Summoner Master Forum
March 28, 2024, 08:02:49 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter20 น้ำจากพระทัย @@  (Read 8724 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: December 19, 2004, 04:12:17 AM »

Chapter20  น้ำจากพระทัย
[/size]


                        รุ่งสางของวันใหม่   ขณะที่ทุกชีวิตกำลังหลับใหลอย่างเป็นสุข   ฝูงมังกรไฟนับร้อยต่างโผทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ายามเช้าอย่างรวดเร็ว   ราชินีแห่งซาโลมนำฝูงมังกรบินวนสูงเหนือป่าทมิฬและพื้นที่บริเวณใกล้เคียงโดยรอบถึงสามครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าลูกตาแก้วที่ติดอยู่บริเวณอกของซาลามันเดอร่าจะสามารถเก็บรายละเอียดต่างๆของป่าบริเวณนี้ได้ครบถ้วน   นางก้มลงมองดูภาพเบื้องล่าง   ทะเลเมฆสีเขียวทึบเมื่อคืนนี้เพียงแค่สัมผัสกับแสงแรกของดวงอาทิทย์ก็กลับดูสดใสเขียวชอุ่มและชุ่มชื่นยิ่งนัก   ลำแสงจากดวงอาทิตย์สาดกระทบกับหยาดน้ำค้างอันเกิดจากความเย็นที่โรยตัวลงเกาะตามใบไม้ใบหญ้าทำให้เกิดแสงสะท้อนระยิบระยับไปทั่วทั้งป่าจนดูราวกับว่าต้นไม้ทั้งป่ากำลังส่องประกาย   หลังคาบ้านเรือนน้อยใหญ่กระจุกตัวอยู่ด้วยกันเป็นหย่อมๆ   บางแห่งก็อยู่รวมกันมากถึงสองร้อยหลังคาเรือน   อันแสดงถึงความหนาแน่นของหมู่บ้านเผ่าต่างๆทั้งขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณป่าฝั่งตะวันตกนับร้อยหมู่บ้าน  
                       ทว่าความงดงามของผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์เบื้องล่างนั้นมิได้สร้างอารมณ์ความรู้สึกใดๆให้แก่ราชินีแห่งซาโลมเลย   เว้นเสียแต่ความริษยาที่พุ่งพล่านอยู่ในจิตใจของนาง   นางกัดริมฝีปากแน่นพลางกวาดตามองไปทั่วผืนป่า    ความคิดที่ว่า มันจะเป็นการดีสักเพียงไร  หากความอุดมสมบูรณ์นี้จะเป็นของอิสฮานลูกชายสุดที่รัก   ผนวกกับความถวิลหาลูกชายที่นางรู้อยู่เต็มอกว่าอีกเพียงไม่กี่อึดใจนางก็จะได้กลับไปซาโลมไปหาลูกชายของนาง    ความริษยาที่มีความรักเป็นพื้นฐานนั้นได้เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจของนางอย่างรุนแรงและรวดเร็ว   เสียงของมันร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนนางเองแทบทนเก็บอารมณ์ไว้ไม่ได้
                       เนอริมอร์นำฝูงมังกรไฟบินกลับมาเหนือป่าทมิฬอีกครั้งพร้อมกับให้สัญญาณผู้ควบคุมสัตว์แห่งซาโลม   ผู้ควบคุมสัตว์เมื่อได้รับสัญญาณก็จัดแจงสั่งมังกรไฟให้กระจายกำลังไปตามจุดต่างๆทั่วบริเวณผืนป่าทิศตะวันตก   เหล่ามังกรไฟนับร้อยต่างฮึกเหิมและคึกคะนองเต็มที่   ลมหายใจร้อนระอุคุกรุ่นถูกพ่นออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนเป็นสัญญาณแสดงความพร้อมของเปลวเพลิงที่อัดแน่นอยู่ในตัวของพวกมัน
                       เนอริมอร์ชูแขนทั้งสองข้างขึ้นสูงจนสุดแขนโดยในมือขวายังคงถือคฑาไว้แน่น    ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ดุดันและเหี้ยมเกรียมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ   ดวงตาคมโตเบิกกว้างดูวาวโรจน์   เกิดไอร้อนระอุรอบตัวของนางและค่อยๆแผ่ซ่านไปทั่วทุกทิศทุกทาง    ทับทิมสีแดงสดที่หัวคฑาเปล่งประกายเจิดจ้า   ลูกไฟขนาดย่อมๆเหนือฝ่ามือทั้งสองที่ชูขึ้น  ขยายใหญ่อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ   ขนาดของลูกไฟยักษ์ใหญ่มากกว่ามังกรซาลามันเดอร่าถึงสองเท่า   ซึ่งแม้นางจะออกศึกมาแล้วหลายครั้งหลายคราแต่การสร้างลูกไฟขนาดมหึมาเช่นนี้ก็แทบจะไม่เคยมีปรากฏมาก่อน   ทำให้แม้แต่ผู้ควบคุมสัตว์และเหล่ามังกรยังต้องตื่นตะลึง   แสงสว่างจากลูกไฟใหญ่นั้นโชติช่วงสว่างเจิดจ้าราวกับว่ามีดวงอาทิตย์อีกดวงที่กำลังลอยต่ำเหนือพื้นโลกเพียงไม่กี่เมตร
เนอริมอร์หัวเราะอย่างเหี้ยมเกรียมพร้อมประกาศเสียงกร้าว  
                       “ฮ่า ฮ่า ฮ่า  จงลืมตาตื่นซะเจ้าพวกชาวป่าทั้งหลาย   เปิดตาดูมหาเพลิงที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์หน้าไหนของเจ้ามาก่อน   ยุคใหม่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
                       สิ้นเสียง  เนอริมอร์ก็ขว้างมหาเพลิงใส่ใจกลางของป่าทมิฬทันที    ฉับพลันก็เกิดแรงระเบิดมหาศาลหมู่บ้านขนาดใหญ่ห้าหมู่บ้านแปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงในบัดดล    ความรุนแรงของเพลิงเวทย์เผาผลาญป่าโดยรอบและขยายเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ   ฝูงมังกรไฟนับร้อยก็พุ่งตัวลงสู่ป่าเบื้องล่างและพ่นไฟร้อนจัดเผาหมู่บ้านและป่าไม้ตามจุดต่างๆโดยรอบทันทีชนิดที่มิให้ใครตั้งตัวได้ทัน   เสียงมังกรไฟร้องขู่คำรามประสานกับเสียงหวีดร้องของชาวป่าเบื้องล่างจนฟังไม่ได้ศัพท์   ผู้คนนับร้อยนับพันต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอดกันจ้าละหวั่น   บางคนที่มัวแต่ห่วงสมบัติก็แบกข้าวของหนีพะรุงพะรัง   แต่ก็หนีไปได้ไม่ไกลเพราะหนักสมบัติจนตกอยู่ในวงล้อมของเปลวเพลิง   บางคนที่ขวัญอ่อนมั่วแต่ตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกก็ถูกไฟครอกทั้งเป็น   บางคนมีลูกเล็กๆก็ต้องหอบลูกจูงหลานหนีอย่างทุลักทุเล  
