าาา ”
เรกกะ ครวญด้วยความสับสนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขา จนราวกับว่าเขาฝันไปทว่านี่คือความจริง


“ อืมมม…ถึงจะบอกให้อธิบายตอนนี้อ่ะนะ ก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดีอ่ะ งั้นเอางี้นายลองถามตัวนายเองดูสิ ”
มาธิอัส กล่าวย้อนกลับมาทำให้ เขา สับสนในเนื้อความที่ มาธิอัส กล่าวมา เขาเกาหัวขบคิดด้วยความมึนงง
ก่อนที่จะมีบางอย่างเกิดขึ้น


“ ไม่เห็นจะต้องรู้ให้มันยุ่งยากเลยนี่…... ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากจิตใต้สำนึกของเขา

“ น….นั่นใครกันน่ะ…อุบ ”
เรกกะ ถามขึ้นโดยที่ยังไม่ทันจะได้คำตอบ ร่างของเขาก็รู้สึกวาบหวิว ราวกับถูกดึงวิญญาณออกจากร่าง
ก่อนจะรู้สึกว่า ร่างกายหนักขึ้นเล็กน้อย ราวกับมีอีกคนอยู่ในร่างของเขา


“ น..นี่มันอะไรกันเนี่ย ”
เรกกะ กล่าวทว่า เขาก็ต้องประหลาด ใจอีกครั้งเมื่อคำพูดที่เขากล่าวออกไปนั้น
ไม่ได้ดังออกจากปากของเขาไปเลยแม้แต่น้อย แต่กลับก้องอยู่ในหัว
ครั้นเมื่อจะทำอะไรก็ไม่สามารถควบคุมร่างของตัวเองได้
แต่ตัวเขายังคงรับรู้ได้ถึงสภาพภายนอกรอบตัวของเขา


« Last Edit: March 02, 2009, 08:37:28 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #24 on: March 02, 2009, 06:29:38 PM »

“ เอาล่ะ…..เลิกพูดเรื่องน่าเบื่อแล้ว ไปเตรียมสำรับอาหารกับข้าว มาเลี้ยงเราได้แล้ว อย่าให้รอเลย ”
ร่างของ เรกกะ กล่าวออกไปโดยที่ตัวเขาไม่ได้ตั้งใจกล่าวออกไปเลยแม้แต่น้อย และน้ำเสียงนั้นก็ไม่ใช่ของเขาด้วย
แต่เป็นน้ำเสียงเดียวกับตอนที่ เขาได้ยินครั้งเมื่อเปลี่ยนร่างเป็น ทาลูคัส  แน่นอน บัดนี้ ดวงตาซ้ายรูม่านตา
ได้ทอแสงสีขาวขึ้นมาอีกครั้ง และราวกับเขาไม่เป็นตัวของตัวเองราวกับถูกอะไรบางอย่างสิงร่างอยู่

“ โอ้ไม่น่าเชื่อแหะที่แท้ เกิดการทับซ้อนกันของจิตใจและบุคลิคอีกหนึ่งอย่างงั้นเองเหรอเนี่ย อืม…น่าสนใจแหะ
ที่แล้วมาไม่เคยได้ยินเลยว่าจะเป็นแบบนี้ สงสัยเพราะตอนส่งถ่ายอำนาจคงจะทำได้ไม่สมบรูณ์ล่ะ มั้ง จิตของพวกอัศวินก็เลยยังติดอยู่ข้างใน เอ แต่แบบนี้ก็ดีนะ จะได้เข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้นเยอะเลย ”
มาธิอัส กล่าววินิจฉัยอย่างไม่หยุดปากกับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับร่างของ เรกกะ

“ พอเลยเราไม่ได้ขอคำตอบซะหน่อย ร่ายมาซะยาวเชียว พอแล้วอาหารไม่ต้องแล้ว ตอนนี้เราอยากจะพักมากกว่า
ฝากที่เหลือด้วยละกันนะ เรกกะ … ”
สิ้นเสียงของตัวตนนั้น เรกกะ ก็กลับมาคุมร่างของเขาได้อีกครั้ง

