Summoner Master Forum
March 29, 2024, 06:16:37 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 9 เมื่อหิมะละลาย @@  (Read 7752 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: December 19, 2004, 02:55:33 AM »

Chapter 9  เมื่อหิมะละลาย


                       ที่กราบเรือด้านหน้าซึ่งประดับประดาด้วยบรรดาดอกไม้สีขาวสะอาดตาและริ้วธงหลากสี   รูปปั้นของนางไซเรน(Siren)ที่อยู่ตรงหัวเรือนั้นถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเครื่องประดับนานาชนิดราวกับเป็นคนจริงๆ   นกทะเลนับร้อยตัวบินวนเวียนเหนือผืนน้ำสีฟ้าอมเขียวดูช่างเป็นภาพที่สวยงามดุจภาพวาดของจิตรกรเอกก็ไม่ปาน
                       ราชองครักษ์อองเดร ยังคงยืนอย่างมั่นคงองอาจสายตามองออกไปยังท้องทะเลไกลโพ้น ผ้าพันคอผืนขาวพริ้วไสวตามแรงลมดูงามสง่า  พลางคิดทบทวนอดีตที่ผ่านมา อดีตที่เขาไม่มีวันลืม อดีตที่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายในชีวิตของเขา และอดีตที่นำพาเขามา ณ จุดนี้  จากเด็กกำพร้าที่ถูกนายทหารเก็บมาเลี้ยง แต่ไม่ใช่การให้ความรักเยี่ยงบุตร   เขากลับถูกเลี้ยงดูให้เป็นทหาร  ถูกสอนให้อยู่แต่ในกฎระเบียบที่เข้มงวด ให้รับรู้หน้าที่อันสูงสุดคือการจงรักภักดีต่อประเทศชาติและราชวงค์ ไม่รู้จักความหมายอื่นใด และไม่มีเป้าหมายใดในชีวิต...
                       ครั้งนั้นเมื่อสัตว์ประหลาดอมาดิลลอน(Armadillon) ห้าตัวพลัดหลงเข้ามาในเขตที่อยู่อาศัยแถบชานเมือง  ชาวแอนดิซอง  ต่างหนีเอาชีวิตรอดกันจ้าละหวั่น   ทหารราบสองกองร้อยได้รับคำสั่งให้ทำการขับไล่อมาดิลลอนและทำการช่วยเหลือชาวบ้านทันที    เหล่าทหารต่อสู้กับอมาดิลลอนอย่างดุเดือด   ฝูงอมาดิลลอนที่ตกใจกับเสียงกรีดร้องของชาวบ้านและอาวุธที่เหล่าทหารพุ่งเข้าใส่  พวกมันจึงอาละวาดหนัก   เข้าฟาดฟันใส่ทหารอย่างบ้าคลั่ง   กว่าจะปราบเหล่าอมาดิลลอนลงได้ก็ใช้เวลาถึงสองชั่วโมง    มีทหารบาดเจ็บนับสิบคน พยาบาลและคณะซิสเตอร์ต่างก็ออกช่วยเหลือทหารและชาวบ้านอย่างรวดเร็ว   พลทหารอองเดรซึ่งขณะนั้นอายุเพียงสิบเจ็ดปียังเป็นเพียงทหารราบชั้นผู้น้อย และไม่เคยเผชิญหน้ากับการต่อสู้จริงมาก่อน   ภารกิจแรกของทหารใหม่ หากศึกแรกได้รับชัยชนะนั่นหมายถึงการสอบผ่านการเป็นนักรบที่แท้จริง   แต่หากได้รับความพ่ายแพ้ นั่นย่อมหมายถึงความล้มเหลวแห่งการฝึกฝนอันยาวนาน   และยิ่งกับพลทหารใหม่ มันช่างไม่ต่างกับมดปลวกที่แค่ออกไปตายอย่างไร้ค่าเท่านั้น   แม้นายทหารอองเดรจะมีความตั้งใจเต็มเปี่ยมแต่ทว่าความอ่อนประสบการณ์ และโชคที่ไม่เข้าข้าง   เขาพลาดพลั้งถูกผลึกน้ำแข็งของอมาดิลลอนแทงทะลุสีข้างบาดเจ็บสาหัส และก่อนที่เจ้าอมาดิลลอนยักษ์จะตรงเข้าสังหารเขา นายกองก็ได้เข้าสังหารเจ้าสัตว์ร้ายบ้าคลั่งเสียก่อนที่มันจะสังหารเขา  