Summoner Master Forum
May 01, 2024, 09:30:44 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: 1 2 [3] 4 5 6  All
  Print  
Author Topic: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ,อัพสารบัญเรียบร้อย  (Read 87818 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #60 on: March 18, 2009, 07:30:26 PM »

“ ก็าซซซซซซซ ”
เสียงคำรามของ อาแมนคริส ดังกึกก้องกัมปนาท ปานฟ้าร้อง ก่อนที่คลื่นพลังงานที่แผ่ออกจากร่างของมันจะรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้เกิดแรงกดอัด บีบ ออกไปจนแนวหิน ระเบิด ถล่มทลายจมลงสู่ก้นทะเล

เอมิล ไรด์ และ ซาน ทั้งสามรีบ ทยอย กันลอยตัวออกจาก แนวหิน ด้วยอนุภาคที่เริ่มจะสะสมกลับมาจน
ใช้งานได้ในระดับหนึ่ง ทว่าก่อนที่ เฟนท์ จะออกจาก แนวหิน เค้าก็เห็นว่า Dragoon พยายามพยุงร่างของ ทาลิเลีย
ขึ้น ด้วยเหตุว่า ทาลิเลีย อ่อนแรงเกินกว่าจะบิน จึงทำให้ พวกเค้าไม่สามารถ ออกจาก แนวโขดหินได้

“ ทำไงดีเราเองก็แปลงร่างไม่ได้ซะด้วย ”
เรกกะ เปรยขณะที่พยุงร่างของ ทาลิเลีย เดินหนี แนวหินที่พังทลายไล่มาเรื่อยๆ

“ เรกกะ จับมือชั้นไว้เร็ว ”
เฟนท์ เข้าเรียกขณะที่ ลอยเข้ามาหาพลางส่งมือให้ เรกกะ ไม่มีทางเลือกจึงคว้ามือ เฟนท์ เอาไว้
ก่อนที่ เฟนท์ จะแบกร่างของ ทั้งสอง ออกจากแนวโขดหินที่ทลาย ย่อยยับไปพร้อมกับฐานทัพ ของ มาราดัน

ขณะที่ตอนนี้ อาแมนคริส ก็ยังคงอาละวาด อยู่คลื่นพลังของมัน ทำให้เกิดกระแสลมผันผวนจนเกิดเป็นพายุหมุน
ลงทะเล ขึ้นมาหลายลูก ท่ามกลาง กระแสลมและคลื่นที่ปั่นป่วนนี้ ทำให้ ยานของทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้ไม่ได้
พวกเค้าจึงถูกทิ้งให้เผชิญกับ มังกรหกธาตุ ที่คลุ้มคลั่งนี้

“ นี่ เรกกะ ทำไมไม่แปลงร่างล่ะ พวกชั้นเองใช้ ประจุ ไปเยอะแล้ว คงไม่เหลือ พลังจะไปสู้กับมันแล้ว ตอนนี้มีแค่นายเท่านั้นนะที่จะช่วยพวกเราได้ ”
เฟนท์ กล่าวขณะที่ จูงพาพวกเขาหลบฝ่า พายุ และคลื่น ที่กระหน่ำซัดเข้ามา

“ เฟนท์ นี่นายรู้ งั้นเหรอ ว่าเป็นชั้นน่ะ ”
เรกกะ ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

“ นี่ไม่ใช่เวลามาถามเรื่องนั้นนะ รีบแปลงร่างเป็น อัศวินมังกร ซะเร็วชั้นเองก็จะแบกพวกนายไม่ไหวแล้ว ”
 เฟนท์ กล่าวอย่างยากลำบาก ขณะที่พาพวกเค้าขึ้นห่างจาก กระแสคลื่น

“ ไม่ได้หรอก ตอนนี้ทั้ง ทาลิคนัส กับ ทาลูคัส ก็ไม่มีใครสู้ได้เลย ชั้นแปลงร่างไม่ได้หรอก ”
เรกกะ กล่าวขณะนั้นเอง อยู่ๆ อาแมนคริส ที่กำลังคลุ้มคลั่ง ก็พุ่งเข้ามาหาพวกเค้า
ก่อนจะ สะบัดปีกสร้างลมพายุหอบเอาพวกเค้าตกทะเลไป คลื่นทะเลที่พัดกระหน่ำในเวลานี้ทำให้ พวกเค้า
ถูกพัดจมลงไปใต้น้ำ อย่างง่ายดาย

“ เฟนท์ ”
ซาน ร้องเสียงหลงขึ้นทันทีที่ เห็นว่า น้องชายของ เธอจมลงไปใต้ทะเล ทว่าครู่ต่อมา
เฟนท์ เรกกะ และ ทาลิเลีย ก็ลอยขึ้นมาจากน้ำได้ด้วย กำแพงพลังงานสีน้ำตาลใส ที่เฟนท์ สร้างขึ้น
แทนพื้นยกลอยขึ้นมาเหนือคลื่น

“ โอย ..นี่เจ้าบ้า ทาลิคนัส นายมัวทำอะไรอยู่ ”
ทาลิเลีย สบถพลางสำลักน้ำไปด้วย

“ ไม่ไหวทาลิคนัส กับ ทาลูคัสยัง ไม่ฟื้นเลย ”
เรกกะ กล่าวขณะที่ ยันตัวลุกขึ้นยืน พร้อมกับที่ พวกซาน บินลงมาที่ยืนที่กำแพงพลังงานนี้ด้วย

“ เฟนท์ ไม่เป็นไรนะ ”
ซาน กล่าวพลางเข้าไปช่วยพยุงตัวน้องชายที่เนื้อตัวเปียกปอน ลุกขึ้นยืน

“ นี่นายทำไมไม่แปลงร่างแล้วบินเองล่ะ เกือบทำ เพื่อนชั้นจมน้ำตายแล้วนะ ”
ไรด์ สบถใส่ เรกกะ ด้วยความไม่พอใจ

“ นี่ไม่มีเวลามาเถียงกันเรื่องนั้นแล้วนะ เจ้ามังกรนั่นกำลังจะมาแล้ว ”
เอมิล แย้งขึ้น ขณะที่ อาแมนคริส พ่นเปลวเพลิงสีขาวออกมา

“ Mirror Guard ”
สิ้นเสียง กำแพงแก้วก็ถูฏสร้างขึ้นจาก หอกของ เอมิล และป้องกัน เปลวเพลิงของ อาแมนคริส ไว้แต่ ก็ต้านเกือบจะไม่อยู่ทันทีที่ต้านไว้ได้จนสำเร็จ พลังงานอันน้อยนิดที่มีเหลืออยู่ก็เกือบจะหมดในทันที ทว่า อาแมนคริส ก็ยังไม่หยุดอาละวาด

“ ขอโทษนะ เรกกะ พอดีหลับนานไปหน่อย ตอนนี้เจ้านก เผือก มันยังไม่ไหว เดี๋ยวชั้นจัดการเอง ”
เสียงของ ทาลิคนัส ดังขึ้น ในจิตใจของ เรกกะ

“ อ๊ะ พอดีเลย ทาลิคนัส ..อ... ”
ยังไม่ทันที่ เรกกะ จะพูดจบ ทาลิคนัส ก็เข้าสิงทันที
ขณะนั้นเอง ชายซึ่งปกปิดตัวเอง ก็ได้ออกมา ยืนจับเวลาด้วย นาฬิกาทราย อยู่บนโขดหินที่เหลือรอดจากการทำลาย ท่ามกลางพายุและคลื่นที่กระหน่ำซัดนี้

“ แต่ถึงจะแปลงร่างแล้วก็เถอะนะ แต่พลังกดดัน ของ มังกรนั่น ก็จะทำให้นาย… ”
เรกกะ แย้งขึ้นในจิตใจ ขณะที่ ทาลิคนัส ไม่ฟังแต่ประการใด จัดแจงเปิด ตลับไพ่ออกและหยิบไพ่ออกมา ตัวเลขบนจอตลับไพ่ก็ลดลงจาก 89 เป็น 88 ก่อนที่ จะนำขึ้นมาส่องที่ดวงตาซ้ายซึ่งเรืองแสงสีแดงอยู่
แล้วจึงนำไปวางที่หน้าปัดก่อนจะทุบมันลงไป

“ Blaze Form ” “ Regeneration ”
เสียงดังขึ้นไล่กันมาจาก หน้าปัดก่อนที่ ร่างของ เรกกะ จะเปลี่ยนเป็น  ทาลิคนัส

“ โอเระ ทันโจว มันแปลว่า พระเอกมาแล้ว ”
ทาลิคนัส กล่าวประโยค ประจำตัวพางวาดมือ แต่ก็ไม่มีใครสนใจกับกริยาของ ทาลิคนัส เพราะต่างก็กังวลกับการโจมตีที่จะมาถึงในไม่ช้า

“ Ignis et Dragos ”
สิ้นเสียง ดาบอัคคีก็ถูกสร้างขึ้นก่อนที่ ทาลิคนัส จะพุ่งเข้าไปฟันใส่ อาแมนคริส แบบไม่ยั้ง

“ ฮ่าๆๆ…เป็นไงๆ..ซ่าส์ดีนักเหรอเจ้าตะกวด หกสี ...เห้อ...เอาไปกิน..เอาไปกินนี่ ”
ทาลิคนัส กล่าวย้ำใส่อารมณ์เต็มที่ ขณะที่ร่ายดาบไปเป็นชุดกระหน่ำซะจน อาแมนคริส ต้องถอยร่นไป

“ เอาล่ะได้เวลาโชว์ ท่าไม้ตายกันแล้ว..อุบ ”
ทาลิคนัส กล่าวก่อนจะยกนิ้วขึ้นเพื่อดีด เรียกไพ่แต่ก็ไม่ทันไร
ร่างกายก็เกิดรู้สึกถูกบีบอัด ขึ้นในทันที

“ ชิ รู้สึกไม่มีแรงเลย สงสัยเพราะตะกี้จะ ไคลแมกซ์ ไปหน่อยก็เลยไม่รู้สึก แต่ตอนนี้มันไม่แรงเหลือแล้วนะเนี่ย ”
ทาลิคนัส กล่าวอย่างอ่อนระโรยขณะที่ ดาบอัคคี ก็พลอยสลายไปด้วย ก่อนจะถูก อาแมนคริส ที่ชิงพุ่งขึ้นมา ตบซัดกลับลงไป  กำแพงพลังงาน ของ เฟนท์ก่อนที่จะกลับคืนสู่ร่างเดิม

“ แม้แต่นายก็ไม่ไหวเหรอ ”
เฟนท์ กล่าวขณะที่ควบคุมให้เกราะ ถอยห่างออกเพื่อพาทุกคนหนีจาก การตามล่าของอาแมนคริส

“ เจ็บใจนัก...นี่เราทำอะไรไม่ได้เลยรึไงนี่ ”
ไรด์ สบถ ด้วยความเจ็บใจที่ พวกตนพ่ายให้แก่ อาแมนคริส อย่างหมดรูป

“ หนอยนี่ฉันคนนี้แพ้หรือเนี่ย..ฮึ้ยอยากจะร้องไห้ ”
ทาลิคนัส ในร่างเรกกะ สบถพลางทุบกำปั้นลงกับ กำแพงพลังงาน
ทว่าครู่ต่อมา การสิงร่างก็ถูกชิงไป เป็นของ บุคลิกอื่นทันที

“ ได้ร้องไห้แน่..ความแข็งแกร่งของข้า แม้แต่เด็กยังต้องร้องไห้ ”
เรกกะ กล่าวเสียงทุ้มๆ เหมือนกับไม่ใช่เสียงของเขา และดวงตาซ้ายก็เรืองแสงสีน้ำตาลเข้มออกมาแทนอยู่ภายใต้หน้ากาก ของ Dragoon

“ อะไรน่ะ… ”
เฟนท์ และพรรคพวกพากัน มองด้วยความประหลาดใจกับท่าทีที่อยู่ๆก็เปลี่ยนไปแบบปุบปับของ Dragoon

“ เอ๋....นี่นายเองเหรอ..ทำไมถึงพึ่งมาล่ะ ”
เรกกะ กล่าวขึ้นในจิตใจ

“ เจ้าหมอนี่น่ะเอาแต่หลับมาตั้งแต่ เมื่อวานแล้ว ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่นซักที
จนเมื่อกี้พอได้ยินคำว่าร้องไห้เท่านั้นล่ะก็พุ่งพรวดออกมาเลย ”
เสียงของ ทาลูคัส ดังขึ้นบ้าง

“ นี่…ทำไมอยู่ๆถึงได้เปลี่ยนไปยังกะคนล่ะคนเลยล่ะเนี่ย ”
ซาน กล่าวถามด้วยความสงสัย

“ เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ..ตอนนี้พวกเจ้า ช่วยเข้าไปขวางไว้ไม่ให้เจ้ายักษ์นั่นเข้ามาก่อนได้ไหม..ขอร้องล่ะ ”
บุคลิกใหม่ กล่าวกับเหล่า Valkyrier ที่ยัง งงๆ อยู่กับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นนี้

“ แล้วทำไมเราต้องทำตามที่แกบอกด้วยล่ะ ที่สำคัญไอ้ท่าที ปุบปับๆ ตั้งกะเมื่อกี้แล้วแกเป็นอะไรของแกน่ะ ”
ไรด์ สบถ ทว่า

“ ไม่มีเวลามาบ่นแล้วล่ะ เจ้านั่นมันจะมาแล้ว ตอนนี้ทำตามที่เค้าบอกก่อนเถอะ ”
เอมิล กล่าวพลาง ชักเอาแท่งด้ามดามขึ้นมา ก่อนที่ เฟนท์ ไรด์ และซซาน จะทำตาม
ทันที่ ด้ามดาบถูก ละออง อนุภาคที่มีเหลืออยู่น้อยนิด ในตอนนี้ คมดาบก็ถูกสร้างขึ้น
จากด้ามดาบ และ หุ้มคมไว้ด้วย อนุภาค อิออน

“ ฝากด้วยล่ะ..ความหวังตอนนี้ขึ้นนอยู่กับนายแล้ว ”
เอมิล กล่าว ก่อนที่จะนำเหล่า Valkyrier ออกไป สกัด อาแมนคริส ไว้

เรกกะ จึงเปิดตลับไพ่ออกและหยิบไพ่ออกมา ทำให้ตัวเลขบนหน้าจอตลับไพ่ลดลง เป็น 87 แล้ว
เมื่อ เรกกะ เอาไพ่ ขึ้นมามองด้วยแสงในตาซ้าย สัญลักษณ์ธาตุแห่งดินก็ปรากฏขึ้น ก่อนที่จะนำเอาไปวางที่หน้าปัด
“ Quake Form ”
เสียงดังขึ้นจาก หน้าปัดสายคาด ก่อนที่ เรกกะ จะทุบไพ่ลงไปที่หน้าปัด

“ Regeneration ”
สิ้นเสียง ก็เกิดแสงสีน้ำตาลส่องวาบออกมาจาก หน้าปัดสายคาด ก่อนที่ร่างของ เรกกะ
จะถูกปกคลุมด้วยหิน และแตกออก มาพร้อมกับการปรากฏร่างของ อัศวินมังกร ร่างสีน้ำตาล

แข็งราวหินผา ที่ไหล่มีหินงอกอันคมกริบงอก ออกมาทั้งสองข้างเศษหินที่แตกออก จากร่าง
นั้น เมื่อร่วงหล่นลงสู่ทะเล ก็กลับขยายตัวออกเป็น ผืนหินศิลา ที่มีหินงอกขึ้นเต็มไปหมดทาง

“ Solum et Dragos ”
สิ้นเสียงของ อัศวินมังกรตนนั้น มวลแสงสีน้ำตาลก็ถูกสร้างขึ้นในอุ้งมือทั้งสองข้างก่อน ที่เค้า จะบีบมัน
จนแตกกระเจิง มวลแสงก็ได้รวมตัวเข้ากลายเป็นดาบ และโล่

“ จงหลั่งน้ำตาให้กับ วิถีแห่งลูกผู้ชายซะเถอะ ”
อัศวินมังกร กล่าวประกาศพลางตั้งท่ายื่นดาบออกไปข้างหน้า

“ ค..คราวนี้ เป็น ทาโซรอส (Thasolos, the Arimathea’s Dragoon of Thaliwilya) เหรอ ”
ทาลิเลีย กล่าว



“ ชื่อของนายคือ ทาโซรอส เหรอ ”
เรกกะ กล่าวขึ้นในจิตใจ

“ นั่นแล้วแต่เจ้าจะเรียก ”
ทาโซรอส ตอบก่อนจะ กระโดดลงไปที่ พื้นหินที่สร้างขึ้น ทันทีพื้นหินที่เกิดขึ้นก็ทอดตัวยาวออกไปยัง
ทางที่อาแมนคริส กำลัง ปะทะ อยู่กับ Valkyrier ซึ่งต่างใช้ อิออน เซเบอร์ เข้าฟาดฟัน ทว่าก็ไม่อาจทำ
อะไร อาแมนคริส ได้

“ พวกเจ้าถอยไป ข้าจะปิดฉากมันเดี๋ยวนี้ล่ะ ”
ทาโซรอส ประกาศก้อง ขณะที่แผ่นหินที่ตนยืนอยู่ทอดตัวพุ่งทะยานขึ้น ไป
สู่ศึก กลางเวหา เฟนท์ และพวกที่เห็น ก็พากันหลีกทางให้ ทาโซรอส เข้าไป

ทันทีท่เข้าใกล้ร่างของ อาแมนคริส พลังกดดัน จากธาตุที่สมดุลของ มันก็ส่งแรงกระเทือนมาจน
เรกกะ รับรู้ได้ถึงแรงสะเทือน

“ ม...ไม่เป็นไรแน่เหรอ ทาโซรอส แรงสะเทือนนี่มันแรงมากเลยนะ ”
เรกกะ ในจิตใจกล่าวขึ้น

“ นั่นสิ จะเวียนหัวตายอยู่แล้ว ”
ทาลูคัส บ่นขึ้นเช่นกันเมื่อแรงสะเทือนที่ตอนที่ทำให้ทั้งร่างของ ทาโซรอส สั่นสะท้าน

“ โอย อยากจะอ้วก นี่แกไม่รู้สึกอะไรบ้างรึไงเนี่ย ”
ทาลิคนัส กล่าวอย่างกระอักกระอ่วน ขณะที่ ทาโซรอส พุ่งเข้าไปจวนจะถึงอยู่ในอีกไม่กี่อึดใจ

“ รู้สึกสิ...แต่ลูกผู้ชายน่ะเค้าไม่พูดมากกันหรอก ”
ทาโซรอส กล่าวพลางเร่งความเร็วการทอดตัวของ แผ่นหิน ให้เร็วขึ้น จนแผ่นหินพุ่งเข้าไปชนร่างของ อาแมนคริส
เสียเต็มแรง จนมันเสียหลักเซถลาไป

“ ฮึ้ย....ย่าห์ ”
ทาโซรอส เปล่งเสียงพลาง สวิงดาบฟันอย่างหนักหน่วง กระหน่ำใส่ อาแมนคริส ไปเรื่อยๆก่อนที่จะให้ แผ่นหิน พุ่งชนจน ร่างของ อาแมนคริส กระเด็นออกไป แล้วจึงดีดนิ้วมือ เพื่อเรียกให้ไพ่ที่ใช้แปลงร่างออกมา
ก่อนจะนำเอาไพ่ กดลงบนลูกแก้วสีน้ำตาลบนคมดาบ

“ Full Charge Great of Dragon ”
สิ้นเสียง ไพ่ก็ถูกกลืนลงไปในลูกแก้วก่อนที่มันจะเรืองแสง ไม่นานคมดาบก็เริ่มเปล่งแสงสีน้ตาลอ่อนออกมาบ้าง
ทาโซรอส จึงเคลื่อนแผ่นหินพุ่งเข้าไปชนใส่ร่างของ อาแมนคริส อย่างจังอีกครั้ง

ก่อนจะหนุมตัวควงดาบ สวิงฟันกระหน่ำลงไปพร้อมกับกระโดดขึ้นจาก แผ่นหินไปพร้อมๆกับการสวิง
คมดาบกระหน่ำลงไปยังร่างของ อาแมนคริส เสียสองครั้ง อย่างหนักหน่วงและรุนแรงชนิดที่ว่า ทุกครั้งที่ ดาบกระทบ

เกิด ประกายแสงแลบออกมากับเสียง ระเบิดดังตามๆมา จนในที่สุดเมื่อ ทาโซรอส พุ่งขึ้นจนสูงสุดแล้ว จึงหยุด
สวิงและยกดาบขึ้นจับด้วยสองมือ ก่อนจะพุ่งลงมาในขณะที่ แสงซึ่งเปล่งออกจากคมดาบได้แปลเปลี่ยนเป็นมังกร

พลังงาน สถิตอยู่นะคมดาบ จนดูราวกับว่า เค้าลากเอาหัวมังกรพลังงานพุ่งลงมา ก่อนจะจามผ่าร่างของ อาแมนคริส
ตั้งแต่หัวจรด เท้า  ลงไป จนกระแทกลงสู่พื้นน้ำ แรงระเบิดทำให้เกิดน้ำแตกกระเซ้นขึ้นเป็นละออง บดบังไปรอบๆ

“ ขวานอัสนีบาต ด้วยอำนาจแห่งมังกร ”
ทาโซรอส เปล่งเสียงประกาศก้าวหลังจากที่พึ่งจะลงคมดาบ ใส่ไปเสร็จก็ลงมายืนบนแผ่นหินที่ทอดตัวลงมารับร่างของ มันไว้ทว่า อาแมนคริส ก็ยังคงอยู่แต่มันก็ได้ดำลึกลงไปใต้ทะเล และหายลับไป พร้อมกับ คลื่นพลังงานรบกวนได้จางหายไปด้วย

“ จะพูดชื่อท่าไม้ตายทำไมไม่ประกาศก่อนจะใช้ท่าเล่า ”
ทาลิคนัส บ่นขึ้น

“ เอ๋..ยังงั้น เหรอเอ้อช่างมันเถอะนะ..ตอนนี้..คร่อกก zzZZ ”
ยังไม่ทันที่จะกล่าวต่อไป ทาโซรอส ก็สัปหงกไปทั้งท่ายืน ขณะที่ละออง น้ำยังคงล่องลอย
อยู่จนทำให้มองไม่เห็นอะไร ทาลิเลีย ก็โฉบ เข้ามาพาตัว ทาโซรอส ขึ้นไปยังยาน
ไซเบอริก้า ที่บินลงมารับ ก่อนจะออกบินจากไป ทิ้งให้เหล่า  Valkyrier จัดการกับส่วนที่เหลือต่อไป

.......................
...........................

วันต่อมา


“ แล้วตอนนี้ ทาโซรอส ก็เลยยังหลับอยู่งั้นเหรอ ”
R2 ที่กลับคืนร่างแล้ว ถามขึ้นขณะที่เดินไปกับ เรกกะ สองคนบนท้องถนน

“ ก็นะตั้งแต่ตอนที่สู้เสร็จแล้วล่ะ...รู้สึกว่าจะขี้เซาเอามากๆเลยด้วย ”
เรกกะ เล่าให้เธอฟังถึงสิ่งที่รู้เกี่ยวกับตัว ทาโซรอส ซึ่งหลังจากเมื่อวาน พวกเค้าก็พยายามติดต่อกับ ทาโซรอส แล้วแต่ก็ไม่ได้ผล ทาโซรอส ก็ยังคงเอาแต่หลับอยู่เหมือนเดิม

“ เออ นี่เรกกะ เห็นบอกกับพวก ทาลิคนัส ไว้ไม่ใช่เหรอว่าจะ เข้าไปหา คนคนนั้นที่เข้ามาจับตาดูตอนที่ เธอสู้น่ะ
ตกลงเค้าเป็นใครเหรอ ”
R2 หันมาเปลี่ยนเรื่องถามบ้าง

“ เรื่องนั้น ล่ะก็วันนั้นที่ป่า นั่น ถึงจะแค่แวบเดียว แล้วเค้าจะหนีไปก็ตามแต่ผมมั่นใจได้เลย… ”
เรกกะ กล่าวพลาง กำนาฬิกาทรายในมือแน่น

“ เค้าคนนั้นต้องใช่ ลอว์เรนซ์ คุณพ่อของผมแน่ๆ ถึงจะเห็นแค่แวบเดียวก็เถอะ ”
เรกกะ กล่าวขึ้นแวว ตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำเป้าหมายนี้ให้สำเร็จ ขณะที่ R2 มอง
เค้าด้วยความรู้สึกชื่นชมนิสัย ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆของ เรกกะ

“ งั้นแล้วทำไมต้องหนีด้วยล่ะไม่เข้าใจเลย…ลูกของตัวเองแท้ๆ ”
R2 บ่นขึ้นมาบ้างทันที อย่างไม่เข้าใจ

“ ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้แต่ซักวันผมจะต้องพบและพูดกับคุณพ่อ ให้ได้เลย ”
เรกกะ กล่าวยืนยันในจุดหมายอย่างมั่นใจ ทว่าขณะที่พวกเค้าเดินใกล้เข้าไป
 ยังตรอกซอย ข้างหน้า

“ แต่ชั้นว่า อย่าดีกว่า ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมเจ้าของเสียง ที่เดินออกมา กับ มังกรประหลาดๆ มันมีปีกเหมือนปีกแมลงและมี
ขนาดตัวที่เล็กกว่าลูกมังกรด้วยซ้ำ เจ้าของเสียงเป็น เด็กหนุ่มผมสีทอง
สวมเสื้อสีแดงคอปกเสื้อประดับด้วยขนมิ้นสีขาว

“ นาย…เป็นใครน่ะ ”
เรกกะ ถามขึ้นขณะที่เค้ากับ R2 จ้องมองเด็กหนุ่มคนนั้นซึ่ง อายุดูจะมากกว่าพวกเค้าปีหนึ่ง

“ หึ..ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะ ชั้นนี่แหล่ะ ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด ”
เด็กหนุ่มคนนั้นกล่าว พลางยกนิ้วขึ้นชี้เข้ามาที่ตัวเอง

“ หา.. ”
เรกกะ และ R2 ต่างร้องเสียงหลงกับการปรากฏตัวของ เด็กหนุ่มผู้อ้าวตัวว่า เป็น ลอว์เรนซ์ เรื่อง
ราวจะเป็นเช่นไร.............

โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga

“ ฮะๆๆ..หมอนั่นทำหน้าตกใจใหญ่เลย ”
“ ไปแกล้งแบบนั้นไม่ดีนะ ลอว์เรนซ์  ”
“ เอาน่าอุตส่าห์มาถึงอนาคตทั้งที ขอเที่ยวให้มันสนุกหน่อยเถอะ..เสียดายพวก เจนัส ไม่ได้มาด้วยเนี่ยสิ ”

ลอว์เรนซ์ ผู้นี้เค้าคือใคร

“ ไม่มีทาง ยังไงหมอนั่นก็ไม่มีทางเป็น พ่อของ เรกกะ ได้หรอกคนพรรค์นั้นน่ะ ”
“ ต..แต่ว่า เค้าเองก็ดูคล้ายผมมากเลยนะ ”
“ ไม่ได้นะ จะยอมรับกันง่ายๆเลยเหรอ ยังไงฉันก็ไม่เชื่อหรอกหมอนั่นจะต้องมีแผนแน่ๆ ”

ตัวจริงหรือตัวปลอม เชื่อหรือไม่เชื่อ

“ พร้อมนะ ยูปี้..ไปลุยด้วยกันเถอะ ไฟร์(Fire) กันเถอะ ”

“ Ready Fire ” “ Fist on ”

“ ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะว่าชั้นคนนี้ล่ะ เก่งระดับเทพอย่าบอกใครเลย ”

เรื่องราวทั้งหมดที่เริ่มจะซับซ้อนขึ้น ลอว์เรนซ์ที่ ปรากฏตัวขึ้นมาคือใคร Next Saga 10 ขอบอกเอาไว้ก่อนเลย....

มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง




ต้องขออภัยด้วยที่ บทนี้ยังไม่ได้ ลงภาพของ ไอ และ ลอว์เรนซ์ โฉมใหม่ เนื่องจาก ยังคิดความสามารถการ์ดไม่ออก แต่ภาพเสร็จหมดแล้ว ดังนั้นการ์ดประกอบของตัวละครเหล่านี้จะออกโชว์ ในSaga10นะขอรับ

แต่ก่อนอื่นมาสครีมบทนี้กันหน่อย ซึ่งในบทนี้อาจจะค่อนข้างสั้น เนื่องจาก พิมพ์ไม่ทัน มัวแต่เล่น Gundam Seed Destiny เพลิน ลืมบทนิยายตัวเองเลย มันก็เลยออกมาแบบนี้ ก็ทนๆไปก่อนละกันเน้อ
ว่าแต่ เพลง Op ยังไม่ได้แก้เลย แต่เข้าไปดูแล้วเป็นไงกันมั่งงิ ตอนนี้ช่างมันก่อนก็ได้ ที่สำคัญคือ ทำไม
ลอว์เรนซ์ ถึงมานี่ได้หว่า อันนี้คงต้องไปดูกันตอนหน้า สงสัยจังว่า ทำไม๊ทำไมคำพูดของ ลอว์เรนซ์มันแปล่งๆหว่า มีแวว จะได้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ด้วยป่ะเนี่ย


ช่วงแถมท้าย วันนี้ภาพสุดท้ายก่อนจะเฉลย กันในวันอาทิตย์นี้
ทั้งที่จริงๆแล้ว ต้องเฉลยกัน Saga 11 แท้ทำไมมา Saga10 แทนน่ะเหรอคำตอบ คือ ผมพิทพ์ผิดแล้วลืมแก้ง่ะ
งั้นภาพวันนี้ นะขอรับ นินๆ




Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #61 on: March 19, 2009, 09:54:43 PM »

ว้าว~ซิกฯใหม่ใส่ลิงค์  หุๆ

ดูไฮเทคจังเลยครับ 
Logged


ginn
Member
*****
Offline Offline

Posts: 9


« Reply #62 on: March 23, 2009, 02:23:50 AM »

อัพได้แล้ว คนอ่านรออยู่
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #63 on: March 24, 2009, 01:44:42 PM »

Saga 10 ขอบอกเอาไว้ก่อนเลย....

ความเดิม………..

หลังจากการแทรกแซงของ Empyrean Adjust ที่ เรกกะ ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ได้นำไปสู่การต่อสุดครั้งสุดท้ายกับ
กลุ่มมาราดัน องค์กรก่อการร้าย ที่เคยทำให้ เมอริเซีย ต้องวอดวายไปด้วย วิทยาการที่พวกมันขายให้แก่ อาณานิคม

อื่น ที่เข้ามาทำสงครามในเมอริเซีย  เมื่อ 200 กว่าปีก่อน  ตอนนี้กลุ่ม มาราดัน ก็ได้แตกสลายและ สาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์แล้ว จากเหตุการณ์ ในครั้งนี้ทำให้การก่อการร้ายลดลงไป อย่างมาก สถานการณ์ของเทอร่า

เริ่มคืบหน้าเข้าสู่ความสงบไปทุกขณะ ทว่า มังกรทรงอำนาจซึ่งมีพลังอันมหาศาล ที่กลุ่ม มาราดัน
ทำการวิจัย อาแมนคริส ได้หลุดออกมา และแม้ ทาโซรอส จะจัดการกับมันได้แต่มันก็ได้หนีหายไป

ต่อมาไม่นานเด็กหนุ่ม ผู้ซึ่งอ้างตัวว่า เป็น  ลอว์เรนซ์  ได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า เรกกะ เรื่องราวจะเป็นเช่นไร
…………………………
Op
………………………

“ เมื่อกี้นายบอกว่า นายคือ ลอว์เรนซ์ ………….อย่างนั้นเหรอ ”
เรกกะ ถามขึ้นอีกครั้งเพื่อขอความมั่นใจ



“ ไม่เห็นต้องถาม….ชั้นนี่ล่ะ ลอว์เรนซ์ ตัวจริงเสียงจริงเลย ”
เด็กหนุ่มกล่าวพลางชี้ไปที่ตน ขณะที่ มังกรตัวจิ๋ว ซึ่งบินอยู่ข้างๆนั้น ก็มีขนาด เล็กกว่า ลูกมังกรทั่วไป
เล็กน้อย มันมีปีกใสเหมือนปีกแมลง กระพือสลับไปมาอย่างรวดเร็ว  เจ้ามังกรนี้แท้จริงก็คือ ภูตมังกร (Fairy Dragon)
ที่จะอาศัยอยู่ในมิติ ของภูตเท่านั้น เหตุที่มันมาอยู่กับเค้านั้น จึงเป็นเรื่องที่แปลกยิ่ง



“ ไม่จริงหรอก..นายน่ะไม่ใช่ ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด หรอก…บอกมานะนายเป็นใครกันแน่ ”
R2 แย้งขึ้นพลางดึงตัว เรกกะ มาหลบข้างหลังเธอ เพื่อความปลอดภัยเนื่องจากไม่ไว้ใจอีกฝ่าย

“ ทำไมล่ะก็ชั้นนี่ล่ะ ลอว์เรนซ์ จะเป็นใครไปได้อีกเล่า…เห็นอยู่ทนโท่ หน้าเจ้าหมอนั่นก็คล้ายหน้าชั้นจะตายไป ”
ลอว์เรนซ์ แย้งพลางส่งสายตาหงุดหงิด กับท่าทางของ R2 ที่ทำเหมือนกับเขา
เป็นคนไม่ดี

“ นี่…นาย…หรือว่า ”
R2 เปรยขึ้นพลางคิดทบทวนเรื่องทั้งหมด และทำท่าเหมือนจะเข้าใจ

“ เข้าใจที่ชั้นพูดแล้วใช่ไหมล่ะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวด้วยความโล่งใจ ที่เธอเข้าใจในสิ่งที่เค้าพูดไป

“ นายแค่ชื่อ ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด เฉยๆ ใช่ป่ะ ไม่ใช่คนที่เราพูดถึงอยู่หรอกเนอะ ”
R2 กล่าวตอบอย่างมั่นใจ ทว่า ลอว์เรนซ์ กลับตีหน้าเบ้ ใส่ เป็นเชิงว่าเข้าใจผิดกันไปใหญ่

“ จะเข้าใจผิดกันไปใหญ่ แล้วชั้นบอกว่าชั้นนี่แหล่ะ คือคนที่พวกเธอพูดถึงอยู่
 ชั้นนี่ ล่ะ ลอว์เรนซ์ พ่อของเจ้าหมอนี่ในอนาคตน่ะ ”
ลอว์เรนซ์ ตะหวาด พลางชี้ไม้ชี้มือไปที่ เรกกะ ที่ยังยืนเอ๋อ อยู่ข้างหลัง R2

“ โกหกน่า นายเนี่ยนะจะเป็น พ่อของ เรกกะ จะบ้ารึไงเล่า พ่อของเรกกะ น่ะเสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว แล้วถ้าเกิดว่าเค้ารอดมาได้ล่ะก็ ป่านนี้ก็คงแก่ตายไม่ก็อายุเป็นร้อยปีแล้ว ที่สำคัญตระกูล ซาราเบลด ในเมอริเซียก็ล่มสลายไปหมดแล้วด้วย ”
R2 โต้กลับไป ทว่าเนื้อความที่เธอพูดมานั้น ถึงกับทำเอา เรกกะ หน้าถอดสีไปในทันที

“ อ…R2 ทำไมถึงบอกว่า พ่อผมอายุเกินเป็นร้อยปีล่ะ… ”
เรกกะ กล่าวขัดขึ้นมาระหว่างการโต้เถียงทำเอาทั้งสอง ถึงกับหยุดการโต้แย้งไปทันที

“ อ…คือว่า  ”
R2 กล่าวตะกุกตะกัก โดยในหัวคิดหาทางอธิบาย กับ เรกกะ 

“ ถึงผมจะบอกว่า ท่านพ่อของผมตายไปแล้ว ..แต่ผมไม่เคยบอกเลยนะครับว่า ผมเคยอยู่ที่เมอริเซีย…ไม่เคยบอกเลยด้วยว่าผมสูญเสียท่านไปเมื่อไหร่ด้วยซ้ำ…แล้วทำไม.. ”
เรกกะ กล่าวน้ำเสียงอึกอักๆ อยู่ในลำคอด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจ สุมอยู่ในอก

“ ม…ไม่ใช่นะ เรกกะ คือว่า..ฉัน..ฉัน ”
R2 กล่าวอย่างร้อนรน พลางโบกไม้โบกมือให้ เรกกะ กลับเข้ามาหาเธอ ก่อน เพราะ เค้าค่อยๆถอยห่าง
ออกจาก เธอไปเรื่อยๆ

“ รู้อยู่ก่อนแล้วใช่ไหม ว่าผม…ไม่ใช่คนในยุคนี้ ”
เรกกะ กล่าวตะกุกตะกัก ขณะที่ R2 ก็รน ใจเต้นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พยายามหาข้อแก้ต่างมาอธิบาย

“ คือว่า…เรกกะ ..พวกเราไม่ได้.. ”
R2 พยายามจะเกลี้ยกล่อม เท่าที่จะทำได้แต่ไม่ว่าอย่างไร เรกกะ ก็ไม่ยอมฟังเธอเลย

“ อะไรกัน..ยังไม่ได้บอกเหรอ…เรื่องที่ เทีย ย้อนกลับมาน่ะแล้วก็หน้าที่ที่ต้องทำด้วย..ปกป้องกาลเวลาไง.. ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวด้วยความสงสัย

“ นี่มันหมายความว่ายังไง..R2 …แล้วก็มาธิอัส ทั้งสองคน น่ะรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วสินะ…แล้วทำไม
เรื่องที่ยังไม่ได้บอกนี่มันอะไรกัน ”
เรกกะ ตะคอกพลางหันไปมองหน้า ลอว์เรนซ์ ที R2 ที ก่อนจะควักเอา เข็มขัดติดตลับไพ่
 กับแกะสายคาดที่ มือ ออก

“ ผมเองก็เคยพูดอยู่หรอกว่า จะรอให้ทั้งสอง คนพร้อมที่จะเล่าให้ผมฟัง…แต่ตอนนี้ มันเกินไป ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย
แต่คนอื่นๆกลับรู้เรื่องของผม ดีกว่าตัวผมซะอีก…สำหรับ R2 แล้ว ผมเป็นแค่หมากตัวหนึ่งใช่ไหม ” 
เรกกะ ตะคอกใส่ จนทั้ง ลอว์เรนซ์ และ R2 ต้องนิ่งอึ้งโต้ไม่ออกกันไป

“ ผมจะไม่สู้อีก…จนกว่าจะมีใครช่วยบอกเหตุผลที่ผมต้องสู้ ให้ผมได้รู้ก่อน ”
เรกกะ สบถจบก็วาง อุปกรณ์ สำหรับการแปลงร่างลง  ก่อนจะวิ่งหนีไป

“ ด..เดี๋ยวสิ เรกกะ กลับมาก่อน มันไม่ใช่นะ… ”
R2 ตะโกนเรียกพลาง ก้มลงเก็บอุปกรณ์ ที่ เรกกะ วางทิ้งไว้ขึ้นมา

“ ไม่รีบตามไป เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวเย้ยหยัน ทำให้ R2 หันมาทำตาเขียวปัดใส่ ก่อนจะออกวิ่งหอบเอา อุปกรณ์ ตาม เรกกะ ไป
ทิ้งให้ ลอว์เรนซ์ ยืนยิ้มหน้าระรื่นอยู่เบื้องหลัง

“ ฮะๆๆ..หมอนั่นทำหน้าตกใจใหญ่เลย ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางหัวเราะขบขันด้วยความสะใจอย่างที่สุด

“ ไปแกล้งแบบนั้นไม่ดีนะ ลอว์เรนซ์  ”
มังกรภูต ของเค้ากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจ

“ อะไรกัน…นี่นายเห็นใจหมอนั่นรึไง ก็รู้ๆกันอยู่นี่ว่ายังไงสุดท้ายก็ต้อง….. ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวก่อนจะเงียบไป เอาเสียดื้อๆ

“ แหม..ถึงจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ แต่ยังไงก็น่าจะผูกมิตรกันไว้ก่อนดีกว่านาาา…เพราะงั้นเราไปขอโทษเค้ากันเถอะ ”
มังกรภูต ของเค้ากล่าวพลางเข้าไปยันหลังให้ ตามไปขอโทษ แต่ ลอว์เรนซ์ ก็ขัดขืนไม่ยอมไปแต่โดยดี

“ ไม่เอาน่า ยูปี้(Yupy) ไม่เห็นจะต้องไปขอโทษเลยอีกอย่างแค่ชั้นมาถึงนี่แล้ว จะหมอนั่นหรือยัยนั่น
ก็ไม่ต้องออกโรงทั้งนั้นน่ะ เพราะชั้นคนนี้คนเดียวก็เหลือแหล่แล้ว ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางยืดตัวอวดโอ้ ใส่ ยูปี้ ภูตมังกรของเขา

“ แหมแต่ถึงยังงั้นเถอะ…เราไปขอโทฦษด้วยกันเถอะนะ ลอว์เรนซ์ ”
ยูปี้ กล่าวโดยยังไม่เลิกล้มความพยายาม พร้อมบินเข้าไปประชิดตัว ลอว์เรนซ์
ทว่า ลอว์เรนซ์ ก็ยกมือขึ้นจับตัว มันไว้พลางยกตัวมันขึ้นไว้เหนือหัวเพื่อบังแดด
แทนร่ม ก่อนจะออกเดิน

“ บังแดดให้ทีล่ะรู้สึกแถวนี้แดดจะแรงจริงๆ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางเดินไปตามท้องถนน โดยตึงร่างของ ยูปี้ บังแดดเอาไว้

“ ไม่เอาน่าไม่เห็นต้องเขินเลย…ไปขอโทษเค้ากันนะ ลอว์เรนซ์ ”
ยูปี้ ยังคงไม่ล้มเลิกความพยายาม ทำเอา ลอว์เรนซ์  อมพนำด้วยความหงุดหงิด

“ เอาน่าอุตส่าห์มาถึงอนาคตทั้งที ขอเที่ยวให้มันสนุกหน่อยเถอะ..เสียดายพวก เจนัส ไม่ได้มาด้วยเนี่ยสิ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวตัดบทจบ ก็ออกเดินไปโดยสนใจการขัดขืนของ ยูปี้

.....................................
....................................................

บริทเทเนอร์

ภายในท้องประโรง อันโอ่โถง ของพระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ หลังจากที่ ราชวังเดิม ถล่มไปเพราะการโค่น ของ เสาอาวุธมหาประลัย เมเมนโต้โมรี่  ภายในท้องพระโรงมีโต๊ะประชุม ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลาง ห้อง

ที่หัวโต๊ะนั้น ลูเทเซีย กำลังนั่งเท้าคางรอคอย ใครบางคนอยู่ ถัดมาข้างๆ เด็กหนุ่มผมสีฟ้าผู้มีลม
หายใจน้ำแข็ง นามว่า เซโร่ ซึ่งเคยเล่นหมากรุกอยู่กับ ลูเทเซีย ก่อนหน้านี้ ก็ฟุบหน้าอยู่บน
โต๊ะด้วยกิริยาท่าทาง สงบเสงี่ยม ก่อนที่ประตูท้องพระโรงจะเปิดออก


เด็กหนุ่มผู้ซึ่งมีผมสีน้ำตาล สวมเสื้อเชิ้ต สีแดง ขนาดตัวสูงกว่า เด็กสาวอีกคนที่มี ผมยาวสลวย
เธอสวมชุดราตรีสีดำ และกระโปรงที่เรียงเป็นชั้นๆ  การมาขของทั้งสองทำให้ เซโร่ และ ลูเทเซีย มีปฏิกิริยา
ขึ้น

“ มาช้านะ อิชิกิ(Ichigi)...เรโค่ (Raico) ”
ลูเทเซีย กล่าวพลางลดมือที่เท้าคางไว้ลง กับโต๊ะ ขณธที่ เซโร่ เงยหน้า ขึ้นมองสองผู้มาใหม่




“ อิชิกิ มาเล่นด้วยกันหน่อยสิ ชั้นเบื่อมากเลย เล่นกับลูเทเซีย ไม่เห็นหนุกเลย ”
เซโร่ กล่าวพลางลากกระดานหมากรุค ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ มา



“ เรื่องนั้นไว้ก่อนละกันนะ เซโร่ ตอนนี้เรามีเรื่องที่สำคัญกว่า ”
เด็กหนุ่มที่ ชื่อ อิชิกิ กล่าวพลางเดินเข้ามา ชักเก้าอี้ ออกก่อนจะนั่งลง เช่นกัน กับ เด็กสาว ที่ชื่อ เรโค่

“ แล้ว การเจรจา เป็น ยังไงบ้าง มาเรีย คัดค้านอะไรรึเปล่า ”
ลูเทเซีย กล่าวเสียงเรียบ ขณธที่ ตอนนี้ทุกคน รวมทั้ง เซโร่ ต่างก็เปลี่ยนทีท่า อยู่ในอาการสำรวม
และดูจริงจังขึ้น

“ ไม่เลย..การเจรจาเป็นไปด้วยดี เพราะ มาเรียลูส เองก็ทราบดีอยู่แล้ว ว่าไม่ช้าหรือเร็ว
 การปะทะ ครั้งใหญ่ก็จะเริ่มขึ้น ”
เรโค่ กล่าวเสียงเรียบ พลางหันไปมอง ลูเทเซีย

“ ตอนนี้ทางฝ่ายนั้น ก็รับเอา วิทยาการที่เราเอาไปส่งแล้วด้วย คาดว่าอีก
ไม่นาน Moblie Gazor  ก็คงจะเสร็จทันก่อนที่ เจ้านั่นจะปรากฏขึ้น ”
อิชิกิ กล่าวพลาง เอาสมุดรายงาน ขึ้นมาเปิดบนโต๊ะ

“ นี่ Moblie Gazor นั่นจะเอาชนะมันได้จริงๆน่ะเหรอ ”
เซโร่ แย้ง ขึ้นมากลางที่ประชุม ทำเอา ทุกคนหันค้อนมามอง

“ ทำไมล่ะ เซโร่ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ ”
ลูเทเซีย กล่าวถามโดย ใช้ภาษาที่เป็นกันเอง อย่างไม่ถือตัวว่า ตนเป็น กษัตริย์

“ อาวุธที่ต่อต้าน เทพเกิดมาเพื่อทำลายสวรรค์ และนำกาลพิบัติมาสู่ห้วงเวลา ชั้นไม่คิดหรอกนะว่า Moblie Gazor
จะเอามันอยู่น่ะ ถ้าคำทำนายเป็นจริง การกระทำของ พวกเราก็แค่เป็นการดิ้นรน
 ให้ยืดชีวิตออกไปได้อีกหน่อยเท่านั้น ”
เซโร่ กล่าวจบลรรยากาศภายในห้องก็เริ่มตึงเครียด

“ Iris ที่ส่งไปให้ โลกอส น่ะ ตกลงว่าจะให้ เฟรเซีย เป็คนขับสินะ แล้วทางเราก็... ”
ลูเทเซีย กล่าวตัดขึ้นมาทำลายความเงียบภายในที่ประชุม

“ Calibur ก็จะให้ สึซาคุ ขับสินะ..แต่ว่ามันจะดีเหรอ คู่ต่อสู้ ของ Iris กับ Calibur น่ะ ”
เรโค่ กล่าวถาม ลูเทเซีย

“ ก็มันช่วยไม่ได้นี่ คนที่จะขับ Calibur ได้เหมาะสมที่สุดก็ขึ้นหมอนั่น ไม่อย่างนั้น เราคงต่อกร กับมันไม่ได้หรอก ”
ลูเทเซีย กล่าวพลางปิดตาลงเพื่อทบทวนสิ่งที่ตนคิดว่าควรแล้วหรือไม่

“ เอวาเกเลี่ยน (Evageline) อาวุธทำลายล้างที่สร้างโดยปีศาจ...ถ้า โซดอม(Zodom) ทำสำเร็จเมื่อไหร่.. ”
ลูเทเซีย เปรยขึ้ยน้ำเสียงหมดหวัง อยู่ลึกๆ

........................
...................................

สวนสาธารณะ ใกล้เขตตลาดท่าเรือ บาร์ซิงเซย์

“ เรกกะ รอเดี๋ยว กลับมาก่อน ”
R2 ตะโกน พลางวิ่งไล่หลัง เรกกะ ที่หนีเข้ามา ในเขตสวนสาธารณะ
ก่อนที่เค้าจะหยุดวิ่ง จน R2 ตามมาได้ทัน

“ ย..ยอม..แฮ่กๆ..หยุดซะที ”
R2 กล่าวไปหอบไปพลาง  ขณะที่ เรกกะหันกลับมา

“ ตอนนี้ เรื่องที่คุณรู้ว่าผมเป็นใครแต่ก็ไม่ยอมบอก...ช่วยตอบผมที ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้...ทำไมพวกคุณถึงไม่พูดอะไรบ้างเลย ”
เรกกะ กล่าวถามด้วยความน้อยใจ


“ เรกกะ คือว่าที่จริงแล้ว....ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากจะบอกเธอหรอกนะ แต่... ”
R2 กล่าวก่อนจะเงียบไป โดยที่ในใจนั้น กำลังตัดสินใจว่าควรที่จะบอกเรื่องราวทั้งหมดให้ เรกกะ รู้ดีหรือไม่

“ ตอบผมไม่ได้...งั้นสินะ ถ้างั้นผมจะไปถามเอา จาก ลอว์เรนซ์ เองก็ได้ เพราะยังไงซะถ้าเค้าเป็น พ่อผมจริง เค้าก็คงจะยอมบอกทุกอย่างกับผมอยู่แล้ว ”
เรกกะ กล่าว พลางเดิน สวนทาง เธอกลับไป แต่ เธอก็คว้าแขนเค้าไว้ ก่อน

“ ไม่มีทาง ยังไงหมอนั่นก็ไม่มีทางเป็น พ่อของ เรกกะ ได้หรอกคนพรรค์นั้นน่ะ ”
R2 กล่าวทว่า เรกกะ กลับปัดมือของเธอ ออกอย่างไร้เยื้อใย

“ อย่างพวกคุณที่คิดจะใช้ผมให้สู้ แล้วก็สู้ไปโดย ไม่ยอมพูดอะไรบ้างเลยอย่างที่แล้วมาจะให้ผมเชื่องั้นเหรอ ถึงตอน
แรกที่ผมสู้เพราะเลือกที่จะ ช่วยพวก เฟนท์ ก็เถอะ แต่ตอนนี้ นอกจากเหตุผลพวกนั้นแล้ว.. ”
เรกกะ กล่าวออกไปด้วยจิตใจที่สับสนกับ อารมณ์ที่ครุกรุ่น อยู่ภายใน ทำให้เค้าไม่อาจเรียบเรียงคำพูดออกมาได้อยบ่างมีสติ

“ ถ้าจะบอกเชื่อพวกฉันไม่ได้ แล้วทำไม เรกกะ ถึงยอมไปเชื่อคนแปลกหน้าที่
ไหนก็ไม่รู้ที่มาบอกว่าตัวเองเป็นพ่อ ล่ะ  ”
R2 แย้งขึ้นทำให้ เรกกะ ที่นิ่งไปถึงกับ สะอึกไปทันที

“ ต..แต่ว่า เค้าเองก็ดูคล้ายผมมากเลยนะ ”
เรกกะ กล่าวโดยพยายามอ้างเหตุผลขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่สามารถอธิบายเหตุผล
ที่เค้าทำแบบนี้ได้นอกจากตัวเค้าอารมณ์เสียที่ R2 และ มาธิอัส รู้เรื่องที่เกี่ยวกับตัวเค้าเอง ที่ไม่เคยรู้มาก่อน
แต่ทั้งสองคนก็ยังปิดเขาไว้

“ ไม่ได้นะ จะยอมรับกันง่ายๆเลยเหรอ ยังไงฉันก็ไม่เชื่อหรอกหมอนั่นจะต้องมีแผนแน่ๆ ”
R2 แย้งกลับ แต่ทว่าในตอนนี้ เรกกะ ไม่อาจตัดใจรับฟังคำพูดของ เธอได้ เพราะทิฐิขิองตนในตอนนี้

“ ผมว่า เราอย่าเจอกันอีกเลยจะดีกว่า ... ”
เรกกะ กล่าวเรียบๆ พลางเดิน สวนออกไหป ทิ้งให้ R2 ยืนเจ็บปวดกับคำพูดที่ บาดลึกลงไปในใจ ความสัมพันธ์
นั้นดังถูกคมมีดที่เรียกว่าคำพูด ตัดขาดสะบั้นในบัดนั้น

............................
...............................