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: December 19, 2004, 04:13:40 AM »

                        ณ ผืนป่าเบื้องล่าง   ไฟป่าที่ลุกโหมอย่างรุนแรงสร้างหมอกควันสีเทาหนาทึบไปทั่วบริเวณทำให้การเคลื่อนย้ายผู้คนลำบากขึ้นเรื่อยๆ   เสียงแตกปะทุของต้นไม้ดังเป็นระยะๆ  ดามิก้าผู้ควบคุมสัตว์สาวชาวป่าทมิฬรวมกับผู้นำคนอื่นๆกำลังสาละวนอยู่กับการสั่งสัตว์ป่าทั้งหลายให้ช่วยผู้คนอพยพออกจากพื้นที่อันตราย   ไฟป่าที่ลุกท่วมกำลังลุกไหม้โอบล้อมหมู่บ้านของเธอเข้าไปทุกที   เส้นทางที่สามารถออกจากหมู่บ้านถูกไฟป่าถาโถมทำลายจนเหลือทางเข้าออกเพียงทางเดียว   ทันใดนั้นเองต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งก็ล้มครืนลงพาดขวางเส้นทางการอพยพ   ทำให้ดามิก้าและชาวบ้านอีกนับร้อยตกอยู่ในวงล้อมเพลิงทันที  
                        ดามิก้าจัดแจงควงดาบขนาดใหญ่ฟันที่กลางลำต้นของต้นไม้อย่างแรง   บรรดาชาวบ้านที่เป็นผู้ชายก็รีบมาช่วยกันเป็นพัลวัน   ทว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจัดการกับลำต้นของต้นไม้ขนาดเจ็ดคนโอบในเวลาที่เหลือน้อยเช่นนี้    ที่ปลายทั้งสองด้านของต้นไม้ค่อยๆถูกเผาไหม้ทีละน้อย   เสียงแตกปะทุของเนื้อไม้เริ่มดังเป็นระยะๆ   ดามิก้าและชาวบ้านต่างเร่งมือแข่งกับเศษเสี้ยวของเวลาอย่างขะมักเขม้น   ทันใดนั้นก็เกิดเสียงไม้แตกดังสนั่นจากลำต้นอีกด้าน   ดามิก้ารีบสั่งให้ชาวบ้านถอยห่างจากต้นไม้ทันที   เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่คมขวานลงอักขระขนาดมหึมาจะจามลงผ่ากลางตลอดลำต้นของต้นไม้นั้นเปิดเป็นช่องเล็กๆขนาดคนเดินได้    ที่ฝั่งตรงข้ามของต้นไม้นั้นปรากฏร่างของชายหนุ่มร่างใหญ่กำยำที่แขนขวาสักลวดลายสีแดงเข้มยืนถือขวานยักษ์คู่กายอยู่
                        “ท่านดามิก้า   ท่านผู้นำให้ข้าย้อนกลับมาดูกลุ่มของท่าน   เพราะเหลือกลุ่มของท่านกลุ่มเดียวที่ยังไม่ได้ออกจากหมู่บ้าน”   ชายเจ้าของขวานยักษ์กล่าวอย่างร้อนรน
                        “ขอบใจมากท่านโทนิม่า (Tonima, the Black Wood Tamer)   ต้นไม้ต้นนี้มันล้มลงมาขวางเส้นทางพอดี  ทำให้เสียเวลาไปมาก”  ดามิก้ากล่าวอย่างเร่งรีบ
                        “เราไม่มีเวลาเปิดทางให้กว้างกว่านี้แล้ว  รีบลำเลียงผู้คนเถิด”  โทนิม่ากล่าวหลังจากประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
                        “ทุกคนทิ้งสัมภาระให้หมดแล้วรีบออกไปทางช่องนี้  เร็วเข้า!  เราไม่มีเวลาแล้ว” ดามิก้าออกคำสั่งทันที
                        ชาวบ้านทุกคนต่างทิ้งสัมภาระของตนแล้วรีบวิ่งออกจากพื้นที่นั้นอย่างรวดเร็ว   เมื่อชาวบ้านคนสุดท้ายหลุดออกมาจากช่องไม้นั้นได้   ผืนป่าเบื้องหลังก็กลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้ว   ชาวป่าเผ่าต่างๆต่างก็อพยพหนีไฟป่าอย่างไม่คิดชีวิตโดยมุ่งหน้าสู่ฟูดินัน


                        แรงระเบิดที่เกิดขึ้นจากการทำลายล้างของเนอริมอร์นั้นสะเทือนไปไกลถึงฟูดินัน   ชาวบ้านต่างอกสั่นขวัญแขวนด้วยไม่รู้ว่าเหตุอาเพทนี้คืออะไร   บรรดาชาวบ้านต่างออกมายืนชุมนุมกันที่ลานกว้างใจกลางเผ่า   ต่างซักถามพูดคุยและวิจารณ์กันไปต่างๆนานา   บ้างก็ว่าธรณีพิโรธ  บ้างก็ว่าเทพพิทักษ์คีรีบันดาอาละวาด   จนเสียงวิพากวิจารณ์ดังเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณ   ร้อนถึงครอบครัวบันดาราต้องออกมายุติความตื่นตระหนก
                        วูจินเดินออกมาที่ระเบียงหน้าบ้านซึ่งเป็นพื้นไม้ยกสูงจากพื้นราวๆหนึ่งคืบ   โดยมีวานาอันคอยจับแขนประคองอยู่ไม่ห่าง   การกระทำเช่นนี้เป็นภาพที่ชินตาของชาวฟูดินัน   แม้ว่าท่านผู้เฒ่าจะยังคงแข็งแรงและเดินเหินได้สะดวก   แต่ทุกครั้งตั้งแต่วานาอันยังเป็นเด็กน้อยเธอก็จะคอยปฏิบัติเช่นนี้อยู่เสมอเรื่อยมา   ซึ่งท่านผู้เฒ่าเองก็ดูจะพึงพอใจที่หลานสาวแสดงความรักความกตัญญูต่อตนเช่นนี้อยู่ไม่น้อย  เพราะวูจินก็ไม่เคยห้ามปรามหรือแสดงความรำคาญให้เห็น   ฝ่ายฮารีซันซึ่งเดินตามออกมาหยุดยืนอยู่ข้างๆวูจินนั้นมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกันกับวูจิน
                        “ใจเย็นๆไว้ก่อนท่านทั้งหลาย  ข้าสอบถามไปทางหอสังเกตการณ์แล้ว   อีกประเดี๋ยวก็คงจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น   อ๊ะ! นั่นยังไง ล่ะ   มาโน่นแล้ว”  ฮารีซัน กล่าวขึ้น
                        ชายหนุ่มผู้เฝ้าหอทางทิศตะวันตกรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในมือยังคงกำกล้องส่องทางไกลไว้แน่น   พลางกล่าวทักทายวูจินและฮารีซัน  ก่อนจะรีบรายงานเหตุการณ์ที่เกิด
                        “มีฝูงนกเป็นหมื่นๆตัวจากฟากตะวันตกกำลังบินมุ่งหน้ามาทางนี้ครับ”
                        “ฝูงนกอพยพรึ”  ชาวบ้านคนหนึ่งถาม
                        “ถ้าถึงขนาดเป็นหมื่นตัว    ข้าว่ามันอพยพมาทั้งป่าแล้วกระมัง”  ชาวบ้านอีกคนพูดขึ้น
                        “นี่มันไม่ใช่ฤดูอพยพเสียหน่อย”  ชาวบ้านที่ยืนอยู่ด้านหน้ากล่าวโต้ก่อนที่เสียงถกเถียงกันไปมาจะดังขึ้นอีกครั้ง    วูจินต้องใช้ไม้เท้าเคาะกับพื้นหลายครั้งเสียงจึงเงียบลง