แต่มิใช่เพื่อช่วยเหลือเขาหากเพียงแค่เข้าฉวยจังหวะเมื่อเจ้าสัตว์ร้ายมัวพะวงกับเหยื่อตรงหน้าเท่านั้น    นายทหารชั้นเลวนอนรอความตายด้วยความเจ็บปวดทั้งใจและกายอย่างแสนสาหัสเคียงข้างซากเจ้าสัตว์ยักษ์โดยไม่มีใครใส่ใจ   สภาพของทหารยศต่ำสุดนอนจมกองเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดคงจะถูกมองว่าเกินเยียวยา   การรักษาย่อมมีให้แก่ผู้ที่ยศสูงกว่าและผู้ที่พอมีหวังรอดมากกว่า   พลทหารหนุ่มใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิดยันกายขึ้นนั่งพิงซากเจ้าสัตว์ยักษ์ขนปุย หอบหายใจรวยริน เพื่อจะบอกว่าเขายังมีแรงพอจะลุกได้ เขายังไม่ตาย   แต่ภาพเบื้องหน้าคงมีแต่การวิ่งวุ่นของเหล่าทหารที่แบกร่างของเพื่อนที่บาดเจ็บ   ภาพของเหล่านักบวชจำนวนน้อยนิดที่พยายามใช้พลังรักษาทหารบาดเจ็บนับสิบที่ร้องครวญคราง   บางคนหันมามองเขาแต่เมื่อพิจารณาได้สักพักก็ส่ายหน้า  ก่อนเดินผละจากไปรักษาผู้อื่น
                       ‘เราคงต้องตายแบบนี้แน่..........’ พลทหารอองเดรคิดในใจ
                       เขาไม่ใช่คนจำพวกที่จะร้องขอชีวิตหรือร้องขอความช่วยเหลือ  เพราะเขาคิดว่าหากการร้องขอนั้นได้รับการปฎิเสธ  คงเป็นความอัปยศนัก   ความหดหู่ใจและสิ้นหวังได้ทำให้เขาเลือกทางที่จะตายอย่างทรนง  คงจะเป็นเพียงสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจำต้องเลือกยอมรับในขณะนี้
                       ระหว่างที่ตัดสินใจนั่งรอความตายที่กำลังก้าวกระชั้นเขาเข้ามาอย่างช้าๆ  เขาก็รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งจับจ้องเขาอยู่   เขารีบหันไปยังทิศทางนั้นทันที   ชั่วขณะนั้นใจของเขาก็หล่นวูบตกประหม่าในทันใดเมื่อเห็นเจ้าหญิงน้อยอลาน่ายืนขมวดคิ้วจ้องมองบาดแผลของเขาอยู่ข้างๆ  
                       “พระอาญามิพ้นเกล้า.....   ทรงเสด็จมาทำอะไรที่นี่   ที่นี่อันตรายมาก.... พระองค์”นายทหารกล่าวเสียงแผ่ว  
                       อลาน่าน้อยเงยหน้าขึ้นช้าๆ ยิ้มจนตาหยีตอบว่า “ฉันมากับซิสเตอร์โรซาน่าจ๊ะ   ซิสเตอร์มาช่วยคนบาดเจ็บ  ซิสเตอร์อยู่ตรงนู้น” เด็กน้อยหันหน้าพลางชี้มือไปอีกฟากของถนน  เขาจึงเห็นแม่ชีรูปหนึ่งกำลังใช้พลังรักษาทหารที่บาดเจ็บนายหนึ่งอยู่   เด็กน้อยหันหน้ากลับมา คิ้วน้อยๆขมวดกันอีกครั้ง  แววตาแสดงออกซึ่งความห่วงใย  
                       “คุณทหารก็บาดเจ็บเหมือนกัน   คุณทหารท่าทางเจ็บมากนะจ๊ะ   เดี๋ยวฉันจะรักษาให้   ฉันรักษาเป็นนะ ฉันเห็นซิสเตอร์ทำบ่อยๆ” ว่าแล้วเจ้าหญิงน้อยก็รีบเอามือแตะที่บาดแผลของเขา   ทหารหนุ่มตกใจเป็นกำลังรีบเขยิบออกห่าง ความเจ็บปวดแล่นแปล๊บจากบาดแผลจนเขาชะงักค้าง   คิ้วขมวดเกร็งกัดฟันแน่น ก่อนจะกล่าวเสียงแหบพร่า
                       “องค์หญิง......  กระหม่อม.......จะทำให้พระหัตถ์สกปรก.........”