ร้านเค้ก Happy Material

“ อ้าวกลับมาแล้วเหรอจ้ะ เรกกะ พี่พึ่งให้ แมกกี้ ออก ไปจ่ายตลาดเอง ”
พี่สาวของ เรกกะ กล่าวขณะที่ เรกกะ เดินเข้ามา

“ เอ่อ..ทำไมพี่ถึงแต่งตัวแบบนั้นล่ะเล่น คอสเพลย์เหรอ ”
เรกกะ กล่าวน้ำเสียง แหยๆ เมื่อเห็นการแต่งตัวของพี่ สาว
ที่แต่งตัวโดยเอาปีก มาประดับไว้ที่หลัง



“ อ๋อนี่น่ะเหรอ…พอดีเล่นกับ แมกกี้ แล้วพี่ยังไม่ได้เก็บเลยน่ะจ้ะ….ว่าแต่วันนี้
ไปเจออะไรมารึเปล่า ทำหน้าบูดแบบนั้น โชคดีจะไม่มาหานะ ”
พี่สาวกล่าว พลางถอดปีกที่ติดอยู่ออกไปเก็บที่หลังร้าน  ก่อนจะเดินออกมาพร้อม
แก้วน้ำ และกาน้ำชา เธอวางแก้วลงแล้วจึงรินน้ำชาใส่ แก้ว ก่อนจะส่งให้ เรกกะ

“ เอ้าดื่มสิจ้ะ วันนี้แดดร้อนมากๆ ชาจะช่วยให้เย็นขึ้นนะ ”
พี่สาวของเค้ากล่าวขณะที่ เรกกะ รับมาก่อนจะ ยกดื่มอึกๆ หมดแก้วอย่างรวดเร็ว
ด้วยเพราะเค้านั้น ต้องวิ่งหนี R2 อยู่นาน ทำให้รู้สึกคอแห้งเป็นผง

“ แหมค่อยๆดื่มก็ได้ เดี๋ยวก็สำลักหรอก ”
พี่สาวของ เค้ากล่าว พลางเติมน้ำลงไปในแก้วอีกครั้ง

“ คือ…พี่ครับ เรื่องสมัยก่อนของผมน่ะ… ”
เรกกะ กล่าวเสียงอ่อย ขณะที่ เอามือทั้งสองข้างประคบกับ แก้วน้ำที่เกาะอยู่ข้างแก้ว
ช่วยทำให้มือเย็นลงไปจนถึงจิตใจ ซึ่งในตอนนี้ เค้ากำลังพยายามจะปรับอารมณ์ของตน

“ ทำไมจู่ๆ..ถึงอยากรู้ขึ้นมาล่ะจ้ะ…มีอะไรไม่สบายหรือเปล่า ทะเลาะกับเพื่อนมาเหรอ ”
พี่สาวของเค้า ถามเมื่อเห็นสีหน้าที่ ห่อเหี่ยวของ เรกกะ ก่อนที่ เค้าจะถอนหายใจ
ออก และเริ่มอธิบาย

“ พี่ครับ..ทำไมทั้งที่เป็นเพื่อนกันแท้ๆแต่กลับมีเรื่องปิดบังกันไว้ ทำให้ไม่ไว้ใจกันระแวงกันเอง..แบนี้แล้วทำไมถึงยังต้องปิดบังกันอีกทั้งที่มันรังแต่จะทำให้ เจ็บปวดเปล่าๆ ”
เรกกะ กล่าวเสียงเซื่องซึม ด้วยความสับสนที่มีอยู่เต็มอก
พี่สาวของเค้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็เอามือลูบหัวน้องชาย ของตนอย่างเอ็นดู

“ แล้ว เรกกะ คิดว่า ถ้าต่างคนต่างก็รู้เรื่องของอีกคนหมดทุกเรื่อง มันจะไม่ทำให้เจ็บปวดบ้างเหรอ ”
พี่สาวกล่าวเสียงเรียบ ขณะที่ เรกกะ คอยตั้งใจฟังสิ่งที่พี่ของเค้าพยายามจะสื่อ

“ ถ้าเป็นเรื่องที่อยากปิดบัง ก็แสดงว่ามันต้องเป็นเรื่องที่จะทำให้เจ็บช้ำ จนอาจมองหน้าไม่ติดกันอีกก็เป็นได้…เพราะยังงั้นเค้าถึงไม่อยากให้เรารู้…ถ้าลองคิดแบบนี้ดู เรกกะ ก็น่าจะเข้าใจได้แล้วว่าทำไม
เพื่อนถึงต้องปิดบังกัน…ถึงจะมีเรื่องที่ไม่สามารถบอกกันได้ แต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป
หรือ หายไปสักหน่อย และเมื่อถึงเวลาที่เค้าพร้อมจะบอก เราก็ควรจะรับฟังและยอมรับฟังในเหตุผลของเค้าด้วย ”

พี่สาวของ เค้ากล่าวพลางก้มลงหลังตู้กระจก และ หยิบเอาเค้กขึ้นมา สองชิ้น จัดใส่จานแล้ววางบน
โต๊ะ ที่เรกกะ นั่งอยู่

“ อย่างเค้กสองชิ้นนี้ ไส้ข้างในเป็นคนละไส้กัน แต่ว่ามันก็มาจากเค้กชิ้นเดียวกัน…แม้ภายในจะเก็บงำเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ แต่ถึงรู้ว่าต่างกันก็ยังรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้..เมื่อผ่าออกมาดูนั่นก็คือ เวลาที่เราควรจะต้องยอมรับและเชื่อใจซึ่งกันและกัน ”
พี่สาวของ เค้ากล่าว พลางเอาส้อม ผ่าชิ้นเค้กทั้งสอง ที่กลางชั้นของ เค้กทั้งสองชิ้นที่ตัมาจากชิ้นใหญ่นั้น
เป็นคนไส้ กัน

“ เข้าใจแล้วครับ…ถึงจะมีบางเรื่องที่บอกกันไม่ได้ แต่ถึงยังงั้นเราก็ยังคงเป็นเพื่อนกันได้ ”
เรกกะ กล่าวด้วยความเข้าใจ ตอนนี้เค้าทำใจที่จะยอมรับว่าตัวเค้าเองที่ผิด ที่ไปลง
กับ R2 และคนอื่นๆ ด้วยความริษยาที่ผุดขึ้นชั่วขณะ จากการที่เห็นคนอื่นรู้เรื่องของตนดีไปหมด
ในขณะที่ตัวเค้า ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย

“ งั้นผมไปก่อนนะครับ ”
เรกกะ กล่าวก่อนจะลุกจากโต๊ะ แล้วเดินออกจากร้านไปอย่างรีบเร่งทันที

“ แล้วทำไงกับเค้กดีล่ะ นึกว่าจะกินก่อนออกไปซะอีก… ”
พี่สาวเปรยขึ้นด้วยความเสียดาย ทว่า ประตูร้านก็ถูกผลักออก พร้อมกับที่ลูกมังกร แมกกี้
บินเข้าพร้อมหอบถุงใส่ของ เข้ามาหอบใหญ่

“ อ้ะมาพอดีเลย..มากินเค้ก ด้วยกันสิ แมกกี้ ”
พี่สาวกล่าว ก่อนที่เจ้าลูกมังกร จะรีบวางของลงแล้ว บินไปนั่งที่
โต๊ะทันที ก่อนจะเริ่มกินเค้กอย่าง เอร็ดอร่อย

………………………….
………………………………….


« Last Edit: March 24, 2009, 01:56:42 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #64 on: March 24, 2009, 01:45:07 PM »

“ เฮ้อ…วันนี้อุตส่าชวน เฟรเซีย แอบหนีออกมา เที่ยวนอกวังบ้างแท้ๆ แต่ช่วยไม่ได้นี่เนอะ ก็ต้องไปลองเครื่องใหม่นี่ ”
เจ้าหญิง มาเรียลูส ทรงเปรยขึ้นด้วยความท้อพระทัย และวันนี้ เจ้าหญิงก็ทรงออก มาเที่ยวข้างนอกโดยการปกปิดตนเองอีกเช่นเคย เจ้าหญิง ทรงเดินไปตามทางที่ตัดในสวนสาธารณะ ไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะเดินไปชน ใครเข้าโดยบังเอิญ

“ ว้าย..ข..ขอโทษด้วยค่ะฉันเดินไม่ระวังเอง ”
“ ม..ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็รีบเกินไปเลยไม่ทันหลบคุณ ”
เสียงกล่าวขออภัยของทั้งสองฝ่ายดังสลับกันไป ก่อนที่ทั้งสอง จะมองหน้าซึ่งกันและกัน

“ อ้ะเธอ…คนที่เจอที่ท่าเรือนี่ เรกกะ ใช่ไหม ”
“ อ้ะคุณ ที่ท่าเรือตอนนั้น คุณมาเรีย ”
ทั้งสองอุทาน ซึ่งกันและกัน ที่มาเจอกันโดยบังเอิญ ทว่า เรกกะ นั้นยังไม่รู้
ว่าเธอคือ เจ้าหญิง มาเรียลูส เพราะ เมื่อครั้งก่อน เจ้าหญิงทรงปกปิดฐานะเอาไว้


“ หลังจากเหตุที่ท่าเรือนั่น ฉันก็ไม่เจอเธออีกเลย ยังนึกไปว่าตัวเองฝันไปแน่ะ ”
มาเรีย กล่าวพลางขยับหมวกปีกกว้าง ที่สวมอยู่เพื่อให้บังหน้าของเธอ ให้มองเห็นไม่ชัดจะได้ไม่มีใครจับได้ว่าเธอคือ เจ้าหญิง

“ อ..เอ่อ คือว่าผมเองตอนนั้นก็ ”
เรกกะ กล่าวโดยพยายามหาเหตุผลอื่นมาอธิบาย เรื่องในวันนั้นที่เค้า แปลงเป็น ทาลูคัส ครั้งแรก
แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรกันต่อ  ก็เกิดแผ่นดินไหว ขึ้นอย่างรุนแรง ทำเอาทุกคนในระแวกนั้น ล้มกลิ้งระเนระนาด

อาคารบ้านเรือนบางหลังถึงกับถล่มลง เรกกะ กับ มาเรีย ทั้งกอดต่างยึดกอดร่างของ อีกฝ่ายไว้ซึ่งกันและกันเพื่อ
ไม่ให้ กระเด็นไปตามแรงสะเทือน จนในที่สุดเมื่อ แผ่นดินหยุดไหวตัว พื้นถนน ก็เกิดระเบิดขึ้นก่อนที่

ต้นเหตุของเรื่องจะโผล่ขึ้นมา จากรูขนาดใหญ่ที่พื้นซึ่งระเบิดไปเมื่อครู่ มังกรเกล็ดสีน้ำตาล ลำตัวยาวได้
โผล่หัวของมันพ้นขึ้นมาบนพื้นถนน และคำรมอย่างกึกก้อง ผู้คนเริ่มแตกตื่นและวิ่งหนีกันจ้าระหวั่น
ทว่า ไม่ทันไรก็มีอีกตัวโผล่ขึ้นมาจากพื้น  ดักหน้า ฝูงชนก่อนจะขย้ำ ฝูงชนบางส่วน ไป

“ นี่มันเกิดอะไรขึ้น…พวกมันมาจากไหน ”
มาเรีย รู้สึกใจหายไปทันที หลังจากที่กล่าวจบ  ไม่นานมันก็โผล่พ้นดินขึ้นมา มังกรนั่นมิได้มีสองตัวอย่างที่เข้าใจหากแต่ มันเป็นตัวเดียวกันแต่มีสองหัว หัวทั้งสองของมันส่ายฉวัดเฉวียนไปมาอย่างรวดเร็ว

ขณะ ที่ส่ายไปขากรรไกรอันคมกริบของมัน ก็กัดแทะสิ่งรอบไปด้วย  ร่างของมันทันที ที่พ้นขึ้นมาบนถนน
ก็เกิด พายุทรายพัด กระหน่ำในทันที  มันคือมังกรแห่งความสะพรึง ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายผู้คนเชื่อกันว่า
มันคือต้นเหตุแห่งพายุทราย เอซซาไลซ (Essalisse, the Dread Dragon)



“ นี่มัน มังกรที่คลุ้มคลั่งเพราะคลื่น รบกวนของมังกรยักษ์ในตอนนั้นเหรอ ”
เรกกะ คิดพลางเอามือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง เพื่อที่จะหยิบเอาเข็มตลับไพ่ออกมาตามความเคยชิน

“ จริงสิ เราเอา ดราก้อนเบรส (Dragon Brace) กับตลับโซลการ์ด คืนให้ไปแล้วนี่ ”
เรกกะ คิดตอนนี้เขาไม่มีอะไรจะใช้ต่อกรกับมันได้เลย และเมื่อพายุทรายใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว
เรกกะ จึงจูงมือเธอแล้วพากันหนี ออกจากสวนสาธารณะ ก่อนที่พายุทรายจะกลืนสวน ทั้งสวนเข้าไป

…………………..
…………………………

โรงเก็บอาวุธ รบที่ 42 โลกอส

ภายในโกดังขนาดใหญ่ ที่มี หุ่นรบ Gazor แมนเทริก้าดราก้อน จำนวน สี่ถึงห้าเครื่องเก็บซ่อมบำรุงอยู่
นอกจากนี้มีอยู่สองตัวที่กำลังทำการปรับปรุงและเติมพลังงาน  มันเป็นหุ่นรบที่มี ขนาดแค่ครึ่งเดียวของ
Gazor ทั่วๆไป มันมีคานสองอันยื่นออกมาตรงไหล่ทั้งสองข้าง ส่วนหัวของมันกลมเกลียวเรียบ
ยืนด้วยสี่ขาและแต่ล่ะขานั้นเป็นทรงเรียวแหลมคล้ายแมงมุม

“ เข้าใจแล้วจะเอา Iris ออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ ”
เฟรเซีย ที่อยู่ในชุดนักบิน กล่าวกับ นายทหารที่เข้ามารายงาน สภาพภายในโกดังตอนนี้ วุ่นวายและสับสน
ทุกคนต่างเร่งรีบทำงานของตนอย่างเร็วที่สุด เพราะประกาศสถานการณ์ ฉุกเฉินเมื่อครู่

“ การปรับแต่ง Iris ตอนนี้แค่เกือบสมบรูณ์เท่านั้น ระบบควบคุม P2 ยังไม่สมบูรณ์เยทำให้
แค่เคลื่อนไหวแบบง่ายๆเท่านั้น ”
นายช่างเทคนิค ที่นั่งอยู่หน้าจอตรงระเบียง ที่ยื่นออกไป หันมาตะโกนกับ เธอขณะที่กำลังเตรียมตัวขึ้นไปบน
Gazor ที่พึ่งปรับแต่งเสร็จ

“ แค่นั้นก็พอแล้ว ”
เฟรเซีย กล่าวปัดพลางปีนเข้าไปใน ห้องบังคับ

“ เริ่มเดินระบบ Moblie Gazor ถอดตัวยึดออก เริ่มเดินระบบพลังงานหลัก เดินระบบ ควบคุม P2 ”
เฟรเซีย กล่าวใส่ลงไปในลำโพงของห้องคนขับ ก่อนที่ สะพานยึดเกาะกับตัวหุ่นจะปลดออก
พร้อมเปิดประตูโกดัง 

“ เดินระบบปฏิบัติการ ”
เฟรเซีย กล่าวจบหน้าจอเล็กๆบน แผงควบคุมก็ ขึ้นตัวอักษรขึ้นมาว่า

General System
Unit Twin Drive
Navigator System-On
Device Link - Ok
Ampare Power
Moblie Gazor XII Iris Omicon-O Mode

ทันทีที่ตัวอักษรไล่จนสุดแล้ว หน้าจอรอบผนังห้องบังคับ ก็ฉายภาพภายนอกออกมา

“  เฟรเซีย โคโรโรว่า Moblie Gazor Iris Omicon – O และ P2 ออกตัว ”
สิ้นคำของ เฟรเซีย หุ่นรบทั้งสองตัวก็ออก ตัวทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้าด้วยไอพ่น



………………..
………………………….

“ หือ…นั่นมัน ”
ลอว์เรนซ์ เปรยขึ้นขณะที่ เดินผ่านไปยังละแวก ใกล้ๆที่เกิดเหตุ การจู่โจมของ มังกร เอซซาไลซ
เมื่อเห็นฝูงคนจำนวนมาก พากันแห่หนีอย่างไม่คิดชีวิต และเมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

 Gazor แมนเทริก้าดราก้อนหลายตัว บินมุ่งตรงไปยังทิศที่เกิดเหตุ
เห็นดังนั้น ลอว์เรนซ์ ก็ไม่คิดอะไรอีกแล้วนอกจาก วิ่งฝ่า ฝูงชนเพื่อไปยังที่เกิดเหตุทันที

“ จะไปไหนน่ะ ลอว์เรนซ์ รอด้วยซี่ ”
ยูปี้ มังกรภูตของ เขาตะโกน พลางบินหลบผู้คน ไปมาเพื่อตาม ลอว์เรนซ์ ไป

“ เจ้าบ้า…รีบมาเร็ว เกิดเรื่องแล้ว ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบ ก็เอื้อมมือไปคว้าเอาตัว ยูปี้ มากอดไว้แล้วพาวิ่ง ฝ่าออกไป

………………..
………………………..

ไม่ไกลจาก ที่เกิดเหตุอีกแห่งนั้นเอง R2 กำลังวิ่งตรงไปยังสวนสาธารณะ ที่ถูกกลนด้วยพายุทรายนั้น

“ ทำการเชื่อมต่อ ดราก้อนฮอลลี่ ”
สิ้นเสียง ของ R2 เข็ดขัที่ ฝังศิลามังกร ไว้ ก็ปรากฏขึ้น ก่อนที่เธอจะกด คันชักด้านข้างหัวเข็มลงไป
และปล่อยมือ ออก

“ แปลงร่าง ”
สิ้นคำ ก็เกิดเส้นลำแสงพุ่งออกมาจาก ศิลาในหัวเข็มขัด และวาดกรอบร่างขึ้นในอากาศ จนกลายเป็น
กรอบเงาของ อัศวินมังกรทาลิเลีย ก่อนที่จะดึงเอากรอบนั้นเข้ามาซ้อนทับกับร่าง
และเปลี่ยนให้ตัวเธอกลายเป็น ทาลิเลีย ก่อนที่จะทะยาน ขึ้นไป

………………..
……………………

“ ใกล้ถึงจุดหมายแล้ว..เตรียมการเคลียร์ พื้นที่ ”
เฟรเซีย ติดต่อเข้าไปยัง Gazor แมนเทริก้าดราก้อนทุกเครื่องให้เตรียมรวมพล เพื่อลงไป
ยังพื้นที่ใกล้ๆ เพราะพายุทรายรุนแรงมากจนทำให้ บินเข้าไปไม่ได้

“ มีมังกรตัวหนึ่งกำลังมาทางนี้ครับ มันตัวใหญ่มาก…อ๊าคคคคค…ซ่าาา ”
เสียงติดต่อเข้ามา จากเครื่องอื่นดังขึ้นจาก วิทยุในห้องบังคับของ Iris

“ หมายเลข 7 เป็นอะไรไปหมายเลข 7 ”
เธอเรียก กลับไปแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ ไม่นานนัก สัญญาณเครื่องที่แสดงบนจอเรดาห์ ในห้องบังคับ
ก็ค่อยๆหายไปทีละจุดๆ จนในที่สุดเหลือเพียงเครื่องของเธอกับทหาร ที่อยู่กับเธออีกสองนาย

“ นี่มันอะไรกันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ”
เฟรเซีย สบถได้ไม่ทันไร สาเหตุที่เธอกำลังถามถึงก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
มันเป็นมังกร ที่มีปีกคล้ายกับขอนไม้และมีรากพืชพันแข้งพันขา อยู่รอบ ขนาดของมันใหญ่โต
จนน่าตกใจ มันใหญ่ยิ่งกว่า Gazor ได้ถึงสามเท่า

“ อัลทาวาริย่า(Altavariya, the Custodian Dragon) มังกรที่ถูกเลี้ยงดูโดยเทพบารามัน แต่ว่ามันไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้นี่
ถิ่นถานเดิมของมันคือ ฟูดินัน ในเมอริเซีย ที่ล่มสลายไปแล้วนี่นา ”
เฟรเซีย คิดเมื่อได้เห็นร่างของ อัลทาวาริย่า มังกรที่ถูกเลี้ยงโดย ดูโดยองค์เทพบารามัน เมื่อครั้นสมัยอดีตกาล
ที่ ฟูดินัน มันเป็นสัตว์ที่รักสงบและจะกินแต่ พืชและรากไม้เท่านั้น เฟรเซีย ที่เป็นลูกหลานชาว ฟูดินัน
ย่อมรู้จักเป็นอย่างดี ทว่าเธอเองก็แปลกใจไม่น้อย ที่มันมาอยู่ต่อหน้า



“ จะทำยังไงดีครับ หัวหน้าจะให้ยิง…อ๊าคคค ”
ยังไม่ทันที่ทหารทั้งสองจะสอบถามจบ ด้วยซ้ำ อัลทาวาริย่า ก็กระหน่ำปีกทั้งสองของมันขยี้ ใส่
Gazor แมนเทริก้าดราก้อน จนจมดินไป แหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี

“ ท..ทำไมกันปกติ อัลทาวาริย่า รักสงบนี่และจะไม่ทำร้ายใครโดยไม่มีเหตุผล แล้วทำไมกัน ”
เฟรเซ๊ย คิด ทว่าเธอก็ต้อง เลิกไป เพรา อัลทาวาริย่า ได้กระแทก ปีกของ มันลงมา ซึ่งเธอก็
บังคับ โอมิคร่อนโอ(Omicron - O) ซึ่งเป็น Moblie Gazor ของเธอทั้งสองเครื่องหลบได้อย่างหวุดหวิด

ก่อนจะระดมยิง พร้อมกันทั้งสองเครื่อง ทว่าลำแสง ก็ไม่อาจเจาะเกล็ด ของ อัลทาวาริย่า ไปได้
และเธอก็ต้อง บังคับให้ ทั้งสอง เครื่อง หลบการโจมตีของ มันอย่างสุดกำลังอีกครั้ง เมื่อมันโจมตีมาอีก

“ คลั่งแบบ นี้เอาไม่อยู่แน่..แถมระบบ ควบคุม เครื่อง P2 เองก็สะดวกมากด้วย..ช่วยไม่ได้ประกอบร่างเลยแล้วกัน ”
เฟรเซีย สบถพลางควบคุมคันบังคับ ให้ถอยฉากออกมาจาก อัลทาวาริย่า โดยอาศัย ความเชื่องช้าของมัน
ประวิงเวลาเอาไว้ ขณะที่ไล่ กดปุ่นดันคันโยก ต่างๆของเครื่อง

“ Iris เดินระบบประกอบร่างเปลี่ยนจาก  Gazor Armor เป็น Gazor เดี๋ยวนี้ ”
สิ้นคำ ของ เฟรเซีย โอมิคร่อนโอ อีกเครื่องที่ควบคุมด้วยระบบ คอมฯ ก็เข้ามาหาเครื่องของเธอ
ก่อนที่ทั้งสองเครื่อง จะแยกส่วนออกและประกอบเข้าด้วยกัน เป็น ไซเบอร์ทิก้าวิงค์(Cybertica Wings)
ที่มี คานปีกอีกสองอัน ของ โอมิคร่อนโอ ติดประกอบหลังมาด้วย

พร้อมกันหน้าจอที่เคยแสดงรายละเอียดตอนเดินเครื่อง ก็เปลี่ยนข้อมูลใหม่ไปด้วย

General System
Unit Only Drive
Navigator System-On
Device all Green
Ampare Power
Moblie Gazor XII Iris Cybertica Wing Mode



ทันทีที่ รายละเอียด ขึ้นจอครบถ้วนทั้งหมด ดวงตาของ Iris ก็ส่องแสงวาบออกมา
ราวกับมีชีวิต ก่อนจะชักเอาใบมีดปีกล่างที่เหน็บไว้ ออกมา และเข้าประจัญบาน

กับ อัลทาวาริย่า ซึ่งความเร็วในการเคลื่อนไหวและการจู่โจมนั้น รวดเร็วผิดกับ
Gilgamaze เครื่องก่อนของเธอ ลิบลับ

“ สุดยอดเลย หาความคาดเคลื่อนในการเชื่อมต่อสั่งการไม่ได้เลย
 ยังกับว่า Gazor มีชีวิตขึ้นมายังไงยังงั้น…ดีล่ะ ”
เฟรเซีย อุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจกับความสามารถของ เครื่อง ก่อนที่เธอจะรุกใส่เต็มที่

โดยฟันใบมีดลงอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง และเคลื่อนหลบการโต้กลับของ อัลทาวาริย่า ได้
อย่าง ง่ายดาย ก่อนที่ จะบังคับ Iris ให้ถอย ออกมาพร้อมกับเก็บใบมีดทั้งสอง ข้างก่อนจะชักเอา

คานปีกของ โอมิคร่อนโอ ที่ติดมา ออกมาโดยจับที่ด้ามจับตรงกลาง ทันทีที่ กดสวิตซ์
ที่ด้ามจับ คานปีกทั้งสองอันก็ส่องแสงขึ้น ก่อนที่ จะเหวี่ยงมันออกไปเหมือนบูมเมอแรง

ทั้งสองอัน คานปีกทั้งสองที่เหวี่ยวออกไป พุ่งถลาเข้าไปตัดปีก ทั้งสองข้างของ อัลทาวาริย่า
ที่ใช้ป้องกันจนขาดสะบั้น แสดงถึงความคมของ คานปีกทั้งสอง ก่อนที่เฟรเซีย

จะขับ Iris พุ่งเข้าไปชนจน มันล้มสลบไปในที่สุด พร้อมกับ เก็บ คานปีกทั้งสองอันที่ วกกลับมา
อีกครั้ง

“ สุดยอดเลย..นี่น่ะเหรอพลังของ Iris น่ะ ”
เฟรเซีย กล่าวด้วยความลิงโลด ในศักยภาพของ Gazor ตัวใหม่ที่เธอมานี้
ก่อนจะเหลือบไปมอง หน้าปัดพลังงาน และต้องตาค้างเมื่อ แถบสีที่แสดงจำนวนพลังงาน
นั้น ลดจนเกือบหมด

“ ตายล่ะ พลังงานเหลือแค่นี้ก็ไปต่อไม่ได้น่ะสิ ไหงเปลืองพลังงานแบบนี้ล่ะ หรือเพราะรวมร่าง
เลยต้องเปลืองพลังงาน เพิ่มเป็นสองเท่า ..อ๊า อย่าหมดนะ ”
เฟรเซีย บ่นพลางทุบหน้าปัด เป็นการใหญ่ ขณะที่ แถบสีกำลังจะลดลงจนหมด และทันทีที่ แถบสีลดลงหมด
สีร่างของ Iris ก็ซีดจางไปด้วย

“ แล้วจะทำไงดีล่ะทีนี้…ดูเหมือนว่ายังพอเดินได้อยู่ ที่หมดไปนี่คงพลังงานอาวุธสินะ กับ
 ไอพ่นสินะแต่จะเอาไงดีล่ะ ขืนเดินดุ่มเข้าไปทั้งอย่างนี้ ล่ะก็ ”
เฟรเซีย คิดตัดสินใจ ไม่ถูกกับสถานการณ์ในตอนนี้

………………….
…………………………..

ขณะเดียวกัน ทาลิเลีย ก็ได้บิน ฝ่าพายุทรายเข้าไปเพื่อหาต้นตอ ของเหตุการณ์ นี้
ไม่ทันไร เธอก็เห็น เรกกะ กับ มาเรีย ที่กำลัง เดินฝ่าอยู่ในพายุ ไกลออกไป

เธอรีบบินเข้าไปหาทันที ทว่าแรงลมก็แรงเกินกว่าที่เธอจะบินต้านไปไหว
จึงต้องลงเดินเท้า ไปอย่างช้าๆแทน
 
………….

“ อดทน หน่อยนะครับอีกไม่นานเราคงจะหลุด ออกไปได้แล้ว ”
เรกกะ กล่าวให้กำลังใจกับ มาเรีย ที่เริ่มล้า แต่ไม่ว่าพวกเค้าจะพยายาม อย่างไรก็
ไม่สามารถพ้นออกจากอาณาเขต พายุทรายนี้ได้ เพราะ วงกว้างของ พายุทรายได้ขยาย
ออกไปเรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

“ ทาลิคนัส…ทาลูคัส ทาโซรอส ใครก็ได้ตอบที ตอนนี้ชั้นต้องการพวกนายนะ ”
เรกกะ กล่าวอยู่ภายในใจ เพื่อจะขอความช่วยเหลือ จากบุคลิก ทั้งหลาย
ทว่า ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาแม้แต่น้อย

“ แล้วกัน เพราะไม่มี ดราก้อนเบรส ก็เลยสื่อสารกันไม่ได้เหรอ  ”
เรกกะ คิด ขณะที่พยุง มาเรีย เดินฝ่า กระแสลมไปเรื่อยๆ
ตอนนี้ไม่มี อะไร จะช่วยพวกเขาได้เลย มีเพียงแต่ต้องฝ่า พายุทะเลทรายนี้ออกไปด้วยกำลังของ ตนเอง

จนแล้วจนรอดไม่นาน มาเรีย ก็หมดแรงล้มลงในที่สุด เรกกะ จึงต้องประคองตัวเธอเข้าไปหลบลม
ทราย ที่มุมตึก แห่งหนึ่ง ซึ่งก็ยังคงมีทรายที่ถูกพัดมา สุมเรื่อยๆ แต่ความแรงลมก็ถูกตัวตึกบังเอาไว้

“ เรกกะ.. ”
เสียงเรียกชื่อเค้า แว่วมากับสายลม ในทีแรกเค้านึกว่าตนหูฝาดไปเอง ทว่าไม่นาน
เสียงเรียกชื่อของ เค้าก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ ทาลิเลีย ซึ่งเนื้อตัวเต็มไปด้วยทราย
เพราะเดินฝ่ามาจนถึงนี่จะปรากฏตัวขึ้น

“ R2 ”
เรกกะ กล่าวด้วยความยินดี ที่ได้พบเธออีกครั้ง

“ คือว่า เรื่องที่ผมพูไปตอนนั้น…ผมขอโทษนะครับ ”
เรกกะ กล่าวพลางก้มหัวขอโทษ ทำให้ R2 รู้สึกแปลกใจจนพูดไม่ออก

“ ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะผมใช้อารมณ์ เป็นใหญ่เลยไม่ทันได้คิด เพราะผมเอาแต่คิดถึงตัวเอง
ถึงได้พูดออกไปแบบนั้น ยกโทษให้ผมด้วยเถอะนะครับ ”
เรกกะ กล่าวขอร้องออกมาจากหัวใจ พลางสบตา ของเธอไปด้วย

“ อะไรกัน เรกกะ ไม่เห็นต้องมาขอโทษ เลยฉันซะอีกที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ ..เพราะพอมาคิดดูดีๆแล้ว
การที่อยู่ๆก็ลากตัว เรกกะ มาแล้วก็บังคับให้สู้แล้วสู้ โดยที่ไม่ถามความเห็นหรือบอก

เหตุผลอะไรให้เรกกะเลยน่ะ มันไม่ยุติธรรมเลย แต่ว่าจากนี้ไปฉันจะ
เล่าให้ฟังเท่าที่จะเล่าได้เลย ขอร้องล่ะ เรกกะ กลับมาสู้ร่วมกับฉันอีกทีได้ไหม ”

R2 กล่าวขอร้องกลับ พลางยื่น สายคาด ดราก้อน เบรสกับเข็มขัดตลับไพ่ที่ใส่ โซลการ์ด

“ ไม่จำเป็นหรอก…จะเล่าให้ฟังเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าพร้อมแล้ว ผมก็จะรับฟังเองเชื่อสิ..เพราะยังไงเราก็เพื่อน
กันนี่..เนอะ ”
เรกกะ กล่าวพลางรับ เอาอุปกรณ์ มาจาก เธอ ซึ่ง R2 ในร่างทาลิเลีย ก็รับคำด้วยความยินดี
ที่ เรกกะ ยอมที่จะช่วยเธออีกครั้ง

“ ส่วนคุณ มาเรีย คงจะทิ้งเอาไว้ที่นี่ไม่ได้แน่ ถ้ายังไงคุณ R2 ช่วยพาเค้าไปส่ง ที่ปลอดภัยที ส่วนที่นี่ผมจะจัดการเอง ”
 เรกกะ กล่าวขณะที่ คาดเข็มขัด ตลับไพ่เข้ากับเอว

“ อื้ม..แล้วฉันจะรีบมานะ ”
ทาลิเลีย กล่าวจบก็ อุ้มร่างของ มาเรีย และออกบินไปเพื่อพาเธอไปส่งในที่ปลอดภัย
ก่อนที่ เรกกะ จะคาดดราก้อนเบรส ลงไป ที่ข้อมือ ซ้ายโดยให้หน้าปัด ตรงกับรอยแผลเป็นเดิม

ทันทีที่ คล้องสายคาดเสร็จ เข็ม ที่ด้านหลัง หน้าปัดก็แทงทะลุแผลเก่าลงไปอีกครั้ง
จน เรกกะ ต้องกัดฟันฝืนเจ็บเอาไว้

“ พร้อมไหม ทาลิคนัส ”
เรกกะ กล่าวขึ้น ขณะที่ เปิดตลับไพ่ออกและหยิบเอาไพ่ออกมาใบหนึ่ง ตัวเลขบนหน้าจอตลับ ก็ลดลงเหลือ86
ในทันที

“ พร้อมจนไม่รู้จะพร้อมยังไงอยู่แล้ว มาเลย เรกกะ ”
สิ้นเสียงของ ทาลิคนัส ดวงตาซ้าย ของ เรกกะ ก็ส่องแสงสีแดง
ขึ้นก่อนที่เค้าจะนำไพ่ไปส่อง กับดวงตาและปรากฏสัญลักษณ์ ธาตุแห่งไฟขึ้นมา

“ Blaze Form ” “ Regeneration ”
เสียงดังขึ้นซ้อนกันทันทีที่ เรกกะ นำไพ่วางบนหน้าปัดแล้วทุบมันลง ก่อนที่จะเปลี่ยนร่างเป็น ทาลิคนัส

“ โอเระ ทันโจว มันแปลว่า พระเอกมาแล้ว ”
ทาลิคนัส กล่าวประโยคประจำตัว พลางวาดมือ ออกเพื่อวางท่า ก่อนจะบิน ขึ้นไปท่ามกลางพายุทราย
มุ่งตรงไปที่ใจกลาง ของการเกิด พายุทรายอันไร้ขอบเขตนี้ ทันที่ฝ่าไปจนถึงใจกลาง เอซซาไลซ
ซึ่งกำลัง อาละวาด อยู่ใจกลาง พายุทรายนี้

“ ได้เวลา ไคลแมกซ์แล้ว ฮ่าๆ ”
ทาลิคนัส กล่าวอย่าง ลิงโลด ขณะพุ่งถลาลงไป กระหน่ำฟันไม่ยั้งด้วยดาบเพลิง ใส่ต้นคอ เอซซาไลซ
จนหัวหนึ่งของ มันขาดสะบั้นไป ไม่นาน พายุทรายจึงสงบลง ก่อนที่ เอซาไลซ จะงอกหัว

ของมันขึ้นมาใหม่จาก ส่วนที่ขาด ซึ่งมีทรายไหลออกมาแทน เลือด โดยการดูดทรายเข้าไปที่ใต้ฐานของมัน
และซากหัวเก่าของ มันได้สลายกลายเป็นทรายไป

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #65 on: March 24, 2009, 01:45:18 PM »

“ โอ้โฮเหะ นี่แกมังกรหรือจิ้งจกเนี่ย งอกใหม่เฉยเลย ”
ทาลิคนัส บ่นอุบอิบด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเข้าไปฟันใส่แบบ ไม่ยั้งเต็มที่ เพราะไม่มี พายุทรายมา
ต้านแรงบินอีกแล้ว และครั้งนี้ดาบเพลิง สามารถ บั่นคอของ เอซซาไลซ

ทั้งสองข้างลงพร้อมกันได้สำเร็จ ทว่าไม่ทันไร มันก็งอกขึ้นมาใหม่ โดยการดูดทรายเข้ามา
ด้วยการที่มีทรายอยู่มากมาย นี้ ทำให้มันสามารถคืนชีพได้เรื่อยๆ อย่างไม่สิ้นสุด

“ โอย ฟันเท่าไหร่ ก็ไม่ตายซักที ”
ทาลิคนัส เปรยด้วยความอ่อนล้า หลังจากที่ออก ท่ามากเกินไป

“ งั้นให้ข้าจัดการเองละกัน ”
เสียงของ ทาโซรอส ดังขึ้นก่อนที่ ทาลิคนัส จะกลับคืนร่างเดิมเป็น เรกกะ ไปแบบไม่ต้องรอ
พร้อมดวงตาซ้ายเปลี่ยนเป็นสีเหลือง  ก่อนที่จะหยิบ ไพ่ออกมาและทำการแปลงร่าง
ซึ่งไพ่ก็ลดจำนวนลง ไปอีกจนเหลือ 85 ใบ

“ Quake Form ”  “ Regeneration ”
สิ้นสียง  เรกกะ ก็เปลี่ยนเป็นทาโซรอส ในที่สุด  ก่อนะจเสกมวลแสงขึ้นมาและเปลี่ยนมันเป็นดาบกับโล่
ประจำตัว

“ ความแข็งแกร่งของข้า แม้แต่เด็กยังต้องร่ำไห้ ”
ทาโซรอส กล่าวก่อนจะใช้อำนาจยกพื้น ดินให้ทะลวงใส่ร่างของ เอซซาไลซ
จนเป็นรูโหว่ ทว่าเอซซาไลท์ ก็สามารถ ฟื้นคืส่วนที่เสียหายไปด้วยการดูด ทรายกลับมาสร้างร่างใหม่

“ ไม่ไหวจริงๆหรือเนี่ย ”
ทาโซรอส เปรยขึ้นด้วยความผิดหวัง

“ งั้นเราจะจัดการเอง ”
ไม่ทันไร ทาลูคัส ก็เข้าควบคุมร่าง ก่อนจะคืนร่างกลับเป็น เรกกะ พร้อมดวงตาซ้ายเปลี่ยนเป็นสีขาว

“ Luminar Form ” “ Regeneration ”
สิ้นเสียง เรกกะ ก็เปลียนร่างเป็นทาลูคัส พร้อมกับไพ่ที่ลดลงไปอีกใบ จนเหลือเพียง 84 ใบ

“ องค์ชายเสด็จแล้ว จงดูการร่ายรำอันสง่างามของเราเสีย…ไม่ขอฟังคำตอบใดๆทั้งนั้นเพราะนี่คือ ประกาศิต ”
ทาลูคัส กล่าวพลางรวมมวลแสง สร้างดาบ Lux et Dragos ขึ้น ก่อนเขาไปร่ายดาบเป็นชุดกระบรวน
ใส่ ทว่าก็เช่นทุกครั้งไป ไม่ว่าฟันไปเท่าไหร่ เอซซาไลซ ก็สามารถคืนชีพขึ้นใหม่ได้

“ Great of Dragon ”
สิ้นเสียง มังกรพลังงาน ที่มีหอกเป็นแกนพลังงาน
ก็พุ่งลงมาทะรวงร่างของ เอซาไลซ จนแตกกระเจิงเป็นทรายไป ทว่ามันก็ยังรวมตัวกลับ
มาได้เหมือนเดิม

“ เจ้านี่ท่าจะตึงมือเราจริงๆ แหะ ”
ทาลิเลีย กล่าว พลางถอนหอก ที่ขว้างมา ออกจากพื้น

“ ให้ช่วยมั้ย ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ ทั้งสองจะหันกลับไป ลอว์เรนซ์ ที่สภาพสะบักสะบอม
และโทรมสุดๆ เสื้อผ้าเปื้อนเปรอะไปด้วยทราย กำลังเดินโซซัด โซเซ
เข้ามา

“ เจ้า ยาจกคนนี้เป็นใครกัน ”
ทาลูคัส กล่าวติติง ใส่

“ เมื่อกี้แกว่า ใครเป็นยาจก ห๊า ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางควงกำปั้นจะเข้าไปซัด ทลูคัส แต่ ก็ถูก ยูปี้ ที่บินตามมาที หลังดึงคอเสื้อไว้

“ จ..ใจเย็นน่า ลอว์เรนซ์  ”
ยูปี้ กล่าวพลางออกแรงยื้อ กับ ลอว์เรนซ์ ที่ขึ้นเต็มที่ กับการดูถูก จาก ทาลูคัส

“ นี่นายฝ่าเข้ามาในนี้ทำไมเนี่ย ถอยไปซะดีกว่าคนที่ทำอะไรไม่ได้อย่างนาย เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวหรอก ”
ทาลิเลีย กล่าวน้ำเสียงหงุดหงิด ที่อยู่ๆ ลอว์เรนซ์ ก็สะเออะไม่เข้าเรื่อง โผล่
หน้ามาทั้งที่ ทำอะไรไม่ได้

“ คนที่ทำอะไรไม่ได้เหรอ..หึ ชั้นว่านั่นน่ะ น่าจะเป็นคำพูดของ ชั้นมากกว่า คอยดูให้ดีเถอะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าว พลาง ปัดทรายออกจากเสื้อ ก่อนจะเดินสวนทั้งสอง ออกไปยืนหน้า เอซซาไลซ
ขณะที่ ทั้งสอง พยายามจะห้ามด้วยความเป็นห่วงว่าจะได้รับอันตรายนั้น เอง

ยูปี้ ก็บินโแบเข้าหา ลอว์เรนซ์ ก่อนจะเปลี่ยนร่างตัวเอง เป็น การ์ดซึ่งมีรูป ศิลามังกร
บนเชิงตะเกียงมังกร แสดงอยู่แทน

“ Empress Card เรียกใช้ดราก้อนฮอลลี่ ”
สิ้นคำของ ลอว์เรนซ์ ไพ่ก็กลายเป็น สนับมือ ที่กล่องตลับติดเอาไว้ เค้านำมันมาสวม ทันที
ก่อนจะหยิบเอาไพ่ 6 ใบที่อยุ่ในกระเป๋า ขึ้นมาเลือก
ซึ่งทั้งหกใบเป็น ตราสัญลักษณ์ ธาตุทั้งหก แสง ไฟ ดิน น้ำ ลม ความมืด

“ งั้นวันนี้ให้ ไฟร์(Fire)ลุย ก็ละกัน ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางหยิบเอาไพ่ ใบที่เป็นสัญลักษณ์ ไฟขึ้นมาจากทั้งหมดและเก็บที่เหลือกลับลงไป


“ พร้อมนะ ยูปี้..ไปลุยด้วยกันเถอะ ไฟร์(Fire)”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางใส่ไพ่เข้าไปใน กล่องตลับ ที่สนับมือ

“ Ready Fire ” “ Fist on ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับที่ หน้าจอของ กล่องตลับ ปรากฏสัญลักษณ์ ธาตุไปขึ้น และทันที
ที่กดไพ่ลงไปจนสุด เสียง ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะเกิดวงเวทย์ สีแดงเพลิงขึ้นที่

สนับมือ ทันทีที่ ลอว์เรนซ์ ชนกำปั้นอีกมือ เข้าไปที่วงเวทย์  ก็เกิดแสงเจิดแจ้งขึ้นมาจาก สนับมือ
ก่อนที่ จะปรากฏ กำแพงแสงที่มีลักษณะเหมือนไพ่ขึ้นในอากาศ ซึ่งมีขนาดพอๆกับตัวของคน

เกิดขึ้นสามใบล้อมรอบตัวเขาเป็น แนวสามเหลี่ยม ก่อนจะประกบเข้าหาด้วยกัน
และทำให้ แสงเจิดจ้านั้นหายไป ร่างของ ลอว์เรนซ์ ก็กลับเปลี่ยน อัศวินมังกร

ที่มีเกล็ดสีแดง  มือขวา กุมท้ายด้ามกระบี่คมสีแดงฉานซึ่งปักอยู่กับพื้น มือซ้ายติดโล่เกร็ดมังกร แบบเดียวกับ
ทาลิเลีย

“ ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะว่าชั้นคนนี้ล่ะ เก่งระดับเทพอย่าบอกใครเลย ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางย้ายมือซ้ายไปกุมด้ามกระบี่ ก่อนจะหมุนมันขึ้นมา
กระชับในมือ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของ ทาลูคัส กับ ทาลิเลีย

“ นี่ นายเป็น อัศวินทาลิวิลย่า แห่งเมอริเซีย งั้นเหรอ แล้วก็นั่นมัน ทาลิคนัส ”
ทาลิเลีย เปรยด้วยสายตาตกตะลึง (Thalignus, the Dragoon of  Thaliwilya)



“ อะไรกัน..นี่มีเจ้าบ้าเพิ่ม มาอีกคนแล้วงั้นเหรอ ”
ทาลูคัส กล่าวติงอย่างไม่สบอารมณ์

“ เฮ้ย เจ้านกเผือก แกว่าใครบ้าห๊า ”
เสียงแย้งของ ทาลิคนัส ดังก้องขึ้นในหัวทันที

“ เปล่า...นั่นไม่ใช่ ทาลิคนัส ของ อาริมาเทีย แต่เป็นของ เมอริเซีย อัศวิน ทาลิวิลย่า ของเมอริเซีย ที่เคยปรากฏตัวขึ้น เมื่อ 200 กว่าปีก่อน แต่ว่าทำไมล่ะ..ทำไมหมอนั่นถึงได้.. ”
ทาลิเลีย กล่าวรนๆอย่างสับสน

“ ก็ถึงได้บอกไงว่า ชั้นนี่ล่ะ ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด ตัวจริงเสียงจริงล่ะ
คอยดูฝีมือของรุ่นพี่เอาไว้ให้ดีรุ่นน้องทั้งหลาย ”
ลอว์เรนซ์ หันมากล่าววาจาโอ้อวด ก่อนจะวาดมือในอากาศออก ก็เกิดมวลแสงขึ้นสามมวลก่อน
จะเปลี่ยนมันเป็นไพ่ สามใบ ซึ่งแต่ล่ะใบมีหน้าไพ่ต่างกันไป

“ เดี๋ยวสิ ใครเป็นรุ่นน้องนาย ฉันยังไม่ได้บอกว่านายเป็นตัวจริงเลยนะ ”
ทาลิเลีย ตะคอกสวนแต่ ลอว์เรนซ์ ก็ไม่สนใจฟัง พลางเก็บ ไพ่ทั้งสามมาก่อนที่
เปลวเพลิง จะพุ่งออกมาจากหัวไหล่ทั้งสอง และเปลี่ยนรูปเป็น ปีกเพลิง
พร้อมกับทะยานขึ้นไป ต่อกรกับ เอซซาไลซ

“ ริคุ(Riku) เคยบอกไว้ จะทำอาหารให้อร่อย ก็ใช้ไฟให้พอเหมาะ งั้นวันนี้จะใช้ไฟแรงกว่าปกติเลยนะ  ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลาง ชูไพ่ หนึ่งในสามใบขึ้น ซึ่งหน้าไพ่เป็น รูปวงกลม ที่มีเส้นขีดผ่าขวางลงมา
ก่อนจะเอาไพ่ ไปครูดกับคมดาบ เสียหนึ่งครั้ง

“ Slash(สแลช) ”
เสียงก้องกังวานขึ้นจากดาบทันที ก่อนที่ คมดาบจะลุกโชนด้วย เปลวเพลิงทั้งคม



“ Ignis et Dragos ”
สิ้นคำของ ลอว์เรนซ์ เค้าก็ฟันดาบลงไปผ่ากลางร่างของ เอซซาไลซ
ทว่าทันที่มันจะคืน ชีพร่างของ มันก็กลับลุกด้วยเปลวเพลิง อย่างที่ไม่ควรจะเป็น

“ ได้ไงกัน ร่างของเจ้านั่นเป็น ทรายมหาศาลเลยนะ ไม่น่าจะลุกไหม้ได้นี่
ขนาดไฟของ เจ้าบื้อ ทาลิคนัส ยังเผามันไม่ได้เลย ”
ทาลิเลีย อุทานด้วยความตกตะลึง ขณะที่ ทาลูคัส คืนร่างกลับเป็น เรกกะ ที่ ทาลิคนัส สิงแทน พร้อมกับ หยิบออกมาอีกใบและเปลี่ยนร่างเป็น ทาลิคนัส อีกครั้ง ไพ่จึงลดลงไปอีกเป็น 83 ใบ

“ ไฟร์ เคยบอกไว้ เปลวเพลิงแห่งคุณธรรมจะ ลุกไหม้ด้วยเพลิงชีวิต
ที่เปี่ยมด้วยความถูกต้อง ดังนั้นต่อให้กระแสต้านแรงเพียงใด เปลวเพลิงที่แท้จริงก็จะเผาผลาญ
 อติธรรมจนวอดวาย ”

ลอว์เรนซ์ กล่าว พลาง ชูไพ่ อีกใบขึ้นหน้าไพ่ เป็น สี่เหลี่ยม ที่มีเส้นตีตัดกัน เป็นตารางสี่ช่อง

“ ฮู้ยยย...พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง..แล้วตกลงไอ้ไฟที่ว่านั่น มันเผาอะไรกันแน่ ”
ทาลิคนัส กล่าวเอียน กับคำพูดวกไปวนมาของ ลอว์เรนซ์ ขณะที่ ลอว์เรนซ์ นำเอาไพ่ ไปครูดกับ
ดาบอีกครั้ง

“ Blast (บลาสซ์) ”
เสียงดังขึ้นจากดาบอีกครั้ง พร้อมคมดาบที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิง สีฟ้าแทน



“ Ignis et Dragos ”
สิ้นคำ ลอว์เรนซ์ ก็แทงคมดาบออกไป พร้อมกับที่ เปลวเพลิงสีฟ้าได้พุ่งเข้าไป เผาไหม้ที่ฐานร่างของ เอซซาไลซ
ซึ่งกำลังดูดทรายเข้าไป ฟื้นสภาพ ไฟสีฟ้า ได้ทำให้เม็ดทรายไหม้ กลายเป็นเถ้าไปหมด ทำให้ เอซาไลซ

ไม่สามารถ ดูดเอาทรายรอบๆ ที่ถูกไฟสีฟ้า เผาล้อมรอบร่างของ มันไว้ได้
โดยที่ตัวมันยังคงลุกด้วย เปลวเพลิงจากคมดาบในตอนแรกอยู่

“ ลากูน่า(Laguna) เคยบอกไว้ เรื่องไหนขัดใจเรานัก ก็ไม่ต้องสนยำๆชัดๆไปเดี๋ยวก็อร่อยเหาะ ”
ลอว์เรนซ์ ยังคงพล่ามไปสู้ไปอย่างสนุกปาก ที่ทำให้ ทาลิเลีย กับ ทาลิคนัส ยืนเก้อ อย่าง งงๆ
ก่อน ชูไพ่ใบที่สาม ขึ้นหน้าไพ่เป็นรูป ห้าเหลี่ยม

“ วันนี้จะแถมให้อีกหน่อย..เพราะนีน่า(Nina) เคยบอกไว้ ต้องใจดีกับลูกค้าแล้วผลตอบแทนจะสูง ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบก็ไม่พูดพล่ำทำเพลง จัดการ รูดไพ่ ลงกับคมดาบอีกครั้ง

“ Energy(เอเนอร์จี้) ”
สิ้นเสียงจากตัวดาบ ก็มีผนังแสง เกิดขึ้นและค่อยๆเพิ่มจำนวนแยกกันออกมาเป็น 6 แผ่น ก่อนที่ มังกร
ร่างเต็มวัย ของเมอริเซีย หกตัวจะออกมาจากผนังแสงมากันพร้อมหน้า ได้แก่



นิลเฮอเรี่ยน (Nilhirion, the Earth Dragon)
นิทินโคออน (Niltincoion, the Fire Dragon)
 เฟินกอลโลออน (Firngolloion, the Water Dragon) 

ดิมมินูวเลี่ยน (Dimminuialion, the Wind Dragon)
พาลานัลคาเลี่ยน(Palanalcarion, the Light Dragon)
นอฟโฮทิออน (Novhothion, the Dark Dragon)

“ มากันพร้อมแล้วสินะ ไฟร์ เอิธ วิน ไลท์ ดาร์ค อควา (Fire Earth Wind Light Dark Aqua)  ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวเรียกบรรดามังกรทั้งหลายที่เรียกออกมาอย่างสนิทสนม ต่อสายตา ที่งงเป็นไก่ตาแตกของ
ทาลิเลีย และ ทาลิคนัส

“ ที่นี่เหรอ อนาคตสุดยอดไปเลย  ”
พาลานัลคาเลี่ยน ชื่อ ไลท์ กล่าวพลางวาดสายตาไปรอบๆ
เพื่อชมทิวทัศน์ ของ สวนสาธารณะที่ เละไปด้วยทรายนี้

“ สองคนนั่นใครอ่ะ ”
ดิมมินูวเลี่ยน ชื่อ วิน หันไปถามพลางชี้ไปที่ ทาลิคนัส กับ ทาลิเลีย

“ พี่สาวสวยดีนะ ”
นิทินโคอออน ชื่อ ไฟร์ กล่าวหยอก ใส่ ทาลิเลีย

“ ว้าว เอซซาไลซ ตัวเป็นๆเลย ”
นิลเฮอเลี่ยน ชื่อ เอิธ อุทานพลางทำตาโต ใส่ เอซซาไลซ ที่ยังคงดิ้นทุรนทุรายกับ ไฟที่ยังคงเผาร่างของมันอยู่

“ หว้า แย่จังมีแต่ทรายเต็มไปหมด รู้สึกหวิวๆ ยังไงไม่รู้สิ ”
เฟินร์กอลโลเอี่ยน ชื่อ อควา บ่นด้วยความเสียดาย

“ เอ้า เงียบๆได้แล้ว นี่เรากำลัง สู้อยู่นะ ”
นอฟโฮทิออน ชื่อ ดาร์ค กล่าวเสียงเรียบ ด้วยท่าทีหน่ายๆ

บรรดา มังกร ทั้งหก ต่างพูดคุยวิพากวิจารณ์ แลกประเด็น กันอย่างสนุกปาก โดยไม่สน ปฏิกิริยา ที่ ทาลิคนัส กับ
ทาลิเลีย ซึ่งอ้าปากตา ค้างด้วยความ ตกตะลึง ซ้ำแล้วซ้ำอีก (รวมทั้งคนเขียนด้วย งานหนักอีกแว้ว)

“ น...น...นี่มัน..อะไรกันเนี่ย ”
ทาลิเลีย กับ ทาลิคนัส เปรยขึ้นพร้อมกัน ขณะที่ ลอว์เรนซ์ ได้แต่ยืนอมยิ้ม กลั้นหัวเราะ กับท่าที
ประหลาดใจของทั้งสองไว้

“ อุบ..ฮะๆ..เอาล่ะๆ ทุกคน พอเถอะ เดี๋ยวจะทำ เจ้าบ้านเค้า ช็อกตายไปซะก่อน เตรียมตัวได้แล้ว
จะทริปเปิลคอมโบล่ะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าว ก่อนที่จะ ชูไพ่ที่ใช้ไปทั้งสามใบขึ้นมา พร้อมกับที่ บรรดา มังกรทั้งหมด ต่างจัดวางตำแหน่งของ
ตนกันทันที ก่อนที่ ลอว์เรนซ์ จะรูดไพ่ทั้งสาม ใบไปทีละใบ

“ Slash ”  “ Blast ”   “ Energy ”   “ Tripple Combo ”
ทันทีที่ไพ่ถูกรูดกับคมดาบ ก็เกิดเสียงประจำไพ่แต่ละใบดังกังวานจากตัวดาบ
จนเมื่อครบทั้งสวามใบ เสียงสุดท้ายก็ดังขึ้นก่อนที่

บรรดามังกร ทั้งหมด ที่ลอว์เรนซ์ เรียกออกมาจะพากัน เข้าไปโจมตี ด้วยท่าถนัดของตน
กระหน่ำใส่ไม่หยุด

“ ได้เวลา เชคเมท ปิดเกมส์แล้ว ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบ บรรดามังกรทั้งหมดก็รวมพลังทั้งหมดไว้เต็มที่ พร้อมๆกับที่เค้า ยกดาบขึ้นกระชับ
เป็น สัญญาณ คลื่นพลังแต่ละธาตุของ บรรดามังกรที่ถูกเรียกมา ก็กระหน่ำเข้าใส่ เอซซาไลซ เป็น
 พายุเลยทีเดียว

ก่อนจะจบลงที่ ลอว์เรนซ์ ตวัดดาบ สร้าง ลำแสงมังกรพลังงาน พุ่งเข้าไปชนร่างของ เอซซาไลท์ จน
แตกสลายกลายเป็นละออง ก่อนจะโยน ไพ่เปล่าที่ เสกขึ้นมาออกไป ซึ่งไพ่นั้น ก็ดูดเอาละอองแสงของ เอซซาไลซ
เข้ามาเก็บก่อนจะขึ้นรูปของมันบนหน้าไพ่

“ ได้ตั๋วมาแล้วเท่านี้ก็ส่งมันกลับไปที่เวลาเดิมก็จบ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบได้ไม่นาน ก็มีเรื่องแปลกใจ มาให้ ทาลิเลีย กับ ทาลิคนัส ที่ตอนนี้
ได้แต่ยืนนิ่ง จากการพบกับเรื่องตกตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่า ยังไม่เท่านั้น อยู่ๆก็เกิด หลุมมิติขึ้นในอากาศ

ก่อนที่ ยานรูปร่างคล้ายหงส์ซึ่งมีปีกโลหะ หกปีกจะบิน ออกมาจากหลุมมิติ มันคือ คอสมิกแสวน
(Cosmic Swan) ยานที่ท่องไปในกาลเวลา



“ พอดีเลย เอา อัลทาวาริย่า ที่เก็บมาด้วยระหว่างทางส่งกลับไปด้วยเลย ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางกลับ ร่างคืนเป็น มนุษย์ พร้อมกับที่ ยูปี้ ก็กลับมาด้วย
ก่อนจะล้วงเอาไพ่ อีกใบที่ ผนึก อัลทาวาริย่า ที่เฟรเซีย เป็นคนล้มมัน

ออกมา ซึ่งเค้าได้ไปเจอมันระหว่างทางที่เดินมา ก่อนที่ คอสมิกแสวน จะ
ฉายแสงลงมา และดูดเอา ไพ่สองใบกลับขึ้นพร้อมกับทะลุมิติหายไปในกาลเวลา

“ อ้อจริงสิ เกือบลืม เจนัส(Genus) เคยบอกเอาไว้สู้เสร็จจะให้เท่ห์มัน ต้องตั้งท่า แล้วพูด..Good Job ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลาง ยืดอก ยกนิ้วโป้งเต๊ะท่า โชว์

“ อ้ะ..ไม่ใช่ๆ ท่าทางต้องให้มัน พึ่งผายกว่านี้หน่อย ”
ไลท์ แย้ง ขึ้น

“ แบบนี้เหรอ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางตั้งท่าใหม่

“ ไม่ใช่สิ ต้องให้สง่าผ่าเผยกว่านี้ ”
ไฟร์ กล่าวพลางเข้ามาจัดท่าจัดทาง ให้ ลอว์เรนซ์

“ เฮ้อ..ปัญญาอ่อนสิ้นดีเจ้าพวกนี้ ”
ดาร์ค เปรยอย่างหน่ายพลางลูบหน้าเพื่อดึงสติ
ขณะที่ ทาลิเลีย กับ ทาลิคนัส คืนร่างกลับเป็น มนุษย์

“ โอย..เรกกะ ฉันว่าวันนี้ กลับไปนอนกันดีกว่า หัวใจเต้นจนจะหยุดอยู่แล้ว ”
R2 กล่าวสีหน้าอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

“ นั่นสิครับ ผมเองก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาแล้วด้วย ”
เรกกะ กล่าวหน้าซีดด้วยความขยาด

“ นี่ลอว์เรนซ์ ตกลงคืนดีกันแล้วใช่มะ  ”
ยูปี้ ที่พอได้โอกาส ก็ชิงถาม เรื่องคืนดี กับ เรกกะ ทันที

“ ไม่ใช่ๆ มันต้องกางขา ออกอีกหน่อยต่างหาก ”
“ แบบนี้เหรอ ”

ทว่า ลอว์เรนซ์ ก็ไม่ได้ฟังที่พูดไปซักนิดยังคง นั่งจับวงเล่นอยู่กับ บรรดาเพื่อนๆมังกรทั้งหก
อย่างสนุกสนาน จนลืม เรกกะ กับ R2 ไปแล้ว

“ นี่พอซักทีได้ม้ายยยยยยยยยย ”
เรกกะ R2 และ ยูปี้ ตะโกน สุดเสียงเพื่อเรียกความสนใจ ท่ามกลางอาทิตย์ อัสดงของสวนสาธารณะที่
.ค่อยๆฟื้นกลับคืนเป็นปกติอย่างน่าอัศจรรย์ พร้อมๆกับความเสียหายต่างๆและผู้คนที่ เสียชีวิต ได้ย้อนคืนมา
ราวกับปารฏิหารย์

.................
.......................