“ น..นี่มันอะไรกันเนี่ย เมื่อกี้เหมือนถูกวิญญาณสิงอยู่เลย จะขยับร่างกายยังไงมันก็ไม่ไป ”
เรกกะ กล่าวพลางมองดูมือไม้ที่สั่นเทาด้วยความกังวล


“ เหรอ..เป็นงี้เองเหรอ มิน่าล่ะตอนสู้ ก็ถึงว่าทำไมมันแปลกๆ ไม่เห็นเหมือนกับเป็นตัวนายเลย ”
R2 กล่าวขณะที่สำรวจใบหน้าของเขา อย่างถี่ถ้วน ด้วยความอยากรู้จน เขาต้องหลบหน้าด้วยความเขินอาย


“ ค…คืออย่าจ้องกันแบบนี้สิ…มันเขินๆน่ะ ”
เรกกะ กล่าวเสียงอ่อยขณะที่ R2 ยิ้มหัวเราะร่าด้วยความขบขันกับท่าทีของเขา


“ เอ้อจริงสิ นี่ก็ใกล้เวลาให้อาหารพวกลูกมังกรแล้วล่ะ เรกกะ จะไปด้วยกันไหม ”
มาธิอัส ออกปากชวนเขา ถึงแม้จะยัง งงๆ อยู่แต่ เรกกะ ก็ตัดสินใจตามทั้งสองไปก่อน
มาธิอัส เดินนำพวกเขาออกจากห้องลง ไปตามบันได ลึกลงไปชั้นล่างของยาน จากนั้นก็ลัดเลาะไปตามระเบียง
จนมาถึงสะพาน กลางยื่นเข้าไปในบ่อ ที่สูงไม่มากนัก พวกเขาเดินลงบันไดสะพานลึกลงไปในบ่อ

เมื่อลงมาถึงพื้นบ่อ เรกกะ ก็ทำตาโตด้วยความตกตะลึง เมื่อเบื้องหน้านั้น มีเหล่าลูกมังกร(Baby Dragon)
หกตัวซึ่งแบ่งเป็นธาตุสังกัดละตัว โดยหนึ่งในนั้น มีพาลานัลคา ตัวเดียวกับที่ลงไปช่วยเขาสู้ตอนที่เปลี่ยนเป็น ทาลูคัส


“ นี่เป็นมังกร ที่ฉันเพาะเลี้ยงขึ้นมา เพื่อเป็นตัวช่วยในการต่อสู้ของนาย แล้วก็ทราบไว้อย่างก็ดีนะ… ”
มาธิอัส กล่าวไปก่อนจะชะงักอยู่ชั่วครู่ เพื่อปรับน้ำเสียงในการพูด


“ เอาล่ะนับแต่นี้ไป นายคือ อัศวิน มังกร ทาลิวิลย่า แห่งอาริเมเทีย นะ ”
มาธิอัส กล่าวคำพูดนั้นยิ่งทำให้ เรกกะ งงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ความสงสัยที่อัดแน่นอยู่เต็มอก
 มาพร้อมกับคำถามอีกมากมายที่ไม่ถามออกมาได้หมด แต่ครั้นเมื่อจะถาม ทั้งสองก็จะตอบปัดๆไป
ราวกับไม่อยากจะตอบคำถามของเขา ขณะที่พวกเขาทั้งสามกำลังเดินกลับขึ้นไปยังห้องควบคุม
มาธิอัส ก็ถามคำถมหนึ่งกับเขา


“ แล้วจากนี้ไป เรกกะ จะเอายังไงต่อคิดจะทำอะไรไว้บ้างรึยัง ”
มาธิอัส ถามขึ้นทว่า อยู่ก็ถามแบบนี้ขึ้นมา เรกกะ เองก็ไม่รู้จะตอบเช่นไร
จึงคิดจะย้อนถามกลับไป