บุรุษผู้ถูกสอนมาชั่วชีวิตว่าประเทศชาติและราชวงค์สำคัญยิ่งชีพ ณ บัดนี้เบื้องหน้าเขาคือเจ้าชีวิตผู้สูงส่งเทียมฟ้า เด็กหญิง เกิดความสงสัยในแววตา   ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม
                       “ไม่สกปรกหรอกจ๊ะ  แต่คุณทหารอย่าขยับอีกนะ  คุณทหารต้องเจ็บมากแน่ๆ  ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ  ฉันจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: December 19, 2004, 02:56:46 AM »

                      มือน้อยๆของเจ้าหญิงเอื้อมมาจับที่ไหล่อันอ่อนแรง พร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน มือนั้นลูบที่หัวไหล่อย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในจิตใจของพลทหารผู้สิ้นหวัง
                      “ทำใจดีๆไว้นะจ๊ะ   อดทนไว้นะจ๊ะ”
                      เสียงอันอ่อนโยนกับมือที่อบอุ่น   ทำให้พลทหารหนุ่มเกิดความรู้สึกเหมือนมีความอบอุ่นอ่อนโยนอย่างประหลาดไหลซ่านเข้ามายังร่างกายและจิตใจ   ความเจ็บปวดเริ่มคลายลง    ดวงตาสีน้ำเงินของเขาคลอไปด้วยน้ำตา
เจ้าหญิงน้อยยิ้มอย่างเมตตา คุกเข่าลงเคียงข้าง เลื่อนมือมาที่บาดแผลของเขา   เลือดที่ไหลออกมากระเซ็นโดนอาภรณ์ล้ำค่าของเจ้าหญิง   มือสีขาวนุ่มเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและคราบดิน   เจ้าหญิงน้อยหลับตา ความสว่างสดใสอันอบอุ่น ที่ดูเหมือนกับแผ่ออกมาจากร่างบอบบางนั้น  แต่ด้วยวัยเพียงหกชันษาเจ้าหญิงน้อยจึงมิอาจคงพลังแห่งการรักษาไว้ได้   แสงจึงค่อยๆจางลงไป  
                      “แย่จริง คงต้องลองใหม่    ขอโทษนะจ๊ะ  ฉันเองเพิ่งเคยลองทำจริงๆครั้งแรก”
                      เจ้าหญิงยิ้มก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง   แต่ทว่าคราวนี้ ก็ไม่ต่างจากครั้งแรก   เจ้าหญิงขมวดคิ้วน้อยๆมองหน้านายทหารหนุ่มอีกครั้งอย่างเป็นห่วงเป็นใย   ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งแสงสว่างและพลังอันอบอุ่น ดูจะไหลผ่านเข้ามาในร่างที่บาดเจ็บนั้นแต่เพียงชั่วครู่ก็จางลงอีกครั้ง   แต่คราวนี้เจ้าหญิงไม่ลืมตาขึ้นหากแต่เริ่มตั้งสมาธิใหม่ทันที   แสงสว่างสดใสขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะจางลง  และเริ่มสว่างอีก
                      อองเดรรู้สึกว่ามีพลังอันอบอุ่นแผ่เข้ามาหาเขาเป็นระยะๆ   หากแต่มันไม่มากเพียงพอที่จะรักษาบาดแผลฉกรรจ์นั้นได้  ความบาดเจ็บคลายลงเล็กน้อยแต่เลือดยังคงไหลออกมา   เมื่อเขาสังเกตเห็นเหงื่อเม็ดน้อยๆผุดขึ้นบนหน้าผากกลมเนียนไหลลงมาที่คิ้วยาวบางที่ขมวดอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ  ทันทีที่แสงจางลงเจ้าหญิงลืมตาขึ้นหอบหายใจน้อยๆ   เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองไปยังใบหน้าทหารหนุ่ม   เธอก็เห็นใบหน้านั้นเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลเป็นทาง ปากที่สั่นเทา พยายามพูดบางสิ่งบางอย่างด้วยเสียงที่ตะกุกตะกักแต่ไม่ใช่มาจากอาการบาดเจ็บ   หากแต่มาจากการพยายามกลั้นการสะอื้นไห้
                      “พระ...พระอาญามิพ้นเกล้า.......พระองค์เป็นเจ้าชีวิต....  โปรดอย่างทรงลำบาก.....เพื่อกระหม่อมอีกเลย.....กระหม่อมเป็นแค่พลทหาร.......... ทุกคนปล่อยให้กระหม่อมตายแล้ว...............  เจ้าหญิง.......กระหม่อมไม่อาจรับพระกรุณา....เพียงนี้........  โปรดอย่าให้กระหม่อมต้องตายพร้อมความรู้สึกผิด.........”