“ God  Send ชิ้นสุดท้ายปรากฏขึ้นแล้วงั้นสินะ ”
โครโน่ กล่าว พลางจ้องมอง จอภาพที่ฉายภาพ หุบเขาแห่งหนึ่ง ตาไม่กระพริบ

“ ค่ะ วงแหวนแห่งการเวลา Circle of Time ที่จอสลิน (Josslyn) Valkyrie
ประจำยศ Valkyrier เอมิล รูลเวลล์เป็นผู้พิทักษ์  ”
ฮายาเตะ รายงานสำทับเพิ่มไป





“ แต่ก็ดันมามีปัญหาตรงที่หุบเขากาลเวลา มีเจ้านั่นคอยพิทักษ์อยู่ อาวุธแห่งทวยเทพ โกรอท.. ”
โครโน่ กล่าวยังไม่ทันจบ ประตูห้องก็เปิดออก พร้อมกับเงาของ คนสองคนทอดเข้ามา

“ มากันครบแล้วสินะ ..ดี หน้าสุดท้ายของประวัติศาสตร์กำลังจะเริ่มในไม่ช้านี้แล้ว จะให้ Valkyrier
 ทั้งหมดบุกไปที่หุบเขาแห่งการเวลา God Send ที่สำคัญชิ้นสุดท้ายจะต้องเป็นของพวกเรา และในตอนนั้น
แรคนารอค จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อนั้นกุญแจแห่ง อามาเกดโดน จะปรากฏ โอดีน ก็จะได้ขยับแข้งขยับขาซะที ”

โครโน่ เปรยจบก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่หน้าจอ ทั้งหมด ขึ้นตัวอักขระประหลาด ขึ้นมานับไม่ถ้วน



โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga

“ เอ๋ ทำข้าวกล่องเหรอ ”
“ ใช่แล้ว งานโรงเรียนคราวนี้ ไอ เธอจะต้องทำข้าวกล่องให้ เฟนท์ เพื่อมัดใจเค้า ขอเรียกแผนนี้ว่าปฏิบัติการ
ข้าวกล่องคว้าหัวใจ เจ้าค่า ”
“ ทำเป็นพูดไป แล้วใครจะสอน ไอ ทำได้ยะ ก็รู้อยู่ว่า ไอ น่ะนอกจากของหวานแล้ว ทำอะไรไม่เป็นเลย ”

“ นายเป็นใครเนี่ย ”

“ ใครงั้นเหรอ...ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยชั้นน่ะ เรื่องทำอาหาร ไม่เป็นรองใครเลย ”


“ ริคุ เคยบอกไว้ อาหารที่อร่อย มาจากเครื่องปรุงที่ดีเยี่ยม แต่ไม่มีเครื่องปรุงใด
ที่จะเลิศรสไปกว่า ความรู้สึกที่มีต่อผู้ทานที่คนทำอย่างเราใส่ลงไปในอาหาร ”


“ จะทำนายดวงให้เอาไหม ”

“ นี่ มาอีกแล้วเหรอ... ”

“ จะจ่ายสะเดาะเคราะห์หรือจะให้ฟันซักฉับล่ะ เพราะดวงแกชะตาขาดแล้ว น้า ”

“ เฟนท์ ฉันรักเธอ... ”

ในตอนหน้าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร Next Saga 11  ชะตาขาดซะแล้วจะจ่ายหรือเปล่า..

มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง


เอ่อ -*- บทนี้มัน เอ้อ งานฉลองครบรอบ สี่ปี ทาลิวิลย่า เปล่าเนี่ย พลพรรคภาคแรกขนเฮโลกันมาเพียบ
แล้วตอนหน้า เจ้า ลอว์เรนซ์ มันจะเข้าไปที่โรงเรียนแล้ว กลุ้มจริงๆ ที่สำคัญกว่านี่ลอว์เรนซ์ ตัวจริงเหรอเนี่ย
โดนพวก เจนัส ไปทำมิดีมิร้ายอะไรมาป่าวหว่า มาถึงก็เพี้ยนแบบกู่ไม่กลับ

ก็คงต้องดูกันต่อไป แล้วก็คู่หวานคู่แหว ทำม้าย สารภาพกันไวงี้ จะจบแบบใดหนอ หรือจะเป็นคู่กรรม ก็คงต้องรอกันต่อไปแต่

ช่วงแถมท้ายครั้งสุดท้าย เฉลยขอร้าบบบ



คู่นี้เค้าเป็นพี่น้องกันจ้า และเฉลยต่อจากนั้น กระผมเองก็พึ่งรู้ว่าพี่ กับ เจ้า การุรุม่อน
ตั้งปริศนามาเพื่อ จะแนะนำตัว ผู้ช่วยคนใหม่ วาการุรุม่อน ซึ่งจะมาประจำหน่วยงานภาพ

และอีกเฉลย ทำไมช่วงนี่นินๆ บ่อย นั่นเพราะ อีกไม่นาน นิคโคอุ จะโผล่มาในเรื่องแว้ว
นิจา ริวสุเกะ อานาโทระ จะได้โผล่ไหม ก็ต้องแล้วแต่พระเจ้า บันได..เอ้ยไม่ใช่ พี่บก. ของเราล่ะน้า

ส่วน ตอนต่อไปนั้น อัพให้วัน พฤหัสนะ พอดีเมื่อ วันอาทิตย์ ไปสวนเสือศรีราชามา
หาข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับ SMN VR! ไปๆมาๆ มันจะกลายเป็นนิยาย

รณรงค์ เที่ยวเพื่อไทย ช่วยลดโลกร้อน
ไปแล้วมั้งเนี่ย ตั้งกะภูเก็ต ละ ระยองก็ด้วย
เอ็ะเกี่ยวกันไหมหว่า  เอาเป็นว่าฉบับนี้ลาไปก่อนแล้วพบกันใหม่เน้อ
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #66 on: March 24, 2009, 02:11:27 PM »

งึมงำ...............อยากเห็นหน้าตาข้าวกล่อง  หิว..

ไอใจกล้ามากๆๆๆๆ 
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #67 on: March 28, 2009, 06:03:07 PM »

Quote
ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจาก วันพฤหัสที่ ผ่านมา ซึ่งควรจะต้องอัพ ตอนที่11
แต่ก็ดันไม่ได้ อัพดังนั้น ก็เลยจะเลื่อนมาวันอาทิตย์แทน และประกาศเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

 ที่ว่าด้วยตอนแรกเนื้อเรื่องจะมี 25 ตอน อาจจะมีถึงแค่20 ตอนเท่านั้นทั้งนี้ยังไม่แน่นอน เพราะบทค่อนข้างจะไม่ลงตัวกับเวลาเท่าไหร่
แต่จะพยายามลงให้จบ พร้อมด้วยกับ Smn Vr ที่จะมีอีกถึง Sub-Turn 10 เท่านั้นก็จบบริบูรณ์

ดังนั้นจึงแจ้งมาให้ทราบด้วยประการล่ะฉะนี้

เรื่องก็อย่างว่านี่ล่ะขอรับ พี่ปิโยม่อนเค้าแจ้งมา - -* งานเราอีกสิเนี่ย ต้องย่อเรื่องอีก เห้อ
Logged


ginn
Member
*****
Offline Offline

Posts: 9


« Reply #68 on: March 28, 2009, 10:55:07 PM »

เอ้ย เบี้ยวแบบสปอยล์ดีเคทรึ
Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #69 on: March 31, 2009, 03:38:47 AM »

ก่อนอื่นที่ เจ็มาเนี่ย คือจะมาบอกว่า ที่เบี้ยวอัพนิตอนนี้ ต้นฉบับมันยังมิเสร็จน่ะ
เพราะมีพล็อตเรื่องบางส่วนที่วางไว้มันตีกันเอง เจ็ เลยนั่งกลุ้มอยู่กะเกรม่อนคุงเนี่ย
เลยไม่ได้อัพยาวเลย เพราะงั้นคิดว่าน่าจะอัพได้ไม่วันพุธนี้ก็ พฤหัสนี้ล่ะนะ
ก็รอกันต่อไปก่อนเน้อ กะลังดู Code Geass R2 ตอนอวสานอยู่ดีๆพอมาตรวจต้นฉบับ เจ้าเกรม่อน
เงงสิคะ บริทเทเนอร์ ในต้นฉบับ กลาย บริททาเนียร์ หมด ชื่อลูเทเซีย ที่ปรากฏมากลายเป็น ลูลูว
หมด ที่สำคัญ ไอ้ คิระ กะ อัสรัน จาก กันดั้มซีด มันมาจากไหนวะคะเนี่ย
เจ็นึกว่าตัวเอง นั่งดูการ์ตูนมากเกินไปซะอีก(กระซิก ลู่ตอนจบไม่น่าตายเลย ฮือๆๆๆ)
ที่ไหนได้ ไอ้เจ้าเกรม่อนคุง มันเบลอเขียนผิดเองแหล่ะ โฮยชั้นล่ะเป็นงงกะมันล่ะวะคะ
มีอย่างที่ไหน อีา ลอว์เรนซ์ กลายเป็น คิระ เรกกะ เป็นอัสรัน แล้ว อยู่ๆ เฟนท์ กลายเป็นชิน เท่านั้น
ไม่พอ ลูเทเซีย คุง
กะ มาเรียลูซ ชื่อเปลี่ยนเป็นตัว ออรจินัลหมดเลย ว่ะค่ะ ทำเอาเจ็ปวดตึบๆ เลย (ลูเทเซีย เป็น ลูลูซ มาเรียลูซ เป็น นัลนาลี่ นี่ยังดี R2 ไม่กลายเป็น C.C.ไปด้วย ไม่งั้นมีบร้าแน่  )

ก็เอาเป็นว่าขอเวลาแก้ต้นฉบับกัันแปบ ก่อนนะเจ้าคะ ฮือที่รับไม่ได้ คือเจนัสคุงของ เจ็มิมีบทกลับมาเลย T_T อะ ไม่ใช่สิ ที่จริงคือตัวละครในเรื่องบทนี้น่ะ อุบ...อู้อี้ อู้อี้

เกรม่อน โวยคำโตข้างบนกรุณาอย่าไปฟังนะจอรับมันไม่จริ้ง ข้าน้อยมิได้ Code Geass ริทึ่ม หรือ Gundam Seed Destiny แตกธาตุไฟ แต่อย่างใด เพียงแต่ ต้นฉบับมีความเสียหายเล็กน้อยเลยมาลงได้ช้าเท่านั้นเอง (แล้วไมเราพิมพ์ชื่อเรื่องมันถูกซะหมดเนี่ย)
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #70 on: March 31, 2009, 11:08:03 AM »

^
^
ครับ เคลียร์ต้นฉบับสู้ๆ   :o
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #71 on: April 01, 2009, 04:05:11 AM »

Saga 11  ชะตาขาดซะแล้วจะจ่ายหรือเปล่า..

ราชอาณาจักร ยูราเซีย ทวีปโทร่า ทวีปทางตะวันออกสุดและเป็นทวีปขนาดเล็กที่สุด ในเทอร่า

เนื่องจาก เป็นทวีปที่ห่างไกล จากอารยธรรม ประชาชนส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพทำไร่ทำนา
ดังนั้น ยูราเซีย ที่เป็นประเทศในเขตทวีปโทร่า จึงมีความยากจน และลำบาก พวกเศรษฐี

ก็พากันกดขี่ คนจน แม้แต่ รัฐบาลของประเทศ เองก็ไม่รับผิดชอบอะไร ปล่อยปะ ละเลย  
ให้ ชาวบ้านถูกกดขี่ จนเกิดเหตุความไม่สงบจาก การประท้วงของ กลุ่มชาวบ้าน

ทว่า ลำพังแค่กลุ่มชาวบ้านไร้ความรู้ไร้อาวุธ ที่จะสู้กับ กองกำลังของ ประเทศที่ติดสินบน
ของ พวกเศรษฐี จนในที่สุด พวกเค้าเหล่านั้น ก็ต้องถูกกดขี่ต่อไป

“ วันนี้ ชั้นมารับเบี้ยหนี้ ที่ติดค้างไว้ ข้าวสารทั้งหมดของพวกแก ”
เศรษฐี ผู้มั่งคั่ง ซึ่งมาพร้อม กับลูกน้อง ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีร่างกายกำยำเบื้องหลังยังมีกองทหารติดอาวุธหนัก
ยืนคุมเชิงเพราะได้รับสินบนว่าจ้างจาก นายเศรษฐี เบื้องหน้า หญิงวัยกลางคน กับลูกชายเล็กๆ
อีกสองต่างคุกเข่าก้มหน้า ขอความเห็นใจจากเศรษฐีหน้าเลือด

“ ขอร้องล่ะค่ะ ท่านเศรษฐี บ้านเราตอนนี้ ไม่มีจะกินกันแล้ว ข้าวก็ปลูกไม่ได้
สัตว์ไถนาก็ตาย ผัวก็ม้วย ร่างกายดิฉันเองก็เป็นโรค โปรดเห็นใจเราด้วย ”
นางขอความเห็นใจจาก เศรษฐี หน้าเลือด

“ ฮ่าๆ ให้ข้าเห็นใจเรอะเห็นจะไม่ได้ล่ะ ถ้าอย่างนั้น ข้าจะยึดบ้านเจ้า เฮ้ยพวกตัวเอง พวกยาจกนี่ออกไป ”
เศรษฐี กล่าวพลางเตะแสกหน้า นางจนล้ม

“ ใจร้าย ไอ้เศรษฐีบ้า แม่เค้าป่วยอยู่ยังมาเตะแม่อีก ไอ้คนไม่มียางอาย ”
พี่ชายคนโต พูดด่าได้ไม่ทันไร ลูกน้องของเศรษฐี ก็เตะร่างของ เด็กน้อยจน กระเด็นไปกระแทกบันได ตายคาที่ทันที

“ ตัวเองรีบไสหัวไปซะ แล้วพาลูกอีกคนของเอ็งไปด้วยก่อนที่ ข้าจะให้ มันถีบตายอีกคน ”
เศรษฐีหน้าเลือดกล่าวด้วยน้ำเสียงระรื่น ก่อนที่เสียงปรบมือจะดังขึ้น ทำให้ทุกคนรวมทั้ง ผู้คนแถวนั้นต่างพากันมองไปยังต้นเสียง เด็กหนุ่มผมสีขาวคนหนึ่งกำลัง ปรบมือชื่นชม กับเหตุการณ์ตรงหน้า ดวงตานั้นซ่อนอยู่ภายใต้แว่น สีดำ

“ ฮะๆๆ เยี่ยมๆ ช่างเป็นละครชีวิตที่น่ารันทดซะจริงๆ ”
เด็กหนุ่มปรบมือไปพลาง

“ เอ็งเป็นใครวะ มาล้อเลียนข้าอยากตายเรอะ ”
เศรษฐี ตะคอกใส่ ทว่าทันทีที่ เด็กหนุ่มคนนั้นได้ยิน เค้าก็หยุดปรบมือก่อน จะถอดแว่นตาออก ดวงตาสีแดงฉาน
ที่ราวกับดวงตาของปีศาจ กำลังจับจ้อง มายังผู้คนรอบๆ ทำเอาทุกคนถึงกับนิ่งตึงไป

“ บังอาจมาว่าชั้น..ชั้นโกรธจริงๆแล้วนะ..แล้วก็ไอ้ความน่ารันทดเนี่ยมันไม่ใช่สไตล์ชั้นซะด้วย..กำจัดทิ้งเลยละกัน ”
เด็กหนุ่มกล่าวจบ เค้า ก็คว้าเอา Crisis Terminal ขึ้นมา ก่อนจะ กดปุ่มที่ตัวเครื่องทันที

“ Code Slash ”
สิ้นเสียง ไม่ทันที่ทุกคนจะรู้สึก ศรีษะของเศรษฐีกับ ลูกน้อง ก็ถูกบั่นหลุดจาก คอ
ในทันที  เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของชาวบ้าน ดังขึ้นทันที

ขณะที่ กองทหาร ที่ตามอารักขา เศรษฐี ก็รีบยกอาวุธ ขึ้นกระชับเตรียม สังหารเด็กหนุ่มที่
เปลี่ยนไปสวม ชุดเกราะและถือเคียว ซึ่งมีเลือดของเหยื่อสามรายที่ เค้าพึ่งเชือดไปติดอยู่

ทว่ากระสุนและธนูต่างๆ ก็ถูก เกราะอนุภาคอิออน ที่แผ่ออกมาจ่างชุดเกราะของเด็กหนุ่ม สกัดเอาไว้จนหมด
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะควงเคียวตวัด ออกไป ก็เกิดคลื่นเสี้ยวสีเขียว พุ่งออกไป กวาดล้างทัพทหารจนย่อยยับ



“ ส..แสงแบบนี้มัน Valkyrier นี่ ”
“ หา Valkyrier ของ Empyrean Adjust องค์กรก่อการร้ายที่กำลัง แทรกแซงสงครามทั่วเทอร่าตอนนี้น่ะเหรอ ”
“ แล้วมันมานี่ทำไมกันที่นี่ไม่ได้เกิดสงครามซะหน่อย ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ของพวกทหารที่ยังเหลือรอดดังขึ้น

“ แหมๆ พวกเราไม่ได้เลือกแค่แทรกแซง สงครามซะหน่อย ตอนแถลงการณ์ในนั้นก็บอกไปแล้วนี่ ว่า
จะรวมเทอร่าให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และปลดปล่อยมนุษยชาติ ที่ชั้นมาเนี่ยก็เพื่อมาทำลายทวีป โทร่า นี่ทิ้งทั้งทวีป
 
เบื้องบนเค้าว่ามางั้น ประเทศ ไร้อารายธรรม แบบนี้ จะปลดปล่อยให้ได้ไปก่อนใครๆเลย
 ด้วย Crisisor ของชั้นเนี่ยแหล่ะ”

สิ้นคำ เด็กหนุ่มก็ปักปลายเคียวลงกับพื้น เพียงเสี้ยววินาทีเดียว ผืนแผ่นดินทั้ง ยูราเซีย ไปจนประเทศรอบข้าง
ทั้ง ทวีปโทร่า ก็อาบไปด้วย อนุภาคอิออน ก่อนที่ จะลบทวีป โทร่า ออกไป จากหน้าประวัติศาสตร์ ในพริบตา

.................
..........................

สองวันต่อมา

“ นี่รู้ไหม Empyrean Adjust เข้าแทรกแซง อีกแล้วล่ะ เห็นว่า คราวนี้ทำลายทวีป โทร่า ทั้งทวีปเลยนะ ”
“ ฉันว่า พวกเค้าทำเกินไปแล้วนะ ฆ่าคนดะไปเรื่อยไม่สนหน้าอินท์ หน้าพรหม แบบเนี้ย ”
“ แบบนี้ จะทำให้ความขัดแย้ง หมดไปได้จริงๆน่ะเหรอ ”

เสียงพูดวิพากวิจารณ์ต่างๆนานา เกี่ยวกับความเห็นที่บรรดา นักเรียนในห้อง
ที่ได้รับรู้ข่าวสารข้อมูลจากสื่อต่างๆ เรื่องการแทรกแซง ครั้งล่าสุด ที่ทวีปโทร่า
ของ Empyrean Adjust ที่ทำให้ ทวีปโทร่าทั้งทวีปจมลงสู่ก้นสมุทร

“ เชอะเพราะการแทรกแซง ของ ราฟ (Rav) แท้ๆเลย ดูเหมือนจะเกิดเสียงต่อต้าน
ขึ้นทั่วโลกแล้ว ที่จริง ฮูกีน มูนีน คิดอะไรอยู่กันนะ การเข้าแทรกแซง ที่โทร่า ทำไมถึงได้ตัดสินไปแบบนั้น ”
เอมิล คิดพลางมองไปรอบๆห้องเพื่อดูปฏิกิริยา ของคนรอบข้าง เกี่ยวกับในเรื่องที่เค้ากำลังคิด

“ ถึง โทร่า จะเป็น ทวีปที่เล็กๆและไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงก็เถอะ แต่ก็ไม่เห็นถึงกับต้องลบมันออกไป
ยังไงซะนั่นมันก็ชีวิตคน เป็นหลักแสนถึงจะไม่เยอะแต่ก็....รึว่าที่นั่นจะมีอะไร...หะ ”
เอมิล คิดไปเรื่อยๆพลางมองไปเรื่อยเปื่อย ไม่สนใจอันใดเป็นพิเศษ แต่ก็ต้องชะงักไป
เมื่อเห็น เฟนท์ กับ ไอ ที่กำลังช่วยกันทำการบ้านของ เฟนท์ ที่ล้นมาจากการหยุดเรียนเพื่อ

ไปทำภารกิจ จากครั้งก่อนๆ หากแต่เพียงทั้งสองแค่ช่วยกัน ในฐานะเพื่อนก็คงจะไม่เป็นที่สะดุดตา

ของ เขาทว่า การพูดจา และกริยาท่าทาง นั้นสื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ที่มากกว่าเพื่อน อย่างแน่นอน
ซึ่ง เอมิล เองเมื่อเห็นกระนั้นก็ ไม่อาจนิ่งเฉยได้  

“ อ้าวมีอะไรเหรอ เอมิล ”
เฟนท์ ที่มือยังจับปากกา นั่งขีดๆเขียนๆ อยู่หันขึ้นไปมอง เมื่อ มือของ เอมิล มาวาง
อยู่บนกองกระดาษ ที่คาเต็มโต๊ะไปหมด

“ หลังเลิกเรียน ชั้นมีเรื่องจะคุยด้วย ”
เอมิล กล่าวจบก็เดินกลับไปที่โต๊ะโดยไม่รอคำตอบ ใดๆจาก เฟนท์
ทิ้งให้คนอื่นๆมองเค้าด้วยความงุนงง

......................
...........................

“ คุณแม่....คุณแม่ครับ...อย่าทิ้งผมไป ”
“ หยุดร้องเถอะลูก แม่เค้าไม่อยู่กับเราแล้วนะ... ”
เสียงร้องระงมของเด็กชาย ที่สูญเสียแม่ ไป กับพ่อที่ปลอบโยนลูกชายตัวน้อยเอาไว้
ทว่าด้านหลังพวกเขาทั้งสอง กลับมีหญิงคนหนึ่ง กับลูกสาวอีกคน ยืนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ต่อหน้าป้าย หลุมศพ
แม่ของเด็กชาย

“ คุณคะ ตอนนี้ปล่อยแกไปเถอะค่ะ แกคงยังเสียใจ อยู่ น่ะค่ะ..นะคะ ”
หญิงคนนั้นเข้ามาออด อ้อนพร้อมกับ เด็กสาวซึ่งเป็นลูกของเธอ
แน่นอนภาพที่เห็นอยู่นี้ นาง คือหญิงร้ายที่มาพรากเอา ทุกๆอย่างไปจาก เด็กชาย ซึ่งเป็นลูกคนแรก
ของ ชายผู้เป็นำพ่อแท้ๆไป ไม่นาน เด็กน้อยก็ถูกลืมเลือน ถูกกดขี่โดย แม่กับลูกสาวตัวร้ายที่ร้ายไม่แพ้กัน
นี่คงเป็นกรรม ของเด็กน้อย ที่ไม่อาจมีใครยื่นมือเข้าช่วยได้ เป็นดั่งฉากหนึ่งของละครชีวิต ที่น่ารันทด
แต่กทว่า

“ นี่แกจะทำอะไรน่ะ..ย..อย่า..อย่าเข้ามานะ ”
หญิงสาว ผู้ซึ่งแต่งงานเข้ามาใหม่หลังจากที่แม่ของเด็กชายตายไป และเข้ายึดเอาทุกอย่างไปจากเค้า
รวมหัวกับลูกสาวของตน กลั่นแกล้งสารพัน บัดนี้ต้องหนีหัวซุกหัวซุน เมื่อ เด็กชายเดินมาพร้อมกับมีดที่เปื้อนเลือด

และหัวของ ลูกสาวตัวดีที่ถูกตัดออกจากร่างมาสด หิ้วติดมือมาด้วย ก่อนจะโยนมันลงไปใส่บนตักของเธอ ทำให้เธอกรีดร้อง อย่างสุดเสียงด้วยความหวาดกลัว ขณะที่เด็กชายเอา มีดที่เปื้อนเลือดของ

 ลูกสาวเธฮขึ้นมาเลียเอาเลือด
กลืนลงไป พลางยิ้ม อย่างมีความสุขหน้าตาระรื่นออกนอกหน้า

“ กลัวล่ะซี้ ก็ต้องกลัวสิเนาะ เพราะที่จริงมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ใช่ไหมล้า หืม ”
เด็กชายกล่าวยิ้มเยาะอย่างสุขสัน พลางเดินใกล้เข้าไปหาเธอ ที่ล้มอยู่
ขณะที่เธอ ส่ายหน้าปฏิเสธ พลางถอยทุลักทุเล ไปด้วยความหวาดกลัว

“ ใช่สิน้า ใช่สิน้า หะๆๆ มันก็ต้องใช่อยู่แล้ว เพราะละครน้ำเน่า ต่างๆมันก็มีฉายให้ดู แล้วก็มาทึกทักเอาเอง ว่าตัวเอง จะไม่พลาด เหมือนอย่างตัวร้ายในละคร โด่ แต่ว่าชั้นเนี่ยนะมันเบื่อเรื่องพวกนี้ซะด้วยสิ
 ชั้นน่ะไม่ยอมอยู่ให้รังแกหรอกเพราะชั้นไม่ใช่คนดี ชั้นน่ะร้ายซะยิ่งกว่าตัวร้ายในละครซะอีก รู้ไว้ด้วย ”
เด็กชายกล่าว พลางตวัดมีดในมือไปมา อย่างสุขสันต์

“ แก..แกมันบ้า..คุณคะ ช่วยฉันด้วยคุณคะอยู่ไหนคะ คุณ ”
เธอร้องให้ สามีมาช่วยแต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ ก่อนที่ไม่นาน หัวของ สามีเธอจะลอยละลิ่วลงที่ตักของเธอีกจน เธอต้อง สะดุ้งปัดหัวที่เปื้อนเลือด นั้นออกจากตักอีกครั้งเหมือนหัวของลูกสาวเธอพร้อมกับกรีดร้อง

“ เรียกหามันอยู่ไม่ใช่เหรอ นั่นไงชั้นเอามาให้แล้วเอ้าไม่กอดเหรอ.หึๆ เห็นตอนที่อยู่ต่อหน้ามันทำเป็นก้อร้อก้อติก ออดอ้อน จะเอานักจะเอาหนา แล้วก็มาถีบไสไล่ส่งชั้น ตอนนี้มันก็อยู่นี่แล้วไงเอาซี้ทำเหมือนทุกครั้งไง หะๆๆๆ ”
เด็กชาย กล่าวเสียงสูง ก่อนจะหัวเราะลั่นอย่างอำมหิต ราวกับปีศาจ

“ แก...แกมันปีศาจ ฆ่าได้กระทั่ง พ่อตัวเอง...แกมันไม่ใช่คน..ไอ้เด็กปีศาจ อย่าเข้ามานะ ”
เธอ ตะคอกใส่เพื่อหวังจะให้เด็กชาย ได้ละอาย และเปิดช่องให้เธอ เข้าไปจัดการกับเขาได้
ทว่า ปฏิกิริยาตอบสนองของ เด็กชายกลับไม่เป็นเช่นที่เธอหวังไว้ ไม่ทันไร มือซ้ายของเธอก็ขาด
สะบั้น พร้อมกับเสียงหัวเราะของเด็กชาย ที่ดังขึ้นซ้อนทับกับเสียงกรีดร้องของเธอ

“ ปีศาจงั้นเหรอ...งั้นเหรอ ฮะๆๆ นั่นสิเน้อ ชั้นมันไม่ใช่คนอยู่แล้วนี่ แล้วก็ไม่ใช่ปีศาจด้วย มีพี่ชายแปลกๆคนนึง
เค้ามาบอกกับชั้นว่า ชั้นไม่ใช่มนุษย์ไม่ใช่ปีศาจไม่ใช่เทพ แต่เป็นยิ่งกว่า ชั้นเป็นอานิม่า ”
สิ้นคำของ เด็กชาย มีดในมือก็ถูกเหวี่ยงควงออกไป มีดควงเบี่ยงรัศมี ตัดเฉือน ทั้งหัว ข้อมือข้อเท้าทั้งหมดที่เหลือของเธอ จนขาดสะบั้นสิ้นใจในพริบตานั้น ก่อนที่มีดจะวกกลับมาที่ มือของเขา

“ อื้ม..อร่อยดีจริงๆเลือดของมนุษย์เนี่ย ”
เด็กชายกล่าว พลางเลียกินเลือดบน คมมีดจนหมด ก่อนจะเดินลอยหน้าลอยตาออกจากห้องไป
ทิ้งศพของทั้งครอบครัวเอาไว้ในบ้าน เมื่อออกมานอกบ้าน เจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย ก็มาล้อมเอาไว้
ข้างหน้าหมดเสียแล้ว

“ โอ้ตายล่ะ ลืมไปเลยแหะที่ตัวเอกในเรื่อง ไม่ฆ่าคนเพราะ มันมีกฎหมายรองรับนี่เนอะต้องเล่นตามกติกากันไป แต่มันยุ่งยากอ่ะ ฆ่าๆให้หมดซะก็สิ้นเรื่อง ”
สิ้นคำ มีดที่เหน็บเอาไว้กับสายหนังก็ถูกชักออกมา อีกเล่ม ก่อนที่ จะถูก เหวี่ยงออกไป
แม้ เจ้าหน้าที่ จะมีอาวุธ และ กำลังที่เหนือกว่า แต่ก็ไม่ทันได้ใช้ เพราะต่างก็สังเวยให้กับคมมีดของ เขาเสียแล้ว
เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมๆกับที่ เด็กชายเก็บมีดที่ควงกลับมา

“ ยอดเยี่ยม นายคือมนุษย์คนแรกที่วิวัฒนาการมาเป็น อานิม่า จากนี้ไปนายจะเป็น Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust ที่จะถือกำเนิดขึ้นอย่างสมบรูณ์ในอีก 50 ปี ข้างหน้านี้ ”
เสียงกล่าวนั้นดังขึ้น ก่อนที่ โครโน่ จะเดินออกมาจาก มุมมืดของบ้าน เข้ามาหาเค้าทางด้านหลัง

“ ต้องรอนานขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงจะได้ฆ่าคนอีกน่ะ กว่าจะถึงตอนนั้น ชั้นก็เบื่อแย่เลยน่ะสิ ”
เค้ากล่าว อย่างเสียงดาย

“ ไม่ต้องห่วง ต่อไปนี่ต่อให้เวลาผ่านไปนาน แค่ไหนนายก็จะโตขึ้นจนมีอายุอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ จากนั้นนายก็จะเป็น อมตะไม่แก่ไม่ตาย และยังมีอำนาจเหนือกว่ามนุษย์ ทั้งมวล ”
โครโน่ กล่าว

“ งั้นถึงตอนนั้นจะฆ่าซักกี่คนก็ได้ใช่ไหม ”
เด็กชายกล่าว ยิ้มเยาะราวกับเด็กเห็นของเล่น

“ แน่นอน ถึงตอนนั้นจะนายให้ฆ่าจนเบื่อเลย ราฟ ”
โครโน่ รับปากอย่างมั่นใจ

“ โอ้ดีเลย รับรองชั้นไม่เบื่อแน่ ”
เด็กชายกล่าว ด้วยความอิ่มเอม เรื่องราวทั้งหมดที่ได้ดำเนินมาถึงตรงนี้  มันคือเหตุการณ์
 ที่ ราฟ Valkyrier เด็กหนุ่มผู้ที่ ทำลาย ทวีป โทร่า กำลัง รำลึกย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีต ของตน

ขณะที่ยิ้มไปพลางด้วยความสะใจ อยู่ภายในห้อง มืด กับโครโน่ ฮายาเตะ และ Valkyrier
คนอื่นๆ อีก 5 คนที่มาถึงแล้ว ซึ่งก็มี ราฟ กับคู่หูร่วมทีม อีกคนที่นั่งอยู่ในมุมมืดของห้อง กับ
หลีเม่ยและทีมที่พึ่งมาถึง

“ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เชียวนะ ราฟ ”
โครโน่ กล่าวเมื่อได้เห็นสีหน้ายิ้มเล็กยิ้มน้อยของ ราฟ ที่นั่งอยู่มุมห้อง

“ แหม ฆ่าคนจนชักจะเบื่อแล้ว ตายง่ายชะมัด ภารกิจนี้เรากำลังจะไปสู้กับมังกรเชียวนะมังกรน่ะ ได้ฆ่าไอ้ตัวที่มัน
กินยากๆหน่อยสิถึงจะน่าตื่นเต้น ”
ราฟ กล่าวอย่างลิงโลด พลางเลียริมฝีปากด้วยความสะใจ

“ ชั้นไม่เห็นว่าไอ้การนั่งรวบรวม เศษขยะ 12 ชิ้นอย่าง God Send น่ะมันจะช่วยให้ เทอร่าเปลี่ยนแปลงไปได้เลยนะ
แล้วทำไมถึงอย่างนั้น ก็ยังจะ…. ”
หลีเมย่ กล่าวถาม โครโน่ ด้วยความสงสัย

“ ก่อนจะให้ชั้นตอบคำถามนั่น ชั้นว่าเธอพิจารณา ตัวเองหน่อยก็ดีนะว่าอยู่
ในสถานะใด…มนุษย์อย่างเธอน่ะไม่มีสิทธิมาสั่ง ชั้นที่เป็น อานิม่า และยิ่งไปกว่านั้น ชั้นเองก็อยู่ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบการแทรกแซง ทั้งหมดของ Empyrean Adjust ด้วย เพราะ อิสฮาน
ได้สร้างพวกเราขึ้นมาตาม มติของสภามังกรนภากาศ ”

โครโน่ โต้แย้งคำถามของเธอโดยเอาเรื่อง ยศระดับในองค์กร มาเป็นข้ออ้างที่จะไม่ตอบคำถาม
ทำให้ หลีเม่ย ต้องเงียบไปอย่างไม่มีทางเลือก ล

“ ยัย โลภมากเอ๊ย…เหตุผลแค่นั้นคิดจะเอามาเปลี่ยนแปลงโลก วั้นรึเนี่ย น่าขำสิ้นดี หะๆๆ ”
ราฟ กล่าวเยาะเย้ย ใส่เธอทำให้เธอหันมาทำตาเขม็งใส่ ราฟ

“ เพราะสงคราม ทำให้ครอบครัวของฉันต้องจากไป สงครามพรากเอาทุกอย่างไปจากฉัน
ฉันจะเปลี่ยนแปลง เทอร่า นี้เพื่อที่ความขัดแย้งจะได้หมดไป แล้วเราก็จะได้อยู่อย่างสงบสุข..
แหม ช่างเป็นความคิดที่ นางเอ๋ก นางเอก ซะจริงๆนะ ”

ราฟ แกล้งทำเสียงสูงๆ เพื่อจะเหยียดหยามต่อ อุดมการณ์ของ เธอ

“ ก็แล้วมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องหรือไง พวกเราทุกคนที่นี่ต่างก็ทุกข์ทม จากสงคราม ถึงได้คิดจะขจัดความขัดแย้ง
…..ขจัดไปซึ่งสงครามน่ะ  ”
หลีเม่ย แย้งทว่าทันทีที่ เธอ กล่าวจบ ราฟ ก็หัวเราะขึ้นอย่างชอบใจ เป็นเยาะเย้ย ต่อความคิดของเธอ

“ อ่อนซะจริงน้า..คุณหนู หะๆ อยากจะหัวเราะให้ตาย ทำมาเป็นอ้างโน่นอ้างนี่
ที่จริงเธอเองก็แค่อยากระบายมันเท่านั้นเองนี่ หือ…หึๆ ช่างเป็นชีวิตที่น่ารันทด เนอะ แต่ก็ยังดีที่คนอย่างเธอไม่ได้รอให้ โชคชะตามมารังควานแต่นั่นยังอ่อนเกินไป…. ”

ราฟ กล่าวพลางลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหา เธอ

“ ถ้าเป็นชั้น..จะทำลายมันซะจะฆ่าให้หมดไม่ให้มีเหลือเลย เพราะยังไงซะการทำลาย
 ก็ง่ายกว่าการแก้ไขหรืสร้างมันล่ะนะ…ก็เพราะยังมีความคิดที่ยึดติดกับอดีตอยู่ยังไงเล่า ถึงได้ก้าวข้าม ความเป็นมนุษย์จนกลายมาเป็น อานิม่า แบบชั้นไม่ได้ ไงล่ะ ”
ราฟ กล่าวน้ำเสียง ยียวน พลางเอามือ เชิดปลายคางของ หลีเม่ย ขึ้นมาดูใกล้ๆ โดยที่เจ้าหล่อนไม่อาจขัดขืนได้ทัน

“ เธอนี่จะว่าไป หน้าตาก็ใช้ได้นะนี่ เสียดายที่อีกไม่กี่ปี ก็จะเหยี่ยวเฉาแล้วก็ตายไป
ตามกระแสเวลา หึๆ ”
ราฟกล่าวพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ หลีเม่ย เรื่อยๆเพื่อจะขืนใจจุมพิตเธอ ก่อนที่ ผิง กับ หลง ลูกทีม จากยาน ไนเกอร์ที่
เธอ เป็นหัวหน้าทีม  จะเข้ามาแยก ราฟ ออกหลีเม่ย ก็จัดการตบหน้าราฟ ก่อนจะตีตัวออกห่าง

“ นี่เธอ… ”
ราฟ สบถพลางเอามือ กุมใบหน้าที่แดงจาการตบของเธอเมื่อครู่

“ ถึงจะมีระดับชั้นที่สูงส่ง แต่ถ้าต้องลดตัวลงไปทำกิริยา ต่ำทรามแบบนั้น ต่อให้เป็นอมตะไม่แก่ไม่ตายได้
ดิฉันก็ไม่เอาด้วยหรอกค่ะ แล้วก็ที่ตบเมื่อกี้ ถือว่าสั่งสอนถ้าขืนคุณทำอีกที ต่อให้ เป็น อานิม่า หรืออะไรฉันก็จะไม่ไว้หน้าทั้งนั้น ”

หลีเม่ย กล่าวพลางปัดแขนเสื้อ แสดงท่าทีเย้ยหยันกลับไปว่า ตัวของราฟ นั้นสกปรกและตกต่ำ
ถึงกับทำเอา เขาเลือดขึ้นหน้าด้วยความเดือด ดาลครั้น ราฟ ลุกขึ้นและพุ่งเข้าไปจะลงมือนั้น
ฮายาเตะ ก็เข้ามา แยกทั้งคู่ออกจากกันทันที

“ กรุณา รักษามารายาทด้วยนี่อบู่ในที่ประชุมนะคะ…ถ้ายังจะมีเรื่องกันอีก ดิฉันก็จะไม่ไว้หน้าใครเหมือนกัน ”
ฮายาเตะ กล่าวดวงตาแข็งกร้าว ทำเอาทั้งสอง ต้องชะงักไป และยอมสงบลงในที่สุด

“ ราฟ การที่เรา อานิม่า เข้าไปหัวใจของคนอื่นได้ ก็ใช่ว่าจะต้องพูดออกมาทั้งหมดนะ ไม่งั้น
นายอาจถูกถอดจากการเป็น อานิม่า เอาดื้อๆได้ เพราะมันไม่ใช่ตำแหน่งที่ ใครจะเอามาใส่ให้ก็ได้
มันขึ้นอยู่กับตัวนายเอง ”
โครโน่ เตือนโดยไม่หันมามอง

“ ไม่ต้องมาขู่กันหรอกน่า ร่างนี้ดีจะตายถ้าเป็นแบบนี้ก็ฆ่าไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องกลัวว่า ใครจะฆ่าชั้นทั้งนั้น
ไม่ว่าจะ เทพ ปีศาจ หรือ เวลา ชั้นก็จะทำลายมันได้ทั้งหมด เพราะงั้นร่างนี้ชั้นไม่ยอมให้มันเสียไปหรอก ”
ราฟ กล่าวอย่างมั่นใจ ในขณะที่ หลีเม่ย หรี่ดวงตาแคบลงเพื่อ ชายตามองไปที่ โครโน่ พร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย
โดยที่ไม่มีใครเห็น
…………………..
……………….
………………………..

เวลาดลิกเรียน ของ St. Magnus Academy

“ เฟนท์ ดูเหมือนจะลืมไปโดยสมบูรณ์จริงๆแหะ เรื่องที่เรา คือ Dragoon น่ะเพราะเวทย์มนต์ของ R2 เหรอ ”
เรกกะ คิดในใจขณะที่ ฟุบหน้านอนลงบนโต๊ะเรียน พลางหันไปมอง เฟนท์ ที่ยังคงทำการบ้านที่ค้างไว้อยู่แม้จะเป็นพักกลางวัน ก่อนที่จะนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อไม่กี่วันก่อน

“ เรกกะ ขอคุยด้วยหน่อยสิ เรื่อง Dragoon น่ะ อ๊ะ ”
เฟนท์ ที่พรวดเข้ามาหา เค้ากับ R2 ขณะที่ เดินไปด้วยกันที่ย่านตลาด บาร์ซิงเซย์ ที่พึ่งเปิดให้
ใช้อีกครั้งไม่นานหลังจากการ ก่อการร้ายของ กลุ่ม มาราดัน ทว่า ทันทีที่ เฟนท์ เข้ามาถึง
ตัวของ เรกกะ R2 ที่อยู่ข้างๆ ก็ร่ายมนต์ ใส่หน้า เฟนท์ ก่อนที่เค้าจะสลบไป

“ ท..ทำอะไรน่ะ R2 ”
 เรกกะ ถามด้วยความผวาพลางรีบรับร่างของ เฟนท์ ที่ล้มลง ให้ค่อยๆนอนลงกับพื้น

“ ไม่เป็นไรหรอก เค้าแค่สลบไปน่ะ ฉันจัดการลบความทรงจำเรื่องที่ เรกกะ เป็น
 Dragoon ในหัวของเค้าออกจหมดแล้วล่ะ ”
R2 กล่าวสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่ เรกกะ ยังคงไม่วางใจอยู่ดี แต่หลังจากวันนั้น
เมื่อเข้าไปถาม เรื่อง Dragoon เฟนท์ กลับจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“ นี่ เรกกะ งานโรงเรียนปีนี้ ชมรมสัตว์เลี้ยงของเราจะทำอะไรดีล่ะ ”
เสียงของ เฟนท์ ดังขึ้นก่อนที่ เรกกะ จะต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นว่า เฟนท์ เดินเข้ามาใกล้ชิดขอบโต๊ะ
จากที่ขานั่งเหม่อ มองไปทาง เฟนท์ อยู่ตลอกโดยไม่รู้ตัว

“ อ..เอ่อ งานโรงเรียนเหรอ  เอ…งานโรงเรียนปีนี้….เอ๋ นี่จะถึงงานโรงเรียนปีนี้แล้วเหรอ ”
เรกกะ อุทานเสียงดัง ด้วยความประหลาดใจ

“ แหงสิ งานจะเริ่ม มะรืนนี้แล้วนะ คนอื่นเค้ารอความเห็นของประธานชมรม อย่างนายอยู่แต่นายก็ไม่เห็นไปที่ชมรมเลย ช่วง หลายอาทิตย์มาเนี่ย ชั้นเลยต้องมาถามนายเอาตอนนี้แทนน่ะ ”
เฟนท์ อธิบายถึงช่วงนี้ที่พักหลังเค้าไม่ได้ ไปที่ห้องชมรมเพื่อเข้า ร่วมประชุมเลย
ซึ่งสาเหตุก็ไม่ใช่อื่นไกล เพราะตลอดสัปดาห์ ก่อนๆนี้ต้องต่อสู้กับ พวกมาราดัน จัดการเรื่อง

มังกรอาละวาด ที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ แล้วยัง มีเรื่องของ ลอว์เรนซ์ ที่มาปรากฏตัว พร้อมกับพลัง
แบบเดียวกับเขา จากเหตุการณ์ ต่างๆเหล่านี้ทำให้เค้า แทบไม่มีเวลาปลีกตัวไป ทำกิจวัตร
ของตนได้ตามเดิม

“ คือแบบว่า ช่วงนี้ มันยุ่งๆอ่ะนะ ก็เลยลืมไปซะสนิทน่ะ ”
เรกกะ แก้ตัวน้ำขุ่นๆไป ทำเอา เฟนท์ ถึงกับถอนหายใจแบบหน่ายๆ

“ เฮ้อ แล้วตกลงจะเอายังไงล่ะ งานจะเริ่มมะรืนนี้แล้ว คงไม่มีเวลามาทำ งานใหญ่แล้วล่ะ ”
เฟนท์ กล่าวพลางถอนหายใจไปด้วยความ เหนื่อยหน่าย

“ เอ่อ นี่เฟนท์ เป็นอะไรไปเปล่า ดูนายเหนื่อยๆชอบกลนะ ”
เรกกะ ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ทบไปกับความสงสัย

“ ก็งาน ชมรมปีนี้ชั้นคงช่วย จัดงานไม่ได้แล้วล่ะ เพราะ ไรด์ เค้ามาขอให้ชั้นไปช่วยงานชมรมด้วยน่ะสิ ”
เฟนท์ กล่าวด้วยท่าทีเหนื่อยใจ

“ แต่ ชมรม เจ้าไรด์ มันชมรมศิลปะการต่อสู้นี่ แล้วจะเอานายไปทำไม…ไปเป็นพี่เลี้ยงเหรอ ”
เรกกะ ถามพลางตีหน้างงๆ

“ เป็นนักกีฬา ต่างหาก… ”
เฟนท์ ตอบเสียงเหนื่อยหน่ายอีกครั้ง

“ หา นักกีฬา นายเนี่ยนะ เจ้า ไรด์ มันกินอะไรผิดสำแดงเข้าไปรึเปล่าเนี่ย ถึงจะให้นายไป เป็นนักกีฬา  ”
เรกกะ อุทานเสียงห้วน ดวงตาถลนด้วยความประหลาดใจ กับคำตอบของ เฟนท์

“ เรื่องมันเริ่มจากที่ ไรด์ มาขอร้องชั้น หลังจาก เปิดประชุม กันเมื่อ สัปดาห์ที่แล้วน่ะสิ ”
เฟนท์ บ่นก่อนจะเริ่มอธิบายเรื่องทั้งหมด

“ น่านะ..ขอร้องล่ะ เฟนท์ ช่วยหน่อยเถอะ เพราะชมรม ชั้นคนไม่พอ น่ะขอร้องล่ะ ชั้นลองไปขอร้อง เจ้า เอมิล มันแล้ว แต่หมอนั่นก็ ปฏิเสธ ไม่ยอมท่าเดียวเลย ขอร้องตอนนี้เหลือแต่นายแล้วนะที่จะช่วยชั้นได้น่ะ..นะขอร้องนะ ”
เฟนท์ แกล้งดัดเสียง ให้เหมือน ไรด์ แล้วพูดประโยค เดียวกับทีเค้าถูก ขอร้องมาให้ เรกกะ ฟัง

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #72 on: April 01, 2009, 04:05:30 AM »

“ แต่ที่ไม่เข้าใจเลย ทำไมคนอื่นออกเยอะแยะ ต้องเป็นชั้นด้วยก็ไม่รู้ ”
เฟนท์ ยังคงบ่นอย่างไม่พอใจ ที่ต้องไปทำอะไรที่ตัวเองไม่ถนัด เพราะเค้านั้นไม่ชอบ ความรุนแรงเป็นที่สุด
(แกเป็น Valkyrier ได้ไงหว้า ฆ่าคนไปกี่หมื่นแล้วน่ะห๊า)

“ เอ่อ ชั้นว่าคงเพราะ ไอ้นี่ล่ะมั้ง ”
ก่อนจะ ควัก เอา เศษกระดาษ จากกระเป๋ากางเกง ขึ้นมา คลี่ออกบนโต๊ะ ซึ่งมันเป็นใบปลิว
ที่เขียนรายละเอียด ของการแข่งประลองยุทธ ที่ชมรม ศิลปะการต่อสู้ จะจัดขึ้นในงานโรงเรียน
ซึ่ง เฟนท์ ทันทีที่ อ่าน รายละเอียด ภายใน ใบปลิว ที่เรกกะ เก็บมา ก็ถึงกับเข่าทรุด

“ ผู้เข้าแข่งขันทุกคน เป็นชายหน้าตาดี พร้อมจะมาประชันกันบนสังเวียน เชิญสาวๆทั้งหลายมากันให้ได้นะ ”
เรกกะ อ่านรายละเอียด ที่บรรทัดล่างสุด ซึ่งพิมพ์ ไว้เล็กๆ

“ บางทีนายก็ดูเอ๋อเกินกว่าหน้าตานะเนี่ย เฟนท์  ”
เรกกะ กล่าวพลางตีสีหน้า เอือมๆ ขณะที่เฟนท์ น้ำตาไหลพราก เป็นสาย ก่อนจะวิ่ง ออกจากห้องไป

“ เจ้า ไรด์ บ้า ออกมาเดี๋ยวนี้น้า ”
เสียงตะโกนเรียกของ เฟนท์ ดังแว่ว มาเรื่อยๆก่อนจะเงียบไป

“ เฮ้อ เอวัง…ขอให้ไปดีนะ เฟนท์…ต่อไปก็ชมรมเราจะจัดงานไรดีเนี่ย เฟนท์ ก็คงอยู่ช่วยงานไม่ได้แล้ว.... ”
เรกกะ บ่นไปพลางเดินคิดไปเรื่อยๆหลังจากที่ ลุกจาก เก้าอี้ เพื่อออกจากห้องย้ายไปหาที่คิดเงียบๆ
ก่อนจะต้องชะงักไป เม ื่อเห็น ใครบางคนที่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่

“ หมอนั่น…คุณพ่อ เอ๊ย..ลอว์เรนซ์ นี่…ตายล่ะหว่า แล้วมาทำอะไรที่นี่เนี่ย ”
เรกกะ อุทานในใจ ทันทีที่เห็น ลอว์เรนซ์ เดินลอยชาย อยู่แถวลานพักผ่อน ของ โรงเรียน