                        “แล้วเจ้าสังเกตเห็นอะไรอย่างอื่นอีกรึไม่”  วูจินถามเสียงเครียด
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: December 19, 2004, 04:15:23 AM »

                       “ครับ!!    ที่บริเวณป่าทมิฬเกิดกลุ่มควันหนาทึบพวยพุ่งสูงทีเดียวครับ”
                       ทันทีที่สิ้นเสียงก็พลันบังเกิดความเงียบขึ้นทั่วทั้งที่ชุมนุม   ก่อนจะเกิดการทุ่มเถียงโหวกเหวกจนฟังไม่เป็นภาษา  
                       “ไฟป่ารึ”  ชาวป่าวัยกลางคนพูดขึ้น “เป็นไปไม่ได้   อากาศชุ่มชื้นถึงเพียงนี้แล้วจะเกิดไฟป่าได้อย่างไร”
                       “หรือจะเกิดสงครามระหว่างเผ่าขึ้นอีก”  อีกคนหนึ่งผู้ขึ้นอย่างตื่นตระหนก
                       “ ฟ้าพิโรธ  ต้องเกิดเหตุอาเพทเพราะมีคนไปล่วงเกินเทพเจ้าแน่ๆ”  หญิงชราร้องขึ้นอย่างหวาดกลัว
                       บรรดาชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์กันจนสับสนอลหม่าน   วูจินต้องกระแทกไม้เท้าอีกหลายครั้งกว่าบรรดาชาวบ้านจะสงบลง   แล้วฮารีซันจึงหันไปกล่าวกับผู้เฝ้าหอคอย
                       “ท่านรีบกลับไปที่หอคอย   สังเกตความเคลื่อนไหวทุกอย่าง  แล้วรีบส่งคนกลับมารายงานโดยด่วนที่สุด”
                       “ครับ”  ชาวหนุ่มรับคำแล้วรีบกลับไปประจำการที่หอคอยทันที
                       “วานาอัน   เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า   สีหน้าน้องดูไม่ดีเลย”  ฮารีซันเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่สังเกตเห็นความผิดปกติของน้องสาว
                       วูจินซึ่งก็สังเกตเห็นด้วยเช่นกันจึงเอ่ยขึ้น   “วานาอัน   ฟังสิ  เจ้าได้ยินอะไร”
                       วานาอันมีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก   เธอก้าวลงจากระเบียงไปยืนบนพื้นดิน  ย่อตัวลงก่อนจะวางมือเรียวงามทั้งคู่แนบลงกับผืนดิน   เธอสูดหายใจลึกค่อยๆหลับตาช้าๆปล่อยจิตให้สัมผัสกับจิตแห่งธรรมชาติ   คิ้วน้อยๆขมวดเข้าหากัน
                       “มีฝีเท้าจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว   ฝีเท้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก   ผืนดินร้อนระอุและครวญครางด้วยความเจ็บปวด”  วานาอันกล่าวก่อนจะค่อยๆยืนขึ้น  แขนทั้งสองข้างกางออก เธอหงายฝ่ามือขึ้นดวงตาคู่งามยังคงปิดสนิท   สายลมจากทิศตะวันตกโชยพัดจนผมสีน้ำตาลเข้มของเธอพริ้วไหว  “สายลมหวีดร้องอย่างโหยหวนและตื่นกลัว   ความน่ากลัวยิ่งกว่าภัยธรรมชาติครั้งไหนๆกำลังจะมา   เปลวเพลิงที่รุนแรงยิ่งกว่าไฟป่าอัดแน่นไปด้วยจิตสังหารและการเข่นฆ่า”
                       ชาวบ้านต่างมองหน้ากันเพราะยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าเด็กสาวกำลังพูดถึงอะไร  ทันใดนั้นฝูงนกนับหมื่นก็บินมาถึงฟูดินันและบินผ่านลานกว้างที่ชาวบ้านกำลังชุมนุมกันอยู่  เสียงนกร้องดังสนั่นลั่นเซ็งแซ่จนต่างก็ต้องเอามือปิดหู   ลมที่เกิดจากการกระพือปีกของนกนับหมื่นตัวพัดกระหน่ำลงสู่พื้นเบื้องล่าง   วานาอันเงยหน้าขึ้นพยายามสัมผัสถึงบรรยากาศที่บรรดานกเหล่านี้ได้หอบมา   เมื่อนกทั้งหมดบินผ่านไปแล้ว   วานาอันก็ถึงกับหน้าซีดเข่าอ่อนหัวใจของเธอเต้นแรงเร็วสั่นรัว   ฮารีซันต้องรีบเข้าไปพยุงให้ลุกขึ้นและพาขึ้นระเบียงบ้าน   วานาอันรีบคว้าแขนพี่ชายไว้
                       “พี่คะรีบอพยพชาวบ้านเถอะค่ะ   ท่านปู่เราต้องรีบอพยพชาวบ้านเดี๋ยวนี้นะคะ” วานาอันรีบกล่าวละล่ำละลัก   ฮารีซันนั้นก็วิตกกังวลกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่มิใช่น้อยเพราะวานาอันไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้มาก่อน   วูจินจับมือหลานสาวตบเบาๆเป็นเชิงปลอบก่อนที่จะซักถามเหตุการณ์กับหลานสาวเสียงเบา   วูจินพยักหน้าเป็นครั้งคราว สีหน้าเริ่มดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด    ฮารีซันนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นนิ่งเงียบ   บรรดาชาวบ้านต่างก็ร้อนใจอยู่ไม่เป็นสุขและรอคอยการตัดสินใจจากหัวหน้าเผ่าอย่างใจจดใจจ่อ   วูจินพูดกับฮารีซันอีกสองสามคำ   ฮารีซันซึ่งเวลานี้มีสีหน้าหนักใจไม่ต่างจากวูจินและวานาอัน   เขาเดินออกมายืนต่อหน้าชาวบ้านที่ชุมนุมกันอยู่กล่าวว่า
                       “พี่น้องทุกท่าน   ข้าอยากให้ทุกท่านกลับไปบ้านและเก็บเฉพาะข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นแล้วรีบกลับมารวมตัวกันที่นี่ให้เร็วที่สุด”
                       “อะไรกัน  มันจะเกิดอะไรขึ้นรึ  ทำไมพวกเราจะต้องเก็บของ”  หญิงชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น
                       “ข้าไม่อยากไป   ข้าจะอยู่ที่นี่”  ชายแก่อีกคนพูดขึ้น
                       “ตอนนี้สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่นัก  จะเป็นการดีกว่านะครับถ้าพวกเราจะอพยพไปในที่ๆปลอดภัย   หากสถานการณ์ไม่เลวร้ายอย่างที่คิดเราก็ค่อย…”  
                       “ก๊าซซซซซซซ!!!!”  