                      เจ้าหญิงน้อยหน้าเศร้า ดึงผ้าเช็ดหน้าลูกไม้ที่ทักทอด้วยลวดลายที่สวยวิจิตรออกเช็ดน้ำตาให้   พลทหารตกใจยกมือขึ้นห้าม  น้ำตากลับไหลมากกว่าเดิม
                      “โปรดเถิด..........กระหม่อมมิอาจรับได้”
                      เจ้าหญิงเอื้อมมือน้อยๆ ขึ้นจับมือที่ปัดป้องนั้น
                      “ฉันสงสารคุณทหารเหลือเกิน   ฉันมาเพิ่มความทุกข์ให้คุณทหารหรือเปล่า”
                      อองเดรรีบส่ายหน้า    เจ้าหญิงอลาน่าน้อยจึงกล่าวต่อด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใย
                      “ถ้าฉันเป็นเจ้าชีวิตจริง   ฉันคงสามารถสั่งไม่ให้คุณทหารต้องตาย    แต่ว่ามีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่จะทรงกำหนดชีวิตมนุษย์ได้   และเราจะอยู่ต่อไปได้หรือไม่ก็ด้วยพระเมตตาของพระองค์......”
                      เจ้าหญิงกุมมือพลทหารแน่นขึ้น
                      “ฉันเชื่อว่าพระเจ้าจะไม่ละทิ้งผู้มีความพยายาม และผู้ที่วางใจในพระองค์   ฉันเองก็จะพยายามช่วยคุณทหาร   คุณทหารเองก็ต้องพยายามที่จะมีชีวิตอยู่   ถ้าเราทั้งสองต่างพยายามอย่างมุ่งมั่น   คุณทหารคิดว่าพระเจ้าจะทรงทนเมินเฉยไม่เมตตาต่อเราเชียวหรือจ๊ะ และถ้าคุณทหารต้องตายต่อหน้าฉันโดยที่ฉันไม่อาจช่วยอะไรได้   ฉันจะเสียใจมาก........”
                      อองเดร นิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่  ก่อนกล่าวขึ้นอย่างตื้นตัน
                      “หากเป็นพระประสงค์ขององค์หญิง...   กระหม่อมจะพยายามมีชีวิตอยู่”
                      เจ้าหญิงยิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนนางฟ้าองค์น้อยๆ   เลื่อนมือสัมผัสบาดแผลอีกครั้ง และหลับตาลง  แสงสว่างที่สดใสค่อยๆสว่างขึ้น.......