“ ห๊ะ..เจ้าเบื้อกนั่น มันอยู่นี่เรอะ ดีเลยเราไปอัดมันเลยดีกว่าม้าง เรกกะ ปล่อยไว้ก็ไม่รู้จะมาทำอะไร
รึเปล่า เดี๋ยวชั้นจัดการเอง ”
เสียงของ ทาลิคนัส ดังขึ้นในหัว

“ ไม่ได้นะ ทาลิคนัส นายเงียบไปเหอะ เดี๋ยวชั้นจัดการเอง ”
เรกกะ ตะคอกกับตัวเอง ก่อนจะ รีบเดินลงบันได ไปที่ลาน เพื่อไปหยุดลอว์เรนซ์


………………


“ เอ๋ ทำข้าวกล่องเหรอ ”
ไอ เปรยเสียงเรียบด้วยความสงสัย ขณะที่นั่งอยู่กับ โคเว็ท และ มิมิ บนโต๊ะหินอ่อน ในลานพักผ่อน

“ ใช่แล้ว งานโรงเรียนคราวนี้ ไอ เธอจะต้องทำข้าวกล่องให้ เฟนท์ เพื่อมัดใจเค้า ขอเรียกแผนนี้ว่าปฏิบัติการ
ข้าวกล่องคว้าหัวใจ เจ้าค่า ”
มิมิ กล่าวเสียงระรื่น

“ ท..ทำข้าวกล่องเหรอ ”
ไอ ตอบเสียงตะกุกตะกัก ด้วยความไม่แน่ใจ กับแผนของเพื่อสาวร่างท้วมของเธอ

“ ใช่แล้วล่ะ ฉันศึกษามาแล้ว การทำข้าวกล่องให้ผู้ชายที่เราชอบเป็นการแสดง
ถึงความเป็นแม่ศรีเรือนให้ อีกฝ่ายเห็นและจะทำให้เค้าเกิดความไว้วางใจ
 ในตัวเราได้ด้วย รับรองชัวร์ไม่มั่วนิ่มเพราะ
ฉันศึกษามาจาก การ์ตูนที่พึ่งดูจบไปสดๆเมื่อวานนี้เอง ”
มิมิ กล่าวจบ ก็ทำเอา สองสาวตีหน้าเซง ไปตามๆกัน

“ ทำเป็นพูดไป แล้วใครจะสอน ไอ ทำได้ยะ ก็รู้อยู่ว่า ไอ น่ะนอก
จากของหวานแล้ว ทำอะไรไม่เป็นเลย ”
โคเว็ท แย้งขึ้น ทำเอา มิมิ นิ่งไปด้วยเธอไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เอาไว้ก่อน

“ มิมิ นี่ถ้าเป็นเรื่องกินเนี่ย ไม่เคยปล่อยให้พ้นเลยนะ..ฮิๆ ”
ไอ กล่าวพลางหัวเราะขบขัน ไปพลาง ทำเอา มิมิ ถึงกับเขินอายไป

“ สาวน้อยที่กำลังมีความรัก งั้นหรือ…ถ้าคิดจะทำอาหารเพื่อไปสารภาพความในใจ นั้นเป็นนับวิธี
ที่ถูกต้องตามตำราเลยทีเดียว(เล่มไหนหว่า) ”
เสียงดังขึ้นด้านหลังกลุ่มของพวกเธอ ก่อนจะหันควับไปพร้อมกัน

“ นายเป็นใครเนี่ย ”
โคเว็ท ถามพลางกัน ไอ ให้ห่างออกจากเจ้าของเสียง

“ มาแอบฟังผู้หญิงคุยกันได้ไงยะ ไม่มีมารยาทเลย ”
มิมิ ด่าสวนกลับไป แต่อีกฝ่ายซึ่งก็คือ ลอว์เรนซ์ นั้นกลับหมุนตัว สะบัดไม้สะบัดมือ
โดยไม่ฟัง คำพูของ ทั้งสองแม้แต่น้อย


“ ใครงั้นเหรอ...ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยชั้นน่ะ เรื่องทำอาหาร ไม่เป็นรองใครเลย ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวหลังจากที่ หมุนตัวแสดงลีลา ประหลาดๆ จบ

“ หา..จริงอ่ะงั้นนายก็สอนให้ ไอ ทำอาหารได้สิ ”
มิมิ กล่าวเสียงทุ้ม

“ มิมิ ..หมอนี่เป็นใคร เรายังไม่รู้จักเลยนะ จะให้ ไอ ไปเรียนด้วยได้ไง แถมเป็นพวกต้มตุ๋นรึเปล่าก็ไม่รู้ นักเรียนของ ที่นี่ก็ไม่ใช่ซักหน่อย เข้ามาได้ไงน่ะนาย  ”
โคเว็ท แย้ง มิมิ ไว้ก่อนจะหันไป สวน ใส่ ลอว์เรนซ์ ทว่าก่อนที่ ลอว์เรนซ์ จะได้ทันตอบอะไร
เรกกะ ก็วิ่งเข้ามารวบตัวเค้า ทันที จนล้มลงไปทั้งคู่

“ นี่นายมาทำอะไรที่นี่เนี่ย ”
เรกกะ กล่าวพลางรวบไว้ ไม่ให้ ลอว์เรน์ ดิ้นหนีหลุดไป เนื่องจากคราวก่อน
หลังจาก จัดการเรื่องต่างๆเสร็จ ยังไม่ทันที่ เรกกะ จะได้ถามถึงเรื่องราวจาก ลอว์เรนซ์

เค้าก็รีบชิ่งหนีหายไปซะก่อน ครั้งนี้ทำให้เค้าตัดสินใจรวบตัวไว้ทันที เพื่อไม่ให้หนีไปง่ายๆ
ต่อหน้าสามสาวที่มองดูทั้งสองด้วยความงุนงง

“ แล้วนี่นาย จะมา กดตัวชั้นไว้ทำไมเนี่ย ปล่อยนะ ”
ลอว์เรนซ์ ตะคอก พลางดิ้นไปมาเพื่อสลัดให้หลุดจาก เรกกะ

“ เอ่อ นี่เธอสองคนรู้จักกันเหรอ ”
โคเว็ท กล่าวถามด้วยความสงสัย ขณะที่ ทั้งสองยะงคงคลุกกันไปคลุกกันมาอยู่บนพื้น

“ อ๋อ หมอนี่น่ะ… ”
เรกกะ กล่าวยังไม่ทันจบ ลอว์เรนซ์ ก็สลัดหลุดจากตัวเค้าได้สำเร็จพลาง ลุกหนีทันที
ขณะที่ เรกกะ รีบลุกตามจะไปสกัดไว้ไม่ให้หนี แต่ ลอว์เรนซ์ ก็วิ่งไปซะแล้ว

แต่ไม่ทันไร มิมิ กลับเข้าไปรวบตัว ลอว์เรนซ์ ไว้หน้าตาเฉย สร้างความงุนงงให้
กับทั้งสองฝ่าย

“ นี่นายทำอาหารเป็นใช่มะ งั้นช่วยสอนเพื่อชันหน่อยสิ ”
มิมิ กล่าวจบก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลากตัว ลอว์เรนซ์ มาโดยไม่สนแรงฝืนของ อีกฝ่ายเลย

“ มิมิ ก็บอกแล้วไง.. ”
โคเว็ท กล่าวย้ำแต่ ว่า มิมิ ก็ยกมือขึ้นปรามไว้ก่อน

“ ก็เธอบอกเองนี่ โคเว็ท ว่าไม่ไว้ใจเค้าเพราะเป็นคนแปลกหน้า แต่นี่เค้าเป็นคนรู้จักของ
เรกกะ นี่เนอะงั้นก็ไม่ใชคนที่ไม่น่าไว้ใจ จริงไหม เรกกะ ”
มิมิ กล่าวรวบรัดตัดความพลางบีบแขน ของ ลอว์เรนซ์ ที่ขัดขืนซะจน ลอว์เรนซ์ ต้องยอมแพ้กับแรงช้างสาร
ของเธอไป ทำเอา เรกกะ สะดุ้งจนต้องพยักหน้าตอบไปแบบ ไม่กล้าปฏิเสธ

“ เอาเถอะ ถ้า เรกกะ ว่าอย่างนั้น งั้นให้เค้าเป็นอาจารย์สอนให้ ไอ ก็ได้งั้นพรุ่งนี้เย็นมาเจอกันที่นี่อีกทีนะ ”
โคเว็ท ยอมแพ้ในที่สุดแต่ก็เห็นดีด้วยที่จะให้ ลอว์เรนซ์ เป็นคนมาสอน เพราะนอกจากเค้าพวกเธอก็ไม่รู้จะไป
ขอให้ใครมาสอน ในช่วง งานโรงเรียน นี้ได้อยู่แล้ว เมื่อตกลงกัน ได้สามสาว ก็ขอตัวแยกกลับไปก่อน ทิ้ง ให้ ลอว์เรนซ์ กับ เรกกะ อยู่กันตามลำพัง

“ นี่..ว่าจะถามตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะ พวกมังกรที่ นายผนึกมันลงในไพ่น่ะ มันมาจากไหนเหรอ แล้วส่ง
พวกมันไปที่ไหน แล้วยัง ยานบินยักษ์นั่นอีก..ถ้ายังไงจะช่วยตอบคำถามพวกนี้ทีได้ไหม ”

เรกกะ หันไปขอร้องทันที เมื่อเห็นว่า ลับตาผู้คนแล้ว เพราะนักเรียน คนอื่นๆก็ไปทำ กิจกรรม
ชมรมเตรียมงานโรงเรียนกันหมด

“ เรื่องพวกนั้นน่ะเหรอ…นี่นายลงทุนตะครุบ ตัวชั้นจนลงไปกลิ้งขนาดนี้เพื่อที่จะถามเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ ”
ลอว์เรนซ์ ถามพลางตีหน้าเบ้ ใส่ด้วยความแปลกใจ ซึ่ง เรกกะ ก็พยักหน้ารับว่าใช่

“ เฮ้อ…นายเนี่ยน้า…เอาเถอะเรื่องนั้นจะตอบคำถามให้ก็ได้ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางถอนหายใจ อย่างรับไม่ได้

“ ชั้นน่ะมาจากอดีต เมื่อสองร้อยปีก่อน ด้วยยาน คอสมิก แสวน (Cosmic Swan) เพราะตัวชั้นในอนาคตขอร้องมา
ให้ช่วยปลดปล่อย เมอริเซีย และจัดการกับหายนะ ที่กำลังจะมาถึง ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวตอบไปพลางนวดข้อมือข้างที่ถูก มิมิ บีบเพื่อบรรเทาอาการปวด

“ ปลดปล่อยเมอริเซีย…แล้วก็จัดการกับหายนะ…หายนะอะไร และปลดปล่อยอะไร
 แล้วก็คนที่ส่งนายมาน่ะหรือว่าจะเป็น… ”
เรกกะ ยิงคำถามใส่ไม่หยุด ทว่ายังไม่ทันที่ ลอว์เรนซ์ จะได้ตอบ ก็เกิดแรงสะเทือน ขึ้นก่อนที่พื้นที่พวกเค้ายืนอยู่จะถล่มลงไป แต่ ลอว์เรนซ์ กระโจนตัวทันพร้อมกับ พา เรกกะ ออกมาจากตรงนั้น

“ นี่มัน อะไรกัน ”
ลอว์เรนซ์ สบถ ขณะที่ แผ่นดินยังคงสะเทือนอยู่เนือง ไม่นาน พื้นดินก็ถล่มลงเป็นจุดๆ จนเกิดหลุม
ขึ้นทั่ว ลานก่อนที่ นักรบมารในชุดเกราะเหล็กจะ โผล่ขึ้นมาจาก หลุมนับสิบทั้งหมดที่เกิดขึ้น

“ ป…ปีศาจ ”
เรกกะ ร้องผวาด้วยความตกใจ กับสิ่งที่เห็น พวกเค้าถูก้อมรอบไปด้วย กองทัพ นักรบมาร
นับสิบที่โผล่มาจากใต้ดิน ซึ่งพวกมันนั้นเองที่เป็นต้นเหตุแห่งความสะเทือน ของแผ่นดินเมื่อครู่



“ ชิ โผล่กันมาจากไหนล่ะเนี่ย ”
ลอว์เรนซ์ สบถ พลางมองไปรอบๆเพื่อสังเกตท่าทีของพวกมัน

“ ต้องรีบแปลงร่างแล้ว ช่วยหน่อยนะ ทาลิค… อ๋อย ”
เรกกะ กล่าวได้ไม่ทันจะขาดคำ อยู่ๆก็ฟุบไปเอาเสียดื้อๆ

“ อ้าวเฮ้ย เป็นไรไปน่ะ ตื่นสิ ตื่น เฮ้ย ตอนนี้มีนายคนเดียวที่แปลงร่างได้นะ ตื่นเร็วสิ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพร้อมกับพลิกตัว เรกกะ ขึ้นมาเขย่าให้ตื่นแต่ก็ไม่ได้ผล

“ ตายล่ะหว่า ทำไงดี…เอาก็เอาเป็นไงเป็นกัน อย่ามาถือโทษโกรธกันเลยนะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบก็ตบมือลงที่ใบหน้าของ เรกกะ เต็มๆแรงเสีย หนึ่งฉาดเข้าให้
แต่ เรกกะ ก็ยังคงไม่ฟื้นอยู่ดี

“ หมอนี่ ดันขี้เซาซะอีก ทำไงดีล่ะเนี่ย ยูปี้ ก็ไม่อยู๋แถวนี้ซะด้วย  ”
ลอว์เรนซ์ สบถตอนนี้สถานการณ์ เข้าขั้นวิกฤติ เต็มที่ เพราะ นักรบมาร ได้ขึ้นจากหลุมและบุกเข้ามารุมกินโต๊ะ
กันเรื่อยๆแล้ว

“ Charge Rider Water Blade ”
เสียงทุ้มกังวานดังขึ้นมาก่อนที่ นักรบมังกรหญิงเฟินร์กอลโลเอี่ยนแห่งราชวงศ์ จะกระโดดลงมากลางวงพร้อมกับ
ตวัด ดาบปลายคู่ในมือ ซึ่งที่คมดาบนั้น ถูกห่อหุ้ม ไว้ด้วยน้ำ เมื่อควงตวัดไป ก็ทำให้เกิดคลื่น
น้ำพุ่งออกไป ผ่าร่างของ เหล่านักรบมารจน หมดสิ้นในที่สุด

“ นี่เธอ… ”
ลอว์เรนซ์ ถามได้ไม่ทันจะขาดคำ นักรบหญิง ก็ปลดเข็มขัดติดกลไกออก ก่อนที่มันจะสลายไป พร้อมกับที่
นักรบหญิง ได้กลับคืนร่างเป็น ไอ ล้มหมดสติลง ทำเอา ลอว์เรนซ์ ทั้งอึ้ง และสับสนกันไปเลยทีเดียว


“ เด็กคนนี้ ที่อยู่กับสามสาวนั่นนี่ แล้วทำไม… ”
ลอว์เรนซ์ เองก็ถึงกับพูดไม่ออก กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ ลอว์เรนซ์.. ”
เสียงหนึ่งดังก้องมาแต่ไกล ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น ยูปี้ มังกรภูตของ ลอว์เรนซ์ นั่นเอง
ที่ตะโกนเรียกชื่อเค้าพร้อมกับบิน เข้ามาหา

“ ทำไมถึงได้มาช้านักล่ะ ”
ลอว์เรนซ์ ตะคอกด้วยความไม่พอใจ

“ ขอโทษด้วยนะ เที่ยวเพลินไปหน่อย เลยกว่าจะ หาทางมาพบ ลอว์เรน์ ได้ก็เล่นเอานานเลยล่ะ ”
ยูปี้ กล่าวขอโทษ พลางก้มหัวแสดงความสำนึก

“ ช่างเถอะ ยังไงตอนนี้ช่วยกันแบบ ตัวสองคนนี้ ไปที่ปลอดภัยก่อนเถอะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบก็ หามร่างไร้สติของ เรกกะ ขึ้นและพาเดินไปโดย มี ยูปี้
ใช้พลังของ ภูตมังกร เข้าช่วย เสกให้ ร่างของ ไอ ลอย ตามมาได้
พวกเค้าจึงพากันไปนั่งพัก ที่ม้านั่งใกล้ๆ

………………
……………………..

“  ไรด์ ไปไหนกันล่ะเนี่ย ยิ่งเวลาแบบนี้ด้วย ”
เฟนท์ ที่ยังคงตามหา ไรด์ เพื่อที่จะเฉ่งเรื่องมาหลอกให้ ตัวเขาไปช่วยงานชมรม

“ หาใครอยู่น่ะ...แล้วนี่นายลืม ที่ชั้นนัดไว้แล้วรึไง ”
เสียงดังขึ้นจากด้านหลังทำเอา เฟนท์ สะดุ้งหันควับกลับด้วยความตกใจ ก่อนจะ
ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าเป็น เอมิล และก็นึกขึ้นได้ว่า เอมิล นัดเขาไว้ เมื่อเช้า

“ โทษที ลืมซะสนิท เลย ”
เฟนท์ กล่าวขอโทษ พลางตีหน้าซื่อๆ

“ เฮ้อเอา เถอะเข้าเรื่องเลยละกัน ”
เอมิล ถอนหายใจด้วยความหน่ายเหนื่อย ก่อนจะปรับ อารมณ์ ให้จริงจังขึ้น
ทำเอา เฟนท์ เองพลอยสงสัยไปด้วยว่าเรื่องที่ เอมิล จะพูดกับเค้าคืออะไร (คงไม่ใช่สารภาพรักหรอกนะ - -)

“ ชั้นขอถามนายตรงๆไม่อ้อมค้อมเลยละกันนะ...นาย กับ ไอ โอดิลอน(Ai, The Successor of Lemuria)
มีความสัมพันธุ์ แบบไหนอยู่กันแน่ ”
เอมิล ถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งคำถามของเค้าก็ทำเอา เฟนท์ อึ้งไปซักพัก



“ หมายถึง ไอ น่ะเหรอ..ชั้นกับเค้าเราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นเอง ”
เฟนท์ ตอบเสียงเรียบ พลางตีหน้าซื่อๆ

“ แน่ใจนะ..ว่าแค่นั้นน่ะ ”
เอมิล ย้ำถามอีกครั้ง ซึ่ง เฟนท์ ก็พยักหน้าตอบกลับ เมื่อเหน็ดังนั้น เอมิล จึงตัดสินใจบางอย่าง

“ งั้นก็ดีแล้ว ..แต่ขอเตือนอะไรไว้อย่างหนึ่ง นายอย่ามีความสัมพันธ์ เกินเลยกับเธอไปมากกว่านี้เลยนะ ”
เอมิล กล่าว พลางเดินเข้าไป คว้า เอา Terminal Crisis ของ เฟนท์ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อของ เฟนท์

“ อย่าลืมซะล่ะ นายน่ะเป็น Valkyrier เป็นผู้ที่เลือกจะเสียสละตนเองให้กับ เทอร่า
นี้แล้ว จากนี้ไปนายจะต้องทำให้คนอีกหลายคนต้องเสียใจแน่

เพราะฉะนั้นถ้าเพื่อเธอแล้ว ก็อย่าให้เธอต้องมา
เสี่ยงด้วยเลย เพราะฐานะของ นายในตอนนี้ไม่อาจเลือกทางเดินภายใต้แสงสว่างได้หรอก .... ”

เอมิล กล่าวพลางยื่น Crisis Terminal คืนให้กับ เฟนท์ ก่อนจะเดินจากไป โดยไม่หันกลับมามอง
ทิ้งให้ เฟนท์ ครุ่นคิดกับคำพูดของเค้าตามลำพัง

...................
.......................

สภาความมั่นคง สูงสุดแห่งนิคโคอุ() ประเทศนิคโคอุ

ภายในห้องรับรองซึ่งปูด้วยเสื่อผืนใหญ่ มีเบาะรองนั่ง 7 เบาะด้วยกันและมีผู้นำ 7 ตระกูลใหญ่ แห่งนิคโคอุ
นั่งกันอยู่พร้อมเพรียง โดยที่ ข้างหน้า เหล่าผู้นำทั้ง 7 นั้น เป็นเด็กสาวสวมชุดกิโมโน นางดูเหมือนจะเป็น
ผู้มีศักดิ์สูงที่สุดในบรรดา ผู้ที่เข้าประชุมในห้อง เพราะนาง นั่งที่เบาะ ซึ่งอยู่ข้างหน้าเหล่าผู้นำทั้ง 7

“ ท่านหญิง คางุยะ (Kanguyai) การมอบ Rider System ที่เสร็จสมบรูณ์แล้ว ให้กับเธอคนนั้นมันจะดีหรือขอรับ ”
ชายแก่คน ใน 7 ตระกูล ใหญ่ กล่าวถามเธอ

“ แน่นอนค่ะ ท่าน รินกุมาอิ(Ringumai) ดิฉันคิดว่า ไอ จะต้องทำสำเร็จแน่ เธอจะจัดการ เหล่า อาคูม่า ทั้งหมดได้แน่   ”
คางุยะ ตอบด้วยท่าทีสงบ

“ แล้วตอนนี้ การประชุม สากล ที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ เรื่องความร่วมมือในการจัดการกับ Empyrean Adjust ล่ะ ทางเราจะทำเช่นไรดีคะ ”
หญิงวัยกลางคน ที่เป็น หนึ่งในผู้นำ 7 ตระกูลใหญ่ ก็แย้งถามขึ้นมาอีกเรื่อง

“ ไม่ต้องห่วงค่ะ ตอนนี้คุณ อุชิมารุ(Ushimaru) กำลังติดต่อไปทาง บริทเทเนอร์ โดยสิทธิ์ ในการตัดสินใจ
อยู่ที่ท่านพี่ เซโร่ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ ดิฉันคงไม่สามารถให้คำตอบได้ ”
คางุยะ ตอบคำถามของนางจบ เธอก็ลุกขึ้นเดิน ออกจากที่ประชุมไปโดยไม่ฟังเสียงทัดทาน จากบรรดา ผู้นำตระกูลทั้งหมด

“ ท่านพี่ เซโร่ มัวไปทำอะไรอยู่ที่ บริทเทเนอร์นะ แถม Rider System ก็ยังเอาไปให้ ไอ ใช้อีก
ถึงจะบอกว่าให้ เรโค่ ใช้ Genesis  ให้เธอจัดการกับ อาคูม่า ตามคำสั่งแล้วก็เถอะ ”
คางุยะ คิดขณะที่เดินไปตามระเบียงที่มืด สลัว

...............
.......................

“ ที่นี่มัน.... ”
เรกกะ เปรยขณะที่ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆเพื่อปรับแสง
ก่อนจะลุกพรวด ขึ้นมาด้วยความตกใจ พร้อมกับ มองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบใครเลย

“ หาใครอยู่เหรอ ถ้าเป็น ยัยหนูนั่น กับ เจ้าเบื๊อกตัวปลอมล่ะก็ กลับกันไปแล้วล่ะ ”
เสียงของ ทาลิคนัส ดังก้องขึ้นมา ก่อนที่ เรกกะ จะเอามือ กดบริเวญ กระหม่อม
เพื่อระงับความปวด เค้าพยายามจะนึกให้ออกว่าเกิดอะไรขึ้น

“ ว่าแต่นี่มันอะไรกัน ความรู้สึกเมื่อกี้..มัน...อุบ ”
เรกกะ เปรยเงียบๆก่อนจะ ต้องย้ายมือมาปิดปากด้วยความสำลัก ไม่นานในหัวก็มีภาพหลั่งไหล
เข้ามา อย่างรวดเร็ว  ทั้งบุคคลที่เค้าไม่รู้จัก ภาพสถานที่แห่งหนึ่งที่เป็นสีแดงไปหมด

ทุกอย่างได้ผ่านเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ เค้าจะรู้สึกตัวอีกที ก็กลับจำสิ่งที่เห็นผ่าน
เข้ามาทั้งแทบไม่ได้

“ นั่นมัน..อะไรกัน ”
เรกกะ คิดขณะที่ตัวเค้าล้มทรุดลงไปจากม้านั่ง ด้วยความอ่อนแรงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทั่วทั้งร่าง

“ เฮ้ยเป็นไรไปน่ะ เรกกะ ...เรกกะ ”
เสียงของ ทาลิคนัส ดังขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“ ถ้าไม่ไหว ก็เข้ามาพักก่อนก็ได้ ข้าจะออกไปแทนเอง ”
เสียงของ ทาโซรอส ดังขึ้นบ้างพร้อมกับ เสนอที่จะเป็นคน ออกไปคุมร่างในตอนนี้

“ หรือถ้ายังไงจะให้เรา จัดการแทนก็ได้นะ ”
เสียงของ ทาลูคัส ดังขึ้นบ้าง ตอนนี้เสียงของทั้ง สาม บุคลิคนั้นต่างก็ก้องไปหมดในหัวของ เขาจนเริ่มรู้สึกวิงเวียน
ก่อนจะฟุบไปในที่สุด แต่ทว่าไม่ทันไร เค้าก็ลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง และตีสีหน้าเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ เย้..ได้ออกมาข้างนอกแล้ว...จะไปหาพี่สาวล่ะ ”
เรกกะ กล่าวน้ำเสียงไม่เหมือนทุกครั้ง ก่อนจะเดินไปเขย่งกระโดดไป เหมือนเด็กๆ

“ นี่ มาอีกแล้วเหรอ... ”
เสียงของ บุคลิค ทั้งสามดังขึ้นแทบจะพร้อมๆกัน
เมื่อ บุคลิค ที่4 ได้ปรากฏขึ้นในตอนนี้

………………........................
........................................................

วันต่อมา หลังพักเที่ยง ของ St. Mugnus Academy

“ เฮ้อ เพราะเมื่อวาน มีใหม่มาอีกคน เลยทำเอาวุ่นไปกันหมดเลย ดีนะที่ความไม่แตกน่ะ ”
เรกกะ บ่นด้วยสีหน้าหน่ายๆ ขณะที่ เดิน เข้ามายังห้องเรียน
พร้อมกับในมือถือ แฟ้มงาน ซึ่งมีแผนงานของ ชมรมสัตว์เลี้ยง ที่เค้านั่งวางแผนงานมาทั้งคืน จะมาแจ้ง
เพื่อเริ่มงานในวันนี้ ก่อนที่เค้าจะนั่งลงหลังจากวาง ของต่างๆลงบนโต๊ะเรียนของตนเรียบร้อย ก็ต้อง

ชายตาไปมองด้วยความสนใจ เมื่อเห็น เฟนท์ นั่งซึมอยู่คนเดียว
โดยที่วันนี้ไม่เห็น ไอ เข้ามคุยด้วยเหมือนทุกครั้ง

และเมื่อมอง ไปที่โต๊ะของ ไอ ก็ไม่มีใครนั่งอยู่

“ หรือว่าเพราะเรื่องเมื่อวานที่ ทาลิคนัส เล่าให้ฟังรึเปล่านะ หรือว่า ไอ จะเป็นอะไรไป ”
เรกกะ คิดในใจ ก่อนจะล้มตัวลงนั่งกับเก้าอี้

“ อีกอย่าง อัศวินมังกรน้ำคนนั้น คือ ไอ จริงน่ะเหรอ...จะปฏิเสธยังไงก็เถอะ แต่ตอนนั้นเราเองก็เห็นกับตาเลยนี่ ”
เรกกะ คิดพลางนึกย้อนถึงตอนที่ โรงเรียนถูกกลุ่มก่อการร้ายเข้ายึด


“ .....ถ้ายังไงก็อย่าให้เธอต้องเสี่ยง เข้ามาพัวพันกับเรื่องของพวกเราเลยจะดีกว่า....ตัวนายในตอนนี้น่ะ ไม่อาจ
ก้าวเดินไปในแสงสว่างได้หรอกนะ.... ”
คำพูดของ เอมิล นั้นยังคงก้องอยู่ในหัวของ เฟนท์ ตั้งแต่เมื่อวานเย็น จนถึงตอนนี้เค้าก็ยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่
เอมิล ต้องการจะสื่อเลย ครั้นจะไปถาม เอมิล ก็กลับลาหยุดในวันนี้ โดยไม่ทราบสาเหตุอีกเช่นกัน

ส่วนไรด์ หลังจากที่เค้าบอก ปฏิเสธ เรื่องไปช่วยงานที่ชมรมของ ไรด์ ไปเมื่อวานแล้ววันนี้
เป็นวันเตรียมงานก่อนถึงวันงาน ชั่วโมงเรียนคาบบ่ายทั้งหมดจึงถูกยกเลิก เพื่อให้นักเรียนได้ เตรียมงานกัน

ไรด์ จึงออกไปจัดการงานชมรม และไม่ได้เข้ามาที่ห้องเรียนเลย รวม ไปถึงพี่สาวของเค้า ซาน เอง
ก็ง่วนอยู่กับงานชมรมจนไม่ได้กลับมาที่บ้านแต่ค้างคืน ที่ห้องชมรมเลย ทำให้ตั้งแต่เมื่อวานหลังจากนั้น เค้าก็ยังไม่ได้คุยอะไรกับใครเลย เช่นกันกับตอนนี้ ที่ในห้องนั้น ไม่มีนักเรียนอยู่ในห้อง นอกจาก เค้ากับ เรกกะ เท่านั้น

“ นี่ เฟนท์ นายไปบอกเลิกงานช่วยชมรมของ ไรด์ หรือยัง.... ”
เรกกะ เข้ามาถาม เฟนท์ ทว่าคำพูดของ เค้านั้น ทำให้
เฟนท์ ชะงักไปชั่วขณะ

“ บอกเลิก...ถ้า เอมิล ว่าอย่างนั้นล่ะก็ชั้นว่านาย บอกเลิก กับ ไอ ไปซะจะดีกว่า...... ”
จากคำพูดของ เรกกะ ทำให้ เฟนท์ ย้อนนึกถึงบทสนทนาที่เค้าเล่าเรื่องที่ เอมิล พูดกับเขาให้
ไรด์ ฟังหลังจากที่ขอยกเลิกการไปช่วยงานชมรม

“ บอกเลิกงั้นเหรอ..แต่ชั้นยังไม่ได้เป็นอะไรกับเค้าจริงจังเลยนะ ”
“ ก็นั่นล่ะ..ถึงตอนนี้ตัวนายจะไม่ได้คิดจริงจังกับเธอ แต่ไม่ลองคิดดูบ้างเหรอ
ว่า เธอรู้สึกยังไงกับนายบ้างน่ะ ”

บทสนทนาต่างๆนั้นทำให้เค้าต้องมาทบทวนถึงเรื่องที่ เอมิล พูดไป ครั้งแล้วครั้งเล่า

“ เฟนท์ได้ยินรึเปล่า เฟนท์ ”
เรกกะ ยังคงเรียกต่อไป เมื่อเห้นว่า เค้านิ่งไปอยู่นาน

“ ห..โทษที......มีอะไรเหรอ.. ”
เฟนท์ กล่าวตอบด้วยความสะดุ้ง

“ นายไม่สบายรึเปล่าเนี่ย..เอ้อช่างเถอะ มาถามว่านาย ยกเลิกเรื่องที่ไปช่วยงานชมรมของ ไรด์ แล้วใช่ไหม..จะให้ช่วยงานหน่อยน่ะ ”
เรกกะ กล่าวถามพลางวาง แฟ้มงานลงบนโต๊ะ

“ ยกเลิกเรียบร้อยไปแล้วล่ะ ว่าแต่จะให้ช่วยอะไรเหรอ ”
เฟนท์ ถามพร้อมกับ รับเอา แฟ้มงานมาเปิด

“ นายช่วย เอางานพวกนี้ไปแจกแจงให้ ทุกคนที่ชมรมทีนะ รายละเอียดงานชั้นเขียนเอาไว้แล้วล่ะ ฝากจัดการที่เหลือด้วยล่ะ ”
เรกกะ กล่าวพลางชี้นิ้วไปที่กระดาษที่เค้าบันทึกรายละเอียด การทำงานต่างๆไว้หมดแล้ว
ให้ดู

“ ได้สิ ว่าแต่แล้วนายจะไม่ไปคุมงานหน่อยเหรอ ”
เฟนท์ หันไปถามขณะที่ เก็บแฟ้ม เพื่อเตรียมที่จะลงไปที่ห้องชมรม

“ คือชั้นมีธุระที่จะต้องไปทำ ก่อนน่ะเรื่องสำคัญมากๆเลยด้วย..คงจะกลับมาช่วยงานวันนี้ไม่ได้ล่ะ ”
เรกกะ กล่าวจบก็ โบกมือลง พลางก้าวเดินออกจากห้องไป
ทันทีที่ พ้นสายตาของ เฟนท์ แล้ว เค้าก็ควักเอาเศษกระดาษในกระเป๋าเสื้อออกมาคลี่ดู
ซึ่งในนั้นเขียนไว้ว่า

[เรกกะ จาก R2 นะ เรื่องการแทรกแซงทวีปโทร่า ของ Empyrean Adjust ที่ว่าเรื่องนี้มันแปลกๆอยู่ก็เลยออกตามสืบดู ตอนนี้เลยทำให้รู้ว่า กำลังจะมีการจัดประชุมสากล จาากทุกประเทศ มรวมกันเพื่อหาทางรับมือกับ Empyrean Adjust ฉันคิดว่าพวก Valkyrier คงไม่ปล่อยไว้แน่ พวกเราก็เลยล่วงหน้ามาก่อน การกระทำของพวกนั้นเริ่มไม่น่าไว้วางใจแล้ว ถ้ายังไงฉันก็อยากจะให้เธอมาช่วยทางนี้ที เพราะฉันคนเดียวคงรับมือพวกนั้นไม่ไหวแน่ การประชุมจะจัดขึ้นที่สถาทูต โลกอส ในคืนวันพรุ่งนี้]

เนื้อความในจดหมายนั้นถูกเขียนขึ้นเมื่อวานที่ผ่านมา ก่อนจะถูกนำมาส่งให้กับ เรกกะ โดย แมกกี้



“ มิตรภาพมันพังทลายลงได้ง่ายๆแบบนี้เลยงั้นเหรอ… ”
เรกกะ คิดขณะที่ขยำเศษกระดาษในมือแล้วเก็บซุกเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้ง
พลางเดินไปพิงกำแพงยืนคิดเรื่องราวต่างๆเพื่อรอ อะไรบางอย่าง ก่อนจะนึกย้อนไปถึง
หลายวันก่อนที่ ข่าวการสูญหายของ ทวีป โทร่า บานปลายขึ้นมา

“ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน พวก นั้นบ้าไปแล้วเหรอถึงได้ทำลายทวีป ทำลายชีวิตไปนับแสนชีวิตน่ะ ”
เรกกะ ที่ได้ฟังข่าวที่ออกอากาศ ไปยังทุกประเทศ ได้ขึ้นมา ถก กับ R2 และ มาธิอัส
บนยาน ไซเบอริก้า ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ประดั่งถูกหักหลังก็ไม่ปาน

“ ที่จริง ชั้นก็เองก็ไม่ได้เห็นด้วย กับการใช้กำลังอาวุธ มนการขจัดความขัดแย้งอยู่ตั้งแต่แรกแล้วล่ะ
แต่เพราะนายเองไม่ใช่เหรอที่บอกให้พวกเรา สนับสนุนการกระทำของ เพื่อนนายน่ะ ”
มาธิอัส กล่าวโดยยังคงวุ่นอยู่กับแผงควบคุมและไม่หันมามอง เค้าเลยแม้แต่น้อย

« Last Edit: April 01, 2009, 04:13:15 AM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #73 on: April 01, 2009, 04:05:54 AM »

“ ก็ชั้นน่ะคิดว่า….คิดว่า…. ”
เรกกะ โต้กลับไปทันที แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว คนที่บอกว่าจะสนับสนุนพวก เฟนท์ ในตอนแรกก็คือเค้าเอง
จึงทำให้เค้าเงียบไป

“ คิด เหรอ…หึหื้อ ชั้นว่านะนายน่ะแค่อยากจะช่วยเพื่อนซะมากกว่า
แล้วก็ไม่ได้ดูผลการกระทำของ เพื่อนนายเลย..  ”
มาธิอัส ตอบกลับไปเสียงเรียบ ทว่าเนื้อหานั้นก็แทงใจเค้าไปตรงๆ ทำเอาพูดโต้ไม่ออก
มาธิอัส เมื่อเห็นว่า เรกกะ ยังเงียบไม่ตอบโต้ ก็วางมือจาก แผงควบคุม แล้วหันมาต่อว่า

“ ที่แล้วมาการกระทำของพวก Empyrean Adjust น่ะก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกตั้งแต่แรก แล้วนายเคยลองคิดบ้างมั้ยว่า
การแทรกแซงทุกๆครั้งน่ะ ต้องมีคนพลีชีพไปเท่าไหร่ แม้แต่คนที่ไม่รู้ อีโหน่อีเหน่ ก็ยังต้องมารับเคราะห์
ไปด้วย พวกคนที่ไม่ได้รับรู้อะไรก็พากันหลงไปกับคำพูดสวยหรู ว่านี่เป็นการทำเพื่อสันติ  ”

มาธิอัส ต่อว่าใส่อย่างรุนแรง ขณะที่ เรกกะ ก็ได้แต่ก้มหน้ารับผิด ที่แม้แต่ตัวเค้าเองก็
หลงไปกับความเย่อหยิ่ง ของ Empyrean Adjust กี่ครั้งกันแล้วที่ความช่วยเหลือของเค้าต้องทำให้ ผู้คน
ถูกสังเวยไปกับความเย่อหยิ่งของ องกรค์ ก่อการร้ายภายใต้หน้ากากของพระผู้ช่วยให้รอด(เมสสิอาร์)

“ เอาเถอะ…ยังไงซะทั้งนายทั้งชั้น เราต่างก็ไม่ได้มีหน้าที่พิพากษา
ชีวิตหรือความเท่าเทียมกันของ เทอร่า อยู่แล้ว อีกอย่างตอนนี้นายจะทำอะไรมันก็เรื่องของนาย ขอแค่สั่งมาเท่านั้น
เพราะนายคือ อัศวิน ทุกอย่างขึ้นกับการตัดสินใจของนาย ”

มาธิอัส กล่าวจบก็หันกลับไปนั่งกดแผงควบคุมต่อโดยไม่สนท่าทีของ เรกกะ ที่นั่งสลด
อยู่กับพื้นห้อง

“ เรกกะ… ”
R2 กล่าวพลางจะเข้าไปดูอาการของเขา แต่แล้ว เรกกะ ก็กันเธอ ออกไป ก่อนจะลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง


“ ชั้น…ตัดสินใจแล้ว…. ”
เรกกะ เปรยขึ้น ก่อนที่ มาธิอัส จะหยุดมือไป เพื่อฟังคำขาดของเค้า

“ ต่อให้เศร้าสลดไปเพียงใด ก็ไม่อาจล้างบาปที่ก่อขึ้นมาได้…..จากนี้ไปเราจะยับยั้งการแทรกแซงของ
Empyrean Adjust ที่ได้ทำลายกฎเกณฑ์ ของสังคม..ถ้านี่คือการตัดสินใจของชั้นจะว่ายังไง ”
เรกกะ กล่าวจบก็รอคำตอบจาก ทั้งสอง

“ เอาสิ….คนที่มีสิทธิสั่งการน่ะไม่ใช่ชั้นอยู่แล้วแต่เป็น นาย เรกกะ ไฮเดย์(High Day) ”
มาธิอัส กล่าวโดยไม่หันมามองก่อนจะ นั่งทำงานของตนต่อไปโดยไม่สนใจต่อการตอบสนองรอบๆ
ซึ่งแม้จะเป็นแค่การตอบห้วนๆ แต่สำหรับ เรกกะ แล้วนั่นคือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ ที่มีต่อกัน
ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ เค้าได้รู้จักกับ มาธิอัส โดยมี R2 กับ แมกกี้ ยืนมองดูด้วยความโล่งใจ

นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อหลายวันก่อนนี้ บัดนี้เค้าได้ตั้ง ปฏิพานที่จะช่วยเหลือ ผู้คนด้วยพลังที่มี
และเพื่อการนั้นแม้จะต้องเดินสวนทางกับ เพื่อนๆ เค้าก็จะทำเพื่อไถ่บาป ทั้งหมด

“ เฟนท์ ไรด์ เอมิล แล้วก็ รุ่นพี่ ซาน แม้จะต้องเผชิญหน้ากันชั้นก็จะสู้เพื่อไม่ให้ใครต้องทำบาปไปมากกว่า
นี้อีกแล้ว… ”
เรกกะ คิดขณะที่ ตอนนี้ แมกกี้ ได้บินหอบเอา ชุด Dragoon มาส่งให้แก่เขา ก่อนจะรับมาสวม

“ จากนี้ไปในสนามรบเราคือศัตรูกัน..ภายใต้หน้ากากของ Dragoon นี่ชั้นขอสาบานว่าจะจัดการกับเหล่า Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust ”
เรกกะ คิดขณะที่มอง หมวกหน้ากากของตนก่อนจะสวม มันลงไป

“ ไปกันเถอะ แมกกี้ ”
เรกกะ กล่าวจบ แมกกี้ ก็บินมาเกาะหลังก่อนจะสยายปีก และแบกเค้าขึ้นทะยานไปบนฟากฟ้า

……………….
…………………

เย็นของวันนั้น


“ งั้นฝาก งานที่เหลือด้วยนะ พอดีวันนี้ชั้นมีธุระสำคัญ ต้องไปจัดการกับพี่ซาน ฝากเรื่องงานชมรมทีนะ ”
เฟนท์ ที่มากล่าวขอตัว จากงานชมรม กับบรรดาสมาชิก หลังจากแจกจ่ายงานไปแล้ว
จึง เดินออกไป ระหว่างทางนั้นเอง ไอ ก็เดิน สวนมาพอดี เธอทักให้เขาหยุดก่อนจะวิ่งเข้ามาคุยด้วย

“ อ…เอ่อ…คือว่าตอนนี้สะดวกไหมถ้าฉ..ฉันจะถาม เฟนท์ ซักคำถามน่ะ ”
ไอ ถามพลางก้มหน้าก้มตาด้วยความเอียงอาย ซึ่งทำให้ เฟนท์ เองสับสนกับท่าทีของเธออยู่บ้าง

“ ได้สิ…ว่าแต่จะถามอะไรล่ะ ”
เฟนท์ ตอบรับเธอทันที เพราะจะได้รีบไปตามทางของเขาต่อ

“ ง…งั้น เฟนท์ ช…ช…ชอบ…ทานอะไร…..ที่สุดเหรอ ”
ไอ ถามด้วยทีท่าเคอะเขิน

“ ชอบทานอะไร…หมายถึงอาหารที่ชอบน่ะเหรอ ”
เฟนท์ ถามกลับเพื่อความแน่ใจ ซึ่งเธอก็พยักหน้าตอบ ว่าใช่

“ งั้นเหรอ…ปกติอะไรผมก็ทานได้ทั้งนั้นแหล่ะ แต่ว่าถ้าของที่ชอบก็ คงจะเป็นสาหร่ายล่ะมั้ง…โทษทีนะผมก็ตอบได้ไม่เต็มปากหรอกแต่ว่าผมน่ะ อะไรก็ทานได้อยู่แล้ว…ว่าแต่ถามทำไมเหรอ ”
เฟนท์ ตอบ วกไป วกมาด้วยความไม่แน่ใจก่อนจะย้อนถามกลับด้วยความสงสัย

“ อ…เอ้อ ม…ไม่มีอะไรหรอกแค่อยากรู้น่ะ..งั้นฉัน ป…ไปก่อนนะ ”
ไอ กล่าวตะกุกตะกักจบก็รีบฉากหนีออกมาทันที

“ แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ ”
เฟนท์ กล่าวลาพลางโบกมือไล่หลังไป

“ จ้าแล้วเจอกัน… ”
ไอ ทักกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่ ได้คำตอบจาก เฟนท์ ก่อนจะวิ่งไปยังที่หมายของเธอ ด้วยความสำราญ

“ เฮ้อ…อะไรของเค้านะ..อ.. ”
เฟนท์ ถอนหายใจพลางก่อนจะชะงักไป

“ ถึงตอนนี้นายไม่ได้คิดอะไรกับเธอ แต่สำหรับเธอล่ะ เธอคิดยังไงกับนาย ตัวนายเองเคยรู้บ้างไหม ”
คำพูดของ ไรด์ นั้นได้ก้องขึ้นมาในหัวของเค้าอีกครั้งหลังจากได้ คุยกับ ไอ แต่เค้าก็พยายามจะสลัดให้หลุดไป

“ ไม่มีเวลามาหยุดคิดเรื่องไร้สาระแล้ว..เราเองก็มีหน้าที่ ที่ต้องทำเหมือนกัน ”
เฟนท์ คิด ก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าไปหลังอาคาร ที่พวก เอมิล รอ อยู่ก่อนแล้ว

“ มาช้านะ ”
เอมิล ทักใส่ทันทีที่ เค้าเดินเข้ามา

“ พอดีมีเรื่องต้องไปแจงที่ ชมรมน่ะเลยช้าหน่อย ภารกิจวันนี้ล่ะ ”
เฟนท์ กล่าวขณะที่ หยิบเอา Crisis Termibnal ขึ้นมาจากกระเป๋า เหมือนกับทุกๆคน

“ คืนนี้จะมีการประชุม สากลระหว่างประเทศทั่วทั้งเทอร่า ที่สถานทูต โลกอส เนื้อหาของการประชุมคือ
การวางแผนรับมือกับ เรา Empyrean Adjust และหน้าที่ของพวกเราคือทำลายการประชุม และ สังหารตัวแทนจากทุกประเทศ  รวมไปถึง เจ้ามาเรียลูส ที่จะเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย ”

เอมิล แจงรายละเอียด ภารกิจให้ทุกคนฟัง ซ฿่งต่างก็ตกตะลึงไปตามๆกันกับเนื้อหาของคำสั่ง

“ ทำไม…ต้องฆ่าด้วยล่ะแค่ทำลายการประชุมก็น่าจะพอแล้วนี่ ”
เฟนท์ แย้งขึ้นทันควัน

“ ช่วยไม่ได้หรอกนะ แต่นี่คือคำสั่ง คือภารกิจที่เราได้รับมอบหมายมา ”
เอมิล ย้ำอย่างหนักแน่น

“ อีกอย่างเพราะตอนนี้ โลกเริ่มแข็งข้อต่อ อำนาจของเราแล้ว ถึงได้รวมกันเป็นหนึ่ง เพื่อที่จะจัดการกับเรา
ซึ่งนี่ก็เป็นไปตามแผน ของ สภามังกรนภากาศ ด้วยการที่ให้ความชิงชังทั้งหมดของ เทอร่า
มารวมกันแล้วก็กำราบให้ศิโรลาภ แทบเท้าเราเพื่อที่ ทุกฝ่ายจะได้ตระหนักว่า ไม่มีสงครามใดที่จะเอาชนะเราได้ ”
ไรด์ ตีความให้ละเอียด อีกครั้ง

“ เฟนท์ พี่ขอโทษนะที่ต้องให้น้อง มาทำอะไรแบบนี้ด้วยน่ะ พี่นี่เป็นพี่ที่ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ ”
ซาน หันไปขอโทษ เฟนท์ ด้วยความรู้สึกผิดที่ต้องให้น้องชายขืนใจมาทำงานนี้ด้วยโดยไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้

“ ไม่ต้องขอโทษหรอกครับพี่ มันไม่ใช่ความผิดของใคร ผมสมัครใจเองแล้ว ว่าจะร่วมด้วยตั้งแต่วันที่
คุณพ่อ ให้พวกเราทำการ Cold Sleep เพื่อมาเป็น Valkyrier ในยุคนี้แล้ว ดังนั้นผมไม่เสียใจหรอก.. ”
เฟนท์ กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เพื่อไม่ให้พี่สาวของเค้าต้องคิดมาก

“ เฟนท์…น้องเราเติบโตขึ้นแล้วสินะ.. ”
ซาน คิดเมื่อได้ยินคำพูดของน้องชายที่ดูเข้มแข็งขึ้นกว่าแต่ก่อน แล้วก็อดชื่นใจไม่ได้

“ ใช่แล้ว…ไม่มีใครผิดทั้งนั้น..ชั้นยอมให้มือของตัวเองเปื้อนเลือดมานานแล้ว.. ”
เฟนท์ คิดก่อนที่พวกเค้าทั้งหมดจะเริ่มออกปฏิบัติการ

………………………..
………………………………


สถานฑูต โลกอส

ณ อาคารแห่งใหญ่แห่งนี้ซึ่งวางกำลังทหารคุ้มกันไว้อย่างหนาแน่น พร้อมทั้งมีการเตรียมกองทัพ จากทุกนานาประเทศ
ที่ตามมาหนุนกำลังให้ กับ โลกอส เพื่อรับมือหาก Empyrean Adjust เข้ามาทำการแทรกแซง
ขณะที่ บรรดา ผู้แทนจาก ประเทศต่างๆได้ทยอยกันเข้ามาในงานชุมนุน
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่เย็น จนถึงกลางดึกของคืนวันนี้ที่จะเป็นราตรีฉลองเลือดในไม่ช้า

“ ระหว่างที่เริ่มการประชุม คิดว่าพวกมันคงจะบุกเข้าโจมตีช่วงนั้นล่ะ ถ้าถึงตอนนั้นฝากด้วยนะ อัศวินพิทักษ์ คุรูรูรกิ สุซาคุ ”
ลูเทเซีย กล่าวกับ สุซาคุ ที่นอกงานก่อนจะส่ง กุญแจของอะไรบางอย่างให้แก่ สุซาคุ

“ Yes You’re his Majesty ”
สุซาคุ รับคำพร้อมกับทำความเคารพก่อนจะรับกุญแจ จากมือของ ลูเทเซีย มา
แล้ว ลูเทเซีย จึงเดินเข้าไปในงาน

“ ท่านพี่..มาจริงๆด้วยสินะคะ ”
มาเรียลูซ กล่าวทักทายขณะที่เดินเข้ามาหา ลูเทเซีย

“ แหงอยู่แล้วสิ ก็น้องของพี่ เข้าร่วมประชุมด้วยจะไม่ให้พี่อดเป็นห่วงได้ยังไง อีกอย่างเราก็เป็นประเทศ
พันธมิตรกันแล้ว เรื่องเล็กแค่ไหนก็ต้องใส่ใจด้วยกันทั้งนั้นล่ะ ”
ลูเทเซีย กล่าวโดยเก็บสำรวมอาการกิริยาต่างๆให้สมกับฐานะ แต่ก่อนจะได้ คุยกันต่อนั้นสายตาของ
ลูเทเซีย ก็ไปหยุดเอาที่ กุญแจ แบบเดียวกับที่ เค้ามอบให้ สุซาคุ ไปนั้นอยู่ในมือของ เธอ

“ ที่มือ…นั่นมัน  ”
ลูเทเซีย กล่าวถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ อ๋อนี่น่ะหรือคะ…กุญแจของ ไอริส ที่ อิชิกิ กับ เรโค่ เอามาส่งให้ เมื่อคราวก่อนไงคะ ”
มาเรียลูซ กล่าวตอบเสียงเรียบ

“ แล้วทำไมมันถึงมาอยูนี่ล่ะ น้องยังไม่ได้มอบมันให้ เฟรเซีย อีกเหรอ ”
ลูเทเซีย ถามต่อด้วยความอยากรู้

“ คือ ที่จริง หนูคิดว่ายังไงซะเราก็ไม่ควร เดินเครื่อง Moblie Gazor ในงานนี้เพราะมันจะทำให้ทุกอาณานิคม
คิดว่าเรากำลังพัฒนา กำลังอาวุธอยู่ และอีกอย่าง ถ้า ทำแบบนี้แล้ว มันรู้สึกดีกว่าเตรียมการไว้แล้วต้องมานั่งกลุ้มไปกลุ้มมาน่ะค่ะ…แต่ถ้าเป็นท่านพี่ คงมอบมันให้ไปแล้วใช่ไหมคะ กับสุซาคุ น่ะ ”

มาเรียลูซ ตอบตามที่คิด ซึ่งแม้จะไม่ถูกใจ ลูเทเซีย นักที่น้องของเค้าเป็นถึง เจ้าชีวิตแต่กลับทำอะไรตาม
ใจตน แบบนี้แต่เค้าก็คิดว่าแป็นแบบนี้แหล่ะดีแล้ว แบบนี้ล่ะคือน้องสาวที่เค้ารัก

“ หวังว่า สุซาคุ คงจะรับมืออยู่นะ ”
ลูเทเซีย ปลงๆอยู่ในใจขณะที่งาน ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

“ ท่านพี่ เซโร่ ไม่ได้มาด้วยเหรอคะ ”
เสียงหนึ่งได้ดังขึ้นหลังพวกเค้าทั้งสอง
ก่อนที่จะหันกลับไป

“ คางุยะ ”
ทั้งสอง เรียกเป็นเสียงเดียวกัน ซึ่งคนที่ถามคำถามเมื่อครู่นี้ก็คือ คางุยะ มิโกะกิเลน องค์ใหม่แห่งนิคโคอุ นั่นเอง

“ กษัตริย์ ลูเทเซีย กับ พระนาง มาเรียลูซ ฉัน มิโกะกิเลน คางุยะ ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ ที่ทั้ง บริทเทเนอร์และโลกอส  สามารถเป็นพันธมิตรกันได้ หลังจากที่ขัดแย้งกันมานาน แต่จะว่าไปความดีความชอบก็คงเป็นของ  Empyrean Adjust นั่นล่ะมั้ง ”
 คางุยะ กล่าวซึ่งนั่นทำให้ ทั้งสองต่างก็ชอกช้ำไม่น้อย ลูเทเซีย จึงพยายามสบตาเธอเพื่อใช้ Genesis ของเค้า
อ่านใจเธอแต่ก็ไม่ได้ผล

“ อย่าพยายาม ใช้ Genesis ให้เสียแรงเปล่าเลย คนที่มอบ Genesis ให้แก่ ท่าน ลูเทเซีย กับพระนาง มาเรียลูซ
ก็คือ ท่านพี่นะคะ คิดว่าชั้นจะไม่มี Genesis ป้องกันงั้นเหรอ ”
คางุยะ กล่าวถากถางกลับไป ทว่ายังไม่ทันที่ ลูเทเซีย จะได้สวนไป
ก็เกิดแรงสะเทือนขึ้น ภายในงาน ก่อนที่สัญญาณ เตือนภัยจะดังขึ้น

“ นี่คือสารเตือนจากเรา Empyrean Adjust ขอให้ยกเลิกการประชุมนี้ซะไม่อย่างนั้น
เราจะเข้าทำการแทรกแซงด้วยกำลังอาวุธ ”
เสียงประกาศ ดังขึ้นจากลำโพงทุกตัว ภายในอาคาร

……………………
…………………………..