                       ฮารีซันพูดยังไม่ทันจบก็เกิดแผ่นดินไหวและเสียงร้องคำรามดังสั่นจากทางเทือกเขาฝั่งตะวันตก  
                       “เสียงอะไรนะ” เด็กสาวรุ่นคนหนึ่งร้องอย่างตกใจ
                       “เทพพิทักษ์พิโรธแล้ว!!” ชายแก่ที่ยืนอยู่ด้านหน้าทรุดลงไปนั่งกับพื้นตัวสั่นงันงก
                       “เทพพิทักษ์มีอยู่จริงๆด้วย   เราต้องตายแน่ๆ” เด็กสาวรุ่นอีกคนหนึ่งผวาไปกอดเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ
                       บรรดาชาวบ้านเริ่มระส่ำระสายและตื่นตระหนก   ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี  
                       “ทุกท่านอย่าเพิ่งตื่นตระหนกครับ   ทำตามที่ข้าบอก   กลับไปที่บ้านแล้วเตรียมสัมภาระให้พร้อมแล้วมารวมตัวกันที่นี่ให้เร็วที่สุด”  ฮารีซันกล่าวกำชับอีกครั้ง  “เอาเฉพาะของที่จำเป็นนะครับ”
                       บรรดาชาวบ้านต่างก็ทยอยแยกย้ายกลับไปตระเตรียมของที่บ้านของตนอย่างสับสนและงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น   จนเมื่อลานบ้านไม่เหลือใครแล้ววูจินจึงหันกับมากล่าวกับหลานของตน
                       “พวกเราก็ไปเตรียมตัวกันเถอะ”  ฮารีซันและวานาอันก็รีบปฏิบัติทันที

« Last Edit: December 19, 2004, 04:15:51 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: December 19, 2004, 04:17:52 AM »

                      ไม่นานนักฮารีซันก็สะพายห่อผ้าขนาดใหญ่ออกมายืนรอชาวบ้านอยู่ตรงบริเวณหน้าลานกว้างพร้อมกับวูจินและวานาอัน   เด็กสาวสะพายย่ามใบโตที่บรรจุสมุนไพรไว้จนเต็ม   เมื่อทุกคนมาชุมนุมที่ลานกว้างโดยพร้อมเพรียงกันแล้ว   ฮารีซันจึงคิดจะแบ่งชาวบ้านออกเป็นกลุ่มๆเพื่อที่จะได้ดูแลช่วยเหลือกันได้สะดวกขึ้น   แต่ทว่ายังมิทันได้ทำอะไรจู่ๆสัตว์ป่าสีขาวขนาดใหญ่ก็กระโจนข้ามพุ่มไม้จากทางทิศตะวันตกเข้ามาขวางระหว่างชาวบ้านและครอบครัวบันดารา   ทำเอาบรรดาชาวบ้านต่างหวีดร้องด้วยความตกใจ   เสียงหอบหายใจของมันดังฟืดฟาดน่ากลัว   น้ำลายไหลย้อยด้วยความเหนื่อยและกระหายน้ำ   บนตัวของมันมีหญิงสาวที่เนื้อตัวมอมแมมนั่งหมอบอยู่ซึ่งก็หอบหายใจด้วยความเหนื่อยไม่แพ้กับเจ้าสัตว์ป่านั้น  เธอค่อยๆยันตัวขึ้นมาจึงได้รู้ว่าเธอคือดามิก้าจากป่าทมิฬนั่นเอง  
                      ชาวบ้านสองคนรีบตักน้ำมาให้เธอและสัตว์ป่าสีขาวนั้น   เธอรับไปดื่มอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดปนหอบว่า
                      “รีบ...รีบอพยพให้เร็วที่สุด   พวกมันกำลังใกล้เข้ามาแล้ว”
                      “ใครกำลังไล่หลังมา?  เกิดอะไรขึ้น?”  ฮารีซันถามเสียงเครียด
                      “ฝูงมังกรไฟ   พวกมันมาเป็นร้อยๆตัวไล่เผาป่าด้านทิศตะวันตกจนวอดวายไปหมดแล้ว”
                      เสียงชาวบ้านอุทานด้วยความกลัวดังไปทั่วลานกว้างทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น   วานาอันเกาะแขนท่านปู่แน่นสีหน้าตื่นตระหนก  
                      “พวกมันมาจากไหนกัน   แล้วชาวบ้านเผ่าต่างๆล่ะ” ฮารีซันถามต่อ
                      “ข้าก็ไม่รู้  เพราะโดยปกติแล้วมังกรไฟมีถิ่นที่อยู่อาศัยอยู่อีกฟากหนึ่งของเทือกเขาไม่เคยข้ามมาในแถบนี้เลย   แต่มีชาวบ้านจากเขตป่าลึกที่รอดจากการโจมตีเล่าว่าเห็นผู้หญิงในชุดสีแดงเพลิงขี่มังกรสีแดงสี่ปีกเป็นผู้นำพวกมันมา   มังกรแต่ละตัวสวมเกราะสีแดงเข้มเหมือนมังกรที่ใช้ออกศึก มีสัญลักษณ์รูปนกไฟสีเหลืองอยู่ที่เกราะด้วย”
                      “กองทัพเพลิงแห่งซาโลม”  วูจินพูดเสียงเบาจนแทบจะเป็นกระซิบ  วานาอันเหลือบมองตาท่านปู่พร้อมกับจับแขนไว้แน่น เธอรู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจของเธอหายจากตัวไปเสียเฉยๆ   ฮารีซันหันมามองวูจินแวบหนึ่ง เสียงเล่าลือถึงกิตติศักดิ์อันโหดเหี้ยมของกองทัพเพลิงทมิฬที่บรรดาพ่อค้าเร่และเหล่านักดนตรีพเนจรต่างก็กล่าวขวัญถึงความหฤโหดด้วยความอกสั่นขวัญแขวนดังก้องอยู่ในหัวของเขา   วันนี้พวกเขากำลังจะได้ลิ้มรสความโหดเหี้ยมนั้นแล้ว
                      ดามิก้ายังคงเล่าเหตุการณ์ต่ออย่างรวดเร็ว “หมู่บ้านหลายหมู่บ้านถูกเผาทั้งๆที่ยังมีบรรดาชาวบ้านติดอยู่ข้างใน   ตั้งแต่เช้ามืดพวกมันโจมตีพร้อมๆกันจากทุกทิศทุกทางไม่มีหยุด   ไม่มีใครตั้งตัวกันได้ทัน   ส่วนผู้ที่รอดชีวิตต่างก็หนีกันอลหม่านและกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้   พวกขบวนหลังๆที่หนีไม่ทันก็ถูกไล่ต้อนเผาทั้งเป็นอย่างโหดเหี้ยม   ข้ารีบล่วงหน้ามาบอกพวกท่านให้เตรียมตัวอพยพก่อน   อีกไม่นานขบวนชาวบ้านเผ่าต่างๆคงจะมาถึงที่นี่แล้ว  หากไม่รีบอพยพตอนนี้ก็พาลจะทำให้ท้ายขบวนหนีไม่ทัน”