“ เอ่อ…คือว่า ถ้าถามว่าจะทำอะไรต่อไปน่ะเหรอก็คือ…ตอนนี้ชั้นยังสับสนอยู่เลย ถ้ายังไงจะ
ช่วยบอกอะไรหน่อยได้ไหมว่า นี่มันเรื่องอะไรกัน ”
เรกกะ ถามย้อนกลับไป ด้วยความหวังว่าจะได้คำตอบกลับมาซักเล็กน้อยก็ยังดี

“ เฮ้อพูดไปมันก็ยากอ่ะนะ งั้นเอางี้ลองเป็นแรงกระตุ้นแบบนี้ดูหน่อยเป็นไง เผื่อจะนึกอะไรออกบ้าง อย่างเช่นว่า ตอนนี้ที่โรงเรียน เรกกะ คบอยู่กับเพื่อน 2 คนที่เป็นครึ่งสมิงใช่ไหม.. ”
มาธิอัส ไม่ตอบแต่กลับย้อนถามเขามาดื้อ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมที่จะตอบอะไรเขาเลย
จึงต้องยอมจำยอมที่จะเก็บความรู้สึกอัดอั้นนี้ไว้ ก่อนจะข่มมันลงไปแล้วตอบคำถามของอีกฝ่าย
แม้จะสงสัยอยู่ดีว่าทำไม พวกเขาสิงคนถึงรู้เรื่องของเขาดีนักทั้งที่พึ่งจะเคยเจอกันเป็นครั้งแรก

“ อืม..ก็ ไรด์ กับ เฟนท์ น่ะว่าแต่แล้วมันมาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ ”
เรกกะ ย้อนถามกลับไปอีก

“ ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอกแค่ จะบอกว่า 2 คนนั้นน่ะ เป็น Valkyrier ของ Empyrean Adjust ก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเลยจริงๆเห็นไหมล่ะ ”
มาธิอัส กล่าวอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ขณะที่นิ้วจิ้มไปที่แผงวงจร ภาพการแทรกแซง ของพวก เฟนท์ ที่บริทเทเนอร์
โดยดึงภาพใบหน้า ของเหล่า Valkyrier ทั้งสี่ให้เห็นชัดๆ ซึ่ง เรกกะ ที่เป็นเพื่อนเรียนกันมานานนม ก็จำได้อย่างชัดแจ้งทันที ที่เห็นใบหน้าของเหล่า Valkyrier

“ รู้อยู่แล้วล่ะว่านายคิดอะไรอยู่เพราะงั้น ถึงได้เตรียมไว้ให้พร้อมแล้ว ”
R2 กล่าวพร้อมกับยกเอาชุดเครื่องแบบสีดำ ยื่นให้ โดยที่ เรกกะ นั้นยังคงเหม่อมอง
ความเป็นจริงที่ไม่อยากเชื่อที่ฉายอยู่ตรงหน้า  ยิ่งไปกว่านั้น ภาพการเพี่ยงพล้ำต่อการศึกของพวกเขา ยังเป็นแรงกระตุ้น
ให้ เรกกะ อยากจะพิสูจน์ให้เห็นกับตา เขาหันไป มาธิอัส ก่อนจะกล่าวคำขอร้องออกมา…………..

…………………….