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #74 on: April 01, 2009, 04:06:07 AM »

บ้านของ ไอ

ภายในห้องครัว ที่เตรียมวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหาร ไว้มากมาย เพื่อจะทำข้าวกล่อง ตามแผนการที่ มิมิ
เป็นคนวางไว้ให้ ซึ่ง ลอว์เรนซ์ เอง ก็มาอยู่ทีนี่เพื่อสอนเธอทำอาหารแล้ว

“ งั้นก่อนอื่นเรามาเริ่มจาก การทาน้ำซุปเลยนะ ก่อนอื่นก็ตั้งหม้อต้มน้ำก่อน ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางตั้งหม้อขึ้นบนเตาก่อนจะเทน้ำจากเหยือก ลงไปในหม้อแล้วจึง
ติดเตาแก๊ส ก่อนจะหันมาช่วย สอน ไอ ทำอาหาร ทั้ง การทอดเนื้อ หุงข้าว ไปจนถึงทำกับข้าวอื่นๆ

และในที่สุดก็มาถึง เมนูสุดท้ายซึ่ง ไอ คิดจะทำ ซุปสาหร่าย ที่ เฟนท์ ชอบ เมื่อมาถึงตรงนี้
ขณะที่ ลอว์เรนซ์ ช่วย เอาหม้อน้ำที่ต้มจนเดือด แล้วลงจากเตา แล้วกำลังจะสอนขั้นต่อไปนั้นเอง
 
เพล้ง!

เสียงดังขึ้นพร้อมกับ จาน ที่ ไอกำลังหยิบออกจากชั้นวาง นั้นร่วงลงมาแตก ทำให้ สองเพื่อสาวต้องรีบเข้ามาดู

“ เกิดอะไรขึ้นน่ะไอ ”
มิมิ กับ โคเว็ท ถาม หน้าตาตื่นด้วยความเป็นห่วง

“ มือมันลื่นตอนที่หยิบจานลงมาเลยตกแตกไม่มีอะไรหรอก ”
ไอ กล่าวพลางจะขยับเท้า ทว่า ลอว์เรนซ์ ก็ห้ามไว้ก่อน

“ อย่าขยับเท้านะ เดี๋ยวเศษจานจะบาดเอาได้ นี่เธอยัย อ้วนน่ะไปเอา ไม้กวาดมาที ”
ลอว์เรนซ์ เตือนก่อนจะหันไปสั่ง มิมิ

“ ว้ายมาว่าเค้ายัยอ้วนได้ไงเดี๋ยวเถอะ ”
มิมิ กล่าวอย่างฉุนจัด

“ เอาน่า มิมิ รีบไปเอาไม้กวาดมาเถอะ ”
โคเว็ท แย้งให้เธฮสงบสติอารมณ์ มิมิ จึงยอมทำตามโดยตีสีหน้าบูดบึ้งไปตามทางที่ ไปหยิบไม้กวาด

“ เป็นอะไรรึเปล่า เศษจานบาดงั้นเหรอ ”
ลอว์เรนซ์ หันมาถามด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง เมื่อ เห็นเธอ มองไปที่เศษจานที่แตกอยู่ที่พื้นอย่างไม่กระพริบตา

“ ป…เปล่าไม่มีอะไร… ”
ไอ ตอบอย่างตื่นๆ แม้จะยังสงสัย แต่ ลอว์เรนซ์ ก็ไม่คิดติดใจในที่สุดจึงหันไปรอไม้กวาดจาก มิมิ แทน

“ เมื่อกี้ทำไมตอนที่ จานแตกเรากลับนึกถึง เฟนท์ ขึ้นมาล่ะหวังว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ ”
ไอ คิดด้วยความกังวล ขณะที่รอ ให้ ลอว์เรนซ์ กวาดเศษจานออก

……………………..
……………………………….

ที่ด้านนอกอาคาร สถานทูต ตอนนี้ กองกำลังจากทุกประเทศที่มารวมกัน ได้ยิงโจมตี ต่อต้าน เหล่า Valkyrier ทั้งสี่แห่งสังกัด Celestial Saber ของ Empyrean Adjust อย่างเต็มกำลัง ทว่า อาวุธของ พวกเค้าก็ไม่อาจทำอันตราย เหล่า Valkyrier ที่มี เกราะอนุภาคอิออน ได้แม้แต่น้อย

“ Seraphic Pistol ”
สิ้นเสียง กระสุนแสงนับร้อยก็พุ่งลงไป ยังลาน ด้านหน้า สถานทูต ยังผลให้ กองกำลังทหารราบต้อง ปราชัยในทันที
ทว่าต่อมา ทัพมังกรจากสหพันธรัฐ มาซาลดิส(Masaldis)  จากทวีป ดิสอาปจูร่า ก็บุกขึ้นมาแทน
ซึ่งมีทั้งมังกร เฟอร์มาโคร และ เฟอร์มาครอส ไปจนถึงมังกรสงครามอย่าง มังกรภูเขาไฟ แฟรควอซิล(Flaquasil, the volcanic Dragon) และมังกรทำลายล้างอันแข็งแกร่งอย่างมังกร เพลิงวินาศ ฟาบเนอร์(Fafnir, the DoomsFlare Dragon)

ด้วยกำลังของทัพมังกร อันแข็งแกร่ง รวมกับทัพ Gazor ของ บริทเทเนอร์ และโลกอส ไปจนถึงวิทยาการทางทหาร
ของ อาณานิคมอื่นๆ ที่ขนกันมาร่วมงานในครั้งนี้ ต่างก็มีแสนยานุภาพร้ายกาจ จึ่งเริ่มทำให้ ฝ่าย Valkyrier
เสียเปรียบในทันที

“ เฟนท์ ชั้นจะเปิดทางให้นายรีบเข้าไปแล้วจัดการตามหน้าที่ซะ ”
เอมิล กล่าวจบก็ กระชับหอกในมือ ก่อนจะบุกลงมายัง วงล้อมของ ศัตรู

“ Mirage Explosion ”
สิ้นเสียง เอมิล ก็สร้างร่างเงาของตนเองขึ้น นับสิบ ก่อนจะให้ร่างแยกทั้งหมดพุ่ง
ทะลวงไปข้างหน้า แหวกด่าน คุ้มกันของ อีกฝ่าย ไปจนถึงประตู เมื่อทางเปิด เฟนท์ จึงบุกเข้าไปด้านในได้ สำเร็จ
ขณะที่ ไรด์ คอยสกัดไม่ให้ ใครตามเข้าไปได้

“ เริ่มแล้วสินะ ”
เสียงกระซิบดังขึ้นจาก มุมหนึ่งภายในอาคาร พร้อมกับเงาของ คนๆหนึ่งที่มายืนรออยู่ที่นี่นานแล้ว
ท่ามกลางความสับสนของ เหล่าผู้แทน ที่กำลังหวาดวิตกกับคำเตือนของ Empyrean Adjust

“ จะทำนายดวงให้เอาไหม ”
เสียงนี้ดังขึ้นในใจของเขาคนนั้น

“ เฮ้ย เจ้าบ้าไม่ต้องยุ่งเลย ยังไงเรกกะก็เรียกใช้ชั้นอยู่แล้ว..ใช่มั้ย ”
เสียงของ ทาลิคนัสดังขึ้น ในใจของเขาคนนี้ซึ่ง ก็คือเรกกะ นั่นเอง

“ ไม่ ทาลิคนัส วันนี้ไม่ใช่ ชั้นอยากจะลองพลังใหม่ดู นี่เป็นการศึกษถึงพลังของตัวชั้นเอง
 เพราะงั้นวันนี้นายต้องออกโรง..แล้วโชว์ฟอร์มดีๆล่ะ ไม่งั้นชั้นเปลี่ยนแน่เข้าใจนะ ”
เรกกะ กล่าวกับบุคลิคใหม่ของเค้า

“ หวาน่ากลัวจังเลย แต่ไม่ต้องห่วง ยังไงเราก็จะสู้นะ ”
เสียงนั้นดังตอบกลับขึ้นมาอย่างทันท่วงที ก่อนที่ เรกกะ จะหลบมุม ไปใส่หน้ากาก
อีกครั้ง

“ ชั้นจะต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อจัดการกับพวกนายให้ได้
ดังนั้นชั้นก็จำเป็นจะต้องใช้พลังของตัวเองให้ได้ทั้งหมด ”
เรกกะ ในคราบ Dragoon กล่าวจบก็ หยิบเอา ไพ่ขึ้นมาจากตลับ ซึ่งตอนนี้จาก 83 ใบก็ลดลงไปเหลือ 82 ใบในตลับ
ช่องตรงดวงตาซ้ายของหน้ากาก ได้เปิดออก ดวงตาของเค้าได้เปลี่ยนเป็น สีดำ
ก่อนที่ไพ่ซึ่งนำมาจ้องด้วยตาข้างนั้นจะปรากฏสัญลักษณ์ธาตุแห่งความมืดขึ้นมา

“ Terror Form ”
เสียงดังกังวาลขึ้น ทันทีที่ไพ่ถูกนำไปวางตัดกับหน้าปัดสายคาดข้อมือ ก่อนที่เค้าจะกดมันลงไปบนจอหน้าปัด

“ Regeneration ”
สิ้นเสียงก็เกิดแสง สีดำส่องประกายเจิดจ้าออกมาจากหน้าปัดในที่สุด ร่างของเค้าก็ได้เปลี่ยนเป็น อัศวินมังกร
กายสีดำ ออร่าดำทมึนปกคลุมทั้งร่าง

“ ดวงของวันนี้ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ แต่จะพยายามนะ Nox et Dragos ”
สิ้นคำ อัศวินมังกรตนใหม่ก็สร้างมวลแสงสีดำขึ้นในมือทั้งสอง ก่อนจะโยนมันขึ้นไปมวลแสงทั้งสองที่ลอยขึ้นไปจากมือได้ รวมเข้าด้วยกันกลายเป็นด้ามดาบสีดำ และทันทีที่มันกลับมาอยู่ในมือของ

 อัศวินมังกร คมดาบเพลิงดำทมิฬ
ก็พุ่งออกมาจากด้ามดาบในทันที

“ กำจัดทิ้งได้ใช่มะ..พวกเขียวๆสี่คนนั่นน่ะ ”
อัศวินมังกร ที่ตอนนี้เข้าทำการสิงเป็นร่างหลักถามขึ้นกับตัวเรกกะ เอง

“ อืม..ฆ่าได้เลยไม่ต้องปราณี ”
สิ้นคำจาก เรกกะ เท่านั้น อัศวินมังกรดำ ก็โผทะยานขึ้นไปยัง ระเบียงชั้นลอยที่ยื่นของห้อง
และปรากฏตัวท่ามกลางสายตาของผู้คนในงานประชุม ขณะเดียวกับที่
ประตูห้องประชุมเปิดออก พร้อมกับ เฟนท์ ที่บุกเข้ามาถึงโดยจัดการกับ คนคุ้มกันภายในจนราบคาบ

“ นั่นมัน Valkyrier นี่ ”
“ หานั่นน่ะเหรอ ยังเด็กอยู่เลยนี่ ”
“ แต่ อนุภาคเขียวๆที่ปล่อยออกมาจาก อาวุธของเจ้าเด็กนั่นมันต้องใช้ ประจุอนุภาคที่เค้าพูดถึงกันแน่ ”
“ งั้นเด็กนั่นก็ Valkyrier น่ะสิ ”

เสียงถกเถียงเอะอะ ดังขึ้นอย่างสับสนวุ่นวาย ในทันที  ทว่าทุกเสียงก็ต้องเงียบลง เมื่อ อยู่ๆ เฟนท์
ก็รวบรวมประจุไว้ในมือจนเกิดเป็นมวลพลังงาน ก่อนจะซัดมันมาที่พวกเขา เพื่อหวังจะกำจัดในคราเดียว
“ จะจ่ายสะเดาะเคราะห์หรือจะให้ฟันซักฉับล่ะ เพราะดวงแกชะตาขาดแล้ว น้า ”
เสียงของ เรกกะ ในคราบอัศวินมังกรตนใหม่ดังขึ้นก่อนที่ เค้าจะเหินลงไป ขวางกลุ่มคนเอาไว้
พร้อมกับตวัดดาบเพลิงดำทมิฬ ผ่าลูกพลังงาน จนสลายไปในที่สุด

“ นี่แก ต้านอนุภาคบีบอัดได้ยังงั้นเหรอ…แกเป็นใครกันหรือว่า Dragoon ”
เฟนท์ สบถพลางตั้งท่ารับมือในทันที

“ Dragoon เหรอ หรือว่า บุรษลึกลับ Dragoon คนนั้นน่ะ ”
“ ที่ว่าเค้าคนเดียวสามารถ จัดการกับลำแสงมหาประลัยของ เมเมนโต้โมรี่ (Memento Mori) ตอนรัฐประหาร
ของบริทเทเนอร์ น่ะเหรอ ”

เสียงสนทนากันด้วยความทึ่งของ เหล่าตัวแทนจาก อาณานิคมต่างๆดังขึ้นไม่ขาดสาย
กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

“ นั่นมัน ทาไนซ (Thanyxs, Arimathea’s Dragoon of Thaliwilya) นี่ ”
R2 ที่ปลอมตัวเข้ามาเป็นพนักงานเสิร์ฟ ปะปนเข้ามาในงาน ก็หลุดปากออกมาด้วยความประหลาดใจ
กับร่างใหม่ของ เรกกะ หนึ่งในอัศวินมังกรแห่ง ทาลิวิลย่า ทาไนซ



“ เอะอะ จังเลยไม่เอาแล้วได้…ม้า เริ่มจะเบื่อแล้วด้วย ”
อยู่ๆทาไนซ ก็กล่าวขึ้นลอยๆด้วยความไม่พอใจ

“ นี่ให้มันเสร็จงานก่อนได้ไหม…งั้นอย่างน้อยก็อัดหมอนั่นให้ลงไปกองก่อนก็ได้ แล้วชั้นจะเรียกใช้คนอื่นเอง ”
เสียงของ เรกกะ แย้งขึ้นทันควันในหัว อย่างไม่สบอารมณ์  กับท่าทีเอาแต่ใจของ ทาไนซ

“ โหดชะมัด…เค้าจะรีบจัดการก็ได้ ”
ทาไนซ กล่าวแบบงอนๆ ก่อนจะดีดนิ้ว เรียกไพ่ที่ใช้แปลงร่างออกมา
ทันทีที่ไพ่เปล่งแสงขึ้น ลูกมังกรดำนอฟฮอท (Novhoth, Arimathea’s Baby Dragon)



ก็พุ่งทะลุหลังคา อาคารเข้ามา บินวนไปรอบๆเพดานห้อง ทันทีที่ แสงสีดำจาก ไพ่พุ่งเข้าไปหาร่างของลูกมังกรดำ
ร่างของมันก็เกิดการวิวัฒนาการ กลายเป็นร่างเต็มวัย มังกรนอฟโฮทิออน(Novhothion, Arimathea’s Dark Dragon)



“ Full Charge Great of  Dragon ”
เสียงดังขึ้นทันทีที่ ทาไนซ นำไพ่ในมือหย่อนลงไปในอัคคีทมิฬ ของดาบที่ถืออยู่ ไพ่ค่อยๆถูกเผาจนกลายเป็น
ขี้เถ้า ก่อนที่ ทาไนซ จะตวัดดาบไปมา ขี้เถ้าจากไพ่ที่อยู่ในเปลวอัคคี ได้ฟุ้งกระจายออกมา ลอยคละคลุ้ง

ราวกับหมอกควันปกคลุมร่างของ ทาไนซ ก่อนที่ กลุ่มควันจากขี้เถ้า จะค่อยๆ
เปี่ยนรูปร่างเป็น มังกรตัวยาว พุ่งเข้าไปหา เฟนท์ ในทันที

“ Protection ”
เสียงดังขึ้นจากสนับมือของ เฟนท์ ก่อนที่จะเกิดกำแพงแสงผิวสีน้ำตาล พุ่งขึ้นมาจากพื้นป้องกันการโจมตี เอาไว้
ทว่า ทันทีที่ มังกรควันกระแทกเข้ากับ กำแพงป้องกัน มันก็กระจายฟุ้งไปรอบๆจน

เฟนท์ ไม่อาจมองเห็นอะไรในกลุ่มควันได้ ขณะเดียวกัน นอฟโฮทิออน ก็รวบรวมพลังงานมาไว้ที่
ปากเรียบร้อย เพลิงอัคคี สีดำทมิฬ Dark Flame  ก็ได้ลุกออกจากปากของมัน
พุ่งลงไป ทว่าก่อนที่ เปลวเพลิงจะลงไปถึงกลุ่มควันนั้น

ภายใน กลุ่มควัน ทาไนซ กำลังกระหน่ำฟาดคมดาบเข้าหา เฟนท์ อย่างรวดเร็ว ไปมา
ซึ่งความว่องไวของ ทาไนซ ภายในกลุ่มหมอกนี้ ต่างกับตอนแรกลิบลับ ก่อนที่ เฟนท์ จะพลาดท่าถูก

ด้ามดาบกระทุ้งเข้าที่ลำตัวจนเสียหลักเซ ไปทำให้ กำแพงที่กั้นระหว่างตัวเค้ากับ เปลวเพลิงที่กำลังจะมานั้น
สลายไป ทันทีที่ เปลวเพลิงสัมผัส กับควันขี้เถ้า ก็เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงในทันที
โดยที่ ตัว ทาไนซ นั้นพุ่งออกมาจากกลุ่ม ควันได้ทันก่อนที่จะ ควันจะทำปฏิกิริยาจนเกิดการระเบิด

โดยที่สิ่งเดียวที่กระเด็นออก มาจากกลุ่มควันที่ยังคละคลุ้งจากการระเบิด นั่นคือ สนับมือเพียงข้างเดียว
ของ เฟนท์ เท่านั้น ก่อนที่ นอฟโฮทิออน จะทะยานกลับขึ้นไป พร้อมกับที่ร่างของ ทาไนซ สลายกลับคืนเป็น
 เรกกะ ในคราม Dragoon ตามเดิม

“ หึ…หึๆ…ในที่สุดนายก็ไปเป็นคนแรกสินะ เฟนท์…หึ..ฮ่าๆๆๆ ”
เรกกะ หัวเราะขึ้นด้วยความกระหยิ่มในใจทันทีที่ได้รู้ว่าเพื่อนของตน ได้สลายกลายเป็นควันไปแล้ว
ก่อนจะหันกลับไปหา ยังกลุ่มผู้ชุมนุนทั้งหมด

“ อย่างที่ทุกท่านได้เห็น Valkyrier นั้นคือภัยคุกคาม ต่อมนุษยชาติจากนี้ไป ในนามของเรา Dragoon ขอบัญชา
ทุกอาณานิคม จงรวมกันเป็นหนึ่งเดียว แล้ว จงจัดการดับลมหายใจของ Empyrean Adjust ซะ ”
เรกกะ ในคราบ Dragoon ประกาศกร้าวต่อหน้าบรรดาผู้นำนับร้อยประเทศ จาก 5 ทวีป ทั้งหมดที่เหลืออยู่ใน เทอร่านี้
โดยที่ มุมเสาต้นหนึ่งนั้น ชายผู้ปกปิดตัวเองคนเดิม กำลังยืนจับเวลาด้วยนาฬิกาทราย อยู่เหมือนทุกครั้งที่
เรกกะ แปลงร่าง
……………………
……………………………

“ เป็นอะไรรึเปล่าคะ…เห็นเงียบไปตั้งกะเมื่อกี้แล้ว ”
ไอ กระซิบ ด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่ ลอว์เรนซ์ นั้นนิ่งไปอยู่นาน

“ อ..เอ้อ เปล่าหรอก แต่ว่าพอดีชั้นนึกได้ว่ามีธุระขึ้นมาน่ะ นี่ก็เหลือแค่ ปรุงรสอย่างเดียวแล้ว
วิธีขั้นต้นก็ดูเอาจากหนังสือละกันนะถ้ายังไงชั้นขอตัวก่อนล่ะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางถอดผ้ากันเปื้อนออก แล้ววางมันลงบนโต๊ะ

“ ต..แต่ว่า ฉันไม่เคยปรุงรสอาหารมาก่อนเลยนะ ”
ไอ กล่าวอย่างเป็นกังวล เพราะตนไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้เลย
แต่ ลอว์เรนซ์ ก็หันมายกนิ้วให้ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับพูดว่า

“ ริคุ เคยบอกไว้ อาหารที่อร่อย มาจากเครื่องปรุงที่ดีเยี่ยม แต่ไม่มีเครื่องปรุงใด
ที่จะเลิศรสไปกว่า ความรู้สึกที่มีต่อผู้ทานที่คนทำอย่างเราใส่ลงไปในอาหาร ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบ ไอ ก็นิ่งไปพักหนึ่งเพราะตีวามหมายที่เค้าพูดไม่ถูก

“  ไม่เข้าใจสินะ…เอาเป็นว่าแค่ใส่ความรู้สึกของเธอที่มีลงไปก็พอแล้ว..ไม่ต้องห่วงอย่างเธอน่ะต้องทำได้แน่ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวให้กำลังใจจบก็ออกจาก ห้องครัวไปทันที

“ ความรู้สึกที่ฉันมี ต่อ เฟนท์ งั้นเหรอ ”
ไอ เปรยพลางมองไปที่ หม้อซุปซึ่งกำลังเดือดอยู่ ก่อนจะปรับสีหน้าและอารมณ์เสียใหม่
และเริ่มปรุงรสด้วยความมั่นใจ โดยอาศัยตำราเป็นแนวทาง

“ เฟนท์ ฉันรักเธอ...นี่คือความรู้สึกที่ฉันจะใส่ลงไป..แล้วเธอจะรับรู้ไหมนะถึงความรู้สึกนี้ ”
ไอ คิดขณะที่คนส่วนผสมให้เข้ากัน อย่างเงียบๆอยู่คนเดียว

………………..
………………………..

ด้านลอว์เรนซ์ หลังจากที่ออกจากบ้านของ ไอ มาแล้วก็รีบวิ่งไปยังที่โล่งแจ้งใกล้ๆนั้นทันที

“ รีบมาหน่อยล่ะ ยูปี้ สังหรณ์ไม่ค่อยดีเลย ”
ลอว์เรนซ์ คุยกับ ยูปี้ ด้วยโทรจิต อยู่ในขณะนี้เอง

“ อืม..ชั้นมาถึงนานแล้วล่ะอยู่ข้างบนนี้ไง ”
เสียงตอบกลับของ ยูปี้ ดังขึ้นพร้อมกับที่ลมบริเวณนั้นเริ่มพัดแรงขึ้น ทันทีที่ ลอว์เรนซ์ มองขึ้น
ด้านบน เหนือหัวของเขาตอนนี้ ยานคอสมิกแสวน กำลังค่อยๆลดระดับลงมายังพื้นดิน
แรงขับเคลื่อนของยาน เป็นสาเหตุทำให้อากาศรอบๆแปรปรวนนั่นเอง


“ เราต้องรีบไปที่ สถานฑูต ให้เร็วที่สุดตอนนี้เลย ก่อน โศกนาฏกรรมเลือดบทที่สองมันจะเริ่มขึ้น ”
ลอว์เรนซ์ เปรยด้วยความเป็นกังวล ขณะที่เดินขึ้น ยานไป

………….
…………………..

ขณะเดียวกัน ที่ สถานฑูตกลุ่มควันที่ตลบอบอวล
หลังการระเบิด แม้ควันจะจางไปแล้วนอกจาก สนับมือเพียงข้างเดียวที่ กระเด็นหลุดออกมา 
ก็มีแต่เพียงหลุมลึกที่เกิดจากการ ระเบิดเท่านั้นที่ปรากฏขึ้น โดยไร่แม้แต่เงาร่างของ เฟนท์ หนุ่มน้อยผู้เป็น Valkyrier
คนนั้นเลย ซึ่งเป็นการยืนยันที่แน่นอนแล้วว่า Dragoon สามารถเอาชนะ สิ่งที่ เทอร่า ไม่อาจต่อกรได้ เป็นที่ประจักษ์แก่ เทอร่า ไปแล้วในขณะนี้ ต่อหน้าพยานจากทุกนานาประเทศ ที่เห็นเหตุการณ์

…………
บัดนี้ Delantion มหาสงครามแห่งยุคได้เปิดฉากขึ้นอีกครั้งโดยไร้การเข้าร่วมของ เหล่าทวยเทพ
แต่บัดนี้ มนุษย์กำลังจะก้าวข้ามเส้นขีดจำกัดสู่การเป็นผู้สร้าง

โปรดติดตามตอนต่อไป

และแล้ว Delantion มหาสงครามแห่งยุค ก็ได้เปิดฉากขึ้น กลียุคกำลังจะเริ่มอีกครั้ง
เพื่อผลักดัน ให้มนุษย์วิวัฒนาการไปสู่อีกขั้นของการมีชีวิตรอด เพื่อการนั้น มนุษย์
จะต้องกลายเป็นพระเจ้า ความทะเยอทะยานนี้ จะเป็นจริงได้แน่หรือ

“ ณ ที่นี่และบัดนี้ นี่ถือเป็นการเริ่มต้นการปฏิวัติ การล้มล้างอำนาจเผด็จการ ที่มีชื่อว่าสันติ
พวกเราจะต้องก้าวข้าม สู่ห้วงแห่งสงครามในไม่ช้านี้ สงครามระหว่าง เทอร่า กับ Empyrean Adjust ”

ยุคสมัยที่กำลังจะเปลี่ยนไป

“ นี่ นายทำอะไรลงไปน่ะรู้ตัวรึเปล่า…คิดว่าการปลุกระดมผู้คนให้ลุกฮือขึ้นมา
ทำสงครามกันจะทำให้เกิดสันติงั้นเหรอ ตัวนายเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ ว่าผลลัพธ์มันจะออกมายังไง
แกเองก็เคยเคียดแค้นในสงครามมาแล้วไม่ใช่รึไง ”

ความไม่ลงลอย ที่เกิดขึ้น ทว่าคำตอบที่ออกจากปากของ เด็กหนุ่มผู้เคยสูญเสียทุกสิ่งไปเพราะสงครามกลับเป็น…

“ นี่คือหนทางที่ดีที่สุดแล้วไม่ใช่รึไง เมื่อใดที่ เทอร่า รวมเป็นหนึ่งเดียวกันและกำจัด Empyrean Adjust ไปได้
เมื่อนั้น เทอร่า ก็จะรวมเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง  ”

…………..
 “ ถ้าทำแบบนั้น แล้วนายคิดว่าสันติจะเกิดขึ้นได้งั้นเหรอ… ”


“ Empyrean Adjust ตั้งใจจะทำอะไรกัน…ทั้งที่บอกว่า จะยุติสงคราม…แล้วทำไม..ทำไม..คุณ พ่อถึงต้องมาตายเพราะสงครามของพวกนั้นด้วย… ”

“ มาถึงตอนนี้ในที่สุด ชั้นก็พึ่งเข้าใจถึงสิ่งที่นายพูดแล้วล่ะ ไรด์ เอมิล….พวกเราน่ะ
ไม่อาจเดินต่อไปใต้แสงสว่างได้อีกแล้ว  ”

………
เส้นทางเดินที่เบี่ยงผัน ความคิดของผู้คนที่เปลี่ยนไป หากปลายทางคือความขมขื่นที่จะเหลือไว้
ก็จงใช้ ปีกแห่งศรัทธาทะยานขึ้นไปสู่แสงสว่างซะสิ Valkyrier 

Next Saga 12  Ava-Trans
……..
เส้นทางแห่งการปฏิวัติ ได้เริ่มขึ้นแล้วใต้ท้องนภาแห่งกลียุคนี้

Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #75 on: April 01, 2009, 12:11:32 PM »

เรกกะบ้าเลือด!????  ??? 

รอตอนใหม่มาเร็วๆ    สนุกจัง
Logged


cocka-c
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 188


Email
« Reply #76 on: April 01, 2009, 06:08:53 PM »

โหดร้ายให้ เฟนท์ ตายได้ลงคอ ฮือๆๆๆๆ นี่แกจะแกล้งฉันใช่ไหมเนี่ยเจ้าเกรม่อนนนนน
ตัวละครหลักตายตั้งกะเริ่มครึ่งหลังแบบนี้ มันจะเป็นไงต่อล่ะเนี่ย 

เอาเฟนท์คืนมาาาา
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #77 on: April 02, 2009, 07:29:51 PM »

Quote
โหดร้ายให้ เฟนท์ ตายได้ลงคอ ฮือๆๆๆๆ นี่แกจะแกล้งฉันใช่ไหมเนี่ยเจ้าเกรม่อนนนนน

แหมเมื่อวาน เอพิลฟูลเดย์ ได้ทีแหลกระจายเชียว

ถ้ามันตายใครจะพูดล่ะประโยคเนี้ย

Quote
“ มาถึงตอนนี้ในที่สุด ชั้นก็พึ่งเข้าใจถึงสิ่งที่นายพูดแล้วล่ะ ไรด์ เอมิล….พวกเราน่ะ
ไม่อาจเดินต่อไปใต้แสงสว่างได้อีกแล้ว  ”

ว่าแต่ประโยคบรรทัดก่อนประโยคนี้ มันดูทะแม่งๆนะ
แล้วไอ้ลางจานแตกอีกส่วนใหญ่ทำจานแตกน่าจะมีคนเดี้ยง
แต่ไปๆมาๆถ้า เฟนท์ ไม่เดี้ยงแ้ล้วใครล่ะ สงสัยจะจบไม่สวยแหะ
เหอๆ วันก่อนโพสเสร็จ หมดแรงสครีม เลยไปนอน
ควบมันสามวันโลด

ไม่ไหวเหนื่อยมักๆกับตอนนี้เพราะตัวละครเปลี่ยนนิสัยกันหมด เหมือนการกระทำของ เจ้าราฟ มันทำให้ โลกเปลี่ยนไปจริงๆแหะ
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #78 on: April 06, 2009, 07:08:33 PM »

Saga 12  Ava-Trans


“ ไม่นึกเลยนะว่านายจะติดต่อมาตอนนี้น่ะที่นั่นคงวุ่นวายน่าดูล่ะสิ ”
เฟรเซีย กล่าวใส่เครื่องส่งสัญญาณที่ติดตั้งไว้ในห้องบังคับของ Iris ซึ่งตอนนี้
อยู่ในรูปร่างของ โอมิค่อน-โอ สองลำกำลัง บินตรงไปยัง สถานทูตโลกอส ที่ตอนนี้กำลังเกิดการปะทะ
กันอย่างรุนแรงกับ เหล่า Valkyrier ที่เข้ามาแทรกแซงการประชุม

“ นี่อย่านอกเรื่องสิ... ”
เสียงตอบกลับจากคู่สนทนาดังกลับมาอย่างหงุดหงิด ทำเอา เฟรเซีย อดหัวเราะไม่ได้

“ คิก.ๆ..จ้าๆ...นายนี่นะยังจริงจังไม่เปลี่ยนเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิดเล้ย..ฉันแจ้งไปแล้วล่ะ..
เชิญนายจัดการตามต้องการเลย...สุซาคุ ”
เฟรเซีย ตอบกลับไปพลางเร่งความเร็วเครื่องขึ้นไปอีกเพื่อไปให้ถึง ที่หมาย

............

“ โอเคแล้วครับ..ทางนั้นแจ้งมาแล้วว่าให้จัดการได้ตามที่เห็นชอบแล้วครับ ”
สุซาคุ กล่าวใส่ ตัวรับเสียงของ หูฟังที่เค้าสวมอยู่ในตอนนี้ขณะที่ วิ่งไปยังท่าจอด ยานที่ตอนนี้ บรรดา Gazor และ
ยานรบติดอาวุธเครื่องต่างๆกำลัง ทยอยกันออกจากท่าเพื่อเข้าสู่สนามรบจำเป็นในตอนนี้

“ งั้นเหรอ...ดีแล้วทำตามแผนที่วางไว้ได้เลย... ”
เสียงของ ลูเทเซีย ดังตอบกลับมาจาก หูฟังที่สวมอยู่ขณะที่ ตัว สุซาคุ ในตอนนี้นั้น กำลังขึ้นไปยัง ห้องบังคับของ หุ่นรบ Gazor ตัวใหม่ของเค้า ที่มีรูปร่างคล้ายกับสัตว์สี่ขา ซึ่งมันได้จำลองมาจาก ซิกม่า-เอส(Sigma-S) เหมือนกับ Iris ที่จำลองรูปแบบของ โอมิค่อน-โอ(Omicron-O)


“ Yes Your Majesty”
สิ้นเสียง สุซาคุ ก็เตรียมจัดแจง ใส่กุญแจลงไปในช่องเสียบของแผงควบคุม ก่อนที่เครื่องจะเริ่มเดิน

“ คุรูรูกิ สุซาคุ Calibur ...ออกตัว.. ”
สิ้นเสียง หน้าจอ มอนิเตอร์บนแผงควบคุม ก็ขึ้นตัวอักษรไล่ลงมาจนเต็มทั้งหน้าจอ

General System
Unit Only Drive
Navigator System-On
Device Link - Ok
Ampare Power
Moblie Gazor XI Calibur Sigma-S  Mode

ทันทีที่ ตัวอักษรปรากฏครบทั้งหมด หน้าจอก็ขาวไปชั่วขณะก่อนที่ มาตรวัด และค่าสถานะของ เครื่องจะปรากฏขึ้นแทน สุซาคุ จึงเริ่มเดินคันบังคับทันที  Calibur ได้ออกตัวอย่างรวดเร็ว ไปในที่สุด


..............................
.................

“ เอาล่ะ..อีกเดี๋ยว สุซาคุ กับ เฟรเซีย ก็จะมาแล้ว รวมทั้ง Iris กับ Calibur ด้วย ”
ลูเทเซีย กล่าวขณะที่น้องสาวของตน มาเรียลูซ กลับออกอาการตกใจแบบ ออกนอกหน้า

“ ด..ได้ไงกันคะ..ก็กุญแจของ Iris น่ะอยู่ที่หนูนี่คะ..แล้ว เฟรเซีย เดินเครื่อง Iris ได้ยังไงกัน ”
มาเรียลูซ กล่าวละล่ำละลัก ด้วยความตกใจ ขณะที่ตัวเอง ก็คว้าเอากุญแจที่ คล้องคอขึ้นมาดู
ก่อนจะต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่า ตราประทับในบางจุดนั้นต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

พร้อมกับที่ ลูเทเซีย แอบกลั้นหัวเราะเอาไว้แทบไม่อยู่ พร้อมกับ ใบหน้าของมาเรียลูซ ที่แดงจัดเพราะความ
อายกับความโมโห

“ ฮะๆๆ..พี่ก็คิดไว้แล้วล่ะนะ น้องต้อง ไม่ยอมให้ เฟรเซีย ถือ กุญแจติดตัวเอาไว้ พี่ก็เลยส่งทั้งของจริงกับของปลอมมาให้แล้วก็แนบ ไปให้ เฟรเซีย ว่าให้เอาให้น้อง น่ะ...ฮะๆ โทษทีนะ มันกลั้นไว้ไม่ไหวน่ะ ”
ลูเทเซีย กล่าวไปหัวเราะไปด้วยความขบขัน ขณะที่ มาเรียลูซ ได้แต่ชายตามองพี่ชายตัวแสบอย่างเคืองๆ


“ เอาเถอะ แต่แบบนี้ดีกว่าไม่ใช่เหรอ..เพราะถ้าเป็นแบบนี้ เฟรเซีย
 ก็จะได้ทำตามที่ต้องการไง นั่นก็คือการปกป้อง

เพื่อนคนสำคัญไม่ใช่แค่ในฐานะอัศวินหรอกนะที่ ทำให้ เฟรเซีย
อยากออกตัวปกป้องน้องขนาดนั้นน่ะ..ยอมรับความตั้งใจของเธอไวบ้างก็ดีนะ มาเรีย ”

ลูเทเซีย กล่าวหลังจากปรับน้ำเสียงและคำพูดได้เรียบร้อย

“ ท่านพี่ยังเจ้าเล่ห์ไม่เปลี่ยนเลยนะคะ..แล้วนี่มีแผนอะไรอีกรึเปล่าบอกมานะคะ ”
มาเรียลูซ กล่างพลางทำหน้าบึ้งใส่ ซึ่งก็ทำเอา พี่ชาย เธอหัวเราะไปอีกรอบ

“ แน่สิ..เซโร่ น่ะคาดการณ์ไว้แล้ว ว่า Dragoon จะต้องปรากฏตัว..จากนี้ไปก็เริ่มดำเนินตามแผนเลย ”
ลูเทเซีย กล่าวพลางมองไปที่ Dragoon ซึ่งกำลัง ปราศรัยต่อหน้าทุกคน

“ พวกมันจะต้องออกมาแน่ ...โซด่อม.. ”
ลูเทเซีย คิดในใจขณะที่ ฟังบทปราศรัยของ Dragoon ไปด้วย

 “ ณ ที่นี่และบัดนี้ นี่ถือเป็นการเริ่มต้นการปฏิวัติ การล้มล้างอำนาจเผด็จการ ที่มีชื่อว่าสันติ
พวกเราจะต้องก้าวข้าม สู่ห้วงแห่งสงครามในไม่ช้านี้ สงครามระหว่าง เทอร่า กับ Empyrean Adjust ”
เรกกะ ในคราบ Dragoon ประกาศก้อง ขณะเดียวกัน R2 ที่ยืนฟังอยู่ด้วยก็เกิดอาการเกร็ง จนทำอะไรไม่ถูก

“ หมายความว่า นายจะให้ เทอร่า รวมตัวกันเป็นกองกำลังเพื่อ จัดการกับ Empyrean Adjust ใช่ไหม ”
ลูเทเซีย กล่าวแทรกขึ้นมา

“ ถูกต้อง..ต่อให้ Empyrean Adjust มีอำนาจมากมายแค่ไหนพวกมันก็ไม่ใช่ พระเจ้า..ถ้าร่วมมือกัน เราต้อง
โค่นล้มพวกมันได้แน่ ”
เรกกะ กล่าวสุดเสียงอย่างมั่นใจ

“ แต่ว่า..ตอนนี้ยังไม่อาณานิคมไหนเลยที่ ต่อกรกับ Empyrean Adjust ได้
แล้วเจ้าคิดว่า พวกเราร่วมมือกันจะแก้ปัญหาได้งั้นเหรอ ”

“ นั่นสิ..ขนาด บริทเทเนอร์ เอง ที่เคยเป็นมหาอำนาจอันยิ่งใหญ่ ยังต้องปฏิรูป อำนาจแล้วเปลี่ยนการ
ปกครองไปเพราะพวกมันเลยนา ”

“ ใช่ๆ..ไม่ไหวหรอก.. ”
“ พวกเราจะไปสู้ Empyrean Adjust ได้ยังไง องกรค์ ก่อการร้าย
 สาขาใหญ่ๆยังโดนพวกมันเก็บซะราบคาบ แล้วพวกเรารวมอาณานิคมไป จะได้อะไรขึ้นมา ”

เสียงทักท้วงไม่เห็นด้วยกับความคิด ของ เรกกะ ดังขึ้นระนาวเป็นทิวแถวแบบที่ไม่ต้องคาดเดา ก็รู้ได้เลยทีเดียว
เมื่อหลากความคิดมากความเห็น นั้นมารวมกันย่อมที่จะเกิดความคิดต่อต้านหรือเป็นอคติในทันที

“ แล้วจะทำยังไง.. ”
เรกกะ กล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉย ทำเอาทั้งที่ประชุมเงียบไปในทันที

“ จะปล่อยให้พวกมันกดขี่เรางั้นเหรอ..จะรอให้มีคนมาปลดปล่อยพวกเรางั้นเหรอ..สิ้นคิดกันจริงๆ ”
เรกกะ ประกาศก้อง ซึ่งก็ทำเอา ข้อโต้แย้งที่พวกเค้ากล่าวมาเมื่อครู่ หมดเหตุผลลงไปในทันที

“ ถ้าพวกเราไม่ทำแล้วใครจะทำ..จะนั่งรอให้ใครลุกขึ้นมาต่อต้านในเมื่อไม่มีใครคิดจะลุกขึ้นซักคน... ”
เรกกะ ประกาศอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ความเห็นในที่ประชุมก็เริ่มเปลี่ยนไป ขณะที่
ลูเทเซีย มองไปรอบๆพร้อมกับยิ้มที่มุมปากอย่างพึงพอใจ ราวกับเป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้

“ จริงอย่างที่ Dragoon ว่า..พวกเราควรจะร่วมมือกัน เพื่อชิงเอาอิสรภาพของเราคืนมา ”
ลูเทเซีย กล่าวขณะที่เดินเข้าไปใกล้ Dragoon

“ แต่นั่นหมายความว่าเราจะต้องล้มล้างกฏเกณฑ์ เพิกเฉยต่อสนธิสัญญาสงครามของนานาชาติ เพื่อรวมกำลังมาฝากไว้กับคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้านี่น่ะเหรอ ”
ไม่ทันไรก็มีเสียงแย้งขึ้น ก่อนที่ ลูเทเซ๊ย จะเข้ายืนอยู่ข้างๆ Dragoon

“ จะสนไปทำไม การแบ่งแยก..สัญญาข้อบังคับระหว่างประเทศ..มันจะไปมีประโยชน์อะไร ถ้าเทอร่า ไม่ได้เป็นอย่างที่เคยเป็นถ้า เทอร่า ที่กำลังจะเปลี่ยนไปในไม่ช้านี้ ยังคงแบ่งแยก ฉันท์มิตรศัตรูกันแบบนี้ ก็คงมิแคล้วเป็นหมาก Empyrean Adjust  ชักเชิดเอาตามใจชอบ อยู่ดี..การยอมรับซึ่งกันและกันนี่ล่ะที่เรายังขาดไป..ถึงได้เป็นช่องให้ Empyrean Adjust เข้าคุกคาม ”

สิ้นคำของ ลูเทเซีย ก็ไม่มีเหตุอันใดจะมาคัดง้าง อีกเพราะตัวเค้าได้ใช้ Genesis สำรวจจิตใจของ บรรดาผู้ร่วมงาน
และประมวลผลหาคำพูดที่จะทำให้ทุกฝ่ายยอมรับซึ่งความเห็นนี้

“ สมแล้วที่เป็น กษัตริย์แห่ง บริทเทเนอร์ ที่สามารถเลี่ยงข้อพิพาทที่ Empyrean Adjust
จะเข้าไปจัดการกับ อาณานิคมอย่างเด็ดขาดได้ เข้าใจอะไรง่ายดีนี่..ก็อย่างที่ว่าล่ะจะเอายังไง ”
เรกกะ ย้อนถามอีกครั้ง ทว่าก่อนที่คำตอบจาก บรรดาผู้เข้าร่วมประชุมจะดังขึ้น
ฉากจอบนเวทีใหญ่ ของงานก็พลัน ปรากฏ ภาพของ โครโน่ ขึ้นหลาอยู่บนจอ

“ ยินดีที่ได้รู้จักเหล่า มนุษย์ แห่งเทอร่าทั้งหลาย ชั้นคือ โครโน่ อานิม่า ที่เป็นผู้นำแห่ง Empyrean Adjust ”
เสียงดังขึ้นจาก จอภาพท่ามกลางความตกตะลึงของ ทุกคนในห้อง

“ อานิ...ม่า... ”
เรกกะ เปรยเสียงแผ่ว ภายใต้หน้ากากของ Dragoon ทันทีที่ได้ยิน คำพูดของ โครโน่
ก่อนที่หัวของเค้าจะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมากะทันหัน

“ เราจะให้เจ้ามีชีวิตอยู่ในฐานะ อานิม่า เพื่อที่จะช่วยชี้นำยุคสมัยให้ แก่ เทอร่า ... ”
“ ดังนั้นเราขอมอบความทรงจำของ เรกกะ ซาราเบลด ให้แก่เจ้า.. ”
“ พลังของนายมันมากเกินไปปล่อยไว้คงเป็นอันตราย..โทษทีแต่คงต้อง
ให้นายหลับไปตลอดกาลซะแล้วสิ ”

เสียงต่างๆที่ได้แล่นเข้ามาในหัวอย่างฉับพลัน ทำเอา เรกกะ ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ
ขณะที่ภาพของ โครโน่ นั้น ทำให้เค้ารู้สึกคุ้นเคยและเหมือนเคยพบกันมาก่อน พร้อมๆกับที่
 ความทรงจำบางอย่างเริ่ม ทะลักท่วมท้นขึ้นมาในหัวราวกับจะระเบิดออกเหมือนแก้วที่ใส่น้ำ
ลงไปทั้งมหาสมุทร เลยทีเดียว

“ Dragoon ชั้นคงไม่อาจปล่อยให้นายทำตามที่หวังได้หรอกนะ..แม้จะต้องทำทุกวิถีทางชั้นก็จะให้นายรวม
เทอร่า ให้เป็นหนึ่งภายในการบังคับบัญชาของนายไม่ได้หรอก ”
สิ้นคำ ภาพก็หายไปก่อนที่ เพดานห้อง จะถล่มลงมาบนเวที จนพังยับไปทั้ง จอภาพและ พื้นเวที

“ ได้เวลา ฆ่าแล้ว...มาเป็นเหยื่อเคียวของข้าซะดีๆเถอะ พวกมนุษย์ทั้งหลาย ฮ่าๆๆๆ.. ”
เสียงกล่าวอันเหี้ยมเกรียม ดังขึ้นท่ามกลางซาปปรักที่ถล่มลงมา พร้อมกับ การปรากฏตัวของ ราฟ
Valkyrier ผู้ทำลาย ทวีปโทร่า

“ ไม่ได้การล่ะ..นี่พวกนั้นส่งกำลังเสริมมาแล้วงั้นเหรอ..ทำไม มาธิอัส ไม่เห็นแจ้งเข้ามาเลย ”
R2 คิด ขณะที่เบี่ยงตัวออกไปจากฝูงชน ก่อนจะเรียกเข็มขัดดราก้อนฮอลลี่ ขึ้นมา
แล้วแปลงร่าง เป็น ทาลิเลีย ในทันที

“ ย่าห์ ..เริ่มจากแกก่อนเลยละกันเจ้าหน้ากาก ”
ราฟ อาศัยจังหวะที่ เรกกะ ยังยืนนิ่งเพราะผลจากอาการเมื่อครู่อยู่ บุกเข้าประชิดพลางเงื้อ คมเคียวขึ้นหมายจะสับ
ทั้ง ลูเทเซีย และ เรกกะ ให้จบสิ้นกันไปในทีเดียว ทว่า  ทาลิเลียก็เข้ามาขวางไว้ได้ทันโดยเอา
ด้ามหอกกระทุ้งร่างของ ราฟ จนเซถลา ล้มลงไป พร้อมกับตวัดหอกในมือให้คมจ่ออยู่ที่ ปลายคางของ ราฟ ในทันที

“ แจ๋ว แฮะ..ตั้งแต่เกิดมาก็พึ่งจะเคยมีคนไล่ต้อน ชั้นได้ถึงขนาดนี้..ขอชมเลยเจ้ากิ้งก่าย่าง ”
ราฟ กล่าวยั่วโมโห  R2  ทว่าการยั่วของเค้านั้นไม่มีผลกับ เธอแม้แต่น้อย

“ เสียใจด้วยนะ ที่ฉันมันเป็นพวกไร้อารมณ์น่ะ.. ”
สิ้นคำของ ทาลิเลีย คมหอกก็เสียบทะลุลงไปที่คอของ ราฟ ก่อนที่เธอจะชักหอกออก ทว่า กลับไม่มีเลือดไหลออกมาจากแผลของ ราฟ แม้แต่น้อย อีกทั้งบาดแผลที่เกิดขึ้นยังสมานกลับเป็นเหมือนเดิมในทันที ขณะที่ยังตกใจกันอยู่นั้น
ราฟ ก็ตวัดขา สะดุดเท้าของ ทาลิเลีย จนเธอล้มคะมำไม่เป็นท่า ก่อนจะพลิกตัวขึ้นมา

ตวัดคมหอกลงไปที่ ทาลิเลีย ทว่า เรกกะ ก็โดถีบร่างของ ราฟ
จนกระเด็นปลิว กระแทกจมลงไปกับผนังห้องทันที

“ ฮ่าๆๆ ได้ลุยกันซักที มาไคลแมกซ์กันตั้งแต่ต้นจนจบซะดีๆ ”
เรกกะ ในคราบ Dragoon กล่าวพลางเปิดตลับไพ่ที่ เข็มขัดขึ้นมา แล้วหยิบไพ่ใบหนึ่งจากที่ เหลืออยู่ 82 ใบขึ้นมา
ทำให้ ไพ่ที่เหลืออยู่ในตลับตอนนี้เหลือเพียง 81 ใบเท่านั้น

“ Blaze Form ” “  Regenration”
สิ้นเสียง ไพ่ที่ถูกจ้องด้วยตาซ้ายที่ มองลอดออกมาจาก ช่องตาของหน้ากาก
ก็ถูกทุบลงไปที่หน้าปัดของสายคาดข้อมือก่อน ที่จะเปลี่ยนร่างเป็น ทาลิคนัส
ในทันที

“ โอเระ ทันโจว มันแปลว่า พระเอกมาแล้ว จำไว้ด้วยล่ะ ”
ทาลิคนัส กล่าวพลางรวมมวลแสงในมือสร้าง ดาบอัคคีขึ้นมาก่อนจะพุ่ง เข้าหา ราฟ ที่ยังจมกำแพงอยู่

“ หึ..อย่างนี้สิมันถึงจะน่าสนุก ”
ราฟ สบถก่อนจะฉีกยิ้มด้วยความสะใจ พร้อมกับ คว้า เคียวแล้วพุ่งออกจากำแพง
เข้าไปประดาบกับ ทาลิคนัส อย่างลิงโลด

.........................
..............................