                      ฮารีซันพยักหน้าก่อนจะรีบสั่งชาวบ้านให้ตั้งขบวน   เสียงแตรเขาสัตว์จากเผ่าเซนทอร์ดังแว่วขึ้นจากป่าด้านตะวันตก  ทำเอาบรรดาชาวบ้านเริ่มมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
                      “ไฟมาเร็วเหลือเกิน   นี่คงใกล้จะลามถึงเผ่าเซนทอร์แล้ว  รีบไปเถอะ  ข้าจะล่วงหน้าไปเตือนหมู่บ้านข้างหน้าก่อน”  ดามิก้ากล่าวจบก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว
                      “เร็วเข้า   เรามีเวลาเหลือน้อยแล้ว”  ฮารีซันสั่งอพยพทันที
บรรดาชาวบ้านบางคนก็รีบวิ่งอย่างหวาดผวา   บางคนก็เริ่มร้องไห้ด้วยความอาลัยบ้านของตน  ฮารีซันเดินนำหน้าขบวนโดยมีวานาอันคอยพยุงวูจินอยู่ข้างๆ   เสียงแตรเขาสัตว์จากเผ่าเซนทอร์ดังแว่วเป็นระยะๆ   วูจินสังเกตเห็นหลานสาวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจึงใช้มือตบที่หลังหลังมือที่เย็นเฉียบของวานาอันเบาๆกล่าวว่า
                      “ทำใจดีๆไว้   ปู่กำลังนึกหาวิธีแก้อยู่   เข้มแข็งเข้าไว้”
                      วานาอันรู้สึกว่ามือและเท้าของเธอเย็นเฉียบไม่ต่างกับน้ำแข็ง   เสียงกลองและเสียงแตรจากเผ่าต่างๆเริ่มดังขึ้นเป็นระยะๆ  เสียงสัตว์ป่าที่กู่ร้องเรียกฝูงของพวกมัน   ทุกเสียงล้วนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว   ทุกครั้งที่เธอหลับตา ภาพของผู้คน ภาพบรรดาสัตว์น้อยใหญ่และต้นไม้ใบหญ้าที่กรีดร้องอย่างทรมานและหวาดกลัวบีบคั้นหัวใจดวงน้อยของเธอ   ความรู้สึกเวทนาสงสารเอ่อล้นขึ้นจนน้ำตาไหลลงอาบพวงแก้มของเธอ      
ฉับพลันนั้นเองเสียงร้องที่แหลมจนแสบแก้วหูก็ดังขึ้นเหนือกลุ่มชาวบ้านก่อนที่สัตว์ขนาดใหญ่สีแดงสดสองตัวจะโฉบต่ำอย่างรวดเร็วผ่านเหนือศีรษะของพวกเขาเพียงไม่กี่นิ้ว   บรรดาชาวบ้านหวีดร้องด้วยความตกใจต่างก้มลงหมอบต่ำกันอย่างชุลมุน   เสียงหัวเราะแข็งกร้าวดังลั่นอยู่เหนือพวกเขา   ทุกคนต่างมองไปที่ทิศทางต้นเสียงทันที   ก็พลันเห็นหญิงสาวในชุดสีแดงเพลิงขี่มังกรสี่ปีกในมือถือคฑาที่บัดนี้เปล่งประกายสีแดงวาวโรจน์จ้องมองพวกเขาพลางหัวเราะอย่างเหี้ยมเกรียม
                      “วิ่งสิเจ้าพวกโง่   วิ่ง!!” สิ้นเสียงเนอริมอร์ ก็ยิงลูกไฟเวทย์จากคฑาใส่กลุ่มชาวบ้านทันทีทำเอาขบวนชาวบ้านแตกกระจายวิ่งหนีเอาชีวิตรอดกันอย่างชุลมุน   เสียงหวีดร้องด้วยความกลัวดังสลับกับเสียงเรียกหาสมาชิกในครอบครัวของแต่ละคนจนสับสนอลหม่านไปหมด   แล้วเสียงร้องจากมังกรไฟตัวหนึ่งก็ดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่มันจะโฉบลงพ่นไฟใส่บ้านหลังที่อยู่ใกล้กับครอบครัวบันดารา    ฮารีซันจึงรีบพาปู่และน้องหลบไปอีกทางหนึ่ง   บรรดาชาวบ้านต่างวิ่งกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางราวกับมดแตกรัง   คนที่หนีไม่ทันก็ถูกไฟครอกดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมาน  
                      เนอริมอร์ยังคงยิงไฟเวทย์ใส่ชาวบ้านไม่หยุด   เหล่ามังกรไฟที่บินมาสมทบก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆจากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปด   พวกมันแยกกันโจมตีไล่เผาบ้านเรือนหลังแล้วหลังเล่า   ชาวบ้านต่างวิ่งหนีกันอย่างไม่คิดชีวิต   บ้างก็ชนกันจนหกล้มหกลุก   ที่เสียหลักล้มก็ถูกเหยียบซ้ำจนไปไหนไม่ได้
                      ขณะที่ฮารีซันรีบพาปู่และน้องพร้อมชาวบ้านวิ่งหนีการทำลายล้างของเนอริมอร์และฝูงมังกรไฟอยู่นั้น   วานาอันเกิดสะดุดขากับชาวบ้านคนหนึ่งจนล้มลง   วูจินใจหายวาบเมื่อรู้ว่าหลานสาวหลุดจากขบวนไป
                      “วานาอัน!!”  วูจินตะโกนเรียกพยายามยื่นมือไปหาหลานสาวแต่ทว่าบรรดาชาวบ้านที่วิ่งตามมาผลักเขาให้ออกห่างจากหลานสาวไปเรื่อยๆ    
                      “ฮารีซัน!” วูจินตะโกนเรียกหลานชายที่บัดนี้ก็ถูกคลื่นคนผลักออกไปไกลเช่นกัน    บรรดาชาวป่าต่างเผ่าเริ่มหนาตาขึ้นทั้งเซนทอร์  เผ่าสมิง และเผ่าข้างเคียงเริ่มปะปนมากขึ้นเรื่อยๆทำให้ขบวนดูแออัดยิ่งขึ้น     ฮารีซันพยายามฝ่าคลื่นคนที่วิ่งเบียดเสียดยัดเยียดกันจนสามารถเข้ามาประคองวูจินที่เกือบจะถูกชนจนล้มลงได้ทัน  
                      “วานาอันล่ะครับท่านปู่”  ฮารีซันหน้าซีดเผือดเมื่อไม่เห็นน้องสาว
                      “ช่วยน้องด้วยเร็วเข้า   น้องเจ้าพลัดกับปู่ที่โคนต้นไม้นั่น” วูจินรีบชี้มือไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก   ฮารีซันพยายามมองหาน้องสาวแต่ทว่าบรรดาชาวบ้านที่วิ่งสวนมาทำให้เขามองหาวานาอันได้ลำบากยิ่งขึ้น