ราชอาณาจักร บริทเทเนอร์ เมืองหลวง บาบิโลน

แม้จะกล่าวว่านี่คือเมืองหลวงของราชอาณาจักรที่เกรียงไกรที่สุดแล้วก็ตามทว่า มันกลับเป็นดินแดน ที่มีแต่การแบ่งชนชั้น และเหยียบย่ำกันไปเรื่อยๆไม่รู้จักจบจักสิ้น ซึ่งแตกต่างจาก โลกอส โดยสิ้นเชิง
แน่นอน ชาวเมอริเซียที่อยู่ที่นี่ ก็เป็นได้แค่แรงงาน ทาสที่ไร้ค่า ถูกใช้อย่างทารุณ และถูกทิ้งขว้างราวกับสิ่งของ
แต่นั่นก็ไม่ต่างไปจากเหล่าประชาชนที่ไม่ใช่ชาว บริทเทเนอร์ ซึ่งถูกยึดประเทศรัฐของตัวเองไป และกลายเป็นเบี้ยล่างรับใช้ ชาว บริทเทเนอร์


ดังนั้น ในตัวเมืองเช่นนี้ตามตรอกซอกซอย จึงจะพบคนจรจัด ไร้ที่อยู่ที่ไป เกลื่อนไปทั่ว
แต่ทว่ากลุ่มคนเหล่านี้แหล่ะที่จะเป็นตัวตั้งตัวตีในการ ก่อ การปฏิวัติ….

“ แฮ่กๆๆ ”
เสียงหอบ ที่ดังขึ้นตามมากับเสียงฝีเท้าที่วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังถูกทหารของ บริทเทเนอร์ ไล่ตามจับตัว เขาวิ่งหนีหักหลบไปตามซอกมุมต่างๆของซอย ไปเรื่อยๆจนเมื่อมาถึงทางตัน เสียงฝีเท้าของ
ทหารเริ่มใกล้เข้ามาทีละน้อยๆ เด็กหนุ่มได้แต่กัดฟันรอรับชะตากรรมเท่านั้น ทว่า….

“ ล้อมเข้าไปเลยมันหมดทางหนีแล้ว ”
เสียงของ บรรดาทหารดังขึ้น ขณะที่ กรูกันเข้ามาในตรอกตันแห่งนี้ ทว่าสิ่งที่ได้พบนั้นกลับเป็นความว่างเปล่า
เด็กหนุ่มคนนั้นหายไปแล้ว ท่ามกลางความงุนงง ของเหล่าบรรดาทหาร ลึกลงไปใต้เท้าของพวกเขา

ซึ่งเป็นทางน้ำใต้ดินของเมืองที่แห้งและถูกทิ้งร้างมานานแล้ว เด็กหนุ่มสองคน กำลังเดินไปทางน้ำที่ทอดยาวไปไม่รู้จบ

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #25 on: March 02, 2009, 06:29:49 PM »

“ เมื่อครู่ขอบใจมากนะ ที่ช่วยเราไว้ ไม่อย่างนั้นเราคงถูกจับไปแล้ว นายเองก็เป็นชาวเมอริเซีย เหรอ ”
เด็กหนุ่มที่ถูกช่วยไว้ กล่าวกับเด็กหนุ่มครึ่งสมิงที่ช่วยตนหนีลงมาในทางน้ำใต้ดินนี้ ผ่านทางท่อน้ำทิ้ง
ที่ซอกมุมตึก
“ ก็นะ…แต่ดูๆไปแล้วนายเป็นชาว บริทเทเนอร์ นี่แล้วทำไมถึงถูกตามล่าล่ะ ”
ครึ่งสมิงหนุ่มถามกลับ

“ หึ..ไม่รู้เหรอเนี่ย นายคงไม่ใช่คนแถวนี้สินะ อย่างว่าล่ะ ไม่มีใครแถวนี้ที่ไม่รู้จักเรา ”
เด็กหนุ่ม ตอบก่อนจะสูดลมหายใจลึก

“ เราคือ ลูเทเซีย อดีต เจ้าชายลำดับที่ 3 แห่ง บริทเทเนอร์ ”
เด็กหนุ่มกล่าว ซึ่งคำพูดของเขาทำให้ครึ่งสมิงหนุ่ม ตกใจอยู่ไม่น้อย