ยาน Albus

“ ทาง สำนักงานใหญ่ Valhala ส่งกองหนุนมาค่ะ ทีม Magnus Mephistoทั้งสามคนกับ ยาน Niger  แล้วก็ ราฟ สมาชิกทีม Lord Ecripse (เจ้าแห่งจันทรา) อีกคนหนึ่งด้วยค่ะ ”
ลูลู่ กล่าวพลาง รัวนิ้วลงบนแป้นควบคุม อย่างร้อนรน ขณธที่ ทั้งยานเองก็วุ่นไม่แพ้กัน เพราะต้องคอย ต้านการโจมตี
จาก บรรดา Gazor แมนเทริก้าดราก้อน ที่ขึ้นมาต่อต้านอากาศยาน ของพวกเค้า เช่นเดียวกับ ยาน Niger

ที่โดน ฝูง มังกร และสัตว์ อสูร จากกองกำลังของ อาณานิคมอื่น ล้อมไว้

“ มีการติดต่อมาจากยาน Niger ค่ะ บอกว่าให้เราถอยออกจักรัศมียิง ตามพิกัดที่ส่งมา ”
 ลูลู่ รายงาน พลางหันไปรอความเห็นจาก เอลิซ่า ที่กำลังประเมินสถานการณ์

“ ถอยตามพิกัดที่ให้มา ทางนั้นคงจะเตรียม ยิงกวาดทีเดียวเลย ”
เอลิซ่า สั่งการ โดยพยายามข่มใจให้สงบกับสถานการณ์ที่วุ่นวายในขณะนี้

“ การที่เราเข้ามาแทรกแซง การประชุมใหญ่แบบนี้ มันจะไม่เป็นเรื่องที่ เกินควาสามารถไปหน่อยเหรอเนี่ย
ถึงเทคโนโลยีของเราจะก้าวหน้ากว่า แต่ทางนั้นเอง ก็ถือได้ว่าเป็นกองทัพ เทอร่า ได้เลยนะนั่น ”
เอลิซ่า คิดขณะที่ตีความแผนการและเป้าหมายของ องค์กร ในตอนนี้

ด้านนอกนั้น หลีเมย่ ก็ออกมาพร้อม กับ Bit ระบบอาวุธควบคุมนำวิถี ทั้งสี่ของเธอ
ที่ตั้งขบวน เป็นวงล้อม พร้อมจะสะสมพลังงานเพื่อยิง อนุภาคบีบอัดทำลายล้างพลังสูง
ที่เคยใช้ กวาดล้างกองทัพ บริทเทเนอร์มาแล้ว ณ ที่นี่

“ เตรียมการยิงอนุภาคบีบอัด Extream Charge เริ่มได้ ”
สิ้นคำของ หลีเมย่ Bit ทั้งสี่อันของเธอก็ เริ่มทำการสะสมประจุพลังงานอิออน มารวมกันไว้ที่ลำกล้อง
ขณะเดียว กันยานคอสมิกแสวน ของ ลอว์เรนซ์ เองก็พึ่งทะลุมิติ มาโผล่กลาง
สนามรบเช่นกัน

“ แย่ล่ะ ถ้ายิงไอ้นั่นออกไปได้ล่ะก็ มีหวังไม่เหลือแน่  ”
ลอว์เรนซ์ ที่นั่งอยู่ภายในห้องควบคุมของ ยานคอสมิกแสวน เปรย แต่ก็สายไปซะแล้ว เพราะ อนุภาคบีบอัด ที่หลีเมย่ สะสมไว้ได้ถูกยิงออกไปแล้ว ลำแสงได้กวาดล้าง กองทัพ และพุ่งลงไปต่อที่ อาคารสถานฑูต
เพื่อทำลายให้สิ้นในทีเดียว

“ หลีเมย่ ข้างล่างนั่นยังมีคนอื่นๆอยู่ด้วยนะ ”
เอลิซ่า ติดต่อเข้ามาเพื่อห้ามเธอ

“ เพื่อให้สงครามหมดไป ฉันไม่สนวิธีการอยู่แล้ว ”
หลีเมย่ กล่าวอย่างไม่สนใจใยดี แต่ประการใด ลำแสงได้พุ่งเข้าไปล้างผลาญ อาคารและชีวิต บุคคลสำคัญ
นับพัน รวมทั้งพวก เรกกะ หรือแม้กระทั่ง Valkyrier พวกเดียว กันที่อยู่ข้างล่างและ ในอาคาร


ภายใน ยานคอสมิกแสวน

“ ยูปี้ รีบย้อนกลับไปเวลาก่อนหน้านี้เร็ว ”
ลอว์เรนซ์ สั่งพร้อมกับ ควักเอา ไพ่ทั้งหกใบที่มีตราสัญลักษณ์ธาตุต่างๆประดับไว้ใบละชนิดขึ้นมาเลือก
ก่อนจะ หยิบเอาไพ่ที่มีตราแห่งธาตุแสง ขึ้นมาจากทั้งหมดแล้วเก็บที่เหลือไป

“ เตรียมการย้อนกลับสู่อดีตเรียบร้อยแล้ว ”
ยูปี้ กล่าว ก่อนจะวางมือ จากแผงควบคุมของ ยานแล้วเปลี่ยนร่างของตนให้กลายเป็น
ไพ่ก่อนจะเข้าไปอยู่ใน มืออีกข้างของ ลอว์เรนซ์

“ เรียกใช้ Empress Card ทำการเชื่อมต่อกับดราก้อนฮอลลี่ ”
สิ้นคำของ ลอว์เรนซ์ ไพ่ที่ ยูปี้แปลงมาก็ถูกเปลี่ยนเป็นสนับมือ ก่อนที่ ลอว์เรนซ์ จะเสียบ ไพ่ตราธาตุแสง
ลงไปในช่องเสียบที่สนับมือ

“ Ready Light ” “ Fist On ”
สิ้นเสียง ลอว์เรนซ์ ก็กดไพ่ลงไปให้สุด ก่อนที่จะเกิดกำแพงแสงขึ้นสามแผง พุ่งเข้ามารวมที่ตัวเค้า
และเปลี่ยนให้เค้ากลายเป็น อัศวิมมังกรกายสีขาวเช่นเดียวกับ ทาลูคัส เพราะนี่คือ
อัศวินแห่งทาลิวิลย่า ทาลูคัส แห่งเมอริเซีย (Thalucus, the dragoon of Thaliwilya)



“ เริ่มเดินระบบ ย้อนเวลาได้ ”
ทาลูคัส กล่าวก่อนจะเดินไปที่ประตูเพื่อไปยังทางออกของยาน

“ Yes my lord System Back Time and Auto Pilot Standby ok  ”
เสียงตอบรับของเครื่องควบคุมดังขึ้น ก่อนที่ ทาลูคัส จะออกจากห้องไป
ในตอนนี้เวลาด้านนอกตัวยานได้หยุดลงชั่วขณะ ก่อนที่ความเสียหายทั้งหมดที่เกิดจากการ ยิง
ลำแสงของ หลีเมย่ จะค่อยฟื้นตัว ขึ้นพร้อมกับลำแสง ที่วิ่งย้อนศรกลับคืนไปยังลำกล้องของ หลีเมย่
พร้อท กับซากอาคารได้ก่อรูปขึ้นมาเหมือนก่อนจะถูกทำลาย แน่นอน บัดนี้เวลากำลัง ไหลย้อนกลับ
ไปสู่ช่วงเวลา ก่อนหน้านี้ทันทีที่ ลำแสงทำลายของ หลีเมย่ย้ายกลับไปและสูญสลายกลับเป็นเพียง
มวลพลังงานคาอยูที่ลำกล้อง ทุกอย่างก็หยุดลงอีกครั้ง พร้อมกับเริ่มเดินไปตามเวลาอีกครั้ง

“ เตรียมการยิงอนุภาคบีบอัด Extream Char… ”
หลีเมย่ ที่กำลังจะสั่งยิงตามเวลาที่ควรจะเป็นในตอนนี้ กลับต้องชะงัก เพราะBit ทั้งสี่อันของเธอ
ถูกลำแสงสี่ลำ ยิงทำลายจน ระเบิดสิ้นไปทุกอัน แรงกระทบส่งผลให้ตัวเธอกระเด็นไปไกลไม่น้อย


“ โทษทีนะ คุณหนูแต่คงปล่อยให้เธอยิงไม่ได้หรอก ”
ลอว์เรนซ์ใน ร่างทาลูคัส กล่าวขณะที่ ไพ่ บลาส(Blast) ที่พึ่งถูกรูดไปกับคมดาบนั้น
ยังส่งควันฉุยลอยออกมา ร้อนๆ

“ นั่นมันอะไรกันน่ะ อัศวินมังกรแท้ งั้นเหรอ ต…แต่ว่างั้นแล้วที่จัดการกับ เฟนท์ ล่ะ ”
เอลิซ่า อุทานเมื่อได้ เห็น ลอว์เรนซ์ ในร่างของ ทาลูคัส ก็เริ่มสับสนกับ ทาไนซ ที่เรกกะในคราบ Dragoon
ใช้สู้กับ เฟนท์ไป

“ ยังจับสัญญาณ เฟนท์ ไม่ได้เลยสงสัยว่า อิออนไดร์ฟ(Ion Drive) คงจะดับไปไม่ก็.. ”
อีลมีเซ่ สบถพลางกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ ขณะที่ยังคงจับตาดูเครื่องค้นหาอยู่ นั้นเอง
เอียน ก็เข้ามาในห้อง พร้อมกับประแจ ในมือ

“ แย่แล้วล่ะ..เพราะ ตะกี้ตอนถอยยาน ออกจาก แนวรบกาบเรือขวา โดนยิงร้าวไปถึง อิออนไดร์ฟ เลย
ความเร็วช่วงยานเลยเร่งเพิ่มไม่ได้จนกว่าจะซ่อม ล่ะนะ ”
เอียน รายงานความเสีย หายที่เกิดขึ้น ทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ตึงเครียดขึ้นยิ่งกว่าเดิม

“ นี่มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย.. ”
เอลิซ่า เปรยอย่างหน่ายพลางยกมือปิดหน้าอย่างสลด

“ เฮ้อ..กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้วสินะ ทีนี้จะเอาไงดีล่ะเนี่ย ”
เอลิซ่า เปรยขณะที่มอง สภาพการณ์ การรบในขณะนี้ที่วุ่นวายกันไปหมดไหนจะเรื่องของ Dragoon
กองทัพ จากอาณนิคมอื่นๆ แล้วยังมีอัศวินมังกรแท้ มาเพิ่มอีกตน

…………….
…………………..

“ Reflextion ”
สิ้นเสียง ไรด์ ก็ยกโล่ที่แขนซ้าย ขึ้นมาก่อนที่ตัว โล่ จะสร้างกำแพงแสงขนาดเล็กขึ้นมาสะท้อนการโจมตี
ของ พวกมังกรไฟ กลับไป

“ แย่ล่ะ Albus โดนล้อมไว้แล้ว พวกเราถอยก่อน.. ”
เอมิล สั่งทันทีที่มองขึ้นไปและเห็น กองทัพบนน่านฟ้ากำลังปิดล้อมยาน Albus เอาไว้

“ แต่ว่า เฟนท์ ยังไม่กลับออกมาเลยนะ แล้วนี่ก็ยังติดต่อไม่ได้เลยด้วย ”
ซาน แย้งขึ้นขณะที่พยายาม ติดต่อไปหา เฟนท์ มาร่วม ชั่วโมงแล้ว แต่ก็ไม่มีการตอบกลับมาแต่อย่างใด

“ ชิ..งั้น ไรด์ ไปกับ ซาน ซะเข้าไปช่วย เฟนท์ แล้วทำภารกิจต่อ ชั้นจะเปิดทางให้แล้วจากนั้น
จะกลับไปที่ยานตกลงนะ ”
เอมิล ชี้แจงเสร็จ ก็นำ กลุ่มลงมา ยังหน้าอาคารอีกครั้ง ก่อนที่พวกเค้าทั้งสามจะช่วยกัน ตีฝ่า และส่ง
ทั้งสองคนเข้าไป

“ Mirror Guard ”
สิ้นเสียง เอมิล ก็สร้าง กำแพงป้องกันขึ้นมาสกัดการโจมตี และกั้นพวกทหารออกไป
ก่อนจะยก หอกเกฮาน่า ขึ้นแล้วรวมประจุยิงทำลายเพดานทางเข้าจนถล่มลงมาเพื่อ ไม่ให้ใครตามเข้าไปได้
แล้วจึงถอยกลับขึ้นไปที่ยาน อย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกัน ยาน Albus จากกองกำลังต้านอากาศยานในตอนนี้

…………….
……………………

ภายในห้องประชุม ที่ตอนนี้การประชันกันระหว่าง ราฟ กับ ทาลิคนัส ยังคงเป็นไปอย่างดุเดือด
ทว่า ทาลิคนัส เองกลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบทั้งที่ มีทาลิเลีย คอยช่วยแต่ อีกฝ่ายกลับเป็น อมตะ ไม่เจ็บไม่ตาย
จนแม้ เรียก มังกร นิมินโคออน มาช่วยก็ยังไม่อาจทำอันตรายใดๆให้แก่ ราฟ ได้

“ แฮ่ก…..เจ้านี่ มันทนทายาทจริงๆ..ขืนปล่อยไว้สู้ไปก็รังแต่จะ เสียแรงเปล่า…แฮ่ก ”
ทาลิคนัส สบถไปหอบไปอย่างเหนื่อยล้า จากการที่ สู้กันมาร่วม หลายสิบนาที

“ เฮ้อ..นั่นสินะ..นั่นสิ ถ้ายังสู้กันไปแบบนี้ยังไงชั้นก็ชนะแหงอย่างนี้ก็
น่าเบื่อแย่เลยงั้นมาลองทำอะไรสนุกๆคลายเบื่อกันหน่อยไหม ”
ราฟ กล่าวพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะควงเคียวเสียหนึ่งรอบ แล้วตวัดคลื่นแสง ไปยังกลุ่มคนที่อยู่รอบๆ
ท่ามกลางสายตา ตกตะลึง ของทุกคนแม้แต่ ทาลิคนัส และ ทาลิเลีย เองก็ตกใจไม่แพ้กัน
เมื่อการกระทำที่คาดไม่ถึง ของ ราฟ ในตอนนี้ได้ปลิดชีพ ผู้นำ ส่วนหนึ่งของ อาณานิคม ในเทอร่าไปแล้ว

“ มาเล่นอะไรคลายเครียดกันดีกว่า ชั้นจะฆ่าคนในห้องนี้ไปเรื่อยๆโดยจะเก็บพวกแกเอาไว้ท้ายสุด
พวกแกจะหยุดชั้นได้ไหม…ว่าไงล่ะมันน่าสนุกดีนี่เน้อ ฮ่าๆๆๆ ”
ราฟ กล่าวอย่างลิงโลด ก่อนจะพุ่งเข้าหา กลุ่มคนที่ไร้ทางสู้แทน

“ ไอ้บ้านั่น..หยุดนะ ”
ทาลิคนัส สบถด้วยความฉุนเฉียว ขณะที่ตามไปเพื่อจะหยุด ราฟ เอาไว้

“ ถ้าอยากให้หยุดก็หยุดชั้นให้ได้ซะซี่ ฮ่าๆๆ ”
ราฟ กล่าวหน้าระรื่น พลางตวัดเคียวไล่ฆ่า คนไปทีละคน ท่ามกลางฝูงชนในห้องที่พากันหนีตายจ้าระหวั่น

“ ไม่ให้หนีหรอกน่า ”
ราฟ สบถ ก่อนจะตวัดเคียวในมือสร้างคลื่นทำลายเพดานประตูจน
ถล่มลงมาปิดทับประตูทางออกและผู้คน ที่แห่กันไปออ อยู่หน้าประตู

“ ฮ่าๆๆๆ อย่างนี้สิการฆ่ามันถึงได้สนุกไงล่า ฮ่าๆๆ ”
ราฟ ตะโกนไปอย่างลิงโลดพลางตวัดเคียว กระชากร่างของ ผู้ร่วมงานขึ้นมา
อย่างสะใจ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและเสียงร้องขอชีวิต ที่ดังระงมไปทั้งห้อง

“ มาเรีย..มาเรีย..น้องอยู่ไหนน่ะ..มาเรีย ”
ลูเทเซีย ที่ไหลไปกับฝูงชน พยายามควานหาตัวน้องสาว ของตนด้วยใจทีหวั่นไหวอยู่ไม่น้อย
ว่าเธออาจจะถูกสังหารไปแล้ว

“ ท่านพี่คะ..ท่านพี่ ”
มาเรียลูซ ตะโกนเรียก อยู่หลายครั้งแต่เธอก็ได้ยินแต่เพียง เสียงของพี่ชายเธอที่ดังแว่วมากับ
ฝูงชนในห้องที่วิ่งหนีการไล่ล่าของ ราฟ เท่านั้น

“ หนอยนี่แก..หยุดนะเฟ้ย..ชั้นบอกให้หยุดไงล่ะเจ้าบ้า ”
ทาลิคนัส ที่ได้แต่ตะโกนไล่หลัง ราฟ ที่พุ่งตัวนำเค้าไปอย่างรวดเร็ว
โดยที่ต้องทนมองผู้คนถูก สังหารไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้

“ บอกให้ หยุดไงล่ะโว้ย ”
ทาลิคนัส สบถออกมาอย่างเหลือทน ก่อนจะพุ่งตัวอย่างรวดเร็ว เข้าไปดักหน้า ราฟ
ในทันที แต่ก็ถูกคลื่นทำลาย ที่เคียวของ ราฟ สร้างขึ้นมาอัดจนไปกระแทกกับพื้นข้างๆ

ที่ มาเรียลูซ ยืนอยู่จนทะลลงไปยังห้องชั้นล่างของ อาคาร แรงสะเทือนทำให้ มาเรียลูซ
 เสียหลักจนตกลงไปใน หลุมด้วยกันกับ ทาลิคนัส   



« Last Edit: April 07, 2009, 04:07:07 AM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #79 on: April 06, 2009, 07:09:03 PM »

“ อ้าวๆ…เสร็จไปหนึ่งแล้วรึเนี่ยหว้าหมดสนุกเลย ”
ราฟ เปรยด้วยท่าทีเซ็งๆ ขณะที่ ผู้นในห้องยังคงพากันวิ่งหนีไป ยังทางออกสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่
นั่นคือประตูหลังเวที ที่จะเชื่อมไปยังห้องนักแสดงและเชื่อมต่ออกไปยัง ประตูหลัง

ทว่าทันทีที่ผู้คนส่วนมากในห้องไปออกันที่ประตู ราฟ ก็ยกแท่งพลาสติกสีดำซึ่งมีปุ่มกดสีแดง
อยู่ปุ่มเดียว บนหัวของแท่ง ก่อนที่จะกดมันลงไป ผลันประตูหลังเวที ก็เกิดระเบิดขึ้น

พร้อมกับที่ ราฟ รีบอาศัยจังหวะที่ ระเบิด ยังระเบิดไม่เต็มที่ อัดคลื่นกระแทก ฝูงชนที่อยู่ด้านหลัง
 เข้าไปร่วมผสมวง
ระเบิดจนถูกระเบิดตายไปกันหมด ท่ามกลางสายตาของผู้อยู่ในเหตุการณ์ ที่เหลืออีกแค่ไม่กี่คน
 
“ ฮ่าๆๆๆ..ฮะๆๆ..นี่สิ..มันต้องอย่างนี้สิ..ฮะๆๆ..เข้าไปตูมกันซะให้หมด..โฮะๆๆ..ฮะๆๆ..
แบบนี้สิเค้าถึงจะเรียกว่าสังหารหมู่น่ะ..ฮะๆๆ ”
ราฟ หัวเราะอย่างสะใจขณะที่ มองการังหารของเค้า อย่างสนุกสนานราวกับเป็นการละเล่น

“ นี่แก…เห็นชีวิตคนเป็นอะไรกัน ”
ลูเทเซีย สบถพลางกำมือแน่นจนข้อมือซีดอย่างเห็นได้ชัด

“ ช่วยไม่ได้แหะ…แต่เห็นทีจะปล่อยเอาไว้เฉยๆไม่ได้ซะล่ะมั้ง ”
คางุยะ เปรยก่อนที่ ดวงตาซ้ายของเธอจะปรากฏสัญลักษณ์ของผู้มี Genesis ขึ้นมา
พร้อมกับที่ทุกๆอย่างในห้องหยุดการเคลื่อนไหว ในทันทีโดยที่ ด้านนอกนั้นยังคงสู้รบกันอยู่

“ เอาล่ะเท่านี้ก็รอให้ สุซาคุ เอา Calibur เข้ามาช่วยแล้วก็…หะ ”
คางุยะ เปรยด้วยท่าทีสบายใจก่อนจะต้อง ผงะไปเมื่อ ราฟ เท่านั้น ที่ไม่ได้หยุดนิ่ง
ไปเหมือนกับคนอื่นๆ แล้วยังง้างคมเคียวขึ้นเต็มที่หมายจะฟันเธอให้ขาดสองท่อน

“ น่าเบื่อ..มากเธอเนี่ยทำให้การฆ่าของชั้นหมดสนุกไปเลย…ขอเชิญไปก่อนเลยละกัน ”
ราฟ กล่าว ก่อนจะตวัดเคียว ลงทันที

“  ได้ไง..ก็ชั้นใช้ Genesis หยุดเว…ลา”
คางุยะ กล่าวไปพร้อมๆกับที่ คมเคียวตวัดผ่าร่างของเธอจน ขาดท่อนในที่สุด
ก่อนที่เวลาในห้องจะกลับมาเดินอีกครั้ง พร้อมกับ โลหิตที่พุ่งกระจายออกมาเต็มพื้นห้อง
และเสียงหัวเราะอย่างสุขใจของ ราฟ อีกครั้ง

“ เอาล่ะต่อไปก็ตาพระองค์ล่ะนะ ลูเทเซีย วี บริทเทเนอร์ มาสังเวยให้แก่คมเคียวของชั้นเถอะ
 มันคงจะสนุกมากเลยนะ ”
ราฟ กล่าวพลางแสยะยิ้มด้วยความกระหาย ขณะที่ ทาลิเลีย เอาแต่นั่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้อง

“ ใช่…มันต้องสนุกแน่ๆ ”
ลูเทเซีย ย้อนทำเอา ราฟ นิ่งอึ้งไปกับท่าทีของเค้า ก่อนที่เพดานจะถล่มลงมาอีกครั้งใหญ่
จนเพดานห้องเป็นรูโหว่ ขึ้นไปตั้งแต่ชั้นดาดฟ้า ทำให้ตอนนี้ เพดานอาคารเปิดโล่งจนถึง
ข้างบน พร้อมกับที่ตัวการ การถล่มในครั้งนี้ได้เข้ามาในห้องแล้ว

“ มาช้านะ สุซาคุ ”
ลูเทเซีย กล่าวอย่างเยือกเย็น ขณะที่เดิน เข้าไปยังกลุ่มหมอกฝุ่นที่ฝุ้งกระจายซึ่งกำลังค่อยๆจางลง
ร่างของ Calibur ได้ปรากฏ ขึ้นต่อสายตาของ ราฟ

“ ในนามของ ลูเทเซีย วี บริทเทเนอร์ ข้าขอบัญชา คุรูรูกิ สุซาคุ จงสังหาร Valkyrier นั่นซะ ”
ลูทเซีย สั่งพลางชี้หน้า ราฟ ไปด้วย

“ Yes Your Majesty ”
เสียงตอบกลับของ สุซาคุ ดังขึ้นจาก ตัว Calibur ก่อนที่ปากของตัวหุ่นจะเปิดอ้าออก พร้อมกับ
ลำกล้องปืนกลที่ปรากฏอยู่ในปากของมัน ก่อนจะกราดยิง อย่างไม่ปราณี

………………
……………………..

ร้านเค้ก Happy Materia

“ ยินดีต้อนรับค่า ”
พี่สาวของ เรกกะ กล่าวเมื่อประตูร้านเปิดขึ้นขณะที่เธอกำลัง จัดวางจานบนเคาเตอร์
 แต่แล้วเธอก็ต้อง นิ่งไปเมื่อได้เห็นตัวตนของผู้ที่เข้ามา
….
เพล้งงงง!

เสียงดังขึ้นพร้อมกับเศษจานที่แตกละเอียดที่ถูกทิ้งไว้บนพื้น และประตูร้านที่เปิดคาเอาไว้
แต่ทว่าไม่มีใครอยู่ในร้านอีกแล้ว ก่อนที่ลมจะพัดประตูปิดไป

…………..
…………………..

ณ ห้องในอาคารถัดลงสองชั้นล่างของห้องประชุม ซึ่งเป็น ห้องจัดงานที่ไม่ได้ถูกใช้งาน จึงมีสภาพโทรมๆ
และปิดไฟมืดอยู่ตลอดเวลา บัดนี้มีเพียงแสง จากห้องจัดงานชั้นบน ที่กำลังมีการนองเลือดกันอยู่เท่านั้นที่
ส่องลงมาในนี้

“ อ…อูย…ที่นี่ที่ไหนกัน…จำได้ว่าเราตกลงมาจากข้างบนนี่นา.. ” 
มาเรียลูซ ครางพลางยกตัวขึ้นจากสภาพที่นอนคว่ำอยู่ ก่อนจะทอดสายตาที่เริ่มชินกับความมืดมองไปรอบๆ
ก่อนจะมองขึ้นไปยังรูโหว่ด้านบน ทีมีเสียงเอะอะดังแว่วลง มาจาก ชั้นบนขึ้นไปสองชั้น

“ ที่นี่มัน ห้องจัดงานเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วนี่..แล้วนี่เราตกลงมานี่ได้ยังไงกัน…เอ๋..ว้ายย ”
มาเรียลูซ เปรยอย่าง งงๆก่อนที่มือของเธอจะไปสะดุด เข้ากับอะไรบางอย่างเมื่อหันไปมองเธอก็ต้อง
กรีดร้องออกมาด้วยความสะดุ้ง เพราะเธอนั่งทับอยู่บนตัวของ ทาลิคนัส ขณะเดียวกันเธอก็นึกออกในทันที

ว่าช่วงที่เธอพลัดตกลงมากับ ทาลิคนัส ด้วยนั้น ขณะที่จะตกลงมากระแทกับพื้นของชั้นถัดมานั้น ทาลิคนัส ก็
ก็เข้าโอบตัวของเธอไว้ เพื่อปกป้องไม่ให้ เธอกระแทกเข้ากับพื้น
ก่อนจะทะลุลงมาอีกชั้น แล้วเธอกับเค้าก็สลบไปด้วยกัน

“ จะว่าไปแล้ว..เราเองก็เพิ่งจะเคยเจอกับ Dragoon ตรงๆก็ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยนี่..ถึงก่อนนี้เค้าจะเคยช่วยเรามาแล้วก็เถอะแต่นั่นก็มีแต่รายงานที่ คนอื่นชี้แจงมาเท่านั้นเอง ตัวเราไม่เคยได้ใกล้ชิดกับเค้ามาก่อนเลยซักครั้ง ”
มาเรียลูซ คิดก่อนจะต้องสะดุ้งอีกหน เมื่อร่างของ ทาลิคนัส เริ่มสลายกลับไปเป็น เรกกะ ในคราบ Dragoon
ทำให้เธอตกใจสะดุ้ง จนต้องถอยผละออกจากตัวของเค้า ก่อนจะคลานเข้ามาดูใกล้ๆด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีกหน

“ จะว่าไปแล้ว ตัวจริงของ Dragoon เป็นใครกันนะ ”
มาเรียลูซ คิดแต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ทำอะไรต่อ หน้ากาก ของ Dragoon ก็ขยับหลุดออกมาเอง
และทำให้เธอต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อได้เห็นโฉมหน้าตัวจริงของ Dragoon

“ เด็กคนนี้เมื่อตอนนั้นนี่ ”
มาเรียลูซ อุทานขณะที่มองสำรวจใบหน้าของ เรกกะ ก่อนจะดึงเอาคอเสื้อที่คาดช่วงล่างของ ใบหน้าลง
ครั้นเมื่อได้เห็นใบหน้าเต็มๆของ เรกกะ เธอจึงมั่นใจว่าใช่ เด็กที่เธอเจอ ที่ท่าเรือ บาร์ซิงเซย์
ความจริงตรงนี้แม้เธอจะเคยคาดคิดเอาไว้แต่ก็ไม่นึกว่า จะเป็นจริงทำให้ตัวเธอตอนนี้ทำอะไรไม่ถูกไปทันที

“ อุ…อา ”
เรกกะ เปรยเสียงแผ่วก่อนจะขยับตัวเล็กน้อย ขณะที่มาเรียลุซ นั้นไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนดี เมื่อ เรกกะ ฟื้นขึ้นมา

“ ที่นี่มัน…อ้าวนี่คุณเมื่อตอนนั้น… ”
เรกกะ เปรยอย่างมึนๆ ก่อนที่จะฉุกคิดได้ เค้าเอามือแตะ ใบหน้าทันที ด้วยความร้อนรน
ก่อนจะหันไปมาและก้มลงไปเก็บหน้ากากขึ้นมาอย่างเร่งรีบ แต่ก็ต้องชะงักไป
เมื่อรู้สึกว่า คุ้นหน้าของ เธออยู่ เลยหันกลับมามองเธออีกครั้ง

“ เธอ…ม..ไม่สิ ท่านคือ… ”
เรกกะ เปรยดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ มาเรียลูซ รู้แล้วว่าฐานะของตนคงถูกเปิดเผยแล้ว
จึงไม่คิดปกปิดต่อไป

“ ใช่ฉันคือ..มาเรียลูซ ลี บริทเทเนอร์ อดีตเจ้าหญิง ลำดับที่ 3 แห่งบริทเทเนอร์
 แต่ตอนนี้ฉันคือ มาเรียลูซ ผู้สำเร็จราชการแห่งโลกอส ”
มาเรียลูซ กล่าวพร้อมกับยืนขึ้นเพื่อให้สมเกรียติ

“ การที่พระองค์ ทรงเปิดเผยฐานะให้กระหม่อนได้รับรู้ ก็แสดงว่าพระองค์
ทรงมีพระประสงค์ใดจะให้กระหม่อมรับใช้สินะฝ่าบาท ”
เรกกะกล่าวพลางคว้าเอาหน้ากาก ขึ้นมาและลุกขึ้นก่อนจะ ดึงคอเสื้อที่คาดปากขึ้นมาคาดเหมือนเดิม

“ ถูกต้องเรามีเรื่องต้องการจะขอร้อง…สงครามกับ Empyrean Adjust น่ะยกเลิกมันไปจะได้ไหม ”
มาเรียลูซ กล่าวพลางสบตาของเขาเพื่อมองลึกลงไปในดวงตาในจิตใจ

“ ถ้าผมขึ้นไปบอกให้พวกเค้าลืมสิ่งที่ผมพูด แล้วจะทำยังไงต่อ…คิดว่าจะมีใครยอมเชื่องั้นเหรอ การปฏิวัติน่ะ
มันเริ่มไปตั้งนานแล้วและก็จะถอยกลับไม่ได้อีกแล้วด้วย ”
เรกกะ ยืนยันหนักแน่นในความคิดของเค้า

“ ไม่จริงเลย..ถ้าเป็นตอนนี้ยังทันนะ…สงครามจะทำให้มีการนองเลือดผู้คนจะต้องสังเวยชีวิตกันอีกมาก
แทนที่จะทำสงครามถ้าเรายอมเจรจา… ”
มาเรียลูซ พยายามจะโน้มน้าวใจของเค้าทว่ายังไม่ทันที่ ตรัสเสร็จสิ้น เรกกะ ก็แทรกขึ้นมาทันที

“ คิดอย่างนั้นจริงรึ…องค์หญิง ”
เรกกะ ถามขึ้นทำให้ มาเรียลูซ โต้ไม่ออก

“ แล้วที่เป็นอยู่ตอนนี้ล่ะ..การนองเลือดก็มีอยู่มากมาย เพราะ Empyrean Adjust
คิดว่าการเจรจาจะช่วยได้อย่างนั้นรึ ป่านนี้แล้วไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอก องค์หญิง ที่แล้วมาตั้งแต่
อดีต มนุษย์ไม่เคยมีการเจรจาเพื่อสันติอย่างแท้จริงมีแต่สงครามเท่านั้นที่จะสร้างข้อยุติ เพราะแบบนั้น ถึงต้องใช้สงคราม เพื่อยุติสงคราม นี่ล่ะวิธีการของพวกมัน Empyrean Adjust หากเรายอมจำนน นั้นก็เท่ากับ ได้ย่างก้าว
ลงไปสู่หุบเหวแห่งประวัติศาสตร์แล้ว  ”

เรกกะ กล่าวน้ำเสียงเด็ดขาด

“ ไม่ว่ายังไงก็ต้องสู้กันอย่างนั้นเหรอ ต้องรบกันให้ต้องหลั่งเลือดกันให้รดแผ่นดินอีกเท่า
ไหร่ถึงจะพอ แบบนั้นน่ะสร้างสันติไม่ได้หรอก  ”
มาเรียลูซ แย้งทั้งๆหยาดน้ำตาที่ไหลรินอาบใบหน้า ทำให้ เรกกะ ต้องชะงักไป
แต่ตอนนี้ ตัวเค้าเองก็ไม่อาจถอยได้อีกแล้ว

“ ขออภัยด้วยฝ่าบาทแต่กระหม่อมคงมิอาจ ทำตามที่พระองค์ทรงมีรับสั่งได้ ”
เรกกะ กล่าวก่อนที่ดวงตาซ้ายจะ ทอแสงสีขาวขึ้น ไพ่ ขึ้นมาจากตลับ ทำให้ตอนนี้เหลือไพ่ในตลับ
เพียง 80 ใบเท่านั้น

“ แล้วก็…จากนี้ไปหากองค์หญิงจะทรงไม่อภัยที่กระหม่อมฝืนคำสั่งเช่นนี้ ก็ขอให้พระองค์ทรงรับรู้ไว้ด้วย….
ที่กระหม่อมขัดพระบัญชามิได้เป็นเพราะรังเกลียดพระองค์ หากเป็นเพราะกระหม่อม อยากปกป้องพระองค์ให้ถึงที่สุดเพื่อตอบแทนที่พระองค์ทรงดูแลราษฎรชาวเมอริเซียทุกคน รวมถึงกระหม่อมด้วย… ”

เรกกะ กล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะสวมหน้ากาก แล้วจึงนำไพ่ที่มีตราแห่งแสง ไปบนหน้าปัด

“ Luminar Form ”
เสียงดังขึ้นจากหน้าปัดสายคาด ทว่าก่อนที่ เรกกะ จะเอามือที่ยืนไปนั้นกดลงไปบนไพ่ เค้าได้เงยหน้าขึ้นมามอง
มาเรียลูซ อีกครั้ง ซ฿่งน้ำตายังคงไหลรินอยู่ที่ใบหน้าของเธอ

“ พระพักต์ของพระองค์ทรงไม่เหมาะกับน้ำพระเนตรหรอก…
นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่กระหม่อมจะได้พบกับพระองค์ ”    “ Regeneration ”
เรกกะ กล่าวจบก็กดไพ่ลงไปบนหน้าปัดก่อนที่จะเปลี่ยนร่างเป็น ทาลูคัส โดยที่จิตสำนึกนั้นยังคงเป็นของตัวเองจน
เมื่อเปลี่ยนร่างสมบรูณ์ ทาลูคัส จึงเข้าครอบครองจิตดดยสมบรูณ์แทน
ก่อนจะสยายปีกบินกลับขึ้นไปด้านบน ทิ้งให้ มาเรียลูซ ยืนมองเค้าหายลับไปจากสายตา

“ ทำไมกัน…..ทำไมถึงต้องรบราฆ่าฟันกันนี่คือประสงค์ของสวรรค์งั้นหรือ…เช่นนั้นแล้วมนุษย์ก็ไม่อาจก้าวข้ามประวัติศาสตร์ไปสู่วันพรุ่งนี้ได้หรอก…. ”
มาเรียลูซ กล่าวก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่า สายตามองตรงขึ้นไปยังแสงสว่างที่ปลายทางของ
ช่องโหว่บนเพดาน มือสองข้างประคบกันเพื่อราวกับจะวิงวอนขอพระเมตตาจากสวรรค์
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นมีเพียงความเงียบสงัด ท่ามกลางแสงสว่างที่สาดส่องลงมาไม่ทั่วถึง

เป็นดั่ง ยุคมืดที่ต้องขวนขวายกันขึ้นสู่จุดยอด เพื่อไขว่คว้าแสงแห่งอนาคต แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใคร
ได้มันไปแม้แต่คนเดียว

………………..
……………………….

“ เดินระบบ Moblie Gazor เปลี่ยนเป็น Gazor Mode ”
สิ้นเสียงของ สุซาคุ หน้าปัดบนแผงควบคุมก็แสดงตัวอักษรไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ

General System
Unit Only Drive
Navigator System-On
Device all Green
Ampare Power
Moblie Gazor XI Calibur Dark Steel Guardian Mode



ทันทีที่อักษรขึ้นครบทั้งหมด Calibur ก็ทำการเปลี่ยนรูป ประกอบชิ้นส่วนต่างๆใหม่ และกลายเป็นรูปแบบ Dark Steel Guardian เหมือน กับ Lancelot ไม่มีผิดทว่ามีการติดตั้งอุปกรณ์เสริมเข้าไปเพิ่มทำให้สามารถ ลอยตัวอยู่กลางอากาศ
โดยมีประจุละออง คล้ายกับประจุอิออน ห่อหุ้มซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่พวก Valkyrier ใช้ในการทรงตัวกลางอากาศ

“ ดูท่าจะไม่สนุกซะแล้วสิน้า.. ”
ลูเทเซีย กล่าวยุแหย่ใส่ เมื่อเห็น ราฟ ที่เมื่อครู่ยัง ตีสีหน้าสนุกกับการฆ่า ที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นตกตะลึง

“ เจ้านี่…ปล่อยอนุภาค อิออน ได้ด้วย…หนอยนี่มันไม่ใช่อย่างตกลงกันไว้นี่หว่า ”
ราฟ คิดขณะที่กระชับ เคียวในมือแน่นตอนนี้ความรู้สึกของเค้าเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว

“ ไม่ใช่อย่างที่ตกลงกันไว้…อย่างนี้เองแสดงว่า ไอ้การที่เราค้นคว้าแล้วนำเอาประจุแบบเดียวกับพวกแกมาใช้เนี่ย
มันคงน่าตกใจมากสินะ ”
ลูเทเซีย กล่าวโดยที่ตอนนี้ดวงตาข้างซ้าย แสดงสัญลักษณ์ Genesis ขึ้นบนดวงตา ซึ่งนั่นหมายความว่า
ตอนนี้เค้ากำลังอ่านใจของ ราฟ อยู่

“ แกเองก็มีพลังอ่านใจเหมือนกันเหรอ…หึๆ เหมือนกันเลยนะ แต่แบบนี้ก็เท่ากับว่าไม่มีใครโกหกใครได้สินะ….นายน่ะมันเจ้าเล่ห์…คิดจะใช้ทั้งพวกเรา ทั้ง Dragoon ทั้งโลกอสเป็นเครื่องมืองั้นเหรอ…
หึสกปรกซะจนชั้นต้องยอมรับ แต่เอาเถอะจะปล่อยแกไปก่อน… ”
 ราฟ กล่าวจบก็เร่งประจุให้ครอบคลุมร่างไว้ก่อนจะ พุ่งทะยานหนีไปอย่างรวดเร็ว

“ ไม่ต้องตามไป…สุซาคุ ออกไปจัดการกับพวกที่เหลือข้างนอกก่อน ”
ลูเทเซีย ปรามไว้เมื่อเห็นว่า Calibur กำลังจะตามขึ้นไป

“ Yes Your Majesty ”
สุซาคุ รับคำเสร็จ ก็บังคับ Calibur ออกไปด้านนอกอาคาร ขณะเดียวกัน
เรกกะ ทาลูคัส ก็ได้ทะยานผ่านขึ้นไป ยังช่องเพดานด้านบน เพื่อตรงเข้าสู่สนามรบด้วยเช่นกัน

“ ไปกันหมดแบบนี้ ฉันก็โดนทิ้งน่ะสิ ”
R2 กล่าวอย่างเซง ก่อนจะ บินตามขึ้นไป ทิ้งให้ ลูเทเซีย และบรรดาผู้เข้าประชุมที่ยังเหลือรอดอยู่ส่วนหนึ่ง
ไว้ในห้อง

“ นี่มันอะไรกัน..พวกมันยังไม่ยอมมาอีกงั้นเหรอ ทั้งที่นี่เป็นงานใหญ่ที่จะมีโอกาสเก็บกวาดไปทั้ง Empyrean Adjust เทอร่าแล้วยัง พวกเราอีก… ”
ลูเทเซีย คิดก่อนที่ไม่นานจะเกิดแรงสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง วินาทีนี้ ลูเทเซีย ไม่คิดอันใดอีกแล้วนอกจาก
การออกไปจากห้องนี้ หลังจากหันไปมาประตูทางเข้าถูกทำลายหมด แต่ยังเหลือ บันไดหนีไฟ
ที่ประตูถูกล็อตเอาไว้แต่ตอนนี้ บานประตูก็พังยับเยินจนหลุดออกจากผนังแล้ว เค้าจึงใช้เส้นทางนั้นหนีออกมา
พร้อมกับ บรรดาผู้นำคนอื่นๆ

“ จริงสิ แล้ว มาเรีย ล่ะ ”
ลูเทเซีย คิดขณะที่วิ่งลงไปตามบันไดซึ่งทอดยาวลงไปจนถึงชั้นล่าง และเมื่อลงมาถึงชั้นที่ มาเรียลูซ ตกลงมา
เธอก็ได้มารออยู่ก่อนแล้ว

“ ท่านพี่คะ แรงสะเทือนเมื่อกี้มัน ”
มาเรียลูซ ถามขึ้นทันทีที่ได้พบ พี่ชาย ขณะที่คนอื่น พากันรีบวิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อหนีออกจากอาคาร

“ พวกมันแน่ๆ แต่ตอนนี้เราต้องรีบหนีออกจากที่นี่ก่อนที่ตึกจะถล่ม ”
ลูเทเซีย กล่าวจบก็จูงมือน้องสาวลงไปตามบันได และออกมาได้ทัน ก่อนที่ อาคารจะถล่ม


………….
………………..

“ ซาน เราต้องออกจากที่นี่แล้ว อีกประเดี๋ยวมันคงจะถล่มลงมาหมดแน่ ”
ไรด์ กล่าวกับ ซานที่ ตามกันเข้ามาหาตัว เฟนท์ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่พบ

“ ต…แต่ว่าเรายังไม่เจอ เฟนท์ เลยนะ ”
ซาน แย้งทว่า ตอนนี้ตัวอาคารเองก็ค่อยพังทลายลงมาแล้ว ไรด์ จึงตัดสินใจทำลายผนังจนโหว่เป็นช่องทาง แล้ว ลากเธอหนีออกมาทันที ก่อนที่ ซากอาคารจะถล่มลงมา

“ เฟนท์…. ”
ซาน เปรยเสียงแผ่วด้วยความสิ้นหวัง น้องชายคงจากเธอไปอย่างถาวรแล้ว

“ ตอนนี้อาคารถล่มลงมาหมดแล้ว แต่ยังหาตัว เฟนท์ ไม่เจอเลยจะให้ทำยังไงต่อ… ”
ไรด์ ที่กำลังรายงานกลับไปยังยาน Albus ด้วย Terminal Crisis ต้องสะดุดไปเพราะ
มีแท่งผลึกน้ำแข็ง อันแหลมคม พุ่งตัดหน้าเค้าไป และเฉี่ยวจนเกิดแผลเล็กๆขึ้นที่ใบหน้าที่ถูกเฉี่ยวไป โลหิตสีแดงค่อยซึมออกมาจากบาดแผลนั้น

“ นั่น…ใครกัน ”
ซาน เปรยขณะที่เธอและ ไรด์ จ้องไปยังผู้ที่จู่โจมใส่เมื่อครู่ ซึ่งก็คือ อัศวินเฟิร์นกอลโลเอี่ยน ที่ปรากฏตัวออกมา
จัดการกับ ปีศาจ ที่เรียกว่า อาคูม่า ในทุกครั้ง

“ เลือดสีแดงไม่ใช่ อาคูม่า งั้นเหรอ แล้วทำไม… ”
อัศวินเฟิร์นกอลโลเอี่ยน เปรยเสียงเรียบก่อนจะ ชะงักไปเพราะ พื้นดินบริเวณ รอบอาคาร
เริ่มทรุดตัวลงก่อนที่ จะเกิดพายุทรายขึนอย่างกระทันหัน ท่ามกลางความสับสนอลหม่านของ

สนามรบที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว บัดนี้ มังกร เอซซาไลซ ที่เคยสร้างพายุทราบขึ้นมากลางเมืองได้ปรากฏตัวขึ้น
จากซากอาคารนับสิบ ตัวอีกทั้ง  มารที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์งู ฟุเซนอาคูม่า (Fuzen Akuma) ที่เคยถูจัดการไปตอน
การจลาจลในโรงเรียนก็ โผล่ออกมามากมายนับไม่ถ้วน



“ อย่างนี้เองหรอกรึ..พวกมันเฝ้ามองหาโอกาสที่จะเข้ามาแทรกกลางงานตั้งแต่แรกแล้วสินะ ”
อัศวินเฟิร์นกอลโลเอี่ยน(จากนี้จะย่อเป็น Knight FD นะครับ ชื่อมันยาว) กล่าวก่อนจะพละตัวออกไปจาก พวก ไรด์ ที่กำลัง ถูกใจกลางพายุทรายที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ใต้ซากอาคาร



“ พายุนี่มันอะไรกัน… ”
ไรด์ สบถขณะที่ เอาชูริเคน ปักลงไปเพื่อยึดเกาะกับพื้นไม่ให้ปลิวไปกับแรงดูด
ขณะที่อีกมือก็ดึงแขนของ ซาน เอาไว้ไม่ให้ถูกดูดลงไปด้วย


Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #80 on: April 06, 2009, 07:09:19 PM »

“ เจ้าพวก โซด่อม เผยตัวออกมาแล้วงั้นเรอะ ”
ลอว์เรนซ์ ในร่าง ทาลูคัส สบถ ขณะที่ ตวัดดาบปัด พัดเหล็กของ หลีเมย่ ที่ควงบินเข้ามาหา
ก่อนจะหักหลบ ลำแสงจูโจม ของ Keen Bit ที่บุกเข้ามาพร้อมกับสามอัน

“ หนีไม่พ้นหรอกน่า เจ้าอัศวินมังกร ”
หลีเม่ย กล่าวพร้อมกับรับพัด ที่คว้างไปกลับมา ก่อนจะสั่งให้ Crimson Bit พุ่งเข้าหา
แต่ ลอว์เรนซ์ ก็ตวัดดาบปัดโต้ไป ก่อนจะหยิบเอาไพ่ แสลช (Slash)ขึ้น รูดลงไปบนดาบ

“ Slash ”
เสียงดังขึ้นจากตัวดาบก่อนที่ ลอว์เรนซ์ จะพุ่งเข้าประชิดตัว หลีเมย่ อย่างรวดเร็ว

“ Lux et Dragos ”
สิ้นเสียง ลอว์เรนซ์ ก็เงื้อดาบขึ้น คมดาบได้ทอประกายแสงขึ้นราวกับคมดาบเรืองแสงได้
ทว่า หลีเมย่ ก็ยกพัดเหล็กประดาบเอาไว้ก่อนจะ ผลักตัวออกห่าง แล้วให้ Bit ทั้งหมดเข้าไปจู่โจม

ทว่า ทันทีที่ ลอว์เรนซ์ ตวัดดาบไป ประกายแสงก็ได้ทอดออกจากคมดาบกลาย
เป็นคลื่นพลังออกไปตัดทำลาย Bit ทั้งหมด

“ ขอบอกไว้ก่อนเลยชั้นน่ะเก่งระดับเทพนะจะบอกให้ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบ ก็เอาไพ่ เอเนอจี้(Energy) ขึ้นมาก่อนจะรูดมันลงไปบนคมดาบ

“ Energy ”
สิ้นเสียง ก็เกิดกำแพงแสงขึ้นหกแผ่นก่อนที่ บรรดามังกรทั้งหกจะโผล่ออกมากันหมด
และรุมจูโจ่ม จน หลีเมย่ ที่กางเกราะประจุอิออน กันเอาไว้ กระเด็นไม่เป็นท่า

แต่แล้ว ก็มีคนมารับตัวเธอไว้ และยังไม่ทันที่ ลอว์เรนซ์ จะได้ขยับทำอะไรต่อ ก็มีศรลำแสงพุ่งขึ้นมานับสิบ
แต่ ทาลิเลีย ก็พุ่งหอกลำแสงมังกรขึ้นมาสกัดกั้นการโจมตีไว้ให้ทัน ซึ่งทั้งสองคนที่มาช่วย หลีเมย่ไว้คือลูกทีมของเธอ หลง(Long)และผิง(Ping)

“ แล้วทำไมชั้นต้องมาช่วยคนอย่างนายด้วยเนี่ย ”
ทาลิเลีย บ่นขณะที่ บินตามขึ้นไปรับหอก ที่ขว้างออกไปเมื่อซักครู่

“ นี่ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนั้นแล้ว..ข้างล่าง เจ้าพวกโซด่อมมันเริ่มการโจมตีแล้ว ”
ลอว์เรนซ์ สบถก่อนจะบิน ลงไปยังพายุทรายด้านล่างเพียงลำพัง โดยที่บรรดามังกรทั้งหกซึ่งก็คือพวก ไลท์
ถูกเก็บกลับไป ด้วย ทำให้ ทาลิเลีย ต้องขึ้นมาอยู่กลางวง รบที่สับสนอลหม่านเพียงลำพัง ขณะที่
กองทัพจาก อาณานิคม อื่นเริ่มหร่อยหรอ ลงไปทุกที แต่ก็ไม่มีทีท่าว่า ความรุนแรงนี้จะจบลง

“ Charge Rider Water Blade ”
เสียงดังขึ้นจาก เข็มขัดของ Knight FD หลังจากที่บรรจุ อัญมณีสีฟ้าลงไปในช่องของเข็มขัด
ดาบสองปลายในมือก็เปล่งแสงสีฟ้าขึ้นทั้งคมก่อนที่ เธอจะพุ่งเข้าไป ควงดาบฟาดฟันทำลาย ฟุเซนอาคูม่า
ในครั้งเดียวนับสิบตัว ทว่าเธอก็ยังคงไม่พ้นไปจากวงล้อมของพวกมัน

“ Slash ” “ Blast ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับที่ ไพ่สองใบถูกรูดลงไปบนคมดาบของ ลอว์เรนซ์ ก่อนที่คมดาบจะเรืองแสง

“ Great of Dragon ”
สิ้นคำลอว์เรนซ์ ก็พุ่งลงไปยังวงล้อมของเหล่า อาคูม่า ก่อนจะควงดาบไปรอบ พร้อมกับมังกรพลังงาน
สีขาวที่พุ่งออกมาจากตัวดาบ กวาดทำลายเหล่า ฟุเซน อาคูม่า จนสิ้นซากในคราเดียว

“ เท่านี้ ถือหนี้ที่แล้วมาหายกันนะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวขณะหันไปมอง เธอ ก่อนจะทักท้วงถึงเรื่องที่ เธอเคยช่วยเค้าไว้จากเหล่ามารดิน(Earth Akuma)

“ อัศวินทาลิวิลย่าแห่งเมอริเซีย รึน่าประหลาดใจซะจริง ”
Knigh Fd เธอ กล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจที่ได้พบกับ ลอว์เรนซ์ เหมือนว่าเธอนั้นรู้จักเค้ามาก่อน
ทั้งที่ เค้าเองก็ไม่เคยรู้จักเธอเลยด้วยซ้ำ

“ เรา…รู้จักกันงั้นเหรอ ”
ลอว์เรนซ์ ลองแกล้งถามกลับ แต่เธอก็ส่ายหน้าตอบ

“ ไม่….เราไม่เคยพบกันเลยด้วยซ้ำวันนั้นเป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกัน…ฉันแค่ได้ยินเรื่องของพวกคุณเท่านั้นเอง ”
เธอ กล่าวจบก็ก็หันไปมองเหล่า มังกรทะเลทรายเอซซาไลซ

“ ที่เหลือคงให้พวกคุณจัดการกันได้ เจ้าของร่างของฉันไม่ค่อยจะว่างซักเท่าไหร่ อีกอย่างแค่จัดการกับอาคูม่า นั่นก็เพียงพอสำหรับหน้าที่ของฉันแล้ว ”
เธอกล่าวก่อนจะ เดินหายเข้าไปในพายุทรายอย่างเงียบๆ

“ เราเองก็ไม่มีเวลามาสนใจซะด้วยสิ.. ”
ลอว์เรนซ์ บ่นก่อนจะทะยานกลับขึ้นไป ด้านบนอีกครั้ง

“ Mirage Explosion ”
สิ้นเสียง เอมิล ก็สร้างร่างแยก เข้ารุมจู่โจม ทาลิเลีย ไปพร้อมๆกับ หลงที่สวมชุดเกราะและ กรงเล็บซึ่ง
เป็น Crisiser ของเค้าขึ้นมา จัดการกับ ทาลิเลีย ทำให้เธอตกที่นั้งลำบาก อีกทั้ง ผิง ที่ คอยยิงศรแสง

สกัดการเคลื่อนไหวของ เธอได้ชะงัก แล้วยังมี หลีเมย่ ที่สร้าง Bit ขึ้นมาอีกครั้งและ คอยโฉบยิงโจมตี
ทว่า ก็ได้ เรกกะ ที่บินตามเข้ามา ช่วยไว้ได้ทัน แต่ Gazor ของ อาณานิคม ต่างๆรวมไปถึงกองทัพอื่นๆ
เองก็โจมตีไม่เลือกหน้าเช่นกันไม่ว่า พวกเค้าหรือ Valkyrier

“ ทำไมที่นี่มันถึงได้มั่วซั่วขนาดนี้ล่ะ สุซาคุ ”
“ ถามผมตอนนี้ก็ตอบอะไรไม่ถูกแล้ว…มันวุ่นมากๆเลย ”
ด้าน สุซาคุ และ เฟรเซีย ที่ขับ Calibur และ Iris ในรูปแบบ Gazor โหมดมาเข้าคู่ร่วมกันจัดการกับ เอซซาไลซ
ก็เริ่มตกที่นั่งลำบาก เพราะ เอซซาไลซ นั้นยิงฟันไม่ตาย พวกเค้าจึงหมดหนทางจะต่อกรจริงๆ

“ ขืนเป็นแบบนี้พลังงานได้หมดก่อนแน่ ”
ทั้งคู่เปรย ขณะที่ตอนนี้ หน้าปัด พลังงานของทั้งสองเครื่องกำลังจะตกถึงขีดสุด

…………

“ Full Charge Great of Dragon ”
สิ้นเสียง เรกกะทาลูคัส ก็จัดการ เตะดาบที่ควงอยู่ ลงไปเป็นลำแสงมังกร พุ่งเข้าต้านการจู่โจมรวมของ
เหล่า Valkyrier

ด้าน ลอว์เรนซ์ ที่ตอนนี้คืนร่างจากการเป็น ทาลูคัส ก็หยิบเอาไพ่ประทับตราแห่งธาตุขึ้นมาและคราวนี้เลือกธาตุลม

“ Ready Wind ”  “ Fist On ”
สิ้นเสียง ไพ่ก็ถูกกดลงไปจนสุดก่อนที่ ลอว์เรนซ์ จะกระแทกหมัดลงไปบนวงเวทย์ที่เกิดขึ้น
แล้วเปลี่ยนร่างเป็น อัศวินทาลิวิลย่ากายสีเขียว นาม ทาเวนทอส(Thaventos, the Dragoon of Thaliwilya)





“ ขอบอกไว้ก่อนเลยชั้นคนนี้เก่งระดับเทพเชียวล่ะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวก่อนจะบุกเข้าไปในพายุทรายเพื่อจัดการกับ เอซซาไลซ

……………….
…………………….