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: December 19, 2004, 04:19:17 AM »

                     “วานาอัน!! วานาอัน!!” ฮารีซันตะโกนเรียกพลางพยายามฝ่าคนเข้าไปใกล้ต้นไม้นั้น   เสียงร้องแหลมของมังกรไฟดังเหนือหัวเขาไม่กี่นิ้วก่อนที่มันจะพ่นไฟใส่บ้านหลังที่อยู่ใกล้ๆ   ฮารีซันรีบเร่งฝีเท้ายิ่งขึ้นโดยมีวูจินเดินตามหลังไปติดๆ   ที่ใต้ต้นไม้นั้นเขาพบแต่ความว่างเปล่า   วานาอันพลัดหลงไปกับฝูงชนเสียแล้ว



                     “ท่านปู่คะ!!  ท่านพี่คะ!!” วานาอันตะโกนเรียกแข่งกับเสียงกรีดร้องของชาวบ้าน   เธอพยายามชะเง้อมองหาบุคคลทั้งสองแต่ตัวของเธอเล็กเกินกว่าจะมองเห็นได้ถนัดนัก   ผู้คนล้วนเบียดเสียดกันเธอถูกชนไปทางซ้ายทีขวาทีจนสับสนทิศทางไปหมด
                     “แม่จ๋า  แม่อยู่ไหน”  เสียงเด็กน้อยคนหนึ่งร้องเรียกแม่อยู่ไม่ไกลจากเธอนัก   เด็กน้อยถูกชนจนล้มคะมำลง   วานาอันรีบวิ่งเข้าไปช่วยเด็กน้อยทันที   เธอพยุงเด็กน้อยให้ลุกขึ้น   เด็กน้อยหันมามองเธอด้วยความดีใจเพราะคิดว่าเป็นแม่ของตน   เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ก็เริ่มเบ้ปากร้องไห้
                     “ลูกแม่” เสียงหญิงคนหนึ่งตะโกนเรียกเด็กน้อยจากอีกฟากของฝูงคน   เด็กน้อยผละจากวานาอันรีบวิ่งไปหาแม่ทันที   ทันใดนั้นมังกรไฟตัวหนึ่งบินโฉบต่ำไล่หลังเธอมา   วานาอันรีบวิ่งไปคว้าตัวเด็กน้อยไว้แล้วหมอบตัวลง   แทบจะทันทีมังกรก็พ่นเปลวไฟร้อนผ่าวข้ามหัวเธอไปถูกกลุ่มชาวบ้านที่อยู่ห่างจากเธอไม่กี่ก้าว    เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความทรมานจากกลุ่มชาวบ้านเคราะห์ร้ายบาดลึกเข้าไปในจิตใจของเธอ    เนื้อตัวของเธอเย็นเฉียบและสั่นเทาเธอกอดเด็กน้อยไว้แน่น  
                     “แม่!!  แม่จ๋า”  เสียงร้องของเด็กน้อยทำให้เธอรู้สึกตัว    เด็กน้อยพยายามตะเกียดตะกายยื่นมือเข้าไปหากองไฟที่อยู่ตรงหน้า   “ไม่!” วานาอันสะอื้นไห้กอดเด็กน้อยไว้แน่นพยายามปิดตาของเด็กน้อยไม่ให้เห็นภาพที่โหดเหี้ยมที่เกิดกับแม่ของเขา   เด็กน้อยกรีดร้องเสียงดังก่อนที่จะหมดสติไป    วานาอันร้องไห้กอดเด็กน้อยไว้แน่นทรุดลงนั่งกับพื้น   น้ำตาพรั่งพรูออกจากดวงตาทั้งสองข้าง   เธอมองไปรอบๆเห็นซากศพที่ถูกเผาจนดำเป็นตอตะโกมากมายทุกศพล้วนแต่อยู่ในสภาพที่น่าเวทนานัก   บางศพถูกเผาทั้งๆที่มีทารกน้อยกอดอยู่แนบอก    บางคนก็ถูกเหยียบจนตาย   ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ไฟและความหายนะทั่วไปหมด
                     “แม่หนูมัวแต่ทำอะไรอยู่  ไม่รีบหนีล่ะ   เดี๋ยวก็ถูกเผาตายอยู่ที่นี่หรอก”  หญิงวัยกลางคนที่ผ่านมาถามเธอและพยายามดึงเธอให้ลุกขึ้น   วานาอันมองหญิงต่างเผ่าผ่านม่านน้ำตา
                     “น้าจ๋า   หนูฝากเด็กคนนี้ได้ไหมคะ  แม่ของเธอถูกเผาทั้งเป็น” วานาอันชี้มือไปที่กองไฟข้างหน้า   หญิงวัยกลางคนมองกองไฟด้วยความตระหนก
                     “เอ่อ...ได้สิ”  หญิงวัยกลางคนลังเลเล็กน้อย แต่ก็รับเด็กน้อยมาอุ้มไว้ในที่สุด  “มาเถอะ  ไฟไหม้ใหญ่แล้วเดี๋ยวจะหนีไม่ทัน”  หญิงวัยกลางคนกล่าวพลางเริ่มกึ่งเดินกึ่งวิ่ง   วานาอันยืนมองเด็กน้อยแล้วหันไปมองรอบๆตัว  “แม่หนูเร็วเข้า” หญิงวัยกลางคนตะโกนเรียก   วานาอันหันหน้าไปสบตาหญิงวัยกลางคนอีกครั้งก่อนที่จะกลับหลังหันแล้วออกวิ่ง  
                     “แม่หนู!  แม่หนู!” หญิงวัยกลางคนจะก้าวตามแต่เมื่อเห็นเปลวไฟที่กำลังลุกโหมก็เปลี่ยนใจและวิ่งหนีไปพร้อมกับชาวบ้านคนอื่นๆ
                     วานาอันวิ่งไปร้องไห้ไป   เธอคิดแต่เพียงว่าเธอจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดเหตุร้ายนี้   แต่เธอจะต้องทำอะไรเล่าแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้   เด็กสาววิ่งสวนกับขบวนชาวป่าเผ่าต่างๆบางครั้งก็ถูกชนจนล้มลุกคลุกคลาน   แต่เมื่อเธอลุกขึ้นมาได้ก็ออกวิ่งอีก   บางคนเมื่อเห็นว่าเธอกำลังวิ่งสวนไปก็พยายามดึงเธอไว้เพราะคิดว่าเธอตกใจจนสติเลอะเลือนวิ่งเข้าไปหาเปลวไฟ   แต่วานาอันก็พยายามสะบัดมือจนเป็นอิสระและออกวิ่งต่อไป   ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไรไฟก็ยิ่งโหมรุนแรงมากขึ้นจนใบหน้าของเธอร้อนผ่าวจนแดงก่ำ   ดวงตาของเธอแสบจนแทบจะลืมไม่ขึ้นเพราะควันไฟ   เธอเริ่มสำลักควันไฟและหายใจลำบากขึ้นทุกที    ตลอดทางที่เธอวิ่งผ่านมาเธอต้องสะดุดซากศพของทั้งผู้คนและบรรดาสัตว์ป่าน้อยใหญ่หลายครั้งจนเนื้อตัวสกปรกมอมแมมไปหมด  
                     “สายลม สายลมผู้เป็นพี่น้องของเรา ปราณแห่งเหล่าทวยเทพ โปรดพัดนำทาง.... นำทางเรา ไปยังที่หมาย.....”