                       หลังจากซิสเตอร์โรซาน่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นให้กับทหารจนหน่วยแพทย์ทหารและพยาบาลมาถึง  ก็ออกตามหาเจ้าหญิงอลาน่า   ซิสเตอร์หาอย่างไรก็ไม่เจอ   จนกระทั่งสังเกตเห็นแสงที่สว่างออกมาเป็นระยะๆใกล้ซากอมาดิลลอน  เธอรีบเข้าไปดู   และก็พบทหารที่อาการสาหัสเอนหลังพิงซากของมัน  รวมทั้งเจ้าหญิงอลาน่าที่กำลังใช้พลังทำการรักษาอยู่   ซิสเตอร์ตกใจร้องออกมา
                       “เจ้าหญิง  ทรงทำอะไรอยู่เพคะ”
                       เจ้าหญิงลืมตาขึ้นมอง   หายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
                       “ซิสเตอร์มาแล้ว   ซิสเตอร์คะ ช่วยคนคนนี้ด้วยค่ะ”
                       ซิสเตอร์โรซาน่า เข้ามาดูอาการนายทหาร    แล้วกล่าวอย่างตกใจ  
« Last Edit: December 19, 2004, 02:59:02 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: December 19, 2004, 02:58:33 AM »


                       “อาการสาหัสมาก........ นี่คุณทนอยู่ในสภาพนี้ได้นานขนาดนี้ได้อย่างไร    ปาฎิหารย์แท้”
                       “ซิสเตอร์ช่วยเขาได้มั้ยคะ” เจ้าหญิงถามอย่างเหนื่อยอ่อน
                       ซิสเตอร์โรซาน่า หันมาทางองค์หญิง   ถามด้วยความตกใจ
                       “เจ้าหญิงใช้พลังการรักษาได้อย่างไรกันเพคะ   แล้วเจ้าหญิงทรงรักษาอยู่นานแค่ไหนแล้ว”
                       “ตั้งแต่เรามาถึงค่ะ” เจ้าหญิงตอบ
                       “นั่นนานมากนะเพคะ   นี่เขาทนอยู่นานขนาดนี้.............. แล้วองค์หญิงทราบมั้ยเพคะว่าการใช้พลังรักษาแบบนี้ต้องใช้พลังชีวิตของคนที่รักษาเข้าช่วย ผสมผสานกับพลังอันศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์   ถ้าไม่ใช่ผู้ฝึกฝนมานานปี หรือมีพระพรพิเศษอย่างหม่อมฉัน ร่างกายจะทนรับไม่ได้เกินครึ่งชั่วโมงนะเพคะ   แต่นี่เกือบสามชั่วโมงเชียวนะเพคะ”
                       “ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ ซิสเตอร์รีบช่วยเขาก่อนเถิด”เจ้าหญิงตอบพร้อมยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน
                        ซิสเตอร์โรซาน่าคิดอยู่ชั่วครู่ กล่าวแก่พลทหารที่นอนอยู่
                       “อาการขนาดนี้ต้องใช้พลังจากเบื้องบนเข้าเสริมมากเป็นพิเศษ   แต่สภาพร่างกายคุณบอบช้ำมาก   ฉันเกรงจะรับไม่ไหว”
                       “ผมไม่ยอมตายครับซิสเตอร์    เพราะเจ้าหญิงทรงบอกไม่ให้ผมตาย”เจ้าหญิงยิ้มให้อองเดรอย่างอ่อนโยน  
                       ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงพลังมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาในตัวเขาอย่างเฉียบพลัน ก่อนสติจะดับวูบลง    



                       อองเดรรู้สึกรำคาญเมื่อมีเสียงผึ้งมาบินอยู่ในหูของเขา   เขาพยายามยกมือขึ้นปัดมันออกไปแต่แขนเขากลับอ่อนปวกเปียกราวกับไม่มีกล้ามเนื้อ   เขาพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก   แสงสว่างที่แทรกตัวผ่านเปลือกตาของเขาเข้ามาทำให้เขาแสบตาจนต้องกระพริบตาอยู่หลายครั้ง   เวลานี้เขารู้แล้วว่าเสียงที่ได้ยินนั้นไม่ใช่ผึ้งหากแต่เป็นเสียงซุบซิบของกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ๆกับเตียงที่เขานอนอยู่   เขามองไปรอบๆจึงได้รู้ว่าเขาอยู่บนเตียงคนไข้ในสถานพยาบาลของกองทัพนั่นเอง   เขายังรู้สึกเพลียอยู่จึงคิดว่าจะหลับต่ออีกสักหน่อยก็พอดีว่าเขาได้ยินกลุ่มคนนั้นเอ่ยชื่อเจ้าหญิงอลาน่า   เขาตื่นตัวรีบเงี่ยหูฟังทันที   ชายที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆเขากำลังคุยอวดสิ่งที่ตนเองเห็นมาอย่างตื่นเต้น