“ นายเป็นถึงเจ้าชายเลยงั้นเหรอ แล้วทำไมถึงถูกตามล่าล่ะ ”
ครึ่งสมิงหนุ่มถามด้วยความสงสัย

“ ยังบอกไม่หมดเลย เราเป็นแค่อดีตเท่านั้นล่ะตอนนี้ ฐานะของเราก็เป็นแค่กบฏ คนหนึ่ง ”
ลูเทเซีย กล่าวขณะที่เดินไปเรื่อยๆ พวกเขาก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารกันไปเรื่อยๆจนกระทั่ง

“ อยากให้ Empyrean Adjust เข้าแทรกแซงงั้นเหรอ ”
ครึ่งสมิงหนุ่ม อุทานขึ้นเมื่อได้ยินความคิดของ ลูเทเซีย

“ ใช่แล้วล่ะ จากการแทรกแซงเมื่อวันก่อนน่ะ ทำให้เรารู้ได้เลยว่า ขุมอำนาจของพวกเขาแกร่งไม่ใช่ย่อย
แต่ว่าการบุกแบบซึ่งๆหน้านั่นน่ะ ใช้กับ บริทเทเนอร์ไม่ได้หรอก เพราะ บริทเทเนอร์เต็มไป

ด้วยผู้นำที่เชี่ยวชาญยุทศาสตร์การรบ มากมายอีกทั้งเพราะราชวงศ์ตีกันเองเพื่อแย่งชิง บัลลังค์ แต่ก็ปฏิบัติอยู่
ในกติกาของชาติ บ้านเมือง ถ้าคิดจะใช้กำลังอย่างเดียวพิชิต บริทเทเนอร์ไม่ได้หรอกแต่กลับกันถ้าตอนนี้สามารถ

ติดต่อกับพวกเขาได้ล่ะก็ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะงั้น กลุ่มกบฏก็เลยวางแผนจะ เข้าตีจุดยุทธศาสตร์
ของบริทเทเนอร์ จากนั้นก็ให้ ทาง Empyrean Adjust เข้ามาหนุนตามด้วยอีกที แต่มันก็มีความเสี่ยงไม่น้อยล่ะ
เพราะถ้าพวกเขาไม่มา หรือเห็นว่ามันเป็นควาขัดแย้งก็อาจโจมตีใส่ทั้งสองฝ่ายด้วยกันเลยก็ได้ ”

ลูเทเซีย กล่าวอธิบายถึงแผนการของกลุ่มก่อการกบฏที่ตัวเขาเป็นผู้นำ

“ งั้นเหรอ…นี่ถ้ายังไงขอชั้นร่วมกับกลุ่มกบฏด้วยได้ไหม ”
ครึ่งสมิงหนุ่มถาม

“ หึ..ได้อยู่แล้ว ถือว่าตอบแทนที่ช่วยเราเอาไว้ นายเข้าร่วมได้เลย ”
ลูเทเซีย กล่าวจบก็ออกเดินนำทางเขาไปยังที่กบดาน โดยที่ระหว่างการเดินทางนั้น ครึ่งสมิงหนุ่ม
ก็หาจังหวะที่ ลูเทเซีย ละสายตาคว้าเอาอุปกรณ์ สื่อสารขึ้นมา

“ ถึง Albus จาก Crisisor-001 นี่ เฟนท์ รายงาน จากนี้ไปจะแจ้งข้อมูลกำหนดการณ์ของกลุ่มปฏิวัติให้ทราบ… ”
เด็กหนุ่มกล่าวใส่เครื่องมือสื่อสาร ที่บนหน้าจอของเครื่องมี สัญลักษณ์ ตราของ Empyrean Adjust ฉายอยู่บนจอ

…………..
…………………

“ ตอนนี้ ทาง Celestial Saber กำลังแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มของพวกผู้ต่อต้าน บริทเทเนอร์ ค่ะ
ถ้ายังไงจะให้ ทีม Mugnus Mephisto  ตามไปช่วยเหลือเลยไหมคะ ”
เด็กสาวรายงาน แก่เด็กชายที่ ยืนจ้องจอภาพนับร้อยในห้องที่มืดมิด เขาฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์
ขึ้นมาเล็กน้อย