ชั้นใต้ดิน อาคารสถานทูตที่พึ่งถล่มไป ซึ่งตอนนี้ภายในเละไปด้วย
กองซากปรักที่ถล่มลงมา ภายในมืดสนิทไร้ซึ่งแสงสว่าง ที่จริงมันมืดมาก เสียจนมองไม่เห็นอะไรเลย

แต่ในความมืดนั้นกลับมีเพียงจุดเดียวที่แสงส่องสว่างขึ้นมาไม่ใช่ทั้งจากด้านบน หรือแสงจาด้านล่างนี้
แต่มันเปล่งออกมาจาก อัญมณี ที่ติดอยู่ที่สนับมือของ เฟนท์ ที่กระเด็นออกมาหลังจากการสู้กับ ทาไนซ

มันปล่อยอนุภาคอิออนสีเขียวที่เรืองแสงในความมืดนี้ขึ้น อยู่ตลอดหลังจากที่ตกลงมาในนี้
ขณะเดียวกันก็มีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา เรื่อยๆ เมื่อเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ปลายทางอันมืดมิด กลับค่อยๆสว่างขึ้นมาเรื่อยๆ

จนเมื่อแสงนั้นได้มาถึง สนับมือนั้น มือของชายผู้หนึ่งซึ่งมือซ้าย ถือนาฬิกาทรายไว้ ก็ได้ก้มลงมาเก็บ
เอา สนับมือนั้นไปก่อนจะ เดินต่อไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ไม่ไกลนัก เค้าก้มลงมอง

ร่างที่ยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มผู้มีหูเช่นสุนัขป่า ชุดเสื้อผ้าและเกราะนั้นขาดรุ่งริ่ง ที่มือซ้ายมีสนับมือสวมอยู่เพียง
ข้างเดียว ชายคนนั้นก้มลงสวมสนับมือให้แก่ด็กหนุ่มก่อนจะ เดินจากไปนั้น เค้าวางนาฬิกาทรายเอาไว้ข้างๆ

เด็กหนุ่ม โดยที่ทรายที่เหลืออยู่นั้นยังคงตกลงมกระเปราะล่างอยู่เรื่อยๆ หลังจากที่ชายคนนั้นจากไปไม่นาน เด็กหนุ่มก็รู้สึกตัว ก่อนจะค่อยๆยันตัวขึ้นอย่างยากลำบาก ร่างของเค้าระบบไปหมดทั้งตัว
และยังมีรอยเขม่าควันในบางจุดด้วย

“ ที่นี่มันที่ไหนกัน… ”
เฟนท์ ครางหลังตื่นขึ้นมาจากอาการสลบ เค้ารู้สึกระบมไปทั้งร่าง แขนขามีรอยถลอก
และ ที่ช่วงขวาของลำตัว ก็มีคราบเขม่าเกาะอยู่ ขณะเดียวกันทรายที่อยู่ในนาฬิกา ซึ่งถูกวางไว้ข้างๆก็
หล่นลงจนหมด อัญมณีที่สนับมือทั้งสองข้างก็เรืองแสงสว่างเปล่งประกายเจิดจรัส อนุภาคอิออน
ฟุ้งกรจายออกมาเสียจนทำให้รอบๆสว่างไสวไปด้วยแสงสีเขียวที่อนุภาคเปล่งออกมา

“ ถึง Valkyrier ผู้สืบเชื้อสายแห่งเมอริเซีย…นี่คือข้อความที่ได้บันทึกไว้หากข้อความนี่ถูกเปิดขึ้นก็แสดงว่า มนุษย์ยังคงไม่อาจวางมือจากสงครามได้….. ”
เสียงดังขึ้นมาจาก สนับมือ ทั้งสองข้างของ เฟนท์ หนแรกเค้าตกใจเหมือนกันแต่เมื่อลองฟังดูแล้ว
เค้าจึงจำได้ว่านั่นคือเสียง ที่เคยใช้ประกาศสุนทรพจน์ เรื่องอุดมการณ์ ของ Empyrean Adjust
เสียงอิสฮาน

“ ตราบจนบัดนี้ เทอร่า ก็ยังคงมีสงครามไม่รู้จบแม้พวกเราจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเชื่อในตัวของ
เหล่ามนุษย์ ว่าซักวันพวกท่านอาจจะเข้าใจในสิ่งที่ผม ต้องการอยู่ตอนนี้…. ”
เสียงนี้ได้ประกาศดังก้องไปตามสื่อทั่วทุกหนแห่ง ในเทอร่า แม้กระทั่งวิทยุสื่อสารในห้องบังคับของ
Gazor ที่กำลังรบกันอยู่ด้านนอก ไปจนถึงห้องประชุม ที่โต้โน่น และฮายาเตะ อยู่ด้วยเช่นกัน

“ ตัวกระผมนั้นคิดไว้แล้วว่า การปฏิวัติ คงไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่ถึงกระนั้น ผมยังคงเชื่อหากสักวัน
เราจะเข้าใจซึ่งกันและกัน ที่ผมต้องการไม่ใช่การยอมจำนน แต่เป็นความเข้าใจซึ่งกันและกัน ”
เสียงนี้ ได้ดังออกมาจาก Gazor ทุกเครื่องรวมไปถึงเครื่องมือสื่อต่างๆ รอบทำให้เกิดเป็น สารเสียงที่ประกาศก้อง
ให้ได้ยินกันทั่วทั้งสนามรบ ในตอนนี้

“ บ้าเอ้ย…ทำไมกัน…ชั้นถึงไม่รู้ว่าเจ้าอิสฮานมันวางแผนเอาไว้แล้ว ”
โครโน่ สบถพลางกัดฟันแน่นกรอด ด้วยอารมณ์เดือดดาล

“ ตอนนี้ระบบของ ฮุกีนมูนีน ไม่สามารถเชื่อมต่อได้เลยค่ะ ระบบถูกล็อคจากด้านในดดยสมบรูณ์ ”
ฮายาเตะ รายงานถึงสภาพการณ์ปัจจุบันที่พวกเค้าไม่อาจยับยั้งการออกอากาศ ไปทั่วทั้งเทอร่านี้ได้


“ เพราะอย่างนั้นเพื่อที่จะนำมนุษยชาติ ก้าวข้ามไปสู่การปฏิรูป ผมจึงขอฝากความหวังไว้ กับเหล่าอัศวินของเรา
เหล่า Valkyrier ที่ผมเชื่อใจ จากนี้ผมขอฝากพลังและความหวังนี้ไว้กับพวกเธอ จงก้าวข้ามไปสู่อนาคต ก้าวข้ามสงคราม Delantion นี้นำพามนุษย์ไปสู่วิวัฒนาการ ไปสู่การเป็นผู้สร้าง…. ”
เสียงได้ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งเมอริเซีย อีกครั้งเสียงที่หวังจะให้ผู้คนรวมเป็นหนึ่ง วิงวอนให้สงครามที่ไม่รู้จบนี้
ได้สิ้นสุด เป็นครั้งสุดท้ายและตลอดไป


“ นี่มัน… ”
เฟนท์ อุทาน ขึ้นเมื่ออัญมณีบนสนับมือนั้น ปรากฏตัวอักษรแสงวิ่งขึ้นมา

Ava-Trans

“ อ…อวา…อวาทรานซ์ ”
เฟนท์ เปรยด้วยความประหลาดใจก่อนที่ ตัวอักษรจะ หายไปและอัญมณีเริ่มเปล่งแสงสีแดงขึ้นมา ตอนนี้สีของอนุภาค
รอบๆเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ขึ้นก่อนที่จะฟุ้งกระจายออกมาเรื่อยๆและรวมตัวกันขึ้นสู่ด้านบน

“ Ava-Trans ”
เสียงดังก้องกังวานจากตัวสนับมือ ก่อนที่อนุภาคจะดันทะลุซากอาคารขึ้นไป
อนุภาคได้กลายเป็นลำแสงพุ่งทะยานขึ้นจากใจกลางพายุทรายขึ้นไปอยู่สูงเหนือ

ท้องฟ้าเหนือกว่าทุกผู้ในสนามรบ ก่อนที่อนุภาคจะจางลง ท่ามกลางสายตาของ
ทุกคนที่จับจ้องไปยังที่ๆลำแสงพุ่งขึ้นไป  ขณะที่พายุทรายด้านล่างค่อยๆสงบลง

“ นั่นมัน เฟนท์…เฟนท์ ยังอยู่..ยังมีชีวิตอยู่ ”
ซาน กล่าวด้วยความโล่งอก ที่เห็นน้องชายของตนยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่ ล้มตัวลงบนพื้นที่พายุทรายได้หยุดลงแล้ว

“ แต่ละอองอนุภาคนั่นมันอะไรน่ะ…เป็นสีแดงแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ”
ไรด์ เปรยด้วยความประหลาดใจ ที่ตอนนที่ รอบตัวของ เฟนท์ ถูกห่อหุ้มไว้ด้วย
ละอองอนุภาคอิออนสีแดง

“ ละอองสีแดง…นั่นมัน ”
เอมิล เปรยด้วยความประหลาดใจเช่นกัน กับ Valkyrier คนอื่นๆที่จ้องตาไม่กระพริบ
กับปรากฏการนี้

“ ความเข้มข้นของพลังงานสูงมาก นี่มันเหมือนกับพลังของเทพเจ้าเลย ”
เอียน กล่าวขึ้นทันทีที่ได้รับผลวิเคาระห์จากเครื่อง วิเคราะห์ในยาน Albus


“ อวาทรานซ์…ชั้นคือ…Valkyrie  ” (ชั้นคือกันดั้มเฮ้ยไม่ใช่ละ)
เฟนท์ เปรยเสียงอ่อน ก่อนที่อนุภาคจะรวมกันเข้าที่ร่างของเค้า และเปลี่ยนกลายเป็นชุดเกราะ
เหล็กกล้าสีทอง ตอนนี้ร่างของเค้าหุ้มด้วยชุดเกราะ ที่เหมือนกับ Valkyrie ต้นพลังของเค้า เจอรันดีน(Geraldine, The Valkyrie)




“ ล…ลูกแก้ว เจนนะวีฟ God Send ที่เก็บรักษาอยู่มีปฏิกิริยาขึ้นมาค่ะ ”
ฮายาเตะ รายงานให้ โครโน่ ที่ตอนนี้กำลังจ้องตาเขม็ง ที่ร่างของ เฟนท์ ที่ปรากฏอยู่บนจอมอนิเตอร์

“ อวาทรานซ์ การกำเนิดใหม่สู่การเป็นเทพ…สู่การเป็นพระเจ้า… ”
โครโน่ เปรยเสียงเรียบและไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนแต่อย่างใด ราวกับรู้อยู่ก่อนแล้วในตอนนี้


“ ลูกแก้ว เจนนะวีฟ เป็น God Send(ของขวัญจากพระเจ้า)ที่ เจอรันดีน Valkyrie ต้นพลังของ
 Valkyrier เฟนท์ นีโอเวล ถ้ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่แปลก ”
โครโน่ ตอบกลับโดยที่สายตายังคงอยูที่มอนิเตอร์

………..

“ เฟนท์ …นายรอดมาได้…แต่แล้วที่ชั้นจัดการไปตอนนั้นละ…เดี๋ยวหรือว่า ”
เรกกะ ทาลูคัส ฉุกคิดขึ้นมาในทันทีที่เห็นร่างของ เฟนท์ ที่เปลี่ยนไปแล้วในตอนนี้

“ หลุมที่เราเห็นตอนนั้นไม่ได้เกิดจาการระเบิดอย่างเดียว ที่จริงลำพังแรงระเบิดแค่นั้นไม่น่าจะเกิดหลุมใหญ่ได้ขนาดนั้น แต่เป็นเพราะ แรงระเบิดอัดลงไปในหลุมที่มีอยูก่อน แล้วจึงฉีกพื้นไม้กระดานออกจนเป็นหลุมกว้าง ”
เรกกะ คิดซึ่งตอนนีเค้ารู้แล้วว่า ตอนที่ใช้ ทาไนซ สังหารเฟนท์ นั้นก่อนที่ ไฟจะระเบิดร่างของเฟนท์ ให้เป็นจุล เฟนท์
ได้ ทำลายพื้นแล้วแทรกตัวหนีลงไปได้ทันก่อนจะโดนเต็มๆ นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม
ถึงได้เหลือเพียงแค่ สนับมือข้างเดียวที่ลอยออกมา

“ เจอรันดีน เริ่มทำการยุติสงคราม ”
สิ้นคำของ เฟนท์ ที่กลายเป็น เจอรันดีนไปโดยสมบรูณ์แล้ว เกราะบริเวณ เอวก็เลื่อน
ตัวลงเล็กน้อยก่อนที่ แท่งโลหะสีทองสองอันจะไหลออกมาจาก ช่องที่เกราะเลื่อนตัวลง

เจอรันดีน ชักแท่งทั้งสองขึ้นมาประสานกันไว้ ก่อนที่แท่งจะรวมเอาอนุภาคสีแดงรอบๆเข้าไปไว้
จนเห็นเป็น คมดาบสีแดง ต่อมาอนุภาครอบตัวของเจอรันดีนก็แผ่ออกซ่านออกมา

จนครอบคลุมไปทั่วทั้งสนามรบในตอนนี้ บรรดา อาวุธรบและ Gazor ต่างๆพากันหยุดทำงานในทันที
อย่างไม่ทราบสาเหตุ เครื่องจักรทั้งหมดในอาณาบริเวณได้หยุดการทำงานลงพร้อมกันทั้งหมด

ในตอนนี้แม้แต่สัตว์อสูรมังกรของกองทัพอาณานิคม เองก็พากัน นิ่งสงบไม่ยอมทำตามที่สั่ง
และเพราะเครื่องมือหยุดทำงานหมด ผู้คุมอสูรจึงไม่มีหนทางจะควบคุม สัตว์อสูรของตนได้เช่นเดียวกับ นักรบมังกร
เมื่อไม่สามารถ สั่งให้มังกรทำตามที่ตนต้องการได้ก็พากันทำอะไรไม่เป็นไปเลยทีเดียว

ทว่า เอซซาไลซ ยังคงอาละวาดอยู่ แต่ตอนนี้ เจอรันดีน ก็ได้พุ่งลง ตวัดดาบ แสง
ใส่ร่างของพวกมัน ซึ่งอนุภาคที่สถิตอยู่กับคมดาบนั้น ได้เผาผลาญเม็ดทรายในร่างของ
พวกมัน จนหายไปไม่ฟื้นกลับคืน

“ Carnalian ”
สิ้นเสียง เจอรันดีน ก็ประกบด้ามของดาบเข้าด้วยกันก่อนที่ อนุภาคจะคลุมอาบไปทั้ง ทั้งพลอง
และเปลี่ยนกลายเป็น พลองยาวคาเนเลี่ยน(Carnalian, the Wand of Geraldine )



“ Geo Javelin ”
สิ้นเสียง เจอรันดีนก็ควงพลองยาว อย่างรวดเร็วดูดรวมอนุภาครอบไปรวมไว้
ก่อนจะ ตวัดพลองเพื่อทุ่มพลังทั้งหมดลงไป อนุภาคจำนวนมหาศาลรอบๆที่ได้รับ

อนุภาคที่กระจายกลับออกมาจากการตวัดของกระบองได้กลายเป็น ลำแสงหอกพุ่งลงไปราวกับฝนดาวตก
ทะลุทะลวงทำลายล้าง เอซซาไลซ และ อาคูม่า ที่ยังเหลืออยู่ไปจนหมดสิ้นในพริบตา
ก่อนที่ เจอรันดีน จะกลับคืนร่างเป็น เฟนท์ อีกครั้ง

“ ทุกคนถอยก่อน..นี่คำสั่งจากศูนย์บัญชาการใหญ่ ”
เสียงดังขึ้นที่ Terminal ของ Valkyrier ทุกคน ก่อนที่พวกเขาจะรีบถอนตัวและถอยทัพกลับอย่างรวดเร็วในทันที
โดยไม่หันมาเหลียวแล กับสายตาของกองทัพ อาณานิคมที่ได้ทึ่งตะลึงในพลังของพวกเค้า

………………………
…………………………….

หลายชั่วโมงต่อมา

ภายในยาน คอสมิกแสวน

“ นี่ นายทำอะไรลงไปน่ะรู้ตัวรึเปล่า…คิดว่าการปลุกระดมผู้คนให้ลุกฮือขึ้นมา
ทำสงครามกันจะทำให้เกิดสันติงั้นเหรอ ตัวนายเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ ว่าผลลัพธ์มันจะออกมายังไง
แกเองก็เคยเคียดแค้นในสงครามมาแล้วไม่ใช่รึไง ”
ลอว์เรนซ์ ตะคอกใส่ พลางกระชากคอเสื้อ เรกกะ ขึ้นมาต่อว่า

“ นี่คือหนทางที่ดีที่สุดแล้วไม่ใช่รึไง เมื่อใดที่ เทอร่า รวมเป็นหนึ่งเดียวกันและกำจัด Empyrean Adjust ไปได้
เมื่อนั้น เทอร่า ก็จะรวมเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง  ”
เรกกะ โต้กลับไปพลางปัดมือ ลอว์เรนซ์ ออก

“ ถ้าทำแบบนั้น แล้วนายคิดว่าสันติจะเกิดขึ้นได้งั้นเหรอ… ”
ลอว์เรนซ์ ถามกลับ ไปอีกครั้ง แต่ เรกกะ ก็ยังยืนยันคำเดิม

“ งั้นเหรอ…ถ้างั้นลองดูนี่ซะหน่อยมันคงทำให้นายตาสว่างขึ้นบ้าง.. ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบก็ให้ ยูปี้ที่นั่งอยู่หน้า จอมอนิเตอร์ของยาน เปิดรายงานข่าวขึ้นมา

“ จากเหตุเมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้านี้.ที่สถาฑูตโลกอสได้มีการ แทรกแซง ทั้งEmpyrean Adjust
และองค์กรก่อการร้ายอีกองค์กร ทำให้เหล่าตัวแทนจาก หลายอาณานิคม เสียชีวิต อีกทั้งความเสียหายทั้งหมด

ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อกองกำลังของ ทุกอาณานิคม ทำให้เกิดเป็นข้อพิพาทไปทั่วทั้งเทอร่า
หลายประเทศ ประกาศที่จะ ทำสงครามกันเอง และเนื่องจากเหตุการณ์ณืในขณะนี้ทำให้ สนธิสัญญา
สงบศึกของ สภากลางประชาคมโลก ได้ถูกยกเลิกลงไปแล้วในขณะนี้…. ”

ภาพการรายงานข่าวที่ฉายอยู่นั้นดับลงไปพร้อมกับ เรกกะ ที่ทรุดตัวลงด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว

“ นี่ล่ะผลกระทำของนาย….สงครามจะรวม ทุกอาณานิคมเป็นหนึ่งงั้นเหรอ…หึประสบความสำเร็จมากเลยนะนายน่ะ ”
ลอว์เรนซ์ แดกดันใส่ขณะที่ เรกกะ ได้แต่ก้มหน้าทบทวนความผิดพลาดของตนตอนนี้
แทนที่เค้าจะรวม เทอร่า ให้เป็นหนึ่งแต่เค้ากลับทำตรงกันข้ามซะแล้ว

“ นี่ มาธิอัส หายตัวไป…เมื่อกี้ฉันกลับไปที่ยาน เค้าก็ไม่อยู่ในยานแล้ว ”
R2 ที่พึ่งเข้ามา กล่าวด้วยความลนลาน

“ หา… ”
ลอว์เรนซ์ หันไปค้อนใส่ด้วยความแปลกใจ ก่อนที่ ทั้งเค้าและ R2 จะต้องหยุดกึกหันกลับไปมอง เรกกะ อีกหนแทน

“ แค่กๆ….อัก แค่ก ”
เรกกะ ไอสำลักอย่างรุนแรงและกระอักออกมาเป็นเลือด กระจายเต็มพื้นห้อง ก่อนจะฟุบลงไปทั้งๆอย่างนั้น

“ เรกกะ ”
ทั้งสอง ร้องเสียงหลงขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะรีบเข้าไป พลิกตัว เรกกะ ขึ้นมาดูอาการ

ขณะที่ R2 ให้ เรกกะ หนุนหัวที่ตัก นั้น ลอว์เรนซ์ ก็คว้าเอาตลับไพ่ที่เข็มขัดมาดู

“ เสร็จกันนี่ใช้ไป20 ใบแล้วงั้นเหรอ... ”
ลอว์เรนซ์ สบถทันทีที่เห็นตัวเลขบนหน้าจอตลับไพ่

“ ม...มันทำไมเหรอ ”
R2 กล่าวตะกุกตะกัก ด้วยความสงสัย

“ อะไรกัน..นี่ เจ้า มาธิอัส นั่นไม่ได้บอกเหรอ ว่าโซลการ์ด ทุกๆครั้งที่ใช้จะเผาผลาญชีวิตของผู้ใช้มันไปด้วย
..นี่ถ้าใช้ครบ 100 ใบล่ะก็... ”
ลอว์เรนซ์ สบถด้วยความประหลาดใจ ที่พวกเค้าใช้ของที่ตัวเค้าคิดว่ามันอันตรายสุดๆโดยไม่รู้ถึงความเสี่ยง

“ ว่าไงนะ..นี่มันยังไงกัน..ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้เลยล่ะ ”
R2 กล่าวด้วยคามตกใจเมื่อรู้ถึงผลกระทบที่ร้ายแรงจากการใช้ ดโซลการ์ด ในการแปลงร่างของ เรกกะ

...................
...............................

ภายในห้องนอนที่มีเพียงแสงจาก โคมไฟในห้องสาดส่อง
เสียงโทรศัพท์ ดังขึ้นก่อนที่ เฟนท์ จะรับสาย

“ เฟนท์ ครับ นั่นใคร... ”
เฟนท์ที่จะถามกลับไปยังฝ่ายที่โทรมา ต้องชะงักไปเมื่อเขา ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของอีกฝ่าย

“ เฟนท์ ..บอกฉันที..ฮึก ”
เสียงของอีกฝ่ายดังตอบกลับมา เขาจำเสียงนั้นได้ในทันที

“ อ..ไอ นั่นเธอเหรอ..เป็นอะไรไปน่ะ ไอ ”
เฟนท์ พยายามจะถามกลับไปเพื่อให้เธอเล่าเรื่องมา แต่เธอก็ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่
ก่อนจะ กระซิบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้า

“ Empyrean Adjust ตั้งใจจะทำอะไรกัน…ทั้งที่บอกว่า จะยุติสงคราม…แล้วทำไม..ทำไม..คุณ พ่อถึงต้องมาตายเพราะสงครามของพวกนั้นด้วย… ”
เสียงของ ไอ ดังกลับมาก่อนที่ จะกลายเป็นเสียงร่ำไห้อย่างโหยหวนที่สุด เสียงของเธอบาดลึก
เข้าไปในหัวใจของเค้า ก่อนที่สายจะถูกตัดไป

“ มาถึงตอนนี้ในที่สุด ชั้นก็พึ่งเข้าใจถึงสิ่งที่นายพูดแล้วล่ะ ไรด์ เอมิล….พวกเราน่ะ
ไม่อาจเดินต่อไปใต้แสงสว่างได้อีกแล้ว  ”
เฟนท์ เปรยกับตัวเองเงียบๆ ด้วยหัวใจที่ดำดิ่งลงไปในห้วงเหวแห่งความมืดแล้ว

โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga

“ เบิกโรงนางเอก Show off... ”

ลำดับที่5....จงฝ่าฟันห้วงแห่งความมืด ขึ้นไปบนแท่นนางงามอันเฉิด Next Saga 13 เบิกโรงนางเอกมาแล้ว....

เส้นทางแห่งการปฏิวัติ ได้เริ่มขึ้นแล้วใต้ท้องนภาแห่งกลียุคนี้

« Last Edit: April 07, 2009, 04:08:48 AM by greamon » Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #81 on: April 06, 2009, 08:58:10 PM »

..........ทำไมอ่านแล้วงงๆ เหมือนกับว่าลงสลับหน้าน่ะครับ ???
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #82 on: April 06, 2009, 09:09:07 PM »

มิได้ลงสลับหน้าหรอก แต่ บทนี้อ่านแล้วตั้งใจเขียนให้มันชวน งง เองรวมทั้งคนเขียบนด้วย
เขียนเองยัง งง เองเล้ย

ที่จริงเพราะต้องยัดอะไรต่อมิอะไรเข้ามาในบทนี้ เยอะบวกมันรบกันหลายฝ่ายมาก เพราะเคลื่อนไหวกันหมด
เลยต้องตัดฉากบ่อย และ ยานคอสมิกของลอว์เรนซ์ มันย้อนเวลาได้ ก็เลยเหมือนมีเดจาวูลมาทับซ้อนแบบแปลกๆ มันเลยอ่านแล้วจะงงๆ อ่ะนะ
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #83 on: April 06, 2009, 10:59:44 PM »

มิได้ลงสลับหน้าหรอก แต่ บทนี้อ่านแล้วตั้งใจเขียนให้มันชวน งง เองรวมทั้งคนเขียบนด้วย
เขียนเองยัง งง เองเล้ย

ที่จริงเพราะต้องยัดอะไรต่อมิอะไรเข้ามาในบทนี้ เยอะบวกมันรบกันหลายฝ่ายมาก เพราะเคลื่อนไหวกันหมด
เลยต้องตัดฉากบ่อย และ ยานคอสมิกของลอว์เรนซ์ มันย้อนเวลาได้ ก็เลยเหมือนมีเดจาวูลมาทับซ้อนแบบแปลกๆ มันเลยอ่านแล้วจะงงๆ อ่ะนะ

เอ่อ.......มันแปลกๆตั้งแต่ที่มีการบอกตอนต่อไปก่อนหนังจบตอนที่ 12 นี้แหละครับ -*-  ผมเห็นมีตัวอย่างตอนต่อไปก่อนตอนนี้จบก็เลยคิดว่า

มันแปลกๆน่ะครับ TT_TT
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #84 on: April 07, 2009, 04:12:10 AM »

เอ่อ คือพึ่งสังเกต เห็นว่า ตัวอย่างตอนต่อไปมันสลับไปบรรทัด บนแทน สงสัยตอนก็อบลง
จะวางผิด ตอนนี้แก้ให้เรียบร้อยแล้วนะครับ แต่ยังไม่ค่อยแน่ใจว่ามีจุดไหนผิดอีกไหม เดี๋ยวจะเช็คให้อีกทีนะครับ ตอนนี้แก้เท่าที่เห็นไปก่อนแล้ว อ้อส่วนตัวอย่างตอนต่อไปก็มีอยู่สั้นๆแค่นั้นล่ะครับ
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #85 on: April 11, 2009, 07:13:37 PM »

Saga 13 เบิกโรงนางเอกมาแล้ว....


ซ่า…ซ่า…….

เสียงไหลของน้ำที่ดังแผ่ว นั้นราวกับว่ามันอยู่ไม่ไกลจากนี่นัก ทุกอย่างรอบตัวมืดไปหมดที่จริงมันมืดสนิท
จนมองไม่เห็นอะไรเลย แต่เมื่อผมขยับเปลือกตาแสงก็แยงเข้ามา ผมรีบปิดเปลือกตาในทันที
เพราะมันสว่างมากเสียจนแสบไป จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นค่อยๆเบิกออกอย่างช้าๆแทนตาของผม
เริ่มปรับชินกับแสงได้แล้ว ไม่นานเมื่อผมลืมตาขึ้น ทุกๆอย่างก็ชัดแจ้งอยู่ในสายตา

รอบตัวผม แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ กลิ่นอายจางๆของ ป่าลอยโชยมากับลมหนาว
ระดับของพื้นที่ไม่สม่ำเสมอ และเลียดชัน นี้มันดูเหมือนกับเป็นเนินดิน ที่ด้านล่าง

เมื่อมองผ่านต้นไม้ไป มันเป็นธารน้ำเล็กๆ ผมมองสำรวจไปรอบๆตัวของผมเอง
เสื้อเชิ้ต ที่ใส่อยู่มันขาดไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังพอจะกันลมหนาวได้นิดหน่อย

ถึงตอนนี้ผมเองก็เริ่มจะขนลุกชันแล้ว มันเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงลุกขึ้นเดินเพื่อที่จะหาที่ๆ
อบอุ่น หลบหนาวซักพัก ผมค่อยๆไต่ลงจากเนิน โดยไปตามต้นไม้และเหยียบไปตามร่องหินบนพื้น

ทางมันชันเสียจนผมเองเกือบสะดุดกลิ้งลงเนินไปหลายทีเหมือนกัน จนเมื่อลงมาถึง
ธารน้ำด้านล่าง จากการปีนลงมาทำให้ผมคอแห้งและเหนื่อยไม่น้อย ผมจึงเดินไปที่ลำธาร

และวักน้ำดื่มไปเล็กน้อยเพื่อดับกระหายก่อนจะล้มตัวลงนั่ง ข้างๆลำธารนั้นเสีย
เพื่อจะพักซักหน่อยก่อนออกเดินต่อ จึงถือโอกาสล้างหน้าไปด้วยในตัวขณะที่วักน้ำดื่มอยู่

เพราะมันเปื้อนไปด้วยดินและฝุ่น จนเหนียวเหนอะ ไปหมด หลังจากล้างหน้าเสร็จ
ผมก็จ้องเงาสะท้อนของน้ำเพื่อดูว่า ดินออกไปหมดรึยัง แต่ก็ต้องรอให้ดินที่ล้างไปซึ่งยังลอยอยู่บนน้ำ

ไหลไปก่อน และทันทีที่น้ำเริ่มใสเงาของผมก็ปรากฏ ซึ่งหน้าของผมตอนนี้ใสสะอาดแล้ว
แต่ที่น่าแปลกใจอีกอย่าง หลังจากผมมองเงาตัวเองในน้ำ ดวงตาซ้ายของผมรูม่านตามันขยาย
ออกกว้างขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย  แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ข้อสงสัยที่สุดแต่ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ…

“ นี่ชั้น…..เป็นใครกัน….. ”
เรกกะ เปรยด้วยความงุนงง ขณะที่เค้าจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเอง ในลำธารกลางหุบเขา
ที่ไหนซักแห่งซึ่งมีหมอกล้อมรอบ หุบเขานี้ไว้

………………………
………………………….
……………………………………..


ST. Magnus Academy

“ วันนี้เงียบมากเลยนะ…..มิมิ ”
โคเว็ท เปรยขณะที่มองตัดผ่านกระจกห้องลงไปที่สนาม ซึ่งไม่ใครอยู่ ลมพัดแรงหอบเอาฝุ่น
ปลิวไปเอื่อยอยู่บนสนาม ภายในตัวโรงเรียนนั้นเงียบเชียบผิดปกติ และไม่ว่าอาคารไหนหรือห้องไหน

ก็ไม่มีใครอยู่เลยซักแห่งเดียว มีเพียงห้องของ พวก เรกกะ เท่านั้นที่ โคเว็ท กับ มิมิ
เป็นเพียงนักเรียนสองคนที่อยู่โรงเรียนวันนี้  อีกทั้งพวกเธอทั้งสองคนยังมีสีหน้าเซื่องซึมไม่ร่าเริงเช่นทุกครั้ง

“ อือ…ก็ทุกคนเค้ากลับไปบ้านกันไปหมดแล้วนี่ อาจารย์ก็ย้ายออกจากหอกลับบ้านกันไป
หมดตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่แล้ว ”
มิมิ กล่าวเสียงทุ้มๆด้วยอาการเซื่องซึม และหุ่นของเธอในตอนนี้ก็ลดลงจากเดิมที่เคยท้วมลงมาหน่อย
หน้าเธอซีดเซียวขอบตาดำคล้ำเหมือนคนที่พึ่งร้องไห้เสียใจ ติดต่อกันเป็นเวลานาน

“ นี่มันกี่วันมาแล้วนะ ที่เกิดเรื่องนั้นขึ้นน่ะ ”
โคเว็ท เปรยเสียงเรียบขอบตาของเธอเองก็คล้ำไปไม่แพ้ มิมิ เช่นกันอีกทั้งเธอยังดูซูบผอม
ลงไปด้วย

“ ….ไม่รู้สิ…ทุกอย่างมันเร็วไปหมด…เร็วซะจนฉันไม่รู้ว่ามันผ่านมานานเท่าไหร่แล้วด้วย ”
มิมิ กล่าวอย่างอ่อนแรงก่อนจะเหยียดแขนและฟุบตัวลงกับโต๊ะเรียน

“ ใช่….มันเร็วมาก….ทุกๆคน…ตอนนี้จะทำอะไรกันอยู่นะ ”
โคเว็ท เปรยก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปเหม่อมองท้องฟ้าที่ ครึ้มไปด้วยเมฆฝน
ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ

…………………….
…………………………..
……………………………..

พระราชวังบริทเทเนอร์


“ ตอนนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดีเลย…..ตั้งแต่ Dragoon หายตัวไป… ”
ลูเทเซีย บ่นขอบตาของเค้าดำคล้ำเหมือนคนที่ไม่ได้นอนมาหลายวัน
ขณะที่ เซโร่ อิชิกิ และ เรโค่ เองก็มีท่าทีเครียดไปด้วย

“ ตอนนี้…มาเรีย จะเป็นไงบ้างนะ… ”
ลูเทเซีย เปรยขณะที่เริ่มจะเป็นห่วงน้องสาวของตนขึ้นมา


…………………….
………………………….

ขณะเดียวกันด้าน เรกกะ ที่ตอนนี้ ตัวเค้าไม่รู้ทิศรู้ทางและไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกระทั่งตัวเองเป็นใคร
เค้าเองก็จำไม่ได้

“ ทีนี่มันที่ไหนกัน…ที่สำคัญทำไมเราจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ..เรา..เรา..เป็นใครกันแล้วก็เจ้ากล่องนี่มันอะไรกัน ”
เรกกะ เปรยก่อนจะหันพร้อมย้ายมือไปตลับไพ่ที่ใส่ โซลการ์ดสำหรับแปลงร่างเอาไว้ และที่หน้าจอบอกจำนวนไพ่ที่เหลืออยู่ตอนนี้ ตัวเลขเหลือเพียงแค่ 4 ใบเท่านั้น ก่อนจะหันไปสังเกตสายคาดข้อมือ ของตนเองด้วยความสงสัย

“ ในกล่องนี่ก็มีแค่ไพ่ประหลาดๆ 4 ใบเท่านั้นเอง ”
เรกกะ กล่าวขณะที่เปิดตลับไพ่ขึ้นมาและหยิบไพ่ทั้งหมดออกมาดู ก่อนจะปลดสายเข็มขัดออกแล้วเอาตลับมาเขย่าดู
ว่ามีอะไรอยู่ข้างในอีกบ้าง ก่อนจะเก็บ ไพ่ลงไปแล้วนำไปคาดเอวอีกรอบ


“ ก็าซซซซซซซซซ ”
เสียงคำรามที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่น มาจากด้านหลังของแนวป่า ทำเอาเค้าขนลุกชันในทันที
ก่อนจะหันไปรอบๆด้วยทีท่าลนลาน แบบสุดๆ ขณะที่พื้นเริ่มสั่นสะเทือน แรงึ้นเรื่อยๆราวกับมีอะไรบางอย่างที่


ใหญ่เอามากๆกำลัง เข้ามาใกล้ และในที่สุดเมื่อเสียงคำรามนั้นดังกึกก้องขึ้นอีก ตัวการเสียงก็ได้มาอยู่ตรงหน้าเค้าแล้ว
มันเป็นมังกรร่างของมันมีขนาดสูงใหญ่เหนือแนวต้นไม้ขึ้นไป ตั้งแต่ช่วงปีกลงจรดหาง ร่างของมันปกคลุมด้วย

คลื่นไฟฟ้า ที่ผันผวนอย่างรุนแรง มังกรตัวนี้คือ สุดยอดอาวุธแห่งทวยเทพ โกรอทพลาม่าทอส (Gorothparmathos, the Grand Weapon of God)
ที่พัฒนามาจาก โกรอทพลาม่า (Gorothparma, the Weapon of God)





“ เหวอออ ”
เรกกะ ร้องเสียงหลงก่อนจะรีบวิ่งหลบไปข้างทางเพื่อซ่อนตัวในแนวร่มเงาของต้นไม้
เจ้ามังกรเดินผ่านเค้าไปอย่างช้าๆโดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นตัวของเค้าแม้แต่น้อย

“ หวาๆ…มันมาแล้วๆ …ชารี่..ซิกนัม…. เร็วๆเถอะมันจะมาแล้ว ”
เสียงตะโกนโหวกเหวก ดังกระฉ่อน มาจากอีกฟาก ทำให้ เรกกะ สงสัยจนอดอยากรู้ไม่ได้
เค้าจึงเดินตัดแนวต้นไม้ไปเรื่อยๆจน อ้อมไปอยู่ ด้านหน้า โกรอทพลามาทอส อยู่ไม่ไกลนัก

สายตาของเค้าจ้องออกจาก แนวพุ่มไม้ ภาพที่เห็นนั้น เด็กสาว สามคนกำลังลุกลี้ลุกลน
ชี้ไม้ชี้มือ ปากก็พล่ามกันไม่หยุด เหมือนกับกำลังเกิดเรื่องวุ่นวายกันอยู่

คนหนึ่งในกลุ่มเป็น เด็กสาวผมสีฟ้าเข้ม ไว้ทรงสองแกละ เธอแต่งตัวด้วยชุดสูทสีขาว
มือซ้าย ถือกระเป๋าเหล็ก ส่วนมือขวาถืออะไรบางอย่าง
ที่คล้ายจานสีฟ้าใสอยู่ และเธอสวมแว่นที่ดูจะเป็นแว่นสายตา

คนถัดมากำลัง  โบกไม้โบกมือ ท่าทางร้อนรนกว่าใครเพื่อน เธอสวมชุดกระโปรงสีขาว
ในมือก็โบกคฑารูปร่างเหมือนดอกไม้สีสด ผมของเธอสีเขียวแก่ผูกรวบไปไว้ข้างหลัง
คล้ายหัวสับปะรด

ถัดมาคนสุดท้าย เธอดูมีท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไรเท่าเพื่อนๆสองคนก่อน
ทำให้เธอดูเหมือนจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็น แต่ว่าชุดที่เธอสวมอยู่นั้น ค่อนข้าง

ขัดกับบุคลิคเอาเสียมากๆ เพราะเธอแต่งตัวได้เฉี่ยวแบบสุดๆ ทั้งเครื่องอาภรณ์อันน้อยชิ้น
เปิดแลบออกในทุกส่วนเว้า ปิดมิดเพียงจุดที่ควรเท่านั้น แถมมือทั้งสองข้างของเธอก็กดด้ามขวานที่หัวขวานปักอยู่บนพื้น เธอมีผมสีม่วงและมัดรวบเป็นหางม้า

“ สามคนนี้ กำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ… ”
เรกกะ คิดทว่าจับตาดูอยู่ได้ไม่นาน ทั้งสามก็ทำเรื่องเข้าจนได้ เมื่อ เด็กแว่นผูกแกละสีฟ้าอ่อน หยิบก้อนหิน
บนพื้นขว้างใส่  โกรอทพลามาทอส ที่กำลังตรงมา จนมันโกรธและดิ่งแหวกแนวต้นไม้เข้ามาหาทันที

“ ว้าย….มันมาแล้วๆ…. ”
เด็กหัวสับปะรดสีเขียว ตะโกนลั่นพลางวิ่งนำกลุ่มมาก่อนใครเพื่อน

“  ชารี่…ไปปาก้อนหินใส่แบบนั้น มันก็โกรธสิ ”
เด็กผมหางม้าสีม่วง หันไปค้อนใส่ เด็กแว่นผมแกละ ขณะที่วิ่งไล่ๆกันมา

“ ซิกนัม เป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าให้เรียกความสนใจมันไว้น่ะ ”
เด็กแว่นผมแกละ หันไปค้อนใส่กลับขณะที่ทั้งสามวิ่งกันฝุ่นตลบ
เพื่อจะหนีเจ้ามังกรเข้าไปหลบในป่า ทว่าเด็กแว่นก็ดันสะดุดร่องพื้นล้มหน้าขมำไปซะก่อน

เพื่อนๆทั้งสองจึงหันกลับไปช่วยกันเป็นการใหญ่ แต่ทว่าเจ้ามังกรก็เข้ามาใกล้ได้เร็วมาก
ก่อนจะสร้างสายฟ้าฟาดลงมารอบๆพวกเธอ

“ ว้ายยยย… ”
ทั้งสามกรีดร้อง ด้วยความผวา ก่อนที่คลื่นไฟฟ้าบางส่วนจะหลุดมาโดน เด็กแว่นทำให้เธอสลบไป
เพื่อนๆพยายามปลุกเธอ แต่เธอก็ไม่ตื่น ขณะเจ้ามังกรง้างกรงเล็บเตรียมจะบดขยี้พวกเธฮให้แหลกเละคามือ


“ อ่ะ…แย่แล้วรีบหนี… ”
เรกกะ สะดุ้งเผยอ ออกมาก่อนจะพุ่งตัวออกจากพุ่มไม้ตรงเข้าไปแต่แล้ว
เค้าก็รู้สึกว่าตัวเองควบคุมร่างกายเอาไว้ไม่ได้ไปซะเฉย ตอนนี้ดวงตาข้างซ้ายเรืองแสง

น้ำตาลขึ้น และตัวเค้าก็กำลังวิ่งเข้าไป อุ้มร่างของ เด็กแว่นขึ้นมาโดยที่รู้สึกว่าร่างของเธอนั้นเบาเอาเสียมากๆ
จนยกได้ด้วยมือเดียว แล้วตัวของเค้าก็ยกร่างของเด็กแว่น ขึ้นพาดได้ด้วยมือเดียวจริงๆ ก่อนจะลามืออีกสองข้าง คว้า

ตัวอีกสองคน เข้ามารัดในวงแขนแล้วอุ้มหอบเผ่นออกจากบริเวณ ทันที ทำเอาสามสาว งงเป็นไก่ตาแตก
ไปพร้อมๆกับตัวเค้าเองก็ไม่เข้ใจว่าทำได้อย่างไร และแม้แต่เสียงของเค้าที่ตอนนี้จะพูดก็ยังไม่ดัง

ออกไป แถมยังเรี่ยวแรงมหาศาลี่มีอยู่ตอนนี้ มันช่างน่าประหลาดราวกบตัวเค้าในตอนนี้ ไม่ใช่ตัวเค้า
กรงเล็บของ โกรอทพลามาทอส พลาดไป เรกกะ หอบเอาสามสาว
มุดหายเข้าไปในป่า อย่างรวดเร็ว โดยมีเจ้ามังกรวิ่งตามไล่หลังมาติด

“ น…นี่ นายเป็นใครน่ะ ”
เด็กหัวสับปะรดเขียว ถามพลางดิ้นไปมา

“ ฉุดกันแบบนี้มันพรากผู้เยาว์นะ ”
เด็กผมหางม้าสีม่วง เปรยด้วยท่าทีเบื่อโลก

“ คุณหนู ทั้งสองโปรดเงียบก่อนเธอไม่งั้นได้ถูกเจ้ามังกรกินแน่ ”
เรกกะ กล่าวทว่านี่ไม่ใช่เสียงที่เค้าตั้งใจกล่าว ออกมาร่างกายของเค้าตอนนี้ควบคุมไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“ น..นี่มันอะไรกัน…นี่เราเป็นอะไรไปเนี่ย ”
เรกกะ พยายามพูดแต่ก็ได้ออกมาเป็นเสียงกระซิบกับตัวเองในใจเท่านั้น

“ อ้าวเป็นไรไปล่ะ เรกกะ ยังไม่ชินอีกเหรอ ”
เสียงห้าวๆดังขึ้น โดยที่คนอื่นๆนั้นไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อยนอกจากเค้า

“ น…นั่นใครน่ะ…ใครพูดกับชั้น ”
เรกกะ ถามกลับไปอย่างร้อนรน

“ หา..นี่นายจำไม่ได้เหรอเนี่ย..ชั้นไง ทาลิคนัส ไง…จำไม่ได้เหรอ ที่สิงนายแล้วอุ้มสาวอยู่ตอนนี้
ก็เจ้าบ้าพลัง ทาโซรอส จอมขี้เซาไง ”
เสียงนั้นดังขึ้นอีก ทำให้เค้าเริ่มกระวนกระวาย

“ สงสัย ที่ก่อนนี้เราโผล่ออกมาไม่ได้คงเป็นเพราะ เค้าสูญเสียความทรงจำล่ะมั้ง ”
เสียงที่ฟังดูเย่อหยิ่ง ดังขึ้นมาอีก ทำให้เค้ารู้สึกแปลกใจไม่น้อย

“ งั้นเหรอๆ…งั้นเดี๋ยวจะดูดวงให้นะ ว่าจะซวย จะเฮง….เอ…เอ่อ ”
อีกเสียงที่ฟังดูสดใสราวกับเด็กๆ ดังขึ้นมาอีกเริ่มทำให้ เค้างง หนักเข้าไปอีก
ทว่าตอนนี้ต้วของเค้าหยุดวิ่งลงตรงหน้า ถ้ำหินแห่งหนึ่ง ก่อนจะวางสามสาวลง
แล้วหันไปประจันกับ เจ้ามังกรที่ตามมาไม่หยุด

“ หวา…น..นี่ตัวผมจะทำอะไรเนี่ย…เหวอ ”
เรกกะ ผวาเสียงหลงในทันที แต่เสียงของเค้าก็ไม่ได้ดังออกไปจากปากเลยแค่ก้องอยู่ในหัวเท่านั้น
ตอนนี้ตัวเค้า กำลังเปิดตลับไพ่ที่เอวแล้วหยิบไพ่ออกมาใบหนึ่ง เลขบนจอตลับลดลงเหลือ 39
ก่อนที่ เค้าจะนำมันขึ้นมาจ้องด้วยตาซ้าย ไพ่ปรากฏสัญลักษณ์ ธาตุแห่งดินขึ้นมา ก่อนจะนำมันไปวาง
ที่หน้าปัดสายคาด

“ Quake Form ”
เสียงดังขึ้นจากหน้าแล้ว เค้าจึงทุบไพ่ลงไป

“ Regeneration ”
สิ้นเสียง ก็เกิดแสงเจิดจ้า ออกมาจากหน้าปัดสายคาดข้อมือ ก่อนที่ร่างของเค้าจะเปลี่ยนเป็น ทาโซรอส


“ จงหลั่งน้ำตาให้กับ วิถีแห่งลูกผู้ชายซะเถอะ ”
ทาโซรอส กล่าวพลางดัดคอไปด้วย

“ แว้ก..นี่มันอะไรกันเนี่ยผมกลายเป็นตัวประหลาดไปแล้วงั้นเหรอ.. ”
เรกกะร้องเสียงหลงในทันที เมื่อเห็นว่าร่างของตัวเองกลายเป็น อัศวินครึ่งมังกรไป
ทว่าเสียงของเค้าต่อให้ดังขนาดไหนก็ไม่มีทางดังออกไปถึงข้างนอกได้อยู่ดี


“ ก็าซซซซซซซซ ”
โกรอทพลามาทอส คำรามอย่างกึกก้องอีกครั้งก่อนที่รวบสายฟ้ารอบตัวฟาดลงไปที่
จุดเดียวกันคือ ทาโซรอส  แต่สายฟ้านั้นกลับไม่สามารถทำอันตรายใดให้แก่เค้าได้เลย

“ Solum et Dragos ”
สิ้นเสียง ทาโซรอส ก็สร้างดาบและโล่ขึ้นมาจากมวลแสงสีน้ำตาลที่เสกขึ้น
ก่อนจะบังคับพื้นดินให้ยกตัวขึ้นไปหา เจ้ามังกร พื้นดินได้ยื่นชะง่อนออกไปกระแทก
จน โกรอทพลามาทอส เสียหลัก เซไปชั่วขณะ ทาโซรอส จึงอาศัยจังหวะนี้
เรียกเอาไพ่ ที่ใช้แปลงร่างขึ้นมา ไพ่เรืองแสงกระพริบขึ้นอยู่สักพัก

……………
………………….


“ กี้…มีสัญญาณเรียก ให้ นิลเฮอร์ ออกไปล่ะ ”
“ มันมาจากไหนน่ะ…รีบตามสัญญาณเร็ว ”

“ กี้…รับทราบเริ่มการตามรอยสัญญาณ ”



ขณะเดียวกันประตูใต้ท้องยานก็เปิดออกก่อนที่ ลูกมังกรแห่งปฐพี นิลเฮอร์ (Nilhir, Arimathea’s Baby Dragon)
บินถลาลง มาจากยานและตามสัญญาณที่เรียกมันไปด้วย สัญชาตญาณ ที่เรียกให้มันมุ่งตรงไปหา



……………………
………………………

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #86 on: April 11, 2009, 07:14:03 PM »

“ ก็าซซซซซซซซซ ”
โกรอทพลามาทอส คำรามกึกก้องกัมปนาทเสียงของมันดังปานฟ้าร้อง สายฟ้านับไม่ถ้วน
กระหน่ำผ่าลงมารอบ อย่างบ้าคลั่งราวกับพายุ  สามสาวที่ถูก เรกกะ ช่วยไว้นั้น
พากันนั่งตัวสั่นหัวหด หลบอยู่ภายในถ้ำ ขณะที่ ทาโซรอส รับมือกับ โกรอทพลาม่า อยู่ด้านนอก

“ หวายแล้วนี่มันอะไรกัน…ไหงพอตื่นมาฟ้ามันถึงได้ลั่นกระจุยขนาดนี้ ”
เด็กแว่นร้องเสียงหลง ขณะที่เอามือ ปิดหูทั้งสองข้างนั่งขดตัวกลม เมื่อ แสงจากฟ้าฝ่าและเสียงอันดังกึกก้องกัมปนาท
พุ่งแวบๆอยู่ด้านนอก

“ ชารี่ เธอตื่นแล้ว…เหรอว้าย ”
เด็กผมสับปะรดสีเขียว ถามก่อนจะต้องสะดุ้งปิดหูปิดตา เพราะเสียงฟ้าผ่าที่ลั่นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

“ พวกเราอยู่แบบนี้จะดีเหรอ… ”
เด็กผมหางม้าสีม่วงกล่าว สีหน้าลอยพลางเอามือปิดหูทั้งที่ตัวเธอไม่ได้มีอาการสะดุ้งสะท้านกับเสียงฟ้าผ่า
เหมือนอย่างสองคนเลยซักนิด

“ ซิกนัม..พูดอะไรน่ะ..ฉันไม่ได้ยินเลย…หูมันอื้อไปหมดน่ะ ”
เด็กแว่นผมแกละ ถามขณะที่ผ่อนมือที่ปิดหูลงเล็กน้อยเพื่อจะฟัง แต่เสียงฟ้าผ่าก็ดังลั่นขึ้นมาอีกจนเธอ
สะดุ้งเผลอปิดมือกลับเข้าไปอีก

“ เอาเถอะ…แต่ฉันว่าตอนนี้คนที่น่าจะกลัวยิ่งกว่าเราคงจะยังไม่เสร็จไปซะก่อนนะ ”
เด็กผมหางม้าสีม่วง กล่าวลอยๆด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายที่สุด ก่อนที่เพื่อนทั้งสองของเธอ
จะร้องผวาตกใจ กรี้ดกร้าด กันต่อไป

“ ฮ่าห์… ”
ทาโซรอส เปล่งเสียงพร้อมกับใช้พลังโยกย้าย พื้ดินให้ยกตัวขึ้นมา
รั้งร่างของ โกรอทพลาม่า เอาทุกด้านเพื่อให้มันขยับไปไม่ได้ ก่อนจะวิ่งตะลุย

ดุ่มๆตามแผ่นหินที่ ทอดยาวไปยังร่างของมันที่ถูกกดทับด้วยพื้นที่ยกตัวขึ้นมา
หนีบรั้งมันไว้ แต่ยังไม่ทันจะถึงดี ก็มีสายฟ้าฟาดลงมาที่แผ่นหินจนแหลกเป็นชิ้นๆ ยังผลให้ ทาโซรอส

ร่วงกราวลงไปกับกองหินด้วย แต่แม้จะถูกกองหินทับ ก็ยังคงผลักกองหินออกด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลที่มีอยู่
ได้อย่างสบายๆ 

“ กีซซซ ”
เสียงของ นิลเฮอร์ ดังขึ้นก่อนมันจะพุ่งตัดหน้า ทาโซรอส ไปเมื่อเห็นดังนั้น ทาโซรอส
จึงเรียกไพ่ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่จะนำมันไปวางตรงศิลาที่ฝังอยู่ท้ายคมดาบ ไพ่ถูกกลืนลงไปในศิลา

“ Full Charge Great of Dragon ”
เสียงดังขึ้นจากตัวดาบ พร้อมกับ ที่ นิลเฮอร์ กลายร่างไปสู่อีกขั้น เป็น นิลเฮอเลี่ยน มังกรร่างเต็มวัย
(Nilhirion, the Arimathea’s Earth Dragon)  ส่วนคมดาบของ ทาโซรอส ตอนนี้ก็เปล่งรัศมี ออกมา
นิลเฮอเลี่ยน ก้มตัวลงก่อนจะกดเท้าทั้งสี่ข้างของมัน จมลงไปในดิน ผลันเกิดคมหอกศิลาพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินมากมาย



เข้าหนีบรั้งทิ่มแทง โกรอทพลามาทอส ในบัลดล ทว่าก็ไม่อาจทะลวงผ่านเกราะกำบังที่ เกิดจากสายฟ้า
นับสิบที่ผ่าลงมารอบๆพร้อมกันได้ ทว่าทันทีที่ สายฟ้าสลายไปแล้ว ทาโซรอส ก็กระโดดตีลังกากลางอากาศ

เสียสามรอบก่อนจะดิ่ง ตัวทุ่มดาบที่เปล่งรัศมีจนเกิดเป็นลำแสงมังกรพลังงาน โน้มลงมาแต่ก่อนที่
จะได้ทันเข้าถึงตัวของ โกรอทพลามาทอส นั้นมันกลับซัดกรงเล็บสวนเข้ามา คลื่นไฟฟ้า อันรุนแรงที่พุ่งพล่านอยู่

รอบกรงเล็บนั้น กระแทก ร่างของ ทาโซรอส จนปลิวกระเด็นไปชนกับ นิลเอเลี่ยน ที่อยู่ด้านล่างก่อน จะไถล
ไปกับพื้นด้วยกันทั้งคู่ จนไปกระแทกเข้ากับต้นไม้เข้าในที่สุด

“ แข็งแกร่งจริงๆ…คงจะต้องใช้ Triple Thunder แล้วล่ะ   ”
ทาโซรอส สบถก่อนที่เข็มขัดตลับไพ่ จะปรากฏขึ้นที่ข้างเอว ฝาตลับเปิดออกเอง ก่อนที่ ไพ่ภายในตลับ
จะพุ่งออกมาเองเสีย สามใบ จำนวนไพ่ที่เหลือจึงมีเหลืออยู่ในตลับเพียงแค่  36 ใบเท่านั้น
ไพ่ทั้งสามใบที่พุ่งออกมานั้นเรืองแสงล่องลอยอยู่ในอากาศ ก่อนที่ ทาโซรอส จะรวบเก็บทั้งสามใบมาไว้ในมือ
ตลับจึงปิดฝาลงแล้วหายไปพร้อมกับเข็มขัด

“ หา…เฮ้ยเจ้าหมีควายถึก จะใช้พร่ำเพรื่อกันงี้เลยเรอะ ”
เสียงห้าวๆในตอนแรก ที่ได้ยินดังขึ้นอีกครั้ง

“ ไม่หรอกยังไงก็ต้องใช้ล่ะเพราะเจ้านี่มันของจริง แต่ยังไงก็ตามห้ามใช้มากกว่านี้อีกนะ ”
เสียงที่ฟังดูเย่อหยิ่งดังขึ้น ด้วยเช่นกัน แม้จะตัว เรกกะ เองจะไม่เข้าใจแต่ก็พอจะรู้คร่าวๆว่าเป็นเรื่อง
ลำบากเป็นแน่

“ เข้าใจแล้ว ต้องให้จบในีเดียวสินะ ”
ทาโซรอส กล่าวก่อนจะนำเอาไพ่ทั้งสามใบวางลงไปบนศิลา ที่ดาบอีกครั้ง
ศิลาดูดไพ่ทั้งสามลงไปก่อนที่คมดาบจะเปล่งแสงรัศมีเรืองรองออกมา

ร่างของ นิลเฮอเลี่ยน เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเกล็ดศิลา ที่คลุมปีกของมันได้กะเทาะแตกออก
ราวกับลอกคราบใหม่ กลายเป็นปีกบางใสขุ่นๆ เช่นกันเกล็ดศิลาทั่วตัวที่แข็งประดุจเหล็กกล้า

ได้แตกออก จากร่างกลายเกล็ด นิ่มๆคล้ายผิวทราย ร่างของมันมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น เมื่อมันสยายปีกออก
ฝุ่นทรายได้ร่วงหล่นลงมาจากปีกของมัน มากมาย ปีกของมันกว้างใหญ่ แรงกระพือนั้นมากพอจะเป่า

คนๆหนึ่งให้กระเด็นได้สบายๆ มันได้เปลี่ยนร่างเป็น
มังกรพสุธาร่างสมบรูณ์ นิลเฮอเลียส (Nilhirios, the Great Terrain Dragon)



“ Charge and Up Great of Dragon ”
เสียงดังกังวานขึ้นจากตัวดาบ ก่อนที่รัศมีแสงจะพุ่งทะยานออกไปกลายเป็งลำแสงมังกร
บินฉวัดเฉวียนไปรอบๆ ตัวของ ทาโซรอส ขณะที่ นิลเฮอเรียส ก้มตัวลงต่ำ ทันทีที่ มังกรลำแสง

บินวนจนขึ้นไปสุดเหนือหัวของ ทาโซรอส ดาบของ ทาโซรอส ก็ถูกยกขึ้นประทับเข้ากับ
ลำแสงมังกร ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังของ นิลเฮอเลียส จากนั้น ทาโซรอส จึง

ตวัดดาบลง ลำแสงมังกรได้พุ่งทะยานออกไป พร้อมๆกับลมหายใจของ นิลเฮอเลียส ที่เป่าพื้นดินกระจุยตามไปเป็นทางการจู่โจมประสานได้ทะลวง ฝ่าเกราะสายฟ้าของ โกรอทพลามาทอส เข้ากระแทกร่างของมันจนกระเด็นไถล

กับพื้นถางป่าไปเป็นทาง  แต่ทว่า มันก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ แต่ครั้นลุกขึ้นมามันกลับ เดินหนีกลับไปทางหุบเขาแทน
เมื่ออีก ฝ่ายไปแล้ว ทาโซรอส จึงคืนร่างกลับพร้อมกับที่ นิลเฮอเลียส กลับร่างเป็นนิลเฮอร์ อีกครั้งก่อนจะบินกลับไป

“ นี่มัน…อะไรกันเนี่ย…อ๋อย ”
เรกกะ เปรยก่อนจะฟุบสลบลงทั้งอย่างนั้น

……………………….
…………………………………..