                       “พวกเจ้าต้องไม่เชื่อแน่ๆ   ข้าเห็นเจ้าหญิงน้อยเสด็จมาเมื่อวันที่ไอ้พวกอมาดิลลอนมันลงมาอาละวาด   ไม่นึกเลยว่าพระองค์จะทรงเป็นห่วงชาวบ้านอย่างเราๆแบบนี้อุตส่าห์เสด็จลงมาเยี่ยม” เขาเล่าอย่างตื่นเต้น  
                       “พระสิริโฉมต้องงดงามน่ารักแน่ๆเลยใช่มั้ย” ชายอีกคนที่มีผ้าพันแผลอยู่บนศีรษะรีบคะยั้นคะยอให้ชายคนแรกเล่า
                       “โอ!ทรงน่ารักมากเลย   ไม่ถือพระองค์แม้แต่นิดเดียว   ทรงยิ้มให้ข้าด้วย” ชายคนแรกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “แต่ตอนพระองค์เสด็จกลับไม่รู้ว่าทรงเป็นอะไร   ดูอ่อนเพลียมากจนซิสเตอร์ที่มาด้วยกันต้องประคองตลอดทางเลย   ข้าล่ะเป็นห่วงจริงๆ”
                       แทบจะทันที  อองเดรก็พุ่งลงจากเตียงไปเขย่าไหล่ชายคนที่พูดอย่างแรง  
                       “องค์หญิงทรงเป็นอะไร   ทรงเป็นอะไรมากรึเปล่า”
                       “โอ๊ย!เดี๋ยวก่อนใจเย็นๆ   ค่อยๆพูดกันก็ได้   เจ้าจะฆ่าข้าหรือไง”  ชายคนนั้นพลักอองเดรออกไปเต็มแรง   อองเดรเซล้มกลับลงไปที่เตียงของเขา   ตอนนี้ขาเขาแทบจะไม่มีแรงอีกครั้ง   บาดแผลก็รู้สึกปวดตุ๊บๆ   เขาทั้งประหลาดใจและแปลกใจกับร่างกายของเขาที่แทบจะยกมือไม่ขึ้นกลับไม่รู้เอาเรี่ยวแรงจากไหนพุ่งร่างไปถึงเตียงข้างๆได้   ชายคนนั้นมองเขาอย่างไม่พอใจ  พลางตอบเสียงหงุดหงิด
                       “สลบไปตั้งห้าวันพอฟื้นขึ้นมาก็อาละวาดเลยรึเจ้าทหารยศต่ำ   ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆว่าพวกซิสเตอร์เขาช่วยแกทำไม”  
                       อองเดรใจหายวาบ   นี่เขาหมดสติไปถึงห้าวันเต็มๆเชียวหรือ   แต่เรื่องเจ้าหญิงน้อยสำคัญกว่าชีวิตของเขาแล้วตอนนี้   เขารวบรวมกำลังหยัดตัวขึ้นถามเสียงร้อนรน
                       “เจ้ายังไม่ได้บอกข้า   องค์หญิงทรงเป็นอะไรมากรึเปล่า”  
                       ชายคนนั้นมองอองเดรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเสียงหนักๆ   ยังคงมีแววขุ่นใจอยู่ในน้ำเสียง “ข้าก็ไม่รู้ว่าทรงเป็นอะไรเหมือนกัน    แต่ทรงดูเหนื่อยอ่อนมากจนซิสเตอร์ต้องพยุงเดิน   ข้าก็เห็นแค่นั้นแหละ   หมดธุระของเจ้าแล้วใช่ไหม”   ชายคนนั้นกล่าวจบก็หันกลับไปอีกทางมิสนใจเขาอีก
อองเดร ก้มหน้านิ่งค่อยๆทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช้าๆ   มือเล็กๆที่วางอยู่เหนือสีข้างของเขาเปื้อนเลือดของเขาไปหมดใบหน้าขององค์หญิงน้อยดูซีดเซียวและเหนื่อยอ่อน   เขารู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างมาจุกที่อกอย่างแรง   เขาหลับตาเม้มปากแน่น   เขายกมือขวาขึ้นแตะที่หัวใจพลางสาบานในใจว่า
                       “กระหม่อม อองเดร ออเนอเร่  ขอสาบานด้วยเกียรติในกายทั้งหมดที่มีว่า   กระหม่อมจะจงรักภักดีต่อเจ้าหญิงอลาน่า   และจะเทิดทูนพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด”
                       เสียงหวูดเรือดังก้อง   เขารู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นกระชากเขากลับมายืนที่กราบเรืออีกครั้ง   เขารีบกวาดตาไปทั่วบริเวณนั้นว่ามีใครสังเกตเห็นหรือไม่   เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแล้วเขาจึงค่อยเบาใจ   เสียงหวูดเรือดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง   อันเป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงเมืองท่าแอนดิซองแล้ว   อองเดรกวาดสายตาไปทั่วท้องทะเลและฝูงเงือกเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะกลับหลังหันเดินเข้าไปภายในเรือ

Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.024 seconds with 22 queries.