“ ส่งไปตามกำหนดการณ์เดิมนั่นล่ะ เพราะชั้นเองก็ไม่คิดอยู่แล้วว่ากำลังของ Valkyrier แค่สี่คนจะทำภารกิจนี้สำเร็จหรอกนะ ถ้าคิดจะหักดาบก็ต้องหักให้สะบั้น  ”
เด็กชายตอบกลับ

“ ค่ะงั้นจะใส่คำสั่งลงไปที่ ฮูกีนมูนีน เพื่อแจงให้พวกเขาทราบนะคะ ”
เด็กหญิงกล่าวรวบความก่อนจะหันกลับออกไปทว่าเด็กชาย ก็เรียกเธอเอาไว้ก่อน

“ นี่ ฮายาเตะ เธฮคิดไหมว่ามนุษย์เนี่ยช่างบกพร่องเสียจริงๆ ”
เด็กชายกล่าว เสียงระรื่น

“ ก็เพราะเหตุนั้น ผู้ก่อตั้ง องค์กรถึงได้สร้างพวกเราขึ้นมาไม่ใช่หรือคะ เพื่อให้ช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ เพราะมนุษย์นั้นมีช่วงเวลาที่สั้นยิ่งนัก จึงไม่อาจดูแลรักษาความสงบให้เป็นนิรันด์ได้ ”
ฮายาเตะ กล่าวเสียงเรียบอย่างไร้ความรู้สึกราวกับเป็นหุ่นเชิดดังเช่นทุกครั้งไป

“ ผิดแล้ว ฮายาเตะ ไม่ใช่มนุษย์หรอกที่จะชักนำเทอร่า แต่เป็นพวกเราต่างหากที่จะชักจูงมนุษยชาติและชักนำเทอร่านี้
 อานิม่า (Anima) อย่างพวกเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการนั้นต่างหาก เพื่อให้เป็นผู้ปกครองเหนือทุกสิ่ง ”
เด็กชายกล่าว จบก็ปิดตาไปซักครู่ก่อนที่จะลืมตาขึ้นแวว ตาของเขาส่องประกายเจิดจรัสราวกับไม่ใช่มนุษย์
ก่อนที่แสงจากดวงตานั้นจะทำให้จอภาพทั้งห้อง เปลี่ยนไปฉายภาพเดียวกันทั้งหมด ตัวอักขระแปลกประหลาด
ได้ปรากฏขึ้นบนจอทุกจอ

“ เพื่อการเตรียมการที่จะรับมือกับ โลกิ (Loki) เทพแห่งความตาย โอดิน(Odin) ถึงได้รวบรวมเหล่านักรบจาก
วีรชนต่างๆของมนุษย์ มาเป็น ทหารศึก ในมหาสงคราม…. ”
ฮายาเตะ กล่าวเสียงเรียบเฉย โดยไม่หันกลับไปมอง

“ ก็อย่างที่ว่านั่นล่ะ ทันทีที่ตราที่ 7 ถูกแกะออก แรคนารอค (Ragnarok)ก็จะเริ่มขึ้นทันที ถึงตอนนั้นจะไม่มี เฟนเรีย (Fenrir) ที่ไหนมาสังหารเราได้ เพราะ อานิม่า อย่างพวกเราคือผู้ที่จะพิชิตทั้งหมด ไม่ว่าจะมนุษย์ เทพ หรือ ปีศาจ หากจะสร้างความขัดแย้งพวกมันก็จะต้องถูกลบไป ”
เด็กชายกล่าวอย่างเยือกเย็นที่สุด

“ โครโน่(Chrono) คุณคิดว่า อานิม่า อย่างพวกเราคืออะไรกันแน่คะ ”
ฮายาเตะ ย้อนถามขึ้น