                     เสียงของเธอเบาพริ้วเหมือนสายลม ทันใดนั้นก็มีลมพัดผ่านด้านหลังของเด็กสาวไล่เปลวควันแหวกออกเป็นทาง   วานาอันออกวิ่ง สายตาของเธอ และจิตใจของเธอ เริ่มเข้าสู่ภวังค์ เธอมองไกลออกไป
                     “คีรีบันดา โปรดปกป้องเรา เหล่าพฤกษา โปรดเสริมความกล้าในใจของเรา.........”
                     ทั้งๆที่ยังวิ่งอยู่ บรรดาต้นไม้ใหญ่น้อยต่างก็ลู่ตามลมแยกออกเป็นทางทั้งซ้ายขวาแม้จะมีเปลวไฟเผาไหม้อยู่ตามกิ่ง จนดูราวกับว่าพวกมันแหวกทางให้กับเธอ
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: December 19, 2004, 04:20:36 AM »

                       “ผืนแผ่นดินผู้เป็นมารดาของลูก..................ลูกจะทำอย่างไรดี.. โปรดเป็นกำลังเพื่อเท้าของลูกจะวิ่งได้ไหว”
                       ทันใดเด็กสาวรู้สึกตัวเบาหวิว เธอวิ่งไปเหมือนติดปีกบิน เธอไม่รู้สึกว่าเท้าของเธอขยับแต่เธอกำลังวิ่งมุ่งไปข้างหน้า อย่างรวดเร็วราวกับว่าเท้าเธอคือปีกและผืนดินคือเมฆอันอ่อนนุ่ม   สายลมพัดจากด้านหลังของเธอเหมือนจะผลักเธอให้ไปถึงยังที่หมาย วานาอันตอนนี้ไม่รู้ทิศรู้ทางเพราะรอบข้างมีแต่ไฟแดงฉาน เธอวิ่งตามที่พลังอำนาจแห่งธรรมชาติของเธอนำทาง และตามสายลมที่พัดพาเธอไป
                       เธอวิ่ง วิ่ง และวิ่ง น้ำตายังไหลอาบแก้ม แต่ในใจของเธอกลับสัมผัสถึงสิ่งยิ่งใหญ่   ในอกร้อนผ่าวประหนึ่งว่ามีมืออันใหญ่วางลงบนหัวใจของเธอ และลูบปลอบใจ   ในหูของเธอได้ยินเสียง เป็นเหมือนเสียงของน้ำ เป็นเสียงน้ำไหลที่ฟังดูเหมือนเสียงร้องไห้คร่ำครวญ   ร่างกายเธอสัมผัสสายลม แต่เป็นสัมผัสแบบที่เธอไม่เคยรู้สึกรับรู้ได้รุนแรงเท่านี้  มันราวกับสายลมพัดเข้าไปในตัวเธอหมุนวนและพัดทะลุผ่านร่างของเธอ   เธอมองเห็นเปลวไฟคลุ้มคลั่งคำรามหากแต่เกรงกลัวเธอ ไม่ใช่ ไม่ได้เกรงกลัวเธอ   มันเกรงกลัวบางสิ่งที่กำลังผสานเข้ากับเธอ
                       เด็กสาวเริ่มรู้สึกว่าเธอรับรู้บางอย่างแจ่มชัดในใจ   จิตใจของแผ่นดินซึ่งขณะนี้เหมือนมารดาที่พยายามจะปกป้องลูกน้อยของตน   ทั้งอบอุ่นแต่ทว่าปวดร้าว   เธอรู้สึกถึงความกังวลของสายน้ำ   แม้ทะเลสาบนีรันดาจะอยู่ห่างไกลแต่เธอสัมผัสได้ไม่ต่างกับอยู่กลางทะเลสาบ   เธอรับรู้ว่าสายลมกำลังเป็นห่วงเธอเหมือนพี่ชายที่จับมือน้องสาวแน่นไม่ให้หลงทาง  
                       ที่สุดเท้าของเธอก็หยุดวิ่ง   วานาอันรู้สึกตัวเหมือนตื่นจากฝัน   ภาพเบื้องหน้าคือมหาพฤกษาใบสีเงินที่ตอนนี้สะท้อนแสงจากเปลวไฟเป็นสีแดงระยับ   มหาพฤกษาอิกดราซิลสูงจรดฟ้าตระหง่านท่ามกลางเปลวเพลิง   น่าแปลกนักที่ต้นไม้โดยรอบถูกเผาจนไหม้เกรียม   บางต้นก็กำลังถูกไฟไหม้จนเปลวไฟลุกท่วม   แต่ต้นอิกดราซิลกลับแทบจะไม่มีร่องรอยถูกไหม้เลยแม้แต่น้อย   วานาอันทรุดตัวคุกเข่าลงเบื้องหน้ามหาเทพพฤกษาน้ำตาไหลอาบแก้ม    มือน้อยๆเวลานี้มีแผลถลอกจนเลือดไหลทั้งสองข้างทั้งยังเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเขม่าและฝุ่นดิน   เธอยกมันขึ้นสัมผัสกับต้นอิกดราซิลและเริ่มสะอื้นไห้
                       “ข้าแต่เทพพฤกษา   ขอโปรดช่วยพวกเราด้วยเถิด”  วานาอันอ้อนวอนทั้งน้ำตา   ภาพความทุกข์ระทม ความเศร้าโศก และความหายนะปรากฏขึ้นในใจของเธออีกครั้งอย่างแจ่มชัด   ต้นอิกดราซิลโบกไหวอย่างช้าๆประหนึ่งว่ากำลังทุกข์ระทมร่วมกับเด็กสาว   น้ำตาหยาดแล้วหยาดเล่าตกลงสู่ผืนดินและรากที่โผล่พ้นดินของมหาพฤกษา “หมดสิ้นแล้ว พินาศไปหมดสิ้น........” เธอร้องไห้อย่างขมขื่น  “ได้โปรดเถิด มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน  ไม่ว่าจะบรรดาชาวบ้าน  พวกสัตว์ป่าล้มตาย แม้แต่เด็กทารก ก็ยังต้องตายอย่างทารุณ” ใบสีเงินเลื่อมสีแดงระยับขยับสั่นสะท้านราวกับสะอื้น “เหล่าทวยเทพทั้งหลายผู้เป็นบิดาและมารดาของเรา  ได้โปรดปกป้องลูกๆของพระองค์ด้วยเถิด”  วานาอันซบหน้าลงกับรากแขนงหนึ่งของต้นอิกดราซิลสะอื้นไห้จนตัวโยน   ปากก็พร่ำวอนขอความเมตตาจากเหล่าเทพมิได้หยุด