ณ ที่แห่งหนึ่งซึ่งท้องนภาเป็นสีแสด ดั่งดวงสุริยา กำลังคล้อยฟ้าลับดินไป หากแต่ว่าที่นี่
ไม่มีดวงตะวัน มีเพียงท้องนภาสีแสด และก้อนเมฆ ที่ล่องลอยอยู่ รอบมหาวิหาร สีขาวตัววิหาร

เป็นเพียงพื้นทีสร้างลอยอยู่บนห้วงอากาศนี้ และมีบันไดทอดลงไปยังด้านล่างซึ่ง
ลึกสุดลูกหูลูกตา บนพื้นวิหาร มีเสา 7 ต้นรายล้อมอยู่ที่กลางวิหารเป็นแท่นหินปูนสีขาว ที่มีลักษณะ
เว้าโค้งด้านข้าง บนแท่นหินมีดาบเล่มหนึ่งปักหันคมทิ่มลงอยู่

“ ณ ที่นี่และวันนี้ที่ข้ารอคอยก็มาถึงในที่สุด คาทาสโทฟี (Catastrophe) ก็จะเดินระบบเสียที ”
เสียงดังขึ้นมาจาก ด้านล่างของบันได ขณะที่มีเงาๆหนึ่งกำลังเดินฝ่าเมฆหมอกขึ้นมยังมหาวิหาร
เขาคือ อดีตจักรพรรดิ์ แห่งบริทเทเนอร์ เนลโปลเลียน นั่นเอง

“ เมื่อ คาทาสโทฟี ทำงานโลกนี้ก็จะ…. ”
“ ชั้นไม่ยอมให้แกทำแบบนั้นเด็ดขาด ”
ขณะที่ เนลโปลเลียน กล่าวอยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาว่าจะหยุดเค้า เมื่อหันกลับไปมีใครอีกคนกำลังเดินขึ้นมา
ยังมหาวิหาร

“ ชั้นข้ามเวลามาสองร้อยปี ไม่ได้เพื่อจะมาดูหายนะของ เทอร่า หรอกนะ ”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่ ลอว์เรนซ์ จะเดินฝ่าเมฆหมอกออกมา

………………
……………………

“ ที่นี่มัน…เอ๋ ”
เรกกะ เปรยขึนทันทีที่ ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเค้าอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง โดยที่รอบๆมี
สามสาวที่เค้าช่วยเอาไว้ จ้องเขม็งมาที่เค้า ทำให้เค้ารู้สึกเก้ๆกังๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง


“ อ…เอ่อ พวกเธอ…. ”
เรกกะ เปรยขึ้นในใจพยายามจะเอ่ยปากถามว่าพวกเธอเป็นใคร ทว่า

“ ขอบคุณมากนะค้า ที่ช่วยพวกเราไว้ พวกเราไม่รู้จะขอบคุณยังไงดีเลยค่า ”
เด็กหัวสับปะรดสีเขียว กล่าวพลางเข้ามาถูไถ แนบประชิดติดตัวเค้า จนทำอะไรไม่ถูกกันไปเลยทีเดียว

“ ก็อย่างที่ว่านั่นล่ะค่า พอคุณสู้เสร็จก็ล้มพับไปพวกเราเลย พาเข้ามานอนพักอยู่ในนี้ แต่ไม่ต้องห่วงไปนะค้า
ถึงสารรูปของคุณเป็นแบบนี้แต่พวกเราสามเกลอ ไม่ได้ทำอะไรมิดีมิร้ายเลยนะค้า ”
เด็กผมแกละสีฟ้า กล่าวพลางเข้ามากอดแขนขวา ของเค้าอีกข้างหลังจากที่คนก่อนกอดแขนข้างซ้ายของเค้า
แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของพวกเธอ เรกกะ ก็รู้สึกแปลกใจ จนเมื่อลมพัดเข้ามาในถ้ำจนเค้รู้สึกหนาว ถึงได้รู้ความหมายที่

เธอพูด เมื่อสำรวจเสื้อเชิ้ตของเค้ามันถูกปลดกระดุม ออกที่ตัวของเค้าเองก็มีร่อยรอยการเช็ดตัวด้วย
เมื่อคิดได้ดังนั้น เรกกะ ถึงกับหน้าแดงแป้ดก่อนจะหงายล้มตึงลงไปอีกที

“ ชารี่….ฉันบอกแล้วว่าถ้าเค้ารู้คงไม่ดีแหงรีบติดกระดุมเสื้อให้เค้าเถอะ ”
เด็กสาวผมหางม้าสีม่วง กล่าวหน้าตาย

“ แหมขวัญอ่อนจริงนะตาคนนี้ เมื่อกี้ยังสู้กับเจ้ายักษนั่นเอาเป็นเอาตายอยู่เลย ”
เด็กผมแกละสีฟ้า บ่นอุบอิบอย่างไม่พอใจขณะที่บรรจงติดกระดุมเสื้อ ของเรกกะ

“ แต่ว่าเค้าเท่ห์ม้ากมากเลยนะ พวกเธอก็เห็นแล้ว ใช่ป่ะๆ  ”
เด็กหัวสับปะรดสีเขียว กระดี๊กระด๊าออกนอกหน้านอกตาอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่ เด็กผมหางม้าสีม่วง เอาแต่ถอนหายใจตีสีหน้าหน่ายๆ


“ เฮ้อ…เห็นแล้วเบื่อจนอยากร้องไห้ซะจริงๆ ”
เด็กผมหางม้าสีม่วง บ่นทว่าทันทีที่เธอพูดคำว่า ร้องไห้ออกไปนั้น

“ ได้ร้องไห้แน่…ความแข็งแกร่งของข้าแม้แต่เด็กยังต้องร่ำไห้ ”
เรกกะ พุ่งพรวดขึ้นมาประกาศป่าวๆ ในทันทีท่ามกลางสายตาตกตะลึงของ
บรรดาสาวๆ

ชิ้งงงงงง (เสียงอะไรซักอย่างใช้ตอนเงียบซะจนไม่มีบทบรรยาย)


“ เฮ้ย เจ้าหมีถึก อยู่ๆพรวดออกไปได้ไงเล่าเข้ามานี่ ชั้นไปเอง ”
เสียงดังขึ้นก่อนที่ ดวงตาซ้ายของ เรกกะ จะเปลี่ยนสีจากน้ำตาลเป็นสีแดง
ทันควัน

“ อะแฮ่ม…เมื่อกี้อย่าได้สนใจเหวอ… ”
เรกกะ ที่ถูกทาลิคนัสเข้ามาสิงแทนกล่าวไปได้ไม่ทันไร ดวงตาซ้ายก็เปลี่ยนสีอีกรอบเป็นสีขาว

“ ขอให้เราได้พูดบ้างเถิด ท่ามกลางบุปผางามเหล่า…หวา ”
ทาลูคัส ที่โผล่เข้ามาแบบปุบปับ ร่ายยังไม่ทันได้จบประโยค ดวงตาของ เรกกะ ก็เปลี่ยนสีอีก
คราวนี้เป็นสีดำม่วง

“ เย้ๆ…พี่สาวเพียบเลยเรามาเล่นกัน…โหว ”
เรกกะ ที่ถูก ทาไนซ สิงเข้ามาก็ลุกกระโดดพรวดพราด อย่างลิงโลดเหมือนเด็กๆ ก่อนที่ดวงตาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกรอบ พร้อมกับทาลิคนัส เข้ามาสิงแทน

“ เฮ้ย ชั้นเป็นรุ่นพี่พวกแกนะ ให้ชั้นจัดการเถอะน่า ”
ทาลิคนัส โผล่มากล่าวได้ไม่ทันไรอีก ตาซ้ายก็เปลี่ยนสีอีก

“ ถ้างั้นเราที่มาก่อนเจ้าก็ต้องสูงกว่าเจ้าซี่ อีกอย่างเราเป็นเจ้าชา… ”
“ ได้ไงๆ ต้องให้รุ่นน้องสิถึงจะถูก ”
“ เดี๋ยวก่อนสิ ข้ายังสาธยายไม่จบเลยให้ข้า… ”
“ เฮ้ยก็บอกไงว่าอย่าแทรก… ”

และแล้วบุคลิคทั้งสี่ก็ตีกันอยู่ภายในร่างของ เรกกะ เปลี่ยนกันวนสิงไปสิงมาจน
เรกกะ เต้นแร้งเต้นกาพูดไม่เป็นภาษา เหมือนคนไม่เต็มเตงไปในสายตาของ สามสาวในทันที

“ เอ่อ เอลิต้า ฉันว่าเธอคิดใหม่ดีกว่าไหม ”
เด็กผมหางม้าสีม่วง เปรยหน้าตายขณะที่ เพื่อนสาวอีกสองของเธอได้แต่จ้อง
ด้วยสายตาตกตะลึงแบบคาดไม่ถึงสุดๆ

“ นี่พอได้แล้ว…ชั้นเวียนหัวน๊าาาา ”
เรกกะ ที่เป็นจิตต้นร่างตะหวาดขึ้น ก่อนที่จะผลักการแทรกแซงอันชุลมุนปั่นป่วนของ
บุคลิคอื่นๆ จนวงแตกไม่เป็นท่าและยึดเอาร่างคืนมาได้ในที่สุด

“ พ…พวกนั้นัมนอะไรกันนะ…แฮ่กๆ ”
เรกกะ สบถพลางปาดเหงื่อ ออกอย่างเหนื่อยหอบก่อนจะทันรู้ตัวว่าเค้าถูกสายตาจับจ้อง
อยู่เมื่อมองไป เค้าก็แทบจะสะอึกออกมาทันที เพราะสามสาวที่เค้าช่วยไว้
พากันมองเค้าดวงตาเป็นประกาย สดใสราวกับเห็นเค้าเป็นเทพบรุต

“ อา…การเปลี่ยนท่วงท่า อารมณ์ที่รวดเร็วฉับไว ”
“ แถมแสดงได้ราวกับเป็นคนล่ะคน แนบเนียนแบบไร้ที่ติ ”
“ และเบรก ออกมาด้วยวาจาเหมือนไม่รู้ตัวตน…อา ”

เสียงของสามสาวดังประสานขึ้นพร้อมๆกันแทบจะทันทีแม้แต่
 เด็กสาวผมหางม้าที่ทำหน้าตายอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้ยังพลอยเป็นไปด้วย


“ เหวออออ ”
เสียงของ เรกกะ ดังโหยหวนลั่นออกมาจากถ้ำก่อนจะกลายเป็นเสียงแว่วไป

(ขอให้ไปที่ชอบๆน้า เรกกะ นายไปดีแล้วล่ะ…..เอวัง….)
………………..
…………………….

“ เพราะทีม ฮาร์ทไฟร์ (Heart Flie) หายตัวไประหว่างภารกิจดึงความสนใจทำให้
 โกรอทพลามาทอส กลับมาที่ทางเข้าวิหารได้ทันงั้นเหรอ ”
โครโน่ เปรยเสียงเรียบด้วยสีหน้าเมินเฉยต่อคำแก้ต่างของ หลีเมย่ ที่ก้มหน้ารับความผิดพลาดต่อภารกิจของตน

“ แล้วตอนนี้ ทีมนั้นล่ะ…ไปไหนซะแล้ว ”
โครโน่ ถามทำเอา หลีเมย่ สะดุ้งไปทีนึงก่อนจะตอบตะกุกตะกัก

“ ม…ไม่ทราบค่ะ ”
หลีเมย่ กล่าวพลางหนีหน้าไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย

“ งั้นเหรอ…อย่างงั้นสินะเอาเถอะเธอกลับไปได้แล้วเดี๋ยวชั้นจะให้ อัศวินคนใหม่ไปเอง ”
โครโน่ กล่าวพลางสะบัดมือขับไล่ไสส่งไม่แม้ แต่จะรักษาน้ำใจหากแต่หักหน้าอีกฝ่ายกันตรงๆ
ซึ่ง หลีเมย่ ก็ได้แต่เมินหน้าหนีแบกรับเอาความอัปยศนี้ ออกจากห้องไป

“ แล้วเค้าไปไหนซะแล้วล่ะอัศวินของชั้นน่ะ ”
โครโน่ หันไปถาม ฮายาเตะ ที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ เค้าขอตัวออกไปทำธุระตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วล่ะค่ะ ”
ฮายาเตะ กล่าวตอบเสียงเรียบ

“ อะไรกันนี่เค้ายังไม่เลิกอาลัยอาวรณ์อีกงั้นเหรอ…เฮ้อทั้งที่กลายเป็น
 อานิม่า ได้อย่างสมบรูณ์แล้วแท้ๆแต่ยังยึด ติดกับความรู้สึกของมนุษย์อยู่แบบนี้…
ไม่เข้าใจเลยจริงๆเค้าคิดอะไรอยู๋นะหมอนั่น ”

โครโน่ เปรยด้วยทีท่าหน่ายๆก่อนที่เค้าจะจับความผิดปกติที่ ฮายาเตะ แสดงออกมาแม้จะเล็กน้อยก็ตาม
เค้ายิ้มเล็กๆให้ก่อนจะเอ่ยปาก

“ ฮายาเตะถึงจะตีหน้าตายอยู่แบบนั้นแต่ชั้นรู้นะ…. ”
โครโน่ เปรยขณะที่ ฮายาเตะ ถึงกับสะอึกไปก่อนจะรีบตีสีหน้ากลับจากที่หลุดไปเมื่อครู่

“ หมายถึงอะไรกันคะดิฉันน่ะ ”
ฮายาเตะ กล่าวโดยพยายามจะเมินหน้าหนีแต่ก็ถูก โครโน่ จับหันกลับมา

“ ไม่ต้องมาซ่อนเลย…ฉันรู้นะว่าเธอกำลังยิ้มอยู่…ดีใจมากล่ะสิท่าที่ เจ้าราฟ มันตายๆไปแล้ว
 เฟนท์ ได้ขึ้นมาเป็นอัศวินร่วมกับเธอแทน…ชั้นพูดถูกใช่ไหมล่า ”
โครโน่ กล่าวขณะที่ ฮายเตะ รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“ หึ…ไม่โกหกหรอก….ชั้นรู้ดีน่า เพราะทุกครั้งสายตาที่เธฮจ้องหมอนั่นมันฟ้องกันอยู่เห็นๆ แล้วอีกอย่างชั้นเองว่า
หมอนี่ดีกว่าเจ้า ราฟ เป็นไหนๆ ถึงจะใช้งานยากไปหน่อยก็เถอะ..แต่พลังของหมอนั่นเป็นของจริง… ”
โครโน่ กล่าวก่อนจะปล่อยมือ ออกจากใบหน้าของเธอขณะที่ เธฮจ้องมองเค้าด้วยท่าทีระแวงขึ้นเรื่อยๆ
กว่าทุกครั้ง

………………..
………………………….

ณ สวนแห่งหนึ่งที่นี่ถูกใช้เป็นสุสานมีแผ่นป้ายหลุมศพ เรียงรายเป็นทิวแถวตลอดแนว
ที่บริเวณ ประตูสวนมีหลุมใหม่ 4 หลุม หน้าแผ่นหินนั้นมี ดอกไม้วางอยู่ หลุมละช่อ
บนแผ่นหินนั้นแต่ล่ะแผ่นจารึกชื่อของแต่ล่ะคนไว้ซึ่งมี

San Neovel  (ซาน)
Emil Runevel  (เอมิล)
Ryad Raselio  (ไรด์)
Ai  Lemuria (ไอ)

………………
………………………..

“ หมายความว่าพวกเธอ เป็นกลุ่มขององค์กรที่เรียกตัวเองว่า Empyrean Adjust
แล้วตัวพวกเธอก็คือ Valkyrier ที่เป็นเสมือนตัวแทนของ Valkyrie อย่างนั้นสินะ
…แล้วภารกิจของพวกเธอก็คือต้องเอาสิ่งที่เรียกว่า God Send กลับไป ”
เรกกะ กล่าวทบทวนถึงเรื่องที่สามสาวเล่าให้เค้าฟัง ขณะที่ทั้งสามก็พยักหน้ารับว่า
เค้าเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว

“ จริงสิยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ฉัน ชารี่(Chary) เป็น Valkyrier แห่ง เกรซ(Grace, the Valkyrie) ”
เด็กผมแกละสีฟ้า กล่าวแนะนำตัวว่าเธอ ชื่อ ชารี่ ก่อนจะผายมือไปยังเพื่อนคนอื่น



“ ส่วนนั่น เอลิต้า(Elita) Valkyrier แห่ง อานิต้า ( Anita, the Valkyrie)  ”
ชารี่ กล่าวพร้อมกับชี้ไปที่ เด็กผมทรงสับปะรดสีเขียว ที่กำลังยิ้มแฉ่งพลางโบกมือให้ เธอชื่อ เอลิต้า



“ และนั่น ซิกนัม(Signum) Valkyrier แห่งเบรนด้า (Brenda, the Valkyrie) ”
ชารี่ รีบแนะนำคนต่อไปทันที โดยชี้ไปที่เด็กผมหางม้าสีม่วง เธอชื่อ ซิกนัม



“ เอ่อ…ชารี่…เอลิต้า…ซิกนัม… ”
เรกกะ กล่าวพลางชี้ไปที่แต่ละคน โดยพูดชื่อแล้วจึงชี้ซึ่งพวกเธอก็พยักหน้าตอบเมื่อเค้าพูด

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #87 on: April 11, 2009, 07:14:19 PM »

“ อ…อ่า…เอ่อ คือก็อยากจะแนะนำตัวอยู่หรอกนะแต่ว่าผมน่ะ…. ”
เรกกะ กล่าวอึกอักเพราะเค้าจำไม่ได้กระทั่งชื่อของตัวเองด้วยซ้ำในตอนนี้

“ เรกกะ …นายจำชื่อนายไม่ได้หรือไงเล่า ”
เสียงของ ทาลิคนัส ดังขึ้นในใจของเขา

“ อ…งั้นเหรอ ขอบคุณนะ เอ่อ..ทา…ลิค…นัส สินะ ”
เรกกะ ขอบคุณในใจหลังจากที่เค้าได้รับความช่วยเหลือจากบุคลิคอื่น ๆ
ทำให้เค้าจำชื่อของ แต่ล่ะบุคลิค ได้แล้ว

“ ผมชื่อ..เรกกะ…เรกกะ ไฮเดย์ (Recca Highday) ”
เรกกะ กล่าวแบบเอียงอาย

“ ยินดีที่ได้รู้จักค่า ”
ทั้งสาม ประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน ทำเอา เรกกะ เหวอไปชั่วขณะก่อนจะรู้สึกโล่งใจอยู่ลึกๆ
ในใจเค้าเองก็คิดว่าทั้งสามคนเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาๆ ที่อายุพอๆกับเขา ทำให้รู้สึก

ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่พวกเธอ
เล่ามาซักเท่าไหร่ว่าเป็นคนขององค์กรที่ทำสงครามไปทั่ว

“ แต่ว่า…ภารกิจเหลวไม่เป็นท่าแบบนี้มีหวีงพวกเราโดนว่าอีกแหงเลย ”
ชารี่ เปรยก่อนจะถอนหายใจด้วยความกังวลขึ้นมา

“ นั่นสิปกติ ฝีมือต่อสู้ก็ห่วยแถมภารกิจยังไม่เคยทำสำเร็จด้วยตัว
เองเลยต้องให้ ทีมโน้นทีมนี้มาช่วย ”
เอลิต้า เองก็กล่าวออกมาบ้าง

“ แถมคราวนี้ยังมาทำภารกิจพังอีกแบบนี้คงไม่มีหน้ากลับไปแล้วล่ะ ”
ซิกนัม ตบท้ายให้เสร็จสรรพ สามสาวจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่พลาง
ตีสีหน้าเบื่อโลกกันเต็มกลืน

“ งั้นเราก็ไปเอาเจ้า God Send นั่นกันซะเลยสิ…ถ้าทำสำเร็จเรื่องที่ทำภารกิจพังจะต้องได้รับการยกโทษแน่ ”
เรกกะ ยื่นความคิดเห็นแก่พวกเธอทั้งสาม

“ หาไม่ไหวหรอก ทีมที่กระจอกซะจนเหลวทุกภารกิจ อย่างพวกเราเนี่ยนะแล้วยังเจ้ามังกรนั่นอีก ”
ชารี่ รีบออกตัวแก้ต่างทันที

“ แล้วจะยอมแพ้เหรอ…. ”
เรกกะ ย้อนถามทำเอา ชารี่ นิ่งไปพักใหญ่

“ เพราะล้มเหลว เพราะไม่เคยชนะ ก็จะตัดใจยอมแพ้แล้วงั้นเหรอ…แบบนั้นน่ะไม่มีวันเป็นผู้ชนะได้หรอก ”
เรกกะ กล่าวขณะที่ สามสาวเองเมื่อได้ยินคำพูดของเค้าก็เริ่มมีหวังขึ้น

“ นั่นสินะ…ไม่ลองก็ไม่รู้หรอกเนอะพวกเรา ”
ชารี่ กล่าวพลางหันมาถามความเห็นเพื่อนๆ

“ ใช่แล้วๆ…เราไปอัดเจ้าจิ้งเหลนยักษ์นั่นกันเถอะ ”
เอลิต้า สนับสนุนพลางลุกขึ้นชูไม้ชูมืออย่างกระดี๊กระด๊า

“ นั่นสิพลาดมาไม่รู้กี่ครั้งจนไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่เนอะ พลาดอีกสักครั้งจะเป็นไรไป ”
ซิกนัม กล่าวพลางลุกขึ้นจับขวานอีกครั้ง

“ ไม่หรอก…ครั้งนี้เราจะต้องไม่พลาดเพราะจะทำให้สำเร็จ…ชั้นจะช่วยพวกเธอเอง ”
เรกกะ กล่าวพลางลุกขึ้นยืนเพื่อสนับสนุนแรงใจให้แก่พวกเธอ

“ ดีล่ะถ้างั้นก่อนออกศึกเรามารวมแรงใจกันเถอะ ”
ชารี่ กล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะยื่นมือเข้าไปตรงกลางวง ก่อนที่ทุกคนจะค่อยๆยื่นมือมาประสานกันไว้จนครบ

“ พวกเราจะร่วมกันไปทำภารกิจให้สำเร็จให้ได้.. ”
ชารี่ กล่าวจบทุกคนก็โยนมือขึ้นพร้อมกับส่งเสียงให้รู้สึกหึกเหิม

…………………..
……………………………..


“ พวกเราล่อเจ้ายักษ์ออกมาแล้ว ทางนั้นเป็นไงบ้าง ”
ซิกนับรายงานใส่ลงไปใน เครื่อง Terminal Crisis ของเธอขณะที่กำลังบินหนี โกรอทพลามาทอส ที่ไล่ตามมาติด
โดยมี เอลิต้า คอยดึงความสนใจให้มันออกห่างจากหุบเขาเรื่อยๆ

“ พวกเราเข้ามาข้างในได้แล้ว…ล่อมัน ไว้อย่างนั้นเรื่อยๆแหล่ะพยายามให้มันวิ่งฝ่าผืนป่ามันจะได้ช้าลง ”
เสียงของ เรกกะ ดังขึ้นมาจากเครื่อง Terminal

“ เข้าใจแล้ว ”
ซิกนัม ตอบกลับก่อนจะพับฝาเครื่องปิดเก็บ แล้วหันไปหา เอลิต้า ที่บินตามมา

“ เอลิต้า เดี๋ยวเราจะเลี้ยวที่ป่าด้านหน้านะ ”
ซิกนัม ตะโกน ก่อนที่ทั้งสองจะบินเลี้ยวนำ โกรอทพลามาทอส เข้าไปในป่า
 ต้นไม้ทำให้มันขยับตัวได้ลำบากและเคลื่อนที่ได้ช้าลง แต่ทว่ามันตามพวกเธอได้ไม่นาน
ก็กลับลำถอยไปแทน

“ แย่แล้วๆ ซิกนัม มันจะกลับไปแล้วอ่ะทำไงดี ”
เอลิต้า โวยวายชี้มือชี้ไม้ไม่เป็นทิศเป็นทาง

“ ก็เรียกความสนใจมันก็เรื่อง ”
ซิกนัม เปรยก่อนจะยกขวานขึ้น


“ Magma Tear Axe ”
เสียงดังกังวาลขึ้นจากตัวขวานก่อนที่  ซิกนัม จะเหวี่ยงมันออกไปขวานที่เหวี่ยงออกไป
ลุกเป็นไฟในทันที ก่อนจะพุ่งเข้ากระแทก โกรอทพลามาทอส ครั้งแล้วครั้งเล่า และวก กลับ

ไปหา ซิกนัม เธอรับขวานกลับมาก่อนจะรีบ ลาก เอลิต้า บินหนีไปอีกรอบ
เพราะเจ้ามังกร หันกลับมาวิ่งไล่ด้วยท่าทียั่วะจัดพลางไล่ฟาดสายฟ้า จนผืนป่าพินาศ
ราบเป็นหน้ากลอง

………………..
…………………………….

ภายในทางเดินที่คับแคบและมืดมิด มีเพียงแสงจากคบไฟที่ เรกกะ ถืออยู่เท่านั้นที่พอจะทำให้มองเห็นทางได้
พื้นและผนังทำด้วยหินแบบเดียวกันตามพื้นและผนังนั้น มีทรายเกาะอยู่เป็นช่วงๆ และบนพื้นยังมีทรายถมเป็นจุดๆ

“ โบราณสถานนี่แปลกจังเลยนะ ตรงหน้าทางเข้าก็มีทรายอุดอยู่ซะทั่วร่องน้ำเลย
 แถมตั้งแต่เดินเข้ามาในนี้ก็มีแต่ทรายเต็มไปหมด ”
เรกกะ พิเคราะห์สภาพของ ซากโบรานสถานแห่งนี้ ตามที่เห็น ด้วยความสงสัย ขณะที่ ชารี่ ที่มากับเค้านั้น
เอาแต่เกาะแขนเค้าหันซ้ายหันขวา ไปรอบด้วยความระแวง

“ น…น่ากลัวจังเลย ปกติพวกฉันไม่เคยได้เข้ามาเหยียบในสถานที่ที่มี God Send เก็บไว้เลยซักครั้งเพราะทุกทีได้แต่เฝ้าอยู่หน้าทางเข้าตลอดเลย ”
ชารี่ เปรยเสียงสั่น

“ งั้นเหรอ งั้นนี่ก็เป็นครั้งแรกน่ะสิ ”
เรกกะ ถามขณะที่สายตาจ้องไปแต่ทางข้างหน้าที่ค่อยๆกว้างขึ้นเรื่อยๆ

“ อ…อืม แต่ก็เคยได้ยินมาบ้างอ่ะนะ ว่าข้างในจะมีกับดัก ต่างกันไปตามแต่ God Send ของแต่ละแห่ง ”
ชารี่ กล่าวจากประสบการณ์ที่เธอเคยได้ประสบมา

“ งั้นเหรอ… ”
เรกกะ ตอบเสียงเรียบโดยไม่หันมามอง เพราะสายตาของเค้ายังจดจ่ออยู่กับเส้นทาง
ขณะที่ ชารี่ นั้น ได้แต่มองหน้าเค้าด้วยความรู้สึกบางอย่างลึกๆในใจ

“ เค้าคนนี้เหมือนกันเลยแฮะ…เหมือนกับ รุ่นพี่ เฟนท์ เมื่อก่อนเลยทั้งใจดีทั้งมุ่งมั่น…แต่ตอนนี้ รุ่นพี่ เฟนท์ เค้า.. ”
ชารี่ คิดขณะที่ เหม่อจ้องหน้าเรกกะ ไปตลอดทางจนในที่สุดเธอมารู้สึกตัวอีกที สภาพรอบๆก็เปลี่ยนไปแล้ว
จากเส้นทางแคบๆที่กว้างขึ้นเรื่อยๆได้นำมาถึงใจกลางของภูเขา ที่ด้านบนไม่มีเพดานกั้นไว้แล้ว

พวกเค้าข้ามภูเขาที่ขวางกั้นมาด้วยเส้นทางของ ซากโบราณสถาน นั่นเอง ภายในหุบเขานี้
เป็นพื้นทราย ที่มีซากต้นไม้เกลื่อนกลาด ที่ใจกลางมี เครื่องกลไก ที่เหมือนกับฟันเฟืองและเข็มนาฬิกา
ขนาดยักษ์ตั้งอยู่ ฟันเฟืองหมุนอย่างต่อเนื่องทำให้ เข็มเดินไปเรื่อยๆ

“ วงแหวนแห่งการเวลา(Circle of Time) God Send ของ จอสสลิน (Josslyn, the Valkyrie) สุดยอดเลย ”
ชารี่ เปรยขณะที่ ปล่อยมือจาก แขนของ เรกกะ เพื่อจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ



“ ว่าแต่ใหญ่ขนาดนี้จะเอาออกไปยังล่ะเนี่ย ”
เรกกะ ถามขึ้นทำเอา ชารี่ สะดุ้งไปทันที

“ อ…เอ่อ จริงด้วยสิจำได้ว่า เครื่อง Terminal Crisis ที่ใช้แปลงร่างมีระบบ
เก็บกู้ God Send ด้วยนี่ขอเวลาหาแปปนะพอดีฉันไม่เคยได้ใช้มันเลย ก็เลยไม่คลองเท่าไหร่ ”
ชารี่ กล่าวขณะที่เปิดเครื่องขึ้นมาแล้วจิ้มนิ้วหาระบบไปเรื่อย ขณะที่รอ เรกกะ จึงเดินดูไปรอบๆ
เพื่อฆ่าเวลา

ฟู่มมมมมม

“ นั่นมันเสียงอะไรน่ะ ”
เรกกะ ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น จึงเปรยขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปดูหลังกองซากไม้ที่ ถมกองทรายขนาดใหญ่อยู่

“ อ๊ะ เจอแล้วๆนี่ล่ะๆ ”
ชารี่ เปรยเสียงใส หลังจากที่หา โปรแกรมที่ต้องการเจอทว่า กองทรายและกองซากไม้ด้านหลัง เครื่องจักรยักษ์
ก็ได้ยกตัวขึ้นก่อนจะร่วงหล่นลงเผย่างที่อยู่ภายในออกมา

“ ฮูมมมมมมมมมมมมม ”
มันคำรามดังกึกก้องขนาดของมันใหญ่พอๆกับ เครื่องจักรตรงหน้า มันมีเกล็ดที่แข็งเหมือนหิน
หัวไหล่ของมันมีหนามหินขนาดใหญ่งอกออกมา ปีกของมันกว้างพอกับเครื่องร่อน

หางอันยาวใหญ่และทรงพลัง ตวัดขึ้นลงไปมา ราวกับมีชีวิต
 นี่คือมังกรหินผา โอโรฟาเนส (Orofarness, the Ciff Dragon)
ซึ่งวิวัฒนาการมาจาก มังกรโอโรฟาเน่ (Orofarne, the Ciff Dragon)





“ จ…เจ้านี่เป็นผู้พิทักษ์ด้วยเหรอเนี่ย ”
ชารี่ อุทานตาโต ด้วยความตกตะลึง ขณะที่ โอโรฟาเนส ขยับใกล้เข้ามาอย่างเชื่องช้า

“ เร็วเข้ารีบเก็บ God Send ซะชั้นจะต้านมันไว้เอง ”
เรกกะ ตะโกน ก่อนจะเปิดตลับออกแล้วหยิบไพ่ออกมา ตอนนี้ไพ่จึงลดจาก 36 ใบเป็น 35 ใบ
แทนแล้ว

“ ได้เวลาลุยแล้วสินะกำลังคันไม้คันมืออยู่พอดี ”
เรกกะ ที่ตอนนี้ถูก ทาลิคนัส เข้าสิงแทนแล้วกล่าว ดวงตาซ้ายส่องแสงสีแดงก่อนที่ ไพ่ที่ถูกจ้องด้วยตานั้น
จะปรากฏสัญลักษณ์ ธาตุไฟขึ้น ไพ่ถูกนำไปวางลงบนหน้าปัดก่อนจะถูกกดลงไป

“ Blaze Form ”  “ Regeneration ”
สิ้นเสียง เรกกะ ก็เปลี่ยนร่างเป็น ทาลิคนัส ในที่สุด

“ โอเระ ทันโจว มันแปลว่า พระเอกมาแล้ว… ”
ทาลิคนัส ประกาศประโยคประจำตัวก่อนจะ พุ่งขึ้นไปเสยคาง เจ้ามังกรยักษ์ ด้วยลูกถีบ
จนมันล้มโครมไปและด้วยความเชื่องช้าอุ้ยอ้ายของมันทำให้ กว่ามันจะลุกขึ้นมาได้ก็นานโข

“ Ignite et Dragos ”
สิ้นเสียง ดาบเพลิงก็ถูกสร้างขึ้นในมือของ ทาลิคนัส ทันที

“ เอาล่ะมาะไคลแมกซ์กันตั้งกะต้นยันจบไปเลยนะพี่น้อง ”
ทาลิคนัส กล่าวจบก็พุ่งเข้าไปตวัดดาบเพลิง ฟาดรัวลงไปไม่ยั้งใส่ร่างของ โอโรฟาเนส
ทว่าเกล็ดที่แข็งเหมือนหินของมันก็กันเพลิงจากดาบได้เป็นอย่างดี จนทาลิคนัส ถึงกับหอบเมื่อฟันไป
ก็ไร้ผล

“ สำเร็จเก็บเรียบร้อยแล้ว ”
ชารี่ เปรยด้วยความลิงโลด ขณะที่เครื่องจักรตรงหน้าเรืองแสงขึ้นและเปลี่ยนรูปกลายเป็น
วัตถุทรงกลม ลอยลงมาที่มือของเธอ

“ เรกกะ เก็บเรียบร้อยแล้วเรารีบออกไปกันเถอะ ”
ชารี่ ตะโกน พลางโบกมือที่ God Send เอาไว้ให้ดู

“ เยี่ยมมากน้องสาวเรารีบไปกันเถอะ ”
ทาลิคนัส กล่าวก่อนจะถีบให้ โอโรฟาเนส ล้มลงไปอีกรอบ
และบนไปสมทบกับ ชารี่ ทว่าก่อนที่พวกเค้าจะได้ทันวิ่งกลับไปที่ทางออก ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้น
 ทรายค่อยๆร่วงหล่นลงมาทีละน้อยๆ ราวกับหุบเขานี้เป็นนาฬิกาทราย ดีนี่เอง

ครืนนนนนนนนนนนนนนนน

เสียงดังกึกก้องสะท้านไปทั่วทั้งขุนเขา ขณะที่ทั้งสองได้แต่ตีสีหน้า เหยเก ด้วยความผวา

…………………
…………………………

“ อ้าวเจ้ายักษ์นั่นหายไปไหนแล้วล่ะ ”
ซิกนัม เปรยเมื่อเห็นว่า โกรอทพลามาทอส ที่ตามเธอมาอยู่ๆหายไปเอาเสียดื้อๆ
ที่ด้านล่างผืนป่าที่ต้นไม้ล้มระเนระนาด ชายผู้ปกปิดตัวเอง ได้ถือดาบเล่มหนึ่งเอาไว้

ขณะที่มืออีกข้างก็ถือ นาฬิกาทรายเหมือนทุกครั้ง เค้าฉีกยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะ
เดินจากไปอย่างลึกลับโดยที่ไม่มีใครสังเกต

ครีนนนนนนนนนนนนนน

 เสียงดังแว่วมาจนถึงที่นี้รวมทั้งความ สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นที่ไม่ได้เกิดกับแค่พื้นดินแต่ลามมาถึงท้องฟ้า
และห้วงอากาศด้วย

“ นี่มันหรือว่า ชารี่ ทำสำเร็จแล้วใช่ป่ะ ซิกนัม เย้ๆ ”
เอลิต้า กล่าวดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น

“ อืมแต่นั่นก็หมายความว่ามิติแห่งเวลานี่กำลังจะถล่มด้วยนะ ”
ซิกนัม แย้งเสียงเรียบ ทำเอา เอลิต้า สะดุดกึกในทันที

“ ว้ายแย่แล้ว งั้นก็ต้องรีบออกจากที่นี่น่ะสิ ”
เอลิต้า อุทานเสียแตกแหกปากลั่นขนิดเก็บอาการไม่อยู่ทันที

“ งเงียบๆเถอะรารีบไปที่ โบราณสถานแล้วพา ชารี่ กับ เรกกะ ออกไปจากที่นี่ดีกว่า ”
ซิกนัม เรยขณะที่ ออกตัวนำ เอลิต้า ที่ตามไปติดๆ

…………………
………………………..

“ เหวอ ไหงกับดักมันถึงได้โหดหินแบบนี้เนี่ย ”
ทาลิคนัส โวยวายขณะที่ อุ้ม ชารี่ พาบินออกมาตามทางแคบๆในตอนแรกด้วย
โดยมีกองทรายที่ท่วมทะลักเข้ามาในทางไล่หลังมาติดๆ หากหยุดคงถูกกองทรายกลืนจมหายไปในทันที

และยิ่งไปกว่านั้น โอโรฟาเนส ที่มีร่างขนาดมหึมา นั้นก็ถูฏทรายถมพัดทะลวง
เส้นทางนี้ถล่มไล่หลังมาติดไม่แพ้กัน

“ สมกับเป็นที่ เก็บรักษา God Send จริงเลยค่า กับดักเลิศหรูอลังการจริงๆ ”
ชารี่ กล่าวเสียงใสดูเหมือนเธอจะดีใจมากกว่าหวาดผวาเสียอีก

“ นี่เธอมันใช่เวลาจะมาดีใจไหมเนี่ย ขืนเป็นแบบนี้มีหวังได้จมทรายตายแหงมๆ จริงสิเธอ
Valkyrier นี่ไม่มี วิชาหรืออะไรพาออกไปได้มั่งเหรอ  ”
ทาลิคนัส กล่าวขณะที่หันไปมองด้านหลังเป็นระยะ ซึ่งทรายก็ไล่หลังมาเรื่อยๆทุกทีๆ


“ จะว่ามีมันก็มีอ่ะนะ ”
ชารี่ เปรยเสียงใส

“ งั้นมัวรออะไรเล่ารีบๆเลยมันจะไล่มาทันแล้วเห็นไหม ”
ทาลิคนัส รีบสั่งทันที เมื่อเห็นว่า ความเร็วของตัวเอง คงหนีไม่พ้นแน่

“ รับทราบค่า ”
ชารี่ รับคำเสียงใสก่อนจะ ยกกระเป๋าเหล็กขึ้นมาเปิด ข้างใน กระเป๋าเก็บแท่งโลหะสามสี
เขียว ดำ น้ำตาล เอาไว้แท่งละสี เธอหยิบอันสีดำออกมา ก่อนจะปิดกระเป๋า บนแท่งโลหะนั้นมีปุ่มกดอยู่เธอกดมันลงไป

ก็เกิดอนุภาค อิออน ลอยอกมาคลุมร่างของเธอก่อนที่ชุดของเธอจะเปลี่ยนไป กระเป๋าถูกเก็บหายไปก่อนที่ แท่งโลหะ
จะยืดตัวและเปลี่ยนรูปเป็น แส้ซึ่งมีกุหลาบติดที่ปลาย เส้นแส้นั้นมีหนามกุหลาบประดับอยู่ ชุดของเธอเปลี่ยนจากสูทสีขาวเป็นชั้นในสีดำสุดเฉี่ยว ในทันที

“ Ray Dawn Form ”
เสียงดังขึ้นจาก แส้ ทันทีที่การเปลี่ยนร่างของเธอเสร็จสิ้น



“ เฮ้ยไหงเสี่ยวเงี้ย ชุดเธอน่ะ ”
ทาลิคนัส อุทานด้วยความตกใจก่อนจะยกมือขึ้นปิดตา

“ ถือว่าเป็นบริการก็ละกันน้า ”
ชารี่ กล่าวเสียงใสอย่างอารมณ์ ดีก่อนจะตวัดแส้ออกไป ตัวแส้นั้นสามารถยืดออกไปได้เรื่อยๆ
ไม่มีสิ้นสุดจน ออกไปพันเข้ากับต้นไม้ด้านหน้าเมื่อ ชารี่ ดึงแส้แล้วเห็นว่าแน่พอ

เธอจึงสวิตซ์ ที่ด้ามแส้อีกครั้ง ทันใดนั้นเส้นแส้ก็หดตัวกลับ ความเร็วจากการหดตัวของแส้ช่วยดึงพวกเค้าออกไป
ข้างนอกได้ทันก่อนทรายจะถมพวกเค้าไป พวกเค้าพุ่งออกมาด้านนอก ถ้ำที่เป็นทางเข้าได้สำเร็จพร้อมกับทราย

“ สำเร็จรอด....แล้ว ”
ทาลิคนัส สบถก่อนจะต้องสะอึกไป เมื่อ โอโรฟาเนสเองก็พุ่งทะลวงกองทรายตามออกมาติด ท่ามกลางความสั่นสะเทือนที่ยังคง รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“ เย้ย ไหงตามมาติดๆแบบเนี้ย ”
ทาลิคนัส สบถก่อนจะ รีบลากตัว ชารี่ หนีขึ้นข้างบน ก่อนที่กรงเล็บของมันจะตะครุบพวกเค้า
ซึ่ง ซิกนัม กับ เอลิต้า ก็มาสมทบด้วยทันพอดี

“ แล้วทำไงดีล่ะเนี่ยไหงมันถึงสั่นไปทั่วแบบเนี้ย ” 
ทาลิคนัส ถามอย่างร้อนรน

“ ก็พอเก็บกู้ God Send แล้วมิติเสมือนนี้ก็จะถูกทำลายลงทันที
 ถ้าเราไม่รีบออกไปจากนี่ล่ะก็ ได้หายไปพร้อมกับมิติด้วยเลย ฟันธง ”
ซิกนัม แจงรายละเอียดให้ฟัง

“ ยังจะมา ฟันธงอะไรอีก ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็ต้องรีบออกไปแล้วสิ ”
ทาลิคนัส ตะหวาด

“ กำลังให้ เอลิต้า เปิดประตูให้อยู่แต่ต้องใช้เวลาซักหน่อย  ”
ซิกนัม กล่าวเสียงเรียบอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร ทำเอา ทาลิคนัส ปวดหัวไปกับความนิ่งของ
เธอสุดๆ

“ แหมๆ ถ้าจี้ดซะขนาดนี้สงสัย พระเอกคงไม่ได้อยู่บนจอแล้วล่ะ ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ ทาลิคนัส จะถูกแทรกแซงการสิงร่างไป และกลับคืนร่างเป็น เรกกะ
ทำให้ ร่วงลงไปเพราะไม่สามารถบินอยู่กลางอากาศได้

“ ว้าย ”
สามสาวอุทาน ทันทีที่ เห็น เรกกะ ร่วงลงไปทว่า ตัวเรกกะ ตอนนี้กลับไม่มีทีท่าทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
เขาเหยียดนิ้วตรงไปเปิด ฝาตลับออกก่อนจะ หยิบไพ่ออกมาใบหนึ่ง ไพ่ในตอนนี้จึงเหลือเพียง 34 ใบแล้วในขณะนี้
ดวงตาซ้าย ของ เรกกะ ตอนนี้ เรืองแสงสีฟ้า ขึ้น ไพ่ที่ถูกจ้องด้วยตาสีนี้ปรากฏสัญลักษณ์ ธาตุแห่งน้ำขึ้น

“ Breeze Form ”
เสียงดังขึ้นจาก หน้าปัดทันทีที่ไพ่ถูกนำมาวางไว้ ก่อนที่ เรกกะ จะทุบไพ่ลงไป

“ Regeneration ”
สิ้นเสียง ร่างของ เรกกะ ก็เปลี่ยนเป็น อัศวินมังกร ร่างใหม่ที่มีกายสีฟ้า ที่ข้อศอกมีครีบงอกขึ้นมาแทนปีก

“ เฮ้ย..ยัยนี้เป็นใครเนี่ย ”
ทาลิคนัส ถามขึ้นด้วยความสะดุ้งที่ตนถูกผลักออกมาจากการใช้ร่างของ เรกกะ

“ เอ้า ทาลิคนัส ไม่รู้เหรอ ”
เสียงของ ทาไนซ์ ดังขึ้น

“ เจ้า..เนี่ยยังบื้อเหมือนเดิมเลยนะ ”
เสียงของ ทาโซรอส ดังขึ้นมาบ้าง

“ เค้าก็คือหนึ่งในบริวารของเราเหมือนพวกเจ้านั่นล่ะ ”
เสียงของ ทาลูคัส ดังขึ้น

“ พวกเราไม่ใช่บริวารซักหน่อย ”
เสียงของ บุคลิคอื่นๆดังประสานขึ้นพร้อมกันทันที

“ ฮู้ยยย พอๆ พอได้แล้ว ฉัน ทาลิควอส (Thaliquas, Arimathea’s Dragoon of  Thaliwilya)
ย่ะแล้วก็เงียบกันซะทีเดี๋ยวฉันก็ ไม่มีสมาธิสร้างปีกได้โหม่งโลกกันพอดี ”
ทาลิควอส อัศวินร่างใหม่ บ่นใส่เสียงแหลมเหมือนหญิงสาว ทำเอาบุคลิคอื่นๆเงียบกันไปเป็นทิวแถว
เมื่อเงียบแล้ว ทาลิควอส จึงรวมสมาธิไม่นาน ก็เกิดประกายแสงขึ้นที่หลังของ เธอ
 ก่อนที่มันจะสยายออกมาเป็น ปีกแสงสีฟ้าใส



“ เบิกโรงนางเอก Show off ฉันนี่ล่ะเลิศที่สุด ”
ทาลิควอส กล่าวพลางวาดมือแอคท่าไปมา ก่อนจะพุ่งทะยานกลับขึ้น อย่างรวดเร็ว

“ Aqua et Dragos ”
สิ้นเสียง ทาลิควอส ก็สร้าง มวลน้ำขึ้นมาในอุ้งมือก่อนจะรวบมันเข้าด้วยกันและวาดออกกลายเป็นดาบยาว
ประมาณเมตรครึ่ง ก่อนจะบิดฉวัดเฉวียน ร่ายไปมาอย่างรวดเร็ว ให้ดูสวยงาม

เพื่อหลอกล่อ โอโรฟาเนส ให้หมุนตามจนมันขาพันกันเองล้มลงไป ทาลิควอส จึงอาศัย จังหวะนี้
เรียกไพ่ที่ใช้แปลงร่างขึ้นมา แล้วนำมันไปวางบนศิลาที่โคนดาบ

“ Full Charge Great of Dragon ”
สิ้นเสียง ดาบในมือก็เปลี่ยนรูปเป็นมังกรตัวยาวบินออกไปจากมือ ก่อนที่ ทาลิควอส
จะประสานมือยกขึ้นเหนือหัว มังกรน้ำได้บินวนไปรอบตัวของเธอก่อนจะขึ้นไปรวมกับมือทั้งสอง


และทันทีที่วาดมือแยกออก ก็เกิดเป็นลำแสงมังกรน้ำสองตัวขึ้นมา ก่อนที่ ทาลิควอส จะเหวี่ยงลงไป
ลำแสงมังกรน้ำ พุ่งลงไปกระแทก โอโรฟาเนส ก่อนที่จะเกิดน้ำแข็งจับไปทั่วทั้งตัวของมัน จนลุกไม่ขึ้น

“ เรียบร้อย แล้วทีนี้พวกหล่อนน่ะจะออกกันไปได้รึยังยะ ที่นี่จะล่มมิล่มแหล่ะอยู่แล้วนะยะ ”
ทาลิควอส บ่นใส่ สามสาว เป็นชุด ขณะที่พวกเธอได้แต่อึ้ง กับกริยาท่าทางที่เปลี่ยนไปของ เรกกะ

“ เอ้าพวกหล่อนยังจะมา ยืนเซ่ออยู่อีกประตูล่ะ ประตูน่ะ ”
ทาลิควอส เห็นทั้งสามยังเหม่ออยู่เลยตะคอกย้ำหัวตออีกรอบ
พวกเธอถึงจะรีบเร่งกันสร้างประตู ทว่าสายไปเสียแล้ว ท้องฟ้าเริ่ม มีรอยแตกร้าว
และถล่มลงมา ฃห้วงอากาศที่ถล่มลงไปนั้น ได้กลายเป็นความมืดมิดค่อยๆถลำเข้ามา

“ โอย อกอีแป้นจะแต.... ”
ทาลิควอส หลุดสุดๆกับพวกเธอทั้งสาม ก่อนจะทันวีนแตก นั้น เธอก็ถูกด้ามหอกเคาะกะโหลกไปเสียมี หนึ่งจนต้องเงียบ

“ นี่เลิกบ้าได้แล้วย่ะ ฉันมารับแล้ว รีบมาขึ้นมานี่เลย ”
ทาลิเลีย นั่นเองที่เป็นคน กระทุ้งให้ ทาลิควอส หยุด ก่อนจะบินนำทั้งสามคนขึ้นไปยังยาน ไซเบอริก้าดราก้อน ที่มาจอดรอท่าอยู่แล้ว หลังจากนั้นจึงขับทะลุมิติ หนีออกมาได้ทันก่อนจะถูกกลืนไปกับมิติที่ล่มสลาย

……………..
………………………

“ ก็อย่างที่บอกน่ะล่ะนะ..ทีม ฮาร์ทไฟร์ เป็นกบฏ พวกเธอร่วมมือกับศัตรูช่วงชิง God Send ไปก่อนพวกเรา
ชั้นให้นายจัดการตามที่เห็นควรนะ อัศวินลำดับที่2 เฟนท์ นีโอเวล ”
โครโน่ กล่าว ต่อหน้า เฟนท์ ที่ยืนอยู่หน้าเค้า

“ รับทราบในฐานะอัศวิน ผมจะจัดการพวกกบฏ และนำเอา God Send กลับมาให้จงได้ ”
เฟนท์ กล่าวจบก็หมุนตัวกลับเดินออกจากห้องไป

“ ตอนนี้ชั้นกลายเป็น อานิม่า แล้วตอนนี้ชั้นอำนาจจะสู้กับนายแล้ว เรกกะ
บาปที่นายฆ่า ไอ และทุกคนชั้นจะให้นายชดใช้ด้วยชีวิต ”
เฟนท์ คิด แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาต พยาบาทขณะที่เดินออกจากห้องไป

โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga

“ การโจมตีครั้งก่อนๆนี้...ทางเราต้องขอโทษด้วย ”
ลำดับที่ 6 จุติ


“ ตอนนี้ชั้นจำได้แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง..ใช่ชั้นฆ่าทุกคน ทั้ง ไอ ซาน เอมิล ไรด์ ทุกคนล้วนถูกชั้นทำลาย
และนายเองก็ด้วยเฟนท์ ชั้นจะทำลายนายด้วย ”

เรื่องราวที่เลือนหายไป

“ จำไว้ เรกกะ ชั้นไม่มีวันยกโทษให้นาย สักวัก นายจะต้องสังเวยให้กับคมดาบที่ชั้นจะเป็นผู้ใช้มันจบชีวิตนายเอง ”

เวลาที่จางหาย ความสับสนที่คลาดเคลื่อน อะไรคือต้นเหตุ หากปลายทางของการแก้แค้น
คือ โลหิตที่จะต้องหลั่งรดลงแผ่นดิน ก็จงใช้คมดาบนั้น ฝ่าไปด้วยความหวังสิ Thaliwilya

จงทำลายทุกสิ่งแล้วเชื่อมทุกสิ่งเข้าด้วยกัน หนทางปห่งการปฏิวัติอยู่ตรงหน้าแล้วจะเลือกทางใด

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #88 on: April 11, 2009, 07:22:14 PM »

เอาล่ะขอมาสครีมต่อกันเลยเน้อ ขึ้นบทนี้มาอย่าพึ่งงนะว่าเราตกลงไป ไหนบทหนึ่งหรือเปล่าเพราะเดี๋ยวมันคงจะย้อนให้เอง ล่ะ(แหงสิไม่ย้อนจะรู้ม้ายว่าไหง เฟนท์ มันจะเปลี่ยนมาฆ่ามาแกงเจ้า เรกกะ ได้ขนาดนี้แล้วเจ้าเรกกะ ไปทำอีท่าไหนถึงได้ฆ่าดะขนาดนี้)

หลังจากที่บทก่อนๆนี้ค่อนข้างจะ เผางานไปหน่อยบทนี้เลยพยายามาแบบเรียบๆที่สุด
แต่ก็มาตกม้าตายตอนจบจนได้ มันเร่งง่ะ เอาเถอะว่าแล้วบทนี้ ในที่สุด Valkyrier ก็ออกกันครบซะที

แต่ภาพของ ของ หลงกับ ผิงเนี่ยยังไม่ได้แปะเลยเอ๊ะะหรือแปะแล้วจำไม่ค่อยได้ช่างมัน
ก่อนอื่นจะแจ้งเรื่องกำหนดการตอนพิเศษนะคร้าบ รอบนี้เป็น Text Drama น้อ คือจะมีแต่บทพูดของตัวละครไม่บรรยายนะ

อาจจะมีบรรยายเล็กๆน้อยๆเพื่อความเข้าใจ แต่บอกก่อนเน้อเนื้อเรื่องตอนพิเศษนี้สุดแสนจะรั่ว รั่วยังไงไปดูกันอีกทีเน้อ ว่าแต่ สามสาว Valkyrier รอบนี้เนี่ยพอมีแต่สาวๆแล้ว ค่อยเหมือนเป็นตัวแทนของ Valkyrie หน่อย
ว่าแต่ เรกกะ นายอยู่กลางดงฮาเร็มเลยนะนั่น

ถ้าเจอกันบทหน้านะคร้าบบ
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #89 on: April 11, 2009, 09:22:58 PM »

The harem of recca 

ตกลง heartfile เป็นศัตรูกับฝ่ายพวกเฟนท์,เอมิลใช่มั้ยเนี่ย 

ปล.เพิ่งรู้ว่า Thaliquas เป็นผู้หญิง 
Logged


Pages: 1 2 [3] 4 5 6  All
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.287 seconds with 21 queries.