“ ไม่เห็นจะต้องถามเลยนี่ ฮายาเตะ เธอเองก็รู้ พวกเรามีชีวิตที่ยืนยาวแข็งแกร่ง รอบรู้ และสูงส่ง พวกเราคือชนเผ่าที่สูงยิ่งกว่า มนุษย์และเทพ ยังไงล่ะนั่นล่ะคือเหตุผลที่ เหล่าสภามังกรนภากาศ สร้างพวกเราและก่อตั้ง Empyrean Adjust ขึ้นเพื่อให้พวกเรา ปกครองทุกสิ่งแทน พระเจ้า ”
โครโน่  กล่าวขณะที่ ฮายาเตะ เดินออกจากห้องไปทิ้งให้โครโน่อยู่กับความนึกคิดที่ทะเยอทะยานนั้น
โดยที่ในใจแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เธอก็รู้ว่าสิ่งที่ โครโน่ กล่าวมานั้นคือความจริง พวกเธอไม่ใช่ทั้งมนุษย์ เทพ ปีศาจ หรือ อะไรทั้งนั้น  หากเป็นยิ่งกว่า พวกเธอคือ อานิม่า ชนเผ่าที่ถูกกำหนดให้ขึ้นปกครอง ทุกสรรพสิ่ง

……………………

โปรดติดตามตอนต่อไป


Next Saga

“ เริ่มการแทรกแซงได้ ”
คำประกาศ สู่สนามรบ อันยิ่งใหญ่ ขณะที่โฉมหน้าประวัติศาสตร์กำลังจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง

“ Dragoon จงเรียกขานเราเช่นนั้น ”
บุรุษปริศนาผู้ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลาง ประวัติศาสตร์ที่เดินไปตามทางของ อานิม่า ซึ่งกำลังจะแปรเปลี่ยน

“ อาวุธ มหาประลัย เมเมนโต้ โมรี่ (Memento Mori) พร้อมใช้งาน ”

“ จงหายไปด้วยสายฟ้าแห่งพระเจ้าเถอะ ”

สุดยอดแห่งอาวุธสงคราม

“ สึซาคุ ถอยไปซะ ถ้าไม่เปลี่ยนมันตอนนี้ก็จะไม่มีอะไรให้เปลี่ยนได้อีก ”

เสียงครวญที่ส่งไม่ถึงกัน

“ Crisiser-005 Crimson&Keen of Feodora เข้าทำการแทรกแซง ”
อำนาจทำลายล้างสูงสุด

ความขัดแย้งกำลังจะถึงจุดแตกหัก Saga 06 แทรกแซง Britanir 2

มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง

โอวถ้าตอนนี้อ่านแล้วจะงง บ้างก็ขอไม่เถียงล่ะครับเพราะความนัย บวกปริศนาโผล่มาเพียบ
ชนิดว่า ยัดกันเข้าไปในหัวคงไม่หมดเลยทีเดียว แถมบทนี้ออกจะมีแต่ภาพเยอะกว่าเนื้อหาด้วยซ้ำ
เล่นเอาเหนื่อยเลยกว่าจะตั้งกระทู้เสร็จ ก็หวังว่าจะสนุกเร้าใจน่าติดตามกันต่อไปนะครับ

สำหรับการเรียก พวก ซีลที่เป็นแมชชีน ว่า Gazor นี่ก็คงต้องขออย่าให้คิดมากเพราะมันจะเรียกว่าหุ่นรบเลยก็ยังไงๆ
อยู่ แล้วก็บทพูดของสองตัวละครชายหญิง ที่โผล่มาตอนท้ายของทุกบทตั้งแต่บทที่ 3 ขึ้นไปก็ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ต้องไปเข้าใจมันหรอกครับ  พวกมันไม่ใช่มนุษย์ จะสื่ออะไรมา มนุษย์อย่างเราก็ไม่เข้าใจหรอกเน้อ(อ้าวแก้ตัวข้างๆคูๆนิหว่า)