                       ทันใดนั้นใบสีเงินเลื่อมระยับก็ขยับพริ้วรุนแรงไม่ต่างกับคลื่นในมหาสมุทรจนใบไม้ทั้งหลายกระทบกันเป็นเสียงดังเหมือนเสียงระฆังเงินเล็กๆนับร้อยนับพันใบสั่นระรัว    อากาศโดยรอบเย็นตัวลงแทบจะทันที   ละอองน้ำเล็กๆค่อยๆโรยตัวจากใบสีเงินแต่ละใบลงสู่พื้นดิน   วานาอันรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลันนี้   เด็กสาวเงยหน้าขึ้นช้าๆและมองไปรอบๆอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง   ละอองน้ำจากใบสีเงินนับหมื่นนับแสนใบตกชโลมพื้นดินและทั่วบริเวณรอบต้นอิกดราซิลจนฉ่ำชื้น   และเมื่อละอองน้ำสัมผัสกับความร้อนโดยรอบก็ระเหยกลายเป็นไอน้ำลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน   เสียงขยับใบดังกังวานครั้งแล้วครั้งเล่า   ละอองน้ำใสเย็นนับหมื่นนับแสนที่โรยตัวลงมาแต่ละครั้งสัมผัสถูกใบหน้าหวานของเด็กสาว   เรือนผมมันเงาของเธอระยิบระยับไปด้วยละอองน้ำเม็ดเล็กๆมากมาย        
                       เพียงเวลาไม่กี่นาทีท้องฟ้าทั่วทั้งบริเวณก็มืดครึ้มลง   ไอน้ำที่ลอยตัวสูงขึ้นรวมตัวกันจนเกิดเป็นเมฆฝนดำทะมึนขนาดมหึมาและเริ่มโปรยปรายสายฝนเย็นฉ่ำไปทั่วทั้งป่า   ต้นไม้ใบหญ้าต่างโบกกิ่งพริ้วรับสายฝนเย็นฉ่ำราวกับเริงระบำ   ไม่ต่างกับดวงใจของวานาอันที่เต้นรัวด้วยความโลดเต้นยินดี   เสียงหยดน้ำฝนที่เดือดจนกลายเป็นไอเพราะตกลงสู่เปลวไฟดังไปทั่วบริเวณ    
                       อีกครั้งที่ในหูของเด็กสาวได้ยินเสียงเรียกจากระลอกคลื่นกระซิบหาอย่างอ่อนโยน   วานาอันมองไปรอบๆพยายามมองหาที่มาของเสียงนั้น   เธอลุกขึ้นช้าๆขาของเธอเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง   ในใจของเธอรู้สึกอบอุ่นและสงบนิ่ง   เด็กสาวเดินลัดเลาะไปตามแขนงรากอันใหญ่โตของเทพพฤกษา   ไม่นานนักเธอก็พบกับธารน้ำขนาดใหญ่ที่ไหลมาจากแง่งรากแขนงหนึ่งของต้นอิกดราซิลนั่นเอง    วานาอันคุกเข่าลงช้าๆด้วยความอัศจรรย์ใจเมื่อเห็นที่ใจกลางทางน้ำนั้นมีแสงเรืองรองเป็นวงเจิดจ้าอยู่ใต้พื้นน้ำ   เกิดระลอกคลื่นสะท้อนเป็นประกายระยิบระยับไม่ต่างกับทะเลดาวในยามค่ำคืน   ที่กลางน้ำนั้นเกิดหยดน้ำเรืองแสงนับร้อยนับพันลอยขึ้นมาจากน้ำแล้วหมุนวนเป็นวงรอบๆบริเวณนั้น   ระลอกคลื่นที่เกิดจากใจกลางแห่งแสงนั้นกระจายตัวเป็นวงกว้างจนแรงกระเพื่อมกระทบฝั่งแรงขึ้นเรื่อยๆ     ฉับพลัน ณ ใจกลางของวงคลื่นนั้นก็เกิดน้ำพุพุ่งขึ้นสูงบิดเป็นเกลียวเหนือผืนน้ำก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นของหญิงสาวนางหนึ่ง   ผิวกายของเธอเป็นสีฟ้าใสรับกับเรือนผมสีฟ้าเข้มยาวสยาย   วงหน้างดงามได้รูปกับใบหูที่เหมือนครีบปลาสีฟ้าเหลือบเงินขนาดใหญ่ทั้งสองข้าง   ดวงตาคมสีฟ้าเข้มราวกับสีของน้ำทะเลจ้องมองเธออย่างเอ็นดู
                       “ท...เท...เทพีอันดีน(Undine)”  วานาอันได้แต่ตกตะลึงพูดได้เพียงแค่นั้น   ไม่เคยมีใครเคยได้เข้าเฝ้าหรือได้เห็นเทพีอันดีนเลยสักครั้ง   แต่บัดนี้เทพีมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอ   เด็กสาวทั้งประหม่าทั้งปลาบปลื้มจนตัวเธอเองก็สับสนในความรู้สึกของตน   เทพีเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจในความประหม่าของเด็กสาวจึงยิ้มให้กับเธออย่างเอ็นดู    แล้วจึงหันหน้าไปทางป่าทมิฬพลางยกแขนซ้ายขึ้นช้าๆแล้วเริ่มต้นวาดมือเหมือนกับร่ายเวทย์   ทันใดนั้นน้ำปริมาณมากมายมหาศาลก็เอ่อล้นฝั่งแล้วพุ่งขึ้นสูงถึงยอดไม้ก่อนจะม้วนตัวเป็นเกลียวคลืนไหลบ่าสู่ป่าฝั่งตะวันตกราวกับน้ำป่าหลาก   เสียงไฟที่กำลังโหมไหม้ป่าถูกน้ำซัดสาดเสียงดังฟู่ฟ่อเหมือนเสียงงูพิษที่ขู่คำรามเพื่อเอาชีวิตรอดในเฮือกนาทีสุดท้าย   แต่น้ำปริมาณมหาศาลที่ไหลบ่าล้นตลิ่งอย่างไม่มีวันหมดนั้นมากมายจนดูเหมือนว่าน้ำทั้งทวีปเมอรีเซียกำลังถูกสูบมาดับมหาเพลิงในครั้งนี้  
                       เทพีอันดีนมองผลงานของตนพลางยิ้มอย่างพอใจ   เธอยกแขนขึ้นอีกครั้งหยดน้ำเรืองแสงก็หมุนวนรอบตัวของเทพีอันดีน   แล้วเธอก็หมุนตัวกลายเป็นน้ำตกลงสู่ธารน้ำนั้นทันที  ปล่อยเด็กสาวที่กำลังอัศจรรย์ใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ไว้เพียงลำพัง
                       “ขอบคุณค่ะ  ขอบคุณ”  เมื่อตั้งสติได้วานาอันก็รีบกล่าวขอบคุณเหล่าทวยเทพอย่างตื้นตันใจ  ก้มลงกราบจนหน้าผากจรดพื้นดิน   น้ำตาแห่งความปลื้มปิติไหลอาบสองพวงแก้ม    เด็กสาวลุกขึ้นยืนปล่อยจิตให้สัมผัสกับธรรมชาติอีกครั้งก่อนที่จะเริ่มขับร้องบทเพลงสรรเสริญเหล่าทวยเทพด้วยน้ำเสียงใสเย็น   จิตใจที่หมองหม่นบัดนี้กลับเบิกบาน   ดวงใจน้อยๆของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมยินดี         
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.041 seconds with 22 queries.