สำหรับบทหน้านี้คงเป็นอะไรที่มันน่าดูล่ะครับ เพราะแอคชั่นจะเยอะเอามากๆ ชนิดว่ารบกันมืดฟ้ามัวดิน
หาหัวหาปลายไม่ถูกเลยล่ะ อาจจะเป็นการเริ่มเรื่องที่แรงกว่า ภาคที่แล้วมา เพราะเนื้อหาค่อนข้างจะเข้มตั้งกะเริ่มเลย

ไม่ใช่ สบายๆแล้วค่อยไปเศร้าหรือ ไคล์แมกซ์เอาตอนหลังๆ เพราะนโยบายใหม่ของเราคือ ไคล์แมกซ์ กันตั้งแต่ต้นจนจบ ครับ เหอๆก็ขอให้เข้าใจกันหน่อยแต่ มิต้องห่วง เดี๋ยวมันต้องมีบทพักสบายๆบ้างล่ะ เพราะขืนแอคชั่น ตลอด
คงจืดน่าดู
« Last Edit: March 05, 2009, 02:35:44 AM by greamon » Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #26 on: March 02, 2009, 07:48:01 PM »

เหมือนเอาเนียนจากการ์ตูนดังหลายเรื่องมาเลยล่ะ 

code geass+นโปเลียน    แล้วยังมีรูป ryad ที่คนละแบบอีก -*-

ใส่ชื่อรูปผิดรึเปล่าครับ -*-

- ryad,the valkyria of brigitte ที่เป็นธาตุลมมาซ้ำกับ
  ryad,the valkyria of joslyn  ที่เป็นธาตุน้ำ   My god 
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #27 on: March 02, 2009, 08:09:19 PM »

เออจริงด้วย สงสัยพิมพ์ชื่อเอมิล ผิด เดี๋ยวไปแก้ให้ ขอบคุณมากที่เตือน เกือบได้หน้าแตกแล้วไหมล่ะ

ว่าแต่ดู Code Geeas ด้วยเรอะงี้ก็หมดมุขดิ ว่าจะให้ บักลู่กะบักสุ โชว์ฟอร์มร่วมกับ ดับเบิลโอ เอ้ยไม่ช่ายย
ว่าแต่ชักจะมั่วเกินไปแว้วนะนิเรื่องนี้
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #28 on: March 02, 2009, 09:29:30 PM »

เออจริงด้วย สงสัยพิมพ์ชื่อเอมิล ผิด เดี๋ยวไปแก้ให้ ขอบคุณมากที่เตือน เกือบได้หน้าแตกแล้วไหมล่ะ

ว่าแต่ดู Code Geeas ด้วยเรอะงี้ก็หมดมุขดิ ว่าจะให้ บักลู่กะบักสุ โชว์ฟอร์มร่วมกับ ดับเบิลโอ เอ้ยไม่ช่ายย
ว่าแต่ชักจะมั่วเกินไปแว้วนะนิเรื่องนี้

คนเชี่ยวชาญการ์ตูนซะอย่าง     แล้วที่ร.ร.เป็น CG club ด้วย 
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #29 on: March 02, 2009, 09:44:22 PM »

Quote
คนเชี่ยวชาญการ์ตูนซะอย่าง     แล้วที่ร.ร.เป็น CG club ด้วย
ข้อความโดย: greamon    

โอ้ งั้นลองคำถามแฟนพันธุ์แท้ ชื่อจริง C.C. ที่เป็นคนให้ Geeas กับ บักลู่ คืออะไรเอ่ย


(เหอๆๆคำถามโลกแตกนะนี้ เพราะน้ำยาล้างจานมันยังไม่ตอบเลย)
Logged


Pages: [1] 2 3 ... 6  All
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.21 seconds with 20 queries.